ก
รายงาน
เรอ่ื ง การศกึ ษาไตรภูมิพระรว่ งดา้ นความเชอ่ื ทีม่ ีอิทธิพลตอ่ ศิลปวัฒนธรรมสาขาต่างๆ
เสนอ
คณุ ครสู ายฝน โหจนั ทร์
นางสาวรดา โดย ช้นั ม.๖/๑ เลขท่ี ๑
นางสาวปณุ ยนุช แจ้งเจ็ดร้วิ ชัน้ ม.๖/๑ เลขที่ ๑๔
นางสาวปรายฟ้า กจิ เจรญิ ช้ัน ม.๖/๑ เลขท่ี ๑๕
นางสาวณฐั ชา สุเคน ชน้ั ม.๖/๑ เลขท่ี ๒๒
นางสาวรุ่งทิวา ไกรสีห์กาจ ชน้ั ม.๖/๑ เลขท่ี ๒๕
อมรปรีดา
รายงานน้ีเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพ้นื ฐาน (ท๓๓๑๐๒)
ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔
โรงเรียนมารียอ์ ปุ ถัมภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก
คำนำ
รายงานเรื่อง การศึกษาไตรภูมิพระร่วงด้านความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมสาขาต่างๆ เป็น
ส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
ความเป็นมาและความเชื่อจากไตรภูมิพระร่วง สืบเนื่องจากคณะผู้จัดทำศึกษาเรื่องไตรภูมิพระร่วงจาก
แบบเรยี นวรรณคดวี ิจักษ์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ แลว้ พบประเด็นทนี่ า่ สนใจและต้องการศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเติมใน
ประเด็นดังกล่าวจึงนำมาจัดทำรายงาน โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับที่มาของเรื่อง เนื้อเรื่องย่อและคติ
ความเชื่อในไตรภมู พิ ระรว่ ง ตลอดจนศิลปวฒั นธรรมสาขาตา่ งๆที่ได้รบั อทิ ธิพลมาจากความเชื่อท่ีปรากฏในไตร
ภูมิพระร่วง ทั้งนี้คณะผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ เว็บไซต์ บทความอาศัย
กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และเช่ือมโยง จนสำเร็จเปน็ รายงานเลม่ น้ี
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งวา่ รายงานเล่มนี้ จะให้ความรู้และเอื้อประโยชน์แก่ผู้ที่อ่าน และขอน้อม
รบั ขอ้ เสนอแนะต่างๆ เพ่ือทจี่ ะนำไปเพิม่ เตมิ หรือแก้ไขต่อไป
คณะผจู้ ดั ทำ
๑ / ๑๑ / ๖๔
สารบัญ ข
เรอ่ื ง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทนำ ๑
เรอ่ื ง ๑. ไตรภูมพิ ระรว่ ง ๒
๒
๑.๑ ท่มี าของเรื่อง ๒
๑.๒ ประวัตผิ แู้ ต่ง ๓
๑.๓ ลักษณะคำประพนั ธ์ ๓
๑.๔ เนือ้ เร่ืองย่อ ๔
๒. การแบง่ ประเภทของศลิ ปะ ๖
๓. วฒั นธรรม ๖
๓.๑ ความหมายของวฒั นธรรม ๖
๓.๒ ประเภทของวฒั นธรรม ๗
๔. ความเช่ือ ๗
๔.๑ ความหมายของความเชื่อ ๘
๔.๒ ประเภทของความเช่อื ๙
๔.๓ ความเชื่อเก่ียวกบั นรก สวรรค์ ๑๐
๕. ความเช่อื ท่ีปรากฏในไตรภูมพิ ระร่วงท่ีมีอทิ ธิพลต่อศลิ ปวัฒนธรรมในสาขาตา่ งๆ ๑๐
๕.๑ ความเชื่อเรื่องบาปบญุ ในศิลปะสาขาจติ รกรรม ๑๐
๕.๑.๑ จติ รกรรมฝาผนงั
๕.๒ ความเช่ือเร่ืองบาปบญุ ในศลิ ปะสาขาจิตรกรรม ๑๓
๕.๒.๑ บทวเิ คราะห์ความเชอื่ เร่อื งบาปบุญทส่ี อดคล้องกับวรรณคดี ๑๔
๕.๒.๒ บทวเิ คราะห์ความเช่อื เรอ่ื งบาปบุญทสี่ อดคล้องกับภาพยนตร์ ๒๓
๒๙
บทสรุป ๓๐
บรรณานกุ รม
บทนำ
ในยุคสุโขทัย ยุคสมัยแรกเริ่มที่ยอดกวีได้สร้างสรรค์วรรณกรรมอันทรงคุณค่ามากมายและหนึง่ ในนน้ั
คือ ไตรภมู ิพระรว่ ง วรรณกรรมท่ีได้รบั การยกยอ่ งว่าเป็นวรรณกรรมช้ินเอกแห่งยุคสมยั สุโขทยั แสดงถงึ ปรัชญา
แห่งบวรพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง เป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช หรือ
พระมหาธรรมราชาลิไทย ซง่ึ เดมิ ถกู เรยี กวา่ เตภูมกิ ถา หรือไตรภูมกิ ถา แต่ปวงชนชาวไทยมักคนุ้ เคยกันในนาม
“ไตรภูมพิ ระรว่ ง” ท่มี าแหง่ ขอมดำดิน ทรงพระราชนพิ นธข์ ึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๑๘๘๒ พระองค์มีพระราชประสงค์ใช้
เทศนาโปรดพระราชมารดาและสั่งสอนประชาชนของสุโขทัย นับเป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยตั้งแต่
ยุคกรุงสโุ ขทัย กรงุ ศรีอยธุ ยาตราบเท่าปจั จุบนั เพราะไดร้ วบรวมคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกช้ันชน มาร้อย
เรียงเป็นเรื่องกล่อมเกลาให้ผู้อ่านเกิดความกลัวสลดหดหู่ใจ บรรยายถึงภาพของนรก สวรรค์ไว้อย่างชัดเจน
สอนให้รู้จกั บาปบญุ คุณโทษ รู้ชั่ว เกรงกลัวต่อโทษท่ีจะไดร้ ับจากการทำความชัว่ จึงเป็นกลอุบายอันยอดเย่ียม
ทีน่ ำมาเผยแพร่สั่งสอนประชาชน เพอื่ ให้เกิดความสงบสุขและและความเจรญิ ในราชอาณาจักร โดยสะท้อนให้
เห็นถึงความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ บาป-บุญ ฯลฯ และความเชื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไปปรากฏอยู่ใน
ศิลปวัฒนธรรมสาขาตา่ งๆ ในสมัยนัน้ ได้แก่ จติ รกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรม วรรณกรรมเร่อื งอ่นื ๆ ใน
ปจั จบุ ันจงึ ยังคงมหี ลักฐานปรากฏให้เห็น เชน่ จิตรกรรมฝาผนัง วัดวาอาราม พระพุทธรูป ทำใหไ้ ตรภมู พิ ระร่วง
มีความสอดคล้องกับศิลปวัฒนธรรมหลากหลายสาขา ซึ่งคณะผู้จัดทำให้ความสนใจเฉพาะความเชื่อเรื่องบาป
บุญ รวมทัง้ ศิลปะสาขาจติ รกรรมและวรรณกรรม ดังนน้ั รายงานเล่มนี้จึงมุ่งเน้นประเด็นในไตรภูมิพระร่วงด้าน
ความเชื่อเรื่องบาป-บุญที่มีอิทธิพลต่อศิลปะสาขาจติ รกรรมและวรรณกรรม อีกทั้งไตรภูมิพระร่วงยังมีอิทธิพล
ต่อสังคมไทยร่วมสมัย โด่งดังไปทั่วประเทศอาเซียน และเป็นที่กล่าวถึงจวบจนปัจจุบัน โดยจัดว่าเป็นมรดก
ไทยทางภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดความรู้ทางพุทธศาสนาแก่ชนรุ่นหลัง ตลอดจนสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยได้รับ
อิทธิพลทางความคิดจากไตรภมู พิ ระรว่ งเปน็ สำคญั
๒
๑. ไตรภูมิพระรว่ ง
๑.๑ ทีม่ าของเรือ่ ง
หอมรดกไทย (๒๕๖๔ : ออนไลน์) ได้พูดถึงที่มาของไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วงว่าเป็น
วรรณกรรมชิน้ เอกสมยั กรุงสุโขทัยนับเป็นวรรณคดเี ร่ืองแรกของไทย เป็นพระราชนพิ นธใ์ น สมเด็จพระศรีสุริย-
พงศ์รามมหาธรรมราชาธริ าช หรอื พระมหาธรรมราชาลิไทย เป็นวรรณคดไี ทยที่มีอิทธิพลตอ่ สังคมไทยมาตั้งแต่
สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติความเชื่อในทุกแง่ทุกมุมของทุกชนช้ัน
หลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเปน็ เร่ืองราวให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีใน
การทำบุญทำกุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดี พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชารอบรู้
แตกฉานในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกา อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ พระองค์ยังเชีย่ วชาญวชิ าโหราศาสตร์
ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคมเป็นปฐมธรรมเนยี มสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสำคัญ คือ
ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลายว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้งสาม คือ กามภูมิ
รปู ภูมิ และอรูปภมู ิ ดว้ ยอำนาจของบญุ และบาปท่ตี นได้กระทำแล้ว
มงคล (๒๕๕๓ : ออนไลน์) ไดพ้ ูดถึงทม่ี าของไตรภูมิพระรว่ งว่า เป็นหนังสอื สำคัญสมยั กรุงสุโขทัยตก
ทอดมาถึงปัจจุบัน เป็นวรรณคดที างศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมาก เดิมเรียกว่า เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระ
ร่วง ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "ไตรภูมิพระร่วง" เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่
พระรว่ งเจ้ากษัตรยิ ์แห่งกรุงสโุ ขทัย (พระยาลไิ ท) ซ่งึ เป็นผพู้ ระราชนิพนธ์ นับว่าเปน็ หนังสือวรรณคดีเล่มแรกที่
เกิดจากการค้นคว้าจากคัมภีร์พุทธศาสนาถึง ๓๐ คัมภีร์ และมีลักษณะเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ คือ บอกชื่อ วัน
เดือน ปี และความมุง่ หมายในการแตง่ ไวอ้ ยา่ งครบถว้ น
๑.๒ ประวัตผิ แู้ ต่ง
กิตตศิ กั ดิ์ (๒๕๕๙ : ออนไลน์) ได้เขยี นไวว้ ่าหนังสือไตรภมู ิพระรว่ ง เปน็ วรรณคดีทางศาสนาที่สำคัญ
เล่มหนึ่งในสมัยสุโขทัย ซึ่งมีอิทธิพลต่อคนไทยมาก พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ได้ทรงพระราชนิพนธ์
ขึ้นหลังจากที่ทรงผนวชแล้ว และขึ้นครองราชย์ได้ ๖ ปี ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๖ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เป็น
กษัตริยอ์ งค์ที่ ๖ แห่งกรงุ สุโขทัย ข้ึนครองราชยต์ ่อจากพญางัวนำถม
จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดมหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักที่ ๘ ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อพญา
เลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางวั นำถมได้ขนึ้ ครองราชย์ ตอ่ มาพญาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติ และ
ขึน้ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระนามวา่ พระเจา้ ศรีสรุ ิยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศลิ าจารึกมัก
๓
เรยี กพระนามเดิมว่า พญาลไิ ท หรือเรียกย่อวา่ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เสดจ็ สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ พญาลิ
ไท ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระเถระชาวลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละ
ราชสมบัติออกทรงผนวชที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก พญาลิไททรงมีความรู้แตกฉานใน
พระไตรปิฎก ทรงสนพระทัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก และทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญหลาย
ประการ เชน่ สรา้ งถนนพระร่วง ต้งั แตเ่ มืองศรีสัชนาลัยผา่ นกรงุ สุโขทยั ไปถงึ เมอื งนครชมุ (กำแพงเพชร) บูรณะ
เมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ท่ี
ฝมี อื การชา่ งงดงามเปน็ เยี่ยม
ณิชาบูล พ่วงใส (๒๕๕๘ : ออนไลน์) พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพญาลิไทย เป็นพระมหากษัตริย์
พระองคท์ ี่ ๖ แหง่ กรุงสโุ ขทยั โดยมผี ูส้ นั นิษฐานวา่ คำวา่ “พระรว่ ง” น้ันเป็นคำทใ่ี ชเ้ รียกพญาลิไทยดว้ ยเช่นกัน
พญาลิไทย เป็นพระราชนัดดาหรือหลานของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์
แรกทที่ รงผนวชเปน็ พระภิกษตุ ลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์ พญาลไิ ทยทรงใช้หลักธรรมะ เปน็ หลกั สำคญั
ในการนำพาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ทำให้ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข นอกจากนั้น พระองค์ยังทรง
เช่ยี วชาญในพระพุทธศาสนา ทรงแตกฉานในพระไตรปฎิ ก และอรรถกถาฎีกาอีกดว้ ย
๑.๓ ลกั ษณะคำประพันธ์
มงคล สตุ ัญต้ังใจ (๒๕๕๓ : ออนไลน์) ไดเ้ ขยี นว่า เป็นรอ้ ยแกว้ ประเภทความเรยี งแบบเทศนาโวหาร
และพรรณนาโวหาร
๑.๔ เน้ือเร่ืองย่อ
วรรณคดีสมยั สโุ ขทัย (๒๕๖๐ : ออนไลน)์ ได้เขยี นไวว้ า่ เรม่ิ ตน้ บอกชอ่ื ผู้แตง่ วัน เดือน ปี และความ
มงุ่ หมายในการแต่ง หลักฐานประกอบการเรยี บเรยี ง จากน้ันกล่าวถึงภมู ทิ ้ังสาม (เตภมู ิ) คอื
