The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือจำแนกพรรณไม้ปรับปรุง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือจำแนกพรรณไม้ปรับปรุง

คู่มือจำแนกพรรณไม้ปรับปรุง

142 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

รูปวธิ านแยกสกลุ

1. แกนกลางใบย่อยมปี ีก กง่ิ ก้านมหี นาม เกสรเพศผู้มเี กลด็ Harrisonia

1. แกนกลางใบย่อยไม่มปี ีก ก่งิ ก้านไม่มหี นาม เกสรเพศผู้มี หรอื ไม่มีเกลด็

2. มีหใู บ หลดุ ร่วงง่าย เกสรเพศผู้ไม่มเี กลด็ กลบี ดอกขยายขน้ึ เมื่อเปน็ ผล Picrasma

2. มหี ูใบ เกสรเพศผู้มี หรอื ไม่มเี กลด็

3. ใบย่อยไม่มกี ้านใบ หรอื สน้ั มาก ตดิ กบั แกนกลางโดยมีข้อต่อเหน็ ชดั Eurycoma

3. ใบย่อยมีก้าน ก้านใบย่อยยาวอย่างน้อย 2 มม.

4. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเป็น 2 เท่าของกลบี ดอก ช่อดอกแยกแขนง กิง่ ก้านหนา มีรอยแผลเป็นท่ใี บหลดุ ร่วงไป
ขนาดใหญ่ ผลมปี ีก Ailanthus

4. เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากับกลบี ดอก ช่อดอกเป็นกระจกุ แยกแขนง กง่ิ ก้านไม่เหมือนข้างบน ผลเมลด็ แขง็
Brucea

(ดูรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ในหนงั สอื Flora of Thailand Vol. 2(4): 439-447. 1981.)

3. วงศม์ ะเกม้ิ Burseraceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม เปลือกมกั มีชัน (resin) ใบ ส่วนมากเปน็ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ออกเรยี งสลบั
กัน เนอ้ื ใบมจี ดุ ต่อม (glandular punctuate) ดอก เล็ก regular ส่วนมาก unisexual ออกเป็นช่อแบบ raceme หรือ
panicle กลบี เลี้ยงมี 5-3 กลีบดอกมี 5-3 เกสรเพศผู้มักมจี �ำนวนเปน็ 2 เท่าของกลบี ดอก ก้านชอู ับเรณูแยกจากกนั
หรอื เชือ่ มตดิ กนั และตดิ กบั disc รังไข่มี 5-2 ช่อง ช่องหนง่ึ มีไข่ 2 เมลด็ ก้านเกสรเพศเมยี มอี ันเดียวสน้ั ผล แบบ
drupe หรอื capsule เมล็ดไม่มี endosperm

พรรณไม้ในวงศ์นม้ี ีประมาณ 16 สกลุ ส่วนใหญ่มถี ิน่ ก�ำเนดิ ในทวปี อเมรกิ าและแอฟรกิ า ในประเทศไทยมี
อยู่ 5 สกุลด้วยกัน ทเ่ี ป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. มี 3 ชนดิ อยู่ต่างสกลุ กนั คอื มะเกิ้ม หรอื มะกอกเลือ่ ม Canarium
ubulatum Guill. มะแฟน Protium serratum Engl. และ ตะครำ้� หรอื หวดี Garuga pinnata Roxb.

4. วงศเ์ ล่ยี น Meliaceae

ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ใบ ส่วนมากเปน็ ใบประกอบแบบ pinnate เน้อื ใบไม่มีจดุ ต่อม ไม่มีหูใบ ดอก regular,
bisexual ช่อดอกเป็นแบบ cymose panicle กลบี เลยี้ งมี 6-3 กลบี (ส่วนมากมจี �ำนวน 5) บางทเี ชือ่ มติดกันตอนโคน
กลบี เกสรเพศผู้มี 10-8 อัน เชอื่ มติดกนั เป็นหลอดรอบ ๆ ฐานของ disc รังไข่มี 5-3 ช่อง ช่องหน่งึ มไี ข่ 2-1 เมลด็
ก้านเกสรเพศเมยี มีอันเดียว ยอดเกสรเพศเมยี พองโต ผล มกั เป็นผลแห้งแบบ capsule หรอื ผลสดชนิด baccate
เมล็ดมจี �ำนวนน้อย ขนาดใหญ่ มกั มเี ยือ่ หุ้มหรอื มปี ีก มี endosperm หรอื ไม่มี

พรรณไม้ในวงศ์น้ีมปี ระมาณ 50 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชื เขตร้อน ในประเทศไทยมอี ยู่ 15 สกลุ ด้วยกนั ท่เี ปน็
ไม้หวงห้ามประเภท ก. คือ สะเดา Azadirachta indica A. Juss. เลยี่ น Melia azedarach L. กระท้อนป่า Sandoricum
koetjape (Burm. f.) Merr. จันทน์ชะมด Aglaia pyramidata Hance ตาเสือ Aphanamixis polystachya (Wall.) R.N.

143
Parker และ A. cucullata (Roxb.) Pellegr. กดั ลิ้น หรอื ข้ีอ้าย Walsura robusta Roxb. และ W. villosa Wall. ex Wight
& Arn. ตะบนู ด�ำ Xylocarpus moluccensis (Lam.) M. Roem. ตะบนั X. gangeticus Parkinson ยมหนิ หรอื สะเดาหนิ
Chukrasia tabularis A. Juss ยมหอม หรอื สเี สียดอ้ม หรอื สะเดาหนิ Toona ciliate M. Roem.
ไม้ต่างประเทศท่นี �ำมาปลกู กันเป็นไม้รมิ ถนนคอื มะฮอกกานี Swieteria macrophylla King
สกลุ สะเดา Azadirachta และ เล่ยี น Melia มใี บประกอบแบบขนนก 2 หรือ 3 ชั้น ขอบใบจกั เปน็ ฟันเล่อื ย
ผลชนดิ drupe กระท้อน Sandoricum ใบประกอบ 3 ใบ (tri-foliate) ผลอวบน�ำ้ ขนาดใหญ่ ยมหอม Toona และ
ยมหิน Chukrasia ใบประกอบแบบขนนก ผลชนิด capsule ตาเสอื Aphanamixis ใบประกอบแบบขนนก ผลเปลอื ก
หนา แก่จดั แตกออกเปน็ เสี่ยงตามรอยประสาน เมลด็ มเี ยอ่ื หุ้ม ตะบัน และ ตะบูน Xylocarpus ใบประกอบแบบขนนก
ผลเปลือกบาง แก่จัดแตกออกไม่เปน็ ระเบยี บ เมลด็ ไม่มีเยอ่ื หุ้ม
ลักษณะเด่นของพันธุ์ไม้ในวงศ์นก้ี ็คอื โคนก้านใบมกั จะพองใหญ่

5. วงศ์เปล้า Euphorbiaceae sensu stricto

ไม้ล้มลกุ ไม้พุ่ม หรอื ไม้ต้น มักมีนำ้� ยาง ใบ ส่วนมากตดิ เรยี งสลับ มีหูใบ ดอก มขี นาดเล็ก สมมาตรตาม
รศั มี เพศเดียว และมักต่างเพศร่วมต้น ออกเปน็ ช่อแยกแขนง กลีบรวม (perianth) มี 5 เรยี งเป็น 2-1 วง หรือลดรูป
เกสรเพศผู้มี 1 ถึงจ�ำนวนมาก มกั มีจานดอก (disc) รงั ไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมด็ ห้อยหรอื คว�ำ่ (anotropous)
ก้านเกสรเพศเมยี มี 3 ผล มหี ลายแบบ ส่วนมากเป็น 3 พู เมื่อแก่จะแตกตามรอยประสาน มเี มล็ด 6-3 เมล็ดมี
endosperm (ประกอบด้วยวงศ์ย่อย Acalyphoideae วงศ์ย่อย Crotonoideae และวงศ์ย่อย Euphorbioideae)
พชื ในวงศ์นท้ี ว่ั โลกมี 280 สกลุ ในประเทศไทยพบ 87 สกลุ 425 ชนดิ พรรณไม้วงศ์นม้ี คี ณุ ค่าทางเศรษฐกจิ
หลากหลายชนดิ ทางด้านสมนุ ไพร ได้แก่ สกุล เปล้า Croton มหี ลายชนดิ เช่น เปล้าน้อย C. sublyratus Kurz เปล้า
ใหญ่ C. oblongifolius Roxb. ฯลฯ.
สกุล ขันทองพยาบาท Suregada ได้แก่ S. multiflorum (A. Juss.) Baill. สกลุ ลูกใต้ใบ หรอื มะยม Phyllanthus
เช่น ลกู ใต้ใบ หรือ มะขามป้อมดิน P. amarus Schum. & Thonn. พชื อาหาร เช่น มะยม Phyllanthus cidus (L.) Skeels
มะขามป้อม P. emblica L. มะไฟ Baccaurea ramiflora Lour. พืชเกษตร ได้แก่ มนั ส�ำปะหลงั Manihot esculenta Crantz
ละหุ่ง Ricinus communis L. บางชนิดปลกู เป็นไม้ประดับ เช่น คริสต์มาส Euphorbia pulcherrima Willd.
นอกจากน้ยี ังเป็นวัชพืช เช่น น้�ำนมราชสีห์ Euphorbia hirta L. พชื มีพษิ เช่น สลอด Croton tiglium L.
ปัจจบุ ันวงศ์เปล้าในบางวงศ์ย่อย และบางเผ่าได้แยกเปน็ วงศ์ใหม่ ได้แก่ วงศ์มะขามป้อม Phyllanthaceae
เปน็ วงศ์ท่ีมีออวุล 2 เมด็ (ยกระดับจากวงศ์ย่อย Phyllathoideae) วงศ์สองกระดองเต่า Putranjivaceae (ยกระดับจาก
เผ่า Drypeteae) และวงศ์ Picrodendraceae (ยกระดับจากวงศ์ย่อย Oldfieldioideae)

11. อนั ดับ Sapindales

ดอก bisexual หรอื unisexual กลบี ดอกส่วนมากเรยี งซ้อนเหลอ่ื มกนั (imbricate) disc ถ้ามจี ะเชอ่ื มกบั โคน
กลีบเล้ียง เกสรเพศผู้มชี ้นั เดียว จ�ำนวนเท่ากันกับกลบี ดอก หรือสองเท่าของกลบี ดอก เรยี งเปน็ 2 ชัน้ เกสรเพศเมยี
syncarpous มี placenta แบบ axile รงั ไข่ส่วนมาก superior ไข่ห้อยแขวนอยู่ทต่ี อนบน หรอื ตงั้ ตรงท่ฐี านของรงั ไข่
เมลด็ มี endosperm น้อย หรอื ไม่มเี ลย ใบ เดย่ี ว หรือประกอบ ไม่มจี ุดในเนือ้ ใบ

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

144 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช
พรรณไม้ในอนั ดับนม้ี ลี ักษณะคล้ายกนั กบั อนั ดบั Geraniales ลักษณะทีจ่ ะแยกออกจากกันได้ง่าย ๆ ก็คอื
ในอนั ดบั น้เี กสรเพศผู้มีจ�ำนวนจ�ำกัด ไข่ห้อยแขวน ช่อง micropyle อยู่ทางด้านบน
พรรณไม้ในอนั ดับนมี้ อี ยู่ 12 วงศ์ด้วยกนั แต่จะกล่าวถงึ คือ วงศ์ Celastraceae, Sapindaceae และ
Anacardiaceae เท่านน้ั

1. วงศ์สองสลงึ Celastraceae

ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม ใบ เดย่ี ว ออกตรงข้าม หายากท่อี อกเรยี งสลบั ดอก เลก็ regular, bisexual สีเขยี วหรือ
ขาว ออกเป็นช่อแบบ cyme กลีบเลยี้ งมี 5-4 เรียงซ้อนเหล่ือมกัน (imbricate) กลีบดอกมี 5-4 เรียงซ้อนสลับกัน
เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากันกบั กลบี ดอก หายากที่มเี พยี ง 3 อนั ตดิ อยู่ตามขอบของ disc ทมี่ ขี นาดใหญ่ แบนราบ
รังไข่ไม่มีก้านส่ง มี 5-2 ช่อง ช่องหน่งึ มไี ข่ 2 เมล็ด ก้านเกสรเพศเมีย (style) มีอนั เดยี ว ผล ชนิด capsule หรือ
baccate เมลด็ มเี ยอื่ หุ้ม มี endosperm หรอื ไม่มี

พรรณไม้ในวงศ์นม้ี ีประมาณ 90 สกุล พบทั่วไปในโลก ในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกัน 13 สกุล ทีเ่ ป็นไม้หวง
ห้ามมเี พยี งสกุลเดยี ว คือ Lophopetalum มี 3-2 ชนดิ เช่น สองสลึง หรอื ยายปู่ L. duperreanum Pierre เนอื้ เหนยี ว
หรือ พันจลุ ี L. wallichii Kurz และ พวกพร้าว L. javanicum (Zoll.) Turcz.

พรรณไม้ในสกุลน้เี ปน็ ไม้ต้นขนาดใหญ่ พบขึ้นตามป่าดบิ ท่ัว ๆไป ผลชนดิ capsule แก่จัดจะแตกออกเป็น
3 เสี่ยง เมล็ดมปี ีกบางใสทั้งสองด้าน

2. วงศล์ ำ� ใย Sapindaceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม หายากทเี่ ปน็ ไม้เถา ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรยี งสลับ ดอก เลก็ มกั เปน็ ชนดิ unisexual
บางครัง้ zygomorphic กลบี เล้ยี งมี 5-4 กลบี เรียงซ้อนเหล่อี มกัน (imbricate) กลีบดอกมี 5-4 หรอื บางทไี ม่มีเลย
ขนาดไม่เท่ากนั disc มักอยู่ด้านใดด้านหน่งึ (unilateral) เกสรเพศผู้มักมี 8 อนั (หรือ 10-5) รังไข่เรยี บหรอื เป็นพู มกั
มี 3 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียมี 1 ไข่มีจ�ำนวน 2-1 เมลด็ ต่อช่อง ผล เป็นชนิด capsule หรือ drupe เมลด็ มเี ย่ือหุ้ม หรอื
ไม่มี ส่วนมากไม่มี endosperm
พรรณไม้ในวงศ์นีม้ ีประมาณ 130 สกุล ส่วนมากเปน็ พชื เขตร้อนและกง่ึ เขตร้อน ในประเทศไทยมีประมาณ
23 สกุล ที่เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. มอี ยู่ 3 สกลุ คอื ข้หี นอน Zollingeria dongnaiensis Pierre ตะกร้อ Schleichera
oleosa (Lour.) Oken และ คอแลน Nephelium hypoleucum Kurz
พรรณไม้ท่มี ีประโยชน์อ่นื ๆ ให้ผลใช้รับประทานได้ คอื ล�ำไย Dimocarpus longana Lour. ลน้ิ จ่,ี สรี ามัน
Litchi chinensis Sonn. เงาะ Nephelium lappacem L. มะหวด Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. ช�ำมะเลยี ง L.
fruticosa (Roxb.) Leenh. เมลด็ ใช้แทนสบู่ และเปลอื กชัน้ นอกก็ใช้หมกั ท�ำสบู่ได้เหมือนกนั คือ มะซัก Sapindus rarak
DC.

(ดูรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ในหนงั สอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 25: 21-53. 1997.)

145

มะขามป้อม สำ�เภา
Azedirachta indica A. Juss. Chaetocarpus castanocarpus (Roxb.) Thwaites

(Phyllanthaceae) (Peraceae)

เปล้าภูวัว ประคำ�ไก่
Croton poomae Esser Putranjiva roxberghii Wall.

(Euphorbiaceae) (Putranjivaceae)

ภาพที่ 36 คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

146 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช

กฤษณา พวมพร้าว
Aquilaria crassna Pierre ex Lec. Aquilaria malaccensis Lam.

(Thymelaeaceae) (Thymelaeaceae)

ตะแบกนา อินทนิลน้ำ�
Lagerstroemia floribunda Jack Lagerstroemia speciosa (L.) Pers.

(Lythraceae) (Lythraceae)
ภาพที่ 37

147

ตะโกนา พิกลุ
Diospyros rhodocalyx Kurz Mimusops elengi L.

(Ebenaceae) (Sapotaceae)

โมกสยาม หญ้าพันเกลียว
Wrightia siamensis D.J. Middleton Ceropegia thailandica Meve

(Apocynaceae) (Apocynaceae)
ภาพที่ 38
คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

148 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

โกงกางเขา ตะเคียนเฒา่
Fagraea ceilanica Thunb. Fagraea racemosa Jack

(Gentianaceae) (Gentianaaceae)

เข็มดอย เข็มทอง
Ixora javanica (Blume) DC.
Duperrea pavettifolia (Kurz) Pit.
(Rubiaceae)
ภาพที่ 39 (Rubiaceae)

3. วงศม์ ะม่วง Anacardiaceae 149

ไม้ต้น มียาง (resin) ระคายเคืองต่อผวิ หนงั เมอ่ื ถูกอากาศจะกลายเป็นสดี �ำ ใบ ออกเรยี งสลับ หายากที่
ออกตรงข้าม ไม่มหี ใู บ ดอก เลก็ สเี ขยี ว ขาว หรอื ชมพู มัก unisexual ออกเปน็ ช่อ panicle กลบี เลย้ี งและกลีบดอก
จ�ำนวน 5 (หรอื 7-3) มี disc เปน็ รูปวงแหวน เกสรเพศผู้ตดิ อยู่ใต้ฐานของ disc มกั มีจ�ำนวนเป็น 2 เท่าของกลบี ดอก
บางอันเปน็ หมนั เกสรเพศเมยี มี 3-2 อัน รังไข่มี 3-1 ช่อง ช่องหนึง่ มเี มล็ดเดยี ว ก้านเกสรเพศเมยี มี 3-1 น ผล มัก
เปน็ ชนดิ drupe บางทมี ปี ีกที่เกดิ จากกลบี ดอก เมล็ดไม่มี endosperm

พรรณไม้ในวงศ์นม้ี ีประมาณ 60 สกลุ ส่วนใหญ่เปน็ พชื เขตร้อน ในประเทศไทยมี 18 สกลุ เป็นไม้หวงห้าม
10 สกลุ

รูปวิธานแยกสกุล

1. ใบเด่ียวออกตรงข้ามหรอื เรยี งสลบั Bouea
2. ใบออกตรงข้าม ผลอวบนำ�้

2. ใบออกเรยี งสลบั

3. กลบี ดอกร่วงหลดุ ไปไม่เจรญิ เปน็ ปีกรองรบั ผล Semecarpus
4. ก้านผลบวมใหญ่

4. ก้านผลไม่บวมใหญ่ Mangifera
5. รังไข่มีอันเดยี ว ผลใญ่อวบน้�ำ Buchanania
5. รงั ไข่มี 5 อัน แยกจากกัน

3. กลบี ดอกไม่หลุดร่วงและเจรญิ เป็นปีกรองรับผล Gluta
6. กลบี เล้ียงเชื่อมตดิ กัน ผลไม่มกี ้านส่ง Swintonia
6. กลบี เล้ยี งแยกจากกนั ผลมกี ้านส่ง

1. ใบประกอบแบบขนนก ผลอวบน�้ำ

7. เมล็ดมหี ลายช่อง Spondias
8. ล�ำต้นกลม ผลัดใบ เมลด็ ไม่มรี อยทางด้านบน Dracontomelon
8. ล�ำต้นใหญ่มพี พู อน ไม่ผลดั ใบ เมลด็ มรี อยทางด้านบน 5 รอย
7. เมล็ดมชี ่องเดียว Lannea

พรรณไม้ที่เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. คอื มะยง Bouea oppositifolia (Roxb.) Meisn. รกั ขหี้ มู Buchanania
lanzan Spreng. มะม่วงป่า Mangifera caloneura Kurz, M. lagenifera Griff และ M. sylvatica Roxb. มะม่วงหัว
แมลงวัน Buchanania reticulate Hance เปรยี ง Swintonia schwenkii (Teijsm. & Binn.) Teijsm. & Binn. มะกอกป่า

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

150 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช
Spondias pinnata (L.f.) Kurz พระเจ้าห้าพระองค์ Dracontomelon dao (Blanco) Merr. และ กุ๊ก หรอื อ้อยช้าง Lannea
coromandekica (Houtt.) Merr. ส่วนไม้ รักหลวง หรือ รักใหญ่ Gluta usitata (Wll.) Ding Hou และ G. laccifera (Pierre)
Ding Hou น้ันเปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. เน่ืองจากยางใช้ท�ำเครอ่ื งเขิน ลงรักปิดทอง

มะม่วงชนดิ ต่าง ๆ ทป่ี ลูกกนั เป็นผลนน้ั ต่างเป็นพันธ์ุของ Mangifera indica L. มะปราง หรอื มะยงชดิ ที่ปลูก
กันมผี ลใหญ่ คอื Bouea macrophylla Griff. ไม้อกี ชนิดหนึง่ ท่ใี ช้ยางท�ำเคร่อื งเขินได้กค็ อื แกนมอ Rhus succedanea L.

