กระทู้ธรรม พระมหาภูมินทร์ จนฺทสาโร PM.Phumin Chandasaro
หนังสือประกอบการเรียนธรรมศึกษา ชั้นตรี ระดับประถมศึกษา จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนของนักเรียน สำหรับพื้นฐานของชั้นนี้ เป็น วิชาเขียนกระทู้ธรรม คล้ายกับการเขียนเรียงความเล่าเรื่อง อธิบายหัวข้อ ธรรมะท่ีได้่กำหนดให้มา เป็นการให้ ฝึกคิด เขียน พูด แสดงธรรมคำสอน หรือบอกเล่าประสบการณ์อันมีเนื้อหาสาระ ประโยชน์ในชีวิต เป็น ข้อคิด เตือนใจตนและคนอื่นได้ ดังนั้น หนังสือเล่มนี้คงเป็นประโยชน์บ้างเล็กน้อย แก่นักเรียนที่ ศึกษาใฝ่หาความรู้ พระมหาภูมินทร์ จนฺทสาโร PM.Phumin Chandasaro ค าน า
ส า ร บั ญ เรื่อง หน้า ค าน า สำนวนโวหารในการเขียนเรียงความ ๑ องค์ประกอบของเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๒ แนวทางการอธิบายหัวข้อกระทู้ธรรม ๕ หมวดศีล อธิบาย - ตัวอย่างการเขียน ๘ หมวดวาจา แนวทางอธิบาย ๑๐ หมวดบาป แนวทางอธิบาย ๑๒ หมวดกรรม แนวทางอธิบาย ๑๔ หมวดโกรธ แนวทางอธิบาย ๑๖ แนวทางปัญหา ปี พ.ศ.๒๕๖๗ ๑๘
ส านวนโวหารในการเขียนเรียงความ ส านวนโวหารมี ๔ แบบ คือ ๑) พรรณนาโวหาร ได้แก่ การพรรณนาความ คือ เล่าเรื่องที่ได้ เห็นมาแล้วด้วยความมุ่งหวังให้ไพเราะเพลิดเพลินบันเทิง ๒) บรรยายโวหาร ได้แก่ การอธิบายข้อความที่ย่อซึ่งยังเคลือบ แคลงอยู่ให้แจ่มแจ้งหรือพิสดาร ๓) เทศนาโวหาร ได้แก่ การแต่งทำนองการสอน คือ ชี้แจง หลักธรรมนั้น ๔) สาธกโวหาร ได้แก่ การบรรยายข้อเปรียบเทียบ คือ นำข้อ อุปมาอุปไมยมาเทียบเคียงสำนวนที่นิยมใช้ในการเขียนเรียงความ คือ แบบเทศนาโวหาร มีหลักการเขียน ดังนี้ ๑) ข้อความที่เขียนนั้นจะต้องมีเหตุผลใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ๒) มีอุทาหรณ์และหลักคติธรรม ๓) ผู้เขียนจะต้องแสดงให้เห็นว่า ตนมีลักษณะและคุณสมบัติพอเป็นที่ เชื่อถือได้ วิชา กระทู้ธรรม ๑
องค์ประกอบของเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑) กระทู้ตั้ง คือ ธรรมภาษิตที่เป็นปัญหาที่ยกขึ้นมาก่อนสำหรับให้แต่งแก้ เช่น สุข ยาว ชรา สีล ศีลน าความสุขมาให้ตราบเท่าชีวิต ๒) ค าน า คือ คำขึ้นต้นหรือคำชี้แจงก่อนจะแต่งต่อไป กล่าวคือ เมื่อยกคาถาบทตั้งไว้ แล้วเวลาจะแต่งต้องขึ้นอารัมภบทก่อนว่า ณ บัดนี้ จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติ ปฏิบัติสืบต่อไป ๓) เนื้อเรื่องของกระทู้ตั้ง ต้องมีเนื้อหาสาระสำคัญ ลำดับเนื้อหาสาระให้ต่อเนื่องกัน เป็นเหตุเป็นผล โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “อธิบายความว่า” ก่อนจบการอธิบายจะลงท้าย ด้วยคำว่า “นี้สมด้วยธรรมภาษิต ที่มาใน (ใส่ที่มาของธรรมภาษิตที่นำมารับ) ว่า” เพื่อ รับรองไว้เป็นหลักฐาน เช่น สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มาใน.............. ๔) กระทู้รับ คือ ธรรมภาษิตที่ยกขึ้นมารับรองให้สมเหตุสมผลกับกระทู้ตั้ง เพราะการ แต่งเรียงความนั้นต้องมีกระทู้รับอ้างให้สมจริงกับเนื้อความที่ได้แต่งไป มิใช่เขียนไป แบบลอย ๆ เช่น สีล รกฺเขยฺย เมธาวี นักปราญช์พึงรักษาศีล วิชา กระทู้ธรรม ๒
