ขนมไทย
4 ภาค
ก
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการ
งาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้และ
ได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่ออเป็นประโยชน์ในการเรียนการ
สอนเรื่องเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูล
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ ต่อผู้อ่าน
นักเรียนศึกษา ที่ศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปต่อยอด
ทางการเรียนรู้
ผู้จัดทำ
ณิชาภัทร์ เเซ่เจ่น
สารบัญ ข
เรื่อง หน้า
คำนำ
สารบัญ ก
ขนมตาล
ขนมทองหยิบ
ขนมกลีบลำดวน ข
ขนมใส่ไส้
ข้าวเเตน
ขนมวง 1-2
ขนมเทียน
3-4
5-6
7-8
9-10
11-12
13-14
สารบัญ ข
เรื่อง หน้า
ขนมลา
ขนมแดง
ขนมเจาะหู 15-16
บขนมกระยาสารท
ขนมข้าวทิพย์
ขนมข้าวโปง 17-18
บรณานุกรม
19-20
21-22
23-24
25-26
27
1
ขนมไทยภาคกลาง
ขนมตาล
ประวัติความเป็นมา
ขนมตาลนับเป็นขนมไทยพื้ นบ้าน อีกหนึ่งชนิดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน
และน่าสนใจ เป็นขนมที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นขนมไทยที่มีส่วน
ประกอบในการทำเพี ยงสามอย่าง คือ แป้ง มะพร้าว น้ำตาล มีการพั ฒนาส่วน
ผสม และกรรมวิธีที่มากขึ้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ขนมตาลเป็นขนมที่นิยมทำกัน
ทุกภาคของประเทศไทย ทำจากลูกตาล ที่สุกงอม หล่นจากต้นเอง นำมายี เอาแต่
เนื้อตาล ผสมแป้งข้าวเจ้า กะทิ และน้ำตาล ผสมกัน ใส่ในกระทงใบตอง นึ่งจนสุก
ฟู โรยด้วยมะพร้าวทึนทึกขูด เป็นขนมไทยที่มีลักษณะเป็นเนื้อสีเหลืองเข้ม-อ่อน
ตามสีของลูกตาลที่ใช้ เนื้อนุ่ม ฟู มีกลิ่นตาล หอมอ่อนๆ ขนมตาลเป็นขนมที่นิยม
ทำขึ้นในงานบุญต่างๆ เช่นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด
เป็นขนมคู่สำรับไทยมาแต่โบราณ เพื่ อเป็นศิริมงคลแก่เจ้าของงาน
2
วิธีทำ
1.ละลายน้ำตาลในกะทิ เติมเนื้อตาลลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งและผงฟู
ลงไปคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนเนียน
2.กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง พั กไว้ประมาณ 10 นาทีให้ส่วนผสมขึ้น
3.ระหว่างรอขนมขึ้น ใส่น้ำในลังถึง ตั้งไฟกลางเตรียมไว้ เรียงถ้วยตะไลลง
ในลังถึงพอส่วนผสมครบเวลา ตักส่วนผสมยอดลงในถ้วยตะไลจนเต็ม
ถ้วย โรยด้วยมะพร้าวทึนทึก นึ่งบนน้ำเดือดประมาณ 15 – 20 นาที จน
กระทั่งสุก ยกลงจากเตา พั กให้เย็นแซะออกจากถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
โอกาสที่ใช้
ขนมตาลใช้ในประเพณี งานแต่ง เทศกาลสำคัญ งานบุญ
หรือต้อนรับแขกสำคัญ
3
ทองหยิบ
ประวัติความเป็นมา
ขนมไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะคล้ายดอกไม้สี
ทอง ทำจากไข่แดงตีจนฟู แล้วนำไปหยอดลงในน้ำเชื่อมเดือด
เมื่อสุกแล้วนำมาใส่ถ้วย จับจีบอย่างประณีตให้เหมือนกลีบ
ดอกไม้ สื่อความหมายถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ทำการงานสิ่งใดก็
จะร่ำรวยมีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ หยิบเงินหยิบทองสมดังชื่อ
ทองหยิบ
