The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสนพิธีเบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ศาสนพิธีเบื้องต้น

ศาสนพิธีเบื้องต้น

Keywords: ค

144 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ข้อกำหนดของกองพระราชพิธี ๑) ผู้มีสิทธิได้รับพระราชทานเพลิงศพ ถ้าจะพระราชทานในต่างจังหวัด (นอกเขตรัศมี ๕๐ กม. จากพระบรมมหาราชวัง) ยกเว้นปริมณฑล ใกล้กรุงเทพฯ ทางสำนักพระราชวังจะได้จัด หีบเพลิง ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับส่งไปพระราชทานเพลิง หรือให้เจ้าภาพศพไปติดต่อขอรับ หีบเพลิงพระราชทานที่กองพระราชพิธีสำนักพระราชวัง ๒) กรณีพระราชทานเพลิงศพ ทั้งตามเกณฑ์ที่ได้รับพระราชทานและกรณีพิเศษที่ไม่มี เครื่องเกียรติยศประกอบศพในกรุงเทพฯ ทางสำนักพระราชวังจะได้จัดเจ้าพนักงานเชิญ เพลิงหลวงไปพระราชทานโดยรถยนต์หลวง ทั้งนี้เจ้าภาพไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้น กรณีปริมณฑลในรัศมี๕๐ กิโลเมตร จากพระบรมมหาราชวัง เจ้าภาพจะต้องจัดรถรับ-ส่งให้กับ เจ้าหน้าที่เชิญเพลิงด้วย ๓) สำหรับเครื่องประกอบเกียรติยศ ได้แก่ หีบ โกศ ฉัตรตั้ง นั้น ทางสำนักพระราชวัง จะได้เชิญไปประกอบ และจะตั้งไว้มีกำหนดเพียง ๗ วัน เมื่อพ้นไปแล้ว เจ้าภาพหรือทายาทยังไม่ กำหนดพระราชทานเพลิง ถ้าทางราชการมีความจำเป็น ก็จะถอนส่วนประกอบลองนอกของหีบ หรือโกศไปใช้ในราชการต่อไป ๔) ในการพระราชทานเพลิงนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญเพลิงพระราชทาน หรือเจ้าภาพเชิญ หีบเพลิงไปถึงมณฑลพิธีในการนี้ห้ามเปิดหรือบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเนื่องจากเป็นการ ไม่เหมาะสม ๕) เจ้าภาพงานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อจะขอรับหมายรับสั่ง ให้ติดต่อขอรับได้ที่ เจ้าหน้าที่กองพระราชพิธีโทรศัพท์๐-๒๒๒๔-๔๗๔๗ ต่อ ๔๕๐๑ ๖) ก่อนงานพระราชทานเพลิงศพ ๑ วัน ให้เจ้าภาพติดต่อยืนยันความถูกต้องกับ เจ้าหน้าที่กองพระราชพิธีที่หมายเลข ๐-๒๒๒๒-๒๗๓๕ (เฉพาะเพลิงที่เชิญโดยเจ้าหน้าที่) ๗) หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ ๐-๒๒๒๑- ๐๘๗๓


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 145 กองพระราชพิธีสำนักพระราชวัง โทร. ๐-๒๒๒๑-๐๘๗๓, ๐-๒๒๒๑-๗๑๘๒ และ ๐-๒๒๒๒-๒๗๓๕ แนวปฏิบัติงานในการพระราชทานเพลิงศพ วิธีปฏิบัติในการพระราชทานเพลิงศพ ในกรุงเทพมหานคร และรัศมี๕๐ กิโลเมตร เวลา................น. - รถยนต์รับพนักงานพระราชพิธีเชิญเพลิงหลวงพระราชทานออกจากพระบรม มหาราชวัง เวลา................น. - เจ้าภาพตั้งแถวรอรับเพลิงหลวงพระราชทานตามความเหมาะสมกับสถานที่ เวลา................น. - พนักงานพระราชพิธีเชิญเพลิงหลวงลงจากรถยนต์และยืนอยู่กับที่ - พนักงานพระราชพิธีเชิญเพลิงหลวงพระราชทานขึ้นสู่เมรุ - เจ้าภาพเดินตาม และหยุดที่หน้าบันไดเมรุ - พนักงานพระราชพิธีเชิญเครื่องขมาศพ และเพลิงหลวงพระราชทานวางที่โต๊ะ - พนักงานพระราชพิธีคำนับศพ แล้วลงจากเมรุ - พนักงานอ่านหมายรับสั่ง อ่านสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อ่านคำประกาศ เกียรติคุณของผู้ที่ได้รับพระราชทานเพลิง (ประวัติโดยย่อ) จบแล้ว - พิธีกรเชิญผู้มีเกียรติที่มาในงานพระราชทานเพลิงศพ ยืนสงบนิ่งไว้อาลัย ๑ นาที - เจ้าภาพเชิญผู้เป็นประธานในการพระราชทานเพลิงศพขึ้นเมรุ - ประธานพิธีทอดผ้าบังสุกุล - (ในกรณีทอดผ้าไตรบังสุกุล ถ้าผ้าไตรบังสุกุลเป็นของหลวงพระราชทาน พระสงฆ์ต้องใช้พัดยศขึ้นพิจารณาผ้าบังสุกุล แล้วลงจากเมรุ) - ประธานในพิธีฯ หันหน้าไปทางทิศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ - ถวายความเคารพ - หยิบกระทงข้าวตอก กระทงดอกไม้จากพนักงานพระราชพิธีวางที่ฐานฟืน หน้าหีบศพ - แล้วหยิบดอกไม้จันทน์จากพนักงานพระราชพิธีจุดเพลิงพระราชทานจาก โคมไฟที่เจ้าพนักงานถือ


146 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น - เชิญไฟสอดลงใต้กองฟืน ลงจากเมรุ - พระสงฆ์ขึ้นเมรุเผาศพก่อน แล้วแขกผู้มีเกียรติกับบรรดาญาติมิตรขึ้นเมรุ ตามลำดับ - พนักงานพระราชพิธีสำนักพระราชวัง เดินทางกลับ หมายเหตุ ๑) จัดโต๊ะ ๑ ตัว ปูผ้าขาว ตั้งด้านศีรษะศพ สำหรับวางเครื่องขมาศพ และวางโคมไฟหลวง ๒) จัดเตรียมโคมไฟสำหรับต่อเลี้ยงเพลิงพระราชทานจากพนักงานพระราชพิธีนำไป รักษาไว้เพื่อใช้พระราชทานเพลิงศพเมื่อถึงเวลาเผาจริง ๓) ในกรณีทหาร ตำรวจ ที่ได้กองเกียรติยศ เมื่อประธานวางกระทงข้าวตอก กระทงดอกไม้ เครื่องขมาแล้ว ให้เป่าแตรนอน จบแล้ว ๔) เมื่อประธานหยิบธูปเทียน ดอกไม้จันทน์ ให้บรรเลงเพลงเคารพศพ ต่อไฟ พระราชทานจากโคมไฟแล้ว วางไว้ใต้กองฟืน เพื่อเป็นการพระราชทานเพลิงศพ ๕) เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญเพลิงพระราชทาน หรือเชิญหีบเพลิงพระราชทานไปถึงมณฑลพิธี ห้ามเปิดหรือบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในการพระราชทานเพลิงศพ ๖) กรณีพระราชทานเพลิงศพ โดยการเชิญเพลิงของเจ้าหน้าที่ให้เจ้าภาพติดต่อ เจ้าหน้าที่งานพิธีการ เพื่อยืนยันก่อนวันพระราชทานเพลิงศพ ๑ วัน ในการขอพระราชทานเพลิงศพนั้นจะต้องไม่ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติพระราชพิธีฉัตร (และประเพณีนิยมไม่เผาศพในวันศุกร์) การปฏิบัติเกี่ยวกับหีบเพลิงพระราชทาน (ระยะทางห่างจากสำนักพระราชวังเกิน ๕๐ กิโลเมตร) ตามระเบียบที่สำนักพระราชวังได้วางไว้เมื่อกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าภาพ แล้วแต่กรณีได้มีหนังสือแจ้งมายังสำนักพระราชวัง เพื่อขอพระราชทานเพลิงศพ หากศพนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับพระราชทานเพลิงศพ สำนักพระราชวังจะได้มีหนังสือแจ้งให้ เจ้าภาพศพเพื่อทราบ จากนั้นเจ้าภาพศพหรือเจ้าหน้าที่ของจังหวัดแล้วแต่กรณีให้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปขอรับหีบเพลิงพระราชทานได้ที่ กองพระราชพิธีสำนักพระราชวัง เมื่อได้รับหีบเพลิงพระราชทาน ไปแล้วต้องปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ๑) เชิญหีบเพลิงพระราชทานไปวางที่ศาลากลางจังหวัด อำเภอ หรือหน่วยราชการ ที่สังกัดในท้องถิ่น หรือที่บ้านเจ้าภาพ แล้วแต่กรณีโดยตั้งไว้ในที่อันสมควร และควรมีพานรองรับ หีบเพลิงพระราชทานนั้นด้วย


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 147 ๒) เมื่อถึงกำหนดวันที่ขอพระราชทานเพลิงศพ ทางจังหวัด อำเภอ หรือเจ้าภาพ แล้วแต่กรณีจะต้องจัดเจ้าหน้าที่ แต่งเครื่องแบบปกติขาวไว้ทุกข์ เพื่อเชิญหีบเพลิงพระราชทาน พร้อมด้วยพานรอง (หนึ่งหีบต่อ ๑ คน) ไปยังเมรุที่จะประกอบพิธีและก่อนที่จะเชิญขึ้นไปตั้งบนเมรุนั้น ควรยกศพขึ้นตั้งเมรุให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วจึงเชิญพานหีบเพลิงพระราชทานขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะ ทางด้านศีรษะศพ (บนโต๊ะที่ตั้งหีบเพลิงพระราชทานนั้นจะต้องมีผ้าปูให้เรียบร้อย และห้ามมิให้ นำสิ่งหนึ่งสิ่งใดวางร่วมอยู่ด้วยเป็นอันขาด เมื่อเชิญพานหีบเพลิงพระราชทานวางเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้เชิญคำนับเคารพศพ ๑ ครั้ง (แต่ถ้าเป็นศพพระสงฆ์ให้ประนมมือไหว้) แล้วจึงลงจากเมรุ ๓) ขณะที่เชิญพานหีบพระราชทานไปนั้น เจ้าหน้าที่ผู้เชิญจะต้องระมัดระวังกิริยา มารยาท โดยอยู่ในอาการสำรวม ไม่พูดคุยกับผู้ใด และไม่ต้องทำความเคารพผู้ใด และไม่เชิญ หีบเพลิงพระราชทานเดินตามหลังผู้หนึ่งผู้ใดเป็นอันขาด ๔) ผู้ที่ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ทั้งประชาชน ข้าราชการ และพนักงาน ลูกจ้าง รัฐวิสาหกิจ ควรแต่งกายไว้ทุกข์ตามประเพณีนิยม ในกรณีลูกหลานหรือญาติรวมทั้งผู้ที่ เคารพนับถือผู้วายชนม์ที่รับราชการ จะแต่งกายชุดปกติขาวไว้ทุกข์ก็จะเป็นเกียรติแก่ผู้วายชนม์ และยังนับว่าเป็นการถวายพระเกียรติ ๕) ผู้ที่ตั้งแถวรอรับการเชิญหีบเพลิงพระราชทานเดินไปสู่เมรุ ควรเป็นเจ้าภาพงาน การแต่งกาย ควรแต่งเครื่องแบบไว้ทุกข์ตามประเพณีนิยม ในกรณีที่เป็นข้าราชการ แต่งกาย เครื่องแบบปกติขาว ไว้ทุกข์ ๖) ระหว่างที่เจ้าหน้าที่เชิญหีบเพลิงพระราชทานเดินไปสู่เมรุนั้น ประชาชนที่มาร่วมงาน ควรนั่งอยู่ในความสงบโดยมิต้องยืนขึ้น ไม่ต้องทำความเคารพ และไม่มีการบรรเลงเพลงอย่างใด ทั้งสิ้น เพราะยังไม่ถึงขั้นตอนของพิธีการ เจ้าหน้าที่ผู้เชิญก็มิใช่ผู้แทนพระองค์ เป็นการปฏิบัติ หน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ๗) เมื่อถึงกำหนดเวลาพระราชทานเพลิง ให้เจ้าภาพเชิญแขกผู้อาวุโสสูงสุดขึ้นเป็น ประธานจุดเทียน ประธานในพิธีจุดเพลิงที่อาวุโสสูงสุดนั้น หมายถึง อาวุโสทั้งด้านคุณวุฒิและด้านวัยวุฒิ ทั้งนี้ หากมีพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป หรือราชสกุลที่มีเกียรติในราชการ ซึ่งศพหรือ ทายาทอยู่ใต้บังคับบัญชา หรือเป็นผู้ที่เคารพนับถือ สมควรเชิญบุคคลนั้นเป็นประธาน ๘) ในระยะเวลาก่อนเจ้าภาพเชิญผู้อาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นประธานประกอบพิธี พระราชทานเพลิงนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้เชิญหีบเพลิงพระราชทานขึ้นไปรออยู่ ณ โต๊ะวางหีบเพลิง พระราชทานบนเมรุก่อนเมื่อผู้เป็นประธานทอดผ้าไตรบังสุกุล พระภิกษุได้ชักผ้าบังสุกุลแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ผู้เชิญหีบเพลิงพระราชทานแก้ห่อหีบเพลิงพระราชทานออก จากนั้นผู้เป็นประธาน ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้