(ดรู ายละเอยี ดเพิ่มเตมิ ในหนงั สอื Thai Forest Bulletin (Botany) No. 22: 1-25. 1994.)

12. อนั ดบั Ebenales

ดอก สมมาตรตามรศั มี (actinomorphic) กลบี ดอกเชอ่ื มตดิ กันเปน็ ท่อ เกสรเพศผู้บางทมี จี �ำนวนมาก ติด
อยู่บนกลบี ดอก หรือเปน็ อิสระ บางทีเรียงสลบั กันกบั staminodes รงั ไข่ superior หรือ inferior มี 8-2 ช่อง placenta
แบบ axile เมล็ดมี endosperm มาก

พรรณพชื ในอันดับน้มี ี 4 วงศ์ด้วยกัน จะกล่าวถงึ เพียง 3 วงศ์เท่านน้ั คอื Sapotaceae, Ebenaceae และ
Styraceae

1. วงศล์ ะมดุ Sapotaceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม มีนำ้� ยางสขี าวเหมือนน้ำ� นม ใบเดี่ยว ขอบใบมักเรยี บ ดอกสมบูรณ์เพศ (bisexual)
สมมาตรตามรัศมี (regular) ออกเป็นช่อแบบแยกแขนง (panicle) หรือเป็นกระจุก (cyme) หายากทอ่ี อกเด่ียว ๆ กลบี
เลีย้ ง 8-4 มชี ั้นเดยี วหรอื 2 ชนั้ ท่อกลีบดอกสนั้ จ�ำนวนแฉกกลบี เท่ากบั กลบี เล้ยี ง เกสรเพศผู้ตดิ อยู่บนกลบี ดอก
มักจะเรยี งเป็น 2 หรอื 3 ชน้ั ชน้ั ในสดุ เป็นเกสรท่สี ืบพนั ธุ์ได้ ชน้ั นอกเป็นเกสรท่เี ปน็ หมัน หรอื ไม่มี รงั ไข่เหนอื วงกลีบ
(superior) มี 10-4 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมล็ดเดยี ว placenta แบบ axile ก้านเกสรเพศเมยี (style) มีอันเดียว ผล สด
ชนิด berry

พรรณไม้ในวงศ์นม้ี ีประมาณ 40 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชื เขตร้อน ในประเทศไทยมดี ้วยกนั 9 สกุล เปน็ ไม้
หวงห้ามอยู่ 6 สกลุ

รูปวิธานแยกสกลุ

1. กลบี เลยี้ งมี 5 กลบี เรยี งเปน็ ชน้ั เดยี ว กลบี ดอกมี 5 กลบี

2. ใบมเี ส้นใบขนานกนั ถ่ี ท้องใบมกั มขี นสีนำ�้ ตาลแดง Donella

2. ใบไม่เมอื นข้างบน Planchonella

1. กลีบเลยี้ งมี 8-4 กลีบ เรยี งเป็น 2 ชนั้ ชนั้ นอกเรยี งจรดกนั (valvate) ชัน้ ในเรยี งซ้อนเหลอ่ื มกัน (imbricate)
กลบี ดอกมีจ�ำนวนมาก

3. กลีบเล้ยี งมี 4 กลีบ เรียงป็น 2 ชั้น

4. ใบมเี ส้นใบแบบขนนกแยกจากเส้นกลางใบ Mahuca

4. ใบมเี ส้นใบขนานกบั เส้นกลางใบ Payena

3. กลบี เลย้ี งมี 6 กลบี เรยี งเปน็ 2 ชัน้ 151

5. เกสรเพศผู้เปน็ หมนั (staminodes) มี 6 รงั ไข่มี 7 ช่อง หรอื มากกว่า Manilkara

5. ไม่มเี กสรเพศผู้เป็นหมนั (staminodes) รังไข่มี 6 ช่อง Palaquium

พรรณไม้ท่เี ป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. คือ ข้ีผ้งึ Donella lanceolata (Blume) Aubreville โพอาศัย หรอื งาไซ
Planchonella obovata Pierre มะซาง Madhuca pierrei H.J. Lam พิกุลเถ่อื น Payena lucida A.DC. และ เกด
Manilkxantra hexandra Dubard

ส่วน ขนุนนก Palaquium obovatum (Griff.) Engler นน้ั เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. เพ่อื สงวนไว้สับเอายาง
ทเ่ี รียกทางการค้าว่า Gutta percha ใช้หุ้มสายโทรเลขใต้น้�ำ

พรรณไม้ทม่ี ีประโยชน์ชนดิ อ่นื ๆ ในวงศ์น้มี ี ละมดุ Manikaraachras (Mill.) Fosberg ทีป่ ลกู เป็นไม้ผล ละมุด
สีดา Madhuca grandiflora Fletcher และ M. esculenta Fletcher เป็นพรรณไม้พน้ื บ้านเรา พกิ ลุ Mimusops elegi L.
เป็นไม้พื้นเมอื งของประเทศอนิ เดีย ปลกู กันตามวดั ท่วั ๆไปต้นไคนโิ ต หรอื Star-apple คอื Chrysophyllum cainito L.
ได้มีผู้น�ำมาปลกู กันบ้างเป็นไม้ผล แต่ไม่นยิ มรบั ประทานกัน

2. วงศ์มะพลบั Ebenaceae

ไม้ต้น หรือไม้พุ่ม เปลือกมักมสี ดี �ำ ใบ เด่ียว ขอบเรยี บ มักตดิ เรยี งสลับ ดอก เพศเดียว (unisexual) ออก
เดี่ยว ๆ หรือเปน็ ช่อกระจกุ แน่น (cyme) ดอกมจี �ำนวนน้อย กลีบเลย้ี งมี 5-3 กลีบ และมักจะบิดเวยี นตามกนั เม่อื
บานเตม็ ที่ เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากับกลบี ดอก หรอื มากกว่าเปน็ 3-2 เท่า แยกจากกันหรอื เชอ่ื มกนั เปน็ กลุ่ม รังไข่
superior มี 5-3 ช่องหรอื มากกว่า แต่ละช่องมไี ข่ 2-1 เมล็ด ผล สดชนดิ berry เปลือกหนาหรืออวบน�้ำ มเี มลด็ เดยี ว
หรอื หลายเมลด็ เมลด็ มี endosperm ย่นเป็นร่อง

พรรณพชื ในวงศ์นม้ี ี 5 สกลุ เปน็ พชื ในเขตร้อนหรอื กง่ึ เขตร้อน ในประเทศไทยมอี ยู่เพยี งสกุลเดยี ว คอื
Diospyros เป็นไม้หวงห้ามเกือบทุกชนิด มะเกลือ Diospyros mollis Griff. เปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ข. เพราะเน้ือไม้
สีด�ำเปน็ ทต่ี ้องการของท้องตลาดมาก ส่วนผลใช้ย้อมผ้าด�ำสไี ม่ตก นอกจากน้ันยังใช้เป็นยาถ่ายพยาธไิ ด้เป็นอย่างดี
พันธุ์ต่างประเทศท่ปี ลูกกันเปน็ ไม้ผลมี พลับ Diospyros kaki L.f.

(ดรู ายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ในหนงั สือ Flora of Thailand Vol. 2(4): 281-392. 1981.)

3. วงศก์ ำ� ยาน Styracaceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม ใบ เด่ยี ว ตดิ เรยี งสลบั กัน มกั มขี นเปน็ กระจุกหรอื สะเกด็ ปกคลุม ดอก bisexual ออกเป็น
ช่อชนดิ raceme หรอื panicle กลบี เลย้ี งเช่อื มตดิ กนั เปน็ รูประฆัง ปลายมี 5 แฉก หลอดกลีบดอกมักจะสนั้ 6-5 กลีบ
แต่ละกลีบขอบขนาน รังไข่ superior มี 5-3 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมลด็ เดียว หรอื สองสามเมลด็ ก้านเกสรเพศเมียรปู
ลม่ิ แคบ ผล สดชนดิ drupe เมล็ดไม่มี endosperm

พรรณพชื ในสกุลน้ีมีประมาณ 10 สกุล ส่วนใหญ่เป็นพชื เขตอบอุ่นของโลก ในประเทศไทยมอี ยู่ด้วยกนั
2 สกุล สกลุ Styrax ชนิดทีเ่ ปน็ ไม้ต้น เป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. เพื่อสงวนไว้สับเอายางที่เรียกกนั ว่า ก�ำยาน คือ
ก�ำยาน S. benzoin Dryander ก�ำมะแย S. betongensis Fletcher ก�ำยาน หรือ สะดาน S. benzoides Craib พรรณไม้ใน
สกลุ นี้มักจะมี gall ทแ่ี มลงจ�ำพวก Diptera มาวางไข่ เกิดเป็นรปู ลักษณะต่าง ๆ พออาศยั ใช้เปน็ หลักแยกชนดิ ได้บ้าง

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

152 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช

13. อันดบั Gentianales

ดอก แบบ actinomorphic กลีบดอกเชื่อมตดิ กัน กลีบบิดเวยี นตามกนั (convolute) เกสรเพศผู้ตดิ อยู่กบั
หลอดกลบี ดอก สลับกนั กับแฉกกลบี ดอก หายากท่เี ชือ่ มติดกับเกสรเพศเมยี ทท่ี �ำให้เกดิ ส่วนทเ่ี รียกว่า gynostegium
ขึ้น รังไข่ superior มี 2 คาร์เพล มชี ่องเดียวหรอื 2 ช่อง เมลด็ มักมี endosperm, embryo เหยยี ดตรง

พรรณพืชในอันดบั น้ลี ้วนแต่มกี ลบี ดอกทบ่ี ดิ เวียนตามกนั ต่ามีเกสรเพศเมีย 2 อนั และรังไข่ superior มีอยู่
ด้วยกนั 5 วงศ์ จะไดกล่าวถงึ 2 วงศ์ คอื Loganiaceae และ Apocynaceae เท่านนั้

1. วงศก์ นั เกรา Loganiaceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม หายากท่ีเป็นไม้ล้มลกุ ใบ เดีย่ ว ตดิ ตรงข้าม หรอื เปน็ วงรอบก่งิ หูใบมกั อยู่ตรงกลาง
ระหว่างใบทงั้ สอง ดอก สมบูรณ์เพศ (bisexual) สมมาตรตามรศั มี (regular) ออกเปน็ ช่อชนดิ ซร่ี ่ม (umbel) หรอื
ช่อกระจกุ แน่นแตกแขนง (paniculate cyme) กลบี เลย้ี งมี 5-4 กลบี กลบี ดอกเปน็ ท่อหรอื ระฆงั ปลายแยกเปน็
5-4 กลบี เกสรเพศผู้มี 5-4 ติดอยู่บนท่อกลีบดอก รังไข่ superior หรอื half-inferior มี 2 ช่อง ไข่มีจ�ำนวนมากตดิ อยู่
บน placenta แบบ axile ก้านเกสรเพศเมยี (style) มอี ันเดยี ว ผล สดชนดิ berry หรอื ผลแห้งชนดิ capsule เมลด็ มี
endosperm

พรรณพชื ในวงศ์น้มี มี ากกว่า 30 สกุล เป็นพืชเขตอบอุ่น และเขตร้อนของโลก ในประเทศไทยมอี ยู่ 8 สกลุ
ทีเ่ ป็นไม้หวงห้ามมี 2 สกุล

สกลุ Fagraea คือ ต�ำเสา กันเกรา หรอื มันปลา F. fragrans Roxb. พบข้นึ ตามป่าดิบทัว่ ไปและท่ี ๆมีนำ้� ขงั

สกลุ Strychnos คอื แสลงใจ S. nux-vornica L. พบข้นึ ทัว่ ๆ ไปตามป่าเต็งรัง

(ดูรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ ในหนังสอื Flora of Thailand Vol. 6(3): 197-225. 1997.)

2. วงศล์ ัน่ ทม Apocynaceae

ไม้ต้น หรอื ไม้พุ่ม หรอื ไม้เถา หายากท่เี ปน็ ไม้ล้มลุก มีน้�ำยาง ใบเด่ียว มักออกตรงข้ามกนั หรอื เปน็ วงรอบ
ก่งิ ดอก สมบรู ณ์เพศ (bisexual) สมมาตรตามรศั มี (regular) ออกเป็นช่อกระจกุ (cyme) ธรรมดา หรือชนดิ
corymbose cyme ท่อกลีบเลยี้ งสั้นปลายมี 5 กลบี เกสรเพศผู้มักมตี ่อม ท่อกลบี ดอกมักยาว และเป็นรปู กรวยแคบ
ปลายมี 5 กลบี บดิ เวียนตามกัน เกสรเพศผู้มี 5 อนั ตดิ อยู่บนกลบี ดอก อบั เรณรู ูปขอบขนาน แยกหรอื เชอ่ื มประสาน
กัน เกสรเพศเมยี มี 2 อนั รงั ไข่มี 2 คาร์เพล ทัง้ สองแยกหรือประสานตดิ กนั ตรงโคน มีก้านเกสรเพศเมยี อันเดยี ว
รังไข่ส่วนมาก superior ผล เปน็ ฝักชนดิ แตกตามแนวเดยี ว (follicles) เปน็ พวงคู่หน่งึ หรือแบบ drupe หรอื capsule

พรรณพืชในวงศ์น้มี กี ว่า 300 สกุล ส่วนใหญ่อยู่ในเขตร้อน ในประเทศไทยมปี ระมาณ 42 สกุล 126 ชนดิ
ที่เปน็ ไม้หวงห้ามมดี ้วยกัน 4 สกลุ คอื Alstonia, Dyera, Holarrhena และ Wrightia

รูปวิธานแยกสกุล

1. ใบตดิ เปน็ วงรอบกงิ่

2. ผลผวิ บาง ยาวเรียว ประมาณ 20 เท่าของความกว้าง ห้อยลง โคนต้นมพี พู อน Alstonia

2. ผลผวิ หนาแขง็ ยาวประมาณ 10 เท่าของความกว้าง ตงั้ ขึ้น โคนต้นไม่มพี พู อน 153
Dyera

1. ใบตดิ ตรงข้าม

3. เกสรเพศผู้โผล่พ้นท่อกลบี ดอก ผลผวิ หนา รปู กระสวยยาว Wrightia

3. เกสรเพศผู้ไม่โผล่พ้นท่อกลบี ดอก ผลผวิ บาง รูปเรยี ว Holarrhena

สกลุ Alsonia, Wrightia และ Holarrhena เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ได้แก่ ตนี เป็ด หรอื สตั บรรณ Alstonia
scholaris (L.) R. Br. ตีนเปด็ พรุ หรอื เทยี ะ A. spathulata Blume ซ่ึงเปน็ ไม้เบาทส่ี ดุ ของประเทศไทย โมกมัน
Wrightia tomentosa Roem. & Schult. โมกหลวง Holarrhena antidysenteria Wall. ส่วนสกลุ Dyera นน้ั เปน็ ไม้หวง
ห้ามประเภท ข. เพื่อสงวนเอาไว้สบั เอายางท�ำหมากฝร่งั คือ ตีนเปด็ แดง หรือ เยลตู ง Dyera costulata (Miq.) Hook.f.