4
วิธีทำ
1. เติมน้ำและน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งไฟอ่อน คนจละลาย
ปิดไฟ พั กทิ้งไว้จนเย็นแล้วนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. เทน้ำเชื่อมลงในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟกลางพอน้ำเชื่อมร้อน แต่ไม่ให้
เดือดพล่าน
3. ตีผสมไข่แดงจนขึ้นฟู ตักหยอดลงในน้ำเชื่อม พอสุกทั้งสองด้านตักขึ้น
พั กไว้ให้เย็นแล้วจับจีบให้สวยงาม วางใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
โอกาสที่ใช้
ใช้ในงานพิ ธีสำคัญเเละงานมงคลต่างๆ เช่น งานทำบุญบ้าน
พิ ธีมงคลสมรส
5
กลีบลำดวน
ประวัติความเป็นมา
ขนมกลีบลำดวน วันนี้จะมาเชิญชวนทำขนมไทยกินกัน เชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยได้ยินชื่อ
และรู้จักกันดีกับชื่อขนมไทยชนิดนี้"ขนมกลีบลำดวน" บ้างก็ว่า "ขนมดอกลำดวน" สมัย
ก่อนหากมีงานมงคลสมรส มักจะใช้ขนมชนิดนี้นำมาประกอบพิธีร่วมกับขนมชนิดอื่นๆ ที่
เป็นขนมมงคลเนื่องด้วยคนโบร่ำโบราณ มีความเชื่อกันว่า "ขนมกลีบลำดวน" มีความ
หมายที่ดี ช่วยทำให้ชื่อเสียงขจรขจายไปไกล และยังมีความหมาย สร้างความงดงามให้
กับชีวิตคู่อาจจะเป็นด้วยลักษณ์ของขนมกลีบลำดวน ที่มีกลีบดอกสามกลีบนำมาประสาน
ติดกัน ปั้ นเกสรวางไว้ตรงกลางทำให้ขนมแลดูงดงามเหมือนดั่งดอกลำดวนดอกลำดวน
นั้นเป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ยามค่ำคืน จะส่งกลิ่นหอมอบอวล ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
6
วิธีทำ
1. แป้ง น้ำตาลและเกลือ ร่อนเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เทน้ำมันพืชลงไป กะให้เหลือ
ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
2. เมื่อนวดผสมเข้ากันดีแล้ว แบ่งแป้งไว้ประมาณ 1/4 ถ้วย เอาไว้สำหรับทำเกสร
3. แป้งที่เหลือสำหรับทำกลีบดอก โดยปั้ นเป็นก้อนกลมๆ แล้วใช้มีดแบ่งออกเป็น 4
ส่วน
4. ใช้ด้านมุมของกลีบดอกสามกลีบ จับชนกันทะแยงมุม ผสมน้ำมันกับส่วนผสมที่
แบ่งไว้ แล้วปั้ นเป็นก้อนกลมไปติดไว้ตรงกลาง
5. นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นานประม่าณ 12 นาที หรือจนขนม
สุก นำขนมออกจากเตาพักไว้ให้เย็น วางใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด
6. อบขนมด้วยควันเทียน ทิ้งข้ามคืนไปเลยค่ะ หอมดี
โอกาสที่ใช้
ใช้ในงานพิธีสำคัญเเละงานมงคลต่างๆ เช่น พิธีมงคลสมรส
ขนมไทยภาคเหนือ 7
ขนมใส่ไส้
ประวัติความเป็นมา
ขนมใส่ไส้" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ขนมสอดไส้" เป็นขนมไทยที่ใช้ในพิ ธีขันหมาก
ในสมัยโบราณ ขนมใส่ไส้นี้ห่อด้วยใบตองแล้วมีเตี่ยวคาด (เตี่ยวก็คือทาง
มะพร้าว) ห่อเป็นทรงสูง ขนมใส่ไส้มีกลิ่นหอมและหวานจากตัวไส้ รสเค็มมันด้วย
หน้ากะทิที่สดใหม่ หน้าข้นพอดี ไม่เละ
8
วิธีทำ
1.เริ่มจากการทำไส้ขนม ตั้งกระทะ ใส่น้ำมะพร้าว น้ำตาลปี๊ ป เกลือ ต้มให้เดือด ใส่แบะแซ คนพอให้
ละลาย แล้วใส่มะพร้าวขูดขาวลงไป กวนส่วนผสมให้เข้ากันจนแห้งดี พอที่จะนวดได้ พั กไว้ให้พออุ่นๆ
ปั้ นเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ ไว้ค่ะ
