The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการศึกษาสัตว์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nareeporn Photisard, 2019-11-04 03:48:04

คู่มือการศึกษาสัตว์

คู่มือการศึกษาสัตว์

1

บทท่ี 1 อาณาจกั รสตั ว์

สัตว์ สิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทต่อระบบนิเวศบนโลกนี้อย่างมากมาย พวกมัน
แตกตา่ งจากส่งิ มีชีวติ อ่ืน ๆ ตรงท่เี คลือ่ นที่ได้ว่องไว และไม่สามารถสร้างอาหารกินเองได้
เราสามารถพบสตั ว์ได้ทั้งบนบกและในน้า ทงั้ นา้ จืดและนา้ ทะเล มกี ารด้ารงชีวติ แบบอสิ ระ
และแบบปรสิต

ปัจจบุ ันนกั วทิ ยาศาสตร์คน้ พบและตั้งชื่อให้แก่สตั วก์ ว่าหนึ่งล้านชนิด ในจ้านวน
น้ีมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่าน้ันที่เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง ท่ีเหลืออีก 95 เปอร์เซ็นต์
เป็นสตั ว์ไมม่ ีกระดกู สันหลัง

สัตว์มีความส้าคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศในแง่ของผู้บริโภค ท้าให้เกิดการ
ถา่ ยทอดพลงั งานระหว่างผบู้ ริโภคล้าดบั ตา่ ง ๆ และยงั ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็น
ประโยชนก์ บั พชื ในการสงั เคราะห์แสง จนก่อใหเ้ กดิ ความสมดุลในธรรมชาติ

ค่มู ือนีไ้ ดค้ ดั เลอื กเฉพาะสตั ว์บางไฟลมั ท่ีสามารถพบได้ง่ายตามธรรมชาติ ถึงแม้
ไมค่ รอบคลมุ ทกุ ไฟลัม แต่กส็ ามารถเปน็ ตัวแทนของกลุ่มสัตว์ให้น้อง ๆ ได้รู้จักและสืบค้น
ต่อไป



2

3

1. ไฟลัมพอริเฟอรา (Phylum Porifera) สัตว์ที่ล้าตัวเป็นรูพรุน ได้แก่
ฟองน้า มีท้ังอาศัยอยู่ในน้าจืดและน้าทะเล เป็นสัตว์ชั้นต้่าหลายเซลล์ที่ไม่มีเน้ือเยื่อและ
อวัยวะที่ซับซ้อน เกาะติดอยู่กับที่ มีขนาด รูปร่าง และสีที่หลากหลาย โครงร่าง
ประกอบด้วยหนาม (Spicule) และเส้นใยโปรตีนท่ีสานกันเป็นตาข่ายท่ีเรียกว่า
“สปนั จิน” (spungin)

ฟองนา้ เคลือบบางสีส้ม ฟองน้าเคลือบบางสีเหลอื ง ฟองน้าสีนา้ งิน

ฟองน้าลกู กอลฟ์ ฟองนา้ ครก ฟองน้าหชู า้ ง

ภาพท่ี 1 ลกั ษณะท่ัวไปของฟองน้า

4

2. ไฟลัมไนดาเรีย (Phylum Cnidaria) ได้แก่ แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล
พรมทะเล ปากกาทะเล ปะการงั กัลปังหา และไฮดรอยด์ เป็นกลุ่มสัตว์ท่ีมีล้าตัวอ่อนนุ่ม
แบ่งรูปร่างออกเป็น 2 ลักษณะ คือล้าตัวทรงกระบอก หรือ “โพลิป” (Polyp) มองดู
คล้ายดอกไม้ และล้าตัวทรงร่มหรือ “เมดูซ่า” (medusa) ท้ังสองแบบมีปากอยู่กลาง
ลา้ ตวั ซึ่งล้อมรอบด้วยหนวด ในหนวดมเี ขม็ พษิ (nematocyst) สา้ หรบั จับอาหาร

ปะการังเขากวาง เหด็ ทะเล แสท้ ะเล

แมงกะพรนุ ปากกาทะเล ดอกไมท้ ะเล

3. ไฟลัมแพลทิเฮลมินทิส (Phylum Platyhelminthes) ได้แก่ หนอนตัวแบน
พยาธิใบไม้ พยาธิตัวตืด และพลานาเรีย มีลักษณะล้าตัวอ่อนนุ่ม ไม่เป็นข้อปล้อง มีสอง
เพศในตัวเดียวกัน ส่วนใหญเ่ ป็นปรสติ แต่มีบางชนิดทอี่ ยู่เปน็ อิสระ