พรรณพืชในวงศ์น้มี จี �ำนวนมากเปน็ พชื สมนุ ไพร ท่ใี ช้ผล เช่น ชะลดู Alyxia reinwardtii Blume ใช้ราก เช่น
ระย่อม Rauvolfia serpentina (L.) Benth. ex Kurz ใช้เปลือก เช่น โมกหลวง Holarrhena antidysenteria Wall. เป็นต้น
นอกจากน้ไี ด้น�ำเอามาปลูกเป็นไม้ประดบั มี บานบรุ ีเหลือง Allamanda cathartica L. ชวนชม Adenium obesum
(Forsk.) Roem. & Schult แพงพวยฝรั่ง Catharanthus roseus (L.) G. Don ยโ่ี ถ Nerium oleander L. ร�ำเพย Thevetia
peruviana (Pers) K. Schum. หนามแดง Carissa carandus L. ล่นั ทมขาว Plumeria obtuse L. ล่นั ทมแดง P. rubra L.
พุดฝร่งั Tabernaemontana divaricata (L.) R. Br. ex Roem. & Schult และหิรญั ญิการ์ Beaumontia multiflora Teijsm.
& Binn. เปน็ ต้น

14. อันดบั Rubiales

ดอก actionmorphic หรือบางที zygomorphic กลบี ดอกเชอ่ื มตดิ กนั เกสรเพศผู้มจี �ำนวนเท่ากบั กลีบดอก
อบั เรณเู ปน็ อสิ ระ แตกตามยาว เกสรเพศเมยี ชนดิ syncarpous รงั ไข่ inferior ช่องหนง่ึ มีไข่เมล็ดเดียว หรอื จ�ำนวน
มาก placenta ชนิด axile ก้านเกสรเพศเมยี มอี ันเดยี ว เมล็ดส่วนมากมี endosperm ใบตดิ ตรงข้าม หใู บถ้ามีจะอยู่
ระหว่างก้านใบทง้ั สอง (interpetiolar stipules)

พรรณไม้ในอันดบั นม้ี ดี ้วยกนั 2 วงศ์ จะกล่าวถงึ เพยี งวงศ์เดยี ว คอื Rubiaceae

1. วงศ์เขม็ Ribiaceae

ไม้พุ่ม ไม้ต้น หรือ ไม้เถา ใบ เด่ยี ว ตดิ ตรงข้าม ขอบเรียบ หูใบชนิด interpetiolar เห็นชดั ดอก สมบูรณ์เพศ
(bisexual) สมมาตรตามรศั มี (regular) มชี ัน้ ละ 5-4 กลบี ออกเปน็ ช่อกระจกุ แน่น (cyme) ธรรมดา หรอื เป็นช่อแยก
แขนง ท่อกลบี เล้ียงเชอ่ื มติดกับรงั ไข่ ท่อกลีบดอกสน้ั หรอื ยาว ปลายมี 5-4 กลบี เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนเท่ากนั และติด
เรยี งสลับกับกลบี ดอก รงั ไข่ inferior มักมี 2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่เมล็ดเดยี ว หรอื จ�ำนวนมากตดิ อยู่บน placenta ชนดิ
axile ก้านเกสรเพศเมยี มอี นั เดียว ผล ชนดิ capsule, baccate หรอื drupe, embryo ใหญ่ มี endosperm มาก

พรรณพชื ในวงศ์น้มี ีประมาณ 400 สกลุ ส่วนใหญ่เปน็ พชื เขตร้อนและกงึ่ เขตร้อน ในประเทศไทยมี
ประมาณ 69 สกลุ ทเี่ ปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. คือ สกลุ ก้านเหลอื ง Nauclea สกุล กระทุ่ม Anthocephalus
สกุล กว้าว Haldina สกลุ ตุ้มกว้าว Mitragyna สกุล ส้มกบ หรอื อโุ ลก Hymenodictyon สกลุ พดุ Gardenia และ
สกุล ยอ Morinda

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

154 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุ์พืช

รปู วิธานแยกสกลุ

1. ดอกอยู่ชดิ ตดิ กันเป็นก้อนกลม หรือกลมเบย้ี ว ๆ อยู่ตามปลายกิง่ หรอื ง่ามใบ ท่อกลบี เลยี้ งแยกจากกนั หรอื เชื่อม
ติดกัน ผลผวิ แห้ง หรอื เช่ือมตดิ กนั อวบนำ�้

2. ก้านดอกกลมเบ้ยี ว ๆท่อกลบี เล้ียงเชอ่ื มติดกนั สนทิ โดยตลอด ผลอวบน้ำ� Morinda

2. ก้อนดอกกลม ท่อกลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กนั หรอื อยู่ชดิ กัน หรอื แยกจากกนั เมื่อเปน็ ผลจะเช่ือมตดิ กัน หรอื เพียงอยู่
ชดิ กนั หรอื แยกจากกนั

3. ท่อกลบี เลยี้ งเชอ่ื มตดิ กนั หรอื อยู่ชิดกัน ไม่มใี บประดบั ย่อย (bractlets)

4. ท่อกลบี เล้ียงเชอ่ื มตดิ กัน ผลคาร์เพลเชอ่ื มตดิ กัน อวบน้�ำ Nauclea

4. ท่อกลบี เลี้ยงอยู่ชดิ กัน ผลรปู กรวยคว�่ำ มี 2 ช่อง แต่แบ่งออกเป็น 4 ตงั้ แต่ส่วนบนลงไป ผวิ แขง็
Anthocephalus

3. ท่อกลบี เล้ยี งแยกจากกัน มใี บประดบั ย่อย (bractlets)

5. ช่อดอกเปน็ ก้อนเดย่ี ว ๆ หรือถ้าเปน็ ช่อชนิด panicle ไม่มใี บประดบั (bracts) รองรับ ยอดเกสรเพศเมยี เป็นรปู
กระบอง

5. ช่อดอกเปน็ ชนิด panicle มใี บประดบั (bracts) รองรบั ปลายเกสรเพศเมยี เปน็ รูปคล้ายฝาชี Mitragyna

1. ดอกเป็นช่อธรรมดาไม่ชดิ ตดิ กนั เป็นก้อน หรอื ออกเด่ยี ว ๆ

2. ดอกเปน็ ช่อมใี บประดับ (bracts) ใหญ่รองรับ ก้านใบประดับยาวไม่หลุดร่วง แต่ขยายตัวใหญ่ขน้ึ เมอ่ื เป็นผล
ผลชนดิ capsule Hymenodictyon

2. ดอกออกเดย่ี ว ๆ หลอดกลบี ดอกยาว หใู บเช่อื มติดกนั หุ้มยอดอ่อนมดิ และมชี ันเคลอื บฉาบอยู่
ผลชนดิ baccate Gardenia

พรรณไม้หวงห้าม คอื ยอป่า Morinda coreia Ham. และ M. elliptica Ridl. ก้านเหลอื ง Nauclea orientalis
L. กระทุ่มนำ�้ หรอื ตะโกส้ม Anthocephalus chinensis (Lamk.) A. Rich. ex Walp. กว้าว Haldina cordifolia (Roxb.)
Ridsdale กระท่อมหมู Mitragyna brunonis (Wall. ex D. Don) Craib อุโลก หรอื ส้มกบ Hymenodictyon excelsum
Wall. พุด หรอื ข่อยด่าน Gardenia collinsae Craib

พรรณไม้ท่นี �ำมาปลูกเป็นไม้ประดบั พดุ ซ้อน Gardenia angusta (L.) Merr. ดอนย่าขาว Mussaenda philippica
A. Rich. var. aurorae Sulit ดอนย่าแดง M. erythrophylla Schum. & Thonn. เข้ียวกระแต Paracoffea merguensis (Ridl.)
Le Roy เข็มอนิ เดยี Pentas lanceolata (Forssk.) Deflers และเข็มต่าง ๆ Ixora spp.

ชนดิ ท่ีเป็นสมนุ ไพรมี ควนิ นิ Cinchona ledgeriana Moens. และ C. succirubra Pav. ex Klotzsch ท่ีเปน็ พชื
บริโภค ก็มี กาแฟ Coffea arabica L. และ C. canephora Pierre ex Frohner (robusta หรือ congo coffee) ส่วนพชื ใน
สกลุ เกยี วโซ้ Uncaria มักจะมนี ้ำ� ฝาดสงู ใช้ในการฟอกหนงั ชนดิ ดี

(ดรู ายละเอยี ดเพิ่มเตมิ ในหนงั สอื Thai Forest Bulletin (Botany), No. 9: 15-55. 1975.)

15. อนั ดบั Tubiflorae 155

ดอก เป็น actinomorphic ถงึ zygomorphic กลีบดอกเชือ่ มตดิ กัน เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนเท่ากันและตดิ เรียง
สลบั กนั กบั กลบี ดอก หรือไม่กล็ ดจ�ำนวนลงเหลอื เพยี ง 4 หรอื 2 อันมักจะตดิ อยู่กบั กลีบดอก รังไข่ superior
ส่วนมากมี 2 ช่อง บางทีหยักลกึ ก้านเกสรเพศเมีย (style) เป็นชนิด gynobasic ไข่มจี �ำนวนมาก หรอื มจี �ำนวนเพยี ง
เมลด็ เดียวหรอื สองเมล็ด placenta ชนิด axile, parietal หรือ basal ส่วนมากเปน็ พชื ล้มลกุ ที่เป็นไม้ต้นมีจ�ำนวนน้อย

อันดับน้นี บั ว่าเป็นอันดับใหญ่ มพี รรณพืชรวมอยู่ด้วยกัน 13 วงศ์ จะกล่าวถงึ แต่วงศ์ทีส่ �ำคัญคือ
Acanthaceae, Bignoniaceae และ Verbenaceae เท่านน้ั

1. วงศ์เหงอื กปลาหมอ Acanthaceae

ไม้ล้มลกุ หรอื ไม้พุ่ม ใบ เด่ียว ตดิ ตรงข้าม ไม่มหี ูใบ ดอก สมบรู ณ์เพศ (bisexual) สมมาตรด้านข้าง
(irregular) ออกเป็นช่อแบบ raceme หรอื panicle กลีบเล้ียงและกลบี ดอกมอี ย่างละ 5 กลีบ ปลายแยกเป็นซ่ฟี ัน
หรอื เป็นพู กลบี ดอกจะแยกเปน็ 2 ปาก เกสรเพศผู้มี 4 หรอื 2 อยู่บนกลีบดอก รงั ไข่มี 2 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ตงั้ แต่
2 ถึงหลายเมล็ด ตดิ อยู่บน placenta ชนดิ axile ผล capsule มกั แตกจากปลายลงไป เมลด็ มกั มขี อ

พรรณพชื ในวงศ์น้มี ปี ระมาณ 240 สกุล พบในเขตร้อนและกง่ึ เขตร้อน ในประเทศไทยมปี ระมาณ 40 สกลุ
มหี ลายชนิดทเ่ี ป็นไม้ป่าของไทย เช่น ห้อมช้าง Phlogacanthus curviflorus Nees ออกดอกเปน็ ช่อตง้ั สสี ้มแดง พบใน
ป่าดิบช้ืน เหงอื กปลาหมอ Acanthus ebracteaus Vahl ดอกสขี าว หรือ ม่วงแดง พบตามที่ลุ่มรมิ แม่น้�ำล�ำคลอง
บรเิ วณน้ำ� กร่อย และป่าชายเลน องั กาบ Barleria cristata L. พบข้นึ ตามป่าดิบ ป่าเต็งรงั หวั ไร่ปลายนา

นอกจากนีย้ ังน�ำมาปลกู เปน็ ไม้ประดบั เช่น เขม็ ม่วง Eranthemum wattii Stapf บาหยา Asystasia gangetica
(L.) Anders. ตรชี วา Justicia betonica L. ท่ีเป็นสมุนไพร เช่น เสลดพงั พอน Barleria lupulina Lindl. ทองพันชงั่
Rhinacanthus nasutus (L.) Kutz พญาปล้องทอง Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau

2. วงศ์แคหางค่าง Bignoniaceae

ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรอื ไม้เถา ใบ ติดตรงข้าม ส่วนมากเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ (digitate) หรือใบประกอบ
แบบขนนก (pinnate) 2-3 ช้ัน บางทปี ลายใบแปรสภาพเป็นมอื พนั (tendril) ไม่มีหูใบ ดอก เปน็ ช่อแบบ raceme,
panicle หรอื corymb ดอก bisexual, zygomorphic กลบี เลีย้ งเชอ่ื มตดิ กนั เป็นรูประฆัง ปลายมี 5 แฉก หรอื 2 แฉก
บางทีก็เปน็ กาบ (spathaceous) กลบี ดอกมี 5 กลบี เช่อื มตดิ กบั กลบี บน 2 กลีบ แยกออกเปน็ ส่วนหน่งึ จาก 3 กลบี
ล่าง กลบี ดอกเรยี งซ้อนเหล่อื มกัน เกสรเพศผู้มี 5 อนั ตดิ อยู่กบั ท่อกลบี ดอก หายากทสี่ มบรู ณ์ทัง้ 5 อนั มกั จะมี
4 อัน สองอนั ยาว สองอันสนั้ (didynamous) อับเรณูมี 2 เซลล์ แตกออกตามยาว เกสรเพศผู้อนั ท่ี 5 มกั จะลดขนาด
ลงหรือหายไปเลย จานดอก (disc) เป็นต่อม รงั ไข่ superior มี 2 ช่อง หรอื ช่องเดยี ว placenta แบบ parietal ไข่มี
จ�ำนวนมาก ก้านเกสรเพศเมยี (style) มี 2 แฉก ผล ชนดิ capsule แตกเปน็ 2 ซีก เมลด็ แบนบางมปี ีก หรอื อวบน้�ำ
เมล็ดไม่มปี ีกฝงั ตวั อยู่ในเน้อื ผล เมล็ดไม่มี endosperm, embryo เหยยี ดตรง

พรรณพืชในวงศ์นม้ี มี ากกว่า 100 สกลุ ส่วนใหญ่เปน็ พชื แถบอเมรกิ าเขตร้อน ในประเทศไทยพบ 12 สกลุ
จ�ำนวน 23 ชนดิ ทีเ่ ป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. คือ สกลุ แคขาว Dolichandrone สกลุ แคทราย หรอื แคฝอย
Stereospermum สกลุ แคหางค่าง Fernandoa และ สกุล แคหวั หมู Markhamia

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

156 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

รูปวิธานแยกสกลุ

1. ใบย่อยขอบเรยี บ ดอกสขี าว เปน็ รูปกรวย กลบี ยับย่น ยาวถงึ 18 ซม. Dolichandrone

1. ใบย่อยขอบจัก ดอกสีม่วงอ่อน หรอื เหลืองแกมน้�ำตาล

2. ดอกสมี ่วงอ่อน กลีบยับย่น เป็นรูปกรวย ยาวถงึ 6 ซม. ผลเกลย้ี งกลมยาว Stereospermum

2. ดอกสเี หลอื งแกมน�้ำตาล ท่อกลบี ดอกมีกระพุ้งด้านข้าง

3. ผลมขี นนุ่ม ค่อนข้างแบนโค้ง ๆ Markhamia

3. ผลมขี นสัน้ ๆ กลม มรี ่องตามยาว บดิ Fernandoa

ไม้หวงห้ามในวงศ์นี้คอื แคขาว หรอื แคนา Dolichandrone spathacea (L.f.) K. Schum แคฝอย Stereospermum
cylindricum Pierre ex G. Don แคหวั หมู Markhamia stipulate (Wall.) Seem ex K. Schum. var. stipulate และ แค
หางค่าง Fernandoa adenophyllum (Wall. ex G. Don) Steenis

พรรณไม้ในวงศ์น้สี ่วนมากมดี อกใหญ่สวยนิยมน�ำมาปลูกเปน็ ไม้ประดบั หลายชนดิ คือ พวงแสด Pyrostegia
venusta (Ker) Miers กระเทยี บมเถา Pachyptera hymenaea (DC.) A. Gentry แคแสด Spathodea camoanulata
Beauv. ทองอุไร Tecoma stans (L.) H.B.K. น้�ำเต้าญี่ปุ่น Crescentia cujete L. ตนี เปด็ ฝรัง่ Crescentia alata H.B.K.
ศรตี รงั Jacaranda mimosifolia D. Don และชมพูพนั ธ์ทิพย์ หรอื ธรรมบชู า Tabebuia rosea (Bertol.) DC. เป็นต้น
พนั ธ์ุไม้เหล่านล้ี ้วนเป็นไม้ต่างประเทศ ส�ำหรบั พันธ์ุไม้ไทยท่ปี ลกู กันบ้างมี ปีบ Millingtonia hortensis L.f. ส่วน เพกา
หรือ มะรดิ ไม้ Oroxylum indicum (L.) Kurz ปลูกกนั ตามชนบทเพอ่ื ใช้ฝกั อ่อนรบั ประทานเป็นผัก

(ดูรายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในหนงั สอื Flora of Thailand Vol. 5(1): 32-66. 1987.)

3. วงศ์สกั Lamiaceae (Labiatae)

ไม้ต้น หรือไม้ล้มลกุ ก่งิ มักเป็นสเี่ หลย่ี ม ใบ เดี่ยว หรอื ใบประกอบ ติดตรงข้าม หรือเรียงเป็นวงรอบกง่ิ ไม่มี
หใู บ ช่อดอกหลายแบบ ชนิด cyme, spike corymb หรอื thryse ดอก zygomorphic, bisexual มีชนั้ ละ 5-4 กลบี เลยี้ ง
เชือ่ มติดกัน และมักเจรญิ ขยายใหญ่เมอ่ื เป็นผล มี 5-4 กลบี กลบี ดอกเช่ือมติดกัน มี 5-4 กลีบ เกสรเพศผู้ตดิ อยู่กับ
ท่อกลีบดอก มักมี 4 อัน didynamous บางทมี ีเพยี ง 2 อนั หายากทีม่ ี 5 อนั (สกุล Tectona) อบั เรณูมี 2 ช่อง แตก
ตามยาว รังไข่ superior มี 8-2 ช่อง ส่วนใหญ่มี 4 ช่อง ก้านเกสรเพศเมยี มีอันเดียว แต่ละช่องมีไข่ 2-1 เมล็ดต่อช่อง
ผล ชนดิ drupe หรอื berry เมล็ดไม่มี endosperm, embryo ตง้ั ตรง

พรรณพืชในวงศ์นม้ี ีประมาณ 100 สกลุ ส่วนใหญ่เป็นพชื เขตร้อนและกง่ึ เขตร้อน ในประเทศไทยมปี ระมาณ
20 สกุล ทป่ี ระกาศเปน็ ไม้หวงห้ามประเภท ก. มีสกลุ สัก Tectona สกลุ ตนี นก Vitex สกลุ ซ้อ Gmelina สกลุ
สกั ขีไ้ ก่ Premna โดยบางสกลุ ของวงศ์ Verbenaceae ได้ย้ายมาอยู่วงศ์ Lamiaceae

157

พุดหอมไทย ก้านเหลือง
Rothmannia thailandica Tirveng. Nauclea orientalis (L.) L.

(Rubiaceae) (Rubiaceae)

กะอวม มะนาวผี
Acronychia pedunculata (L.) Miq. Atalantia monophylla (L.) DC.

(Rutaceae) (Rutaceae)
ภาพที่ 40
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

158 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

ระฆงั ทอง ปีบทอง
Pauldopia ghorta (Buch.-Ham. ex G. Don) Radermachera hainanensis Merr.

(Bignoniaceae) (Bignoniaceae)

แคทะเล ศรีตรัง
Dolichandrone spathacea (L.f.) K. Schum. Jacaranda obtusifolia Bonpl.

(Bignoniaceae) (Bignoniaceae)
ภาพท่ี 41

159

ซ้อ ผา่ เสี้ยน
Gmelina arborea Roxb. Vitex canescens Kurz

(Lamiaceae) (Lamiaceae)

กะเพราตะนาวศรี น้�ำ ลายผีเสื้อ
Teucrium scabrum Sudee & A. J. Paton Callicarpa rubella Lindl.
(Lamiaceae)
ภาพท่ี 42 (Lamiaceae)

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

160 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

จากเขา ช้างร้อง
Eugeissona tristis Griff. Borasssodendron machadonis (Ridl.) Becc.

(Arecaceae) (Arecaceae)

ระกำ� เตา่ ร้างดอยภูคา
Salacca wallichiana Mart. Caryota obtuse Griff.