2.การทำแป้งห่อขนม ให้เตรียมชามผสม ร่อนแป้งใส่ลงในชาม ค่อยๆ ใส่น้ำใบเตยนวดจนแป้งจับตัว
เป็นก้อนเดียวกัน และเนื้อแป้งเนียนดี ก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ
3.นำแป้งมาห่อไส้ขนม แผ่แป้งเป็นแผ่นบางๆ นำไส้ขนมที่ปั้ นไว้ใส่ลงไปตรงกลางแป้ง แล้วหุ้มแป้งให้
มิด แล้วพั กไว้
4.การทำหน้าขนม ให้ตั้งกระทะ ใส่กะทิ น้ำมะพร้าว น้ำตาลทราย เกลือ ร่อนแป้งทั้งสามอย่างลงไป แป้ง
ข้าวเหนียว แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า คนให้แป้งละลายเข้ากันดี ค่อยเอาไปตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนแป้งข้น
เป็นเนื้อเนียนดี พั กไว้ก่อน
5.การห่อขนม เตรียมใบตอง 2 ใบ ประกบกัน วางไส้ขนมตรงกลางใบตอง ตักหน้าขนมที่กวนไว้ โปะ
ด้านหน้า แล้วห่อเป็นสามเหลี่ยม คาดเตี่ยวใบมะพร้าว ใช้ไม้กลัด เป็นอันเสร็จเรียบร้อย นำไปนึ่งต่อได้
6.วางขนมเรียงในหม้อซึ้ง นำไปนึ่งประมาณ 30-40 นาที หรือดูให้ขนมสุกดี ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
โอกาสที่ใช้
ใช้ในงานพิธีหมั้น เพื่อเป็น 1 ในขนม 9 อย่าง ที่ใส่ในขันหมากโทคู่ขันหมาก
เอก ในขบวนแห่ขันหมากเพื่อไปสู่ขอเจ้าสาว
9
ข้าวเเตน
ประวัติความเป็นมา
“ขนมข้าวแตน” ประวัติความเป็นมาบทนำ เมื่อเอ่ยถึงขนมไทยในสมัยก่อน น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักขนมข้าวแตนหรือเรียกกัน
ติดปากว่า”ขนมนางเล็ด” เป็นขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียวราดด้วยน้ำตาลคนไทยในอดีตจะทำขนมในเทศกาลหรือประเพณี
ต่างๆ เช่น ขนมห่อ จะทำในวันสาทหรือวันสงกานต์ วันออกพรรษาจะทำกระยาสาท หรือทำขนมนางเล็ด ขนมหูช้าง เพื่อใช้
ในการประกอบประเพณีเทศมหาชาติ จึงนับได้ว่าขนมไทยมีความสำคัญ ต่อประเพณี หรือเทศกาลต่างๆของคนไทยมาก
ขนมไทยในอดีตเหล่านี้ยังอยู่คู่กับคนไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้ขนมไทยจะทำตลอดทั้งปี โดยไม่จำเป็นต้อง
รอให้ถึงประเพณีหรือเทศกาลต่างๆ จึงนับได้ว่าขนมไทยมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของชุมชนมาก เพราะสามารถผลิตขาย
ได้ตลอดทั้งปี ทำให้มีรายได้เพิ่มให้กับครอบครัวอีกทาง ภูมิปัญญาชาวบ้านที่จะนำเสนอการทำขนมไทย ที่กล่าวในครั้งนี้คือ
ภูมิปัญญาการทำ“ขนมข้าวแตน” ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ความเป็นมาของขนมข้าวแตน ในอดีต
ยายเกตุมีอาชีพทำนา เมื่อเวลาว่างจากการทำนายายจะอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร จนเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ยายจึงคิดหา
รายได้พิเศษนอกเหนือจาการทำนา โดยการทำขนมนางเล็ด โดยการทำขนมนางเล็ดแล้วหาบขายตามโรงเรียน ตามหมู่บ้าน
และในตลาดและยังรับทำขนมในยามเทศกาลหรือประเพณีต่างๆ อีกด้วยเมื่อขนมนางเล็ดขายดีขึ้น จึงเลิกอาชีพทำนา แล้ว
หันมาทำขนมขายอย่างเดียวทำอยู่มาไม่นานก็เริ่มมีคู่แข่ง ทำให้ขนมนางเล็ดยอดการขายตกต่ำลง ยายเกตุจึงคิดหาวิธีที่จะ
ทำขนมออกมาในรูปแบบใหม่ๆที่ไม่ซ้ำกับใคร จากนางเล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่มีสีขาวธรรมดา ก็ทดลองหาส่วนประกอบที่จะมา
