ประวัติ
เออรเ์ นสต์ รทั เทอร์ฟอร์ด(Ernest Rutherford)
จัดทำโดย นางสาว วนั ทนา ซอื่ ตรง
รหสั นักศกึ ษา 6181118001
สารบญั
ประวัติ……………………………………………………………………………………………………………………..
ชีวิตสว่ นตัว……………………………………………………………………………………………………………..
เสยี ชีวิต…………………………………………………………………………………………………………………….
ผลงานเด่น………………………………………………………………………………………………………………..
อ้างองิ ………………………………………………………………………………………………………………………..
ประวัติ
เออร์เนสต์ รทั เทอร์ฟอร์ด เปน็ บตุ รชายของ เจมส์ รัทเทอร์ฟอร์ด ชาวนาผซู้ ง่ึ อพยพมาจากเมืองเพิร์ธ ประเทศ
สกอตแลนด์ กับ มารธ์ า (นามสกุลเดิม ธอมป์สนั ) ซ่ึงดงั้ เดมิ อาศยั อย่ทู ่เี มือง ฮอรน์ เชิช เมืองเลก็ ๆ ในแถบ
ตะวนั ออกของประเทศอังกฤษ บิดามารดาของเขาย้ายมายังประเทศนิวซีแลนด์ เออร์เนสต์ เกดิ ในเมืองสปรงิ
โกรฟ (ปัจจุบันคือ เมืองไบรท์วอเตอร์) ใกล้กับเมอื งเนลสนั ประเทศนิวซีแลนด์ เขาศึกษาในเนลสันคอลเลจ
และไดร้ ับทนุ การศกึ ษาเพื่อเรียนในแคนเตอรบ์ ิวรีคอลเลจ (ปจั จุบันคือมหาวิทยาลยั แห่งแคนเทอเบอร่ี ) ในปี
1895 หลงั จากจบการศึกษาดา้ น BA, MA และ BSc และใชเ้ วลา 2 ปีในการทำวจิ ัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีไฟฟ้า
รทั เทอร์ฟอร์ดเดินทางไปยงั ประเทศองั กฤษเพ่ือศึกษาต่อท่ี ศูนย์วิจัยคาเวนดิช มหาวทิ ยาลัยแคมบรดิ จ์ (1895 -
1898) เขาได้รบั การบนั ทึกไว้ในฐานะผู้ค้นพบระยะของคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในระหวา่ งการทดลองด้าน
กัมมนั ตภาพรังสี เขาเป็นผสู้ ร้างนิยามของรังสแี อลฟา และบีตา ซ่ึงเป็นคำทใี่ ชเ้ รยี กรงั สี 2 ชนิดท่ีปลอ่ ยออกมา
จากทอเรียมและยเู รเนยี ม เขาค้นพบมนั ระหว่างการตรวจสอบอะตอม อยา่ งไรก็ตาม เขาไม่ยอมรบั ว่าเปน็ ผู้
ค้นพบรงั สีแกมมา ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวทิ ยาศาสตรช์ าวฝรัง่ เศส P.V. Villard ไม่นานหลงั รัทเทอรฟ์ อร์ดรายงาน
การค้นพบของเขาเก่ยี วกับการแพร่กระจายของกา๊ ซกัมมันตภาพรังสี