(Arecaceae) (Arecaceae)

ภาพที่ 43

รูปวธิ านแยกสกลุ 161

1. ใบเด่ยี ว

2. เกสรเพศผู้มี 5 อัน Tectona

2. เกสรเพศผู้มี 4 อัน

3. ดอกเล็กสเี ขียว ๆ ขาว ๆ ออกเปน็ ช่อกระจุกแยกแขนง ตามปลายกง่ิ Premna

3. ดอกใหญ่ สเี หลือง มแี ต้มสีนำ้� ตาล ออกเปน็ ช่อชนดิ raceme ตามง่ามใบ Gmelina

1. ใบประกอบแบบนว้ิ มอื (digitate) มี 5-3 ใบ ดอกสีม่วงอ่อน Vitex

ไม้หวงห้ามในวงศ์น้มี ี สัก Tectona grandis L.f. สักขไี้ ก่ Premna tomentosa Willd. ซ้อ Gmelina arborea
Roxb. ตนี นก หรือ กาสามปีก Vitex peduncularis Wall. ex Schauer สวอง Vitex limonifolia Wall. ผาเส้ยี น Vitex
canescena Kurz และ ตีนนก หรือ นน Vitex pinnata L. ไม้ในสกุลทน่ี �ำมาเป็นไม้ประดับ เช่น พวงเงนิ Clerodendrum
thomsonae Balf.f. พวงม่วง หรือ เทียนหยด Duranta erecta L. ซึ่งเป็นไม้ต่างประเทศ พนั ธ์ุไม้พืน้ เมอื งท่นี �ำมาปลกู
กันบ้างกม็ ี เครือออน หรอื พวงประดษิ ฐ์ Congea tomentosa Roxb. ซ้องแมว Gmelina philippensis Cham. และ
พนมสวรรค์ Clerodendrum paniculatum L. เป็นต้น ตัวอย่างชนดิ ทีอ่ ยู่วงศ์ Verbenaceae เช่น ไม้ในสกลุ อ่นื ท่นี �ำมา
ปลูกเปน็ ไม้ประดับมี ผกากรอง Lantana camara L. พวงคราม Petrea volubilis L.

ชนั้ พืชใบเล้ยี งเด่ยี ว (Class Monocotyledonae)

พรรณพชื ใบเล้ยี งเดี่ยวในประเทศไทยมอี ย่างน้อย 11 อันดับ อันดับท่มี ีความส�ำคัญทจ่ี ะกล่าวถึงมี 2 อนั ดบั
คอื Palmales และ Glumiflorae

ความจริงพรรณพชื ใบเล้ยี งเดยี่ วมีความส�ำคัญต่อความเปน็ อยู่ของมนุษย์เป็นอย่างมาก เช่น อันดับ
Liliflorae วงศ์ Stermonaceae (ขป้ี งุ มดง่าม) มพี ืชหลายชนดิ ท่ใี ช้เปน็ ยาฆ่าแมลง วงศ์ Smilacaceae (เข้าเยน็ เหนอื เข้า
เย็นใต้) เป็นพืชสมุนไพร วงศ์ Dioscoreaceae (กลอย) เป็นพชื อาหารและสมนุ ไพร อนั ดับ Commelinales น้นั
วงศ์ Bromeliaeae (สับปะรด) เปน็ พืชอาหาร อนั ดบั Palmales วงศ์ Palmae เป็นพชื อาหารและวัสดใุ ช้สอยต่าง ๆ
อันดบั Arales วงศ์ Araceae (บอน) เป็นพชื อาหาร อันดบั Zingiberales วงศ์ Musaceae (กล้วย) เปน็ พชื อาหาร
วงศ์ Zingiberaceae (ขงิ , ข่า) ให้พืชสมุนไพร อันดับ Orchidales วงศ์ Orchidaceae (กล้วยไม้) ให้พชื ทมี่ คี ุณค่าทางพชื
กรรม และ อนั ดบั Glumiflorae วงศ์ Cyperaceae (กก, แห้ว) ให้พืชอาหารและวัสดุใช้สอย วงศ์ Gramineae (ข้าว, ไผ่)
ให้พืชอาหารและวสั ดใุ ช้สอย

อันดบั Palmales

ไม้ต้น ตง้ั ตรง ใบ มกั ใหญ่ ดอก เลก็ regular, bisexual หรือ unisexual ต่างเพศร่วมต้น ออกเปน็ ช่อ
panicles มักมีกาบใหญ่รองรบั เกสรเพศผู้จ�ำนวน 6 รงั ไข่ superior ส่วนมาก 3 ช่อง มไี ข่ช่องละเมลด็ ผล แบบ berry
หรือ drupe เมล็ดมี endosperm

ลักษณะล�ำต้นของพชื จ�ำพวก หมาก หวาย ท่เี ป็นไม้เนอื้ แข็ง มีการเจรญิ เติบโตข้นึ ไปทางสูงเรือ่ ย ๆ ซึง่ เปน็
ลักษณะพเิ ศษในพวกพชื ใบเลยี้ งเด่ยี ว

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

162 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช

วงศห์ มาก หวาย Arecaceae (Palmae)

ไม้ต้น ตรง หรือไม้พุ่ม บางครง้ั เลอ้ื ยพาดไปตามต้นไม้อ่นื ใบ แข็ง เป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate)
หรอื แบบนว้ิ มือ (palmate) ก้านใบมกี าบหุ้มทโ่ี คน ดอก ส่วนมาก regular เล็ก มกั ออกเปน็ ช่อ panicles กลีบดอก
(perianth) มีสองชน้ั ๆ ละ 3 กลบี หนา หรืออุ้มนำ�้ เกสรเพศผู้ส่วนมากมี 6 อัน รังไข่ส่วนมากมี 3 ช่อง มีไข่ช่องละ
1 เมลด็ ผลแบบ drupe, nut หรอื berry เมลด็ มี endosperm มาก ใบเลย้ี งขยายใหญ่มากในระยะงอก

พชื ในวงศ์น้มี มี ากกว่า 200 สกลุ เป็นพชื เขตร้อนหรอื ก่งึ เขตร้อน ในประเทศไทยมปี ระมาณ 30 สกุล
จ�ำแนกออกได้เปน็ 8 วงศ์ย่อย มหี ลายสกุลท่นี �ำเข้ามาปลูกเพ่อื เศรษฐกิจ และเป็นไม้ประดบั

รปู วิธานแยกวงศ์ยอ่ ย

1. รงั ไข่และผลมเี กลด็ หุ้มซ้อนเหลื่อมกนั ใบประกอบแบบขนนก ได้แก่ Calamus, Daemonorops, Eugeissona,
Korthalsia, Metroxylon, Myrialepis, Olectocomia, Plectocomiopsis และ Salacca
1. วงศ์ยอ่ ย Lepidocaryoideae

1. รังไข่และผลไม่มเี กล็ดหุ้มซ้อนเหล่อื มกัน

2. ใบรปู พัด

3. ช่องรังไข่ทั้งสามแยกต่อกันหรือเชอื่ มตดิ กันเลก็ น้อย แต่จะเจรญิ เปน็ ผลเพยี งช่องเดยี ว (หายากทม่ี ี 2 หรือ 3 ผล)
มีลักษณะเป็น berry หรอื drupe มี endocarp บาง ได้แก่ Corypha, Johanesteysmannia, Licuala, Livistona,
Pholidocarpus, Rhapis และTrachylospermum 2. วงศย์ ่อย Corphoideae

3. ช่องรังไข่ทงั้ สามเชอ่ื มตดิ กันเปน็ รังไข่ทีม่ ี 3 ช่อง เจริญเปน็ ผล drupe ใหญ่ มเี มล็ด 3-1 เมลด็ แต่ละเมลด็
แยกกันอยู่ในช่องที่มผี นัง (endocarp) แขง็ ได้แก่ Borassus และ Borassodendrum
3. วงศ์ยอ่ ย Borassoideae

2. ใบรูปขนนก

4. ผลชนดิ drupe มี endocarp แข็ง

5. ผลสมมาตร ช่อดอกมกี าบหุ้ม 2 อัน รังไข่มี 6-3 ช่อง ได้แก่ Cocos, Elaeis 4. วงศย์ อ่ ย Cocosoideae

5. ผลไม่สมมาตร ช่อดอกมกี าบหุ้มหลายอัน รังไข่ 1 ช่อง ได้แก่ Nypa 5. วงศ์ย่อย Nipoideae

4. ผลมกั ไม่มี endocarp แขง็

6. ใบย่อยตอนล่างมักลดรูปเปน็ หนาม ช่อดอกมกี าบเดยี ว รังไข่มี 3 ช่อง แยกจากกัน ได้แก่ Phoenix

6. วงศ์ยอ่ ย Phoemicoideae

6. ใบย่อยตอนล่างไม่ลดรปู เป็นหนาม ช่อดอกมกี าบสองอันหรอื มากกว่า รงั ไข่มี 3-1 ช่อง เชอ่ื มติดกนั

7. ผลชนิด berry เนอ้ื นุ่ม หรอื มเี ส้นใย อุ้มน้�ำ ส่วนมากมีเมลด็ เดยี ว ใบย่อยเม่อื ยงั อ่อนอยู่เปน็ รูปตัว A ได้แก่
Areca, Cyrtostachys, Iguanura, Oncosperma, Orania และ Pinanga 7. วงศ์ย่อย Arecoideae

163
7. ผลชนิด berry เนือ้ นุ่ม มี 3-1 เมลด็ ใบย่อยเม่อยงั อ่อนอยู่เปน็ รปู ตัว V ได้แก่ Arenga, Caryota, Didymo
sperma และ Wallichia 8. วงศ์ย่อย Caryotoideae

พชื ในวงศ์น้ตี ่างมีความส�ำคญั ต่อความเปน็ อยู่ของมนุษย์ด้วยกันทง้ั นัน้ ที่ใช้เปน็ อาหารก็คอื สาคู
Metroxylon sagus Rottb. มะพร้าว Cocos nucifera L. ฉก หรือ ต๋าว Arenga pinnata Merr. จาก Nypa fruticans
Wurmb. ระก�ำ Salacca rumphii Wall. ตาลตะโหนด Borassus flabellifer L. หมาก Areca catechu L. และ ลาน
Corypha lecomtei Becc.

ท่ีให้วสั ดใุ ช้สอยในการจักสานและท�ำเคร่อื งเรอื นกค็ ือ หวาย ซึง่ มหี ลายสกลุ และหลายชนดิ ใช้ท�ำเสาโป๊ะ
คือ ค้อ Livistona speciosa Kurz และ หนามพน Orania sylvicola Moore ใช้ใบมงุ หลงั คา เช่น จาก Nypa fruticans
Wurmb. ลาน Corypha spp. และ หวาย สกลุ Daemonorps spp. นอกจากนี้ ใบ ลานยังใช้ท�ำวสั ดตุ ่าง ๆ เช่น หมวก
ใช้จารกึ คัมภรี ์ในพระพุทธศาสนา

เน่ืองจากหวายชนดิ ต่าง ๆมคี ุณค่าทางป่าไม้เปน็ อย่างมาก จงึ ได้จัดรปู วธิ านส�ำหรับใช้จ�ำแนกสกุลต่าง ๆ ไว้

รปู วธิ านแยกสกลุ หวาย

1. ออกดอกครงั้ เดียวแล้วตาย เปน็ ผลครงั้ เดยี วในชวี ติ (monocarpic)

2. ช่อดอกแยกแขนงห้อยยาวคล้ายหางกระรอก มกี าบใหญ่แบนซ้อนเหล่อื มกัน คลุมช่อดอกย่อยมดิ
หวายเตา่ เพราะ หวายโตงโพลง่ Plectocomia

2. ช่อดอกแยกแขนงมาก แต่ละแขนงมกี าบรปู กรวยเลก็ ๆ ปลายสามเหลย่ี มรองรับช่อดอกย่อย

3. โคนก้านใบมีหนามกระจายกันห่าง ๆ เกลด็ ทเ่ี ปลือกผลใหญ่ เรยี งกนั เป็นระเบยี บ

หวายกุ้งน้�ำพราย Plectocomiopsis

3. โคนก้านใบมหี นาม 7-2 อนั เรยี งเป็นแถว ในระนาบเดยี วกันห่าง ๆ เกลด็ ทเี่ ปลือกผลเล็ก ละเอยี ด เรยี งกัน
ไม่เปน็ ระเบยี บ หวายกุง้ Myrialepis

1. ดอกออกเกอื บทุกปี เปน็ ผลหลายครงั้ (polycarpic)

4. ใบย่อยปลายใบเรยี วแหลม ขอบเรยี บ เส้นใบขนานกนั

5. กาบรองรับช่อดอกรปู หลอดปลายเรยี บ ไม่หุ้มช่อดอก ตดิ แน่น หวายน่ัง หวายขม หวายตะคร้า Calamus

5. กาบรองรับช่อดอกรปู เรอื หุ้มช่อดอกทง้ั หมด หรอื ไม่หุ้ม หลุดร่วงง่าย
หวายจาก หวายโสมเขา Daemonorops

4. ใบย่อยรปู ขนมเปียกปูน โคนสอบแคบ หรอื รูปหอก ขอบจกั ซ่ฟี ัน เส้นใบรปู พดั หวายเถาใหญ่ Korthalsis


อนั ดับ Glumiflorae

อันดบั น้ีมีเพยี ง 2 วงศ์ คือ Poaceae และ Cyperaceae เป็นพชื ล้มลุกอายปุ ีเดยี ว เช่น หญ้าชนิดต่าง ๆ และกก
ชนิดต่าง ๆ หรอื อายุหลายปี เปน็ ไม้พุ่มเป็นกอ เล้อื ยพาดไปตามต้นไม้อ่ืน ล�ำต้นเป็นปล้อง เนื้อแขง็ เช่น ไม้ไผ่ชนดิ ต่าง ๆ

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

164 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช

วงศห์ ญา้ Poaceae (Gramineae)

ล�ำต้น เป็นปล้อง รูปทรงกระบอก ระหว่างข้อกลวงหรอื ตัน ใบ เรยี งสลับกันในระนาบเดยี วกัน (distichous)
ก้านใบเปน็ กาบหุ้มรอบล�ำต้น ระหว่างตัวใบ (lamina) และกาบมลี ้นิ ใบ (liqule) เป็นแผ่นบางใส (hyaline) อยู่
ดอก ออกเปน็ ช่อใหญ่ ประกอบด้วยช่อดอกย่อย (spikelet) ดอกย่อย (floret) ส่วนมากเป็นดอกสมบูรณ์เพศ หรอื
ดอกเพศเดียว บางทีต่างเพศต่างต้น (dioecious) ช่อดอกย่อยมักจะรองรับด้วยกาบ 2 กาบ เรยี กว่า กาบช่อย่อย
(glume) มีอนั ล่างและอันบนดอกย่อยแต่ละดอกจะมกี าบล่าง (lemma) และ กาบบน (palea) หุ้มอกี ชน้ั หน่ึง
กาบ lemma, palea และ glumes น้จะเรยี งสลับในระนาบเดยี วกันบนแกนเล็ก ๆ เรยี กว่า แกนกลางย่อย (rachilla)
กลีบรวมลดรปู หรอื บางทีเปน็ เกล็ดอุ้มนำ้� 3-2 เกล็ด เรยี กว่า กลบี เกล็ด (lodicule) เกสรเพศผู้มี 6-3 อนั (ส่วนมาก
มี 3 อัน) อับเรณูแกว่งได้ รงั ไข่มี 1 ช่อง แต่ละช่องมไี ข่ 1 เมล็ด ยอดเกสรเพศเมยี แตกเป็น 3-2 แฉก คล้ายขนนก
ผล เปน็ ชนดิ caryopsis มี endosperm มาก

พชื ในวงศ์นม้ี ีประมาณ 550-500 สกุล จัดแยกออกเปน็ 6 วงศ์ย่อย จะกล่าวถึงวงศ์ย่อยไผ่ Bambusoideae
ซ่งึ มคี วามส�ำคัญต่อเศรษฐกจิ ป่าไม้เปน็ อย่างมาก

วงศ์ย่อยไผ่ Bambusoideae

ล�ำต้น แขง็ ส่วนมากมเี หง้าใต้ดิน ใบ มีกาบหุ้มล�ำต้น (culm sheath) ตอนปลายกาบตรงทต่ี ่อกันกับใบจะมี
ล้นิ ใบ (ligule) อาจเปน็ ขนยาว ๆ หรอื สน้ั ๆ หรอื เปน็ เยอื่ บาง ๆ ดอก ช่อดอกไม่มกี าบหุ้มเหมือนพวกหญ้าอน่ื ๆ
ช่อดอกหน่งึ จะมีช่อดอกย่อย (spikelets) หลายกลุ่ม ที่โคนมกี าบดอกย่อย (glume) 2 อนั และแต่ละช่อดอกย่อยจะ
มดี อกย่อย (floret) ดอกเดี่ยว หรือหลายดอก มกี าบดอกย่อย (lemma) ขนาดใหญ่และหุ้มกาบบน (palea) ไว้มีกลีบ
เกลด็ (lodicule) 3 หรอื 2 เกสรเพศผู้มี 3 หรือ 6 ก้านเกสรเช่อื มหรอื แยกกัน เกสรเพศเมยี มักมขี นปกคลมุ ผล แบบ
berry หรอื แบบ cryopsis

ไผ่ส่วนใหญ่จะพบขน้ึ ในเขตร้อน (tropic) มีประมาณ 47 สกลุ 1,250 ชนดิ ส่วนในประเทศไทยพบประมาณ
12 สกุล 50 กว่าชนิด

รปู วธิ านแยกสกุล

1. เหง้าสนั้ ไม่ทอดขนานไปทางระดบั มขี นาดใหญ่กว่าล�ำท่งี อกข้ึนมาจากตาข้างเหง้า

3. คอเหง้า (rhizome neck) คือ ส่วนโคนของแขนงทง่ี อกออกไปจากเหง้า ยาวกว่าเหง้า ล�ำขนึ้ ห่างกันเป็นระยะก่งิ
ตามข้อเรยี วยาวเกอื บเท่ากันทุกกง่ิ Melocanna

3. คอเหง้าสน้ั กว่าเหง้า ล�ำขนึ้ ชดิ ติดกันไม่เปน็ ระเบยี บ

4. กง่ิ ตามข้อเรยี วยาวเกือบเท่ากนั ทกุ กง่ิ

5. กาบหุ้มล�ำและยอดกาบหนาแข็ง และกรอบ สีหมากสกุ ต่งิ กาบ (auricle) คือ ครบี หรอื ขนทีอ่ ยู่ตรงด้านบนทง้ั
สองข้างของกาบทม่ี ลี ักษณะคล้ายหวั ไหล่ไม่เจรญิ เห็นได้ชัด ก้านเกสรเพศเมยี มี 3 แฉก
Cephalostachyum

5. กาบหุ้มล�ำและยอดกาบไม่หนามาก และไม่แข็ง ตง่ิ กาบเห็นไม่ชัด ก้านเกสรเพศเมยี มี 2 แฉก
Schizostachyum