ผสม เพื่อให้มีรสชาติ มีสีสัน มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน โดยการลองผิดลองถูก อยู่หลายครั้ง เริ่มแรกใช้น้ำส้มจากส้มเขียว
หวานมาผสมกับข้าวเหนียว ผลที่ออกมาก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ส้มในสมัยนั้นราคาแพงมาก จึงสู้ราคาไม่ไหวและต้องเลิกทำ
สูตรนี้ไป ต่อมายายเกตุจึงหันมาทดลองใช้แตงโมซึ่งมีราคาถูกกว่าส้มและหาได้ง่าย ประกอบกับสีของแตงโมก็น่ารับ
ประทานยายเกตุจึงใช้นำแตงโมผสมกับข้าวเหนียว และใช้เป็นสูตรในการทำขายมาจนปัจจุบันนี้ และได้ตั้งชื่อให้ใหม่เพราะ
รูปร่าง กลิ่น สี รสชาติ เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด โดยทำให้แผ่นเล็กลง ไม่มีขอบ เป็นแผ่นแบนๆ และตั้งชื่อให้ใหม่ ชื่อ “ขนม
ข้าวแตน”
10
วิธีทำ
1.นำข้าวเหนียวแช่น้ำ จากนั้นนำไปนึ่ง โดยในน้ำต้มใส่ใบเตยลงไปเพื่ อให้หอม ใช้เวลานึ่งประมาณ 30
นาที
2.นำแตงโมปั่ นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นใส่หัวกะทิ น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี และเกลือป่น
ลงไป คนให้เข้ากัน นำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วเทลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน พั กทิ้งไว้ประมาณ 15-20
นาที
3.เมื่อครบเวลา ให้ใส่งาดำลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นอัดใส่พิ มพ์ และตากแดดไว้
4.นำกระทะใส่น้ำมันตั้งไฟแรงเพื่ อให้น้ำมันร้อน จากนั้นปรับเป็นไฟกลาง นำข้าวที่ตากแดดมาทอด โดย
คีบข้าวไว้แล้วขยับให้โดนน้ำมันทั่วๆ ก่อนจะปล่อย เพื่ อให้ข้าวฟู ใช้เวลาทอดไม่นาน สังเกตให้มี
ลักษณะเหลืองกรอบ สามารถนำขึ้นได้เลย พั กสะเด็ดน้ำมันไว้
5.ทำน้ำตาลราดหน้าข้าวแต๋น โดยการนำน้ำตาลปี๊ ปหรือน้ำตาลมะพร้าว น้ำเปล่า น้ำตาลทรายแดง เกลือ
ป่น ลงหม้อ ใช้ไฟกลางค่อนไฟอ่อน คนผสมให้เข้ากันดี พั กไว้ให้อุ่นๆ จะทำให้ข้นขึ้น แล้วใช้ช้อนตักน้ำ
และหยอดลงไปบนข้าวตามชอบ
โอกาสที่ใช้
ใช้ในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานขึ้นบ้านใหม่งานแต่งงาน งานปีใหม่(สงกรานต์)
งานพอยหลวง งานพอยลูกแก้ว(บวชเณร)
11
ขนมวง
ประวัติความเป็นมา
“ขนมวง” หรือเข้ามูนข่วย เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวไทใหญ่
เป็นรูปวงกลมมีรูตรงกลางเหมือนโดนัท นำมาชุบน้ำตาลอ้อย เพิ่ มความหวาน
หอม เมนูนี้จะแพร่หลายในภาคเหนือ ถือว่าเป็นเมนูยอดฮิตเลยก็ว่าได้ บางสูตร
ก็ใช้แค่แป้งข้าวเหนียว บางสูตรก็ผสมกล้วยน้ำว้าลงไปด้วย
12
วิธีทำ
1.นำแป้งข้าวเหนียว, กล้วยหอม, น้ำมะพร้าว, มะพร้าวทึนทึก และเกลือเล็กน้อย
ผสมกัน ใช้มือนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นวดจนแป้งไม่ติดมือ เหนียวนุ่ม
หลังจากนั้นให้นำมาปั้ นเป็นรูปวงกลม มีรูตรงกลาง คล้ายโดนัท (โดยไม่ควรปั้ น
ใหญ่มากเพื่ อสะดวกในการทอด) ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำขนมลงทอดในกระทะ ใช้ไฟ
อ่อน ทอดจนเหลือง
2.เมื่อทอดเสร็จ ต่อมานำน้ำตาลมะพร้าวขึ้นตั้งไฟให้ละลายและเหนียว เมื่อเสร็จ