หนอนตัวแบน

หนอนตัวแบน หนอนตัวแบน

หนอนตัวแบน หนอนตัวแบน พลานาเรยี

5

ภาพท่ี 2 ลักษณะทัว่ ไปของหนอนตัวแบน

4. ไฟลัมนีมาโทดา (Phylum Nematoda) ได้แก่ พยาธิตัวกลมต่าง ๆ เช่น
พยาธิไสเ้ ดือน ไสเ้ ดอื นฝอย และหนอนในน้าส้มสายชู มลี ักษณะล้าตัวยาว อ่อนนุ่ม ไม่เป็น
ขอ้ ปล้อง มีวงยาวสา้ หรบั จับอาหาร สามารถยืดหดตัวไดม้ าก

ไสเ้ ดือนฝอย พยาธิปากขอ หนอนตัวกลม

5. ไฟลัมแอนนิลิดา (Phylum Annelida) ได้แก่ ไส้เดือนดิน แม่เพรียง
หนอนฉัตร ทากดูดเลือด และปลิงน้าจืด มีลักษณะล้าตัวเป็นปล้อง มีรยางค์ข้างตัว มัก
ฝังตัวอยู่ในเลนทราย บางชนิดขุดรูอยู่ บางชนิดอาศัยอยู่ในท่อท่ีสร้างขึ้นจากเมื อก
ทราย กรวด เศษสาหรา่ ย และเปลือกหอย

บ้งุ ทะเล หนอนฉัตร ไสเ้ ดือน

6

6. ไฟลัมอาร์โทรโปดา (Phylum Arthropoda) ได้แก่ กุ้ง กั้ง ปู เพรียง
แอมฟิพอด แมลง เห็บ ไร ตะขาบ ก้ิงกือ แมงมุม และแมงดาทะเล มีลักษณะล้าตัว
เป็นปล้อง มีเปลือกหุ้มร่างกาย มีขา หรือรยางค์ท่ีมีลักษณะเป็นข้อ หลายชนิดต้อง
ลอกคราบเพอ่ื การเจรญิ เติบโตและสรา้ งเปลือกใหมข่ ึน้

ตั๊กแตนใบไม้ ต๊กั แตนต้าข้าว ผีเสอ้ื
แมงดาทะเล กงุ้ มงั กร

ปูลม

ภาพที่ 3 ลักษณะทางกายภาคของปู

7

7. ไฟลัมมอลลัสกา (Phylum Mollusca) สัตว์ในกลุ่มน้ี ได้แก่ หมึกสาย
หมึกทะเล หอยสองฝา หอยฝาเดียว ทากเปลือย และล่ินทะเล มีลักษณะร่างกายอ่อนนุ่ม
อยู่ภายใน เปลือกแข็ง แต่บางประเภทไม่มีเปลือกหุ้มตัว เคล่ือนท่ีโดยใช้กล้ามเน้ือ
คบื คลาน ขดุ หรอื วา่ ยน้า อาศยั อยู่ในท้งั นา้ จดื และน้าทะเล

หมึกกล้วย หอยแปดเกลด็ หอยเต้าปนู

ทากทะเล หอยมือเสือ หอยเจดยี ์

ภาพท่ี 4 ลักษณะท่ัวไปของหอยฝาเดียวและหอยสองฝา

8

8. ไฟลมั เอไคโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata) สตั วท์ ะเลในกลุ่มน้ี
ได้แก่ ดาวทะเล ดาวเปราะ ดาวขนนก เม่นทะเล เหรียญทะเล และปลิงทะเล
มรี ะบบ ทอ่ น้าทีใ่ ช้สา้ หรบั เคลอื่ นท่ี จับอาหาร ใช้หายใจ และรับความรู้สึก บางพวกอาจ
มีโครงร่างแขง็ บางพวกมีผวิ ออ่ นนุม่ แตม่ สี ารประเภทแคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) เป็น
ส่วนประกอบในเนอื้ เยือ่

เมน่ ด้าหนามยาว ดาวขนนกทะเล ดาวทะเลหนาม
ใหญ่

ดาวเปราะ ปลิงทะเลตัวแข็ง เหรียญทะเล

ภาพที่ 5 ลักษณะทัว่ ไปของเม่นทะเล

9

9. ไฟลัมคอร์ดาตา (Phylum Chordata ) สัตว์ในกลุ่มนี้ได้แก่ ปลา เพรียง
หัวหอม ลิง สุนัข เก้ง กวาง วัว และควาย มีแกนที่ค่้าร่างกายให้คงรูปเรียกว่า
“โนโตคอร์ด” (notochord) ซึ่งพบในกลุ่มสัตว์ท่ีมีกระดูกสันหลังและมนุษย์ ในระยะท่ี
เป็นตัวอ่อนหรือตัวเต็มวัย อย่างน้อยช่วงใดช่วงหน่ึงของชีวิต หรือต้ังแต่เป็นตัวอ่อน
จนกระทง่ั เปน็ ตัวเต็มวัย

