The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายวิชา ชีววิทยา 2 รหัสวิชา ว32242

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pin-anong, 2021-11-20 02:08:31

โครงสร้างและหน้าที่ของใบ

รายวิชา ชีววิทยา 2 รหัสวิชา ว32242

โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องใบ

ครูผสู้ อน : นางสาวปิ่นอนงค์ ศิลประกอบ
วิชา ชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว 30243

โรงเรียนพุทธ สง ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

1

ผลการเรียนรู้
(Learning Outcome)

3. สังเกต และอธบิ ายโครงสร้างภายในของใบพชื จากการตดั ตามขวาง

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายโครงสรา้ งภายนอก และบอกหนา้ ทขี่ องใบพืชดอก
2. สงั เกต อธบิ าย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายในของใบพืชใบเลยี้ งคู่

และใบพชื ใบเลย้ี งเดยี่ วตดั ตามขวาง

2

ใบ (leaf)

• เป็นส่วนของพืชทีเ่ จรญิ เตบิ โตออกมาจากด้านขา้ งของลาตน้ หรอื กง่ิ
ตรงตาแหนง่ ของข้อ ใบสว่ นใหญม่ สี เี ขยี วของคลอโรฟลิ ล์
• หนา้ ทข่ี องใบ
• สรา้ งอาหารโดยการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง (photosynthesis)
• หายใจ (respiration)
• คายนา้ (transpiration)

3

โครงสร้างของใบ
ลักษณะภายนอกของใบแบง่ เปน็ 3 ส่วน

• แผน่ ใบ (leaf blade) มีลกั ษณะเป็นแผ่น รปู รา่ งและขนาดแตกต่าง
กันแผ่นใบประกอบด้วยเส้นกลางใบ (midrib) เส้นใบ (vein) ปลาย
ใบ (apex) โคนใบ (base) และขอบใบ (margin)
• กา้ นใบ (petiole / stalk) คือส่วนท่ีเช่อื มระหว่างแผ่นใบและลาตน้
• หใู บ (stipule) เปน็ รยางคท์ อ่ี ยโู่ คนกา้ นใบ พชื บางชนดิ หูใบอาจลด
รปู หรอื ไม่ปรากฏ

4

โครงสรา้ งของใบ

แผ่นใบ

กา้ นใบ
หูใบ

เสน้ กลางใบ เสน้ ใบยอ่ ย
เสน้ ใบ
5

ชนิดของใบ

• 1. ใบเล้ยี ง(cotyledon) เปน็ ใบอยู่ในเมล็ดและงอกออกจากเมล็ดเปน็ ใบแรก
พืชใบลี้ยงคู่จะมีใบเล้ียง 2 ใบ และบางชนดิ จะเก็บสะสมอาหารไวใ้ นใบเลี้ยงเอาไว้
ใชใ้ นการงอกทาให้ใบอวบอว้ น เชน่ ถว่ั เปน็ ต้น

6

1. ใบเล้ยี ง(cotyledon)

7

2. ใบเกล็ด (scale leaf)

• เป็นใบท่ีเปลีย่ นแปลงไปเป็นเกลด็ เลก็ ๆ ใบเกลด็ มกั ไม่มีสเี ขียวของคลอโรฟลี ล์
ใบเกล็ดบางชนิดทาหน้าทปี่ อ้ งกันอันตรายใหแ้ กต่ าอ่อน ยอดออ่ น และบาง
ชนดิ มขี นาดใหญแ่ ละเก็บสะสมอาหารไว้ดว้ ย เชน่ หวั หอม กระเทยี ม เป็นต้น

8

3. ใบดอกหรอื ใบประดับ (floral leaf or bract)

• เป็นใบท่เี ปล่ยี นแปลงไปทาหน้าทีพ่ เิ ศษ เชน่ ทาหนา้ ทร่ี องรบั ดอก บางชนดิ ดผู วิ
เผินอาจจะคล้ายเปน็ กลบี ดอก บางชนิดให้ความสวยงามเพ่อื ช่วยล่อแมลงมา
ผสมเกสร เชน่ ดอกเฟอื่ งฟา้ ดอกคริสตม์ าส ดอกหนา้ ววั เปน็ ต้น

9

4. ใบแท้ (foliage leaf )

• เป็นใบที่พบเห็นทั่วไป ส่วนใหญม่ ีสเี ขยี วเป็นแหล่งสาคัญใน
กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง
• ใบบางชนิดอาจมสี แี ดง สมี ว่ ง หรอื สีเหลืองขึน้ อยกู่ ับสารสีทีอ่ ย่ใู นใบ
• ใบแทแ้ บ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื
• ใบเดีย่ ว (simple leaf) เป็นใบทีม่ ีตวั ใบเพียงใบเด่ียวตดิ อยูบ่ นกา้ น
ใบซ่ึงติดกบั ลาตน้ เช่น ใบมะม่วง ใบตาลึง ใบมะละกอ เป็นต้น