ในปี 1898 รทั เทอรฟ์ อรด์ ได้เป็นหัวหน้าดา้ นฟสิ ิกสข์ องมหาวิทยาลยั แมคกลิ ล์ ในมอนทรีออล ประเทศแคนาดา
ทซ่ี ่งึ เขาสร้างผลงานจนไดร้ บั รางวัลโนเบลสาขาเคมี ในปี 1908
บ้านเกดิ ทส่ี ปริงโกรฟ
ชวี ิตสว่ นตวั
ในปี 1894 หลงั เรียนจบ (ทั้งปรญิ ญาตรแี ละปริญญาโทคือ BA. MA. และ BSc.) เขาไดร้ ับทุนศกึ ษาวิจัย ระดบั
ปรญิ ญาโทที่ หอ้ งปฏบิ ตั ิการคาเวนดชิ (Cavendish Laboratory) ใน มหาวิทยาลยั เคมบริดจ์ (Cambridge
University) ประเทศองั กฤษ อนั ที่จริงเขาสอบได้ทีส่ อง แต่คนที่สอบได้ท่ีหนึง่ สละสทิ ธ์ิเพราะมแี ผนจะแตง่ งาน
มีครอบครวั จึงเกิดเปน็ จุดเปล่ียนในชวี ิตเขา ที่นน่ั เขาไดเ้ รียนกับ เจ.เจ. ทอมสนั (J.J. Thomson ซงึ่ ไม่นาน
ตอ่ มา จะเป็นผคู้ น้ พบอิเล็กตรอน) และในเวลาไม่นาน ทอมสนั ก็เห็นแววและสนบั สนนุ ใหเ้ ขารว่ มวิจยั เกยี่ วกบั
รังสีเอกซ์ ซึง่ เพิ่งถกู คน้ พบมาไมน่ าน (ค.ศ. 1895) อันเปน็ จุดเร่ิมตน้ ของอาชีพด้านฟิสิกส์ของอะตอมที่
รทั เทอร์ฟอร์ด ทำมาจนตลอดชวี ติ และมผี ลงานโดดเดน่ เหนอื กว่าใคร
ปี 1897 รัทเทอร์ฟอร์ดจบการศึกษาและเป็นปที ่ีทอมสนั คน้ พบอิเล็กตรอน (เปน็ คร้ังแรกท่ีมีการค้นพบ
ว่า ยังมีส่งิ ท่เี ล็กกวา่ อะตอม) และในปถี ัดมาเขารายงานวา่ รังสีทีย่ ูเรเนียมปลอ่ ยออกมาวา่ มรี งั สแี อลฟาและบีตา
รวมทง้ั ได้ศกึ ษาสมบตั บิ างประการของรังสดี ังกลา่ ว คือพบวา่ รงั สีแอลฟาเป็นอนภุ าคที่มีประจวุ ก และรงั สบี ตี า
เปน็ อนุภาค ทมี่ ีประจุลบ ในระยะน้ัน ประจวบวา่ ตำแหนง่ Macdonald Chair in Physics ในภาควชิ าฟสิ ิกส์
ที่ มหาวทิ ยาลยั แมกกิลล์ (McGill University) เมอื งมอนทรีออล ประเทศแคนาดาว่างลง เขาจงึ ไปรับตำแหนง่
น้ีท่ีแคนาดา งานวจิ ยั ของเขาท่ีนี่ ประสบความสำเร็จสูงมาก และสร้างประเพณนี ยิ มความสำเรจ็ ดา้ นฟสิ กิ ส์ของ
มหาวิทยาลัยแหง่ น้ีมาจนทุกวันนี้
ท่ี McGill ในตอนต้น ๆ เขาทำวจิ ัยต่อเน่ืองเก่ียวกับรังสแี อลฟาและบีตา ซึ่งเขาพบว่าธาตุกัมมันตรังสี