148 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น (๑) ประธานพิธีเดินขึ้นไปบนเมรุ (๒) ทอดผ้าไตรบังสุกุล (๓) พระสงฆ์พิจารณาผ้าไตรบังสุกุล (๔) ประธานพิธีหันหน้าไปทางทิศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ถวายคำนับ ๑ ครั้ง (๕) หยิบเทียนชนวนในหีบเพลิงพระราชทาน มอบให้เจ้าหน้าที่ผู้เชิญถือไว้ (๖) หยิบกลักไม้ขีดในหีบเพลิงพระราชทาน จุดไฟต่อเทียนชนวนที่เจ้าหน้าที่ผู้เชิญ ถือไว้รอจนเทียนลุกไหม้ดีแล้ว (๗) ทำความเคารพ (ไหว้) ๑ ครั้ง ก่อนหยิบธูป ดอกไม้จันทน์ และเทียน พระราชทาน (จำนวน ๑ ชุด) ในหีบเพลิงพระราชทาน (๘) จุดไฟหลวงจากเทียนชนวนแล้ววางไว้กลางฐานที่ตั้งศพ จากนั้นก้าวถอยหลัง ๑ ก้าว คำนับเคารพศพ ๑ ครั้ง แล้วลงจากเมรุ (๙) เป็นอันเสร็จพิธี หมายเหตุ ๑) สำหรับศพที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานผ้าไตรทอดถวายพระบังสุกุล ด้วยนั้นผู้เป็นประธาน ต้องทำความเคารพ (ไหว้) ๑ ครั้ง ก่อนหยิบผ้าไตรพระราชทานจาก เจ้าหน้าที่ผู้เชิญ แล้วทอดผ้าตามพิธีต่อไป ๒) ในกรณีที่เจ้าภาพประสงค์ให้มีการอ่านหมายรับสั่ง เพื่อแสดงถึงการได้รับ พระราชทานเพลิงศพ (ในกรณีที่ได้รับหมายรับสั่ง ถ้ายังไม่ได้รับหมายรับสั่งก็ไม่ต้องอ่าน)* การอ่านหมายรับสั่ง ประวัติผู้วายชนม์สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนั้นส่วนสำนัก พระราชวังให้แนวทางไว้ดังนี้ ๑) หมายรับสั่ง แสดงถึงการได้รับพระราชทานเพลิงศพ ๒) สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๓) คำประกาศเกียรติคุณของผู้ที่ได้รับพระราชทานเพลิง (ประวัติโดยย่อ) อนึ่ง สำนักพระราชวัง ได้หมายเหตุไว้ว่า การอ่านหมายรับสั่ง ประวัติผู้วายชนม์ สำนึกพระมหากรุณาธิคุณนั้น เป็นขั้นตอนที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้ขอนำเสนอขั้นตอนการอ่านหมายรับสั่งไว้เพื่อประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๑) หมายรับสั่ง แสดงถึงการได้รับพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับการพระราชทานเพลิงศพ ๒) สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๓) ประวัติผู้วายชนม์ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณ แล้วยืนไว้อาลัย ๑ นาทีจากนั้น เรียนเชิญประธานพิธีขึ้นทอดผ้าบังสุกุล และจุดเพลิงพระราชทาน ซึ่งจะเป็นการปฏิบัติงานพิธี ได้อย่างต่อเนื่อง และเรียบร้อยสวยงาม


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 149 ประวัติผู้วายชนม์ เพื่อประกาศเกียรติคุณ และคำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในงาน พระราชทานเพลิงศพนั้น ให้อ่านเรียงลำดับตามที่กล่าวมา ทั้งนี้ หากจะอ่านเพียงอย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้หรือไม่อ่านเลยก็ได้ขึ้นอยู่กับความประสงค์และความสะดวกของเจ้าภาพเป็นสำคัญ ส่วนการลงท้ายคำอ่านสามารถอ่านชื่อบุคคลผู้เป็นทายาททั้งหมดหรือจะออกชื่อแต่เจ้าภาพก็ย่อม กระทำได้ ในการพระราชทานเพลิงศพหากเจ้าภาพประสงค์จะให้อ่านหมายรับสั่ง คำสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ และประวัติผู้วายชนม์ให้อ่านเรียงลำดับดังกล่าว ตัวอย่างหมายรับสั่ง (แบบ ค.) หมายรับสั่งที่ ๔๗๓๘ สำนักพระราชวัง ๑๐ กุมภาพันธ์๒๕๔๘ พระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปริยัติมุนี (นวน เขมจารี) อดีตเจ้าอาวาส วัดพระธาตุพนม ณ เมรุวัดพระธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระราชทานเพลิง ทองหล่อ/พิมพ์/ตรวจ/ทาน วัน หน้าที่ พนักงานพระราชพิธี นำหมายเรียน เจ้าภาพศพ พระธรรมปริยัติมุนี(นวน เขมจารี) เพื่อทราบ ติดต่อขอรับหีบเพลิงพระราชทานที่กองพระราชพิธีสำนักพระราชวัง ไปปฏิบัติเจ้าภาพไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างใดทั้งสิ้น ทั้งนี้ให้จัดการตามหน้าที่และกำหนดวันตามรับสั่งอย่าให้ขาดเหลือ ถ้าสงสัยก็ให้ถาม ผู้รับรับสั่งโดยหน้าที่ราชการ ....................................................... ผู้รับรับสั่ง


150 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ (สำหรับพระสงฆ์) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเพลิงศพพระ........................ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเกียรติอันสูงสุดแก่ผู้วายชนม์และวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุด มิได้ หากความทราบโดยญาณวิถีถึงดวงวิญญาณของพระ...................................................ได้ ด้วยประการใดในสัมปรายภพ คงจะมีความปลาบปลื้มซาบซึ้งเป็นล้นพ้นในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงยิ่ง ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คณะสงฆ์วัด................................อำเภอ................................จังหวัด................................. ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ถวายพระพรด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหา ที่สุดมิได้และจะเทิดทูนไว้เป็นสรรพสิริมงคลแก่คณะสงฆ์และวงศ์ตระกูลของผู้วายชนม์ตลอดไป ขอถวายพระพร คณะสงฆ์วัด........................................................ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ (สำหรับบุคคลทั่วไป) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทาน เพลิงศพ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)............................................................ซึ่งนับเป็น พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เป็นเกียรติอันสูงสุดแก่ผู้วายชนม์และวงศ์ตระกูล อย่างหาที่สุดมิได้ หากความทราบโดยญาณวิถีถึงวิญญาณของ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)............... .........................ได้ด้วยประการใดในสัมปรายภพ คงมีความปลาบปลื้มซาบซึ้งเป็นล้นพ้น ในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงยิ่ง ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นบุตร ธิดา และหลาน ๆ ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคคลบาท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุด มิได้และจะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม เป็นสรรพสิริมงคลแก่ข้าพระพุทธเจ้าและ วงศ์ตระกูลสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ครอบครัว (นามสกุล).................................................


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 151 แบบอย่างการเขียนประวัติและคำไว้อาลัย เรียน...............................................(ประธานพิธีและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน) ก่อนที่จะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)...................... ในวันนี้ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณ และรำลึกถึงเป็นวาระสุดท้าย กระผม (นาย, นาง, นางสาว, ยศ) พิธีกร.............ขอนำประวัติและคำไว้อาลัยของผู้วายชนม์มาเรียนให้ผู้มีเกียรติ ทุกท่านเพื่อได้ทราบโดยสังเขป ดังนี้ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ).................................เป็นบุตรของ.................................. และนาง................................เกิดเมื่อวันที่........เดือน........................พ.ศ. ................ บ้านเลขที่................ตำบล................................อำเภอ..........................จังหวัด................................. มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม............................คน ๑. ......................................................... ๒. ......................................................... (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)...............................สำเร็จการศึกษา......................................... จากโรงเรียน...................................................... เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้เข้าทำงานเป็น........................................................................ .......................................................................................................................................................... (นาย, นาง, ยศ)..........................................ได้สมรสกับ.................................................... (ซึ่งเป็นบุตร, บุตรี) ของ....................................................................................มีบุตร...........คน คือ ๑. .............................................................. ๒. ............................................................. ตำแหน่งสุดท้าย................................................................................................................ เครื่องราชอิสริยาภรณ์(ถ้ามี)............................................................................................ ตามประวัติการปฏิบัติงาน (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)..............................................เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นผู้มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่อย่างสูงยิ่ง มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารีรักหมู่คณะ รักพี่ รักน้อง รักผู้ใต้บังคับบัญชา และเป็นผู้ให้ความเคารพ ต่อผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เป็นผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ ตลอดระยะเวลา อันยาวนานที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบ ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และสติปัญญา ทำงาน เพื่อสร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาตินับเป็นอเนกอนันต์ ในด้านศาสนาเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ให้การอุปถัมภ์บำรุง พระพุทธศาสนาอยู่เนืองนิตย์


152 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ในด้านครอบครัวได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้นำครอบครัวอย่างดียิ่ง เป็นคู่ชีวิตที่ดีของ (สามี, ภรรยา) ให้ความห่วงใยบุตรธิดาตลอดเวลา ทำให้ครอบครัวมีความอบอุ่นและเป็นครอบครัว ที่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นผู้มีอัธยาศัยร่าเริง สนุกสนาน และมองโลกในแง่ดี (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)....................................ได้ล้มป่วยลงด้วยโรค............................. และเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล...........................................และถึงแก่กรรมด้วยอาการ อันสงบ เมื่อวันที่.........เดือน.........................พ.ศ. ..........เวลา.........นาฬิกา รวมสิริอายุได้........ปี การจากไปของ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)............................................ในครั้งนี้สร้าง ความเศร้าโศกเสียใจแก่ (สามี, ภรรยา) บุตร-ธิดา และญาติมิตรเป็นอย่างยิ่ง และมิใช่แต่เป็นความ สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของครอบครัว (สกุล)......................................เท่านั้น แต่นับว่า เป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลผู้ทรงคุณค่าของประเทศชาติอีกด้วย ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ชีวิตและความตายเป็นของคู่กัน ที่ใดมีเกิดที่นั่นต้องมีตาย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกความเกิด ความเจ็บ ความแก่เบียดเบียน ย่อมเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลา ครั้งถึงกาลกำหนดแล้ว ก็ย่อมจะต้องแตกทำลายไป พระพุทธศาสนาจึงสอนให้พุทธศาสนิกชนพึง ประกอบแต่ความดีเป็นนิตย์เพื่อความสงบสุขของชีวิตในปัจจุบัน และเป็นที่พึ่งพิงในโลกเบื้องหน้า ในสัมปรายภพ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลคุณงามความดีที่ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)........ที่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญมา ตลอดถึงบุญกุศลที่ (สามี, ภรรยา) บุตร ธิดา และญาติมิตร ได้ร่วมจิต บำเพ็ญทักษิณานุประทานอุทิศให้ในกาลครั้งนี้จงเป็นพลวปัจจัยส่งให้(นาย, นาง, นางสาว, ยศ).............................................ได้ไปสถิตเสวยอุดมสุข ในทิพยวิมานสุคติสถาน ในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ. --------------------------- ในวาระสุดท้ายนี้ขอเรียนเชิญท่านผู้มีเกียรติทุกท่านได้ร่วมจิตอธิษฐานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ส่งดวงวิญของ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)........................................ให้ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ ด้วยการยืนไว้อาลัยประมาณ ๑ นาทีด้วยความพร้อมเพรียงกัน. ขอเรียนเชิญครับ ---------------------------- บัดนี้ได้เวลาอันสมควรของพิธีพระราชทานเพลิงศพ (นาย, นาง, นางสาว, ยศ)........ ...................ในวันนี้กระผมขอเรียนเชิญ (ประธานพิธี)..............................................ได้กรุณาทอด ผ้าบังสุกุล และเป็นประธานในการประกอบพิธีจุดเพลิงพระราชทาน เป็นลำดับไป ขอเรียนเชิญครับ. -------------------------------


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 153 ขั้นตอนการปฏิบัติพิธีพระราชทานเพลิง (หีบเพลิง) หีบเพลิงพระราชทาน การวางไฟพระราชทาน ๑) ใกล้เวลา เจ้าหน้าที่เชิญหีบเพลิงพระราชทานมาถึง (เจ้าภาพรอต้อนรับ) นำหีบเพลิง ขึ้นตั้งบนเมรุด้านศีรษะของศพ ๒) ได้เวลา เจ้าภาพเชิญประธานทอดผ้าบังสุกุล (พระสงฆ์บังสุกุล) ๓) เจ้าหน้าที่เชิญหีบเพลิงพระราชทาน ๔) ประธานถวายความเคารพไปทางทิศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ หรือ ถวายบังคม (ไหว้) ไปที่หีบเพลิง แล้ว ๕) หยิบเทียนชนวนในหีบเพลิงพระราชทานมอบให้เจ้าหน้าที่ถือไว้ ๖) หยิบกลักไม้ขีดไฟ จุดไฟต่อเทียนชนวนให้ติดดี ๗) ถวายบังคม (ไหว้) ๑ ครั้ง ก่อนหยิบดอกไม้จันทน์ธูป เทียน จุดไฟหลวงจากเทียน ชนวน ๘) วางดอกไม้จันทน์ธูป เทียนไว้ใต้กลางฐานที่ตั้งศพ (หรือที่ที่เจ้าภาพจัดไว้) ๙) ถอยหลัง ๑ ก้าว ทำความเคารพศพ ๑ ครั้ง แล้วลงจากเมรุ เป็นเสร็จพิธี(จากนั้น ผู้มีเกียรติและเจ้าภาพขึ้นวางดอกไม้จันทน์เป็นลำดับไป) ลำดับการอ่านประกาศเกียรติยศ ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ ๑) หมายรับสั่ง (ถ้ายังไม่ได้รับไม่ต้องอ่าน) ๒) สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๓) ประวัติผู้วายชนม์


154 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น หมายเหตุ ๑) จะอ่านเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่อ่านเลยก็ได้ ๒) ไม่ควรใช้คำนำหน้าชื่อผู้ได้รับพระราชทานเพลิงศพว่า คุณพ่อ... คุณแม่... ๓) ควรใช้ว่า นาย... นาง... นางสาว.... หรือยศ นำหน้าชื่อ เท่านั้น การแต่งกาย ๑) เจ้าหน้าที่ผู้เชิญหีบเพลิงพระราชทาน แต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ ๒) ประธาน แต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ชุดสากลไว้ทุกข์หรือชุดสุภาพสำหรับงานศพ ๓) เจ้าภาพ ถ้าเป็นข้าราชการควรแต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ชุดสากลไว้ทุกข์หรือชุดสุภาพ สำหรับงานศพ การขอพระราชทานดินฝังศพ ดินฝังศพพระราชทาน