๑. กามภูมิ พรรณนาถึงที่อยขู่ องมนุษย์ เทวดา และอื่นๆ รวม ๑๑ ภูมิ ไดแ้ ก่ สวรรค์ ๖ ภมู ิ มนษุ ย์ ๑
ภูมิ และอบาย ๔ ภมู ิ กามภูมิเป็นท่กี ำเนิดของชวี ติ ท้ังหายท่ียงั ลมุ่ หลงอยใู่ นกาม มีแดนสุขสบายและแดนที่เป็น
ทุกขป์ ะปนกันผู้ที่เกดิ ในภูมิตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ เป็นเพราะผลกรรมของตนเปน็ ใหญ่
๒. รูปภมู ิ หมายถงึ ท่ีอยขู่ องพรหมมรี ปู ร่าง รวมทง้ั หมด ๑๖ ชัน้ เปน็ แดนทอ่ี ยูข่ องพรหม ซึ่งมสี มาธิ มี
จติ สงู ขึ้นไปโดยลำดบั
๓. อรปู ภูมิ ไดแ้ กส่ วรรค์อันเป็นท่อี ยขู่ องพรหมไมม่ ีรูปรา่ งมีแต่จิตใจเท่าน้นั มี ๔ ช้นั
หนังสอื นกี้ ลา่ วเริม่ ตงั้ แตก่ ารกำเนดิ ของชวี ติ ตา่ ง ๆ วา่ เกดิ ข้นึ อยา่ งไร แล้วพรรณนาถิ่นที่เกิดคือ ภูมติ า่ งๆทั้ง
๔
๓๑ อยา่ งละเอยี ด เช่น ตอนท่ีว่าด้วยมนุษยภ์ ูมิ และโลกสณั ฐาน ไดเ้ ล่าอยา่ งละเอียดว่า ลักษณะของโลกเป็น
อย่างไร ทวปี ต่าง ๆ ภูเขา แม่นำ้ คน และสัตวเ์ ป็นอย่างไร และจบลงด้วย การเนน้ เรื่องทางไปถึงการดับทกุ ข์
คือ นิพพาน วา่ เป็นจดุ ม่งุ หมายอนั สงู สดุ ของชวี ติ
(๒๕๕๖ : ออนไลน์) ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้ง ๓๑ คือ
กามภูม๑ิ ๑, รปู ภมู ๑ิ ๖ และอรปู ภูมิ๔ ซงึ่ มเี นือ้ หาพรรณนาถึงที่อยู่ ท่ตี ง้ั และการเกดิ ของมนุษย์ สัตวน์ รก เปรต
อสรุ กาย และเทวดา ทต่ี ัง้ เหลา่ นี้มีเขาพระสุเมรเุ ป็นหลัก เขาพระสุเมรุน้ันตัง้ อย่ทู ่ามกลางจักรวาล มีทวิ เขาและ
ทะเลลอ้ ม ทวิ เขามชี ่ือต่างๆดังนี้ ๑. ยุคนธร ๒. อสิ นิ ธร ๓. กรวิก ๔. สุทศั น์ ๕. เนมนิ ธร ๖. วินนั ตก และ ๗.อัศ
กรรณ ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ ๗ ชั้น
เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กก้ัน
ทะเลนไ้ี ว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกน้นั เป็นนอกขอบจักรวาล
จากข้อมูลข้างต้น ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้ง ๓๑ ซึ่งมี
เนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขา
พระสุเมรุเป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม และจบลงด้วยการเน้น
เรื่องทางไปถึงการดับทุกข์ คือ นิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมายอันสูงสุดของชีวิตและไตรภูมิพระร่วงยังเป็นแรง
บันดาลใจ ทำใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะในประเภทตา่ งๆ ดังน้ี
๒. ประเภทของศิลปะ
สำราญ ผลดี (๒๕๕๐ : ออนไลน)์ ได้กล่าวถงึ ประเภทของศลิ ปะ ซงึ่ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
วจิ ิตรศิลปแ์ ละประยุกตศ์ ิลป์ ดงั น้ี
๑. วิจติ รศลิ ป์ หมายถงึ ศลิ ปะทมี่ ุง่ แสดงในด้านคณุ ภาพของความงามมากกวา่ ประโยชน์ใช้สอย
แบ่งออกเปน็ ๖ ประเภท ไดแ้ ก่
๑.๑ จิตรกรรม เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการขีดเขียน การวาด และระบายสี เพื่อให้เกิด
ภาพ เป็นงานศิลปะที่มี ๒ มิติ เป็นรูปแบนไม่มีความลึกหรือนูนหนา สามารถเขียนลวงตาให้เห็นว่ามีความลึก
หรอื นนู ได้ จิตรกรรมไทยทนี่ า่ สนใจ เชน่ จิตรกรรมฝาผนงั ตามวัดวาอารามตา่ งๆ เปน็ ต้น
๑.๒ ประติมากรรม ศิลปะสาขาหนึ่งที่เกี่ยวกับการแกะสลักไม้ หินอ่อน โลหะ ให้เป็นรูปร่าง
ลวดลายต่างๆ แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง ๓ มิติ มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อในอากาศ ผลงาน
๕
ประติมากรรมไทยจะพบคำที่คล้ายกันคือ ประติมากรรม หรือ ผลงานศิลปะดังกล่าวข้างต้น กับคำว่า
ปฏิมากรรม อนั หมายถงึ พระพทุ ธรปู รปู แบบ หรอื รูปแทนองคพ์ ระพุทธเจ้า สว่ นศลิ ปนิ จะเรียกวา่ ปฏิมากร
๑.๓ สถาปัตยกรรม ศิลปะและวิทยาที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง ศิลปะที่แสดงออกด้วยการ
ก่อสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยต่างๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง
สถาปตั ยกรรมไทยมีรูปแบบทโ่ี ดดเด่นสวยงามเฉพาะตวั
๑.๔ วรรณกรรม ผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพือการสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจ
ระหว่างมนุษย์ ประเทศไทยมีผลงานวรรณกรรมท่ีทรงคณุ ค่าจำนวนมาก
๑.๕ ดนตรี เปน็ ผลงานศิลปะทแ่ี สดงออกดว้ ยการใชเ้ สียง การจัดจังหวะ และทว่ งทำนองของเสยี ง
ด้วยการเล่นดนตรี แและการขับร้องเพลง ที่มีผลต่ออารมณ์และจิตใจของมนุษย์ การใช้ท่าทางประกอบเสียง
การเต้นระบำ รำ ฟอ้ น การแสดงละครเปน็ ต้น
๑.๖ ภาพพิมพ์ คือ ศิลปะจากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มีลักษณะเหมือนกับแม่พิมพ์ทุก
ประการไดภ้ าพท่ีเหมือนกันมีจำนวนต้งั แต่ ๒ ชิน้ ข้ึนไป
๒. ประยุกต์ศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่มีการนำเอาความรู้จากศิลปะแบบวิจิตรศิลป์มาประยุกต์ เพื่อให้เกิด
ประโยชน์ในผลงานต่อทางกาย มุ่งเน้นประโยชนใ์ ช้สอยมากกว่าความงามแบบวิจิตรศิลป์ โดยแบ่งออกเป็น ๔
ประเภท ไดแ้ ก่
๒.๑ พาณิชย์ศิลป์ คือ ผลงานศิลปะที่เกีย่ วข้องกบั การออกแบบเพ่ือสนบั สนนุ การค้าและการบริการ
เช่น เครอื่ งหมายการคา้ การออกแบบโฆษณา การออกแบบตราสนิ คา้ เปน็ ต้น
๒.๒ มัณฑนศิลป์ คือ ศิลปะการออกแบบตกแต่ง เช่น การออกแบบตกแต่งภายในอาคารหรือ
ภายนอกอาคาร เป็นตน้
๒.๓ อตุ สาหกรรมศลิ ป์ คือ ศลิ ปะการออกแบบผลติ ภัณฑ์ต่างๆ เช่น ข้าวของเคร่อื งใช้ตา่ งๆ เป็นต้น
๒.๔ หัตถศิลป์ คอื ศลิ ปะที่ทำด้วยมอื เช่น เคร่ืองเบญจรงค์ เรอ่ื งจกั สาน เป็นตน้
จากการศึกษาศิลปะคือการถ่ายทอดความรู้สึก เป็นผลงานความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดง
ออกมาในรูปแบบของวิจิตรศิลป์กับประยุกต์ศิลป์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในการสร้างผลงานเพื่อแสดงออกซึ่งฝีมือ
ก่อให้เกิดสุนทรียภาพ ความประทับใจ อารมณ์ ความคิด ความงาม หรือ สะเทือนอารมณ์ รสนิยม
ขนบธรรมเนียม จารตี ประเพณี ดังน้นั ศิลปะจึงเข้ามามบี ทบาทในชีวติ รวมถงึ วัฒนธรรม
๖
๓. วัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรม (๒๕๕๒ : ออนไลน์) ได้กล่าวถึงความหมายของวัฒนธรรมคือในสังคมไทย คำว่า
วฒั นธรรม ไดถ้ กู นยิ ามโดยรากศพั ท์ภาษาบาลแี ละสนั สกฤต คำว่า วฒฒน (วัฒน) หมายถึง ความเจรญิ งอกงาม
สว่ น ธรม(ธรรม) หมายถึง ความดี ความงาม กฎระเบยี บ ข้อปฏิบตั ิ เม่อื รวมกันเป็นวฒั นธรรม หมายถึงความดี
วัฒนธรรมในความหมายทางสังคมวิทยา วัฒนธรรมเปน็ วถิ ชี ีวิตของมนุษยท์ เ่ี กดิ จากการเรียนรู้-สั่งสอน หรือทุก
ส่ิงทุกอยา่ งท่มี นษุ ยส์ ร้างข้ึน สว่ นวัฒนธรรมในความหมายตามกระทรวงวฒั นธรรม วฒั นธรรม คือ วิถชี ีวิต ซึ่งมี
ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้วัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรมจะปรากฏในรูปของวัตถุ
ส่วนวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรมคือพฤติกรรมและที่จับต้องหรือยากที่จะมองเห็นได้ในทันที ได้แก่ ความรู้สึก
คุณคา่ ปรชั ญา ความเชอื่ และศักดส์ิ ทิ ธิ์ ซึง่ ๒ ส่วนจะประกอบอยใู่ นวถิ ชี ีวิตของคนในสงั คม
นิพาดา ทองคำแท้ (๒๕๕๔ : ออนไลน์) ได้กล่าวถึงประเภทของวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ได้แก่
๑. วัฒนธรรมทางวัตถุ (material culture) หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุอันเกิดจากความคิดและการ
ประดิษฐข์ ้ึนมาของมนษุ ย์ เชน่ อาหาร บา้ น ยารักษาโรค เครอ่ื งมอื เคร่ืองใช้ เป็นต้น
๒. วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (non-material culture) หมายถึง วัฒนธรรมด้านนามธรรมที่ไม่สามารถ
สัมผสั ได้ เชน่ ความคดิ ความเช่อื คา่ นยิ ม ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม การปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มาและเป็นท่ียอมรับ
ในกล่มุ ของตนวา่ ดีงาม
ตามพระราชบัญญัติวฒั นธรรมแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ ไดแ้ บ่งประเภทวฒั นธรรมออกเป็น ๔ ประเภท
๑. คตธิ รรม คอื วฒั นธรรมที่เก่ียวกบั หลักในการดำเนินชวี ิต ส่วนใหญเ่ ปน็ เร่อื งของจิตใจซึ่งได้เรียนรู้
จากศาสนา เปน็ ตน้
๒. เนตธิ รรม คอื วัฒนธรรมทางกฎหมาย รวมทั้งระเบยี บประเพณีทีย่ อมรบั นับถือกนั ว่ามีความสำคัญ
เช่นเดียวกับ กฎหมาย เป็นตน้
๓. สหธรรม คือ วฒั นธรรมทางสงั คมท่ีเก่ียวกับหลกั การปฏบิ ตั ิทางสงั คม เชน่ มารยาทในงานสังคม
ต่างๆ เปน็ ต้น
๔. วัตถธุ รรม คือ วฒั นธรรมทางวตั ถุ ท่ีสามารถจบั ตอ้ งได้สมั ผสั ได้ เช่น บา้ นเรอื น อาหาร เครือ่ งมอื
เครอื่ งใช้ เครื่องแต่งกายและเครอ่ื งอำนวยความสะดวก เปน็ ต้น
จากการศกึ ษาสรุปได้วา่ วัฒธรรมเปน็ สิง่ ท่ีมนษุ ย์คิดค้นข้นึ มาเพื่อดำรงชวี ิตอยูต่ ่อไป ซึ่งวัฒนธรรมเป็น
ทุกสิ่งทุกอยา่ งทมี่ นษุ ย์สร้างขึน้ จากกระบวนการเรยี นร้ขู องมนษุ ย์ ได้แก่ การรู้จกั คิด รจู้ กั ใช้ รู้จกั ถ่ายทอด โดย
๗
แสดงออกผ่านดนตรี วรรณกรรม จติ รกรรม ประติมากรรมการละครและภาพยนตร์ ดังนั้นวัฒนธรรมจึงเข้ามา
มบี ทบาทในชวี ติ ของคนในสงั คมรวมถงึ ความเช่ือ
๔. ความเช่อื
๔.๑ ความหมายของความเชอื่
วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง (๒๕๖๔ : ออนไลน์) ได้พดู ถึงความเชอ่ื วา่ ความเช่ือ คือ
การยอมรับว่าส่ิงใดสิง่ หนึ่ง เป็นความจริงหรือเปน็ สิง่ ท่ีเราไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจทีเ่ ป็นรูปของความ
เชื่อน้นั ไม่จำเปน็ วา่ จะต้องเปน็ ความจริงที่ตรงตามหลักเหตผุ ลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ คนที่เช่ือในฤกษ์ยาม
ก็จะถอื ว่า วนั เวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อใหเ้ กิดผลต่อตัวมนุษย์ คนท่ีเชือ่ เครื่องรางของขลงั ก็จะมีความยึด
มน่ั ว่า เครอ่ื งรางของขลังให้คุณใหโ้ ทษแก่ตนได้จริง ตัวอย่างของความเช่ือ ได้แก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชค
ลาง ของขลงั ผสี าง นางไม้ ความเชอื่ อำนาจลกึ ลบั สง่ิ ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ อิทธฤิ ทธิป์ าฏหิ าริย์ เหล่านเ้ี ป็นตน้
(๒๕๖๔ : ออนไลน์) ได้เขียนถึงความเชื่อว่า มีความหมายอยูห่ ลายความหมาย ซึ่งนักวิชาการและผู้รู้
ได้ให้ความหมายของ ความเช่ือไว้ในแง่มุมตา่ งๆ วา่ ความเช่อื คือ การยอมรับว่าสง่ิ ใดสิ่งหน่งึ เป็นความจริงหรือ
เป็นสิง่ ท่ีเราไวใ้ จ ความจรงิ หรอื ความไว้วางใจทเ่ี ป็นรปู ของความเชื่อนั้น ไม่จำเป็นว่าจะตอ้ งเป็นความจริงท่ีตรง
ตามหลัก เหตุผลหรอื หลักวทิ ยาศาสตรใ์ ดๆ คนที่เช่ือในฤกษย์ ามกจ็ ะถอื ว่า วนั เวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อ
ให้เกิดผล ต่อตวั มนุษย์ คนที่เชอ่ื เคร่ืองรางของขลังกจ็ ะมีความยึดม่ันว่า เครอ่ื งรางของขลังให้คุณให้โทษแก่ตน
ได้จรงิ ตัวอยา่ งของความเช่ือ ไดแ้ ก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลงั ผีสาง นางไม้ ความเชือ่ อำนาจ