แล้วนำขนมที่ทอดไว้ลงชุบหน้าเดียว เป็นอันเสร็จ พร้อมรับประทาน
โอกาสที่ใช้
ใช้ในงานปอยหรืองานบุญ
13
ขนมเทียน
ประวัติความเป็นมา
ขนมเทียน หรือ ขนมนมสาว ทางภาคเหนือเรียกว่า ขนมจ็อก ซึ่งเป็นขนมที่นิยม
ใช้ในงานบุญของชาวเชียงใหม่โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ แต่เดิมมีไส้มะพร้าว
และไส้ถั่วเขียวแต่ในปัจจุบันมีการดัดแปลงไส้ขนมจ็อกออกไปหลากหลายมาก
ชาวจีน ใช้ขนมเทียนในการไหว้บรรพบุรุษช่วงวันตรุษจีนและวันสารทจีน ไส้เป็น
ถั่วเขียวกวนบด ถ้าแบบเค็มจะใส่พริกไทยและเกลือ แบบหวานใส่มะพร้าวและ
น้ำตาลลงไปเพิ่ ม ถ้าตัวแป้งทำด้วยแป้งถั่วเรียกขนมเทียนแก้ว
ในพิ ธีกรรมของชาวชองจะใช้ขนมเทียนในพิ ธีไหว้ผีหิ้งด้วย
14
วิธีทำ
1.เทแป้งใส่ชาม ละลายน้ำตาลบีบกับน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้วค่อยนวดผสมไปกับแป้ง
2.ค่อยๆเทกระทิใส่แล้วนวดให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 3-4 ช.ม.
3.นำถั่วเขียวซีกไปแช่น้ำไว้ 3 ชม.
4. นำถั่วไปนึ่งให้สุก
5.นำถั่วที่นึ่งสุกแล้วเข้าเครื่องบดให้ละเอียด พั กไว้
6. ตั้งกะทะเจียวกระเทียมพอเหลือง
7.ใส่ถั่วที่เตรียมไว้ (ข้อ.5) ในกะทะ ใส่น้ำตาล เกลือ พริกไทย ชิมรสตามชอบผัดไปจนแห้ง
8.นำมาปั้ นเป็นก้อนกลม ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประมาณ 10 กรัม
9.นำแป้งที่หมักไว้ (ข้อ.2) จนได้ที่แล้ว มาปั้ นเป็นก้อน (ประมาณ 30 กรัม) ห่อไส้ที่เตรียมใว้
10.ห่อใบตองให้สวยงาม นำไปนึ่งด้วยไฟแรง 30 นาที
โอกาสที่ใช้
นิยมทำเนื่องในงานสำคัญทางศาสนา เช่น งานวันวิสาขบูชา งาน
วันเข้าพรรษา งานวันออกพรรษา วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา
15
ขนมไทยภาคใต้
ขนมลา
ประวัติความเป็นมา
ที่มาของขนมลา ไม่ปรากฏว่าถูกคิดค้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบแต่ว่า ชาวบ้านใน
อ.ปากพนัง รู้จักการทำขนมชนิดนี้มานานแล้ว เพื่ อใช้เป็น 1 ใน 5 ขนมมงคลใน
งานบุญประเพณีสารทเดือนสิบ สำหรับอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ
โดยขนมลา ถือเป็นสัญลักษณ์แทน แพรพรรณ เครื่องนุ่งห่ม จึงเป็นสาเหตุที่
ทำให้เนื้อขนมต้องเส้นเล็กเท่ากับเส้นด้าน สอดประสานกันเป็นร่างแห คล้าย
เครื่องนุ่งห่ม เพื่ อให้ผู้ล่วงลับที่อาจเป็นเปรต รูปร่างผอม สูง ปากเท่ากับรูเข็ม
สามารถกินหรือนุ่งห่มได้ ตามความเชื่อนั่นเอง
16
วิธีทำ
1.นำแป้งข้าวเจ้า 2 ส่วน ผสมกับแป้งข้าวเหนียว 1 ส่วน ผสมลงในกะละมังที่เตรียมไว้
2.เติมน้ำตาลปี๊ บที่เคี่ยวและวางไว้จนเย็นแล้ว ผสมลงไปในแป้งใช้กรองหรือผ้าบางๆ กรองเอาเศษสิ่งที่เป็น
ตะกอนและสกปรกออกจากแป้ง
3.นวดแป้งและน้ำตาลให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ประมาณ 20 นาที การสังเกตว่าแป้งพร้อมที่จะทอด โดยยกมือ
ขึ้นแป้งจะไหลเป็นสายไม่ขาด ก็แสดงว่าสามารถนำไปใช้ได้
4.ตั้งกระทะบนเตา ใช้ไข่แดงต้มสุกผสมน้ำมันพื ชเช็ดกระทะให้ทั่วเพื่ อป้องกันขนมติดกระทะ
5.ใช้ไม้ตีน้ำมันชุบน้ำมันพื ชทาให้ทั่วกระทะก่อนโรยแป้ง