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 155 เกณฑ์การขอพระราชทานดินฝังศพ ๑) มีเกณฑ์การขอเช่นเดียวกับการขอพระราชทานเพลิงศพ ๒) ขอพระราชทานได้ทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธ คริสต์และอิสลาม ดินฝังศพพระราชทาน ๑) ในหีบประกอบด้วยดิน ๒๐ ก้อน ห่อด้วยผ้าขาว ๑๐ ก้อน ห่อด้วยผ้าดำ ๑๐ ก้อน ๒) การหยิบดินพระราชทาน ให้หยิบทีละคู่คือสีขาว ๑ ก้อน และสีดำ ๑ ก้อน ๓) การวางดินพระราชทาน ให้วางบนหลังหีบศพตั้งแต่ด้านศีรษะศพลงไปจนครบ ทั้ง ๑๐ คู่ วิธีปฏิบัติในพิธีพระราชทานดินฝังศพ ๑) ใกล้เวลา เจ้าหน้าที่เชิญหีบดินฝังศพพระราชทานถึงสถานที่ตั้งศพ (เจ้าภาพ รอต้อนรับ) เชิญหีบดินตั้งไว้ด้านศีรษะของศพ ทำความเคารพศพ ๒) เจ้าภาพทำพิธีเคารพศพเสร็จแล้ว (ถ้ามีการอ่านประกาศเกียรติยศ อ่านในลำดับนี้) ๓) เชิญหีบศพไปที่หลุมฝังศพ ทำพิธีเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย ๔) เชิญหีบศพลงวางในหลุม ๕) เจ้าหน้าที่เชิญหีบดินพระราชทาน ๖) ประธานถวายความเคารพไปทางทิศที่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ หยิบห่อดิน พระราชทานสีขาว-สีดำ ครั้งละ ๑ คู่ วางเรียงบนหลังหีบศพจากทางด้านศีรษะของศพลงไป จนครบทั้ง ๑๐ คู่ ๗) ทำความเคารพศพ ๑ ครั้ง ๘) ผู้มีเกียรติญาติและเจ้าภาพวางดินฝังศพ ๙) เสร็จพิธี การแต่งกาย ๑) เจ้าหน้าที่ผู้เชิญหีบดินพระราชทาน แต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ ๒) ประธาน แต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ชุดสากลไว้ทุกข์หรือชุดสุภาพสำหรับงานศพ ๓) เจ้าภาพ ถ้าเป็นข้าราชการควรแต่งชุดปกติขาวไว้ทุกข์ชุดสากลไว้ทุกข์ หรือ ชุดสุภาพสำหรับงานศพ


156 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น การเตรียมการและการปฏิบัติพิธีงานศพทั่วไป การเตรียมอุปกรณ์ในพิธีงานศพ การเตรียมเครื่องใช้สำหรับการนี้ นอกจากเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย และเครื่อง บูชาศพแล้ว จะต้องจัดเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ในพิธีที่เกี่ยวข้องกับศพ ดังนี้ ๑) ภูษาโยง หรือด้ายสายโยง ๒) เครื่องทองน้อย ๓) ตู้พระอภิธรรม ๔) เครื่องกระบะมุก หรือเครื่องบูชาพระธรรม ๕) สิ่งของเครื่องใช้สำหรับพิธีสงฆ์ การอาบน้ำศพ ๑) การอาบน้ำศพนี้ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว ระหว่างญาติมิตรที่สนิท ไม่นิยมเชิญ บุคคลภายนอก ซึ่งเป็นการอาบน้ำชำระร่างกายศพจริง ๆ โดยการอาบน้ำอุ่นก่อนแล้วอาบด้วย น้ำเย็น ฟอกด้วยสบู่ขัดถูร่างกายศพให้สะอาด ๒) เมื่ออาบน้ำศพเสร็จแล้ว ให้เอาน้ำขมิ้นทาตามร่างกายตลอดถึงฝ่าเท้า แล้วประด้วย น้ำหอม ๓) เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตัวให้ศพตามฐานะของผู้ตาย เช่น เป็นข้าราชการ ก็นิยมแต่งเครื่องแบบ เป็นต้น เครื่องแต่งตัวนั้นนิยมใช้เสื้อผ้าที่สะอาด และใหม่เท่าที่มีอยู่ หลังจากนั้นนำศพขึ้นนอนบนเตียงสำหรับรอพิธีรดน้ำศพตามประเพณีนิยม การรดน้ำศพ ๑) นิยมจัดตั้งพระประจำวันเกิดของผู้วายชนม์พร้อมจุดธูปเทียนบูชาไว้ด้านศีรษะศพ ๒) เตียงที่ศพนอน เพื่อรอการรดน้ำศพจากผู้มาร่วมพิธีรดน้ำศพ ให้ตั้งโดยหันด้านศีรษะศพ ไปทางโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรัย ๓) นิยมตั้งเตียงหันทางด้านมือขวาของศพออกทางด้านกว้าง เพื่อให้ผู้ที่เคารพนับถือ รดน้ำที่มือขวาได้โดยสะดวก ๔) ห้ามมิให้ผู้ใดเดินผ่านทางด้านศีรษะของศพ เพราะถือว่าเป็นกิริยาอาการที่ไม่แสดง ความเคารพต่อศพ ๕) จัดร่างศพให้นอนหงายเหยียดยาว โดยใช้ผ้าห่มหรือผ้าแพรคลุมตลอดร่างศพ เปิดไว้ เฉพาะหน้าและมือขวาของศพ และจัดมือขวาให้เหยียดออกคอยรับการรดน้ำจากผู้ที่เคารพนับถือ ๖) จัดเตรียมขันโตกใส่น้ำอบ และโรยกลีบดอกไม้ไว้ด้านขวามือของศพ พร้อมทั้งขันเล็ก ๆ เพื่อไว้ให้บุตรหลานหรือทายาทตักน้ำให้ผู้ที่มีความประสงค์จะมารดน้ำศพ เพื่อการขมาศพ


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 157 ๗) จัดเตรียมขันโตก หรือขันน้ำพานรองขนาดใหญ่ตั้งไว้คอยรองรับน้ำที่รดศพ ๘) ก่อนพิธีรดน้ำศพ ควรให้เจ้าภาพจุดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยก่อน แล้วจึงเริ่ม พิธีรดน้ำศพ ๙) เมื่อผู้มีเกียรติที่มาแสดงความเคารพศพด้วยการรดน้ำศพหมดแล้ว ถ้าได้รับ พระราชทานน้ำอาบศพ ให้เชิญผู้อาวุโสที่อยู่ในที่นั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รดน้ำศพพระราชทาน ซึ่งถือเป็นลำดับสุดท้ายของพิธีรดน้ำศพ เมื่อทำพิธีรดน้ำศพพระราชทานแล้วถือเป็นเสร็จพิธีรดน้ำศพ ไม่สามารถให้ผู้หนึ่งผู้ใดรดน้ำศพอีก ๑๐) ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้รับหน้าที่ดำเนินการนำศพลงหีบ เพื่อกระทำ พิธีกรรมทางศาสนาต่อไป ๑๑) เมื่อนำศพลงโลงหรือโกศแล้ว บางเจ้าภาพจะให้มีการทอดผ้าบังสุกุล (ส่วนใหญ่ จะเป็นผ้าไตรจีวรหรือสบงตามฐานะ) เพื่อให้พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ซึ่งเรียกว่า บังสุกุลปากหีบ หรือบังสุกุลปากโกศ (ซึ่งจะนิมนต์พระสงฆ์เพื่อการนี้เท่าใดก็ได้ไม่มีกำหนด แต่ถ้าเป็นพิธีของหลวง มักจะนิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป) ๑๒) เมื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลเรียบร้อยแล้ว นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๔ รูป สวดพระอภิธรรม ต่อจากพิธีบังสุกุลปากหีบ หรือปากโกศทันทีโดยปฏิบัติดังนี้ (๑) เมื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลปากหีบ หรือปากโกศ ลงจากอาสน์สงฆ์แล้ว (๒) พิธีกรตั้งตู้พระธรรมเบื้องหน้าอาสนสงฆ์ของพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม (๓) แต่งตั้งเครื่องนมัสการพระธรรม (๔) นิมนต์พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จำนวน ๔ รูป ขึ้นอาสนสงฆ์ (๕) เชิญเจ้าภาพหรือประธานพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระธรรม (๖) พระสงฆ์จำนวน ๔ รูป สวดพระอภิธรรม จำนวน ๑ จบ (ถ้าเจ้าภาพประสงค์ จะให้สวดจนครบ ๔ จบ ก็ได้) ในกรณีสวด ๑ จบ เมื่อได้เวลาสวดพระอภิธรรมตามที่วัดกำหนด จะสวดต่ออีก ๓ จบ ก็ทำได้หรือเจ้าภาพจะให้นิมนต์สวดตามเวลาของวัดก็ย่อมได้เช่นกัน การจัดสถานที่ตั้งศพ การจัดสถานที่ตั้งศพนั้น จะต้องประกอบด้วยสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับ พิธีงานศพ ดังนี้ ๑) สถานที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระรัตนตรัย ตั้งไว้ทางด้านศีรษะของศพ ๒) สถานที่ตั้งอาสน์สงฆ์สำหรับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ตั้งไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชา (เว้นไว้แต่สถานที่บังคับไม่อาจจะตั้งอาสน์สงฆ์ไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาได้) ๓) สถานที่ตั้งศพ ให้ตั้งหันด้านศีรษะของศพไปทางโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป


158 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๔) สถานที่ตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นิยมตั้งไว้เบื้องหน้าหีบหรือโกศศพ หรือหน้ารูปถ่าย ของศพโดยการนำโต๊ะหมู่มาจัดตั้งให้เหมาะสมและสวยงาม ๕) สถานที่ตั้งรูปถ่าย นิยมตั้งไว้ทางด้านเท้าของผู้ตาย ๖) สถานที่ตั้งหรือการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ให้ศึกษาในพิธีงานอวมงคลตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว การบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพประจำคืน การจัดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพประจำคืนนั้น นิยมเริ่มจัดพิธีสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่วันตั้งศพเป็นต้นไปทุกคืน จนครบสัตตมวารที่ ๑ คือ ครบ ๗ วัน แต่จะจัดให้มีการสวด พระอภิธรรม ๓ คืน หรือ ๕ คืน ก็ได้ตามความสะดวกของผู้เป็นเจ้าภาพ การปฏิบัติพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมประจำคืน เมื่อถึงกำหนดเวลาตามประเพณีนิยมหรือตามที่วัดกำหนด ศาสนพิธีกรพึงปฏิบัติดังนี้ ๑) นิมนต์พระสงฆ์๔ รูป ขึ้นนั่งยังอาสนสงฆ์ถวายน้ำร้อน-น้ำเย็น ๒) เชิญเจ้าภาพหรือประธานหรือผู้แทนในพิธีสวดพระอภิธรรมประจำคืน โดยจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูป เทียนบูชาพระธรรม และจุดเครื่องทองน้อยหน้าศพ ตามลำดับ ๓) ศาสนพิธีกรอาราธนาศีล ทุกคนรับศีล ๔) พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม (ศาสนพิธีกรต้องประสานกับพระสงฆ์แม้ในปัจจุบัน ไม่นิยมอาราธนาธรรม แต่ยังมีบางท้องถิ่นเมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จะต้องมีการ อาราธนาธรรมด้วย) ๕) พระสงฆ์สวดพระอภิธรรมจบ ครบ ๔ จบ ศาสนพิธีกรนำตู้พระธรรมและ เครื่องสักการะ ถอยออกมาทางท้ายอาสน์สงฆ์ ๖) นำเครื่องไทยธรรม เข้าไปตั้ง ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ ๗) เชิญเจ้าภาพ หรือประธาน หรือผู้แทน ถวายเครื่องไทยธรรม ๘) เมื่อพระสงฆ์รับเครื่องไทยธรรมแล้ว ให้นำเครื่องไทยธรรมออกมาไว้ด้านท้าย อาสน์สงฆ์เพื่อจะได้ถวายพระสงฆ์เมื่อเสร็จพิธี ๙) ศาสนพิธีกรลาดภูษาโยง (เป็นหน้าที่ของศาสนพิธีกร) ๑๐) เชิญผ้าไตร หรือผ้าสบง ให้เจ้าภาพหรือประธานทอดบนภูษาโยง ในลักษณะขวาง ภูษาโยง ๑๑) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๑๒) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๓) เจ้าภาพ หรือประธาน กรวดน้ำ-รับพร ๑๔) เสร็จพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมประจำคืน


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 159 พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม การบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ ก็จัดตามฐานะของเจ้าภาพ ซึ่งเป็นไปตามประเพณีนิยม ที่กระทำเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ หรือผู้มีอุปการคุณตามประเพณีนิยม การนับวันบำเพ็ญกุศล ครบ ๗ วัน ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วัน การนับวันเพื่อการบำเพ็ญกุศลอุทิศเนื่องในวาระ ครบ ๗ วัน ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วัน นั้น ให้ถือว่า เมื่อตายวันไหน ให้ถือเอาวันนั้นเป็นวันสำคัญ คือ เป็นวันอุทิศผล เช่น ตายวันอาทิตย์ ถ้าทำงานเป็น ๒ วัน ให้สวดมนต์ในวันเสาร์เลี้ยงพระหรือถวายภัตตาหารในวันอาทิตย์แล้วจึงอุทิศ ผลบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ แต่ถ้าเป็นการทำงานวันเดียว ต้องจัดให้มีการสวดมนต์และฉันภัตตาหาร ในวันอาทิตย์เนื่องจากการอุทิศผลนั้น นิยมทำล่วงไปแล้ว ๗ วันจากวันที่ตาย จึงได้ถือเอาวันที่ ๘ เป็นวันอุทิศผล การบำเพ็ญกุศลอุทิศ ครบ ๗ วัน เรียกว่า “สัตตมวาร” การบำเพ็ญกุศลอุทิศ ครบ ๕๐ วัน เรียกว่า “ปัญญาสมวาร” การบำเพ็ญกุศลอุทิศ ครบ ๑๐๐ วัน เรียกว่า “สตมวาร” พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศนั้น ต้องแล้วแต่ฐานะของเจ้าภาพ จะทำมากหรือน้อยก็สุดแต่กำลัง ในที่นี้จะกล่าวถึงลำดับขั้นตอนของงานที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บำเพ็ญพระราชทาน กุศล ๗ วัน พระราชทานศพ ซึ่งอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดพิธีการ บำเพ็ญกุศล ๗ วัน ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วัน พอสังเขป ดังนี้