4. กง่ิ ตามข้อเรียวยาวไม่เท่ากันทกุ กง่ิ กิ่งอันกลางใหญ่ท่สี ุด 165

6. ล�ำทอดเล้อื ย หรือพาดพนั ไปตามต้นไม้อน่ื เนื้อล�ำบาง

7. ล�ำทอดเล้อื ยไม่แตกแขนง Dinochloa

7. ล�ำพาดพันปตามต้นไม้อน่ื แตกแขนงมาก Teinostachyum

6. ล�ำต้นตรง เน้อื ล�ำหนา

8. ช่วงระหว่างดอกสน้ั มาก ไม่หกั หลดุ จากกัน

9. กลุ่มดอกมนี ้อยดอก ดอกท่ปี ลายกลุ่มเจรญิ เต็มท่ี ก้านเกสรเพศผู้แยกจากกัน

10. ผลรปู กระสวย เปลอื กบางแข็ง Dendrocalamus

10. ผลค่อนข้างกลม เปลอื กหนาขรขุ ระ Melocalamus

9. กลุ่มดอกมีมากดอก ดอกท่ีปลายกลุ่มไม่เจริญ ก้านเกสรเพศผู้เชื่อมตดิ กันแน่น หรอื มีเย่อื บาง ๆ โยงเชอื่ กนั
Gigantochloa

8. ช่วงระหว่างดอกยาวเท่ากบั คร่งึ หน่งึ ของความยาวของกลบี นอกสดุ และหักหลดุ ออกจากกนั ไม่ช้าก็เร็ว

11. กาบหุ้มล�ำบาง แนบชดิ กับล�ำ ไม่หลดุ ร่วงเมอ่ื ล�ำแก่ ยอดกาบบางเรยี วสอบไปหาปลาย ไม่มตี ง่ิ กาบ
ล�ำตอนล่างไม่แตกแขนง ไม่มหี นาม Thyrsostachys

11. กาบหุ้มล�ำหนาแขง็ ไม่แนบชดิ กบั ล�ำ หลดุ ร่วงไปเม่อื ล�ำแก่ ยอดกาบหนาแข็งมกั มขี นคาย ทางด้านใน
มตี งิ่ กาบเหน็ ได้ชดั ล�ำตอนล่างมกั แตกแขนง และมหี นาม Bambusa

1. เหง้ายาวและทอดขนานไปทางระดับ ขนาดเลก็ เรยี วกว่าล�ำท่งี อกขึ้นมาจากตาข้างเหง้า

2. ไม่มเี หง้าสมทบ (metamorphic axis) คอื ส่วนโคนของแขนงท่เี จรญิ ออกยางออกไปจนเกอื บเหมอื นกบั เหง้านน้ั
Pseudosasa

2. มเี หง้าสมทบ Arundinaria

ไม้ไผ่สกลุ ต่าง ๆ ในประเทศไทยตามรปู วธิ านข้างบนนจ้ี �ำแนกชนดิ ออกได้ดังน้ี

1. สกลุ Melocanna มจี �ำนวน 1 ชนดิ คอื ไผ่เกรียบ M. humilis Kurz พบทางจังหวดั สรุ าษฎร์ธานี

2. สกุล Cephalostachyum มอี ยู่ 2 ชนดิ คอื ไผ่ข้าวหลาม C. pergracile Munro พบในท้องท่ีภาคเหนอื ทวั่ ๆ ไป และ
จงั หวดั กาญจนบุรีตอนเหนอื เน้ือล�ำหนา และ ไผ่เฮยี ะ C. virgatum Kurz พบทัว่ ไปตามป่าเขาทางภาคเหนอื เนอ้ื ล�ำบาง
3. สกุล Schizostachyum มี 3 ชนิด คอื ไผ่เฮยี ะ หรือ ไผ่เมย่ี งไฟ S. zollingeri Steud. และไผ่โป
S. brachycladum Kurz พบในท้องทจ่ี งั หวดั ภาคใต้ ส่วน ไผ่หลอด S. acicular Gamble มพี บท่ัว ๆ ไปตามป่าดบิ ช้ืน

4. สกลุ Dinochloa มี 1 ชนดิ คือ ไผ่คลาน D. scandens พบขนึ้ ท่วั ๆ ไปตามป่าชน้ื ทางภาคใต้

5. สกลุ Teinostachyum มอี ยู่ 1 ชนดิ คือ ไผ่บงเลอ้ื ย T. griffithii Munro พบทางป่าดบิ เขาภาคเหนอื

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

166 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช
6. สกุล Dendrocalamus เป็นไม้ไผ่ที่มขี นาดใหญ่ทส่ี ดุ มี 9 ชนดิ คอื ไผ่ซาง D. strictus Nees ไผ่หก

D. hamiltonii Nees & Arn. ex Munro ไผ่ล�ำมะลอก D. longispathus Kurz พบทางภาคเหนอื ภาคกลาง และภาคใต้
ไผ่ซางหม่น D. sericeus Munro พบทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ไผ่เป๊าะ D. giganteus Munro ไผ่ซางค�ำ
D. latiflorus Munro พบทางภาคเหนือ ไผ่ตง D. asper Back. ex K. Heyne พบทางภาคเหนอื และปลกู กนั ท่ัวไป
ไผ่ซางดอย D. membranaceus Munro และไผ่บงใหญ่ D. brandisii Kurz พบทางภาคเหนอื

7. สกลุ Melocalamus มีชนดิ เดยี ว คือ ไผ่หางช้าง หรือ ไผ่ไส้ตัน M. compactiflorus Benth. พบท่ัวไปตาม
ป่าเขาทางภาคเหนอื

8. สกุล Gigantochloam มี 9 ชนิด คอื ไผ่มนั G. auricalata Kurz ไผ่ไร่ G. albociliata Kurz ไผ่ไล่ลอ
G. nigrociliata Kurz ไผ่ด้ามพร้า G. ligulata Gamble ไผ่ตากวาง G. apus Kurz ไผ่ผากมัน G. hasskarliana Back. ex
K. Heyne และนอกจากไผ่ไร่และไผ่ไล่ลอซ่งึ พบข้ึนทั่วประเทศ ไผ่ชนดิ อ่นื ๆ ในสกุลนพ้ี บข้ึนแต่ในป่าดบิ ทางภาคใต้
แทบท้ังนนั้

9. สกุล Thyrsostachys มี 2 ชนิด คือ ไผ่รวก T. siamensis Gamble พบในป่าแล้งทวั่ ไป และไผ่รากด�ำ
T. oliveri Gamble พบในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนอื

10. สกุล Bambusa มีด้วยกัน 11 ชนดิ ส่วนมากเปน็ ไม้ไผ่ขนาดใหญ่เนื้อล�ำหนา คอื ไผ่บงด�ำ B. tulda Roxb.
พบตามป่าดิบรมิ น้�ำทั่วไป ไผ่ป่า หรอื ไผ่หนาม B. arundinacea Willd. ไผ่ล�ำมะลอก B. longispiculata Gamble พบ
ทว่ั ไป ไผ่เหลือง B. vulgaris Schrad. ไผ่หอม B. polymorpha Munro พบทางภาคเหนอื ไผ่เล้ยี ง B. multiplex (Lour.)
Raeusch. ex J.A. & J.H. Schult. var. multiplex มขี นาดเลก็ ปลกู กันท่ัว ๆไป ไผ่สสี ุก B. flexuosa Munro พบทาง
ภาคเหนอื และตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ปลกู กันทวั่ ๆ ไป ไผ่บง B. nutans Wall. ex Munro พบข้นึ ตามป่าดิบทาง
ภาคเหนอื ไผ่สสี ุก B. blumeana Schult และ ไผ่บงหนาม B. burmanica Gamble

11. สกลุ Pseudosasa มอี ยู่ 1 ชนิด เปน็ ไม้ไผ่ขนาดเลก็ พบตามเขาในท้องทจ่ี ังหวดั เพชรบูรณ์
12. สกลุ Arundinaria มี 2 ชนิด เป็นไม้ไผ่ขนาดเลก็ พบตามป่าแล้งตามภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ คอื
ไผ่เพ็ก A. pusilla Cheval. & A. Camus และไผ่โจ้ด A. ciliate A. Camus
นอกจากนย้ี งั มไี ม้ไผ่ชนดิ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะพบมอี ยู่ในประเทศไทย อีกจ�ำนวนมาก ถ้าได้มกี ารส�ำรวจอย่าง
ละเอียดต่อไป

167

หญ้าจิ้มฟนั ควาย เตยห้วย
Arundina graminifolia (D.Don) Hochr. subsp. gram- Pandanus aculescens H. St. John

inifolia (Pandanaceae)
(Orchidaceae)

กะอวม ไผไ่ ร่
Khaosokia caricoides D. A. Simpson Gigantochloa albociliata (Munro) Kurz

(Cyperaceae) (Poaceae)
ภาพที่ 44
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

168 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธุ์พืช

หญ้าไขเ่ หาดอกแนน่ หญ้าข้าวนก
Cyrtococcum oxyphyllum (Hochst. ex Steud.) Stapf Echinochloa colona (L.) Link

(Poaceae) (Poaceae)

หญ้าไขป่ ู หญ้าไผ่หยอง
Eragrostis unioloides (Retz.) Nees ex Steud. Pogonatherum crinitum (Thunb.) Kunth

(Poaceae) (Lamiaceae)
ภาพท่ี 45

169

เอื้องหมายนา กาหลาถ้วย
Cheilocostus speciosus (J. Koenig) C.D. Specht Etlingera venusta (Ridl.) R.M. Sm.

(Costaceae) (Zingiberaceae)

วา่ นเข้าพรรษา กล้วยจะกา่
Smithatris supraneanae W. J. Kress & K. Larsen Globba winitii C.H. Wright

(Zingiberaceae) (Zingiberaceae)
ภาพท่ี 46
คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

170 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

ภาคผนวกท่ี 1

วงศพ์ ชื ทมี่ ลี ักษณะประจ�ำวงศค์ ่อนข้างแนน่ อน

เน่ืองจากบางคร้ังนักพฤกษศาสตร์ประสบปัญหาเกี่ยวกับการท่ีจะต้องจ�ำแนกชนิดพืชท่ีตัวอย่าง
ไม่สมบรู ณ์ เช่น ตวั อย่างมแี ต่ใบเพียงอย่างเดยี ว ดังน้ันลักษณะเฉพาะวงศ์ของพชื จะช่วยได้ในการวเิ คราะห์ตวั อย่าง
พืชเหล่านั้น ทงั้ นี้จะต้องพิจารณาลักษณะต่าง ๆ ของพชื ควบคู่กนั ไปด้วย

ใบ
ติดตรงข้าม (หรือ ติดเปน็ วงรอบข้อ) วงศพ์ ืชที่ใบติดตรงข้ามหรือติดเปน็ วงรอบข้อ ท้ังหมดได้แก่
ท้ังหมด
Aceraceae Caprifoliaceae Caryophyllaceae Casuarinaceae
Celastraceae Ceratophyllaceae Chloranthaceae Dipsacaceae
Elatinaceae Guttiferae Hydrangeaceae Labiatae Loganiaceae
Melastomaceae Rubiaceae Salvadoraceae Staphyleaceae
Valerianaceae Verbenaceae

ติดตรงข้าม (หรือ ติดเปน็ วงรอบข้อ) วงศพ์ ืชทีใ่ บติดตรงข้ามหรือติดเป็นวงรอบข้อ เปน็ สว่ นมาก ได้แก่
เปน็ ส่วนมาก Acanthaceae Apocynaceae Asclepiadaceae Bignoniaceae
Gentianaceae Loranthaceae Lythraceae Malpighiaceae Molluginaceae
Monimiaceae Myrtaceae Ntyctaginaceae Oleaceae Pedaliaceae
Rhizophoraceae Rutaceae Santalaceae Scrophulariaceae

ติดเรียงสลับ วงศพ์ ืชทีใ่ บติดเรียงสลับ ได้แก่ Anacardiaceae Annonaceae
Bombacaceae Burseraceae Combretaceae Datiscaceae
Dipterocarpaceae Ebenaceae Erythroxylaceae Fagaceae
Flacourtiaceae Hamamelidaceae Lauraceae Leguminosae
Magnoliaceae Malvaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Proteaceae Rosacee Sapindaceae Sapotaceae Styracaceae Theaceae
Tiliaceae Ulmaceae

ใบประกอบทั้งหมด วงศ์พืชทีม่ ีใบประกอบท้ังหมด ได้แก่ Connaraceae Juglandaceae
Ladizabalaceae Moringaceae Oxalidaceae Sapindaceae

ใบประกอบเป็นส่วนมาก วงศ์พืชทีม่ ีใบประกอบเป็นสว่ นมาก ได้แก่ Araliaceae Bignoniaceae
Burseraceae Leguminosae Meliaceae Rosaceae Rutaceae
Simaroubaceae Umbelliferae Valerianaceae Zygophyllaceae

ใบบางคร้ังพบเป็นใบประกอบ 171
วงศ์พืชที่บางคร้ังพบเปน็ ใบประกอบ ได้แก่ Aceraceae Anacardiaceae
ใบเดีย่ ว Berberidaceae Bombaceae Capparaceae Caprifoliaceae
Convolvulaceae Crassulaceae Cucurbitaceae Datiscaceae Dipsaceae
หใู บ Euphorbiaceae Gentianaceae Geraniaceae Hydrophyllaceae
Menispermaceae Ochnaceae Passifloraceae Polemoniaceae
ใบไมม่ ีหใู บ Proteaceae Ranunculaceae Sabiaceae Saxifragaceae Staphyleacee
ใบไมม่ ีหใู บ Sterculiaceae Verbenaceae
วงศ์พืชทีม่ ีใบเดี่ยวท้ังหมด ได้แก่ Acanthaceae Annonaceae Apocynaceae
เกสรเพศผู้ Celastraceae Ebenaceae Erythroxylaceae Fagaceae Flacourtiaceae
Guttiferae Hammamelidaceae Lauraceae Loganiaceae Lythraceae
เกสรเพศผู้ติดตรงข้ามกลีบดอก Magnoliaceae Malvaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Myrtaceae Proteaceae Rhizophoraceae Rubiaceae Sapotaceae
Styracaceae Theaceae Thymelaeaceae Tiliaceae Urticaceae

วงศ์พืชที่ใบมีหูใบ ได้แก่ Bigoniaceae Bombacaceae Dipterocarpaceae
Droseraceae Elatinaceae Erythroxylaceae Euphorbiaceae Flacourtiaceae
Magnoliaceae Malvaceae Moraceae Ochnaceae Polygonaceae
Rhamnaceae Rhizophoraceae Rosaceae Rubiaceae Sterculiaceae
Tiliaceae Ulmaceae Urticaceae Zygophyllaceae
วงศ์พืชทีใ่ บไม่มีหใู บ ได้แก่ Acanthaceae Anacardiaceae Annonaceae
Bignoniaceae Combretaceae Datiscaceae Dilleniaceae Guttiferae
Lauraceae Lythraceae Meliaceae Menispermaceae Myristicaceae
Myrtaceae Proteaceae Simaroubaceae Theaceae Thymelaceae
Verbenaceae

วงศ์พืชที่เกสรเพศผู้มีจำ�นวนเท่ากลีบดอกและติดตรงข้ามกลีบดอก
ได้แก่ Berberidaceae Ebenaceae Menispermaceae (บางชนิด)
Moraceae Myrsinaceae Olacaceae (บางชนิด) Plumbaginaceae
Portulacaceae (บางชนิด) Primulaceae Rhamnaceae Sabiaceae
(บางคร้ังพบอบั เรณเู ปน็ หมัน) Sapotaceae Sterculiaceae (บางชนิด)
Ulmaceae Urticaceae

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

172 กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช

รังไข่ วงศพ์ ืชทีร่ งั ไขอ่ ย่ใู ต้วงกลีบดอก ได้แก่ Alangiaceae Araliaceae
Balanophoraceae Begoniaceae Cactaceae Caprifoliaceae
รังไขใ่ ต้วงกลีบ

Chloranthaceae Combretaceae Compositae Cornaceae Cucurbitacee
Datiscaceae Dipsacaceae Elaeagnaceae Gesneriaceae (บางชนิด)
Goodeniaceae Haloragaceae Hamamelidaceae Juglandaceae
Lobeliacee Loranthaceae Melastomaceae (เกือบท้ังหมด) Myrtaceae
Nymphaeaceae (บางชนิด) Nyssaceae Onagraceae Portulacaceae (มี
เพียง 2-3 ชนิด) Rhizophoraceae (หลายชนิด) Rosaceae (บางชนิด)
Rubiaceae Santalaceae Saxifragaceae (บางชนิด) Stylidiaceae
Styracaceae Umbelliferae Vacciniaceae Valerianaceae

รงั ไข่เหนือวงกลีบ วงศ์พืชที่รังไข่อยเู่ หนือวงกลีบดอก ได้แก่ Acanthaceae Anacardiaceae
Annonaceae Apocynaceae Bignoniaceae Bombacaceae Burseraceae
Celastraceae Dilleniaceae Dipterocarpaceae Ebenaceae
Erythroxylaceae Euphorbiaceae Fagaceae Flacourtiaceae Guttiferae
Lauraceae Leguminosae Loganiaceae Lythraceae Magnoliaceae
Malvaceae Meliaceae Menispermaceae Moraceae Myristicaceae
Proteaceae Sapindaceae Sapotaceae Simaroubaceae Sterculiaceae
Styracaceae Theaceae Tiliaceae Verbenaceae

ภาคผนวกท่ี 2 173

วงศ์พืชท่ีมลี ักษณะเฉพาะ

ยาง (latex)

ยางขาวคล้ายนม: Apocynaceae Asclepiadaceae Campanulaceae Compositae (tribe Lactuceae)
Euphorbiaceae (tribe Euphorbieae), Lobeliaceae (พบบ่อย) Sapotaceae

ยางขาวคล้ายนำ้� นม หรือบางทีใส : Moraceae

ยางสเี หลอื งหรอื สีส้ม : Guttiferae

ยางสีเหลอื งข้น หรอื ใส : Papaveraceae

มอื พัน (tendrils)

มือพันบนใบ ในพชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว : สกลุ Flagellaria, Gloriosa, Smilax (บนก้านใบ) Bignoniaceae (บางสกลุ )
Leguminosae (หลายชนดิ ) Nepenthaceae

มอื เกาะ helical (3-dimensional) : Cucurbitaceae Passifloracee Vitaceae

มีขอเกาะ (hooks) Annonaceae (Artabotrys) Apocynaceae (บางชนดิ ) Linaceae (สกลุ Hugonia)
Loganiaceae (สกุล Strychnos) Rhamnaceae (บางชนิด) Sapindaceae (Cardiospermum) Rubiaceae (สกุล Uncaria)

ใบ (leaves)