ลกึ ลับ สิง่ ศักด์ิสทิ ธ์ิ อทิ ธิฤทธ์ิปาฏหิ ารยิ ์ เหล่านี้เปน็ ต้น สำหรับความเชื่อของชาวโนราทีม่ ผี ลต่อจิตวิญญาณของ
คนในชุมชนผา่ นการสืบสาน ส่งตอ่ จากรุ่นสรู่ ุ่นมีความเชือ่ อยู่หลากหลายประการ
ธวัชปุณโณทก จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (๒๕๒๘, หน้า ๖๔ : ออนไลน์) ได้กล่าวถึงความเชื่อไว้ว่า
ความเชือ่ คือ การยอมรบั อันเกิดอยู่ในจติ สำนึกของมนุษยต์ ่อ พลังอำนาจเหนือธรรมชาติท่ีเป็นผลดีหรือผลร้าย
ต่อมนุษย์นั้นๆหรือสังคมมนุษย์นั้นๆแม้ว่าพลังอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านั้นไม่ สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเปน็
ความจรงิ แต่มนษุ ยใ์ นสังคมหนึ่งยอมรับและให้ความเคารพเกรงกลวั สงิ่ เหลา่ นีเ้ รียกว่าความเช่อื ฉะนัน้ ความเช่อื
จึงมีขอบเขตกว้างขวางมากไม่เพียงแต่จะหมายถึงความเชื่อในดวงวิญญาณทั้งหลาย ภูตผีคาถาอาคมโชคลาง
ไสยเวทต่างๆยงั รวมถงึ ปรากฏการณ์ธรรมชาติทมี่ นษุ ย์ยอมรับนับถือเช่นต้นไม้
จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เรา
ไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามห ลัก
๘
เหตผุ ลหรือหลกั วิทยาศาสตรใ์ ดๆ คนท่ีเชือ่ ในฤกษ์ยามกจ็ ะถือว่า วนั เวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิดผล
ต่อตัวมนุษย์ คนที่เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยดึ มั่นว่า เครื่องรางของขลังให้คุณให้โทษแก่ตนได้จริง จึง
ทำให้เกิดความหลากหลายทางความเช่อื และมคี วามเชอ่ื หลายประเภทแบ่งไปตามประเภทต่างๆตามความเชอื่
๔.๒ ประเภทของความเชื่อ
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง (๒๕๖๔ : ออนไลน์) ได้พูดถึงความเชื่อทั่วๆ ไป หรือ
ความเช่ือธรรมดา ซ่ึงคนส่วนใหญจ่ ะมีอยู่ สามารถแบ่งยอ่ ยออกไปได้ดงั นี้
๑. ความเชื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ไดจ้ ากการที่มนุษย์ในสมัยแรกๆ อาศยั ธรรมชาตเิ ป็นอยู่ เมอื่ ฝนตก ฟ้าร้อง กก็ ลวั บางทีเกดิ ฟ้าผ่าลงมาตนได้รับ
อันตรายก็เข้าใจว่าธรรมชาติลงโทษเพราะพระเจ้าท่านพิโรธ เมื่อน้ำท่วมใหญ่หรือฝนแล้ง ก็ว่าพระเจ้าลงโทษ
จึงหาวิธกี ราบไหว้อ้อนวอนมิให้ท่านลงโทษ เปน็ ตน้
๒. ความเชอ่ื เก่ยี วกบั ฤกษย์ าม นมิ ิต ฝัน การประกอบพิธตี ่างๆ
ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเพือ่ เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองต่อไปภายหนา้ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ก็หาฤกษ์ยาม จะเดินทางไกลไป
คา้ ขายก็หาฤกษ์ยาม ออกเดินทางทิศใดจึงจะดี ส่วนความฝันหรอื นิมิตนนั้ เช่ือกนั ว่ามีสว่ นของความจริง ทำให้
บางคนถือเอามาเป็นภาระในการกระทำต่างๆ ถ้าฝันดีก็หวังว่าจะโชคดีมีสุข หากฝันร้ายก็จะหาวิธีปัดเป่าโดย
แกฝ้ ันตามแม่น้ำบา้ ง ทางสีแ่ พรง่ บ้าง เปน็ ต้น
๓. ความเชื่ออนั เนื่องมาแตศ่ าสนา
แต่ละศาสนาสอนใหค้ นเช่ือด้วยวิธีตา่ งๆ กนั แต่จดุ หมายปลายทางคอื ความสุขในชวี ติ เช่นเดียวกัน เชน่ ศาสนา
คริสต์ สอนใหร้ กั เพื่อนมนุษย์ ผกู้ ระทำผิดมีการสารภาพบาปต่อพระเจ้าจะหมดบาปได้ ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อ
ในการกระทำและผลของการกระทำ เป็นตน้
๔. ความเชอ่ื เก่ียวกบั ประเพณี
แต่ละภมู ิภาคมปี ระเพณีมากมาย เพราะความเช่ือของแต่ละท้องถ่ินมีอยา่ งนน้ั มกี ารประกอบพิธีตามความเช่ือ
ในประเพณอี ยู่ด้วย เชน่ ประเพณชี ิงเปรตในภาคใต้ ประเพณที ำบญุ คูณลานในอสี าน ประเพณสี งกรานต์
เป็นต้น
๕. ความเช่อื เกยี่ วกบั นรก สวรรค์ ชาติ ภพ
เป็นความเชื่อของมนุษย์ที่มีมานานแล้วว่าการทำไม่ดีจะตกนรก ถูกยมบาลทรมาน ถ้าทำดีจะมีสุขขึ้นสวรรค์
เชื่อว่าตายแล้วไปเกิดในชาติหน้าต่อๆ ไป เป็นความเชื่อที่เน่ืองมาจากศาสนาเช่นกัน เป็นความฉลาดของคน
โบราณท่ใี ชอ้ ุบายสอนคนเพอ่ื ให้เปน็ คนดี มีความหวงั ในชีวิต
๙
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่แฝงไว้ด้วยความกลัว หรือความเชื่อทางไสยศาสตร์ ความหมายของ
ไสยศาสตร์ คือ การเชื่อถือโดยรูส้ กึ เกรงขามหรือกลวั ในสิ่งท่ีเขา้ ใจว่าอยูเ่ หนือธรรมชาติหรือในสิ่งลึกลับ อันไม่
สามารถจะทราบด้วยเหตผุ ลตามหลักวทิ ยาศาสตร์ และสงิ่ นั้นอาจจะใหด้ ีหรอื ร้ายแก่ผู้ท่ีเชอื่ ถือกไ็ ด้
ความเชื่อนั้นแบ่งออกได้หลากหลายประเภททั้งที่ตัวเราเองเชื่อและความเชื่อของคนอื่นที่แตกต่างไป
จากความเชื่อของเรา ทั้งความเชื่อที่มีอยู่จนถึงปัจจุบันและความเชื่อสมัยก่อน ความเชื่อส่วนใหญ่มาจากการ
เชื่อสิ่งที่ตนเป็นอยู่กับการเชื่อตามสิ่งแวดล้อมที่ตนเองอยู่ อย่างเช่น การเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งการเช่ือ
ประเภทนี้เป็นการเชื่อส่วนบุคคล และเป็นความเชื่อที่ตนเองอาจพบเจอด้วยตัวเองจึงจะเชื่อ หรือเชื่อเพราะ
บรรพบุรุษเคยเชื่อแบบนี้ และความเชื่อที่คนส่วนใหญ่เชื่อคือ ความเชื่อทางศาสนาและโดยเฉพาะเรื่องความ
เชื่อเกี่ยวกับนรก-สวรรค์ ซึ่งหลายศาสนาที่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ทำให้คนส่วนใหญ่
จำเปน็ ต้องปฏิบัตติ นในทางท่ีถกู เพราะเช่อื วา่ จะได้เข้าสสู่ วรรค์ จึงทำให้เกดิ ความเชื่อเก่ยี วกับนรก-สวรรค์
๔.๓ ความเช่อื เกย่ี วกบั นรก-สวรรค์
อังศินันท์ อินทรกาแหง (๒๕๖๐ : ออนไลน์) ได้พูดถึงความเชื่อนรก-สวรรค์ ว่าเป็นความเชื่อท่ี
สัมพันธ์กันอยา่ งแยกไม่ออกกับเรื่องกรรม บุญ-บาป และเรื่องหลักวัฏสงสาร ตามหลักพระพุทธศาสนา นั่นคือ
การท่ีคนเราทำกรรมดกี รรมชัว่ ไว้ชาติน้ีแล้ว เมื่อตายไปจะส่งผลใหไ้ ปเกิดในภพต่างๆกนั นรก คือสถานทไี่ ปของ
สตั ว์ผู้กระทำบาปไว้กอ่ นตาย สวรรค์ คือสถานทไี่ ปของผู้ประกอบบุญกศุ ลก่อนตาย
บัญชา แก้วเกตุทอง (๒๕๒๘ : ออนไลน์) ได้กล่าวไว้ว่า นรก-สวรรค์ตามความหมายที่แท้จริงก็คือ
การที่วิญญาณไปเสวยผลแห่งบุญกุศล หรือผลแห่งวิบากกรรมที่ตนทำไว้ วิญญาณเป็นอรูป(ไม่มีตัวตนไม่มีรูป)
ผู้ที่ประกอบบุญกุศล วิญญาณก็ไปเสวยสุข ผู้ที่ประกอบกรรมชั่ว วิญญาณก็ต้องได้รับทุกข์ทรมาน การที่
วิญญาณไปเสวยเป็นความรู้สึกเท่านั้น สวรรค์ไม่ได้อยู่กลางนภากาศ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน เพราะสิ่งนี้ไม่มีตัวตน
เมือ่ ไมม่ ตี ัวตนก็ไมม่ ีท่ีอยู่ เปน็ แต่วญิ ญาณไปเสวยหรอื ไปรู้สกึ เทา่ น้ัน
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (๒๕๕๗ : สัมภาษณ์) ได้อธิบายเรื่องนรกและสวรรค์ ตามหลักคำสอนของ
พระพุทธเจ้า หมายถงึ ใครทำกรรมใดไว้ยอ่ มต้องรับรู้และเกิดความคดิ ความรสู้ กึ ไปตามกรรมนั้น หากทำกรรม
ดีก็จะมีความสุขอิ่มเอิบใจ ประดุจได้ขึ้นสวรรค์ หากทำกรรมชั่วก็จะรู้สึกหมองไหม้ไร้ความสุขเหมือนตกอยู่ใน
นรกท่มี ีไฟรอ้ นสุมทรวงกายอยตู่ ลอดเวลา
พระพรหมคุณาภรณ์ (๒๕๔๗ : ออนไลน)์ ได้กลา่ วว่านรก-สวรรค์ หลงั ตาย ระดบั ทหี่ นึ่ง คอื เรอ่ื งนรก-
สวรรค์ทีเ่ ราพูดกันทั่วๆไปว่า หลังจากชาตินี้ตายแล้วไปรบั ผลกรรมในทางท่ีดีและไม่ดี ถ้ารับผลกรรมดี ก็ถือว่า
ไปสวรรค์ ถ้ารับผลกรรมชั่ว ก็ไปเกิดในนรก เรื่องนรก-สวรรค์แบบนี้ เรียกว่าระดับที่หนึ่ง พระพุทธศาสนาว่า
๑๐
อย่างไร สําหรับระดับน้ี ถ้าถือตามตัวอักษร พระไตรปิฎกกล่าวไว้มากมาย เมื่อพูดกันตามตัวอักษรก็ต้องบอก
ว่ามี มีอย่างไร นรก-สวรรค์ หลังจากตายนี้มักจะมีในขั้นเอ่ยถึงเท่านั้น ไม่ค่อยมีคําบรรยาย ในพระไตรปิฎก
เรอ่ื งนห้ี าไดท้ ัว่ ไปในคาํ สรุปท้ายท่ีแสดงผลของการประพฤตดิ ปี ระพฤตชิ วั่ คือ ในแงส่ วรรคบ์ อกว่า เมื่อแตกกาย
ทําลายขนั ธ์ล่วงลบั ดับชพี ไปแล้วจะเข้าถงึ สุคติโลกสวรรค์
ความเชื่อเกี่ยวกับนรก-สวรรคน์ ั้นคอื การที่คนเราทำกรรมดีกรรมชัว่ ไว้ชาตินีแ้ ล้ว เมื่อตายไปจะส่งผล
ให้ไปเกิดในภพต่างๆกัน นรก คอื สถานที่ไปของผ้ทู ี่กระทำบาปไว้กอ่ นตาย สวรรค์ คือสถานทไ่ี ปของผู้ประกอบ
บุญกุศลก่อนตาย หลังจากชาตินี้ ตายแล้วไปรับผลกรรมในทางที่ดีและไม่ดี ถ้ารับผลกรรมดี ก็ถือว่าไปสวรรค์
ถ้ารับผลกรรมชั่ว ก็ไปเกิดในนรก ซึ่งความเชื่อเรื่องนี้ในไตรภูมิพระร่วงจะสะท้อนและถ่ายทอดออกมาใน
รูปแบบของงานศลิ ปวฒั นธรรมสาขาตา่ งๆ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เช่น จติ รกรรม และวรรณกรรม
๕. ความเชื่อท่ีปรากฎในไตรภูมิพระร่วงทม่ี ีอิทธพิ ลตอ่ ศลิ ปวฒั นธรรมในสาขาตา่ งๆ
๕.๑ ความเชอื่ เรอื่ งบาปบุญในศิลปะสาขาจติ รกรรม
๕.๑.๑ จติ รกรรมฝาผนัง
ธรี นาฎ มนี ่นุ : ออนไลน์ ไดก้ ลา่ วถึงจิตรกรรมฝาผนงั ภายในวิหาร
พระพุทธไสยาสน์ หรือวิหารพ่อเฒ่านอน วัดจะทิ้งพระ อำเภอ
สทิงพระ จังหวัดสงขลา จิตรกรรมฝาผนังด้านทิศตะวันออก
บริเวณด้านเศียรของพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติ ตอน
เสด็จโปรดพุทธมารดา และเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภาพที่ ๑.๑ จิตรกรรมฝาผนงั วิหารพระพทุ ธไสยาสน์ วดั จะทิง้ พระ
เบื้องล่างแสดงภาพพระภิกษุสงฆ์รับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชนที่พากันมาร่วมทำบุญตักบาตร ถวาย
ดอกบัว เรียกการตักบาตรนี้ว่า “ตักบาตรเทโว” ซึ่งภาพหญิงสาวชาวบ้านกำลังปรับแต่งผ้าคาดอกเพื่อเตรียม
ตวั ไปทำบญุ ถูกสอดแทรกอยู่ในบรเิ วณน้ี ส่วนด้านลา่ งสดุ เป็นฉากนรกภูมิ ซ่งึ รายละเอยี ดของภาพจิตรกรรมใน
ด้านนีเ้ ผยใหเ้ ห็นโลกท้งั ๓ ไดแ้ ก่ สวรรค์ โลก และนรก ดงั คำกล่าวในพุทธประวตั ิว่าวันที่พระพุทธองค์เสด็จลง
จากดาวดึงส์นั้น พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการเปิดโลกทั้ง ๓ คือ เทวโลก มนุษยโลก และยมโลก
จิตรกรรมฝาผนังด้านทิศใต้ แสดงภาพพุทธประวัติตอนเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ รับข้าวมธุปายาส และธิดา
มารยั่วยวน ขณะที่จิตรกรรมฝาผนงั ด้านทิศตะวันตก แสดงภาพพุทธประวัติตอนมารวิชัย จิตรกรรมฝา ผนังท่ี
วิหารพระนอน วัดจะทงิ้ พระพระ อาํ เภอสะทงิ พระ จังหวดั สงขลา เป็นภาพการลงทณั ฑ์ ในแดนนรก
๑๑
ชวน เพชรแก้ว ( ๒๕๕๕ : ออนไลน์) จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัด
วัง ตําบลลําปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ภายในอุโบสถที่ฝาผนังท้ัง
๔ มมุ มเี ขยี นภาพจติ รกรรมท่ีเก่ียวกับพุทธประวัติ และเทพ จิตรกรรม
เรื่องพุทธประวัติบนผนังตอนบน ตอนบนสุดเขียนรูปฤาษี วิทยาธร
กำลังเหาะ ถัดลงมาเขียนรูปเทพชุมนุม ต่ำลงมาเป็นเรื่องราวพุทธ ภาพที่ ๑.๒ จติ รกรรมฝาผนงั พระอโุ บสถ วดั วัง
ประวัติ ภาพบางตอนจะแสดงใหเ้ ห็นถึงชวี ิต สงั คม และวัฒนธรรมของชาวบ้านอยา่ งชัดเจน เชน่ การประกอบ
อาชีพ การแต่งกาย และสภาพบ้านเรือนในสมัยนั้น เทพชุมนุมมักแสดงในฐานะผู้ร่วมหรือเป็นสักขีพยานใน
พิธีกรรมว่าด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังแสดงถึงพื้นที่ของสวรรค์ผ่านอัตลักษณ์ของตัวเทพเองโดยเทพชุมนุมน้ัน
มิได้ปรากฏเพยี งรูปลกั ษณข์ องมนษุ ย์เทา่ นั้น แตย่ งั ประกอบไปด้วยวานร ยักษ์ อสูร และอีกมากมาย โดยจะหัน
หนา้ ไปหาทิศทางที่เป็นประธานของภาพหรือของเหตุการณ์ทปี่ รากฏในจิตรและทีฝ่ าผนงั พระอุโบสถของวัดวัง