๕) เนื้อเรื่องของกระทู้รับ คือ อธิบายเนื้อหาสาระสำคัญของธรรมภาษิตที่ยกมารับ โดยขึ้นต้นด้วยคาว่า“อธิบายความว่า” ๖) บทสรุป คือ การรวบรวมใจความสำคัญของเรื่องที่ได้อธิบายมาแต่ต้น โดยกล่าว สรุปลงสั้นๆ หรือย่อๆ ให้ได้ความหมาย ที่ครอบคลุมถึงเนื้อหา ที่กล่าวมาทั้งกระทู้ตั้ง และกระทู้รับ โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “สรุปความว่า” ก่อนจบการสรุปจะลงท้ายด้วยคำ ว่า“สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ณ เบื้องต้นว่า” แล้วจึงเขียนกระทู้ตั้ง พร้อมคำ แปลอีกครั้งหนึ่ง เช่น สมด้วยธรรมภาษิตที่ลิขิต ณ ไว้เบื้องต้นว่า สุข ยาว ชรา สีล ศีลน าความสุขมาให้ตราบเท่าชีวิต มีนัยดังได้พรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ ๗) ค าลงท้าย คือ ประโยคที่เป็นการจบการเขียนเรียงความ จะใช้คำว่า “มีนัยดังได้ พรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ” โดยให้เขียนขึ้นบรรทัดใหม่ชิดเส้นกั้นหน้า วิชา กระทู้ธรรม ๓
... วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ... ธรรมศึกษา ชั้นตรี ระดับประถมศึกษา วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมศึกษา ชั้นตรีระดับประถมศึกษา ให้ผู้เรียน แต่งอธิบายความกระทู้สุภาษิต ที่กำหนดให้อย่างสมเหตุสมผล และอ้างอิงสุภาษิตที่ กำหนดให้เท่านั้น มาประกอบการอธิบายไม่น้อยกว่า ๑ สุภาษิต โดยต้องอธิบายร้อย เรียง และเชื่อมโยงแนวคิดสำคัญ ให้สัมพันธ์กับกระทู้สุภาษิตที่กำหนดให้พร้อมทั้ง ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยชั้นนี้กำหนดความยาวตั้งแต่ ๒ หน้าขึ้นไป (เว้นบรรทัด) วิชา กระทู้ธรรม ๔
...แนวทางการอธิบายหัวข้อกระทู้ธรรม... สำหรับการเรียนการสอนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับประถมศึกษา มีขอบข่ายพุทธ ศาสนสุภาษิตที่จะใช้เป็นหัวข้อกระทู้ตั้ง มี ๕ หมวดธรรม ได้แก่ ๑. สีลวรรค คือ หมวดศีล ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ต้องศึกษา ๓ หัวข้อ (ข้อสอบอาจจะเลือกมา เป็นกระทู้ตั้ง) คือ ๑) สาธุ สพฺพตฺถ ส วโร. ความรอบคอบในทุก ๆ เรื่อง เป็นการดี ๒) สุข ยาว ชรา สีล . ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชีวิต ๓) สีล รกฺเขยฺย เมธาวี. นักปราชญ์พึงรักษาศีล มีแนวทางการอธิบาย ดังนี้ สาธุ สพฺพตฺถ ส วโร. ความรอบคอบในทุก ๆ เรื่อง เป็นการดี (คำอ่าน : สา-ธุ, สับ-พัด-ถะ, สัง-วะ-โร, ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท) คำว่า ความสำรวม คือ ความระมัดระวัง ได้แก่ ระมัดระวังในการกระทำการ พูด และการคิด โดยใช้สติสัมปชัญญะกำกับ ไม่ให้การทำ การพูด และการคิด เป็นไป ในทางที่เป็นบาปอกุศล บุคคลที่มีความสำรวมอยู่เสมอย่อมจะสามารถพาตนให้พ้น จากทางแห่งความเสื่อมได้ สามารถละสิ่งที่เป็นบาปเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของเขาย่อมดำเนินไปในทางที่ดี มุ่งหน้าสู่ส่วนแห่งความสุขความ เจริญในโลกนี้ เมื่อถึงคราวที่ต้องตายจากโลกนี้ไป ก็จะสามารถไปสู่สุคติภูมิได้ เพราะ ผลแห่งความสำรวมระวังของเขานั่นเอง วิชา กระทู้ธรรม ๕