160 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ลำดับขั้นตอนการบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ ครบ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน การเตรียมการ ๑) จัดเตรียมสถานที่ (การจัดงานอวมงคล) ๒) การเตรียมโต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป และเครื่องนมัสการ ๓) ในกรณีฌาปนกิจศพแล้ว ให้จัดเตรียมโต๊ะหมู่บูชา เพื่อประดิษฐานอัฐิพร้อมเครื่องบูชา และเครื่องทองน้อย จำนวน ๑ ชุด ถ้าหากยังไม่ได้ทำการฌาปนกิจศพก็ไม่ต้องจัดเตรียม ให้จัดเครื่องบูชาที่หน้าหีบหรือโกศศพ แล้วแต่กรณี ๔) ธรรมาสน์เทศน์ในกรณีที่มีการแสดงพระธรรมเทศนา (ถ้ามีเทศน์) ๕) เครื่องกัณฑ์เทศน์สำหรับถวายพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา (ถ้ามีเทศน์) ๖) เทียนส่องธรรม และเครื่องทองน้อย ๒ ชุด สำหรับเจ้าภาพจุดบูชาธรรม ๑ ที่ และสำหรับผู้วายชนม์บูชาธรรม ๑ ที่ (ถ้ามีเทศน์) ๗) เตรียมนิมนต์พระสงฆ์จำนวนพระสงฆ์แล้วแต่ความเหมาะสม ๘) เครื่องรับรองพระสงฆ์ชุดน้ำร้อน-น้ำเย็น ถวายพระสงฆ์ ๙) อุปกรณ์เครื่องใช้พิธีสงฆ์ในงานอวมงคล (ตามที่กล่าวไว้ในบทที่ ๒) ๑๐) เครื่องจตุปัจจัยไทยธรรมสำหรับถวายพระสงฆ์ ๑๑) ผ้าไตร หรือสบง สำหรับทอดถวายพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๑๒) ภูษาโยง ๑๓) ภัตตาหาร (ในกรณีมีการเลี้ยงภัตตาหารแด่พระสงฆ์) ๑๔) ภาชนะที่กรวดน้ำ การปฏิบัติงานพิธี ๑) เมื่อถึงเวลาเจ้าภาพและผู้ร่วมงานพร้อมแล้ว นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ ๒) เจ้าภาพหรือประธานพิธีจุดธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย กราบ ๓ ครั้ง ๓) เจ้าภาพหรือประธานพิธีจุดเครื่องทองน้อยสักการะศพ (ถ้ามี) ๔) เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร (ในกรณีมีเทศน์ถ้าไม่มีเทศน์เจ้าหน้าที่อาราธนาศีลก่อน แล้วจึงอาราธนาพระปริตร) ๕) พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบบท ภทฺเทกรตฺตคาถา (อตีตํนานฺวาคเมยฺย................ สนฺโตอาจิกฺขเต มุนีติ.) ให้พักไว้ก่อน ในกรณีมีเทศน์ถ้าไม่มีเทศน์พระสงฆ์จะสวดบทถวายพรพระ ต่อไปจนจบบท ภวตุสพฺพมงฺคลํ...) ๖) เจ้าหน้าที่นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นสู่ธรรมาสน์เทศน์(กรณีมีเทศน์) ๗) ประธานจุดเทียนส่องธรรม จุดเครื่องทองน้อยบูชาธรรม (สำหรับประธาน) ๘) ประธานหรือมอบทายาทผู้วายชนม์จุดเครื่องทองน้อยบูชาธรรม (แทนผู้วายชนม์)


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 161 ๙) เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลจบ ๑๐) เจ้าหน้าที่อาราธนาธรรม ๑๑) พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา จบ ลงมานั่งยังอาสน์สงฆ์ณ ที่เดิม ๑๒) พระสงฆ์สวดถวายพรพระ จนจบบท ภวตุสพฺพมงฺคลํ... ๑๓) เจ้าหน้าที่จัดเตรียมภัตตาหาร เมื่อพระสงฆ์สวดถวายพรพระถึงบท “พาหุํ...” หรือ บท “มหาการุณิโก นาโถ...” เพื่อเตรียมให้เจ้าภาพประเคนพระสงฆ์ ๑๔) เมื่อพระสงฆ์สวดถวายพรพระ จบ เชิญประธานหรือเจ้าภาพประเคนภัตตาหาร ๑๕) พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ๑๖) เจ้าหน้าที่จัดเตรียมเครื่องไทยธรรมวางไว้เบื้องหน้าพระสงฆ์ ๑๗) เจ้าหน้าที่เชิญเครื่องกัณฑ์เทศน์เข้าไปเชิญเจ้าภาพประธานถวายพระสงฆ์ที่แสดง พระธรรมเทศนา ๑๘) จากนั้น เชิญเจ้าภาพหรือประธาน และผู้ร่วมงานถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๑๙) เจ้าหน้าที่ลาดภูษาโยง ๒๐) ประธานหรือเจ้าภาพทอดผ้าไตร เพื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๒๑) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล แล้ว ๒๒) พระสงฆ์อนุโมทนา (ขณะพระสงฆ์อนุโมทนาเจ้าหน้าที่เก็บภูษาโยง) ๒๓) ประธานกรวดน้ำ-รับพร ๒๔) เสร็จพิธีบำเพ็ญกุศล ภาคกลางวัน อนึ่ง การบำเพ็ญกุศลอุทิศให้ศพในวาระครบ ๗ วัน ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วัน กลางคืน นิยมมีพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม อีก ๔ จบ สำหรับการเตรียมการและการปฏิบัติงานพิธีก็มี ลักษณะเช่นเดียวกับการสวดพระอภิธรรมประจำคืน การบรรจุศพ ๑) การบรรจุศพ ณ ศาลาที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพสวดพระอภิธรรมนั้น นิยมเริ่มประกอบ พิธีบรรจุศพต่อจากที่ได้บำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย หรือเริ่มประกอบพิธีบรรจุศพ ต่อจากที่ได้บำเพ็ญกุศลอุทิศ ทำบุญครบ ๗ วัน เมื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเสร็จแล้ว ๒) การบรรจุศพ ณ สุสานของวัดที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม นิยมเริ่ม ประกอบพิธีบรรจุศพต่อจากได้บำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย หรือนิยมเริ่มประกอบพิธี บรรจุศพต่อจากได้บำเพ็ญกุศลอุทิศศพ ครบ ๗ วัน เมื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเสร็จแล้ว ให้ทำพิธีบรรจุต่อไปทันทีโดยนิมนต์พระสงฆ์นำศพไปยังสุสานบรรจุศพ ๑ รูป


162 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น การเตรียมการ อุปกรณ์เครื่องใช้ในพิธีบรรจุศพ ๑) ผ้าไตร หรือผ้าสบง อย่างน้อย ๑ ผืน ๒) ก้อนดินเล็ก ๆ ห่อด้วยผ้าสีดำ หรือห่อด้วยกระดาษสีดำ มีจำนวนมากเพียงพอกับ ผู้ร่วมพิธี(คนละ ๑ ก้อน) ๓) ดอกไม้สด ส่วนมากนิยมดอกกุหลาบ จำนวนเพียงพอกับผู้ร่วมพิธี(คนละ ๑ ดอก) ๔) ธูป นิยมใช้ธูปหอม มีจำนวนมากเพียงพอกับผู้ร่วมพิธี(คนละ ๑ ดอก) ๕) กระถางธูป ขนาดใหญ่จำนวน ๑ ใบ แนวทางการปฏิบัติพิธีบรรจุศพ ๑) อัญเชิญศพเข้าสู่ที่บรรจุศพ (บางสถานที่นิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศลก่อนแล้วจึงอัญเชิญศพ เข้าสู่ที่บรรจุศพ) ๒) เจ้าภาพมอบก้อนดิน ๑ ก้อน ดอกไม้สด ๑ ดอก และธูปที่จุดแล้ว ๑ ดอก ให้แก่ผู้ร่วมพิธีบรรจุศพจนครบทุกคน ๓) เจ้าภาพเชิญผู้มีเกียรติที่มาร่วมพิธีและเป็นผู้ที่เคารพนับถือเป็นประธานบรรจุศพ ๔) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุลไว้บนหลังหีบศพ ๕) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๖) ประธานเริ่มพิธีบรรจุศพด้วยการวางก้อนดิน และดอกไม้สด ณ สถานที่บรรจุศพนั้น แล้วถือธูปประนมมือยกขึ้นไหว้ตามฐานะของผู้ตาย ถ้าผู้ตายอายุมากกว่าให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก แต่ถ้าผู้ตายอายุน้อยกว่าให้หัวแม่มือจรดปลายคาง อธิษฐานในใจว่า “ขอจงอยู่ เป็นสุข ๆ เถิด” แล้วปักธูปไว้ณ กระถางธูปที่จัดเตรียมไว้ ๗) เจ้าภาพนิยมนำเงินเหรียญ ๑ บาท หรือเหรียญ ๕ บาท จำนวน ๑ เหรียญ เป็นอย่างน้อย วางลง ณ สถานที่บรรจุศพนั้นพร้อมนึกในใจว่า “ข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้าของที่ ข้าพเจ้าขอมอบเงินนี้เป็นค่าที่อยู่ให้แก่ศพนี้” เป็นเสร็จพิธีบรรจุศพ ๘) ในการประกอบพิธีบรรจุศพนี้ บางท้องถิ่นนิยมมีการโปรยทานด้วย เพื่อเป็นการ บำเพ็ญทาน ซึ่งถือเป็นการกุศลอีกส่วนหนึ่ง อันเป็นการส่งเสริมเพิ่มเติมบุญบารมีของผู้ที่ล่วงลับไป แล้ว ให้มีมากยิ่งขึ้นในคติวิสัยสัมปรายภพนั้น การจัดพิธีฌาปนกิจศพ การจัดงานฌาปนกิจ มีการจัดเป็น ๒ กรณีคือ ๑) การจัดพิธีฌาปนกิจศพหลังจากมีการสวดพระอภิธรรมครบวันตามที่เจ้าภาพกำหนดแล้ว ๒) การจัดพิธีฌาปนกิจศพ โดยการนำศพที่บรรจุไว้และรอโอกาสที่จะฌาปนกิจ


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 163 เมื่อมีความพร้อมหรือได้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างญาติเพื่อจะทำพิธีฌาปนกิจ เมื่อถึงวันที่กำหนดจะทำพิธีฌาปนกิจ ให้เจ้าภาพจัดเตรียมเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามที่กล่าวไว้ในเรื่อง การเตรียมการในพิธีงานอวมงคล และดำเนินการ ดังนี้ การเตรียมการ (จัดพิธีฌาปนกิจศพหลังจากมีการสวดพระอภิธรรมครบวัน) ๑) จัดเตรียมนิมนต์พระสงฆ์๑๐ รูป หรืออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๕ รูป สวดพระพุทธมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา (พระสวดรับเทศน์จะมีหรือไม่มีก็ได้) มีการสดับปกรณ์หรือบังสุกุลและ ก่อนที่จะเคลื่อนศพจากศาลาหรือสถานที่ตั้งศพไปยังฌาปนสถานหรือเมรุ มักนิยมนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน ๑๐ รูป สวดมาติกา-บังสุกุล อีกครั้งหนึ่ง (แต่ในปัจจุบันมักนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาติกาบังสุกุล หลังจากบำเพ็ญกุศลสวดพระพุทธมนต์และพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว และนำศพขึ้นตั้งบนเมรุทันทีเพื่อความสะดวกในการที่เจ้าภาพจะได้กลับไปเตรียมตัว และคอยต้อนรับ ผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในพิธีฌาปนกิจศพ) ๒) จตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ๓) ผ้าไตรหรือผ้าสบงทอดถวายพระสงฆ์ ๔) เครื่องกัณฑ์เทศน์ถวายพระสงฆ์ที่แสดงพระธรรมเทศนา ๕) ผ้าไตรที่จะใช้บนเมรุก่อนที่ประธานพิธีจะจุดไฟฌาปนกิจศพ ๖) รายชื่อผู้ที่จะทอดผ้าบังสุกุลบนเมรุและผู้ที่จะเป็นประธานในพิธี การเตรียมการ (จัดพิธีฌาปนกิจ โดยนำศพที่บรรจุไว้ทำการฌาปนกิจ) ๑) จัดเตรียมเรื่องสถานที่หรือศาลาตั้งศพเพื่อบำเพ็ญกุศลกับทางวัด ๒) นิมนต์พระสงฆ์ ๓) พิมพ์บัตรเชิญผู้ที่เคารพนับถือมาร่วมงานพิธี ๔) อัญเชิญศพจากสุสานมาตั้งยังพิธีบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจ ๑ คืน ๕) จตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ๖) ผ้าไตรบังสุกุลที่จะถวายพระสงฆ์ ๗) เครื่องกัณฑ์เทศน์เพื่อถวายพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา ๘) ผ้าไตรที่จะใช้บนเมรุก่อนที่ประธานพิธีจะจุดไฟฌาปนกิจศพ ๙) รายชื่อผู้ที่จะทอดผ้าบังสุกุลบนเมรุและผู้ที่จะเป็นประธานในพิธี แนวทางการปฏิบัติงาน ๑) เจ้าหน้าที่นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ ๒) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพจุดธูป เทียน บูชาพระพุทธรูป ณ โต๊ะหมู่บูชา (กราบ ๓ ครั้ง) ๓) ประธานพิธีจุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อยหน้าหีบศพ ๔) (กรณีไม่มีการเทศน์) เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล


164 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๕) ประธานสงฆ์ให้ศีล ทุกคนรับศีล ๖) เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร ๗) พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบ ๘) ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ (กำหนดการเพิ่มเติมในกรณีที่มีการแสดงพระธรรมเทศนา) ๙) กรณีมีเทศน์ เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบ ปฏิบัติ เช่นเดียวกับการสวดพระพุทธมนต์บำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๗ วัน ๑๐) นิมนต์พระสงฆ์รูปที่แสดงพระธรรมเทศนาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ๑๑) ประธานหรือเจ้าภาพ จุดเทียนส่องธรรม เจ้าหน้าที่เชิญเทียนส่องธรรมไปตั้งที่ ธรรมาสน์เทศน์ ๑๒) ประธานหรือเจ้าภาพ จุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อยบูชาธรรม ๑๓) ประธานหรือเจ้าภาพ ไปจุดเครื่องทองน้อยบูชาธรรมแทนผู้วายชนม์ที่หน้าหีบศพ (กรณีมี๒ ชุด คือ ชุดนอกสำหรับทายาทจุดเพื่อเคารพศพ และชุดในสำหรับศพบูชาธรรม) ๑๔) เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล ๑๕) เจ้าหน้าที่อาราธนาธรรม พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา ๑๖) เมื่อพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา จบ ๑๗) พระสงฆ์ลงจากธรรมาสน์ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์แล้ว สวดพระพุทธมนต์ถวายพรพระ ๑๘) ถวายภัตตาหารเพล เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ๑๙) จัดเตรียมตั้งเครื่องไทยธรรม ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ ๒๐) ประธานหรือเจ้าภาพประเคนเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เสร็จแล้ว เก็บเครื่องไทยธรรม ไว้ท้ายอาสน์สงฆ์ ๒๑) เจ้าหน้าที่ลาดภูษาโยง ๒๒) ประธานหรือเจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล ๒๓) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๒๔) พระสงฆ์อนุโมทนา ๒๕) ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ-รับพร สำหรับการฌาปนกิจศพทั่วไป บางท้องถิ่นนิยมมีการแสดงพระธรรมเทศนา และสวด มาติกา บังสุกุลในภาคบ่าย ก่อนที่จะเคลื่อนศพไปตั้งที่ฌาปนกิจหรือเมรุ เมื่อเสร็จพิธีสวดมาติกา บังสุกุล จะมีการนำศพเวียนเมรุและขึ้นตั้งบนจิตกาธาน


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 165 การจัดขบวนในการเวียนเมรุ ๑) พระนำศพ ๑ รูป ๒) หีบศพ ๓) เครื่องทองน้อย ๔) เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ๕) ญาติมิตรผู้ร่วมขบวน สำหรับการปฏิบัติในพิธีประชุมเพลิงศพนั้น เพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนที่ ประธานจะมาถึงในพิธีเจ้าหน้าที่พิธีพึงประสานกับเจ้าภาพเรียนเชิญผู้ที่มาเป็นเกียรติที่เคารพ นับถือขึ้นทอดผ้าบังสุกุลให้แล้วเสร็จเสียก่อน เมื่อประธานมาถึงเรียนเชิญไปนั่งยังที่จัดเตรียมไว้ให้ ประธาน จากนั้นเจ้าหน้าที่พิธีพึงอ่านประวัติของผู้วายชนม์ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณความดี จบแล้ว เชิญผู้ร่วมพิธีฌาปนกิจศพยืนไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์เป็นเวลาประมาณ ๑ นาทีหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่พิธีกรพึงปฏิบัติดังนี้ ๑) เรียนเชิญประธานขึ้นทอดผ้าบังสุกุลที่หีบศพ ๒) นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นพิจารณาผ้าบังสุกุล ๓) ประธานจุดไฟ เพื่อประชุมเพลิงศพ ในการประชุมเพลิง ควรนิมนต์พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จำนวน ๔ รูป เรียกว่า สวดหน้าไฟ การเก็บอัฐิ ในพิธีการเก็บอัฐินิยมทำตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น จากวันฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะต้องเตรียมในพิธีเก็บอัฐิ การเตรียมการ ๑) โกศสำหรับใส่อัฐิ ๒) ลุ้ง สำหรับใส่อัฐิหรืออังคารที่เหลือ เพื่อนำไปลอยอังคาร ๓) ผ้าขาว ควรจัดเตรียมไว้๒ ผืน สำหรับห่อลุ้งที่ใส่อังคาร ๔) ผ้าไตร หรือผ้าสบง สำหรับทอดบังสุกุลก่อนเก็บอัฐิ ๕) อาหารคาว-หวาน นิยมจัด ๓ ชุด ที่เรียก พิธีสามหาบ เพื่อถวายพระสงฆ์ที่พิจารณา ผ้าบังสุกุล ๖) นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๓ รูป ๗) เครื่องทองน้อย สำหรับเชิญเจ้าภาพจุดสักการบูชาอัฐิก่อนเก็บอัฐิใส่โกศ และนำอัฐิ ไปยังสถานที่ถวายภัตตาหาร จำนวน ๓ รูป


166 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๘) ดอกไม้(นิยมใช้กลีบดอกกุหลาบ) สำหรับโปรยเพื่อเป็นการสักการะอัฐิ ๙) น้ำอบ น้ำหอม เพื่อพรมอัฐิ ๑๐) เหรียญบาท เพื่อโปรยทาน ซึ่งถือเป็นการบริจาคทานแทนผู้วายชนม์ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่พิธีพึงจัดเตรียมสถานที่ เพื่อเชิญอัฐิไปตั้งและเรียนเชิญเจ้าภาพ ถวายภัตตาหาร ๓ หาบแด่พระสงฆ์ หลังจากนั้นพระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำ-รับพร เป็นเสร็จพิธี แนวทางการปฏิบัติงาน ๑) ก่อนถึงกำหนดเวลาพิธีเก็บอัฐิ(นิยมจัดพิธีช่วงเช้า) เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจะทำพิธี แปรธาตุ คือ การนำอัฐิของผู้วายชนม์ออกมาจากเตาเผาแล้ว จัดเป็นโครงร่างของคน โดยหัน ศีรษะไปทางทิศตะวันตก ๒) ก่อนทำพิธีนิยมให้เจ้าภาพจุดเครื่องทองน้อย เพื่อสักการะอัฐิของผู้วายชนม์ ๓) เจ้าหน้าที่พิธีนำผ้าขาวคลุมอัฐิไว้ ๔) เชิญเจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล ครั้งละ ๑ ไตร และนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นพิจารณา ผ้าบังสุกุล ครั้งละ ๑ รูป จบครบ ๓ รูป ๕) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลแล้ว ลงไปนั่งยังอาสน์สงฆ์ที่เจ้าหน้าที่พิธีได้จัดเตรียมไว้ ๖) เมื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลแล้ว เจ้าหน้าที่พิธีเชิญเจ้าภาพพรมน้ำอบ และ โปรยดอกไม้ที่อัฐิและอังคาร ๗) เชิญเจ้าภาพเก็บอัฐิใส่โกศตามที่พอแก่ความต้องการ โดยเลือกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้กระดูกกะโหลกศีรษะ ๑ ชิ้น กระดูกซี่โครงหน้าอก ๑ ชิ้น กระดูกแขน ทั้งสองข้าง ๆ ละ ๑ ชิ้น และกระดูกขาทั้งสองข้าง ๆ ละ ๑ ชิ้น ๘) อัฐิที่เหลือรวมทั้งอังคาร (ขี้เถ้า) รวมเก็บห่อผ้าขาวใส่ลุ้ง หีบ หรือกล่อง แล้วนำห่อ ผ้าขาวให้เรียบร้อย ๙) จากนั้นให้ญาติผู้วายชนม์ เชิญเครื่องทองน้อย ๑ คน เชิญอัฐิ๑ คน เชิญลุ้งหรือ กล่องอังคาร ลงไปพักยังศาลาบำเพ็ญกุศลพิธีเก็บอัฐิที่จัดเตรียมไว้ ๑๐) เชิญอัฐิไปประดิษฐานที่โต๊ะหมู่ตัวสูง และเครื่องทองน้อยประดิษฐานบนโต๊ะหมู่ตัวที่ ตั้งอยู่ที่หน้าอัฐิที่ได้จัดเตรียมไว้ ๑๑) เชิญเจ้าภาพถวายภัตตาหารสามหาบแด่พระสงฆ์ (เป็นชุดสำรับคาว-หวาน หรือ ปิ่นโตใส่ภัตตาหารคาว-หวาน จำนวน ๓ ชุด)


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 167 การแปรอัฐิ ถวายภัตตาหารสามหาบ


168 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น การจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในโอกาสครบรอบวันตายของผู้วายชนม์ ในปัจจุบันมีการบำเพ็ญกุศลซึ่งปรารภถึงวันครบรอบวันตายของบรรพบุรุษที่ได้วายชนม์ ไปแล้ว มาเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ที่วายชนม์อันเป็นการแสดงออกถึง ความกตัญญูกตเวทีที่ผู้ปรารภเหตุแห่งการบำเพ็ญกุศลที่มีต่อบุพการีชนทั้งหลาย งานนี้จัดเป็น งานอวมงคล เช่นเดียวกับการบำเพ็ญศพ ๗ วัน ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วัน ในส่วนพิธีสงฆ์ ก็มีการบำเพ็ญกุศลเช่นเดียวกับงานอวมงคลดังกล่าวแล้ว เช่น นิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ และจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา อันเป็นการเทศนาเพื่อปรารภคุณูปการของผู้วายชนม์ที่มีต่อ บุคคลหรือประเทศชาติแล้วแต่กรณีด้วยก็ได้ การเตรียมการ ๑) จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ในงานอมงคล ๒) โต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป พร้อมเครื่องนมัสการ จำนวน ๑ ชุด ๓) โต๊ะหมู่บูชา สำหรับประดิษฐานอัฐิหรือสิ่งอันเป็นเครื่องหมายแทนผู้วายชนม์ พร้อมเครื่องบูชา และเครื่องทองน้อย จำนวน ๑ ชุด ๔) เครื่องรับรองพระสงฆ์ตามจำนวนพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์ ๕) นิมนต์พระสงฆ์เพื่อเจริญพระพุทธมนต์ ๖) จตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ๗) ไตรจีวรสำหรับถวายพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาและเจริญพระพุทธมนต์ ๘) ภูษาโยง (กรณีผู้วายชนม์เป็นชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป จะต้องมีผ้ารองโยง ซึ่งเป็นผ้าขาว รองภูษาโยงด้วย) ๙) ธรรมาสน์เทศน์ เทียนส่องธรรม เครื่องทองน้อยอีก จำนวน ๒ ชุด (กรณีที่มีการ แสดงพระธรรมเทศนา) ๑๐) ภัตตาหารสำหรับถวายพระสงฆ์ แนวทางการปฏิบัติงาน ๑) เมื่อประธานพิธีหรือเจ้าภาพ และผู้ร่วมพิธีพร้อมกัน ณ สถานที่ประกอบพิธี ๒) ประธานหรือเจ้าภาพ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (กราบ ๓ ครั้ง) ๓) ประธานหรือเจ้าภาพ จุดเครื่องทองน้อย (กรณีเป็นอัฐิของพระสงฆ์กราบ ๓ ครั้ง เป็นอัฐิของฆราวาส กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ) ๔) ถวายพัดรองหรือตาลปัตรที่ระลึก


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 169 ๕) เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล (กรณีมีการแสดงพระธรรมเทศนาให้อาราธนาศีลเมื่อ พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนา และไม่ว่ากำหนดการจะให้มีการแสดงพระธรรมเทศนาก่อน หรือหลังเจริญพระพุทธมนต์ก็ให้มีการอาราธนาศีลไว้ในช่วงแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อรับศีลแล้ว เจ้าหน้าที่จึงจะอาราธนาธรรม) ๖) เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร ๗) พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ๘) ประธานหรือเจ้าภาพถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารแล้ว ๙) เจ้าหน้าที่นำเครื่องไทยธรรมตั้งไว้ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ทุกรูป ๑๐) เจ้าหน้าที่ลาดภูษาโยง ๑๑) ประธานหรือเจ้าภาพทอดผ้าไตรบังสุกุล ๑๒) พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๑๓) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๔) ประธานหรือเจ้าภาพกรวดน้ำ-รับพร ๑๕) เสร็จพิธี การประดับพวงมาลาหน้าศพ ที่นั่งสำหรับประธาน


170 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น พระสงฆ์ให้ศีล พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพล ประธานทอดผ้าบังสุกุล ประธานกรวดน้ำ-รับพร


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 171 การถวายทาน เป็นการทำบุญหรือทำความดีประการหนึ่ง ตามหลักการทำบุญของ พระพุทธศาสนา ๓ ประการ คือ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน ศีลมัย บุญสำเร็จ ด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา การถวายทาน มี๒ ประเภท คือ การให้หรือการถวายเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่บุคคลใด บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง เรียกว่า ปาฏิบุคลิกทาน ประการหนึ่ง และการให้หรือการถวาย โดยให้หรือถวาย โดยผู้ให้หรือผู้ถวาย มีความตั้งใจถวายหรือให้เป็นสาธารณะไม่เจาะจงผู้ใด ไม่ว่าผู้รับจะเป็นพระภิกษุหรือสามเณร ซึ่งเป็นการถวายอุทิศให้แก่สงฆ์จริง ๆ เรียกว่า สังฆทาน อีกประการหนึ่ง หลักการเกี่ยวกับการถวายทานแด่พระสงฆ์ ๑) หลักสำคัญของการถวายทานแด่พระภิกษุสามเณร ต้องตั้งใจถวายจริง ๆ ๒) จัดเตรียมทานวัตถุที่จะถวายให้เสร็จเรียบร้อย ตามศรัทธาและทันถวาย ถ้าเป็น ภัตตาหาร จีวร และคิลานเภสัช ซึ่งเป็นวัตถุยกประเคนได้ต้องประเคน เว้นแต่ถ้าไม่อยู่ในกาล ที่จะประเคน ก็เพียงแต่นำไปตั้งไว้ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ดังนั้น ถ้าเป็นการถวายทานที่ถูกต้อง ต้องจัดถวายทานให้ถูกต้องตามกาลนั้น ๆ ถ้าเป็นเครื่องเสนาสนะ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างกับที่ และเป็นของใหญ่ใช้ติดที่ก็ต้องเตรียมการตามที่สมควรและถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติ ๓) แจ้งความประสงค์ที่จะถวายทานให้พระภิกษุสงฆ์ทราบ และนัดหมายวัน เวลา และ สถานที่ พร้อมทั้งแจ้งความประสงค์ในการที่จะนิมนต์พระสงฆ์รับการถวายทานจำนวนเท่าใด ๔) ถ้ามีความประสงค์จะถวายทานร่วมกับพิธีการอื่น ๆ ก็ต้องเป็นเรื่องของงานพิธี แต่ละอย่างไป เมื่อถึงเวลาจะถวายทานก็ดำเนินการในส่วนของพิธีถวายทาน ๕) สิ่งที่สมควรถวายเป็นทานตามพระวินัย (๑) เครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ ไตรจีวร สบง อังสะ หรือผ้าเช็ดตัว (๒) บิณฑบาต ได้แก่ ภัตตาหาร น้ำดื่ม น้ำปานะ (๓) เสนาสนะ ได้แก่กุฏิศาลาบำเพ็ญกุศล (๔) คิลานเภสัช หรือยารักษาโรค บทที่ การจัดทานพิธี