ยงั มภี าพเปรตปรากฏแทรกอยูด่ ว้ ย
ภาพวาดฝาผนังอุโบสถวดั ชลธาราสงิ เห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสมี
ภาพจิตรกรรมที่ได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับศาสนาเรื่องไปภูมิพระร่วง คือมี
ภาพของการลงทัณฑ์ ในแดนนรกการแสดงภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งอยู่
เหนือขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก นอกจากนี้ยังปรากฏภาพ
จิตรกรรมฝาผนัง ลายเทพชุมนุม ภาพชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตไตรภูมิ
และลำดับภาพพุทธประวัติเขียนเริ่มตั้งแต่ตอนลาพระนางยโสธราและ
ราหุลแล้วเรียงลำดับเรื่อง จนถึงตอนประทับรอยพระพุทธบาทด้านหน้า
พระประธานมีภาพตอนพระพุทธเจ้าเสดจ็ ลงจากดาวดึงส์ เป็นภาพขนาด ภาพที่ ๑.๓ ภาพวาดฝาผนังอุโบสถวดั ชลธาราสงิ เห
จงั หวัดนราธวิ าส
ใหญ่ผนงั ด้านล่างเปน็ พื้นทีว่ ่างมีแตภ่ าพมณฑปเหนือเศียรพระ เพดานเขียนลายบนพนื้ แดง เริ่มจากมุมด้านทิศ
ใต้มาทางทศิ ตะวันออก
พระวิจัย อิทธฺโก (๒๕๖๐ : ออนไลน์) จิตรกรรมภาพพระบฏ ในกรุวัดดอกเงิน อำเภอ
ฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์เสด็จจาก สวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ เช่นพระบฏจากวัดกรุเงิน เชียงใหม่ เป็นภาพ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ในพระ
อิริยาบถลีลาจากขั้นบันได อยู่ภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งซึ่ง เป็นประธานของ
ภาพทั้งหมดขนาบข้างด้วยบันไดซึ่งมีพื้นที่เล็กว่าเป็นทางลงของของพระพรหม พระ
อนิ ทรเ์ หลา่ วทิ ยาธร และเทวดา ที่มานมสั การ รวมทั้งภาพปราสาทไพชยนต์ของ
ภาพที่ ๑.๔ จติ รกรรมภาพพระบฏ
ในกรวุ ดั ดอกเงิน จงั หวดั เชยี งใหม่
๑๒
พระอินทร์ ด้วย ส่วนบนแสดงภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่พระพุทธองค์เสด็จจากมาหลังจากทรงเทศนาพระ
อภิธรรมถวายพระพทุ ธมารดาท่พี ระเจดยี ์จฬุ ามณี
วัดระฆังโฆสิตาราม : ออน์ไลน์ ภาพจิตกรรมฝาผนัง ภายในพระ
อุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหารจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง เนมิ
ราชชาดก พระเนมริ าชผู้ยง่ิ ดว้ ยอธิฐานบารมี พระมาตลีเทพเป็นสารถี
นำชมนรกและสวรรค์ของผู้ที่ได้ทำบุญและทำบาปไว้ เหล่าเทพบุตร
กำลังเหาะเหินเดินฟ้ากันอย่างเกษมสำราญยิ่ง ตรงกลางภาพ เป็น
ปราสาททเ่ี ขียนด้วยลวดลายวจิ ิตรพิสดาร ดูงดงามยง่ิ โดยมีพระเนมิ ภาพที่ ๑.๕ ภาพจติ กรรมฝาผนงั ภายในพระอุโบสถ
วัดระฆงั โฆสิตาราม วรมหาวหิ าร
ราชประทับอยู่ภายใต้พระบรมมหาเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยอินทร์พรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย นั่งเฝ้าแหนลดหล่ัน
กนั ลงมาตามลำดบั ขน้ั เบือ้ งลา่ งอันเปน็ พระราชฐานสว่ นในนน้ั เลา่ กแ็ วดวงไปด้วยเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาน่ัง
พับเพียบพนมมือเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งซ้ายและขวา บนพื้นปูลาดด้วยกระเบื้องที่มีลวดลายเป็นตาราง
สี่เหลี่ยม มีสรรมองดูเป็นลักษณะของเอกรงค์ พระราชฐานส่วนนอกซึ่งปูด้วยกระเบื้องสี่เหลี่ยมปราศจาก
ลวดลายสลับด้วยสีน้ำตาลอ่อนแก่คล้ายตาหมากรุกเป็นที่ตั้งของศาลารายก ระหนาบหราสารทอยู่สองข้าง
เทพบุตรกำลงั เย้อื งยา่ งเข้าไปในบริเวณปราสาททางเบอ้ื งซ้าย เหลา่ เทพธิดาเสดจ็ เข้าทางเบือ้ งขวา
พิศาล บุญผูก (๒๕๕๐ : ออนไลน์) จิตรกรรมฝาผนังที่อุโบสถวัดเกาะ
พญาเจ่ง ส่วนกลางระหว่างผนังหน้าต่างทั้ง ๑๒ ห้อง เป็นภาพทศชาติ
๑๐ ห้องและวรรณกรรมพื้นบ้าน ๒ ห้องโดยเริ่มทางขวาของพระ
ประธานเวียนทักษิณาวัตรห้องที่ ๖ พระเนมิราชชาดก แสดงการ
บำเพ็ญอธิษฐานบารมีของพระเนมิราชกุมารเมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ภาพท่ี ๑.๖ จติ รกรรมฝาผนงั ทอ่ี ุโบสถวดั เกาะพญาเจง่
สมบัติแล้วทรงบำเพ็ญคุณงามความดียึดมั่นในทศพิธราชธรรมจนเป็นที่เคารพรักใคร่ของมหาชน เมื่อทรงพระ
ชราทรงมอบราชสมบัตใิ หพ้ ระโอรส แลว้ เสดจ็ ออกผนวชเชน่ เดียวกบั พระราชบิดาของพระองค์
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (๒๕๖๓ : ๑๐๐) ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง
ในพระอุโบสถนี้ เป็นภาพพุทธประวัติตอนสำคัญๆ และภาพทศชาติ
ได้แก่ ผนังด้านหน้าพระประธานระหว่างช่องประตูเขียนภาพพุทธ
ประวตั ติ อนเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และตอนประสูติ เหนือกรอบ
ประตูขึ้นไปเขียนภาพมารผจญ ส่วนฝาผนังด้านซ้ายพระประธาน ภาพที่ ๑.๗ ภาพเขยี นจติ รกรรมฝาผนงั ในพระอโุ บสถ
ระหว่างช่องหน้าต่างเขียนภาพทศชาติ เรียงตามลำดับคือ เตมียชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิ
๑๓
ราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทกุมารชาดก นารทชาดก และวิธุรชาดก เหนือกรอบหน้าต่างขึ้นไป
เขยี นภาพเทพชุมนุม มโหสถชาดก เนมิราชชาดก ผนังด้านหลงั พระประธานระหว่างช่องประตูเขียนเรื่องมหา
เวสสันดรชาดก เหนือกรอบประตูขึ้นไปเขียนภาพพุทธประวัติตอนเปิดโลก พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์
และทรงเปิดโลกสวรรค์ มนุษย์ และนรก ส่วนผนังด้านขวาพระประธานระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเรื่องมหา
เวสสันดรชาดกต่อไปจนครบ ๑๓ กัณฑ์ เหนือช่องหนา้ ต่างเขียนภาพเทพชมุ นมุ เช่นเดียวกับผนังด้านซา้ ย
จากการศกึ ษาภาพจิตรกรรมฝาผนงั ของวัดต่างๆ เช่น วัดจะทงิ้ พระ วัดวงั วดั ชลธาราสงิ เห วัดดอกเงิน
วัดระฆังโฆสิตาราม วัดเกาะพญาเจ่ง วัดสุวรรณาราม พบว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับ ประเพณีการทำบุญตัก
บาตรเทโว มภี าพของเทพชมุ นุมในพธิ ีกรรมทว่ี ่าด้วยความศกั ด์ิสิทธิ์และในภาพแสดงถึงพนื้ ทข่ี องสวรรค์ผ่านอัต
ลักษณ์ของตัวเทพโดยภาพของเทพชุมนุมที่ปรากฏได้แสดงถึงเทพที่อยู่ในสวรรค์ชั้นมหาราชิกา เทพในชั้นน้ี
ไมไ่ ดป้ รากฏรูปลกั ษณเ์ พียงแค่มนษุ ยเ์ ทา่ น้นั แตย่ งั มีท้งั วานรยักษ์ อสูร ครุฑ นาคแตกตา่ งกันไป
ความเช่อื เรื่องบาปและนรกที่พบ เป็นภาพพุทธประวัติตอนมารวิชัย แสดงใหเ้ ห็นถึง การลงทัณฑ์ ใน
แดนนรก ตามคติความเชื่อไตรภูมิที่ว่า หากทำบาป เทวดาจะเขียนชื่อลงในแผ่นหนังหมา เมื่อเสียชีวิตพระยา
ยมราชก็จะส่งบุคคลนั้นไปนรกเหมือนที่พระยามารและพวกพ้องต้องลงไปชดใช้กรรมในนรกเพราะตอนมีชวี ิต
ไดท้ ำบาปมากมายขดั ขวางพระพุทธเจ้าในทางต่างๆแต่ก็มสิ ามารถขดั ขวางไดน้ อกจากนยี้ งั มีภาพท่ีแสดงให้เห็น
ถงึ นรกภูมิท่เี ป็นท่ีตัง้ ของสัตวท์ ที่ ำบาปต้องไปรับทัณฑท์ รมานหลายประการ
นอกจากนี้ความเชื่อที่ปรากฎในไตรภูมิพระร่วงเรื่องบาปบุญไม่ได้มีอิทธิพลต่อศิลปะด้านจิตรกรรม
เพยี งเท่านั้นแต่ยงั สามารถพบอิทธพิ ลความเชื่อนี้ไดใ้ นวรรณคดีหรอื วรรณกรรมเรื่องต่างๆอกี ด้วย
๕.๒ ความเช่ือเรอ่ื งบาปบุญในงานศิลปะสาขาวรรณกรรม
ในปัจจุบันสังคมไทยยังคงปรากฏความเชื่อเรื่องบาปบุญ ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนที่สำคัญของ
พระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักคำสอนท่ีสอนให้มนุษย์มคี วามประพฤติที่ถูกต้องที่ทำให้มนุษยเ์ ห็นคุณคา่ และ
โทษของการกระทำของมนุษย์ เช่นการเบียดเบียน การลักขโมย การโกหก ความไม่เห็นแก่ตัว ความช่วยเหลือ
แบง่ ปันเป็นตน้ คำสอนเหล่านจ้ี ะทำใหม้ นษุ ย์เกรงกลัวต่อผลของการกระทำและนำไปสู่การละเวน้ การกระทำที่
ไม่ดี ซึ่งความเชื่อเรื่องบาปบุญได้รับอิทธิพลทั้งจากศาสนา ความเชื่อจากสมัยโบราณ ปรากฏหลักฐานตามส่ือ
ต่างๆทั้งในวรรณกรรมและงานศิลปะ โดยปรากฏอยู่ใน วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เรื่องสุบินกุมาร , บทไหว้
ลายลักษณ์หรือบทไหว้พระพุทธบาท ลิลิตโองการแช่งน้ำ รามเกียรติ์ พระมาลัยคำหลวง และปรากฏใน
๑๔
ภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน ได้แก่ เรื่อง นรก และ เรื่อง ๕ แพร่ง โดยวรรณกรรมแต่ละเร่ืองล้วนนำความคิดใน
ไตรภูมพิ ระร่วงมาสอดแทรก เพ่ือให้ผู้อา่ นเกรงกลัวตอ่ การทำบาป และยนิ ดีเม่อื ได้กระทำบุญกศุ ล
๕.๒.๑ บทวเิ คราะห์ความเช่ือเร่ืองบาปบญุ ทสี่ อดคล้องกบั วรรณคดี
สุบนิ ทกมุ าร
๑. ท่ีมาของเรือ่ ง
นิจสุดา อภินันทาภรณ์ (๒๕๔๓ : ออนไลน์) สุบินทกุมารหรือสุบินคำกาพย์ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและ
สมัยที่แต่ง สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งในสมัยอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากลักษณะการแต่งเป็น กาพย์สำหรับสวด
ซึ่งเรียกว่า กลอนสวดหรือกลอนวัดก็ได้ กลอนชนิดนี้นิยมแต่งกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึง
รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สุบินทกุมารมีหลายชื่อ เช่น
สุบินคำกาพย์ สุบินคำเก่า สุบินกลอนสวดหรือกลอนสวดสุบิน
เป็นต้น นิยมท่องสวดกันมากและมีการคัดลอกกันเป็นหลาย
สำนวน หลายฉบับ ทำให้มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่
ใจความสำคัญของเรื่องยังคงเหมือนกันอยู่ จุดประสงค์ในการ เรอื่ งท่ี ๒.๑ วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ภาคใต้ เรอื่ ง “สุบินกมุ าร”
แต่ง คือ การมุ่งชักจูงใจให้เห็นความสำคัญของการบวชเพื่อจะได้สืบทอดศาสนา ผู้บวชจะได้มีโอกาสศึกษา
ศาสนาให้เข้าใจและเรียนรู้หนังสือไปด้วย จึงเรียกว่า “การบวชเรียน” ซึ่งนับเป็นกิจที่พึงกระทำของชาวไทย
จนกลายเป็นประเพณีท่ีพ่อแมจ่ ะพาลูกชายไปฝากเรียนกับพระสงฆ์ท่ีตนเคารพนบั ถือ เมือ่ โตข้ึนอายุครบบวชก็
ใหบ้ วชแล้วจึงแต่งงานมี ครอบครัวตอ่ ไป
๒. เนื้อเรอื่ งย่อ
สุกัญญา สจุ ฉายา (๒๐๑๕ : ออนไลน์ ) ณ เมอื งสาวตั ถีมีนายพรานปา่ คนหน่ึงเชีย่ วชาญในการล่าสัตว์
เจ้าเมืองจงึ ตั้งให้เป็นขุนพฤกษาดูแลพรานป่าท้ังหลายและมหี น้าที่สง่ ส่วยเน้ือให้เจา้ เมือง ต่อมานางสุภาคเี มยี
นายพรานป่าตั้งครรภ์ ได้ลูกชายชื่อสุบินกุมาร วันหนึ่งนายพรานล่าวัวทองได้ นำหนังและเขาวัวทองไปถวาย
เจ้าเมือง เจ้าเมืองจงึ เลือ่ นตำแหน่งใหเ้ ป็นพระยาเปน็ ทีย่ ำเกรงของชาวบ้านมากขนึ้ เมื่อสบุ ินกมุ ารอายุได้ ๗ ปี
บิดาเสียชีวิต ฐานะครอบครัวก็ยากจนลง นางสุภาคีต้องเข้าป่าเก็บผักผลไม้มาขายยังชีพ ฝ่ายลูกชายมีนิสัย
ฝักใฝ่ในการศาสนาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจึงขอลามารดาไปบวชเรียนเป็นสามเณรอยู่ที่วัดใกล้บ้าน นางสุภาคีโกรธ
มากแต่ไมส่ ามารถทดั ทานได้ ในท่ีสุดเจา้ สบุ นิ กไ็ ปบวชเรยี นเป็นสามเณรมีความรู้เปน็ ท่ียกย่องของคนทั่วไป วัน
หนึ่งพระยมใช้ให้ท้าวจตุโลกบาลไปค้นหามนุษย์ในชมพูทวีปที่ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมน่ายกย่องเพื่อนำมา
๑๕
จารึกช่ือไวใ้ นแผ่นทองคำ สว่ นคนใจบาปหยาบช้าทั้งหลายกใ็ ห้บนั ทกึ ชื่อไว้ดว้ ยเลือดในแผ่นหนังสนุ ัข ท้าวจตุ
โลกบาลไปพบนางสภุ าคผี ู้ไมร่ ู้จักบาปบุญจึงพามาเฝ้าพระยม ซึ่งใหน้ ำไปลงนรกไฟ สีเหลืองของไฟนรกทำให้