สุข ยาว ชรา สีล . ศีลน าความสุขมาให้ตราบเท่าชีวิต (คำอ่าน : สุ-ขัง, ยา-วะ, ชะ-รา, สี-ลัง, ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท)..คำว่า ศีล แปลว่า ปกติ เป็นเจตนาที่จะควบคุมตัวเอง ให้เป็นมนุษย์ปกติ ไม่ให้ไปทำความ เดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น มีความสุขเป็นผลตอบแทนจากการรักษาศีลนั่นเอง เพราะการรักษาศีลเป็นเหตุแห่งความสุขความเจริญไม่ว่าจะอยู่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว หรือวัยชราก็ตาม ผู้รักษาศีลจะไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผู้ที่ รักษาศีลก็สงบร่มเย็นด้วยตนเอง ผู้ที่อยู่ใกล้ผู้รักษาศีล ก็ย่อมได้รับความสงบร่มเย็น ร่วมด้วยเช่นกัน และศีลนี้จะเป็นเหตุแห่งความสุขของผู้รักษาศีล ตราบจนชรา หรือ ตราบจนถึงวันที่ต้องตายจากโลกนี้ไป และยังตามไปให้ผลเป็นความสุขความเจริญใน ภพภูมิต่อ ๆ ไปอีกด้วย วิชา กระทู้ธรรม หมวดศีล ๖
สีล รกฺเขยฺย เมธาวี. นักปราชญ์พึงรักษาศีล (คำอ่าน : สี-ลัง, รัก-ไข-ยะ, เม-ธา-วี, ที่มา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ) คำว่า ปราชญ์ หมายถึง ผู้มีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด รู้จักละสิ่งที่ไม่เป็น ประโยชน์ ทำเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ เว้นจากสิ่งที่เป็นบาป ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญ ส่วนคำ ว่า ศีล เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องมีเพราะทำให้รักษาความ เป็นมนุษย์คือผู้ที่มีใจสูงเอาไว้ได้ ศีลยังเป็นรากฐานของบุญกุศลขั้นสูง คือการเจริญ ภาวนาเพราะว่าคนที่จะเจริภาวนาหรือปฏิบัติกรรมฐานจนสามารถได้ฌานสมาบัติ หรือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นจำเป็นต้องมีศีลที่บริสุทธิ์เสียก่อน เพราะถ้าศีลไม่บริสุทธิ์เสีย แล้ว การปฏิบัติกรรมฐานก็ไม่ได้ผล ดังนั้นปราชญ์หรือบัณฑิตผู้ฉลาดทั้งหลาย เห็น ความสำคัญและอานิสงส์ของการรักษาศีลแล้ว จึงพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ เสมอ ไม่ให้ขาด ไม่ให้ด่างพร้อย วิชา กระทู้ธรรม หมวดศีล ๗
เลขที่............ ประโยคธรรมศึกษาชั้น [✓]ตรี [ ]โท [ ]เอก ช่วงชั้น [✓]ประถม [ ]มัธยม [ ]อุดม วิชา เรียงความแก้กระทู้ธรรม สอบในสนามหลวง วันที่ ..... เดือน ...................... พ.ศ. ........ สีล โลเก อนุตฺตร . ศีล เป็นเยี่ยมในโลก. บัดนี้จักได้บรรยายขยายความ ตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อ เป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติของสาธุชนผู้ใคร่ในธรรมสืบไป อธิบายความว่า ศีล หมายถึง การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยดีงาม เป็น คุณสมบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ผู้นั้นอย่างน้อยต้อง มีศีล ๕ คือ ๑) การไม่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้เดือดร้อนทรมานให้พิกลพิการ ๒) การ ไม่ลักทรัพย์ หรือการไม่ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยการขโมย ๓) การไม่ประพฤติ ผิดในกามหรือการไม่เป็นชู้กับสามีหรือภรรยาของผู้อื่น ๔) การไม่พูดเท็จ หรือพูด โกหกหลอกลวงผู้อื่น ๕) การไม่ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความ ประมาท การรักษาศีล จึงเป็นเครื่องขจัดความเบียดเบียนกัน ก่อให้เกิดความเมตตา ปรารถนาดีให้เกิดขึ้นในโลก ศีลชื่อว่าเป็นเยี่ยมในโลก เพราะเป็นเครื่องปกป้องโลกให้ อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ ผู้มีปัญญาพึงรักษาศีล นี้สมด้วยธรรมภาษิต ที่มาใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ว่า สีล รกฺเขยฺย เมธาวี. ปราชญ์พึงรักษาศีล. วิชา กระทู้ธรรม หมวดศีล ๘ ตัวอย่าง