10

ใบเดี่ยว (simple leaf)

11

2. ใบประกอบ (compound leaf)

• เป็นใบที่มใี บย่อย (leaflet) ตั้งแต่ 2 ใบขนึ้ ไปตดิ อยกู่ ับกา้ นใบใหญ่
(petiole) หนึ่งก้าน โดยท่ีก้านใบของใบย่อย (petiolule) จะติดอยู่
กับแกนกลางของใบประกอบ (rachis) ตัวอยา่ งใบประกอบเชน่ ใบ
มะขาม ใบจามจรุ ี มะพรา้ ว กุหลาบ เปน็ ต้น
• ใบประกอบจาแนกออกไดเ้ ปน็ 2 ชนิดตามรูปร่างคือ

12

1. ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaves)

13

2. ใบประกอบแบบฝา่ มอื (palmately compound leaves)

• เปน็ ใบประกอบท่ีมีกา้ นใบย่อยออกจากตาแหนง่ เดยี วกนั ท่ปี ลายกา้ นใบ

14

การจดั เรยี งของใบบนลาต้น (leaf arrangement)

• 1. สลบั (alternation)

15

2. ตรงขา้ ม (opposite)

16

3. วงรอบ (whorled)

17

ใบที่เปลีย่ นแปลงธปทาหนา้ ที่เฉพาะอย่าง (Modified leaf)

• 1. leaf tendril ใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเปน็ มอื เกาะเพอ่ื ยดึ ลาต้นหรอื พยุง
ลาตน้ เช่น ตาลึง มะระ ถ่วั ลนั เตา เป็นตน้

18

2. leaf spine

• ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเปน็ หนามเพือ่ ปอ้ งกันอนั ตรายจากศัตรหู รอื สัตวท์ ่ี
จะมาทารา้ ย รวมทง้ั ป้องกนั การระเหยของนา้ เช่น กระบองเพชร
ใบเหงือกปลาหมอ ใบสบั ปะรด เป็นตน้

19

3. storage leaf

• ใบทเี่ ปลีย่ นแปลงเพื่อทาหน้าที่เก็บสะสมอาหารหรือนา้ ใบประเภทน้จี ะ
อวบอ้วน เช่น ใบว่านหางจระเข้ เป็นตน้

20

4. scale leaf

• เป็นใบทเี่ ปลีย่ นแปลงไปเปน็ เกลด็ เลก็ ๆ มกั ไมม่ คี ลอโรฟลี ลจ์ ึงไม่ทาหน้าท่ีสังเคราะห์
ดว้ ยแสง เชน่ ใบเกล็ดของขา่ ขิง เผือก แห้วจนี เป็นตน้ บางชนดิ ทาหนา้ ทส่ี ะสม
อาหาร เชน่ ใบเกล็ดในหวั หอม บางชนดิ ทาหนา้ ท่คี มุ้ ครองตาอ่อน(bud scale)

21

5. ฟลิ ลโ์ ลด (phyllode)

• ส่วนตา่ ง ๆ ของใบ (เชน่ กา้ นใบ) เปล่ียนแปลงไปเป็นแผน่ แบนคล้าย
ตวั ใบ แตท่ วา่ แข็ง พืชทมี่ ีใบแบบนี้จึงมกั ไมม่ ตี วั ใบท่ีแท้จริง เชน่
ใบกระถนิ ณรงค์ เปลี่ยนแปลงมาจากกา้ นใบ เปน็ ตน้

22

6. Floating leaf

• ส่วนของกา้ นใบ (petiole) พองออกเพอ่ื ใชใ้ นการลอยน้า เช่น ผักตบชวา
เป็นตน้

23

7. vegetative reproduction organ

• ใบที่เปล่ยี นแปลงไปเพ่ือช่วยในการแพรพ่ นั ธ์หุ รือขยายพนั ธุ์ เชน่ ใบของ
คว่าตายหงายเป็น เศรษฐีพันลา้ น เป็นต้น

24

8. carnivorous leaf / insectivorous leaf

• ใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดกั แมลงหรือสัตว์เลก็ ๆ เชน่ กาบหอยแครง ต้น
หม้อขา้ วหม้อแกงลิง หยาดนา้ ค้าง เปน็ ตน้