ทัง้ หลาย ทรี่ ู้จักในขณะนน้ั ลว้ นปลดปลอ่ ยรงั สี 2 ชนิดนี้ และจากการศึกษาการปล่อยรังสีของธาตุทอเรียม
รว่ มกบั โอเวน (R.W. Owen) กไ็ ดค้ น้ พบ แกส๊ มสี กลุ (noble gas) ชนิดใหมซ่ ง่ึ เป็นไอโซโทปหนงึ่ ของแก๊ส
เรดอน และต่อมารจู้ ักกนั ในชื่อวา่ แกส๊ ทอรอน (thoron)
ปี 1900 เฟรเดอริก ซอดดี (Frederick Soddy) จากมหาวิทยาลยั ออกซฟอร์ดมาร่วมงานกบั
รัทเทอร์ฟอร์ด และในปี 1901-1902 ทัง้ คชู่ ว่ ยกันสร้าง ทฤษฎกี ารสลาย (disintegration theory) จาก
ปรากฏการณ์กัมมันตภาพรงั สี (radioactivity) ว่ากระบวนการสลายเกดิ ในระดับอะตอมไม่ใช่ระดับโมเลกุล
โดยมหี ลักฐานมากมายจากการทดลอง การสลายของธาตุกัมมนั ตรังสีอาทิเช่น ธาตุเรเดียม อันทำให้ค้นพบธาตุ
กัมมนั ตรงั สีใหม่ ๆ หลายธาตุซง่ึ เกดิ จาก การสลายอย่างต่อเนอื่ ง จากอะตอมของธาตกุ มั มันตรังสีชนดิ หน่งึ
แปรธาตเุ ป็นอะตอมของธาตุกัมมนั มนั ตรังสี อีกชนิดหน่ึงไดเ้ อง โดยการขับเอาชนิ้ ส่วนของอะตอมออกมาด้วย
ความเร็วสงู (เชน่ รงั สแี อลฟาและบีตา) ซ่ึงเกิดข้นึ เปน็ ทอด ๆ (เชน่ ธาตุ A สลายเปน็ ธาตุ B จากนน้ั ธาตุ B
สลายต่อไปอีกเป็นธาตุ C และ...จนถึงธาตุสุดทา้ ย ซงึ่ เปน็ ธาตุเสถียร เชน่ ตะกัว่ ) เรียกวา่ อนกุ รมกมั มันตรังสี
(radioactive series) นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในยุคนั้น หยนั แนวคิดน้นั ว่าเป็นพวก เล่นแรแ่ ปรธาตุ
(alchemy) โดยยงั ยดึ ติดกบั ความเชือ่ คร่ำครึทว่ี ่า อะตอมน้ันแบง่ แยกไม่ได้ และเปลยี่ นแปลงไม่ได้ แต่พอถึงปี
1904 ผลงานตีพมิ พแ์ ละความสำเร็จของรัทเทอรฟ์ อร์ดก็เป็นท่ยี อมรับ รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นนักวิจยั ทีเ่ ปยี่ มด้วย
พลงั เพยี งในระยะเวลา 7 ปีท่ี McGill เขากต็ ีพมิ พ์ผลงานออกมาถึง 80 เรื่อง
รทั เทอร์ฟอร์ดที่ McGill
ผลงานเดน่ อีกเรื่องหนึ่งของเขาที่แคนาดากค็ ือ เขาได้แสดงใหเ้ ห็นว่าธาตุกัมมันตรงั สที ุกชนดิ มีกัมมนั ตภาพรังสี
ลดลงในเวลาทส่ี มำ่ เสมอและเฉพาะตวั หรือที่เรยี กว่า ครึ่งชีวิต (half-life) จนทา้ ยทีส่ ุด สลายกลายเป็นธาตุ