อธิบายความว่า ปราชญ์ หมายถึง คนมีปัญญา คนเป็นบัณฑิต คนที่ได้รับการ ยกย่องว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่อง รู้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ อะไร เป็นบุญเป็นบาป แล้วทำสิ่งที่ควรทำ เป็นบุญ ไม่มีโทษและเป็นประโยชน์ คนที่เป็น ปราชญ์จำต้องมีศีล ถ้าเมื่อใดเป็นคนไม่มีศีล เมื่อนั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นปราชญ์ หรือเป็น บัณฑิตตามหลักทางพระพุทธศาสนา เป็นเพียงแค่บัณฑิตตามใบปริญญา ปราชญ์จึง ต้องหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด เพราะเมื่อรักษาศีลไว้ดีแล้วย่อมเป็นเกราะคุ้มครอง ภัย จากอบายภูมิหลังจากที่ตายไปแล้ว และเป็นหนทาง ช่วยให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ได้ด้วย สรุปความว่า ศีลจึงเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน ที่จะทำให้คนเราเป็นมนุษย์ที่ ประเสริฐ ปราศจากศัตรูที่คอยเบียดเบียน มีความปลอดภัย ไกลทุกข์ ร่มเย็นเป็นสุข ศีลจึงเป็นความดีเยี่ยมในโลก มิใช่เงินทองหรือเกียรติยศชื่อเสียง และเป็นสิ่งที่กำจัด กิเลสอย่างหยาบทางกาย วาจา ให้เบาบางลง คนมีปัญญาพึงรักษาศีลไว้ให้อยู่คู่กับโลก ตลอดไป จะทำให้สังคมมีความสุขเจริญรุ่งเรือง สมด้วยธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น ว่า สีล โลเก อนุตฺตร ศีล เป็นเยี่ยมในโลก. มีนัยดังได้พรรณนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ วิชา กระทู้ธรรม หมวดศีล ๙
๒. วาจาวรรค คือ หมวดวาจา ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ต้องศึกษา ๓ หัวข้อ (ข้อสอบอาจจะเลือกมาเป็นกระทู้ ตั้ง) คือ ๑) มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิก . คนพูดไม่ดีย่อมเดือดร้อน ๒) วาจ มุญฺเจยฺย กลฺยาณึ. บุคคลควรพูดให้ไพเราะ. ๓) ตเมว วาจ ภาเสยฺย ยายตฺตาน น ตาปเย. ควรกล่าวแต่ถ้อยคำที่ไม่ทำให้ตน เดือดร้อน มีแนวทางการอธิบาย ดังนี้ มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิก . คนพูดไม่ดีย่อมเดือดร้อน (คำอ่าน : มุด-ตะ-วา, ตับ-ปะ-ติ, ปา-ปิ-กัง, ที่มา ขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต) คำว่า คำพูดไม่ดีหมายถึง การกล่าววจีทุจริต ๔ อย่าง คือ ๑) มุสาวาท พูดเท็จ คือ พูดโกหก พูดตรงกันข้ามกับความจริง เพื่อให้เข้าใจผิด ๒) ปิสุณวาจา พูดส่อเสียด คือ พูดยุยงให้คนอื่นแตกกัน ทะเลาะกัน พูดให้เขาเจ็บใจ ๓) ผรุสวาจา พูดคำหยาบ คือ พูดคำระคายหูคำหยาบโลน ไม่น่าฟัง ไม่เป็นคำพูดที่ดี๔) สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อ เจ้อ คือ พูดพล่าม พูดเหลวไหล ไม่มีสาระ ไร้สาระ วกวนไม่รู้จบ ทำให้เสียเวลาและ ประโยชน์คนที่มากไปด้วยการกล่าววจีทุจริตทั้ง๔ อย่างดังกล่าวข้างต้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ มีวาจาชั่ว คือมีปากก็สักแต่ว่าพูด ไม่ได้คำนึงถึงผิดถูกชั่วดี ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ หรือมิใช่ประโยชน์คนประเภทนี้มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง และคนอื่น เพราะคำพูดของตนเองเท่านั้น วิชา กระทู้ธรรม หมวดวาจา ๑๐