172 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๖) สิ่งของที่ควรถวายเป็นทานตามที่ปรากฏในพระสูตร (๑) อันนัง ให้อาหาร (๒) ปานัง ให้น้ำร้อน-น้ำเย็น น้ำอัฏฐบาน (๓) วัตถัง ให้ผ้านุ่งห่ม (๔) ยานัง ให้ยานพาหนะ (๕) มาลัง ให้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม (๖) คันธัง ให้ของหอมต่าง ๆ (๗) วิเลปะนัง ให้เครื่องทาต่าง ๆ (๘) เสยยัง ให้ที่นอนหมอนมุ้ง (๙) วะสะถัง ให้ที่อยู่อาศัย (๑๐) ทีเปยยัง ให้ประทีป หรือให้แสงสว่าง การถวายสังฆทาน การถวายสังฆทาน คือ การถวายทานที่อุทิศแก่สงฆ์ ซึ่งต้องเป็นการตั้งใจถวาย แก่สงฆ์จริง ๆ ไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือสามเณร เป็นพระสงฆ์เถระ หรือพระสงฆ์อันดับ ถ้าเจาะจงจะถวายพระภิกษุรูปใดแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้มีจิตใจไขว้เขวเกิดความ ยินดียินร้ายไปตามบุคคลที่รับสังฆทานนั้น จะเป็นภิกษุหรือสามเณร จะเป็นรูปเดียวหรือหลายรูป ก็ถือว่าเป็นการถวายสังฆทานทั้งสิ้น และถือว่าเป็นผลสำเร็จในการถวายสังฆทานแล้ว เนื่องจาก ผู้รับสังฆทานที่ถวายถือเป็นการรับในนามสงฆ์ซึ่งสงฆ์จัดมาหรือเป็นผู้มาถึงเฉพาะหน้าในขณะ ตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว ซึ่งการถวายทานที่อุทิศให้เป็นของสงฆ์จริง ๆ นี้ในครั้งพุทธกาลมีแบบแผน ในการถวายสังฆทาน ๗ ประการ คือ ๑) ถวายแก่หมู่ภิกษุและภิกษุณีมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๒) ถวายแก่หมู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๓) ถวายแก่หมู่ภิกษุณีมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๔) ถวายแก่หมู่ภิกษุและภิกษุณีไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๕) ถวายแก่หมู่ภิกษุไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๖) ถวายแก่หมู่ภิกษุณีไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๗) ร้องขอต่อสงฆ์ให้ส่งใคร ๆ ไปรับแล้วถวายแก่ผู้นั้น


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 173 การเตรียมการ ๑) จัดเตรียมทานวัตถุที่ต้องการถวายให้เสร็จเรียบร้อย ตามศรัทธาและทันเวลาถวาย เช่น อาหารคาว อาหารหวาน น้ำดื่ม เครื่องกระป๋อง อาหารแห้ง ของใช้ต่าง ๆ ที่พระสงฆ์ใช้ได้ ไม่ผิดพระวินัย (ถ้าอยู่ในกาล คือ เช้า ถึงก่อนเวลาเที่ยงวัน ให้ประเคนได้แต่ถ้าอยู่นอกกาลไม่ต้อง ประเคน เพียงแต่ตั้งไว้ณ เบื้องหน้าพระภิกษุ และให้ประเคนได้เฉพาะวัตถุที่ประเคนนอกกาลได้ เท่านั้น) ๒) จัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัย ๓) แจ้งความประสงค์ที่จะถวายทานนั้น ๆ ให้พระสงฆ์ทราบ ๔) เตรียมนิมนต์พระสงฆ์ที่จะรับสังฆทาน ๕) จัดเตรียมสถานที่ หรือนัดหมายสถานที่ที่จะถวายสังฆทานให้พระสงฆ์ทราบ แนวทางปฏิบัติ ๑) พระสงฆ์มาถึงยังสถานที่จะทำพิธีถวายสังฆทาน (ที่บ้านหรือที่วัด) ตามที่กำหนด และนิมนต์พระสงฆ์ไว้ ๒) นิมนต์พระสงฆ์นั่งยังอาสนสงฆ์ที่จัดเตรียมไว้ตามจำนวนที่จะถวายสังฆทาน ๓) นำเครื่องสังฆทานมาตั้งเรียงไว้ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ ๔) จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กราบ ๓ ครั้ง ๕) อาราธนาศีล ดังนี้ “มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ทุติยัมปิมะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ตะติยัมปิมะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.” ๖) พระสงฆ์ให้ศีล ๗) กล่าวนโม ๓ จบ ดังนี้ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.” จบ ๘) กล่าวคำถวายสังฆทาน (ในกรณีถวายสังฆทานเพื่อความสุขความเจริญของตนเอง) ดังนี้ “อิมานิมะยัง ภันเต, ภัตตานิสะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.”


174 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น คำแปล “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวาย, ภัตตาหาร กับทั้ง บริวารเหล่านี้, แด่พระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดรับภัตตาหาร, กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้, ของ ข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญฯ” ๙) คำกล่าวถวายสังฆทาน (ในกรณีเพื่ออุทิศให้ผู้ตาย) ดังนี้ “อิมานิมะยัง ภันเต, มะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิมะตะกะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปฏิคคัณหาตุ, อัมหากัญเจวะ, มาตาปิตุ, อาทีนัญจะ, ญาตะกานัง, กาละกะตานัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.” คำแปล “ข้าแต่ พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายภัตตาหารเพื่อผู้ล่วงลับไปแล้ว, พร้อมกับของ บริวารทั้งหลายเหล่านี้, แก่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์, โปรดรับภัตตาหารเพื่อผู้ล่วงลับไปแล้ว, พร้อมกับทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์, เพื่อความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย, แก่ญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย, มีบิดามารดา เป็นต้น, ตลอดกาลนานเทอญ.” ๑๐) พระสงฆ์รับ “สาธุ” ๑๑) ประเคนวัตถุที่จะถวายสังฆทาน (ถ้านอกกาลคือหลังเที่ยงวันให้ประเคนเฉพาะผ้าไตร หรือเครื่องสังฆทานที่ไม่ใช่อาหาร) ๑๒) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๓) ผู้ถวายสังฆทาน กรวดน้ำ-รับพร ๑๔) เสร็จพิธีถวายสังฆทาน การถวายผ้ากฐินหรือการทอดกฐิน การถวายผ้ากฐินหรือการทอดกฐิน ถือเป็นการถวายทานที่มีกาลเวลา คือ เป็นการถวายทาน ภายหลังวันออกพรรษา คือ ในระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๒ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) และเพื่อให้ได้ทราบถึงสาเหตุที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับกฐิน และต่อมาพุทธศาสนิกชนได้ถือเป็นการบำเพ็ญบุญสืบต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ดังนี้ ครั้งหนึ่ง ภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป มีความประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เมืองสาวัตถีจึงพากันเดินทางจากเมืองปาฐาไปเมืองสาวัตถีแต่พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ใน ระยะทางห่างจากเมืองสาวัตถีประมาณ ๖ ประโยชน์จึงจะถึงเมืองสาวัตถีก็เป็นวันซึ่งพระภิกษุ ต้องเข้าพรรษา ภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางต่อไปไม่ได้จึงจำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกต ในระหว่าง พรรษามีความร้อนรนอยากจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พอออกพรรษาก็เดินทางไปเมืองสาวัตถีโดยเร็ว ในเวลานั้น ฝนยังตกมากอยู่ การเดินทางจึงถูกโคลนตมทำให้เปรอะเปื้อน เมื่อถึงเมืองสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบความลำบากของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาต


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 175 ให้ภิกษุทำพิธีกรานกฐินในระยะเวลาภายหลังออกพรรษาไปแล้ว ๑ เดือน ภิกษุที่ได้รับกฐินและ กรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์๕ ประการ ตามพระวินัย คือ ๑) เข้าบ้านโดยไม่ต้องบอกลาภิกษุด้วยกัน ๒) เดินทางโดยไม่ต้องเอาผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ (ผ้าไตร ประกอบด้วย สบง ๑ ผืน จีวร ๑ ผืน และสังฆาฏิ๑ ผืน) ๓) ฉันอาหารโดยล้อมวงกันได้ ๔) เก็บจีวรที่ยังไม่ต้องการใช้ไว้ได้ ๕) ลาภที่เกิดขึ้น ให้ตกเป็นของภิกษุที่จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว การทอดกฐินนั้น เมื่อผู้มีศรัทธาประสงค์จะนำผ้ากฐินไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งก็ตาม ผู้มีศรัทธานั้นจะต้องไปจองไว้กับเจ้าอาวาส หรือบอกกล่าวให้พระสงฆ์วัดนั้น ๆ ทราบล่วงหน้าก่อน ว่าในปีนี้จะนำกฐินมาทอด ณ วัดนี้เพื่อทางวัดจะได้ประกาศให้ทายกทายิกาหรือผู้มีศรัทธารายอื่น ๆ ได้ทราบว่า ในพรรษากาลนี้มีผู้จองกฐินมาทอด ณ วัดนี้แล้ว บางกรณีผู้ศรัทธาไม่ได้แจ้งให้พระสงฆ์ ได้ทราบไว้ก่อนล่วงหน้า แต่ได้นำกฐินไปทอดในทันทีที่ไปถึงวัดนั้น จะเรียกว่า “กฐินจร” การเตรียมการ ๑) จัดเตรียมผ้าไตรกฐิน จำนวน ๑ ไตร (ถ้าเป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ต้องเตรียม ผ้าขาว ๑ พับ ยาวประมาณ ๘-๑๐ เมตร วางบนผ้าไตรกฐินด้วย และจัดเตรียมสีย้อมผ้า (สีกลัก) หรือสีตามจีวรที่วัดนั้น ๆ ใช้) ๒) ไตรจีวร สำหรับถวายคู่สวด ๒ ไตร ๓) ของอื่น ๆ ที่พระสงฆ์ใช้ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งถือเป็นบริวารกฐิน ๔) จตุปัจจัยไทยธรรมสำหรับถวายพระสงฆ์อันดับ ตามจำนวนพระสงฆ์สามเณรในวัดนั้น ๕) ปัจจัยสำหรับไว้ใช้จ่ายในการก่อสร้างหรือบำรุงถาวรวัตถุในอาราม ๖) เทียนปาติโมกข์จำนวน ๑ ชุด (เทียนขาว จำนวน ๒๔ เล่ม) ๗) พานแว่นฟ้า สำหรับวางผ้าไตรกฐิน และพานวางเทียนปาติโมกข์ ๘) ดอกไม้ธูป เทียน สำหรับถวายพระภิกษุสามเณร แนวทางการปฏิบัติงาน (ก่อนเข้าสู่พิธีการ) ๑) ถ้าเจ้าภาพมีความประสงค์จะให้มีการฉลององค์กฐิน จัดพิธีเช่นเดียวกับงานมงคล ต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้แล้วในเรื่องการดำเนินงานพิธีมงคล ๒) จัดโต๊ะหมู่หรือโต๊ะผ้าไตรกฐิน และบริวารกฐินเพิ่มขึ้นอีก ๑ ที่ จากการตั้งโต๊ะหมู่ บูชาพระรัตนตรัย ๓) เมื่อถึงวันที่จะนำกฐินไปทอดยังวัดที่ได้จองไว้จะให้มีการแห่แหนไปยังวัดนั้น


176 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๔) เมื่อถึงวัดจะให้มีการนำองค์กฐินไปเวียนประทักษิณรอบอุโบสถก่อน ๓ รอบ ก็ได้ หรือจะนำองค์กฐินเข้าไปยังอุโบสถโดยไม่ต้องเวียนประทักษิณก็ได้ ๕) เมื่อเข้าสู่สถานที่ที่ถวายผ้ากฐินและบริวารกฐิน (โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ หรือ สถานที่ที่ทางวัดเห็นว่าเหมาะสม) แล้ว ให้จัดวางผ้ากฐินและบริวารกฐินให้เรียบร้อยสวยงาม แนวทางการปฏิบัติงาน ๑) เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์ลงสู่อุโบสถหรือศาลาการเปรียญ และนั่งยังอาสน์สงฆ์เรียบร้อยแล้ว ๒) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (กราบ ๓ ครั้ง) ๓) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพประเคนพัดรองหรือตาลปัตรที่ระลึกแด่ประธานสงฆ์ ๔) เจ้าหน้าที่พิธีอาราธนาศีล ๕) ประธานสงฆ์ให้ศีล ๖) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพ และผู้ร่วมอนุโมทนาการทอดกฐินรับศีลพร้อมกัน ๗) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพหยิบผ้าห่มพระประธานมองให้ไวยาวัจกรหรหรือเจ้าหน้าที่ ๘) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพหยิบผ้าไตรกฐินที่พานแว่นฟ้าขึ้นอุ้มประคองประนมมือ หันหน้าไปทางพระประธาน กล่าว “นะโม ๓ จบ” “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.” ๙) หันหน้าไปทางพระสงฆ์กล่าวคำถวายผ้ากฐิน ดังนี้ แบบที่ ๑ “อิมัง ภันเต, สะปะริวารัง, กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, สังโฆ, อิมัง สะปะริวารัง, กะฐินะทุสสัง, ปะฏิคคัณหาตุ, ปะฏิคคะเหตวา จะ, อิมินา ทุสเสนะ, กะฐินัง อัตถะระตุ, อัมหากัง ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.” “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้, แด่พระสงฆ์, ขอพระสงฆ์จงรับ, ผ้ากฐินกับทั้งบริวารนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, ครั้นรับแล้ว, จงกรานกฐินด้วยผ้าผืนนี้, เพื่อประโยชน์, และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนาน เทอญ.” แบบที่ ๒ “อิมัง, สะปะริวารัง, กะฐินะจีวะระทุสสัง, สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ. ทุติยัมปิ, อิมัง, สะปะริวารัง, กะฐินะจีวะระทุสสัง, สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ. ตะติยัมปิ, อิมัง, สะปะริวารัง, กะฐินะจีวะระทุสสัง, สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ.”