6.นำแป้งใส่ภาชนะสำหรับโรย เช่น กะลาหรือกระป๋องเจาะรู นำไปโรยลงกระทะเป็นวงกลมสานไปสานมาหลายๆ
ครั้ง จนได้ขนาดที่ต้องการ แต่ต้องไม่ให้หนาหรือบางเกินไป
7.สุกแล้วใช้ไม้ปลายแหลมแซะแล้วนำขึ้นมาวางซ้อนๆ กัน โรยแผ่นใหม่ต่อไป ทำแบบนี้จนแป้งหมด เป็นอัน
เสร็จสมบูรณ์
โอกาสที่ใช้
ใช้สำหรับจัดหฺมฺรับเพื่อนำไป ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญ
สารทเดือนสิบ
17
ขนมเเดง
ประวัติความเป็นมา
ขนมต้มแดง เป็นขนมเก่าแก่เช่นเดียวกับขนมต้มขาว
สมัยกรุงสุโขทัยใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยคู่กับขนม ต้มขาวมีส่วนประกอบของแป้งน้ำตาล
และมะพร้าว เป็นหลักมีลักษณะเป็นแผ่นแบนไม่มีไส้ คลุกกับ มะพร้าวและน้ำตาล ที่เคี่ยว
จนเหนียวเป็นสีแดงของ น้ำตาลปี๊ บ มีความหวานนอกสลับกับขนมต้มขาวจึง เรียกขนม
ต้มแดงขนมต้มขาวเป็นขนมเก่าแก่สมัย กรุงสุโขทัยใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยหรือใส่ใน
บายศรี ไหว้ครู ขนมต้มมีส่วนประกอบของแป้งน้ำตาล มะพร้าว เป็นหลักมีลักษณะเป็น
แป้งลูกกลม ๆข้างในมีไส้ทำด้วย มะพร้าวเคี่ยวกับน้ำตาล ต้มให้สุกโรยด้วยมะพร้าวขูด สี
ขาว มีความหวานข้างใน จึงเรียกขนมต้มขาว
18
วิธีทำ
1.นวดแป้งกับน้ำ ประมาณ 5 นาทีให้เข้ากันดี ปั้ นแป้งเป็นก้อนกลมๆแล้วกดให้แบน แต่
ไม่บางเกินไป
2.ต้มในน้ำเดือดที่ใส่ใบเตย พอสุกแป้งจะลอย
3.ตักใส่ในน้ำ ป้องกันแป้งติดกัน
4.เคี่ยวมะพร้าว น้ำตาลปี๊ บ น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย ไม่ต้องข้นเหนียวมากไป แค่พอมะพร้าว
สุกใส
5.ตักแผ่นแป้งใส่ภาชนะ และกระฉีกโรยหน้า พร้อมทาน
โอกาสที่ใช้
ใช้สำหรับจัดหฺมฺรับเพื่อนำไป ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญ
สารทเดือนสิบ
ขนมเจาะหู 19
ประวัติความเป็นมา
ขนมเจาะหู บ้างเรียก แนหรำ , แบซำ , ดีซำ , โดซีแย หรือ ลีงอโต๊ะแว เป็นขนม
ที่เติมจากการเคี่ยวน้ำตาลแดงจนเหนียวข้น จากนั้นผสมแป้งข้าวเจ้าและนำแป้งมานวด
ต่อให้ได้ที่ก่อนจะนำไปทอด มีรูปร่างวงกลมเหมือน โดนัท เป็นขนมสำคัญในเทศกาล
ทาง ภาคใต้ ของประเทศไทย มักทำขึ้นในช่วงเทศกาล ฮารีรายอ ของชาว มุสลิม เป็น
ขนมรายอ งานบุญของศาสนาพุทธ เช่น งานบุญสารทเดือนสิบ หรือทำบุญ ชิงเปรต
20
วิธีทำ
1. นำน้ำมันใส่กระทะตั้งบนไฟให้ร้อน
2.นำเป็นแป้งที่ผสมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาปั้ นเป็นก้อนเล็กๆพอประมาณ คลิงให้กลมบน
ใบตอง แล้วนำมาแผ่บางๆให้มีลักษณะกลมๆ เจาะรูตรงกลาง
3.นำไปทอดในน้ำมันร้อนๆจนสุกฟูเป็นสีน้ำตาล คล้ายขนมโดนัทของฝรั่ง จะได้เป็นขนมเจาะ
หูที่ต้องการและจะมีรสชาติกรอบนอกนุ่มใน
โอกาสที่ใช้
ใช้สำหรับจัดหฺมฺรับเพื่อนำไป ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญ
สารทเดือนสิบ
21
ขนมไทยภาคอีสาน
กระยาสารท
ประวัติความเป็นมา
กระยาสารท เป็นขนมหวาน ของไทย มีหลักฐานว่าเป็นอาหารสมัยพุ ทธกาล แปล
ว่า "อาหารที่ทําให้
ฤดูสารท" ทำจากถั่วลิสง งา ข้าวคั่ว มาผัดกับน้ำตาล เป็นอาหารตามประเพณี ที่
มักจะทำกันมากในช่วงสารทไทย คือ
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เพื่ อทำบุญเพื่ ออุทิศส่วนบุญให้ปู่ย่าตายายและญาติมิตร
ทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว
22
วิธีทำ
1..นำถั่วลิสง งา ข้าวเม่า มาคั่วให้สุกพอประมาณ แล้วพั กไว้
2..นำกะทิมาเคี่ยวกับน้ำตาลปี๊ บ จนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่แบะแซลงไปผสม
เคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน หรือจนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม
3..ใส่ถั่วลิสง ข้าวตอก ข้าวเม่า งาขาวที่คั่วเตรียมไว้ลงไปผสมในน้ำกะทิ เคี่ยวไป
เรื่อยๆ โดยใช้ไฟอ่อน ประมาณ 30 นาที
4..ตักใส่ถาดสี่เหลี่ยม พั กไว้พออุ่น ตัดเป็นสี่เหลี่ยม พั กไว้ให้เย็น
โอกาสที่ใช้
เพื่อทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญให้ปู่ย่าตายายและญาติมิตรทั้งหลาย
ที่ล่วงลับไปแล้ว
23
ข้าวทิพย์
ประวัติความเป็นมา
เป็นพิธีกรรมของศาสนา พราหมณ์ที่มีสอดแทรกเข้ามาปะปนในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา
เพื่อถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และบูชาพระรัตนตรัยอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ตาย ประเพณีกวน
ข้าวทิพย์ เป็นพระราชพิธีที่กระทำกันในเดือน ๑๐ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุง
ศรีอยุธยา เป็นราชธานี และได้รับการฟื้ นฟูครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และมาละเว้น
เลิกรา ไปในสมัยรัชกาล ที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ แล้วมาได้รับการฟื้ นฟู อีกครั้งหนึ่งในสมัย
รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา
24
วิธีทำ
๑. เมื่อตั้งกระทะร้อนได้ที่แล้ว ให้ใส่กะทิลงไปเคี่ยวจนแตกมัน
๒. ใส่น้ำอ้อยลงไปเคี่ยวให้น้ำอ้อยละลาย
๓. จากนั้นให้ใส่น้ำตาลทราย นมข้น เนย และน้ำผึ้งลงไป เคี่ยวให้เข้ากัน รอจนส่วนประกอบ
ทั้งหมดเข้ากันดีแล้ว ให้สังเกตว่าจะออกสีเหลืองเป็นเงามันและมีกลิ่นหอม
๔. ใส่ข้าวสวยที่หุงสุกแล้วลงไป กวนให้ส่วนประกอบทั้งหมดเข้ากัน ขณะที่กวนข้าวให้ใช้ไฟอ่อนๆ
เพื่ อไม่ให้ข้าวไหม้ ขณะที่กวนข้าวนี้จะใช้เวลาพอสมควรรอจนข้าวที่กวนนั้นเหนียว และมีกลิ่นหอม
๕. ใส่งาคั่วและเม็ดบัวลงไปกวนให้ส่วนประกอบทั้งหมดเข้ากันดีแล้ว ให้ตักข้าวที่กวนออกใส่ถาด
ให้เย็นตัวลง
เมื่อเสร็จสิ้นการกวนแล้วให้ตักข้าวทิพย์ที่ได้จากการกวนใส่ถาด เพื่ อให้คลายความร้อนลงสักพั ก
ก่อน ก่อนที่จะเริ่มนำข้าทิพย์มาปั้ นเป็นก้อนๆ
โอกาสที่ใช้
ก่อนวันวิสาขบูชา ๑ วัน คือ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖
25
ข้างโปง
ประวัติความเป็นมา
แต่เดิมเป็นขนมที่ชาวนานิยมทำในประเพณีรับขวัญข้าว ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เมื่อชาวนาเก็บ
เกี่ยวข้าวแล้วก่อนจะนำข้าวขึ้นยุ้งฉาง จะทำพิธีรับขวัญข้าวโดยการโขลกข้าวโปง คือใช้
ข้าวเหนียวใหม่ที่เก็บเกี่ยวนำไปนึ่ง แล้วโขลกจนเหนียวนำไปปั้ นเป็นรูปอุปกรณ์การทำนา
นำใส่กระบุงไปที่ทุ่งนา จุดธูปเทียนบูชา และเชิญแม่โพสพขึ้นยุ้งฉาง เมื่อเสร็จพิธีก็นำ
กระบุงนั้นกลับไปไว้ที่ยุ้งข้าว เพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนข้าวโปงจะนำมารับประทานใน