วิชา กระทู้ธรรม หมวดวาจา ๑๑ วาจ มุญฺเจยฺย กลฺยาณึ. บุคคลควรพูดให้ไพเราะ (คำอ่าน : วา-จัง, มุน-ไจ-ยะ, กัน-ละ-ยา-นิง, ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค) คำว่า คำพูดไพเราะ หมายถึง คำพูดที่มีคุณลักษณะ ๕ อย่าง ดังนี้ ๑) กล่าวถูก กาลเทศะ คือ พูดถูกที่ถูกเวลา ๒) เป็นคำจริง ไม่โกหกหลอกลวง ๓) เป็นคำพูดที่ อ่อนหวาน ไพเราะเสนาะหู ๔) เป็นคำพูดที่มีประโยชน์ ไม่ เหลวไหลไร้สาระ ๕) กล่าวด้วยจิตเมตตา คือ เป็นคำที่พูดด้วยควาปรารถนาดีต่อผู้ฟัง ถ้อยคำที่ประกอบด้วยลักษณะ ๕อย่างดังกล่าวมานี้ เรียกว่า วาจางาม คนที่พูดแต่ ถ้อยคำที่มีลักษณะของวาจางามดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นที่รักและนับถือของคนทั้งหลาย เขาย่อมสามารถยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ตเมว วาจ ภาเสยฺย ยายตฺตาน น ตาปเย. ควรกล่าวแต่ถ้อยค าที่ไม่ท าให้ตนเดือดร้อน (คำอ่าน : ตะ-เม-วะ, วา-จัง, ภา-ไส-ยะ, ยา-ยัด-ตา-นัง, นะ, ตา-ปะ-เย, ที่มา สังยุตต นิกาย สคาถวรรค) คำว่า ถ้อยคำดีคือ ถ้อยคำที่เป็นไปในแนวทางแห่งวจีสุจริตทั้ง ๔ ประการ คือ ๑) เว้นจากการพูดเท็จ คือพูดแต่คำที่เป็นความจริง ไม่โกหกหลอกลวง ๒)เว้นจากการ พูดส่อเสียด คือ พูดแต่คำที่เป็นไปเพื่อความสมัครสมานสามัคคีไม่พูดให้คนอื่นแตกคอ กัน ๓) เว้นจากการพูดคำหยาบ คือ พูดแต่วาจาที่ไพเราะเสนาะหูไม่พูดคำหยาบโลนอัน เป็นที่รังเกียจของผู้ฟัง ๔) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดแต่วาจาที่เป็นประโยชน์ไม่พูด เหลวไหลไร้สาระ คนที่พูดแต่วาจาที่เป็นไปตามแนวทางแห่งวจีสุจริต ย่อมเป็นที่รักและ คารพของคนทั่วไป บุคคลทั้งหลายย่อมยกย่องนับถือเขา เขาย่อมได้รับประโยชน์จาก คำพูดดังนั้นของตนเอง ไม่สร้างความเดือดร้อนเพราะคำพูดของตน
วิชา กระทู้ธรรม หมวดบาป ๑๒ ๓. ปาปวรรค คือ หมวดบาป ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ต้องศึกษา ๓ หัวข้อ (ข้อสอบอาจจะเลือกมาเป็นกระทู้ ตั้ง) คือ ๑) ปาปาน อกรณ สุข . การไม่ทำบาป นำสุขมาให้. ๒) ปาปานิ ปริวชฺชเย. พึงละเว้นบาปทั้งหลาย ๓) ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย. ความสั่งสมบาป นำทุกข์มาให้. มีแนวทางการอธิบาย ดังนี้ ปาปาน อกรณ สุข . การไม่ท าบาป น าสุขมาให้. (คำอ่าน : ปา-ปา-นัง, อะ-กะ-ระ-นัง, สุ-ขัง, ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท) คำว่า บาป คือ การกระทำความชั่ว ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ได้แก่ การ ทุจริต ทั้ง ๓ ประการ คือ กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ผู้ทำบาปต้องตกอยู่ใน ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งกายและใจ อันเป็นผลที่เกิดจากการทำบาปนั่นเอง เมื่อ บาปเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความฉิบหายเช่นนี้ การไม่ทำบาปทั้งปวงจึงนำความสุข มาให้เพราะไม่ต้องคอยหวาดระแวงกลัวว่า ผลของบาปที่ตนทำไว้จะตามมาส่งผล ทำ ให้มีความสุขใจ แม้ยามจะละจากโลกนี้ไป จิตใจย่อมผ่องใส ไม่เศร้าหมอง อันเหตุให้ ต้องได้รับความทุกข์ทรมานในอบาย