นางนึกถึงสีจีวรของลูกจึงได้ร้องขอให้ลูกช่วย ปรากฏเป็นอัศจรรย์ว่าเกิดเป็นดอกบัวบานผุดขึ้นมารับร่างของ
นางและเกิดฝนสวรรค์ตกลงในนรกพาให้สัตว์นรกไดท้ ุเลาความร้อนด้วยบญุ ของเณรสบุ ิน พระยมจึงให้ส่งนาง
คืนกลับโลกมนุษย์ เมื่อนางตื่นขึ้นมาจึงตรงไปที่วัดและเล่าให้เณรและชาวบ้านทั้งหลายฟัง คนที่ได้ฟังต่างก็
กลัวบาป กลับใจประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม นางสุภาคีเองก็เกิดศรัทธาบวชเป็นนางชีถือศีลแปดอยู่ที่วัด
เรอื่ งทนี่ างไปนรกแลว้ กลบั มาได้แพร่ออกไปถึงเจา้ เมือง เจ้าเมอื งจงึ ส่งั ใหน้ ำนางมาเลา่ เร่ืองเมืองนรกและเหตุท่ี
ทำให้ต้องตกนรกขุมตา่ ง ๆ เมื่อได้ฟงั แล้วกเ็ กิดศรัทธาจงึ ประกาศจะเป็นเจ้าภาพจดั พิธีบวชเณรสุบินเป็นภิกษุ
ฝ่ายนางชีสุภาคีคิดถึงคุณของลูกชายจึงจัดงานฉลองให้โดยไม่ลืมที่จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้สามีที่ล่วงลับ
สว่ นนายพรานผ้เู ปน็ พอ่ ตายไปเป็นเปรตอยู่ในนรก เมื่อภรรยาทำบญุ อุทิศส่วนกุศลไปให้ก็เริ่มสบายขน้ึ คร้ันถึง
วันอุโบสถ พระยมได้ปล่อยให้ขึ้นไปบนโลกมนุษย์ เปรตนายพรานได้ไปหาลูกชาย เล่าความทุกข์ให้ฟัง พร้อม
ทั้งขอร้องให้หาทางช่วยให้พ้นจากสภาพเปรต เณรสงสารพ่อจงึ ไปถามพระอุปชั ฌาย์ พระอุปัชฌาย์บอกวา่ ใน
พระคมั ภรี ์เขยี นไวว้ า่ ถา้ บวชเป็นเณร ผลบญุ จะตกแก่แม่ แต่ถ้าบวชเป็นพระภิกษุผลบุญจะตกท่ีพ่อ เจ้าเณรจึง
ตัดสินใจบวชช่วยพ่อโดยมีเจ้าเมืองเป็นเจ้าภาพ ผลบุญในการบวชครั้งนี้ส่งให้เปรตนายพรานพ้นทุกข์ ได้ไป
เกิดใหมใ่ นเมืองสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ ส่วนเจา้ สบุ ินน้นั กม็ ่งุ นพิ พาน ไมก่ ลับมาเกิดอกี เลย
๓. บทวเิ คราะหค์ วามเช่ือเร่ืองบาปบุญทีส่ อดคล้องกับเรอื่ งสุบนิ กุมาร
ความเชื่อเรื่องบาปบุญในวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เรื่อง “สุบินกุมาร” เป็นวรรณกรรมสำนวนเก่า
ของภาคใต้บันทึกลงในหนังสือเกา่ หรือสมุดขอ่ ยวรรณกรรมเรื่องนี้แพร่หลายเปน็ ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของ
ชาวภาคใต้ในยุคเก่าผู้แต่งได้นำเสนอความรู้เรื่องเปรตนรกและสวรรคจ์ ากคติความเชื่อเรื่องไตรภมู ิพระรว่ งมา
แทรกไวอ้ ย่างนา่ สนใจในตอนท่ีพระยาพรานผู้เป็นพ่อของสุบินตายได้ไปเกิด เป็นเปรตเพราะผลกรรมจาการฆ่า
สัตว์ ตัดชีวิต ซึ่งผิดศีล ปาณาติบาตา “เป็นเปรต อดอยากอาหาร ไฟนรกเผาผลาญ เปื่อยเน่าเหมน็ หนังพุพอง
ผลกรรม”กินแต่เลือดหนอง อยู่ในจำจองเจ็บปวดเวทนาช้านาน” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงนรกขุมต่างๆ นรก
ใหญ่” ได้แก่ สญั ชพี นรก กาฬสูตตนรก สังฆาฏนรก โรรพุ นรก มหาโรรุพนรก ตาปนรก มหาตาปนรก อวิจีนรก
หรือมหาอวิจีนรก ส่วนนรกบ่าวหรือนรกบริวารทกี ล่าวถึงได้แก่ เวตรณีนรก อังคารกาสุมนรก คูถนรกหรือคูต
รนรก โลหสิมพลีนรก สุนชะนรกหรืออุสสุทนรก โบกขรพรรษนรก กล่าวถึงสวรรค์ซึ่งเป็นที่ที่ผู้กระทำดีหรือ
สร้างคุณงามความดีไว้ได้เสวยสขุ เมื่อตายไป และผู้แต่งได้กล่าวถึงอานสิ งส์ที่สุบินบวชว่าส่งผลให้พระยาพราน
พน้ นรกไปเกดิ บนสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์ โดยบรรยายความสวยงามของสวรรคช์ นั้ นแี้ ตกต่างจากไตรภูมิแต่ก็เห็นได้
ชัดวา่ เค้าโครงเร่อื งนำมาจากไตรภมู ิพระร่วงทง้ั ส้นิ
๑๖
บทไหวล้ ายลักษณ์
๑. ท่ีมาของเร่อื ง
คำนวล คำมณี (๒๕๕๘ : ออนไลน์ ) การสวดบูชารอย
พระพุทธบาท คือ การท่องเนื้อหาบทสวดบูชาพระบาทของ
พระพทุ ธเจา้ เกดิ จากคติของพุทธศาสนกิ ชนทเี่ ชื่อว่า พระพุทธเจ้า
ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมะขั้นสูงสุด สามารถนำพาสัตว์โลกไปสู่ความ
หลุดพ้นจากความทุกข์ในวัฏสงสาร พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงมี เรอ่ื งท่ี ๒.๒ บทไหวล้ ายลกั ษณห์ รอื บทไหวพ้ ระพทุ ธบาท
ศรัทธาเลอ่ื มใส เทิดทูนต่อพระพทุ ธเจา้ ด้วยการสร้างพระพทุ ธบาทไวบ้ ูชา ซ่ึงความเช่อื นี้อาจจะเกิดจาก คตทิ ่วี ่า
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอก เป็นบุคคลที่มีลักษณะมหาบุรุษสมบรู ณ์พร้อมไม่สามารถเปรยี บเทียบกับบคุ คลใด
ในโลกได้ ช่างฝีมือเป็นมนุษย์ปุถุชนไม่สามารถถ่ายทอดลักษณะมหาบุรุษออกมาได้ จึงสร้างเฉพาะรอยพุทธ
บาทไว้บูชาและประเพณีของชาวอินเดียมักจะแสดงความเคารพต่อผู้ที่ตนควรเคารพบูชาที่เท้าทั้งสองข้าง
เหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ชาวอินเดียเริ่มสร้างรอยพระบาทแทนองค์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับการนิยมสร้างรอย
พระพุทธบาทแทนองค์พระพุทธเจ้าตามพุทธสถานในอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาเมื่อไทยได้รับ
อิทธิพลของพระพุทธศาสนาก็ยอมรับคติความเชื่อดังกล่าวมาด้วย การสร้างรอยพระพุทธบาทตามเมอื งสำคัญ
จงึ เกิดขนึ้ พทุ ธศาสนกิ ชนท่อี ยูห่ ่างไกลไม่สามารถเดินทางไดส้ ะดวก หรือในพ้นื ทท่ี ่ขี าดช่างฝีมอื หรือขาดวัสดุใน
การสร้างรอยพุทธบาท จึงคิดหาผู้มีความรู้แต่งบทสวดบูชารอยพระพุทธบาท เพื่อใช้ในพิธีสวดหลังจากการ
บชู าพระรัตนตรัยกอ่ นนอนทกุ คืน
๒. เนื้อเร่ืองยอ่
วรารตั น์ คำมณี (๒๕๕๘ : ออนไลน์ ) ผ้เู ขยี นได้นำเอาบทสวดบูชารอยพระพุทธบาทของภาคใต้ฉบับน้ี
มาศกึ ษาหาความสอดคล้องกับคติในไตรภูมิพระรว่ ง เนอ่ื งจากเปน็ ฉบับท่ีผู้แต่งได้จัดระบบเน้ือหาได้ดีกว่าฉบับ
อื่น มีการเริ่มต้นกล่าวนมัสการรอยพระพุทธบาท สิ่งมงคลที่ปรากฏในรอยพระพุทธบาทเรียงลำดับตาม
ความสำคญั เชน่ จกั รแก้ว ดวงแก้ว ฉัตรแกว้ พระขรรค์ สร้อยสังวาล พชั นี เป็นต้น และมกี ารจัดลำดับแผนภูมิ
จกั รวาลโดยกล่าวถงึ เทวดาชนั้ พรหมโลก กามาพจร โลกมนุษย์ เขาพระสเุ มรุ ป่าหมิ พานต์ มหาสมทุ ร เป็นต้น
บทสวดบชู ารอยพระพุทธบาทของภาคใต้
ข้าพเจ้าขอบงั คม พระพทุ ธบาทบรม ท้งั คูเ่ รืองรอง
สิบนว้ิ สะพรงั่ ตามต่างเทียนทอง นยั นเ์ นตรท้ังสอง
๑๗
ต่างประทีป เทยี นถวาย ผมเผา้ เกลา้ เกศ
ตา่ งดอกประทุมเมศ บัวทองพรรณราย วาจาเพราะพร้อง
ต่างฆ้องพิณถวาย ดวงใจขา้ หมาย ตา่ งรสสคุ นธา
พระบาททศพล ทงั้ ค่เู ลศิ ลน้ ปรากฏรจนา
ขา้ ไหวล้ ายลกั ษณ์ มวี งกงจักร งามนักทง้ั สอง
๓. บทวิเคราะห์ความเช่อื เรอื่ งบาปบญุ ทส่ี อดคล้องกับเรอื่ งบทไหว้ลายลักษณ์
บทไหว้ลายลักษณ์หรือบทไหว้พระพุทธบาท เป็นวรรณกรรมเมื่อ ๖๐-๗๐ ปีมาแล้ว คนภาคใต้ต่างก็
จดจำสืบตอ่ กันมาเพ่ือใชภ้ าวนาให้เกิดความเปน็ สิริมงคลในเวลาก่อนนอนหรือตอนเชา้ ในเน้อื หาได้นำสาระใน
ไตรภูมิมากล่าว เชน่ เรอื่ งเก่ียวสวรรค์ วิมาน เขาพระสุเมรุ และเรอื่ งบาปบญุ ดังทีตอนสดุ ท้ายของบทไหว้ลาย
ลักษณ์กล่าวว่า “ ใครไหว้ลายลักษณ์ ได้บุญมากนัก แปดหมื่นสีพัน ได้พบพระองค์ ผู้ทรงในธรรม์ เป็นที
ปอ้ งกัน โรคร้ายราวี ผูใ้ ดอตุ สา่ ห์ เจริญภาวนา ทัง้ หา้ โดยมี พ้นทคี ณนา พน้ เสนียดจญั ไร กนั ทั้งโพยภัย โรค
ร้ายบีฑา กันเจ็บกนั ไข้ พยาธิโรคา เจริญสขุ า โรคร้ายราวี จะได้ส่วนบุญ เดชะกุศล พุทธบาทมุนี จะได้ไป
สวรรค์ ในชั้นดาวดึงสี จักได้จุติ ในเมืองมนุสสา” แสดงใหเห็นว่าไตรภูมิพระร่วงมีส่วนสำคัญต่อการ
ผสมผสานเข้ากบั เรอ่ื งราวของพุทธศาสนาเพอื่ ใช้เป็นหนทางหนึ่งที่นําไปสู่ความเปน็ มงคลแก่ชีวิต
ลลิ ติ โองการแชง่ นำ้
๑. ท่ีมาของเร่ือง
(๒๐๑๖ : ออนไลน์) ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม-
พระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจแต่งในสมัยสมเด็จพระ
รามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ผู้แต่งคงจะเป็นผู้รู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธี
ประพันธ์ของไทยเป็นอยา่ งดีสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงอยุธยา สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องที่ ๒.๓ ลิลติ โองการแช่งนำ้
ทรงสันนิษฐานส่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑เป็นเชื้อสายของพระเจ้าสิริชัยเชียงแสนแห่งแคว้นสิริธรรมราช จึง
เป็นต้นวงศเ์ ชียงรายเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าอู่ทอง เมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ ไดเ้ ปน็ เจ้าเมืองอู่ทอง ซึ่งขณะนั้นข้ึน
ต่อเมืองสุโขทัย ต่อมาเกิดโรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งตำบลหนองโสนแขวงเมืองอโยธยา เมื่อ พ.ศ.
๑๘๙๓ ขนานนามใหมว่ ่า กรงุ เทพทวาราวดีศรีอยธุ ยาและพระองค์ได้รับพระนามใหมว่ า่ สมเด็จพระรามาธิบดี
๑๘
ที่ ๑ ทรงตั้งพระองค์เป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนับแต่สถาปนาราชธานี ในรัชกาลนี้ได้รับวัฒนธรรมขอม
และพราหมณ์เป็นอันมาก ภาษาไทยจึงเร่ิมมีคำเขมรเข้ามาปะปนมากข้ึน มีการประกอบพิธถี ือนำ้ พระพิพัฒน์-
สัตยา หรอื พิธีศรสี จั ปานกาลตามแบบเขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจากพราหมณ์อีกต่อหนึง่
ประวัติ ตน้ ฉบบั เดมิ ท่ีเหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความทีเ่ พ่ิมขน้ึ ในรัชกาลท่ี ๔ ตามหลักฐานซ่ึง
รัชกาลที่ ๕ ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทงพระแสงศรอัคนิ
วาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงห้าและร่ายโบราณหนังสือเรื่องนี้นับว่าเป็น
วรรณคดีเรื่องแรกของคนไทย ที่แต่งเป็นร้อยกรองอย่างสมบูรณ์แบบ ชื่อเรียกแต่เดิมว่า โองการแช่งน้ำบ้าง
ประกาศแช่งน้ำโคลงห้าบ้าง ต้นฉบับที่ถอดเป็นอักษรไทยจัดเป็นวรรคตอนคำประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเจา้ อยู่หวั ทรงสอบทานและพระราชวนิ ิจฉัยเรียบเรยี งวรรคตอนใหม่
๒. เน้อื เรือ่ งยอ่
(๒๐๑๖ : ออนไลน์) เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม
ตามลำดบั ต่อจากน้ันบรรยายด้วยโคลงหา้ และรา่ ยดัน้ โบราณสลบั กัน กลา่ วถงึ ไฟไหมโ้ ลกเม่ือสิน้ กัลป์แล้วพระ
พรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำหนดวัน เดือน ปี และการเริ่มีพระราชาธิบดีใน
หมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักด์ิ สิทธ์ิ
เรืองอำนาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภตู ปศี าจ ตลอดจนสตั ว์มีขีเ้ ลบ็ เปน็ พยาน ลงโทษผู้
คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติ
พระเจ้าแผน่ ดิน
ตัวอยา่ งขอ้ ความบางตอนสรรเสริญพระนารายณ์
โอมสิทธิสธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วฤตยู เอางูปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่ถือสังข์
จักรคธารณี ภรี ุอวตาร อสุรแลงลาญทกั ทคั นียจรนายฯ แทงพระแสงศรปลยั วาดฯ
กล่าวถงึ ไฟประลัยกัลป์
นานเอนกน้าวเดิมกัลป์ จกั รำ่ จกั ราพาฬเมือ่ ไหม้
กลา่ วถงึ ตรวันเจดอนั พลุ่ง นำ้ แลว้ ไขอ้ ดหาย
เจด็ ปลามันพุ่งหล้าเปน็ ไฟวาบ จัตรุ าบบายแผน่ ขวำ้
ชักไตรตรงึ ษ์เปนผ้า แลบลำ้ สลี อง
๑๙
อัญเชญิ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภตู ผปี ศี าจ เปน็ พยาน
ผู้ใดเภทจงคด ถือขันสรดใบพูตานเสียด มารเฟียดไททศพล ช่วยดู ธรรมารคประเตยก ช่วยดูอเนกก