ครอบครัว
26
วิธีทำ
วิธีการทำแป้ง
1.นำข้าวเหนียวมาทำการซาวน้ำแล้วแช่ตั้งไว้ซักพั กประมาณ 20 นาที เพื่ อเอาสิ่งแปลก
ปลอมออกมา
2.นำข้าวเหนียวที่แช่แล้วมาตำใส่ครก โดยตำพอแหลก ไม่ต้องละเอียดมาก
3.พอตำเรียบร้อยแล้ว เราก็ผสมน้ำอุ่นลงไป จากนั้นก็เทแป้งข้าวเหนียว เกลือ แล้ว
ค่อย ๆ นวดให้เข้ากันดี
4.เสร็จแล้วพั กตั้งไว้ เตรียมทำไส้กันต่อ
วิธีการทำไส้ขนม
1.นำมะพร้าวมาขูดเป็นเส้น ๆ บาง ๆ ไม่ต้องหนามาก
2.คั่วถั่วลิสงให้สุก จากนั้นก็ตำให้พอแหลก
3.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อย เปิดไฟอ่อน ๆ เอาถั่วและมะพร้าวลงไปผัด ปรุงรสด้วย
น้ำตาล
วิธีการห่อ
1.ทำการห่อขนม โดยนวดแป้งเป็นแผ่นแล้วใส่ไส้ตรงกลาง ปั้ นเป็นรูปกลมรี
2.ตั้งหม้อ ใส่น้ำ เปิดไฟปานกลาง ทำการต้มขนมที่ห่อไว้จนสุก
3. นำมาคลุกกับงาดำ
โอกาสที่ใช้
นิยมทำในประเพณีรับขวัญข้าว
27
บรรณานุกรม
https://bankanomwaan.com/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0
%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%87/
https://www.m-culture.go.th/nakhonsawan/ewt_news.php?nid=544&filename=index
https://th.openrice.com/th/recipe/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%
B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97/522
https://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/2129/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2
%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97
https://4107chadaphatblog.wordpress.com/ประวัติขนมไทย/ขนมไทยประเภทต้ม/ประวัติขนมต้มแดง-ขนมต้ม/
https://th.wikipedia.org/wiki/ขนมเจาะหู
https://www.sgethai.com/article/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2-
%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8
%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2/
https://food.trueid.net/detail/9w3KzPae4e9
https://sites.google.com/site/prawatikhnmtheiyn/
http://lib3.dss.go.th/fulltext/techno_file/CF86/CF86(D2).pdf
https://food.trueid.net/detail/a9l6Pbgnxr1D
https://nonthaphatblog.wordpress.com/2017/03/18/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%
B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%
E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B9%
89/
https://goodlifeupdate.com/tag/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5
https://www.matichonacademy.com/content/food-story/article_39850
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E
0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%99
https://www.sgethai.com/article/%E0%B8%9D%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3-
%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B
9%89-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1/