ใบเมอ่ื ขยม้ี กี ล่ินหอม : Compositae (มหี ลายชนิด) Labiatae Verbenaceae (หลายชนดิ ) Rutaceae
Myrtaceae Lauraceae Myristicaceae Umbelliferae (บางชนดิ ) Zingiberaceae Geraniaceae (บางชนดิ )

ใบมีจุดใส หรือเส้นใส เมอื่ เอาใบส่องกบั แสงและดดู ้วยเลนส์ขยาย : Rutaceae Myrtaceae Flacourtaceae
(บางชนิด เช่น Casearia) Guttiferae (บางชนดิ ) Compositae (บางชนดิ )

ใบมจี ุดด�ำ หรือมีจุดด�ำบนดอก : Guttiferae Myrsinaceae Turneraceae (บางชนดิ ) Violaceae (บางชนดิ )
หรือมีจดุ สนี ำ้� ตาลมีกลิ่นหอม ได้แก่ Labiatae Verbenaceae (บางชนดิ ) Compositae (บางชนดิ )

ใบมีต่อมรูปจาน : Bignoniaceae (บางชนดิ )

ใบมีแบคทเี รยี ซง่ึ ปรากฏเป็นจดุ ด�ำ : Rubiaceae (Pavetta และ Psychotria บางชนิด) และ Myrsinaceae
(Ardisia)

ใบ หรือส่วนอืน่ ๆ มีเกล็ด : Ericaceae (Rhododendron) Hamamelidaceae Malvaceae (บางชนดิ )
Bombacaceae Combretaceae (บางชนดิ ) Euphorbiaceae (เช่น Croton) Elaeagnaceae (บางชนดิ ) Oleaceae

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

174 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

ขน (hairs)

ขนรูปดาว : Bombacaceae Hamamelidaceae Malvaceae Sterculiaceae Tiliaceae และพบอยู่ในวงศ์อน่ื ๆ
เช่น Compositae Euphorbiaceae Guttiferae Meliaceae Rutaceae Tumeraceae Verbenaceae
ขนแตกกง่ิ ก้าน : Malpighiaceae Leguminsae (Indigofera) Compositae (บางชนดิ )
ขนระคายเคืองต่อผวิ หนงั : Urticacee (ส่วนมาก) Euphorbiaceae (Megistostigma)
ใบแห้งเมอ่ื หักผ่านเส้นกลางใบและฉกี ออก มักมีเส้นใย ได้แก่ สมาชิกหลายชนิดในวงศ์ Celastraceae
(รวมทั้งวงศ์ Hippocrateaceae) วงศ์ Cornaceae (บางชนดิ ) Anacardiaceae (บางชนดิ )
ใบมีเส้นใบหลัก 3 เส้นออกจากโคนใบ (ได้แก่ เส้นกลางใบและเส้นใบ 2 เส้นออกด้านข้าง) ได้แก่
วงศ์ Loganiaceae (Strychnos) Melastomataceae Tiliaceae (Grewia) Ulmaceae (บางชนดิ ) และ Urticaceae
ก้านใบป่องทป่ี ลายและทีโ่ คน พบบ่อยในวงศ์ ที่ใบเป็นใบประกอบ ได้แก่ Bombacaceae Malvaceae
Sterculiaceae Tiliaceae Elaeocarpaceae Euphorbiaceae Flacourtiaceae Bixaceae Violaceae Menispermaceae
Marantaceae Araceae
ก้านใบมกี าบ (sheath) ท่ีโคน ได้แก่ พืชใบเลี้ยงเดย่ี วหลายชนิด Polygonaceae Compositae (บางชนดิ )
Umbelliferae (บางชนดิ )

กลบี ดอก (petals)

วงกลบี ดอกเรยี งเปน็ 3 ได้แก่ พชื พวกใบเลี้ยงเด่ียว (Monocotyledons) Annonaceae Aristolochiaceae
Berberidaceae Lauraceae Menispermaceae Myristicaceae

รงั ไข่ (ovary)

รงั ไข่มี 3 ช่อง ได้แก่ พชื พวกใบเลี้ยงเดยี่ ว (Monocotyledons) Violaceae Euphorbiaceae Celastraceae
(รวมทั้ง Hippocrateaceae) (บางชนดิ ) Meliaceae (บางชนดิ ) Sapindaceae (หลายชนิด) มีพบกระจายในวงศ์อืน่ ๆ
เช่น Flacourtiaceae (Caseria) Guttiferae (Cratoxylum)
รังไข่ (หรอื ผล) เกิดอยู่บนก้านยาว (gynophore) ซ่ึงมกั จะยาวกว่าวงกลบี ได้แก่ วงศ์ Capparaceae
Leguminosae (บางชนดิ ) Passifloracee (บางชนดิ )

อบั เรณู (anthers)

อับเรณูชดิ กนั หรือเชอ่ื มตดิ กัน ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (หลายชนิด) Asclepiadaceae Compositae
Lobeliaceae Rubiaceae (Argostemma) Solanaceae (Solanum)

ผล (fruit)

ผลมปีก ได้แก่ วงศ์ Combretaceae Malpighiaceae Polygalaceae (Securidaca) Sapindaceae Leguminosae
(เช่น Pterocarpus) Dipterocarpaceae Simaroubaceat Ulmaceae (Ulmus) Aceraceae Sterculiaceae (บางชนดิ )

เมลด็ (seed) 175

เมลด็ มปี ีก ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (Plumeria) Leguminosae (Mimosoideae มี 3-2 ชนดิ ) Bignoniaceae
(ส่วนมาก) Rubiaceae (Cinchona) Celastraceae (บางชนดิ ) Oleaceae (Schrebera)

เมล็ดมขี น หรอื มปี ุกขน ได้แก่ วงศ์ Apocynaceae (หลายชนิด) Asclepiadaceae Bombaceae Compositae
(หลายชนดิ ) Malvaceae (หลายชนดิ ) Ranunculaceae (Clematis) Salicaceae

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

176 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธ์ุพืช

ภาคผนวกท่ี 3

กลุ่มวงศพ์ ชื ที่มีลักษณะคล้ายกนั

กลุ่มวงศ์พชื ที่มคี วามคล้ายคลึงกันทลี่ ักษณะบางอย่าง กล่าวคอื เม่อื ดลู กั ษณะชนิดพชื แล้วมกั จะสบั สน ไม่
สามารถตดั สนิ ได้ว่าพชื นนั้ ๆ อยู่ในวงศ์ใดแน่ ดงั นนั้ จึงจดั รวมกลุ่มวงศ์พชื เหล่าน้ีไว้ด้วยกนั และจ�ำต้องพจิ ารณา
ลักษณะต่าง ๆ ทีจ่ ะเปน็ ประโยชน์ต่อการจ�ำแนก ซงึ่ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านเ้ี ปน็ ลกั ษณะท่สี งั เกตเห็นได้ง่าย หรือบาง
ครงั้ อาจต้องใช้เลนส์ขยาย ประมาณ 10 เท่า แต่ในท่ีน้จี ะไม่กล่าวถงึ ลกั ษณะทง้ั หมดของทง้ั วงศ์ เพยี งแต่จะชี้ให้เหน็
ลักษณะแตกต่างของกลุ่มวงศ์พชื ที่สบั สนนน้ั ๆ เท่านั้น ถ้าต้องการดูลักษณะประจ�ำวงศ์พชื ก็อาจจะหาเอกสารดไู ด้
เอกสารเหล่านไ้ี ด้กล่าวไว้ในบทท่ี 6

ในท่ีนี้จะยกวงศ์พชื ทม่ี ลี กั ษณะคล้ายคลงึ กันออกมาเป็นกลุ่ม ๆ โดยจะเลือกเอากลุ่มวงศ์พชื ท่ีมกั พบเสมอ
ๆ แล้วจะบอกลกั ษณะของพชื ทแ่ี ตกต่างกัน

กลุม่ พชื ทม่ี ีมือพนั (tendril)

วงศ์ฟัก, แตง Cucurbitaceae – มีมือจบั ออกตามข้างใบ คือตรงทอี่ ยู่ของหใู บ ผวิ ใบมักจะหยาบ ดอกส่วน
มากเป็นดอกเพศเดยี ว รงั ไข่ตดิ ใต้ส่วนต่าง ๆ ของกลบี ดอก (inferior ovary)

วงศ์กระทกรก Passifloraceae - มมี อื จบั ออกตามง่ามใบ (เปน็ ช่อดอกทด่ี ดั แปลงมา) ใบส่วนมากจะมตี ่อม
บนใบและบนก้านใบ หรอื มีอยู่บนก้านใบทเ่ี ดียว ดอกมักเป็นดอกสมบรู ณ์เพศ มักมี corona รังไข่ตดิ อยู่เหนอื ส่วน
ต่าง ๆ ของกลบี ดอก (superior ovary) มกั ตดิ อยู่บนก้านชู (gynophore) เมลด็ มี pitted testa

วงศ์องุ่น Vitaceae –มีมือจบั อยู่ตรงข้ามก้านใบ บางครัง้ ทป่ี ลายจะเป็น disclike sucker ดอกมขี นาดเลก็
เปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ หรอื ดอกเพศเดยี ว

---------------------
วงศ์ชบา Malvaceae – บางทีมี epicalyx เกสรเพศผู้มีจ�ำนวนมากเชอ่ื มติดกันเป็นหลอด อบั เรณมู ีช่องเดยี ว
(unilocular)
วงศ์ส�ำโรง Sterculiaceae – เกสรเพศผู้ปลอมวงนอกอาจมหี รือไม่มี เกสรเพศผู้จ�ำนวนน้อยกว่า อบั เรณูมี
2 ช่อง กลบี ดอกมักจะติดแน่น
วงศ์ปอกระเจา Tiliaceae – เกสรเพศผู้มจี �ำนวนมาก แยกจากกนั เปน็ อสิ ระ หรอื โคนเชือ่ มกนั เป็นมดั ๆ มี
10-5 มดั อับเรณมู ี 2 ช่อง

---------------------
วงศ์ล�ำไย Sapindaceae – บางครงั้ พบเป็นไม้เลอ้ื ยมมี อื จบั ดอกบางครงั้ เป็นดอกผดิ ธรรมดา กลบี เลย้ี งมกั
จะแยกจากกนั จานดอก extrastaminal บางครัง้ unilateral กลบี ดอกมกั จะเปน็ เกล็ดหรอื เป็นระยางค์ท่เี ป็นต่อมที่
โคนด้นใน รังไข่มักเปน็ 3 ห้อง ผลมหี ลากหลาย เมล็ดมกั มเี นอื้
วงศ์มะม่วง Anacardiaceae – ล�ำต้น โดยเฉพาะทเ่ี ปลือกมีนำ�้ ยาง ดอกมที ง้ั ดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยก

177
เพศ จานดอกเปน็ intrastaminal ก้านเกสรเพศเมีย มหี นึง่ หรอื 6-2 ก้าน จะแยกจากกัน และบางครัง้ ห่างกนั มาก
รังไข่มี 1 ห้อง ผลสด บางทมี ีปีก

วงศ์มะเกิม้ Burseraceae – ล�ำต้นโดยเฉพาะทเ่ี ปลอื กมีนำ้� มันหอมระเหยหรอื นำ้� มัน เปลือกมักจะบางและ
หลดุ ง่าย มกั มีหนามและช่อดอก มกั จะหนาแน่นทป่ี ลายก่งิ ดอกมักเป็นดอกแยกเพศ กลบี เลีย้ งค่อนข้างเช่อื มติดกัน
ที่โคน จานดอกเป็นวงแหวนหรอื รุปถ้วย ก้านเกสรเพศเมยี ธรรมดา ผลสดหรอื บางครงั้ พบผลแห้ง

---------------------
วงศ์ลั่นทม Apocynaceae – กลีบดอกเชอ่ื มตดิ กนั เป็นรูปท่อ ไม่มี corona เกสรเพศผู้ epipetalous อับเรณู
แยกจากกันเปน็ อสิ ระ หรอื อาจเชอื่ มกันแต่ไม่เช่อื มกบั ก้านเกสรเพศเมยี ละอองเรณูเปน็ gramular หรอื บางคร้ังพบ
เป็น 4 (tetrads) รงั ไข่ตดิ เหนือส่วนต่าง ๆของดอก ผลเป็นผลสดมเี มล็ดจ�ำนวนมาก (berry) หรอื ผลสดมเี มลด็ เดียว
(drupe) หรอื เปน็ ผลแห้งแบบ follicle เมลด็ ไม่มขี นปุย หรอื ถ้ามกี ็จะตดิ อยู่ท่ปี ลายด้านใดด้านหนง่ึ หรอื ท่ปี ลายทงั้ สอง
ด้าน
วงศ์ไฟเดือนห้า Asclepiadaceae – กลีบดอกแยกกันเปน็ รปู วงล้อ (rotate) มี (corona) อับเรณเู ช่อื มกันและ
เชอื่ มตดิ กบั ก้านเกสรเพศเมยี ด้วย (ทเี่ รารู้จักกนั ว่า gynostigma) ก้านเกสรเพศผู้สนั้ หรอื ไม่มีเลย รังไข่ตดิ อยู่เหนอื
ส่วนต่าง ๆของกลบี ดอก หรือตดิ ค่อนข้างจะใต้กลบี ดอก (Semiinferior) ละอองเรณตู ดิ กันเป็นก้อน (pollinium) ผล
เปน็ ผลแห้งแบบ follicle ผลมกั มปี ุยขนทีป่ ลายด้านใดด้านหน่งึ เพียงด้านเดยี ว

---------------------
วงศ์เข็ม Rubiaceae – มกั มหี ูใบ รงั ไข่ตดิ อยู่ใต้ส่วนต่าง ๆ ของกลบี ดอก บางครงั้ ตดิ อยู่เหนอื ส่วนต่าง ๆ
ของดอกกม็ บี ้าง
วงศ์กันเกรา Loganiaceae – ไม่มีหใู บ หรือ บางทีพบว่ามรี งั ไข่ติดอยู่เหนอื ส่วนต่าง ๆ ของดอก หรือบาง
ครั้งพบติดอยู่เกอื บใต้กลีบดอก
วงศ์ล่นั ทม Apocynaceae – รงั ไข่ตดิ เหนอื ส่วนต่าง ๆของดอก อบั เรณเู ช่อื มตดิ กัน เมลด็ บางทมี ีปุยขน

---------------------
วงศ์ Campanulaceae – ใบติดสลับ กลบี ดอกมักจะเชอ่ื มติดกนั แต่ไม่เสมอไป รงั ไข่ตดิ อยู่ใต้วงกลบี หรือ
ก่ึงกลางวงกลีบ อับเรณแู ยกกัน หรอื เชอื่ มตดิ กนั โคนของเกสรเพศผู้แผ่กว้างออก ท�ำให้ดูเหมือนเป็นโคนอยู่เหนอื
จานดอก
วงศ์ Lobeliaceae – ใบติดสลบั กลบี ดอกเป็นแบบ zygomorphic มักจะแยกออก (splitting) รงั ไข่ตดิ อยู่ใต้วง
กลบี อบั เรณูเชอ่ื มตดิ กนั รอบ ๆก้านเกสรเพศเมยี HHo
วงศ์แวววเิ ชยี ร Scrophulariaceae – ใบติดสลบั หรอื ตรงข้าม กลีบดอกเปน็ แบบ zygomorphic รงั ไข่ตดิ เหนือ
วงกลีบ อับเรณมู ักจะแยกจากกนั

---------------------
วงศ์กะเพรา, โหระพา Labiatae – มักเปน็ พวก herbaceous พืชล้มลกุ ใบเด่ียว กลบี ดอกเปน็ แบบ
zygomorphic อย่างชัดเจน มกั เป็นแบบสองล้นิ (bilabiate) ก้านเกสรเพศเมยี เปน็ gynobasic ผลเป็น 4 nutlet

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

178 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
วงศ์สัก Verbenaceae – เปน็ พืชพวก herbaceous ล้มลุก หรือพวกเน้อื แข็ง ใบเด่ียว หรอื ใบประกอบ กลบี

ดอกจะเปน็ zygomorphic เพยี งเลก็ น้อยจนถงึ อย่างชดั เจนแต่ไม่ค่อยพบเปน็ แบบ bilabiate ก้านเกสรเพศเมยี ตดิ ที่
ปลายรงั ไข่ หรอื ติดอยู่ระหว่างพูของรงั ไข่ ผลมกั จะเปน็ ผลสด

---------------------
วงศ์เหงือกปลาหมอ Acanthaceae – ใบตดิ ตรงข้าม ล�ำต้นตรงท่เี หนอื ข้อมักจะบวมพอง แต่เมือ่ แห้งจะหด
งอรัดอย่างเปน็ ได้ชัด มกั มีผลกึ (cystolith) เปน็ grainy streak ในใบ ช่อดอกมักมใี บประดับย่อย ผลแห้งมีจงอยและ
แตกจากยอดลงมา เมล็ดมกั จะเกดิ บนโครงสร้างท่คี ล้ายตะขอ
วงศ์ Scrophulariaceae – ประมาณ 1 ใน 3 ของพชื วงศ์นเ้ี ป็นพืชกึง่ พาราไซต์ พชื วงศ์นเี้ ม่ือแห้งจะเปลย่ี น
เป็นสคี ่อนข้างด�ำ ใบตดิ ตรงข้าม หรอื ตดิ สลบั กลบี เลีย้ งมักจะจกั ลกึ เป็นพู ผลแห้งมเี มล็ดจ�ำนวนมาก ผลมกั จะยาว
กว่ากลีบเลยี้ ง
วงศ์ใบก�ำมะหย่ี Gesneriaceae – ใบติดตรงข้าม (ใบท่ีตดิ อยู่คู่กนั มกั จะมขี นาดไม่เท่ากัน (anisophyllous)
หรือพบบ่อย ๆ ท่ีติดเปน็ กอ (rosettes) อับเรณตู ดิ เปน็ คู่หรอื ตดิ กนั ทั้งหมดเป็น 4 รงั ไข่ตดิ อยู่เหนอื วงกลบี หรอื ใต้วง
กลีบ รังไข่มักจะยาวออก ผลแห้งมเี มล็ดจ�ำนวนมาก
วงศ์กะเพราะ โหระพา Labiatae – ล�ำต้นเปน็ สีเ่ หลี่ยม ใบตดิ ตรงข้าม พืชวงศ์น้จี ะมตี ่อมกลิ่น กลีบเลยี้ งมกั
จะเชอ่ื มเปน็ ท่อ ปลายมักแยกเป็น 2 ปาก (bilabiate) ก้านเกสรเพศเมียเกดิ ขน้ึ จากโคนของรงั ไข่ (gynobasic) ผลที่
เป็น 4 nutlet ซ่อนอยู่ในท่อกลบี เลีย้ ง