ถ่องพระสงฆ์ ช่วยดู ขุนหงษทองเกล้าสี่ ช่วยดู ฟ้าฟัดพรีใจยังดู ช่วยดู สี่ปวงผรีหาวแห่ง ช่วยดูฟ้าชรแร่งหก
คลอง ช่วยดู ผองผี กลางหาวแอ่น ช่วยดู ฟ้ากระแฉ่นเรืองผยอง ช่วยดู เจ้าผาดำสามเสา้ ช่วยดู แสนผีพึงยอม
เทา้ เจ้าผาดำผาเผอื ก ชว่ ยดฯู
คำสาปแช่งผู้คิดกบฏตอ่ พระเจ้าแผน่ ดนิ
จงเทพยดา ฝูงนี้ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีศุขสวัสด์ิ
เมอื่ ใดฯ
๓. บทวิเคราะห์ความเชื่อเรื่องบาปบุญทส่ี อดคล้องกบั เรอื่ งบทไหวล้ ายลักษณ์
ลลิ ติ โองการแช่งน้ำเปน็ วรรณกรรมสำคัญเรือ่ งหน่ึงของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โองการแช่งนำ้ เป็นโองการ
ทใ่ี ช้อ่านในงานพระราชพิธศี รสี จั ปานกาล เพอ่ื การเข้าสาบานตนของข้าราชการ มคี ำสาปแชง่ นา่ กลวั สำหรบั ผู้ที่
คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน และคำอวยพรสำหรับผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต ต้นฉบับตัวเขียนของโองการนี้ที่เก็บ
รักษาในหอพระสมุดแห่งชาติมีปรากฏอยู่หลายชื่อ เช่น คำสาบานแช่งน้ำพราหมณ์คำโคลงห้าแช่งน้ำ แช่ง
น้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ผู้แต่งนำความคิดเรื่องพุทธเทพนิกรเกี่ยวกับการล้างและสร้างกัลป์ใหม่ที่ปรากฏ
ในไตรภูมิมาเป็นแนวคิดหนึ่งในงานวรรณคดีของตนซึ่งจะเห็นได้ว่าลิลิตโองการแช่งน้ำและไตรภูมิถามีความ
เกี่ยวขอ้ งกันเพราะในเนื้อหาไดก้ ล่าวถึงเรื่อง การกระทำดี การกระทำช่ัว สวรรค์ วมิ าน เขาพระสเุ มรุ ฯลฯ เม่ือ
ได้อ่านวรรณกรรมเร่ืองนี้ก็จะเห็นแนวคิดต่างๆที่นำมาจากไตรภูมิพระร่วง มาใช้อ้างอิงและใช้ในการแต่ง
วรรณกรรมเรื่องน้ขี น้ึ มา
รามเกียรต์ิ
๑. ที่มาของเรื่อง
กรองทอง โตวรวิรัตน์ (๒๐๒๑ : ออนไลน์) ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๓๔๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธ-ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรง
เริ่มพระราชนิพนธ์วรรณคดีเร่ือง รามเกียรติ์ เป็นเรื่องยาวเขียนลงสมุดไทยถงึ
๑๐๒ เลม่ จงึ จบบริบรู ณ์ ถ้าหากพิมพเ์ ปน็ หนงั สือขนาดแปดหน้ายกในปัจจุบนั
จะหนาถึง ๒,๙๗๖ หน้า รามเกียรติ์นี้เป็นวรรณคดีเรื่องสำคัญของไทย มีต้น เรอ่ื งที่ ๒.๔ รามเกยี รต์ิ
เคา้ มาจาก "มหากาพย์รามยณะ" ซ่ึงเช่อื ว่าน่าจะเป็นที่ร้จู ักในหมูช่ าวไทยมาตง้ั แต่สมัยโบราณ จากอิทธิพลของ
๒๐
ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู วรรณคดีเรื่องนี้มีหลักฐานเก่าแก่ทีส่ ุดในเมอื งไทยคือพบในสมัยอยุธยาแตย่ ังไม่สมบรู ณ์
เมื่อรัชกาลท่ี ๑ ทรงปราบดาภิเษกข้ึนครองราชเป็นต้นราชวงศ์จักรี ตอนนั้นบ้านเมืองยังระสำ่ ระส่าย หลังจาก
เพิ่งพ้นศึกสงคราม พระองค์จึงทรงเร่งฟื้นฟูปฏิสังขรบ้านเมืองด้วยการปรับปรุงศาสนา กฎระเบียบต่าง ๆ
ประเพณี และโดยเฉพาะด้านศลิ ปวฒั นธรรม พระองคท์ รงใช้รรณคดีเรื่องรามเกียรต์เิ ป็นเครื่องมือในการฟ้ืนฟู
๒. เน้ือเรอ่ื งย่อ
(๒๐๑๒ : ออนไลน์) เนื้อเรื่องตอนที่ ๑ เป็นการเล่าแนะนำตวั ละครสำคญั ทุกพงศ์ คือกำเนิดตัวละคร
แล้วดำเนินเรอื่ งตามลำดับเหตุการณ์ท่เี กิดขึน้ เช่น กลา่ วถงึ เร่อื งหิรนั ต์ยักษ์มว้ นแผน่ ดิน จนพระนารายณ์อวตาร
ลงไปปราบ แล้วกล่าวถึงราชวงศ์มนุษย์ อสูรพงศ์ และวานรพงศ์ ราชวงศ์มนุษย์ มีท้าวอโนมาตัน เป็นปฐม
กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา อภิเษกกับนางมณีเกสร มีโอรสชื่อท้าวอัชบาล ได้รับมอบราชสมบัติสืบต่อมา และได้
อภิเษกกบั นางอัปสร มีโอรสชื่อท้าวทศรถ อสูรพงศ์ มีทา้ วสหบดีพรหมสร้างเมืองลงกา แลว้ ให้ท้าวธาดาพรหม
หรือท้าวจตุพักตร์ไปครองเมืองลงกา และได้อภิเษกกับนางมลิกา ต่อมามีโอรสชื่อท้าวลัสเตียนได้รับมอบราช
สมบัติสืบต่อมา ท้าวลัสเตียนมีมเหสี ๕ พระองค์ มีโอรสที่เกิดจากมเหสีแต่ละองค์คือ กุเปรัน เป็นโอรสที่เกิด
จากนางศรีสุนันทา ทัพนาสูรเป็นโอรสที่เกิดจากนางจิตรมาลา อัศธาดาเป็นโอรสที่เกิดจากนางสุวรรณมาลัย
มารันเป็นโอรสที่เกิดจากนางวรประไภ ส่วนนางรัชฎามเหสีองค์ที่ ๕ กำเนิดโอรสธิดารวม ๗ พระองค์คือ
ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก ขร ทูษณ์ ตรีเศียร และนางสำมนักขา ตามลำดับ ส่วนวานรพงศ์ได้กล่าวถึงกำเนิด
ของพาลี ว่าเป็นลูกของพระอินทร์กับนางกาลอัจนากำเนิดของสุครีพ ว่าเป็นลูกของพระอาทิตย์กับนาง กาล
อัจนา หนุมานเป็นลูกของพระพายกับนางสวาหะ นางสวาหะเป็นบุตรีของฤาษีโคดมกับนางกาลอัจนา ชมพู
พาน ซึ่งพระอิศวรชุบด้วยเหงื่อไคลของพระองค์ และกล่าวถึงกำเนิดของนางมณโฑที่ฤาษีทั้ง ๔ ตน ได้ชุบมา
จากกบ และองคต ซ่ึงเปน็ ลูกของพาลีกับนางมณโฑ
นอกจากน้นั ยังกล่าวถึง เร่อื งของนนทกุ (ชาติก่อนของทศกัณฐ์) วา่ เป็นผูม้ หี น้าทีล่ า้ งเทา้ เทวดา นนทุก
เจ็บใจเทวดาทงั้ หลาย ทีช่ อบขม่ แหง แกล้งตบหวั ลบู หน้า ถอนผมจนโกรน๋ จงึ ขอพระอิศวรใหม้ นี ้วิ เพชรช้ีผู้ใดผู้
นั้นตาย ต่อมาเมื่อนนทุกล้างเท้าให้ใคร และถูกล้อเลียน นนทุกก็ชี้ด้วยนิ้วเพชร ทำให้เทวดาตายเป็นอันมาก
พระนารายณ์จึงอวตารเป็นนางฟ้าไปปราบนนทุก ล่อให้นนทุกรำตาม (ที่มาของรำแม่บท) จนนิ้วเพชรชี้ขา
ตนเองขาดล้มลง นางฟ้าจึงกลับเป็นพระนารายณใ์ ช้ตรีตัดหัวนนทุกขาด ก่อนตายนนทุกต่อว่าพระนารายณว์ ่า
เอาเปรียบตนเพราะมีถึงสี่มือ แต่ตนมีเพียงสองมือจะสู้พระนารายณ์ได้อย่างไร พระนารายณ์จึงสาปให้นนทุก
ไปเกิดใหม่มสี บิ หน้าย่สี ิบมือ แล้วพระองค์จะเปน็ มนษุ ยส์ องมือลงไปสงั หาร อีกเรื่องหนง่ึ คือเรื่องเทวดาจับระบำ
มีรามสูรเมขลาเข้ามาไล่กัน ขณะที่รามสูรขว้างขวานไล่นางเมขลา มีเทวดาชื่ออรชุนเข้ามาขัดขวาง จึงถูก
รามสูรจับขาของอรชุนฟาดกบั เหล่ียมเขาพระสุเมรจุ นอรชุนตาย และทำใหเ้ ขาพระสเุ มรุเอนทรุด พระอิศวรจึง
๒๑
ต้องประกาศหาผู้มาตั้งเขาพระสุเมรุให้ตรง และในคราวนั้นสุครีพออกอุบายทำให้เขาพระสุเมรุตั้งตรงได้ พระ
อิศวรจึงมอบนางดาราใส่ผอบแก้วให้สุครีพ โดยฝากพาลีไปให้ พาลีสาบานว่าถ้าตนไม่ให้นางแก่สุครีพ ขอให้
ต้องศรของพระนารายณ์ แต่พาลีผิดคำสาบาน เกี้ยวนางดาราเป็นเมียตนเสียเอง และเรื่องอีกเรื่องหนึ่งคือ
เร่ืองทรพาทรพี กล่าวถึงนนทกาล ข้าของพระอิศวรไปเกย้ี วนางฟา้ ช่ือมาลี จึงถูกพระอิศวรสาปให้เป็นควายป่า
เมอื่ ถกู ลกู สังหารจึงจะพน้ คำสาป เน้อื เร่อื งในตอนนี้ ยังกล่าวถึงทศกัณฐ์ไดน้ างมณโฑ ทศกัณฐ์รบแพ้อรชุนและ
พาลีถึงสองครั้ง จึงให้ฤาษีโคบุตรช่วยถอดดวงใจ เก็บรักษาไว้ที่กุฏิกลางป่า ใครมาฆ่าก็ไม่ตาย เป็นเหตุให้
ทศกัณฐ์กำเรบิ อยากไดบ้ ษุ บกแกว้ ของกเุ ปรนั ผพู้ ี่ชาย จึงได้รบกัน กเุ ปรนั สไู้ ม่ไดห้ นไี ปหาพระอิศวร พระอศิ วรว
ถอดงาช้างขว้างไปปักอกทศกัณฐ์ และสาปให้ติดอยู่ตลอดไป ต่อมาเมื่อตายแล้วจึงหลุด ทศกัณฐ์ได้ไปหาพระ
วิษณกุ รรมให้ชว่ ยเล่ือยงาสว่ นที่ยนื่ ออกมา แล้วเนรมติ เครื่องประดับปดิ งาท่ีจมอยู่ในอกนั้น แล้วได้เล่าเร่ืองรณ
พกั ตร์ ลูกของทศกัณฐ์กับนางมณโฑไดบ้ ำเพญ็ ตบะ จึงไดศ้ รสามเลม่ จากพระเป็นเจ้าแล้วรบชนะพระอินทร์และ
ได้จักรแกว้ ของพระอนิ ทร์มายงั เมืองลงกา ทศกัณฐจ์ ึงตั้งชอ่ื ให้ใหมว่ ่า อนิ ทรชิต แปลว่าผู้รบชนะพระอินทร์
เนื้อเร่ืองตอนที่ ๒ เปน็ เร่อื งราวของพระรามตง้ั แตป่ ระสูติ จนกระทัง่ เสรจ็ ศึกลงกา เรม่ิ เรอื่ งตง้ั แตท่ า้ ว
ทศรถแห่งกรุงอโยธยา มีมเหสีสามองค์ แต่ไม่มีโอรส จึงทำพิธีขอโอรสจากเทวดา โดยเชิญฤาษีกไลโกฎมาเป็น
ประธาน ในระหว่างทำพิธี มีอมนุษย์เชิญถาดข้าวทพิ ย์ผุดขึ้นมากลางกองไฟในพิธี นางกากนาสูรโฉบไปได้ครึง่
ก้อนให้นางมณโฑมเหสีของทศกัณฐ์ นางเสวยแล้วทรงครรภ์คลอดลูกเป็นนางสีดา แต่พิเภกทำนายว่าเป็น
กาลกิณีเกิดมาล้างผลาญวงศ์ยักษ์ ทศกัณฐ์จึงเอาไปทิ้งน้ำเสีย พระชนกแห่งเมืองมิถิลาซึ่งทรงผนวชเป็นฤาษี
เกบ็ นางข้นึ ใสผ่ อบฝงั ไวใ้ นดนิ ต่อมาจงึ ขดุ ข้ึนแล้วเลี้ยงไว้เป็นธดิ าบุญธรรม สว่ นมเหสขี องท้าวทศรถทั้งสามองค์
เมื่อเสวยขา้ วทพิ ย์ จงึ ทรงครรภ์และประสตู ิโอรส คอื นางเกาสรุ ยิ าประสูติพระราม นางไกยเกษปี ระสูติพระพรต
นางสมุทรชาประสตู พิ ระลกั ษมณแ์ ละพระสตั รดุ ตามลำดับ
เมื่อพระรามมีพระชันษาได้ ๑๖ ปี ได้ไปปราบยักษ์คือกากนาสูร ตามคำขอของพระฤาษี ที่ถูกยักษ์มา
รังควานจนบำเพ็ญพรตไม่ได้ พระรามพระลักษณ์ฆ่ากากนาสูรตาย ต่อมารีศกับสวาหุลูกของกากนาสูรมาแก้
แค้นแทนมารดา สวาหตุ าย มารีศหนีไปไดแ้ ล้วพระฤาษีจึงพาพระรามและพระลักษณไ์ ปเมืองมิถิลา ในขณะน้ัน
ท้าวชนกประกาศเชิญกษัตริย์ทั้งปวงให้ประลองกำลังยกศร พระรามยกได้ จึงได้อภิเษกกับนางสีดาตอน
เดินทางกลับอโยธยา พระรามต่อสู้กับรามสูร และพระรามชนะ ส่วนเรื่องทรพีกล่าวถึงควายทรพีคอยวัดรอย
ตีนพ่อ ครั้นโตเท่าพ่อแล้วก็ท้าทรพารบและได้ฆ่าพ่อตาย แล้วกล่าวถึงพาลีรบกับทรพีในถ้ำ จนเลือดไหล
ออกมาปากถำ้ สคุ รพี น้องพาลีเขา้ ใจวา่ พ่ีถูกฆา่ ตายจงึ ปิดปากถำ้ เมอ่ื พาลอี อกจากถ้ำได้กโ็ กรธ ขับสคุ รพี ให้ออก
จากเมือง สคุ รีพจึงไปอยูป่ ่ากล้วยแหง่ เดียวกับท่ี หนมุ านบำเพ็ญพรตอยู่
๒๒
ในสมัยที่พระรามเรียนศิลปศาสตร์หัดยงิ ศร ได้ยิงศรล้อนางกุจจีพี่เล้ียงหลังคอ่ มของนางไกยเกษี เป็น
เหตุให้นางผูกใจเจ็บ ทูลยุยงให้นางไกยเกษีของราชสมบัติให้พระพรต และขอให้เนรเทศพระรามออกเดินป่า
เป็นเวลา ๑๔ ปี ท้าวทศรถจำต้องปฏิบัติตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับนางไกยเกษี พระรามจึงต้องออก เดินป่า
มีพระลักษมณ์และนางสีดาติดตามไปด้วย ฝ่ายพระพรตและพระสัตรุดอนุชาพระราม ซึ่งอยู่ที่เมืองไกยเกษได้
ทราบข่าววา่ พระบิดาจะอภิเษกพระรามเปน็ ยุพราช จึงเดินทางมาอโยธยาจะชว่ ยงาน แตเ่ มื่อได้ทราบความจริง
ว่าพระรามถูกเนรเทศ และพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระพรตโกรธพระมารดามาก เมื่อจัดการพระศพท้าวทศรถ
แล้วก็ออกตามพระรามกลับมาครองราชย์ แต่พระรามไม่ยอม อ้างว่าต้องการรักษาความสัตย์ของบิดา จึงได้
ประทานรองพระบาทหญา้ มาต้งั ไวแ้ ทนพระองค์ และพระพรตรกั ษาเมอื งคอยพระรามจนกวา่ จะเสด็จกลบั
พระราม พระลกั ษณ์ และนางสดี าไดเ้ ดนิ ทางต่อไป ได้พบอสูรชื่อพิราพ พระรามรบชนะ เดินป่าต่อไป
ถึงฝั่งแม่น้ำโคทาวารี นางสำมนักขาน้องสาวทศกัณฐ์ ซึ่งขณะนั้นเศร้าโศกเพราะชิวหาผู้เป็นสามีตายไป ครั้น
นางพบพระรามจึงหลงรักอยากได้พระรามเป็นสามี เมอื่ ไม่สำเร็จจึงรังแกนางสีดา จนพระลักษณ์ต้องตัดตีนมือ
และเชอื ดหูจมกู ขาด นางจึงไปฟอ้ งพท่ี ั้งสามคือ ทูษณ์ ขร และตรเี ศียร ให้มาแกแ้ คน้ แทน แตถ่ กู พระรามสังหาร
ตายหมด นางสำมนักขาจึงไปเล่าถึงความงามของนางสีดาให้ทศกัณฐ์ฟัง ทศกัณฐ์ให้มารีศแปลงเป็นกวางทอง
มาล่อ นางสีดาอยากได้กวางทองจึงขอให้พระรามออกตามจับ ระหว่างนี้ทศกัณฐ์จึงเข้าลักพานางสีดาไปได้
พระรามพระลักษณ์ออกติดตามพบนกสดายุและอสูรต่าง ๆ จนถึงป่ากล้วยที่หนุมานและสุครีพได้สาบานไว้
พระรามมีบริวารสำคัญที่เปน็ ลงิ หลายตัว นอกจากหนุมานกับสคุ รีพอยู่ ได้พบหนุมานและสคุ รีพ ต่างสัญญาวา่
จะช่วยเหลือกัน และพระรามได้ฆ่าพาลีตาย สมตามคำที่พาลีไดส้ าบานไว้ ตอนนี้พระรามมีบริวารสำคัญที่เปน็