วิชา กระทู้ธรรม หมวดบาป ๑๓ ปาปานิ ปริวชฺชเย พึงละเว้นบาปทั้งหลาย (คำอ่าน : ปา-ปา-นิ, ปะ-ริ-วัด-ชะ-เย, ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท) คำว่า บาป แปลว่า สภาพที่ทำให้จิตตกต่ำ หรือสภาพที่ทำให้ตกไปในที่ต่ำ ผล ของบาปย่อมทำให้ผู้กระทำบาปนั้นตกไปในทุคติ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ ดิรัจฉาน หรือแม้แต่เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เศษแห่งบาปนั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ ยัง สามารถตามมาให้ผล โดยการทำให้ต้องพบกับความทุกข์ความเดือดร้อนตามกำลังของ บาปนั้น ๆ อีกเพราะฉะนั้น เราทั้งหลายพึงละเว้นการทำบาปเสีย ไม่ว่าจะเป็นบาป เพียงเล็กน้อยหรือบาปที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ เพราะการทำบาป ไม่ก่อให้เกิดผลดีแก่ ผู้กระทำเลย ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความฉิบหายแก่ผู้กระทำ ได้รับการติเตียน เกลียดชังได้รับโทษทางบ้านเมือง ละโลกไปแล้วยังต้องไปรับโทษในอบายอีกด้วย ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย. ความสั่งสมบาป น าทุกข์มาให้. (คำอ่าน : ทุก-โข, ปา-ปัด-สะ, อุด-จะ-โย, ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท) คำว่า บาป คือ ความประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่า ทุจริต ความ ประพฤติชั่วดังกล่าว จะเป็นผลให้เกิดความฉิบหายเดือดร้อนแก่ผู้กระทำ ทำให้สภาพ จิตตกต่ำ ทำให้ชีวิตตกต่ำ บาปมีผลในทางที่ชั่วดังที่กล่าวมา ดังนั้น ผู้ที่สั่งสมบาป คือ ทำบาปบ่อย ๆ ย่อมเป็นการสั่งสมความชั่วให้มีขึ้นเกิดขึ้นในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ บาปมีมากขึ้นเรื่อย ๆเมื่อถึงคราวที่บาปทั้งหลายที่เคยทำมาก่อตัวมากขึ้น จนมีกำลัง แรงพอที่จะให้ผลบาปนั้น ย่อมจะให้ผลในทางที่จะทำให้บุคคลนั้น ต้องประสบกับ ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
วิชา กระทู้ธรรม หมวดกรรม ๑๔ ๔. กัมมวรรค คือ หมวดกรรม ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ต้องศึกษา ๔ หัวข้อ (ข้อสอบอาจจะเลือกมาเป็นกระทู้ ตั้ง) คือ ๑) สุกร สาธุนา สาธุ. คนดีทำดีได้ง่าย ๒) กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก . ทำดีได้ดี ทำชัวได้ชั่ว. ๓) กเรยฺย วากฺย อนุกมฺปกาน . ควรเชื่อฟังคนที่หวังดี มีแนวทางการอธิบาย ดังนี้ สุกร สาธุนา สาธุ. คนดี ท าดีได้ง่าย (คำอ่าน : สุ-กะ-รัง, สา-ทุ-นา, สา-ทุ, ที่มา ขุททกนิกาย อุทาน) คำว่า ทำดีคือ การกระทำที่ทำไปแล้วไม่ก่อโทษ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ตนเองและผู้อื่น มีแต่ประโยชน์ คือเป็นทั้งประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น เป็นไปเพื่อ ประโยชน์ในโลกนี้และในโลกหน้า โดยธรรมดาบุคคลที่เป็นคนดี คือผู้ที่ทำความดีอยู่ เป็นประจำ ย่อมสามารถที่จะทำความดีได้โดยง่าย เพราะเขาทำความดีอยู่ประจำ ทำ จนชิน ทำจนเป็นนิสัย จิตใจย่อมจะยินดีในการสร้างความดีอยู่ตลอด ดังนั้น พึงหมั่น สร้างคุณงามความดีเสียให้ชิน ทำให้เป็นกิจกรรมประจำวัน แล้วเราจะซึมซับความดี นั้นโดยอัตโนมัติสภาพจิตใจของเราจะโอนไปในฝ่ายกุศลโดยอัตโนมัติการทำความดี จะกลายเป็นเรื่องปกติของชีวิตเรา และจะมองเห็นความชั่วว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ยากขึ้น ทุกขณะ จนไม่อยากจะทำความชั่วอีกเลย