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 177 “ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน, พร้อมกับของบริวารนี้, แด่พระสงฆ์. แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน, พร้อมกับของบริวารนี้, แด่พระสงฆ์. แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน, พร้อมกับของบริวารนี้, แด่พระสงฆ์.” ๑๐) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพวางผ้าไตรบนพานแว่นฟ้า ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ แล้วยกประเคนพระสงฆ์รูปที่ ๒ (ต้องประสานกับพระสงฆ์ เนื่องจากวัดบางวัดให้วางไว้ ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์และพระสงฆ์จะประกอบพิธีอปโลกน์กฐิน โดยประธานพิธีหรือเจ้าภาพ ไม่ต้องประเคนผ้าไตรกฐิน) ๑๑) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพยกเทียนปาติโมกข์ประเคนพระสงฆ์รูปที่ ๒ ๑๒) พระสงฆ์ประกอบพิธีอปโลกน์กฐิน ๑๓) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพประเคนบริวารกฐิน และเครื่องไทยธรรม ๑๔) เจ้าหน้าที่ประกาศยอดเงินของกฐิน ๑๕) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพถวายยอดปัจจัยบำรุงวัดแด่ประธานสงฆ์ ๑๖) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๗) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพกรวดน้ำ-รับพร ๑๘) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพกราบพระประธาน (กราบ ๓ ครั้ง) ๑๙) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพกราบลาพระสงฆ์ ๒๐) เสร็จพิธี การถวายผ้าป่า (สามัคคี) การถวายผ้าป่า ไม่ใช่เป็นการถวายทานตามกาลเช่นการทอดกฐิน แล้วแต่ใครมีศรัทธา จะทำเมื่อไร ก็รวบรวมนัดหมายญาติมิตรพรรคพวกทอดถวายเมื่อนั้น ผ้าป่า ครั้งพุทธกาล เรียกว่า ผ้าบังสุกุลจีวร คือ ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหนทิ้งอยู่ตามป่าบ้าง ป่าช้าบ้าง ตามถนนหนทางบ้าง แขวนห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ซึ่งครั้งพุทธกาลทรงอนุญาตให้ภิกษุแสวงหาผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของเขาทิ้งแล้ว หรือผ้าที่เขาห่อซากศพทิ้งไว้ตามป่าช้า และเศษผ้าที่ ทิ้งอยู่ตามถนนหนทาง นำมาซักฟอกตัดเย็บเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งที่ต้องการ แล้วใช้นุ่งห่ม พุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนาส่วนมากในสมัยนั้นเห็นความลำบากของภิกษุในเรื่องนี้ มีความประสงฆ์จะบำเพ็ญกุศลซึ่งไม่ขัดต่อพระพุทธบัญญัติในขณะนั้น จึงได้จัดหาผ้าที่สมควรแก่ สมณะบริโภคไปทอดทิ้งไว้ตามที่ต่าง ๆ โดยมากเป็นป่าช้าที่รู้ว่าภิกษุผู้แสวงหาเดินไป


178 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น การเตรียมการ ๑) จัดโต๊ะหมู่บูชาพร้อมเครื่องนมัสการ ๒) ต้นผ้าป่าหรือกองผ้าป่าซึ่งมีผ้าไตร หรือจีวร หรือสบง หรือผ้าเช็ดตัวสีเหลือง พาดไว้ ที่กิ่งไม้ปักไว้ในกระถาง หรือกระป๋อง ซึ่งบรรจุข้าวสารและอาหารแห้งตามศรัทธา ๓) ปัจจัยบำรุงวัดตามศรัทธา ๔) เตรียมการนิมนต์พระสงฆ์ ๕) อุปกรณ์เครื่องใช้ในงานพิธี แนวทางการปฏิบัติงาน ๑) เมื่อพระสงฆ์ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ ๒) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (กราบ ๓ ครั้ง) ๓) เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล ๔) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพและผู้ร่วมพิธีรับศีลพร้อมกัน ๕) กล่าวรายงาน (กรณีมีการจัดถวายผ้าป่าที่มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจกรรม สาธารณประโยชน์และมีการกล่าวรายงานเพื่อต้องการให้ผู้ที่มาร่วมพิธีได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการจัด พิธีถวายผ้าป่า) ๖) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพประคองผ้าไตร ๗) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพ กล่าว “นะโม ๓ จบ” ๘) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพ กล่าวคำถวายผ้าป่า ดังนี้ “อิมานิมะยัง ภันเต, บังสะกูละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยา มะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ปังสุกูละจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ปะฎิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.” “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวาย, ผ้าบังสุกุลจีวร, กับทั้ง สิ่งของบริวารเหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์, จงรับผ้าบังสุกุลจีวร, กับทั้งสิ่งของ บริวารเหล่านี้, เพื่อประโยชน์, เพื่อความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญ.” ๙) เมื่อกล่าวคำถวายจบ นำผ้าไตรจีวรไปวางไว้ที่กิ่งไม้หรือพาดยังที่ที่จัดเตรียมไว้ ๑๐) นิมนต์พระสงฆ์ลงมาพิจารณาผ้าป่า (เจ้าหน้าที่เตรียมพัดรองหรือตาลปัตรให้พระสงฆ์) ๑๑) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๑๒) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๓) ประธานพิธีหรือเจ้าภาพกรวดน้ำ-รับพร ๑๔) เสร็จพิธี


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 179 การถวายทานต่าง ๆ การถวายทาน เป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการ ทำบุญในพระพุทธศาสนา อันเป็นการทำนุบำรุงผู้ทำหน้าที่ศาสนทายาทในส่วนของพระภิกษุ สามเณร เนื่องจากการถวายทานเป็นส่วนหนึ่งซึ่งนับเข้าในบุญกิริยาวัตถุ โดยถวายเป็นสังฆทานบ้าง ปาฏิบุคลิกทานบ้าง ตามเจตนารมณ์ศรัทธาของผู้ที่จะถวายทานนั้น ๆ การเตรียมการ ๑) จัดเตรียมทานวัตถุที่ต้องการถวายตามที่ตนเองมีความประสงค์จะถวาย ที่พระสงฆ์ ใช้ได้ไม่ผิดพระวินัย ๒) ดอกไม้ธูปเทียน เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัยและถวายพระสงฆ์ ๓) แจ้งความประสงค์ที่จะถวายทานนั้น ๆ ให้พระสงฆ์ทราบ ๔) นิมนต์พระสงฆ์ที่จะรับทาน ๕) สถานที่ หรือนัดหมายสถานที่ที่จะถวายทานให้พระสงฆ์ทราบ แนวทางการปฏิบัติ ๑) พระสงฆ์มาถึงยังสถานที่จะทำพิธีถวายทาน (บ้านหรือวัด) ตามที่กำหนดและนิมนต์ พระสงฆ์ไว้ ๒) นิมนต์พระสงฆ์นั่งยังอาสน์สงฆ์ที่จัดเตรียมไว้ตามจำนวนที่จะถวายทาน ๓) นำวัตถุทานมาตั้งวางเรียงไว้ณ เบื้องหน้าพระสงฆ์ ๔) จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กราบ ๓ ครั้ง ๕) อาราธนาศีล ดังนี้ “มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ทุติยัมปิมะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ตะติยัมปิมะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ.” ๖) พระสงฆ์ให้ศีล ๗) กล่าวนะโม ๓ จบ ๘) กล่าวคำถวายทาน ๙) พระสงฆ์รับ “สาธุ”


180 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น ๑๐) ผู้ถวายทานประเคนวัตถุทานนั้น ๆ (ถ้าเป็นสิ่งของที่ใหญ่หรือเป็นอสังหาริมทรัพย์ ให้ใช้การประเคนกลุ่มด้ายสายสิญจน์ที่เนื่องมาจากวัตถุนั้น ๆ หรือใช้วิธีหลั่งน้ำเพื่อเป็นการแสดงว่า ได้ถวายสิ่งนี้หรือสิ่งที่จะถวายเป็นของสงฆ์แล้ว) ๑๑) พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๒) ผู้ถวายทาน กรวดน้ำ-รับพร ๑๓) เสร็จพิธีถวายทาน


ภาคผนวก


182 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น คำบูชาพระและคำอาราธนา คำบูชาพระ “อิเมหิสักกาเรหิพุทธัง อภิปูชยามิ. อิเมหิสักกาเรหิธัมมัง อภิปูชยามิ. อิเมหิสักกาเรหิสังฆัง อภิปูชยามิ. ข้าพระพุทธเจ้า ขอเคารพบูขาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างสูงและ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยสักการะนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอเคารพบูชาพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระองค์ซึ่งเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกอย่างสูงและศักดิ์สิทธิ์ด้วยสักการะนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอเคารพบูชาพระสงฆ์คือสาวกขององค์ผู้เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างสูง และศักดิ์สิทธิ์ด้วยสักการะนี้” คำอาราธนาศีล ๕ “มะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ทุติยัมปิมะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิยาจามะ. ตะติยัมปิมะยัง ภันเต, วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.” คำอาราธนาพระปริตร “วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา, สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง. วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา, สัพพะ ภะยะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง. วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา, สัพพะ โรคะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง.” คำอาราธนาธรรม “พรัห(ม)มา จะ โลกาธิปะตี, สะหัมปะติกัตอัญชะลี, อันธิวะรัง อะยาจะถะ, สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา, เทเสตุธัมมัง อนุกัมปิมัง ปะชัง.ฯ”


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 183 คำถวายข้าวพระพุทธ “อิมัง, สูปะพะยัญชะนะสัมปันนัง, สาลีนัง, โภชะนัง, อุทะกัง, วะรัง, พุทธัสสะ, ปูเชมิ.” คำลาข้าวพระพุทธ “เสสัง มังคะลัง ยาจามิ.” คำกรวดน้ำปรารถนาผลส่วนตัว (แบบย่อ) “อิทัง เม กะตัง ปุญญัง, นิพพานะปัจจะโย โหตุ, อะนาคะเต กาเล. ขอบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้จงเป็นปัจจัยให้บรรลุพระนิพพาน ในอนาคตกาล ด้วยเทอญ” คำกรวดน้ำอุทิศ (แบบย่อ) “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ, สุขิตา โหนตุญาตะโย. ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข” คำถวายสักการะบุรพกษัตริยาธิราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) กล่าว “นะโม” ๓ จบ และกล่าวคำบูชา ดังนี้ “อุกาสะ, ปิยะมะหาราชะ, อิมินา สักกาเรนะ, ปะระมินทะ, มะหาราชะวะรัสสะ, จุฬาลังกะระณัสสะ, ปูเชมิ, ปิยะมะหาราชานุภาเวนะ, สะทา โสตถี, ภะวันตุ เม.ฯ (กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ)” แบบที่ ๒ (พระบรมรูปหน้าศาลา ๑๐๐ ปีวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม) “ปิโย เทวะมะนุสสานัง ปิโย พรัห(ม)มานะมุตตะโม ปิโย นาคะสุปัณณานัง ปิณินทะริยัง นะมามิหัง ปิยะราชานุภาเวนะ สะทา โสตถีภะวันตุ เม.ฯ (กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ)”


184 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) กล่าว “นะโม” ๓ จบ และกล่าวคำบูชา ดังนี้ “อุกาสะ, มะหาธีระราชะวะรัสสะ, อิมินา สักกาเรนะ, ปูเชมิ, มะหาธีระราชานุภาเวนะ, สะทาโสตถี, ภะวันตุ เม.ฯ (กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ)” สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กล่าว “นะโม” ๓ จบ และกล่าวคำบูชา ดังนี้ “อิติจิตตัง, เอหิเทวะตาหิ, จะ มะหาเตโช, นะระปูชิโต โส ระโส, ปัจจะยา ทิปปะติ, นะเร โส จะ มะหาราชา, เมตตา จะ กะโรติ, มะหาลาภัง, สะทา โสตถีภะวันตุ เม.ฯ” คำถวายคัมภีร์พระไตรปิฎก “มะยัง ภันเต, อิมัง, สะปะริวารัง เตปิฏะกะคันถัง สาตถึง, สัพพะยัญชะนัง, เกวะละปะ ริปุณณัง ปะริสุทธัง, จาตุททิสัสสะ ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง, สะปะริวารัง, เตปิฏะกะคันถัง สัพพะพัญชะนัง, เกวะละปะริปุณณัง, ปะริสุทธัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายซึ่งคัมภีร์พระไตรปิฎก, อันมีอรรถะและพยัญชนะครบถ้วนกระบวนความ, บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง, กับทั้งบริวารเหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ผู้มีในทิศทั้งสี่, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ, ซึ่งคัมภีร์พระไตรปิฎก, อันมีอรรถะและ พยัญชนะครบถ้วนกระบวนความ, บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายคัมภีร์พระธรรม “มะยัง ภันเต, อิมัง, สะปะริวารัง, โปฏฐะกะคันถัง, พะหุชะนะหิตายะ, พะหุชะนะสุขายะ, มะหาเถเรหิ, ยุตตัปปะยุตตัง, ธัมมิกัง, ธัมมะลัทธัง, จาตุททิสัสสะ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง, สะปะริวารัง, โปฎฐะกะคันถัง, พะหุชะนะหิตายะ, พะหุชะนะ สุขายะ. มะหาเถเรหิ, ยุตตัปปะยุตตัง, ธัมมิกัง, ธัมมะลัทธัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 185 ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายซึ่งคัมภีร์ธรรม, อันพระมหาเถระ ทั้งหลาย ชำระสอบทานแล้ว, อันเกิดขึ้นโดยชอบธรรม, อันได้มาโดยธรรม, กับทั้งบริวารนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ผู้มีในทิศทั้งสี่, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ, ซึ่งคัมภีร์พระธรรม, อันพระมหาเถระ ทั้งหลาย, ชำระสอบแล้ว, อันเกิดขึ้นแล้วโดยชอบธรรม, อันได้มาโดยธรรม, กับทั้งบริวารนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายสลากภัต “เอตานิมะยัง ภันเต, สะลากะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, อะสุกัฏฐาเน, ฐะปิตานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, เอตานิสะลากะภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายสลากภัต, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ซึ่งตั้งไว้ณ ที่นั้น, แด่พระภิกษุสงฆ์ขอพระภิกษุสงฆ์จบรับซึ่งสลากภัต, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายข้าวสาร “อิมานิมะยัง ภันเต, ตัณฑุลานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ตัณฑุลานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายข้าวสาร, กับทั้งบริวารเหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับข้าวสาร, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายอุโบสถ “มะยัง ภันเต, อิมัง อุโปสถาคารัง, สังฆัสสะ, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง, อุโปสถาคารัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายซึ่งอุโบสถหลังนี้แด่พระสงฆ์, ขอพระสงฆ์จงรับซึ่งอุโบสถหลังนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้า ทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ”