ลงิ หลายตวั นอกจากหนุมานกับสุครีพแลว้ ยงั มชี มพพู าน นลิ พทั องคต ฯลฯ กบั พลลงิ อกี มากมาย แลว้ ช่วยกัน
ตามหานางสดี า ฝ่ายหนมุ านได้ถวายแหวนของพระราม ขากลบั ไดท้ ำลายสวนทศกัณฐจ์ นเกิดรบพุ่งกัน ในท่ีสุด
ยักษ์จับหนมุ านได้ แตฆ่ า่ เทา่ ไรก็ไมต่ าย หนมุ านออกอบุ ายให้เผาตัว ทศกัณฐ์เสียรจู้ ดุ ไฟเผาหนุมาน หนุมานจึง
เผาลงกาวอดวายสิ้นแล้วหนีรอดมาได้ ทศกณั ฐข์ อให้เทวดาสร้างเมืองลงกาใหใ้ หม่
หลังจากนั้น ทศกัณฐ์ฝันร้าย พิเภกทำนายว่าจะเสียเมืองเสียตัวและเสียวงศ์วานถ้าไม่ส่งสีดาคืน
ทศกัณฐ์กริ้วขับพิเภกออกจากลงกา พิเภกจึงออกมาอยู่กับพระรามและทำพิธีถือน้ำถวายสัตย์ ทศกัณฐ์ปลอม
เป็นฤาษมี ายุให้พระรามระแวงพิเภกกับสุครีพแต่ไม่สำเร็จ ทศกัณฐจ์ งึ ให้เบญกายลกู พเิ ภกปลอมเปน็ สีดาทำตาย
ลอยน้ำมา พระรามลงไปสรงน้ำเห็นเข้าก็เชื่อว่าจริงและเศร้าโศกมาก แต่หนุมานรู้เท่าทัน จึงจับนางไว้ซกั ถาม
ไดน้ างเปน็ เมยี แลว้ ปลอ่ ยไป ต่อมาพระรามให้พลลิงจองถนนข้ามทะเลไปลงกา ขณะท่ีจองถนนหนุมานได้วิวาท
กบั นิลพทั จนพระรามต้องสง่ นลิ พัทไปรกั ษาเมืองขีดขนิ และคอยส่งเสบยี ง แล้วมเี รือ่ งนางสพุ รรณมัจฉาขัดขวาง
การจองถนน หนุมานลงไปจับตัวและนางเป็นเมีย มีบุตรชื่อมัจฉานุ ต่อมาไมยราพเจ้ากรุงบาดาลนำไปเลี้ยงไว้
๒๓
เป็นบุตรบุญธรรม เมื่อจองถนนเสรจ็ แล้วพระรามยกพลข้ามไปประชิดลงกา แล้วให้องคตเข้าไปส่ือสารขอสีดา
คนื ทศกณั ฐใ์ ห้จับองคต เกดิ การต่อสูก้ นั ขน้ึ จนยกั ษ์ตายหลายตน องคตกลับมาได้ ทศกัณฐใ์ ห้ยกฉตั รแก้วขึ้นบัง
ดวงอาทิตย์ทำให้มืดมน แล้วชวนนางมณโฑกับนางสนมกำนัลขึ้นไปอยู่บนฉัตรเพื่อดูกองทัพของพระราม ฝ่าย
ทหารพระรามมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ สุครีพจึงขันอาสาไปหักฉัตร ได้เกิดสู้รบกับทศกัณฐ์ สุครีพช นะ ตอน
ตอ่ มากลา่ วถงึ ไมยราพลักพระรามไปเมืองบาดาล แต่หนมุ านตามไปช่วยกลับมาได้
ต่อมาจึงกล่าวถึงสงครามลงกา ซึ่งเป็นเรื่องยึดยาว ต่างฝ่ายต่างผลัดกันแพ้และชนะหลายครั้งหลาย
หน ทศกัณฐ์ไดญ้ าติมิตรจำนวนมากมาออกต่อสกู้ บั พระราม สรุปศึกคร้งั สำคญั ๆ ได้ดังนีค้ อื ศกึ กมุ ภกรรณ เม่ือ
กุมภกรรณยกทัพออกมา พิเภกออกไปพูดขอร้องห้ามมิให้รบ กุมภกรรณฟังเหตุผลของพิเภก แต่ด้วยเห็นว่า
ทศกัณฐ์เป็นพี่ชาย จึงทำตามคำสั่งทศกัณฐ์ สุครีพยกทัพออกมารบ กุมภกรรณจับสุครีพหนีบรักแร้ไป แต่หนุ
มานไปช่วยหนีกลับมาได้ กุมภกรรณได้รบกับพระลักษมณ์ พระลักษมณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ แต่แก้กันได้ ต่อมา
กุมภกรรณไปนอนทดน้ำมิให้ไหล เพื่อให้กองทัพพระราม อดน้ำ หนุมานตามไปแกไ้ ด้และเมื่อกุมภกรรณยกมา
รบอกี จงึ ถกู พระรามสังหารตาย ศกึ อินทรชิต อนิ ทรชติ ได้รบกับฝ่ายพระรามหลายคร้งั บางครั้งได้ใช้กลอุบาย
หลอกฝ่ายพระราม เช่น แปลงเป็นพระอินทร์ขี่ช้างเอราวัณ ให้สุขาจารปลอมเป็นสีดา เอาตัวมาตัดหัวให้
พระรามดูกลางสนามรบ และบางครั้งได้ใช้ฝีมือความสามารถต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างผลัดกันเพลี่ยงพล้ำ และใน
ที่สุดอนิ ทรชิตต้องศรพระรามตาย
นอกจากนี้ยังมีสหายญาติมิตรของทศกัณฐ์อีกมากมายที่ช่วยทศกัณฐ์รบ แต่ถูกพระรามสังหาร เช่น
สหัสเดชะ ราชาแห่งปางตาล และมูลพลัม อุปราชปางตาล ทั้งสองเป็นสหายทศกัณฐ์ แสงอาทิตย์ลูกพญาขร
สัตลงุ ราชาแหง่ จักรวาล ตรีเมฆลูกตรเี ศยี ร สัทธาสรู ราชาแหง่ อัสดงสหายของทศกัณฐ์ วริ ณุ จำบังลูกพญาทูษณ์
เมื่อญาติมิตรเหล่านี้ถูกฆ่าตาย ทศกัณฐ์ทำพิธีอุโมงค์ชุบตัวให้เป็นกายสิทธิ์ แต่ไม่สำเร็จเพราะถูกทำลายพิธี
เสียก่อน ต่อมาทศกัณฐ์ไปเชิญท้าวมาลีวราชผู้มีวาจาสิทธิ์มาว่าความ ทศกัณฐ์กล่าวหาพระรามเพื่อให้ท้าว
มาลีวราชแช่ง แต่ท้าวมาลีวราชมิได้หลงคำของทศกัณฐ์คือไม่ฟังความข้างเดียว ให้ไปเชิญพระราม นางสีดา
เหลา่ เทวดามาให้ปากคำ แล้วทรงช้ขี าดโดยคำพยานคนกลางคือนางสีดา และใหท้ ศกณั ฐ์ส่งสีดาคืน ทศกัณฐ์ไม่
ยอมจึงถูกท้าวมาลีวราชแช่ง ในที่สุดเมื่อทศกัณฐ์ออกทำสงคราม หนุมานรับอาสาไปหลอกเอากล่องดวงใจมา
ได้ ครน้ั พระรามแผลงศรต้องทศกัณฐ์ หนมุ านจงึ ขยด้ี วงใจทศกัณฐ์จนทศกัณฐ์ส้นิ ชวี ิต เมื่อได้นางสีดากลับคืน
มาแล้ว พระรามให้นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ให้พิเภกครองลงกา แล้วพระราม พระลักษมณ์และ
นางสีดาเดินทางกลับอโยธยา ขณะเดินทางกลับ อัศกรรณสหายของทศกัณฐ์และบรรลัยกัลปล์ ูกของทศกณั ฐ์ที่
พญานาคเอาไปเลี้ยงไว้ ยกทัพมาสู้กันกับพระรามเพ่ือแก้แคน้ แทนทศกัณฐ์ แต่ถูกฆ่าตายหมด แล้วพระรามให้
๒๔
หนุมานครองเมืองอโยธยาเพื่อบำเหนจ็ ความชอบ แต่หนุมานทำตามรับสั่งหนึง่ วัน ก็ถวายเมืองคืน เพราะเห็น
วา่ ตนไม่สมควร พระรามจึงสรา้ งเมอื งลพบุรีให้ครอง
เนื้อเรื่องตอนที่ ๓ เป็นเรื่องราวของพระรามหลังจากกลับสู่อโยธยาแล้ว มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลาย
ตอนคือ ท้าวมหาบาลเทพาสูรผู้ครองเมืองจักรวาลยกทัพมาแก้แค้นทศกัณฐ์ แต่ถูกพิเภกฆ่าตาย แล้วกล่าวถึง
ศึกท้าวจักรวรรดิแห่งมลิวัน ไพนาสุริวงศ์ ซึ่งเป็นลูกของนางมณโฑกับทศกัณฐ์ทราบว่าพิเภกไม่ใช่พ่อที่แท้จริง
จึงได้ชักชวนท้าวจักรวรรดิจับพิเภกกับนางมณโฑใส่ตรุไว้ พระรามจึงให้พระพรตและพระสัตรุดมาช่วย ได้
สงั หารไพนาสรุ ิวงศ์ และยกทพั ไปตีเมอื งมลวิ ันได้สำเรจ็
ต่อมากล่าวถึงนางอดูลปีศาจมาลวงให้นางสีดาเขียนรูปทศกัณฐ์แล้วเข้าสิงรูปนั้น พระรามเห็นเข้าก็
กริ้วจึงให้พระลักษมณ์เอานางไปฆ่า แตะพระลักษมณ์ปล่อยนางไป และเอาหัวใจกวางมาถวายพระรามแทน
หัวใจสีดา นางสดี าไปอาศัยอยู่กบั พระฤาษวี ชั มฤค และไดป้ ระสูติโอรสองคห์ นึ่งชื่อวา่ พระมงกฎุ จึงประลอง ศร
ศิลป์จนดังสนั่นกึกก้องไปถึงอยุธยา พระรามอยากทราบว่าเป็นเสียงใครทำฤทธิ์ จึงปล่อยม้าอุปการ ผูกส ารท่ี
คอว่า ถ้าใครพบม้านี้ให้บชู าพระราม ถ้าขัดขืนถือว่าเป็นกบฏ กุมารทั้งสองพบม้าเข้าก็จับขี่เล่น หนุมานจึงเข้า
ไปจับกุม แต่แพส้ องกุมาร ในท่ีสุดพระรามยกกองทัพไปจับ ไดค้ วามว่าเปน็ พ่อลูกกัน จึงขอให้พานางสีดา และ
เชญิ เขา้ เมือง นางไม่ยอมกลับ พระรามจึงทำอุบายเขา้ โกศใหห้ นุมานไปทลู วา่ พระรามสน้ิ พระชนมจ์ ะถวายพระ
เพลิง นางสีดาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างโกศ ครั้นทราบว่าถูกหลอกจึงแทรกแผน่ ดินหนีไปอาศัยอยู่กับพญานาค
พิเภกจึงให้พระรามเสดาะพระเคราะห์ออกเดินดงอีกครั้งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี ขณะที่เดินดงพระรามได้ปราบ
ยักษ์อีกหลายตนคือ ท้าวกุเวร ปักษาวายุภักษ์ และท้าวอุณาราช ต่อมาพระอิศวรทราบวา่ พระรามกับนางสดี า
ยังไม่ปรองดองกัน จึงตรสั ใหท้ ้งั สองพระองค์ขึ้นไปบนสวรรค์ ว่ากล่าวให้ คืนดกี ัน แลว้ ประทานอภิเษกเสียใหม่
และมีความสุขสืบมา ในตอนจบ พวกคนธรรพ์มารบกวนฤาษีแล้วตีเมืองไกยเกษ ทา้ วไกยเกษต้องหนีไปซ่อนตัว
ในปา่ พระรามจงึ ใหโ้ อรสทงั้ สองไปปราบไดร้ าบคาบ บา้ นเมอื งจึงมคี วามผาสกุ สืบมา.
รามเกียรติ์ เนื้อเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ กล่าวถึงทวีปทั้ง ๔ ว่า สำแดงแผลงฤทธ์ิ
ฮึกฮัก ขุนยักษ์ไล่ม้วนแผ่นดินชมพูอุดรกาโร อมรโคยานก็ได้สิ้น รามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒
กล่าวถึงปลาอานนท์ เขาสุเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อานนท์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน และในบทละครเรื่อง
รามเกียรตย์ิ งั พบเน้ือหาที่กลา่ วถงึ บาปบุญ ดงั บทละครตอ่ ไปน้ี
๏ เม่อื นั้น ท้าวยี่สิบกรยกั ษา
แลเหน็ ซง่ึ แท่งศีลา พญามารสลดระทดใจ
ตระหนกอกสั่นขวัญหนี จะมีสมประดีกห็ าไม่
๒๕
หน้าซดี ผาดเผือดไปทนั ใด ดงั่ จะม้วยบรรลยั ไปทงั้ เปน็
จ่ึงรอ้ งวา่ ดูกอ่ นหนุมาน ท่านนกี้ ่อกรรมทำเข็ญ
พอ่ ไดเ้ ลยี้ งดูให้อย่เู ย็น เปน็ บุตรบุญธรรมย์ อดรกั
อันตวั ของเจา้ ผู้ศกั ดา ทั้งสตปิ ัญญาก็แหลมหลกั
บาปบญุ คุณโทษทรลกั ษณ์ ยอ่ มประจกั ษ์อยูแ่ ลว้ ทกุ ส่ิงไป
ควรหรอื มาอกตัญญู จะรคู้ ณุ บา้ งก็หาไม่
ตัวพอ่ คนซ่อื จ่ึงไว้ใจ ใหแ้ สนสมบตั ิอันโอฬาร
ทง้ั ฝูงอนงคท์ รงโฉม เป็นที่ประโลมสงสาร
เอ็นดพู อ่ เถดิ นะหนมุ าน ขอทานดวงจิตของบิดา
จงสง่ ใหพ้ อ่ เถดิ เอาบุญ คุณนนั้ จะมีไปภายหน้า
อยา่ ใหไ้ ดท้ กุ ข์เวทนา สน้ิ ชพี ชีวาในครั้งนี้ ฯ
๓. บทวิเคราะห์ความเชอื่ เรอื่ งบาปบญุ ทีส่ อดคล้องกับเรื่องบทไหว้ลายลกั ษณ์
จากบทความข้างตน้ กจ็ ะเห็นได้ว่าวรรณกรรมเร่ืองรามเกียรตไ์ิ ดม้ ีการกล่าวถงึ เรื่องบาปบุญ ทวีปทั้ง ๔
ปลาอานนท์ และเขาพระสุเมรุ ก็จะเห็นได้ว่าวรรณเรื่องนี้ก็ได้นำแนวคิดจากเรื่องไตรภูมิพระร่วงมาใช้ในการ
แต่งวรรณกรรมในตอนต่างๆ ซึ่งก็จะทำให้ผู้อ่านนั้นได้พิจารณาการกระทำต่างขอตวั ละครและนำมาปรับใชว้ า่
สิง่ ใดควรสิ่งใดไมค่ วร
วรรณกรรมพระมาลยั
๑. ทมี่ าของเรอ่ื ง
(๒๐๑๗ : ออนไลน์) ผู้แต่ง เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร วรรณกรรมเร่ืองพระมาลยั เรอ่ื งที่ ๒.๕ วรรณกรรมพระมาลยั
ฉบับอักษรขอมโบราณ มีลักษณะพิเศษอยู่หลายประการ คือ ได้สอดแทรก
จริยธรรมในพระพุทธศาสนาไว้สอนให้ประชาชนคนรุ่นหลัง เช่นสอนให้รู้จักบูชา
พระรัตนตรัย สอนให้รู้จักให้ การประกอบกุศลกรรม รักษาศีล การฟังธรรม ความ
กตัญญูกตเวที ความไม่ประมาทและหลักจริยธรรมสำหรับครองเรือนอันเป็น
หลกั ธรรมท่สี ่งเสรมิ ให้ผปู้ ฏิบัติประสบแต่ความสขุ ความเจริญ
๒๖
๒. เนื้อเร่อื งยอ่
พระครูวินัยธรมานพ กันตสีโล (๒๐๑๕ : ออนไลน์) กล่าวถึงพระมาลัยอรหันตเถระองค์สุดท้ายในโร
หนชนบทลังกาทวปี มีอิทธิฤทธิม์ าก ไดล้ งไปโปรดสัตวใ์ นเมอื งนรก บรรดาสัตว์นรกขอใหพ้ ระมาลยั บอกญาติพ่ี
น้องให้ทำทานแผ่สว่ นบุญกุศลส่งไปให้ พระมาลัยจึงไดน้ ำข่าวมาบอกและเทศนส์ ั่งสอนให้มนษุ ยท์ ำบุญทำทาน
และกระทำแต่กรรมดีเพื่อให้หลีกพ้นจากการตกนรก วันหนึ่งพระมาลัยนำดอกบัวที่ชายยากจนเข็ญใจคนหนง่ึ
ถวาย ไปบชู าพระธาตุเจดียจ์ ุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดงึ ส์ ไดพ้ บและสนทนากับพระอินทร์จึงทราบว่าเทวดาแต่
ละองค์กระทำกรรมและรับผลของกรรมไม่เท่ากัน ครั้นพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จมานมัสการพระธาตุเจดีย์
จุฬามณี พระองค์ได้บอกพระมาลยั ว่า จะลงมาประกาศพระศาสนาเมื่อศาสนาของพระสมณโคดมส้นิ สดุ ลงแล้ว
ถ้าผู้ใดต้องการจะเกิดในศาสนาของพระองค์ก็ให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน เช่น ฟังเทศน์มหาชาติให้จบภายใน 1
วนั พระมาลยั จึงไดก้ ลับมาเลา่ เรื่องราวท่ไี ด้เหน็ ได้ฟังแก่ชาวชมพูทวีป ส่วนชายเข็ญใจทถ่ี วายดอกบัวพระมาลัย
เมอ่ื สิน้ ชีวิตแลว้ กไ็ ด้ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชน้ั ดาวดึงสน์ ามอบุ ลเทพบุตร ด้วยอำนาจผลบญุ ท่ีไดส้ รา้ งสมไว้
วรรณกรรมพระมาลัย ฉบับอกั ษรขอมโบราณ เป็นการบันทึกเปน็ อักษรขอมโบราณ ตน้ ฉบับได้มาจาก
คุณนกน้อย อุไรพร มอบถวายแด่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคายในปี พ.ศ.