วิชา กระทู้ธรรม หมวดกรรม ๑๕ กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก . ท าดีได้ดี ท าชั่วได้ชั่ว. (คำอ่าน : กัน-ละ-ยา-นะ-กา-รี, กัน-ละ-ยา-นัง, ปา-ปะ-กา-รี, จะ, ปา-ปะ-กัง, ที่มา สังยุตต นิกาย สคาถวรรค) การกระทำที่เราได้ทำไว้ทุกอย่าง เรียกว่า กรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือการทำ ชั่ว เราจะต้องได้รับผลของการกระทำหรือผลของกรรมแน่นอน ถ้าเป็นกรรมดี ก็จะให้ผล ในทางที่ดี สร้างความสุขความเจริญให้กับผู้กระทำ แต่ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะให้ผลไป ในทางที่ชั่ว คือสร้างความฉิบหายให้ผู้กระทำ อันเป็นหลักธรรมดาสามัญ เปรียบเสมือนกับ การที่เรามีก้อนหินที่มีผิวขรุขระแหลมคมอยู่ในมือ ถ้าเราแบมือไว้ เราก็จะไม่เจ็บมือ แต่ถ้าเรา กำมือ เราจะเริ่มเจ็บมือเพราะหินก้อนนั้น ยิ่งกำแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น กเรยฺย วากฺย อนุกมฺปกาน . ควรเชื่อฟังคนที่หวังดี (คำอ่าน : กะ-ไร-ยะ, วาก-กะ-ยัง, อะ-นุ-กำ-ปะ-กา-นัง, ที่มา ขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาต) คนที่หวังดี หมายถึง คนที่มีความปรารถนาอยากให้เราพ้นจากทุกข์ อยากให้เราได้ดี อยากให้เราประสบสิ่งที่ดีและไม่คิดร้ายต่อเรา เช่น พ่อแม่ ที่มีแต่ความรักความปรารถนาดี ให้กับเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ครูอาจารย์ ที่คอยอบรมสั่งสอนวิชาให้เรา อยากให้เรามีความรู้มี ความเจริญก้าวหน้า เป็นต้น เมื่อบุคคลเหล่านั้นมีความหวังดีต่อเรา ก็ย่อมแนะนำเราแต่ ในทางที่ดีมีประโยชน์ การทำตามคำแนะนำของบุคคลผู้หวังดีเหล่านั้น ย่อมจะก่อประโยชน์ ให้เราอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมองคนให้ออกด้วยว่าคนที่เขาแนะนำเรานั้น เขามีความจริงใจต่อเราหรือไม่ เขามีความปรารถนาดีต่อเราจริง ๆ หรือไม่ หรือว่าแค่เสแสร้ง แกล้งทำ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า เขามีความจริงใจต่อเราอย่างแท้จริง จึงค่อยทำตามคำของ เขา จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง
วิชา กระทู้ธรรม หมวดโกรธ ๑๖ ๕. โกธวรรค คือ หมวดโกรธ ในหมวดนี้มีพุทธศาสนสุภาษิตที่ต้องศึกษา ๓ หัวข้อ (ข้อสอบอาจจะเลือกมาเป็นกระทู้ ตั้ง) คือ ๑) น หิ สาธุ โกโธ. ความโกรธไม่ดีเลย ๒) อนตฺถชนโน โกโธ. ความโกรธก่อความพินาศ ๓) โกธ ฆตฺวา สุข เสติ. กำจัดความโกรธได้อยู่เป็นสุข มีแนวทางการอธิบาย ดังนี้ น หิ สาธุ โกโธ. ความโกรธไม่ดีเลย (คำอ่าน : นะ, หิ, สา-ทุ, โก-โท, ที่มา ขุททกนิกาย ชาดก ฉักกนิบาต) คำว่า ความโกรธ คือ ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา ทำให้จิตใจของ เราหงุดหงิดและกระวนกระวายหาความสงบมิได้ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น ย่อมสร้าง ความพินาศฉิบหายให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น คนทั้งหลายที่ฆ่ากัน ทำร้ายกัน ทะเลาะกัน เพราะความโกรธเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น หากคิด อยากจะฆ่าอะไรสักอย่างให้ฆ่าความโกรธ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะเมื่อฆ่าความ โกรธเสียได้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปทำกรรมไม่ดีทั้งหลายที่เป็นไปตามอำนาจของความ โกรธ ผลเสียต่าง ๆ นานาที่เป็นผลเสียจากความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะฆ่าความ โกรธได้แล้วนั่นเอง.