25

โครงสรา้ งภายในของใบ

• 1. epidermis ในใบพชื จะพบทงั้ ดา้ นหลังใบ (upper epidermis)
และท้องใบ(lower epidermis) ของพืช
• โดยที่ epidermal cell บางเซลลม์ กี ารเปลย่ี นแปลงไปเปน็ เซลลค์ ุม
(guard cell)
• ซึง่ มีรปู ร่างคล้ายเมลด็ ถว่ั ประกบกนั ทาให้เกดิ รตู รงกลาง (pore หรือ
stomatal pore)
• เราเรยี กโครงสรา้ งท่ปี ระกอบกนั ระหว่างเซลลค์ มุ และรูท่ีเกิดขน้ึ น้ีว่า
ปากใบ (stomata)

26

2. mesophyll

• เปน็ เนื้อเย่ือท่อี ยูร่ ะหวา่ งช้ัน epidermis ท้ังสองดา้ น สว่ นใหญเ่ ปน็ เนอื้ เยอ่ื พวก
parenchyma โดยแบ่งเปน็ 2 ชนั้ คอื

• 2.1 Palisade mesophyll / Palisase parenchymaเป็นเน้อื เยื่อพาเรงคิมาท่ี
รปู ร่างยาวเรยี งตัวตง้ั ฉากกับช้ันเอพิเดอรม์ ิส ส่วนใหญอ่ ยทู่ างดา้ น upper epidermis
อาจมชี ้นั เดียวหรอื หลายชั้นกไ็ ด้ ภายในเซลล์ palisade cell มีคลอโรพลาสต์อยู่มาก
จึงมบี ทบาทสาคญั ในการสังเคราะหด์ ้วยแสง

• 2.2 Spongy mesophyll / Spongy parenchymaเปน็ เนือ้ เยือ่ พาเรงคิมาท่มี ี
รปู รา่ งกลม เรียงตัวอย่อู ย่างหลวมๆ ใต้ชนั้ palisade mesophyll มชี ่องวา่ งมาก แต่
มคี ลอโรพลาสตน์ อ้ ยกว่าชัน้ palisade mesophyll

27

3. vascular bundle หรือเสน้ ใบ (vein)

• คอื กลมุ่ ของท่อลาเลียง (xylemและphloem) ซ่ึงปกตจิ ะอย่ใู นช้ัน
spongy mesophyll จงึ ทาให้เสน้ ใบนนู ข้ึนมาทางดา้ นท้องใบ เสน้ ใบ
ท่ีใหญ่ที่สุดคอื เสน้ กลางใบ(mid rib)
• Vascular bundle ประกอบดว้ ยท่อลาเลียงน้า (xylem) และทอ่
ลาเลยี งอาหาร (phloem) และมี bundle sheath ล้อมรอบอยู่ซง่ึ
bundle sheath อาจเปน็ เน้ือเยอ่ื parenchyma หรอื อาจเป็น
sclerenchyma

28

โครงสรา้ งภายในของใบ

29

ใบพืชใบเลี้ยงคู่

30

ใบพชื ใบเลย้ี งคู่

• บวั สาย (Nymphaea lotus) ตัดตามขวาง (กาลงั ขยาย 400 เทา่ )

31

ใบพชื ใบเลีย้ งคู่

• ชบา (Hibiscus syriacus) ตดั ตามขวาง (กาลังขยาย 400 เทา่ )

32

ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว

33

ใบพืชใบเล้ยี งเดย่ี ว

• หญา้ หวาย (Hemarthria altissima) ตดั ตามขวาง (กาลังขยาย 400 เทา่ )

34

collenchyma epidermis
phloem mesophyll parenchyma

xylem phloem

xylem

parenchyma Palisade mesophyll
• ขา้ ว
*ถ่วั ดา

35

Bundle sheath Bundle sheath

Vascular Vascular
bundle bundle

36

ภาระงานของนักเรียน

• 1. ทาแบบฝกึ หดั เร่ือง โครงสรา้ งและหน้าที่ของใบ
• 2. ทาปฏิบตั ิการ เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องใบ
• 3. ทาแบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น เรอ่ื งโครงสร้างและหนา้ ที่
ของใบ

37

บรรณานุกรม

• เทยี มใจ คมกฤส. 2541. กายวภิ าคของพฤกษ.์ พิมพค์ รง้ั ที่ 4. ภาควชิ า
พฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
• สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2558. หนังสือเรยี น
รายวชิ าเพม่ิ เติม ชีววทิ ยา เลม่ 3. พิมพ์คร้ังที่ 8. โรงพิมพ์ สกสค.,
กรงุ เทพมหานคร.
• อจั ฉรา ธรรมถาวร. 2541. ปฏิบตั ิการกายวภิ าคศาสตรข์ องพชื . พมิ พ์คร้งั ที่
2. ภาควิชาชวี วิทยา คณะวิทยาศาสตร,์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.

38


Click to View FlipBook Version