เสถียร ครึง่ ชีวิตคอื ระยะเวลาที่สารกัมมนั ตรังสใี ชใ้ นกระบวนการสลายกัมมันตรังสี เพ่ือลดกัมมันตภาพเหลือ
ครง่ึ หนง่ึ ของกัมมันตภาพต้ังต้น เช่น ยูเรเนียม-238 มคี ร่ึงชีวติ ประมาณ 4,500 ล้านปี หรอื โคบอลต์-60 มีครึ่ง
ชวี ติ ประมาณ 5.26 ปี
ขอ้ สังเกตประการหนึง่ ขณะรัทเทอร์ฟอร์ดอยู่ท่แี คนาดากค็ ือ ระหว่างปี 1905-1906 ออทโท ฮาน (Otto
Hahn) ผทู้ ตี่ อ่ มาจะคน้ พบ การแบ่งแยกนิวเคลียส (nuclear fission) กเ็ คยทำงานเป็นลกู มอื ของ
รัทเทอร์ฟอร์ด ในหอ้ งปฏิบัติการท่ีมอนทรีออลดว้ ย
ในปี 1907 รัทเทอร์ฟอร์ดกก็ ลบั มายงั ประเทศองั กฤษ รบั ตำแหนง่ ศาสตราจารยท์ างฟิสิกส์ (Langworthy
Professor of Physics) ท่ีมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ งานวิจยั แรก ๆ ท่นี ข่ี องเขาคือการศึกษาต่อเนือ่ งเก่ยี วกับ
สมบัติ ของการสลายของธาตุเรเดียมรวมทัง้ สมบัติของรงั สีแอลฟา และรว่ มกบั ลกู ศษิ ย์ท่ชี อื่ วา่ ฮนั ส์ ไกเกอร์
(Hans Geiger: ผปู้ ระดิษฐเ์ คร่ืองวดั รงั สีไกเกอรเ์ คานเ์ ตอร์) กอ่ ต้ังศนู ย์ศึกษาด้านรังสีข้ึนที่นัน่
ปี 1908 รัทเทอรฟ์ อรด์ ก็ได้รบั รางวลั โนเบลสาขาเคมีจากผลงานด้านกัมมันตภาพรงั สีรังสี เขารูส้ ึกขัดใจบ้าง
เพราะเขาเป็นนักฟสิ ิกส์และถือตวั วา่ เหนือกวา่ นักเคมี ซึ่งคร้ังหน่งึ เขาเคยกลา่ ววา่ “วิทยาศาสตรต์ อ้ งฟิสกิ ส์
เทา่ นน้ั นอกน้นั เหมือนการเล่นสะสมแสตมป์” (“In science there is only physics; all the rest is
stamp collecting.”) นอกจากน้ี ในการกล่าวสนุ ทรพจนใ์ นวนั ท่เี ขาไปรบั รางวลั เขายงั ไดก้ ล่าวติดตลกใน
ทำนองว่า จากการวิจัย (ท่ีเขาไดร้ ับรางวลั โนเบลน)ี้ ของเขานี้ เขาได้เห็นการแปรธาตจุ ากธาตุหน่งึ เป็นอีกธาตุ
หนงึ่ มากมายหลายครงั้ แต่ไม่มคี รง้ั ไหนที่เร็วกวา่ ครัง้ นี้ของตวั เขาเอง ท่ีแปรจากนักฟสิ ิกส์เป็นนักเคมี (“I had
seen many transformations in my studies, but never one more rapid than my own from
physicist to chemist.”)