186 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น คำถวายปราสาทผึ้ง “มะยัง ภันเต, อิมัง, สะปะริวารัง, มะธุปุปผะปาสาทัง, อิมัสมิง วิหาเร, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง, สะปะริวารัง, มะธุปุปผะปาสาทัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายปราสาทผึ้งกับทั้งบริวารนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์ในวัดนี้, ขอพระสงฆ์จงรับปราสาทผึ้งกับทั้งบริวารนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายยานพาหนะ “มะยัง ภันเต, อิมัง, ยานัง, ภิกขุสังฆัสสะ, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง, ยานัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายซึ่งยานพาหนะนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระสงฆ์จงรับซึ่งยานพาหนะนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้า ทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายสะพาน “มะยัง ภันเต, อิมัง, เสตุง, มะหาชะนานัง, สาธาระณัตถายะ, นิยยาเทมะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัสมิง, เสตุมหิ, นิยยาทิเต, สักขิโก โหตุ, อิทัง, เสตุทานัง, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ, สังวัตตะตุ.ฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายซึ่งสะพานนี้, เพื่อประโยชน์ทั่วไป แก่มหาชนทั้งหลาย, ขอพระสงฆ์จงเป็นพยาน, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ในสะพานที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้มอบให้แล้วนี้, ขอการถวายสะพานนี้, จงเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายเสนาสะ “มะยัง ภันเต, อิมัง เสนาสะนานิ, อาคะตานาคตัสสะ, จุททิสสัสสะ, ภิกขุสังฆัสสะ, นิยยาเทมะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, เสนาสะนามิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขาย.


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 187 ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายเสนาสนะเหล่านี้, แด่พระภิกษุ สงฆ์ผู้มีในทิศทั้ง ๔, ที่มาแล้วก็ดี, ยังไม่มาก็ดี, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับเสนาสนะเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายศาลาโรงธรรม “มะยัง ภันเต, อิมัง สาลัง, ธัมมะสะภายะ, อุททิสสะ, จาตุททิสัสสะ, ภิกขุสังฆัสสะ, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง สาลัง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายศาลาหลังนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้มี ในทิศทั้ง ๔, อุทิศเพื่อเป็นสถานที่แสดงธรรม, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับศาลาหลังนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายเวจกุฎี “มะยัง ภันเต, อิมัง, วัจจะกุฏิง, อาคะตานาคะตัสสะ, จาตุททิสัสสะ, ภิกขุสังฆัสสะ, นิยยาเทมะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมัง วัจจะกุฏิง, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบถวายเวจกุฎีหลังนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้มีในทิศทั้ง ๔, ที่มาแล้วก็ดี, ยังไม่มาก็ดี, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับเวจกุฎีหลังนี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ” คำถวายผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าสำหรับใช้นุ่งเวลาอาบน้ำฝน) “อิมานิมะยัง ภันเต, วัสสิกะสาฏิกานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, วัสสิกะสาฏิกานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะฯ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าอาบน้ำฝน, กับทั้งบริวารเหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าอาบน้ำฝน, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญ.ฯ”


188 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น คำถวายผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายแก่พระภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน) “อิมานิมะยัง ภันเต, วัสสาวาสิกะจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, วัสสาวาสิกะจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะฯ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าจำนำพรรษา, กับทั้งบริวาร เหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าจำนำพรรษา, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ.” คำถวายผ้าอัจเจกจีวร (ผ้าจำนำพรรษาที่ถวายแก่พระภิกษุโดยรีบด่วน) “อิมานิมะยัง ภันเต, อัจเจกะจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, อัจเจกะจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ปฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะฯ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวายผ้าอัจเจกจีวร, กับทั้งบริวารเหล่านี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าอัจเจกจีวร, กับทั้งบริวารเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนานเทอญฯ.” คำถวายธูปเทียนดอกไม้เพื่อบูชา “มะยัง ภันเต, อิเมหิ, ทีปะธูปะปุปผะวะเรหิ, ระตะนัตตะยัง, อะภิปูเชมะ, อะยัง, ระตะนัตตะยัสสะ ปูชา, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตะสุขาวะหา, โหตุ, อาสะวักขะยัปปัตติยาฯ. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอบูชาพระรัตนตรัย, ด้วยธูปเทียน, และดอกไม้อันประเสริฐเหล่านี้, การบูชาพระรัตนตรัยนี้, จงนำมาซึ่งประโยชน์สุข, เพื่อบรรลุ พระนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญฯ.” คำถวายธงเพื่อบูชา “มะยัง, อิมินา, ธะชะปะฏาเกนะ, ระตะนัตตะยัง, อะภิปูเชมะ, อะยัง, ธะชะปะฏาเกนะ, ระตะนัตตะยะปูชา, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ, สังวัตตะตุฯ. ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอบูชา, ซึ่งพระรัตนตรัย, ด้วยธงแผ่นผ้านี้, กิริยาที่บูชาพระรัตนตรัย, ด้วยธงแผ่นผ้านี้, ขอจงเป็นไป, เพื่อประโยชน์และความสุข, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนาน เทอญฯ.”


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 189 ลำดับพัดยศสมณศักดิ์ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี-รัฐพิธี สมเด็จพระราชาคณะ ๑. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๒. สมเด็จพระสังฆราช ๓. สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ พระราชาคณะ ๔. พระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๕. พระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๖. พระราชาคณะ ชั้นธรรม ๗. พระราชาคณะ ชั้นเทพ ๘. พระราชาคณะ ชั้นราช ๙. พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ๙.๑ พระราชาคณะ ปลัดขวา-ปลัดซ้าย-ปลัดกลาง ๙.๒ พระราชาคณะ รองเจ้าคณะภาค ๙.๓ พระราชาคณะ เจ้าคณะจังหวัด ๙.๔ พระราชาคณะ รองเจ้าคณะจังหวัด ๙.๕ พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๙.๖ พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ. ๙-๘-๗-๖-๕-๔-๓ ๙.๗ พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๙.๘ พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ ๙.๙ พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๙.๑๐ พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก


190 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น พระครูสัญญาบัตร พระครูฐานานุกรม พระเปรียญธรรม ๑๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด (จจ.) ๑๑. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด (รจจ.) ๑๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (จล.ชอ.) ๑๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (จอ.ชพ.) ๑๔. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (ทจอ.ชพ.) ๑๕. พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ ๑๖. พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค ๑๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (จล.ชท.) ๑๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (จอ.ชอ.) ๑๙. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (ทจอ.ชอ.) ๒๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี(จล.ชต.) ๒๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (จอ.ชท.) ๒๒. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (รจล.ชอ.) ๒๓. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (รจล.ชท.) ๒๔. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี(รจล.ชต.) ๒๕. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ. หรือ ทผจล.ชพ.) ๒๖. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ.วิหรือ ทผจล.ชอ.วิ.) ๒๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. หรือ ทผจล.ชอ.) ๒๘. พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ๒๙. พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร ๓๐. พระครูฐานานุกรมชั้นเอก ของสมเด็จพระสังฆราช (พระครูปริตร) ๓๑. พระเปรียญธรรม ๘ ประโยค ๓๒. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า (ผจล.ชท. หรือ ทผจล.ชท.) ๓๓. พระเปรียญธรรม ๗ ประโยค ๓๔. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นธรรม


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 191 ๓๕. พระครูฐานานุกรมชั้นโท ของสมเด็จพระสังฆราช (พระครูปริตร) ๓๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (รจอ.ชอ.) ๓๗. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (รจอ.ชท.) ๓๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชอ.วิ.) ๓๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก (จต.ชอ.) ๔๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท (จต.ชท.) ๔๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี(จต.ชต.) ๔๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอก (จร.ชอ.) ๔๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท.วิ.) ๔๔. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท (จร.ชท.) ๔๕. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี(จร.ชต.) ๔๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์(รจร.) ๔๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์(ผจร.) ๔๘. พระเปรียญธรรม ๖ ประโยค ๔๙. พระเปรียญธรรม ๕ ประโยค ๕๐. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นเทพ ๕๑. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นราช ๕๒. พระครูวินัยธร ๕๓. พระครูธรรมธร ๕๔. พระครูคู่สวด ๕๕. พระเปรียญธรรม ๔ ประโยค ๕๖. พระปลัดของพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ๕๗. พระเปรียญธรรม ๓ ประโยค ๕๘. พระครูรองคู่สวด ๕๙. พระครูสังฆรักษ์ ๖๐. พระครูสมุห์ ๖๑. พระครูใบฎีกา ๖๒. พระสมุห์ ๖๓. พระใบฎีกา ๖๔. พระพิธีธรรม (เหลือง-แดง-น้ำเงิน-เขียว)


192 คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น หมายเหตุ ๑. การจัดลำดับนี้เป็นการปรับปรุงใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยความเห็นชอบของมหาเถร สมาคมในการประชุม ครั้งที่ ๖/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์๒๕๔๑ ๒. เฉพาะพิธีรับผ้าพระกฐินพระราชทาน เจ้าอาวาสนั่งหน้าพระภิกษุรูปอื่น ซึ่งแม้จะมี สมณศักดิ์สูงกว่า ๓. ตั้งแต่พระราชาคณะ ชั้นราชขึ้นไป นั่งตามลำดับอาวุโสโดยสมณศักดิ์


คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธีเบื้องต้น 193 การใช้พัดยศ การถวายอติเรก และการถวายพระพรลา พระดำรัสแห่ง สมเด็จพระมหาสมณะ๓ ให้ถวายอติเรกในการหลวงการรัฐบาลทั่วไป สมเด็จพระมหาสมณะ มีพระดำรัสว่า ธรรมเนียมการถวายอดิเรก แด่สมเด็จพระเจ้า แผ่นดินแต่ก่อนมา ถวายเฉพาะในพระที่นั่งเนื่องด้วยที่ประทับ และต่อมาในพระที่นั่งที่เคยประทับ ทุกแห่ง สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะเป็นผู้ถวาย โดยฐานทรงยกย่องเป็นพระเถระ เห็นว่า คำถวายอติเรกนั้น เป็นคำออกพระนาม หรือกล่าวทางไวยากรณ์แห่งมคธภาษาเป็น ประถมบุรุษ คำกล่าวถึงถวายลับหลังก็ไม่ชัด และการถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินของตน ก็เป็นการแสดงความปรารถนาอันดีถ้าใช้ในการหลวงการรัฐบาลทั่วไป จัดเป็นการสมควร แต่ติด อยู่ที่หัวเมือง เพราะไม่มีพระราชาคณะทุกแห่ง ได้นำความเรียนพระราชปฏิบัติบัดนี้พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้พระครูเจ้าคณะจังหวัด และพระครูเจ้ารองผู้ได้รับพระราชทานพัดแฉก ยอดเป็นเครื่องยศ ถวายอติเรก ได้ด้วย ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๒ นี้ที่เป็นวันตรง สุรทินบรมราชาภิเษกเป็นต้นไป ให้สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระครูเจ้าคณะ จังหวัด ผู้เป็นหัวหน้าแห่งสงฆ์ผู้เข้าในการหลวง ทั้งในกรุงทั้งในหัวเมือง หรือในการรัฐบาลในหัวเมือง เช่น ในการถือน้ำ ในการเฉลิมรัชชพรรษา และในการเฉลิมพระชนมพรรษา ถวายอติเรกทุกแห่ง ทั้งในพระที่นั่ง ทั้งในที่อื่น ทั้งในเวลาเสด็จออก ทั้งในเวลาไม่เสด็จออก ส่วนการว่า คำถวาย พระพรลา คงใช้ในเวลาเสด็จออกเฉพาะในพระราชวัง ในพระราชฐาน หรือในที่ประทับแห่งอื่น เช่น ค่ายหลวง พระครูเจ้าคณะจังหวัดถวายได้ด้วย พระครูเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะรอง ผู้ยังไม่เคยถวาย จงดูคำถวายอดิเรก และคำถวาย พระพรลา ในแถลงการณ์คณะสงฆ์เล่ม ๔ หน้า ๒๖๙ ถึง ๒๗๐ เมื่อถวายจงตั้งพัดยศ มีพระดำรัสสั่งไว้ณ วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๖๒ ๓ สนติ์แสวงบุญ ป.. ทำเนียบพัดยศสมณศักดิ์. กรุงเทพมหานคร, ศรีเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๕.


Click to View FlipBook Version