---------------------
วงศ์กก Cyperaceae – ล�ำต้นมักเป็นแท่งสามเหลย่ี ม มกั จะตนั และมกั จะ unjointed ใต้ช่อดอก ใบส่วนมาก
จะขึ้นเป็นกอจากดนิ หรือขึน้ ใกล้ ๆโคนต้น ก้านใบมกั จะปิด ไม่มี ligule ผลเปน็ แบบคล้าย nut มี 1 เมลด็ ดอกจะอดั
แน่นเป็นแบบ spike แต่ละดอกประกอบด้วยเพศผู้และเพศเมยี รองรับด้วยใบประดบั ซง่ึ มลี ักษณะคล้ายเกล็ด เรียก
ว่า glume ไม่มวี งกลีบดอกรอื บางทีกเ็ ป็นคล้ายหนาม
วงศ์ Juncaceae – ล�ำต้นเป็นแท่งสเี่ หล่ยี ม มกั จะตนั ใบเกดิ ทีโ่ คนต้นขน้ึ เปน็ กอ ใบคล้ายหญ้า เปน็ แท่งทรง
กระบอกหรอื ลดรปู ลงเป็นเกล็ด กาบใบเปิดหรอื ปิด ไม่มี ligule ผลแห้งแก่แตก มเี มล็ด 3 ถึงจ�ำนวนมาก
ดอกเกิดเปน็ ช่อกระจายแบบ panicles, corymbs หรอื เกดิ เป็นกระจุก แต่ไม่เปน็ แบบ spikelet ดอกเปน็
ดอกสมบูรณ์เพศ ประกอบด้วยส่วนของกลบี ดอกซ่งึ ลดรปู ลวดลายเกลด็ 6 อัน ซงึ่ จัดเป็น 1 หรือ 2 วง มวี งละ
3 กลีบ เกสรเพศผู้มี 6-3 อัน
วงศ์แส้ม้าฮ่อ Restionaceae - ล�ำต้นเป็นล�ำต้นตรงหรอื แตกก่ิงก้าน รูปส่เี หลย่ี มหรอื แบบมีข้อ ตันหรอื
กลวง ใบส่วนมากจะลดรปู ลงเปน็ กาบซง่ึ มีในลดรูปเปน็ เกล็ด ส่วนมากไม่มี ligule ผลคล้าย nut หรอื เป็นผลแห้ง
สามเหลี่ยม มเี มลด็ 3-1 เมลด็
ดอกอยู่เปน็ กลุ่มแบบ spikelet ดอกแยกเพศ ประกอบด้วยส่วนของกลบี ดอกทีล่ ดลงเป็นเกลด็ 6 ส่วนจดั
เปน็ 2-1 วง วงละ 3 เกล็ด เกสรเพศผู้มี 3
วงศ์ญ้า Poaceae – ล�ำต้นกลม มักจะกลวง แต่ตรงข้อตนั ใบเรยี งเปน็ 2 แถว หรอื เกดิ จากโคนเป็นกอ

ภายในมขี อบทแ่ี ยกจากกันและซ้อนกนั ไม่มี ligule ผลมี 1 เมลด็ แก่ไม่แตก เรยี กว่า caryopsis 179

ดอกลดรูปลงเป็น 2 ถงึ 3 เหลด็ ล้อมรอบเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี หรอื ล้อมรอบเกสรเพศเมยี แล้วอยู่
เปน็ กลุ่มแบบ spikeler ซ่งึ มเี กลด็ พิเศษท่รี องรบั ดอกย่อยเหล่านี้ไว้ ช่อดอกมักจะรวมก้านเป็นช่อกระจายแบบ
panicles หรอื raceme บางทีพบออกเดย่ี ว ๆ รงั ไข่มยี อดเกสรเพศเมยี 3-2 อัน คล้ายขนนก เกสรเพศผู้มี 6-3 อนั
บางทพี บมากกว่า

---------------------

วงศ์กระดมุ เงนิ Eriocaulacee – ใบคล้ายใบหญ้า ออกสลบั เปน็ กอท่โี คน ช่อดอกไม่ล้อมรอบด้วยวงกลบี
ประดับ รังไข่ตดิ อยู่เหนอื วงกลบี ดอก ส่วนต่าง ๆ ของดอกมเี ปน็ 3 น้อยครั้งทเ่ี ป็น 2 พืชนีม้ ักจะขึน้ ในท่ชี ืน้

วงศ์ทานตะวนั Compositae – ใบไม้เหมอื นพวกวงศ์หญ้า ช่อดอกล้อมรอบด้วยวงกลบี ประดบั รงั ไข่ตดิ อยู่
ใต้วงกลบี

---------------------

วงศ์ขงิ Zingiberaceae – ใบเกดิ บนก้านใบธรรมดา distichous มกี ล่ินหอม

วงศ์ Marantaceae – ใบเกดิ บนก้านใบท่บี วมพองท่ีปลายชดั เจน ไม่มกี ลนิ่

---------------------

วงศ์ปรง Cycadaceae – พชื ไม่มเี รอื นยอด (crown) และดอกทแ่ี ท้จรงิ ใบไม่พบั จบี ใบใหม่เกิดรอบข้อ หลาย
ใบในข้อเดยี วกนั อวัยวะสบื พันธ์ุเพศผู้เปน็ รปู โคน อวัยวะสบื พนั ธุ์เพศเมยี คล้ายกัน หรอื เกิดท่ปี ลายยอดของล�ำต้น

วงศ์ปาล์ม Palmae – พชื มเี รือนยอด และดอกทีแ่ ท้จริง ใบ พับจีบ ใบใหม่เกดิ ขน้ึ ทีละใบ ดอกเป็นดอกเดยี ว
หรือแตกก่งิ ก้านสาขา บางทเี กดิ เป็นช่อ ไม่เกดิ ทีโ่ คน

---------------------

วงศ์มะเม่ือย Gnetceae – มักเปน็ ไม้เลื้อย ไม่ผลดั ใบ ใบออกแบบ decussate ช่อดอกเป็น spike-like เรียง
แบบ whorl แต่ละ whorl รองรับด้วย fleshy collar

พวกพืชใบเลย้ี งคู่ทว่ี งกลีบลดรูป – ไม่ผลดั ใบหรอื ผลัดใบ ใบออกสลับหรือ decussate ช่อดอกไม่เหมอื นพืช
วงศ์ Gnetaceae มกั จะไม่มกี ้านดอกหรอื ก็เปน็ แบบ catkins

---------------------

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

180 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช

ค�ำแปลศพั ทพฤกษศาสตร์*
GLOSSARY OF BOTANICAL TERMS**

abaxial ไกลแกน เปน็ ด้านท่หี นั ออกจากล�ำต้น หรอื แกนหลกั ตัวอย่างเช่น ด้านล่างของใบ
abortion ฝ่อ
acaulescent ไม่มีล�ำต้น โดยมลี �ำต้นหลักอยู่ใต้ดนิ มใี บและดอกแทงข้นึ เหนอื ดิน
accrescent ขนาดใหญ่ข้ึนเม่อื ดอกบาน
achene ผลแห้งเมล็ดล่อน เป็นชนดิ หน่งึ ของผลแห้ง มขี นาดเล็ก เมลด็ เดยี ว เม่อื แก่ไม่แตก
acicular รปู เขม็
actinomorphic flower ดอกสมมาตรตามรัศมี (เหมอื น regular flowers)
aculeate มีหนามแหลม (จากผวิ )
aculeolate มหี นามขนาดเลก็
acuminate เรียวแหลม
acute แหลม โดยทป่ี ลายชนกนั เป็นมุมแหลม
adaxial ใกล้แกน เป็นด้านทห่ี นั เข้าหาล�ำต้น หรอื แกนหลัก (ดู abaxial ประกอบ)
adherent ชดิ กันของโครงสร้างต่างกนั แต่ไม่ได้เช่อื มตดิ กนั อย่างแท้จรงิ (ดู adnate และ coherent ประกอบ)
adnate เชือ่ มตดิ กันของโครงสร้างต่างกัน เช่น เกสรเพศผู้เช่อื มติดกับกลบี ดอก (ดู adherent และ connate ประกอบ)
adventilious buds ตาพเิ ศษ คอื ตาทเี่ กดิ ขนึ้ ทีอ่ ่นื ๆ ไม่ใช่ตามทเ่ี กิดท่ตี ามง่ามใบ หรอื ปลายยอดของก่งิ
aestivation การเรียงของกลบี ในตาดอก
alternate ตดิ เรียงสลบั
amentiferous มชี ่อดอกแบบหางกระรอก
amplexicaul หุ้มล�ำต้น เช่น โคนของใบหุ้มล�ำต้น
androecium วงเกสรเพศผู้
androgynophore ก้านเกสรร่วม เป็นก้านทเ่ี จรญิ มาจากฐานดอก เป็นท่ตี ดิ ของท้งั เกสรเพศผู้และเพศเมยี
anemophilous ผสมพนั ธุ์โดยอาศยั ลม
anisphyllous ใบคู่หนึง่ ทมี่ ขี นาดและรูปร่างแตกต่างกัน

annual พชื ฤดูเดยี ว 181
anterior ด้านหน้า
anther อบั เรณู เป็นส่วนหน่งึ ของเกสรเพศผู้ ภายในมลี ะอองเรณู ส่วนมากแบ่งเป็นสองพู (เซลล์)
apiculate ปลายเป็นตงิ่ แหลม
apocarpous คาร์เพลแยก
appressed แบนราบ
aril เนื้อหุ้มเมล็ด มกั จะเกดิ จากก้านเมลด็ หรอื ก้านไข่ (funicle)
aristate แหลมแข็ง
articulated เป็นข้อ
auriculate รูปตง่ิ หู
awn หนามทป่ี ลายอวัยวะ ซง่ึ ต่อไปจะเปน็ หนามแข็ง
axil ง่าม
axil placentation การตดิ ของไข่บนแกนของรงั ไข่ หรอื ตดิ ตรงมมุ ในของคาร์เพลท่เี ช่ือมตดิ กัน
axillary ตามง่ามใบหรอื ง่ามกง่ิ
axis แกน (ดอก) เป็นส่วนของล�ำต้นหรอื กง่ิ ทีด่ อกเกดิ
baccate คล้ายผลมเี น้อื หลายเมลด็ (berry-like) เช่น ผลกล้วย
barbed ขนขอ หรอื หนามขอ
barbellate ขนขอสนั้ หรือ หนามขอสนั้
basifixed ตดิ ที่ฐาน
bearded มีขนท่เี ครา
berry ผลมีเนอื้ เมลด็ มาก เช่น มะเขือเทศ
biennial พืชสองฤดู
bifid สองแฉก
bifoliate มี 2 ใบ
bifoliolate ใบประกอบทมี่ ีใบย่อย 2 ใบ
bilabiate รูปปากเปิด ประกอบด้วยปากบนและปากล่าง เมอ่ื กลบี เล้ยี งหรอื กลบี ดอกเช่อื มตดิ กัน

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

182 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช
bilocular มี 2 ช่อง
bipinnate ใบประกอบแบบขนนกสองชนั้
bisexual สมบรู ณ์เพศ
blade ส่วนทข่ี ยายออกเปน็ แผ่น เช่น แผ่นใบ แผ่นกลบี เล้ียง แผ่นกลบี ดอก ฯลฯ
bract ใบประดบั
bracteole ใบประดบั ย่อย
bullate ผวิ ใบทย่ี กขึ้นระหว่างเส้นใบ
caduceus หลุดร่วง
caespitose เปน็ กระจุก เปน็ กอ
calyculate มีรวิ้ ประดบั ล้อมรอบกลบี เลีย้ ง ดูคล้ายเปน็ ชนั้ นอกของกลบี เล้ียง
calyptra หมวกท่ปี กคลมุ ดอก หรือผล
calyx กลบี เล้ยี ง กลบี นอกกลบี แรกของดอก อาจแยกจากกนั หรอื เช่ือมตดิ กัน
calyx-tube ท่อหรอื หลอดกลบี เล้ยี ง เม่อื กลบี เล้ยี งเชอ่ื มตดิ กนั โคนจะเชอื่ มตดิ กันเป็นท่อหรอื หลอด ส่วนบนจะ
แยกออกเป็นกลบี เป็นซฟ่ี นั หรอื เป็นแฉก
campanulate รปู ระฆงั
canescent ขนสน้ั สเี ทา
capitate 1. ก้อนกลมคล้ายหวั เข็มหมดุ เช่น ยอดเกสรเพศเมยี
2. กระจุกของดอกพชื วงศ์ทานตะวนั Compositae
capsule ผลแห้งแตกประกอบด้วยสองคาร์เพล หรอื มากกว่า คาร์เพลเช่อื มตดิ กัน เม่ือแก่จะแตกเปน็ เส่ยี ง ๆ
เรยี กว่า valves (ล้นิ )
carpel เปน็ หน่วยของดอกท่ปี ระกอบด้วยรังไข่ และยอดเกสรเพศเมีย ซึ่งมตี ้นก�ำเนิดจากใบ 1 ใบ รงั ไข่จะมไี ข่หนึ่ง
หรอื มากกว่ากไ็ ด้ หน่งึ หน่วยนี้ เรียกว่า คาร์เพล ดอกหนึง่ อาจมหี นึ่งคาร์เพล หรือมากกว่าหนง่ึ และ
คาร์เพลน้ีอาจจะแยกจากกัน (apocarpous) หรอื เชอ่ื มตดิ กนั (syncarpous)
carpophore ฐานดอกทย่ี าวขน้ึ ชคู าร์เพลหรอื รังไข่ เช่น พชื ในวงศ์ Ranunculaceae
caruncle ปุ่มเนอื้ ใกล้ ๆ micropyle ของเมลด็ (ดู aril และ strophiole ประกอบ)
catkin ช่อดอกห้อยลงแบบหางกระรอก
caudate ยาวคล้ายหาง
caudicle ก้านกลุ่มเรณู ในพวกกล้วยไม้ (orchids)

cauliforous ออกดอกตามล�ำต้น (ดู ramiflorus ประกอบ) 183
cauline เกดิ ขนึ้ จากล�ำต้น
cell 1. ช่องว่างในรังไข่

2. อับเรณูท่แี ยกออกเปน็ เซลล์ มักมเี ซลล์เดยี วหรอื สองเซลล์
ciliate ขนครุยทข่ี อบ
circinate ปลายม้วน เช่น ใบอ่อนของพวก fern
circumscissile แตกรอบตามขวาง ส่วนบนเปิดออกคล้ายฝา
clavate รปู คล้ายกระบอง หรอื หนาข้นึ ไปยังปลาย
claw ก้านกลบี ดอก
cleistogamous ผสมพนั ธ์ุเมอ่ื ดอกยงั ตูม
climber ไม้เถา ไม้เลอ้ื ย
coccus ส่วนท่ีแยกออกไปของผลทเ่ี ป็นพู
coherent ชดิ กันของโครงสร้างเดยี วกัน แต่ไม่เช่อื มติดกนั (ดู connate ประกอบ)
column ก้านเกสรทเ่ี ชื่อมตดิ กนั ลักษณะทีเ่ ปน็ แท่งเปน็ หลอด หรอื เปน็ ล�ำ

1. ในกล้วยไม้ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี เช่อื มกนั เป็นแกนกลางของดอก เรยี กว่า เส้าเกสร

2. ท่อของก้านเกสรเพศผู้ทเ่ี ช่ือมตดิ กัน เช่นในพืชวงศ์ Malvaceae
doma กระจกุ ขนท่ปี ลายของเมลด็ พชื บางชนดิ
ommissure แนวเชือ่ ม เช่น แนวท่คี าร์เพลเชอ่ื มตดิ กนั
dompound leaves ใบประกอบ
dompressed แบนทางด้านข้าง (laterally) หรอื แบนทางด้านล่าง (dorsally)
donduplicate พับหากัน
donnate เชอ่ื มตดิ ของโครงสร้างเดยี วกนั เช่น เกสรเพศผู้เชอ่ื มตดิ กันเปน็ ท่อ
donnective เนอ้ื เย่อื ท่เี ช่ือมเซลล์สองเซลล์ของอบั เรณู บางครง้ั จะยดื ยาวออกไปเป็นระยางค์
donnivent รวมด้วยกนั หรอื เบนเข้าหากนั เช่น กลบี ดอกชดิ ติดกันท่ีปลายบน
dontorted บดิ เวยี น
dordate รูปหวั ใจ โคนค่อนข้างเป็นพูกลมท�ำให้เกดิ ช่อง