ในปี 1909 เขากับไกเกอรแ์ ละไดน้ ักเรียนมาเปน็ ผชู้ ว่ ยอีกคนชือ่ ว่า เออร์เนสต์ มารส์ เดน (Eenest Marsden)
ก็เร่ิมการทดลองที่เปลีย่ นโฉมหน้าของวชิ าฟิสิกสท์ ีเดยี ว การทดลองนี้เริ่มเห็นผลในปี 1910 เรม่ิ ตน้ จากการ
ทดลอง หาวิธตี รวจจบั อนุภาคแอลฟาเดย่ี ว ๆ ท่ีเรเดยี มปลอ่ ยออกมาขณะเกิดการสลายกัมมนั ตรังสแี ละนับ
จำนวนไว้ จากน้นั พวกเขากน็ ำวิธกี ารนี้มาใชศ้ ึกษาโครงสร้างของอะตอม ซงึ่ ลูกพ่เี กา่ ของเขาคือทอมสนั ทีเ่ พ่งิ
ค้นพบอเิ ล็กตรอน และจาก ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) ท่ีอะตอมสามารถปลอ่ ย
อนภุ าคอิเล็กตรอนออกมาได้ แต่การทีป่ ระจขุ องอะตอมเป็นกลางกแ็ สดงวา่ อะตอมประกอบดว้ ยประจบุ วกและ
ประจุลบจำนวนเท่า ๆ กัน ดังนัน้ ทอมสันจงึ เสนอทฤษฎี “พุดดงิ ลูกพลมั ” (plum pudding) โดยบอกว่า
อะตอมเปน็ เหมอื นลูกกลม ๆ ประจบุ วก ทีม่ ีอเิ ลก็ ตรอนขนาดเล็กจวิ๋ กระจายตวั อยแู่ บบเดียวกับทเี่ น้ือลูกพลมั
เลก็ ๆ กระจายตัวอยู่ในก้อนพุดดงิ
รัทเทอรฟ์ อร์ดทดสอบทฤษฎนี ี้โดยการปล่อยอนุภาคแอลฟาทีถ่ ูกปลอ่ ยออกมาจากเรเดยี มให้เข้าไปที่
แผน่ ทองคำเปลว (gold foil) แล้วใช้วธิ ตี รวจจับและนับอนุภาคแอลฟา มาตรวจจับและนับอนภุ าคแอลฟา ท่ี
ทะลเุ ขา้ ไปในแผ่นทองคำเปลว วา่ ทะลหุ รอื หลุดกระเดน็ ออกมาในทิศทางใดบา้ งและมีจำนวนเทา่ ใด ผลปรากฏ
วา่ อนภุ าคแอลฟาสว่ นใหญท่ ะลุผา่ นไป และมจี ำนวนเลก็ น้อยท่ีกระดอนกลบั หลงั แสดงว่าอะตอม มเี นื้อที่ส่วน
ใหญเ่ ป็นประจลุ บ ลอ้ มรอบแก่นเลก็ ๆ ท่มี ปี ระจุบวกอยูต่ รงกลางท่ีทำให้อนภุ าคแอลฟา ซงึ่ ก็มปี ระจบุ วก จงึ
ผลักกนั ให้กระดอนกลับหลังออกมา
นัน่ คือการคน้ พบ “นวิ เคลยี ส” (nucleus) ของอะตอม และรทั เทอร์ฟอร์ดได้พัฒนา “แบบจำลองอะตอม” ขน้ึ
โดยคล้ายกบั ระบบสรุ ิยะ กล่าวคอื อเิ ล็กตรอนเป็นคล้ายกบั ดาวเคราะห์ ทีโ่ คจรรอบนวิ เคลียสท่ีเปน็ คลา้ ยกบั
ดวงอาทิตย์ ปี 1912 ความยอมรับแบบจำลองนเ้ี พ่มิ ข้นึ หลงั จากท่ี นีลส์ โบร์ (Niels Bohr) มาทำงานเปน็ ลกู มือ