วิชา กระทู้ธรรม หมวดโกรธ ๑๗ อนตฺถชนโน โกโธ. ความโกรธก่อความพินาศ (คำอ่าน : อะ-นัด-ถะ-ชะ-นะ-โน, โก-โท, ที่มา อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต) คำว่า ความโกรธ คือ ความขัดเคืองใจ ความหงุดหงิด เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ย่อมทำให้จิตใจร้อนรุ่ม กล้าทำทุกอย่างที่ไม่ควรทำ บดบังปัญญาให้มืดบอดไปชั่วขณะ ขาดความยั้งคิด ไม่พิจารณาถึงความถูกต้องหรือบาปบุญคุณโทษ คนที่ทำร้ายกัน ฆ่า ฟันกัน เบียดเบียนกัน ก็เพราะความโกรธเป็นสาเหตุสำคัญอีกตัวหนึ่ง หากความโกรธ สั่งให้ไปทำร้ายคนอื่นเข้า ก็กลายเป็นความเสียหายแก่ร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วยังเสียหายกับตัวผู้กระทำการเองด้วย ต้องถูกลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ทำให้ ชีวิตพังพินาศเสียหาย หมดสิ้นอนาคต เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วยังต้องชดใช้กรรมใน นรกหรือภพต่อ ๆ ไปอีก โกธ ฆตฺวา สุข เสติ. ก าจัดความโกรธได้อยู่เป็นสุข (คำอ่าน : โก-ทัง, คัด-ตะ-วา, สุ-ขัง, เส-ติ, ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค). ความโกรธ คือ ความขัดเคืองใจ ความหงุดหงิด เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว ย่อมมี ความฉุนเฉียว ร้อนใจ ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยความสบายใจได้ความโกรธจะเผาผลาญ จิตใจให้ต้องร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา และคอยสั่งการให้เราทำตามอำนาจของมัน เช่น เบียดเบียนเข่นฆ่ากันและกัน สร้างความเดือดร้อนฉิบหายให้ตนเองและคนรอบข้าง ผู้ ที่มีความโกรธประจำใจจึงไม่มีความสุข ส่วนผู้ที่กำจัดความโกรธเสียได้ คือฆ่าความ โกรธออกจากจิตใจเสียได้ย่อมไม่มีความร้อนรุ่มกลุ้มใจ ไม่ฉุนเฉียว ไม่ขุ่นเคือง ไม่มี ความหงุดหงิดรำคาญใจอันเป็นผลจากความโกรธ ย่อมใช้ชีวิตด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ได้
วิชา กระทู้ธรรม ๑๘ ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมศึกษา ชั้นตรี ระดับประถมศึกษา แนวทางสอบในสนามหลวง วัน ศุกร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗ สีล รกฺเขยฺย เมธาวี. นักปราชญ์พึงรักษาศีล ที่มา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ..................................... แต่งอธิบายให้สมเหตุสมผล โดยใช้สุภาษิตที่สนามหลวงแผนกธรรม กำหนดมาให้จำนวน ๓ สุภาษิตข้างล่างนี้ มาประกอบอ้างอิงเพียง ๑ สุภาษิต และสุภาษิตที่อ้างมานั้น ควรอธิบายเชื่อมความให้สมกับเรื่อง ในกระทู้ตั้ง ในชั้นนี้กำหนดให้เขียนลงในกระดาษใบตอบตั้งแต่ ๒ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป ............................. ให้เวลา ๓ ชั่วโมง ตัวอย่าง
วาจ มุญฺเจยฺย กลฺยาณึ. บุคคลควรพูดให้ไพเราะ ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปาปาน อกรณ สุข . การไม่ทำบาป นำสุขมาให้. ที่มา ขุททกนิกาย ธรรมบท โกธ ฆตฺวา สุข เสติ. กำจัดความโกรธได้อยู่เป็นสุข ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สุภาษิตที่ก าหนดให้ ตัวอย่าง
แผ่น............. เลขที่............ ประโยคธรรมศึกษาชั้น [✓]ตรี [ ]โท [ ]เอก ช่วงชั้น [✓]ประถม [ ]มัธยม [ ]อุดม วิชา เรียงความแก้กระทู้ธรรม สอบในสนามหลวง วันที่ ....... เดือน ...........................พ.ศ. ............. สีล รกฺเขยฺย เมธาวี ผู้มีปัญญา พึงรักษาศีล บัดนี้จักได้บรรยายขยายความ ตามธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น เพื่อเป็น แนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ ของสาธุชนผู้ใคร่ในธรรมสืบไป อธิบายความว่า
แผ่น.............
แผ่น.............
พระมหาภูมินทร์ จนฺทสาโร PM.Phumin Chandasaro