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

184 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช
doriaceous หนาคล้ายหนัง
corm หวั แบบเผอื ก อยู่ใต้ดนิ
dorolla กลบี ดอก อาจแยกจากกันเป็นอสิ ระ (polypetalous) หรอื เช่ือมติดกัน (grmopetalous)
dorona รยางค์ทเี่ ช่ือมระหว่างกลบี ดอกและกสรเพศผู้ หรอื ระหว่างเกสรเพศผู้และรังไข่ มกั จะเชอื่ มตดิ กนั เปน็ วง
หรือเปน็ มงกุฎ เช่น ในพชื วงศ์ Passifloraceae และ Asclepiadaceae
dorymb ช่อเชงิ หลั่น เปน็ ช่อดอกท่ยี อดค่อนข้างแบน โดยก้านดอกย่อยจะเกดิ ขึ้นทตี่ �ำแหน่งต่าง ๆ บนแกน แต่
ทุกก้านจะเจรญิ ไปท่รี ะดับเดียวกนั ดอกด้านนอกสดุ บานก่อน
dotyledon ใบเลี้ยง
drenate หยกั มน
dulm ล�ำต้นของหญ้า
duneate สอบแคบเปน็ รปู ล่ิม
durvinerved ใบทมี่ เี ส้นใบ 4 ,2 เส้น หรือมากกว่า ออกจากโคนใบไปยังปลายใบ เช่น ในพชื วงศ์Melastormataceae
duspidate ตง่ิ แหลม
dyme ช่อกระจกุ เป็นช่อดอกชนดิ ทด่ี อกตรงกลางบานก่อน ช่อดอกทป่ี ลายค่อนข้างกลมหรอื แบน
dystolith ผนังของเซลล์ทเี่ จรญิ ขึน้ มักจะมีแตลเซย่ี มคาร์บอเนต (ดู furuncle ประกอบ)
deciduous ผลดั ใบ ร่วง
declinate โค้งลงมาก
decurrent ครบี ก้านใบ ขอบใบท่ยี าวไปตามก้านใบคล้ายเป็นปีกแคบ
decussate ใบเรียงตรงข้ามและแต่ละคู่ตงั้ ฉากกนั เป็นการจดั เรยี งตัวแบบหน่งึ ของใบ
dehiscent แก่แตก
deltoid รปู สามเหลย่ี ม
dentate ซ่ฟี นั
depressed แบนจากด้านบน
diadelphous เกสรเพศผู้เช่อื มติดกนั เป็น 2 กลุ่ม เช่น พชื อนุวงศ์ Papilionoideae เกสรเพศผู้มี 10 อัน เชอ่ื มตดิ กัน
9 อัน อกี 1 อันแยก
dichotomous แตกเป็น 2
didymous อยู่เปน็ คู่

didynamous มสี องคู่ยาวไม่เท่ากัน เช่น เกสรเพศผู้มี 4 ยาว 2 สน้ั 2 185

digitate ใบประกอบรปู นว้ิ มอื ใบย่อยออกจากจดุ เดยี วกนั เช่น พวกงว้ิ (Ceiba) (เหมอื น palmate)

dimorphic มรี ูปร่าง 2 แบบ

dioecious ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น พชื ทมี่ ดี อกเพศผู้อยู่ต้นหน่งึ และดอกเพศเมียอยู่อกี ต้นหนึ่ง

disc จานดอก เป็นเน้ือเย่อื ทีเ่ จรญิ ขึ้นมาระหว่างกลีบดอกและเกสรเพศผู้ มกั จะเปน็ วง ถ้วย หรือหมอน อาจจะ
เป็นพู หรอื แยกเปน็ ต่อม (disc-glands) ซ่งึ บางคร้ังเข้าใจว่าเป็นเกสรเพศผู้ทเ่ี ปน็ หมนั

discoid 1. คล้ายจาน

2. ดอกกระจุก ของพชื วงศ์ Compositae ทไ่ี ม่มีดอกวงนอก (ray-flowers) มแี ต่ดอกวงใน (disc-flowers)

dissepiment ผนังก้ัน

distal ด้านปลาย ตรงข้ามกับ proximal (ด้านโคน)

distichous สลบั ระนาบเดยี ว การเรียงตวั ของใบสลับกันอยู่ในระนาบเดยี วกัน

distinct แยก แยกกันเหน็ ชดั เจนของอวัยวะเดยี วกัน

divaricate ถ่างมาก แยกออกจากกันมาก ๆ

dorsal ด้านหลงั หรอื ผวิ ด้านนอกของอวัยวะ เช่น ด้านล่างของใบ ตรงข้ามกบั ventral (ด้านบน)

dorsifixed ก้านเกสรเพศผู้ตดิ ด้านหลังอับเรณู

drupe ผลมเี นื้อเมลด็ แข็ง

echinate มีหนามแขง็

elaiosome รยางค์นุ่มท่ขี วั้ เมลด็ พบในพชื บางชนิด ซง่ึ รยางค์นี้มไี ขมันมาก elaiosome น้มี ี 3 ชนดิ คอื carunculas
เจรญิ มาจาก micropyle, strophiolas เจริญมาจาก hilum ทป่ี ลายอกี ด้านหนึ่งของเมล็ด, arils เจรญิ มา
จาก funicle ใต้เมล็ด elaiosome นม้ี หี น้าท่ีกระจายพนั ธ์ุของเมล็ด โดยมมี ดเป็นพาหะ

ellipsoid ทรงรี

elliptic รปู รี แหลมหรอื กลมทง้ั สองปลาย ความยาวเป็น 2-1.5 เท่า ของความกว้าง โดยท้งั สองด้านเร่มิ โค้งไปจาก
ตอนกลาง

emarginated เว้าที่ปลาย

embryo เอมไบรโอ พชื ท่ียังไม่เจรญิ อยู่ในเมล็ด

endemic พืชถน่ิ เดียว พชื เฉพาะถิน่ ไม่เปน็ พชื พน้ื เมืองของที่อนื่

endocarp ผนงั ผลขัน้ ใน เปน็ ชนั้ ในสุดของผนังผล (pericarp)

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

186 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช
endosperm แหลง่ สะสมอาหารในถงุ เอมไบรโอ พบในเมลด็ พฃื หลายชนดิ มกั จะลอ้ มรอบเอมไบรโอ เชน่ เมลด็ ขา้ ว
และมะพรา้ ว
entire ขอบเรยี บ
epigynous flower ดอกท่กี ลบี เล้ยี ง กลีบดอก และเกสรเพศผู้ตดิ เหนือรงั ไข่
epipetalous บนกลบี ดอก
epiphyte พืชองิ อาศยั พชื ที่ขนึ้ อยู่บนพชื อื่นแต่ไม่เบยี ดเบียนอาหาร เช่น พชื ทขี่ ึ้นบนผวิ หน้าหนิ โดยไม่ได้ส่งราก
ลงไปตามรอยแตก เรยี กพืชพวกนว้ี ่า lithophytes (พชื ชอบขึ้นบนหิน)
exocarp ผนงั ผลชน้ั นอกเป็นผนังชนั้ นอกสุดของผนังผล (pericarp)
exserted โผล่ ย่นื เช่น เกสรเพศผู้โผล่พ้นวงกลบี
exstipulate ไม่มหี ูใบ
extra-axillary เกดิ นอกง่ามใบ
extra-floral นอกดอก
extrorse หันหน้าออกจากแกนดอก
falcate รปู เคยี ว
farinose มีนวลแป้ง
fascicle กระจกุ เป็นกระจกุ ดอก หรอื กระจกุ ใบ โดยเกดิ ข้นึ มาจากจุดเดยี วกัน
ferrugineous สีสนมิ เหลก็
filaments ก้านชูอบั เรณู
filiform คล้ายเส้นด้าย
flexuous คดไปมา
floccose มีขนปยุ
foliaceous คล้ายใบ
follicle ฝักแตกตามยาว เปน็ ผลแห้งแตก มคี าร์เพลเดยี ว แตกตามแนวด้านในท่เี มล็ดตดิ อยู่
forma แบบ เปน็ ชนดิ ทมี่ ลี กั ษณะผดิ แผกไปเลก็ นอ้ ย มกั จะผดิ กนั ทถ่ี น่ิ ทอี่ ยู่ เชน่ เปน็ พชื นำ�้ หรอื พชื บก
free แยกจากกันเปน็ อสิ ระ
frutescent เป็นพุ่ม
fugacious ร่วงเร็ว

funicle ก้านไข่ตดิ กับพลาเซนตา 187

furuncles เนอ้ื ใบทพ่ี องข้นึ พบในตัวอย่างพรรณไม้แห้ง เกิดจากผนงั เซลล์ท่มี ีแคลเซียมคาร์บอเนต (cystolith) หรอื
ผลกึ รปู เขม็ (raphides)

fusiform รปู กระสวย หนาแต่สอบแคบ ไปยังปลายทงั้ สอง

gamopetalous กลีบดอกเช่อื มตดิ กัน อาจเชื่อมติดกนั ทงั้ หมด หรอื เชื่อมตดิ กนั เฉพาะทีโ่ คน (เหมือน sympetalous)

gamosepalous กลบี เลี้ยงเชือ่ มตดิ กนั อาจเชอ่ื มติดกนั ทงั้ หมด หรอื เช่อื มติดกันเฉพาะทีโ่ คน

geniculate งอคล้ายเข่า

geophyte พชื มีเหง้าใต้ดิน

gibbous โป่งข้าวเดยี ว มกั เกดิ ทใ่ี กล้ ๆ โคน

glabrous เกล้ยี ง

gland ต่อม อาจอยู่บนผวิ หรอื ล้อมรอบด้วยโครงสร้างของใบ ดอก ฯลฯ หรอื มีก้านชขู ้นึ หรอื ปลายมขี น

glaucous มนี วล

glomerate เป็นกลุ่มแน่น

glumes กาบช่อย่อย ในพชื วงศ์หญ้า Gramineae เปน็ ใบประดับสองใบ

gynoecium วงศ์เกสรเพศเมยี

gynobasic โคนก้านเกสรเพศเมยี เช่น ในพืชวงศ์ Boraginaceae และ Labiatae

gynophore ก้านชเู กสรเพศเมยี เช่น ในพชื วงศ์ Capparaceae

hastate รูปเง่ยี งใบหอก โคนทงั้ สองข้างเป็นรูปค่อนข้างสามเหลย่ี มกางออกด้านข้าง

heads ดอกแบบช่อกระจุกแน่น

hermaphrodite ดอกสมบรู ณ์เพศ

hetero หลายแบบ

heterogamous มดี อกท้ังสองเพศ เช่น ดอกแบบช่อกระจกุ แน่น (heads) ของพชื บางชนิดในวงศ์ Compositae มีทั้ง
ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี

hilum รอยแผลเปน็ บนเมลด็ ตรงท่ตี ิดกบั funicle หรอื พลาเซนตา

hirsute ขนหยาบแขง็

hispid ขนสาก

homogamous มดี อกเพศเดียว เป็นดอกแบบช่อกระจุกแน่น (heads) มดี อกเพศเดยี วทั้งหมด

คู่มือจำ�แนกพรรณไม้

188 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
hyaline ใส

hypogynous flower ดอกทก่ี ลบี เล้ียง กลบี ดอก และกสรเพศผู้ตดิ ใต้รังไข่

imbricate ซ้อนเหล่อื มกนั

imparipinnate ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี

incised จักลกึ

included ไม่โผล่ เช่น เกสรเพศผู้ไม่โผล่พ้นกลบี ดอก

indefinite มีจ�ำนวนมาก เช่น จ�ำนวนเกสรเพศผู้

indehiscent แก่ไม่แตก

indigenous เฉพาะถิน่

indumentums สง่ิ ปกคลุม เช่น ขน เกลด็ ฯลฯ

induplicate ขอบพับเข้า ขอบของใบ กลบี ดอก หรอื กลบี เลีย้ งพบั เข้า แต่ไม่ซ้อนกนั

indusium 1. ถ้วยคลุมยอเกสรเพศเมยี ของพชื วงศ์ Goodeniaceae

2. เยอ่ื คลุมกลุ่มอบั สปอร์ในพชื พวกเฟิร์น

inferior ovary รังไข่ใต้วงกลบี

inflorescence ช่อดอก

infructescence ช่อผล

internode ปล้อง หมายถงึ ส่วนของล�ำต้นระหว่างข้อสองข้อ

interpetiolar อยู่ระหว่างก้านใบ ถ้าเป็น interpetiolar stipules เป็นหใู บทอี่ ยู่ระหว่างก้านใบของใบทีต่ ิดตรงข้ามกัน
และมักจะเชื่อมติดกัน เช่น พืชวงศ์เขม็ Rubiaceae

intrapetiolar อยู่ระหว่างก้านใบและล�ำต้น

introrse หนั หน้าเข้าสู่แกนดอก

involucel วงใบประดับย่อย

involucre วงใบประดับ เป็นใบประดับทเ่ี รยี งชดิ กนั ใต้ดอกหรอื กลุ่มของดอก เช่น ใบประดับใต้ช่อดอกแบบ umbel

involute ขอบม้วนขึ้น

irregular flower ดอกสมมาตรด้านข้าง เปน็ ดอกทส่ี ่วนต่าง ๆ ของดอกไม่เหมอื นกันทกุ ประการทข่ี นาด และ
รูปร่าง สามารถแบ่งผ่านศูนย์กลางให้ทุกส่วนกันทุกประการได้เพยี งระนาบเดยี ว (เหมอื น
zygomorphic flower)

keel กลบี ดอกคู่ล่างท่เี ชอ่ื มติดกนั ของดอกแบบ papilionaceous 189

keeled เป็นสัน เช่น สันตรงกลางของผล หรอื ของกลีบดอก

labellum กลบี ปาก ใช้กบั

1. กลีบดอกคู่ล่างของดอกกล้วยไม้ (orchids) มกั จะขยายใญ่ขึน้ และมรี ปู ร่าง แตกต่างไปจากกลีบด้านข้าง

2. ปากท่คี ล้ายกลีบดอกของพชื วงศ์ขงิ ข่า Zingiberaceae เปน็ เกสรเพศผู้ท่เี ปน็ หมนั

laciniate จักเป็นครยุ

lanate แบบขนแกะ

lanceolate รปู ใบหยก ปลายแหลมทงั้ สองข้าง หรอื ใกล้โคนอาจกลม ความยาวเปน็ 6-3 เท่าของความกว้าง

legume ฝกั แบบถ่วั มี 1 คาร์เพล

lemma กาบล่างของดอกย่อย ในพชื วงศ์หญ้า Gramineae

lenticels ช่องอากาศ

lepidote มเี กลด็ รังแค

ligulate flower ดอกรูปล้นิ เปน็ ดอกวงนอก (ray flower) ของพืชวงศ์ทานตะวนั Compositae ซ่งึ มีกลีบดอกเป็น
รูปลน้ิ

ligule 1. ลนิ้ ใบ เปน็ รยางค์ท่สี ่วนบนสดุ ของก้านใบ ในพชื วงศ์หญ้า Gramineae

2. กลบี ดอกรปู ลน้ิ (ray flower) ของดอกวงนอกของพชื วงศ์ทานตะวัน Compositae

limb แผ่นใบ

linear รูปแถบ โดยมขี อบขนานกัน

lip 1. กลบี ปาก เรียกกลบี เลย้ี งหรือกลีบดอกทีเ่ ช่ือมตดิ กนั แล้วแบ่งเป็นส่วนบนและส่วนล่าง

2. กลีบของดอกกล้วยไม้ (orchids) (ดู labellum ประกอบ)

locellate แบ่งเป็นช่องเลก็ ๆ

locular ช่อง เช่น unilocular (ช่องเดยี ว)

loculicidal ผลแห้งแบบแคปซูล ชนดิ ที่เมอื่ แก่แตกตรงกลางพู

lorate รูปแถบกว้าง

lyrate จกั แบบขนนกทม่ี พี ูบนสุดใหญ่กว่าพลู ่าง ๆ

mericarp ซกี ผลของผลแบบ schizocarp (ผลแบบผักช)ี

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้

190 กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช
meocarp ผนงั เซลชนั้ กลาง เป็นชนั้ กลางของผนังผล (pericarp) มกั จะอ่อนนุ่ม
micropyle รูเปิดเลก็ ๆท่ปี ลายของไข่ ทที่ ่อของเรณู (pollen-tube) เจาะลงไป
monadelphous เชือ่ มติดกลุ่มเดยี ว เช่น เกสรเพศผู้ของพชื วงศ์ชบา Malvceae
moniliform รูปคล้ายสายลกู ปัด
monochlamydeous ดอกทม่ี วี งกลบี ชน้ั เดยี ว
monocotyledon พืชใบเล้ยี งเดี่ยว พืชทีม่ ีใบเล้ียงหนง่ึ ใบ เม่อื งอกออกมาจากเมลด็
monoecious ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น พชื ท่ีมีดอกแยกเพศ โดยดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยู่บนต้นเดียวกนั
mucronate ปลายแหลมเป็นต่งิ หนาม
muricate ผวิ คาย เปน็ ตุ่มแข็ง หรอื เปน็ หนามแหลม
nervation การเรียงเส้นใบ
nerves เส้นใบ เปน็ เส้นท่อี อกจากเส้นกลางใบทงั้ สองด้าน เส้นท่ีแตกจาก nerves ไปเรยี กว่า vein net-veined

แบบร่างแห
node ข้อ
nut ผลเปลอื กแข็ง แก่ไม่แตก มี 1 ช่อง และ 1 เมลด็
ob- เปน็ ภาษาลาติน ทีเ่ ตมิ น�ำหน้า มกั แปลว่ากลบั หรือคว�่ำ เช่น obconical-กรวยควำ�่ obcordate – หวั ใจกลบั

oblanceolate-ใบหอกกลับ obovate – ไข่กลับ
oblique เฉยี ง เบ้ยี ว มกั ใช้กับโคนใบ
oblong ใบรูปขอบขนาน ขอบใบทัง้ สองด้านค่อนข้างขนานกนั ปลายทัง้ สองด้านบน ความยาว 4-2 เท่า ของความกว้าง
obovate รูปไข่กลับ รปู ไข่ท่สี ่วนกว้างสดุ อยู่ด้านบน
obovoid ทรงรปู ไข่กลบั
obtuse มน หรอื กลม ท่โี คนและปลาย
ochreate ปลอก เช่น หใู บทเ่ี ป็นปลอกท่ลี �ำต้นของ Polygonum
opposite ติดตรงข้าม เช่น opposite leaves-ใบสองใบท่ตดิ อยู่บนข้อเดยี วกันแต่คนละด้านของล�ำต้น stamens
opposite petals-เกสรเพศผู้ติดตรงข้ามกับกลบี ดอก เช่น พชื ในวงศ์ Rhamnaceae
orbicular รปู วงกลม
ovary รังไข่ เป็นส่วนของเกสรเพศเมยี ซึ่งมีรงั ไข่ ก้านเกสรเพศเมียและยอดเกสรเพศเมยี รงั ไข่จะมีไข่อยู่ภายใน

และรงั ไข่จะกลายเปน็ ผล

ovate รปู ไข่ ส่วนกว้างท่สี ดุ จะอยู่ตำ่� กว่าจุดก่งึ กลาง 191

ovoid ทรงรูปไข่

ovule ไข่ เป็นเมล็ดท่ยี งั ไม่โตเตม็ ท่อี ยู่ในรังไข่ก่อนเกดิ การปฏสิ นธิ

palea กาบบน ของดอกย่อยในพชื วงศ์หญ้า Gramineae (ดู lemma ประกอบ)

palmate 1. รปู ฝ่ามอื (ใบเดี่ยว)

2. แบบน้วิ มอื (ใบประกอบ)

pandurate รูปไวโอลนิ

panicle ช่อแยกแขนง ช่อดอกชนดิ ที่แกนกลางช่อดอกแยกแขนง มดี อกย่อยจ�ำนวนมาก

papilionaceous รปู ดอกถ่ัว มกี ลบี standard, wings และ keel

papillose มีปุ่มเลก็

pappus ขนหรอื เกล็ดรอบ ๆ ปลายผลของพชื วงศ์ทานตะวัน Compositae

parietal placentation พลาเซนตาตามแนวตะเขบ็ การตดิ ของไข่ทพ่ี ลาเซนตาบนผนังของรงั ไข่

paripinnate ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่

partite จักแต่ไม่ถงึ โคน

pectinate จกั ซ่ีหวี

pedate แบบตนี เป็ด จกั คล้ายฝ่ามอื แต่จักทพ่ี ดู ้านข้างลกึ กว่า

pedicel ก้านดอกย่อย

peduncle ก้านดอก รวมถงึ ก้านของช่อดอกด้วย

pellucid โปร่งแสง

peltte ใบก้นปิด ก้านใบตดิ ลกึ เข้ามาจากขอบใบ เช่น ใบบัวหลวง

pendulous ห้อยลง

penicillate มีขนเป็นกระจุก

perennial พชื หลายปี มีอายุเกนิ กว่าสองฤดู

perfoliate ใบไม่มกี ้านใบ โคนตดิ รอบล�ำต้น

perianth วงกลบี รวม ใช้เรียกรวมท้ังวงกลีบเล้ียงและวงกลีบดอก หรอื อาจเรยี กวงใดวงหน่ึงในกรณีท่อี ีกวงหน่งึ ไม่มี

pericarp ผนังผล ชน้ั ต่าง ๆ อาจจะเช่อื มกนั เปน็ ชนั้ เดียว หรืออาจแยกออกจากกันได้เปน็ 3 ชน้ั คือ ชน้ั exocarp,

คู่มือจ�ำ แนกพรรณไม้


Click to View FlipBook Version