รทั เทอร์ฟอร์ดทแี่ มนเชสเตอร์ และเขาใช้ ทฤษฎคี วอนตัม (quantum theory) ของ มคั ซ์ พลังค์ (Max Planck) มา
อธบิ ายแบบจำลองน้ี และต่อมาเมือ่ ได้รับการปรบั ปรุงตามแนวคิดของ แวร์เนอร์ ไฮเซนแบรก์ (Werner
Heisenberg) แบบจำลองน้จี ึงเป็นทย่ี อมรบั มาจนปจั จุบันน้ี
คนซา้ ยไกเกอร์ และคนขวารัทเทอร์ฟอร์ด ทแี่ มนเชสเตอร์
ปี 1913 รัทเทอร์ฟอร์ด กบั เฮนรี โมสลยี ์ (H.G. Moseley) ใช้ รงั สแี คโทด (cathode rays) ซึ่งเปน็ กระแสของ อนภุ าค
อเิ ล็กตรอน ระดมยิงอะตอมของธาตตุ ่าง ๆ ให้ปล่อยรงั สเี อกซ์ออกมา ซง่ึ พบว่าสเปกตรมั ของรังสเี อกซ์ ที่แตล่ ะ
ธาตุปล่อยออกมามีลักษณะเฉพาะตัว ทำใหส้ ามารถกำหนด เลขเชิงอะตอม (atomic number) ของธาตไุ ด้ ที่
สำคญั คือ เลขเชงิ อะตอมน้เี ป็นตัวบอกสมบัติของธาตไุ ด้ดว้ ย
ปี 1914 รัทเทอร์ฟอรด์ ได้รบั พระราชทานเคร่อื งราชอสิ รยิ าภรณช์ ั้นอศั วนิ (Knight)
ระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 1 รัทเทอร์ฟอร์ดท้ิงงานวจิ ยั ไปช่วยกองทัพเรืออังกฤษแก้ปัญหาการตรวจจบั เรอื ดำ
นำ้ แตส่ กั พักเขาก็กลับไปที่ห้องปฏิบัติการของเขา โดยในปี 1919 ซึ่งเปน็ ปสี ุดทา้ ยทแ่ี มนเชสเตอร์ของเขา
รัทเทอร์ฟอร์ด ทดลองระดมยิงอนภุ าคแอลฟาเขา้ ไปในนิวเคลยี สของอะตอมธาตุเบา อาทิ ธาตุไนโตรเจน
สามารถทำให้อะตอม แตกสลายและปลดปลอ่ ยอนภุ าคเดย่ี วออกมา เนอ่ื งจากอนุภาคนมี้ ีประจุบวก ดังนน้ั มัน
ต้องหลุดออกมาจากนวิ เคลียส เขาเรียกอนุภาคชนดิ ใหม่น้ีวา่ โปรตอน การทดลองน้ภี ายหลงั ได้รับการพิสูจน์
โดย แพทริก แบล็กเก็ตต์ (Patrick Blackett) วา่ อะตอมไนโตรเจนในกระบวนการน้ีได้แปรธาตเุ ป็นอะตอม
ออกซเิ จน ดงั น้ัน รัทเทอร์ฟอรด์ จึงได้ชื่อวา่ มนุษย์คนแรกท่ีทำให้เกดิ “ปฏิกริ ิยานวิ เคลียร์”
ในยคุ ของรทั เทอร์ฟอรด์ เครือ่ งไมเ้ ครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาซาสตร์ยังไม่เจรญิ กา้ วหน้า เขาค้นพบสง่ิ ตา่ ง ๆ มากมาย
ไดด้ ้วยเครอ่ื งมืองา่ ย ๆ ซึ่งครงั้ หนงึ่ เขาเคยกล่าววา่ “ต่อให้อย่ทู ่ขี ว้ั โลกเหนอื ผมก็ทำงานวิจยั ได้” (?I could do
research at the North Pole.?)