๒๕๕๖ เมื่อพิจารณาเน้ือหาในพระมาลัยคำหลวงก็จะเหน็ วา่ มกี ารแบ่งเป็น ๓ ภมู ิ และไดก้ ลา่ วถงึ พระมาลัยที่
ไดเ้ ดนิ ทางไปยังภูมติ ่างๆทงั้ นรกและสวรรค์ ไดไ้ ปโปรดสตั วน์ รกเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน สตั ว์นรกจึงได้
ฝากความกับพระมาลัยมาแจ้งข่าวแก่ญาติของตนว่าให้ทำบกุ ุศลมาให้ เมื่อพระมาลัยได้กลับมายังมนุษยภูมิ ก็
ได้แจง้ ข่าวกับญาติตามทสี่ ัตวน์ รกฝากมา บรรดาญาตขิ องสตั วน์ รกก็ได้ทำบญุ กศุ ลไปให้ ส่งผลให้เหลา่ สัตว์นรก
ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระมาลัยเห็นดังนั้น จึงรีบแจ้งข่าวแก่ญาติให้เร่งทำบุญอย่าได้ประมาท
จากนั้นพระมาลัยได้นำดอกบัวที่ชายผู้หนึ่งมาถวายท่านด้วยจิตศรัทธา ไปกราบไหว้พระจุฬามณีเจดีย์บน
สวรรค์ และพบเจอกับเทพเทวดาองค์ต่างๆ ต่างก็มากราบไหว้พระจุฬามณีและพระศรีอารยเมตไตรย จากนั้น
พระมาลยั กลบั มาบอกกล่าวแกม่ นษุ ยท์ ง้ั หลายให้ชวนกนั ทำบุญ
๓. บทวเิ คราะห์ความเชอื่ เร่ืองบาปบุญทีส่ อดคลอ้ งกบั เรอื่ งพระมาลัยคำหลวง
เห็นได้ว่า พระมาลัยคำหลวง มีการเน้นเรื่อง บาปบุญ ซึ่งผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าขนาดเทพยดาบน
สวรรคย์ งั ทำบุญกศุ ล ดังนัน้ มนุษย์กค็ วรท่ีจะหม่นั ทำบุญ เพราะเมื่อตายไปจะได้ไปเกิดในภพภูมิท่ีดีดังเดิมหรือ
ดีกว่าเดิม ดังที่พระมาลัยได้ถามพระอินทร์ว่าเหตุใด เทพยดายังต้องขวยขวายทำบุญกุศล ในเมื่อได้อยู่บน
สวรรค์แล้ว พระอินทร์ได้อิบายว่า การทำบุญกุศลนี้ก็เพื่อไปยังเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม ซึ่งจะเห็นได้
วรรณกรรมเร่ืองนจี้ ะไปสอดคลอ้ งกับแนวคดิ ในเร่ืองการกระทำดี ไมท่ ำความชัว่ ในไตรภูมิพระรว่ ง
๒๗
ความเชื่อเรื่องบาปบุญยังปรากฏในภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน ซึ่งได้มีแนวคิดมาจาก ไตรภูมิอย่าง
ชดั เจน ๒ เรื่อง ได้แก่ เร่อื ง นรก และ ๕ แพรง่
๕.๒.๒ บทวเิ คราะหค์ วามเช่อื เร่อื งบาปบุญทสี่ อดคล้องกับภาพยนตร์
๑. ภาพยนตร์เร่อื ง นรก
ที่มาของภาพยนตร์เรื่อง “นรก” นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคำถามที่ว่า “ตายแล้วไปไหน ใครเคยเห็น
นรกบ้าง” เป็นจุดเริ่มต้นของการหาคำตอบตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือธรรมมะ ภาพจิตรกรรม
ฝาผนัง คำบอกเล่าตา่ งๆ ของผูร้ ู้และผู้มีประสบการณ์ พฒั นาจนมาเป็น “นรก” ฉบับ
ปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่อง นรก ของสหมงคลฟิล์มเข้าฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้กำกบั
คือ เจยี๋ น-ฑีฆายุ ธรรมนติ ยกุล และ บลูตสั -สาธิต ประดิษฐ์สาร เนอ้ื เรอื่ งมงุ่ ตีแผ่ความ
เลวและลงโทษเหล่าคนชั่วในสังคม เมื่อรถตู้ของกองถ่ายเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำเสีย
หลกั จนทุกคนหมดสติไป หลังจากที่พวกเขาฟ้ืนขนึ้ มากต็ ้องพบและฝ่าฟันกับความน่า
สะพรึงกลวั ของนรก ทัง้ ที่จรงิ แล้วมเี พียงเละซ่ึงเป็นคนขับทช่ี ะตาถงึ ฆาต สว่ นคนอ่ืนๆ เรอ่ื งที่ ๒.๑ ภาพยนตร์เร่ือง นรก
ติดสอยห้อยตามมา เพราะอุบัติเหตุท่ีท้ังหมดร่วมเดนิ ทางมาด้วยกันเท่านั้น ทุกคนมีกรรมหนกั กรรมเบากันคน
ละแบบจึงถูกสง่ ไปอยู่ในขมุ ท่ีตา่ งกนั ๕ ขุม ประกอบไปดว้ ย
“นรกขุมฆา่ สัตว์” (ไดร้ บั ผลกรรมชดใช้ตามทเ่ี คยทำไวก้ ับสัตวอ์ ืน่ )
“นรกพดู ปด คดิ ไม่ดี ทำร้ายบพุ พการี” (ถูกทรมานโดยการทุบฝ่ามอื )
“นรกลกั ทรพั ย์” (ถกู ตัดแขนตัดขา)
“นรกสรุ า” (เอานำ้ กระทะทองแดงกรอกปาก)
“นรกกาเม” (ปีนปา่ ยตน้ งิว้ และอีกาปากเหล็ก)
บทวิเคราะหค์ วามเช่ือเรือ่ งบาปบุญที่สอดคล้องกับภาพยนตร์เรื่องนรก
การดำเนินเรื่องเกือบทั้งหมดอยู่ในฉากนรก ซึ่งเมื่อรับชมก็จะเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ระหว่างที่ตัว
ละครเดินทางในนรกก็จะเห็นภาพสัตว์นรกต่างๆที่ถูกลงโทษอย่างทุกข์ทรมาน ภาพยนตร์เน้นให้เห็นผลของ
การกระทำช่ัว สร้างความกลัวบาปใหแ้ กผ่ ้ทู รี่ ับชม และได้ย้ำเน้นแนวคิดจากไตรภูมิ ซง่ึ เก่ียวโยงในด้านศีลธรรม
ให้ผู้คนนั้นพิจารณารกระทำของตน เกรงกลัวต่อบาป และนำข้อคิดที่ได้จาภาพยนตร์เรื่อง นรก ไปปรับใช้ใน
ชวี ิตประจำวันในการทำส่งิ ต่างๆวา่ สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรและผลลพั ธข์ องการกระทำส่งิ ท่ีไม่ดเี ปน็ อยา่ งไร
๒๘
๒. ภาพยนตร์เรื่อง ๕ แพรง่
ภาพยนตร์เร่ือง ๕ แพร่ง ตอน หลาวชะโอน ของจดี เี อช ผู้กำกบั ตอื ปวณี
ภูริจิตปัญญา ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้นำแนวคิด เรื่อง
กรรมมานำเสนอและมีการเล่าคล้ายไตรภูมิกถาในแง่ของการกระทำชั่วและผล
ของการกระทำชั่ว เน้นความน่าสะพรึงกลัว โน้มน้าวให้ผู้รับชมรู้สึกกลัว นำไปสู่
การเกรงกลัวต่อบาป ในเร่ืองจะกลา่ วถงึ ตัวละคนทีช่ ่ือว่า เป้ ทไี่ ด้มีการร่วมมือกับ
เพื่อนปาหินใส่รถยนต์ ด้วยความโลภที่จะขโมยโทรศัพท์ของชายทีเ่ ป้ปาหนิ ใส่รถ เรือ่ งท่ี ๒.๒ ภาพยนตร์เรือ่ ง ๕ แพร่ง
ปรากฏว่าชายที่เป้ปาหนิ ใส่คือพ่อของเป้เอง ทำให้เป้ได้รบั กรรมจากการ ปล้น ฆ่า และได้รับกรรมหนกั คือการ
ฆ่าพ่อของตนเองหรือการทำปิตุฆาต ถึงแม้เป้จะหนีไปบวชแต่ก็ไม่สามารถหนีวิบากกรมของตนเองไปได้ ใน
ทส่ี ุดเป้ไดก้ ลายเป็น เปรต แทนเปรตตนเดมิ ทรี่ อ้ งขอส่วนบุญบรเิ วณวดั
บทวิเคราะห์ความเชือ่ เรือ่ งบาปบญุ ทส่ี อดคล้องกับภาพยนตร์เรื่อง ๕ แพรง่
ภาพยนตร์เรื่อง ๕ แพร่ง ตอน หลาวชะโอน ไม่ได้มีแต่ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยัง
สอดแทรกแง่คิดให้กับผู้ที่รับชมให้เกรงกลัวต่อบาป พิจารณาการกระทำของตนเอง และได้เห็นว่าผลของการ
กระทำบาปเป็นอย่างไร กรรมหนักเมื่อฆ่าพ่อแม่ ฆ่าผู้อื่น และการปล้น ต่างก็ได้รับกรรม ไม่มีผู้ใดจะหลีกหนี
วิบากกรรมที่ตนเองก่อไปได้ ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาของไตรภูมิพระร่วงที่มุ่งเน้นให้ผู้อ่านนั้นเกรงลัวต่อบาป
และกระทำความดี
จากวรรณกรรมประเภทหนังสือวรรณคดีและภาพยนตร์ เราจะพบว่าแต่ละเรื่องได้นำความเชื่อเรื่อง
บาปบุญจากไตรภูมิพระร่วงมาใช้ในการอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็น วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เรื่องสุบินกุมาร , บท
ไหว้ลายลักษณ์หรือบทไหว้พระพุทธบาท , ลิลิตโองการแช่งน้ำ , รามเกียรติ์ , พระมาลัยคำหลวง และปรากฏ
ในภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน ได้แก่ เรื่อง นรก และ เรื่อง ๕ แพร่ง ได้สอดแทรกข้อคิดต่างๆไว้ในเนื้อหาให้ผู้ที่
อา่ นหรอื รับชมน้ัน ไดน้ ำมาปรับใช้ชวี ิตประจำวัน เช่น การกระทำดี ละเวน้ ความช่ัว และทำให้ผู้ที่รับชมน้ันได้
พิจารณาการกระทำของตนเองว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ผลลัพธ์ของการกระทำที่ไม่ดีคือนรกและผลลัพธ์ของ
การกระทำดี ทำบุญกุศลคือส่งผลให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ได้ขึ้นสวรรค์ ก็จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องที่กล่าวมาน้ัน
ล้วนนำข้อคิดตา่ งๆมาจากไตรภมู ิพระรว่ งท้งั สิน้
๒๙
บทสรปุ
รายงานเรอื่ ง การศึกษาไตรภูมิพระรว่ งด้านความเชอ่ื ทมี่ ีอิทธิพลต่อศลิ ปวฒั นธรรมสาขาตา่ งๆ เปน็ การ
นำเอาความเชื่อความศรัทราเก่ียวกบั เร่ืองบาป-บุญท่ปี รากฏในไตรภมู ิพระรว่ ง ซ่งึ สง่ ผลต่อศิลปวัฒนธรรมด้าน
จิตรกรรม พบได้จากภาพวาดจิตรกรรมในโบสถ์วัดต่างๆ เช่น วดั จะท้ิงพระ วัดวัง วดั ชลธาราสงิ เห วัดดอกเงิน
วัดระฆังโฆษิตาราม วัดเกาะพญาเจ่ง และวัดสุวรรณาราม และด้านวรรณกรรม พบได้จากวรรณคดีเรื่องสุบิน
กุมาร บทไหว้พระพุทธบาท ลลิ ิตโองการแชง่ นำ้ รามเกียรต์ิ พระมาลัยคำหลวง รวมท้ังดา้ นภาพยนตร์ พบจาก
เรื่องนรก และ ๕ แพร่ง ดังนั้นจงึ สรุปได้วา่ ความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ท่ีปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ยังคงปรากฏ
หลกั ฐานที่ชดั เจนในด้านศลิ ปวัฒนธรรมจวบจนถงึ ปัจจบุ นั
๓๐
บรรณานกุ รม
กิตติศักดิ.์ (2016, มนี าคม 3). ประวัติผแู้ ตง่ ไตรภูมิพระรว่ ง. Retrieved from
https://www.mtk.ac.th/ebook/forum_posts.asp?TID=1754
ความหมาย ลักษณะและความสำคัญของวัฒนธรรม. (n.d.). Retrieved from M-Culture:
http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/social4_1/lesson2/lesson2_1.php
ความหมายของความเชือ่ . (n.d.). Retrieved from วิกิพีเดีย: https://th.wikipedia.org/wiki
เจริญวรรณ, พ. อ. (2560, กันยายน-ธันวาคม). วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ ปที ี่ 2 ฉบบั ที่ 3 (กนั ยายน
– ธนั วาคม 2560) เรื่อง ความเช่อื เร่ืองไตรภูมขิ องคนในสงั คมล้านนา. Retrieved from ThaiJo:
https://tci-thaijo.org/index.php/jmbr/issue/download/10715/Full
ชมเชย, ก. (n.d.). Retrieved from สาธารัตธ:์ file:///C:/Users/saharut/Downloads/32344-
Article%20Text-72077-1-10-20150323.pdf
ไตรภูมิพระรว่ ง. (2556, พฤศจกิ ายน 26). Retrieved from Sguru: https://guru.sanook.com/7130/
นครลำปาง, ห. B. (n.d.). ความเชอ่ื . Retrieved from http://bcnlp56.weebly.com
บญุ ถึง), พ. ว. (n.d.). ไตรภมู พิ ระรว่ ง. Retrieved from file:///C:/Users/User/Downloads/177715.
ปยุตฺโต), พ. (. (2547, พฤศจิกายน 14). นรก-สวรรค์ในพระไตรปฎิ ก. Retrieved from
https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/heaven-
hell_in_phra_tripitaka.pdf
ประเภทของความเชอื่ . (n.d.). Retrieved from วิกิพีเดยี : https://th.wikipedia.org/wiki
เพชรแก้ว, ช. (มกราคม - มถิ ุนายน 2555). วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุ
ราษฎร์ธานี ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 1. วารสารมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสรุ าษฎร์
ธานี, 64.
ภาพจิตรกรรมวดั ระฆังโมสิตาราม วรมหาวิหาร. (n.d.). Retrieved from วดั ระฆังโมสิตาราม วรมหาวหิ าร:
http://www.watrakang.com/painting.php
๓๑
มนี นุ่ , ธ. (2563, มกราคม). ภาพจำลองมาจากจิตรกรรมฝาผนงั ภายในวิหารพระพทุ ธไสยาสน์ “แมไ่ มไ่ ด้มาแต่
เมอื งทพิ ย์ แม่มาแต่เมอื งทง้ิ (พระ)”. Retrieved from สำนกั ศลิ ปากร ๑๑ สงขลา:
https://www.finearts.go.th/fad11/view/26271
รตั นภักด,ี โ. (n.d.). Retrieved from file:///C:/Users/saharut/Downloads/250203-Article%20Text-
885761-1-10-20210419%20(1).pdf
วดั ชลธาราสิงเห. (n.d.). Retrieved พฤศจกิ ายน 4, 2564, from ฐานข้อมูลทอ้ งถ่ิน ภาคใต้ สำนักทรัพยากร
การเรียนร้คู ุณหญิงหลง อรรถกระวสี นุ ทร:
https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/c5c4fc47
เว็บบอร์ดสนทนาธรรม. (2554). Retrieved from
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=11577.0
สงวนกติ ตพิ ันธุ์นักวชิ าการศึกษา, เ. (n.d.). ความเชื่อ. Retrieved from มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
STOU มสธ.: .https://www.stou.ac.th/offices/rdec/udon/upload/socities9_10.html
สถาบนั วิจยั พฤติกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรนี คริ, ร. อ. (2560). ความสัมพนั ธ์เชิงสาเหตทุ างพระพทุ ธศาสนา.
Retrieved from http://bsris.swu.ac.th/upload/53.pdf
สัจจพนั ธุ์, ร. (n.d.). Retrieved from file:///C:/Users/saharut/Downloads/83-Article%20Text-74-1-
10-20141126.pdf
สุตัญตงั้ ใจ, ค. (2010, สงิ หาคม 16). ไตรภูมิพระรว่ ง. Retrieved from M.T.K. e-Learning:
https://www.mtk.ac.th/ebook/forum_posts.asp?TID=1754
หอมรดกไทย. (n.d.). ความเชื่อ ไตรภูมิพระร่วง. Retrieved from www.heritage.thaigov.net