ภาพจระเข้บนผนังท่เี คมบรดิ จ์ เปน็ เกียรติแกร่ ัทเทอร์ฟอร์ด เพราะทเี่ คมบริดจ์เขามีฉายาวา่ “จระเข้”
ปี 1925 รทั เทอร์ฟอรด์ ไดร้ ับ เครอ่ื งราชอิสรยิ าภรณช์ ัน้ เมริต (Order of Merit) และถงึ ปี 1931 เขาเป็นคนแรก ท่ี
ได้รบั บรรดาศักด์ิ บารอนแหง่ เนลสนั (Baron of Nelson) ทำให้เขาสามารถเขา้ รว่ มประชุมใน สภาขุนนาง (House of
Lords) ได้ เขาได้รับรางวลั เกยี รตยิ ศอนื่ ๆ อีกมากมายรวมทั้งปริญญาดษุ ฎบี ณั ฑติ กิตตมิ ศักดิ์จากมหาวทิ ยาลยั
ทัว่ โลก ไม่น้อยกว่า 20 แหง่
เกียรตยิ ศอกี ประการหนึ่งของรทั เทอร์ฟอรด์ ทีไ่ มอ่ าจมองขา้ มไปได้กค็ ือ ระหว่างปี 1925-1930 เขาได้ ดำรง
ตำแหน่งเปน็ นายกแหง่ ราชสมาคม (The Royal Society) ซง่ึ เขาไดร้ บั เลือกใหเ้ ปน็ ภาคสี มาชิกมาตง้ั แต่ปี 1903
รัทเทอร์ฟอร์ดมวี าทะอันคมคายหลายครั้งดงั กลา่ วมาบา้ งแล้วขา้ งต้น และยงั มีอีกหนึ่ง “วรรคทอง” ท่ีแมจ้ ะ
ผดิ พลาด แต่กลบั สรา้ งชื่อเสยี งใหก้ ับเขาเปน็ อย่างมาก คือ “ความคิดที่จะเอาพลงั งานจากปฏิกิรยิ านวิ เคลียร์
มาใชป้ ระโยชน์เป็น “เร่อื งเหลวใหล”” (“The energy produced by the breaking down of the atom is a very poor kind
of thing. Anyone who expects a source of power from the transformation of these atoms is talking moonshine.”) โดยทกุ
วันน้ีเรามีไฟฟา้ ทีผ่ ลิตจากพลังงานนวิ เคลยี รใ์ ชอ้ ยูท่ วั่ โลก
รัทเทอร์ฟอร์ดแตง่ งานกบั แมรี นิวตนั เม่ือปี 1900 และมีบุตรสาวคนเดียวชอื่ ไอลนี (Eileen) การพักผ่อน
หย่อนใจทเี่ ขาโปรดปรานคือ กอล์ฟและรถยนต์
เสียชีวิต
รทั เทอร์ฟอรด์ ถงึ แก่กรรมทีเ่ คมบรดิ จ์เมือ่ วนั ที่ 19 ตุลาคม 1937 อัฐธิ าตขุ องเขา ได้รบั เกยี รติยศอย่างสงู ให้ฝังใน
สสุ านท่โี บสถ์เวสต์มนิ สเตอร์ ทางดา้ นตะวนั ตก ของหลุมศพของนิวตนั และอยู่เคียงขา้ งกบั หลุมศพของลอร์
ดเคลวิน
ผลงานเดน่
การคน้ พบ “นิวเคลียส” (nucleus) ของอะตอม และรทั เทอรฟ์ อร์ดไดพ้ ฒั นา
“แบบจำลองอะตอม” ขนึ้ โดยคล้ายกบั ระบบสรุ ิยะ กลา่ วคอื อเิ ลก็ ตรอนเป็นคลา้ ยกับ
ดาวเคราะห์ ทโี่ คจรรอบนิวเคลียสทเ่ี ป็นคล้ายกับ ดวงอาทติ ย์ ปี 1912 ความยอมรบั
แบบจำลองน้เี พมิ่ ขน้ึ หลงั จากท่ี นลี ส์ โบร์ (Niels Bohr) มาทำงานเป็นลูกมอื รทั เทอรฟ์ อรด์
ท่ีแมนเชสเตอร์ และเขาใช้ ทฤษฎีควอนตัม (quantum theory) ของ มัคซ์ พลังค์ (Max
Planck) มาอธิบายแบบจำลองนี้ และตอ่ มาเมื่อไดร้ ับการปรับปรุงตามแนวคิดของ แวร์
เนอร์ ไฮเซนแบร์ก (Werner Heisenberg) แบบจำลองนจ้ี งึ เปน็ ท่ยี อมรับมาจนปจั จุบนั นี้
อา้ งองิ
http://www0.tint.or.th/nkc/nkc54/content-01/nstkc54-036.html