เพรยี งหัวหอม ปลาการต์ นู เตา่ กระ

กบหนอง งูเขียวกาบหมาก หมปู ่า

ภาพท่ี 6 ลกั ษณะท่ัวไปของปลา

สตั ว์เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ ส่ิงมีชวี ติ ที่สามารถด้ารงชีวิตได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการ
หาอาหารด้วยตนเอง ดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปแตล่ ะชนดิ

10

บทที่ 2 วธิ กี ารเก็บตวั อยา่ งสตั ว์

1. การศกึ ษาความหลากหลายของสัตว์
นักวิทยาศาสตร์ จะต้องระบชุ นิดของสง่ิ มีชวี ติ นัน้ โดยการสร้างเคร่ืองมือส้าหรับ

ตรวจหาและระบุชนิดหรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตว่าเคยจัดหมวดหมู่หรือต้ังชื่อไว้แล้วหรือยัง
หากพบวา่ เปน็ สิ่งมีชวี ิตทไ่ี ม่เคยถกู จัดหมวดหมูห่ รอื ตัง้ ชื่อมาก่อน ก็จะศกึ ษาเพอื่ จัดจ้าแนก
และตง้ั ชือ่ ต่อไป

1.1 การศึกษาสตั วบ์ กหรอื สตั วป์ า่
(1) การส้ารวจทางตรง (Direct count) การเดินส้ารวจสัตว์ในแต่ละพ้ืนที่
เพื่อให้พบเห็นตัว หรือการจ้าแนกโดยพิจารณาจากร่องรอยและหลักฐานต่าง ๆ เช่น
รอยเท้า กองมลู ขน รอยกัดกินใบไม้ เสียงร้อง รัง แหล่งที่อยู่อาศัย เป็นต้น รวมท้ังการ
ดักจับโดยใชก้ รงสา้ หรับสัตวเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนมขนาดเล็ก และการดักตาข่ายส้าหรับนกและ
สตั ว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนมจ้าพวกค้างคาว บันทกึ จา้ นวนครงั้ ที่พบเห็นสัตวป์ า่ แต่ละชนิด
(2) การส้ารวจทางอ้อม (Indirect count) โดยการสอบถาม (Inquiry) จาก
ชาวบ้านซ่ึงอาศัยหรือปฏิบตั ิงานอยูใ่ นพืน้ ท่ี

(3) ศึกษาแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัยของสัตว์ป่า โดยสังเกตจากการ
สา้ รวจภาคสนาม เช่น โพรง ถ้า รู เปน็ ตน้

(4) วิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ เช่น ชนิด ความชุกชุม สถานภาพของสัตว์
สภาพถิ่นท่ีอยู่อาศัย แหล่งอาหารและแหล่งด้าเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อตรวจสอบ
สถานภาพปจั จบุ ันของสตั ว์ป่า
- ความหลากชนิด (Species diversity) การวเิ คราะหช์ นดิ ของสัตว์เพื่อให้ทราบวา่ มีสัตว์
กลมุ่ ใดบา้ ง แต่ละกลุ่มมกี ช่ี นดิ ประกอบดว้ ยชนิดอะไรบา้ ง โดยจัดท้าเปน็ บัญชีรายชอื่ สัตว์
อา้ งอิงตามโครงการส้ารวจความหลากหลายทางชีวภาพในพ้ืนที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์
ปา่ และพนั ธ์พุ ืช พ.ศ. 2554

11

1.2 การศึกษาสัตวห์ นา้ ดิน
1.2.1 การรวบรวมและจาแนกสัตวห์ น้าดิน

รวบรวมตวั อย่างสัตว์หน้าดินโดยใช้เครื่องมือ Ekman dredge ขนาด 15 x 15
เซนติเมตร หรือตารางสุ่ม ขนาด 25 x 25 เซนติเมตร สุ่มเก็บตัวอย่างดินจ้านวน 3 จุด
แต่ละจุดส้ารวจสุ่มเก็บตัวอย่าง 3 ครั้ง แล้วน้ามาร่อนโดยใช้ตะแกรงร่อนขนาดช่องตา
0.5 มิลลิเมตร น้าตัวอย่างสัตว์หน้าดินท่ีได้เก็บรักษาในน้ายาฟอร์มาลินความเข้มข้น
10 เปอร์เซ็นต์ หรือแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่ชนิดของสัตว์หน้าดิน เพื่อน้าไป
วิเคราะห์ชนิดในห้องปฏิบัตกิ าร

1.2.2 การเกบ็ ตัวอยา่ งดิน
รวบรวมตัวอย่างดินทุกจุดส้ารวจ น้าดินมาหาปริมาณสารอินทรีย์ (organic
matter)โดยวิธขี อง Walkley - Black method (Allison, 1965)

1.2.3 การวเิ คราะหค์ ณุ ภาพนา
วิเคราะห์คณุ ภาพของน้าในบรเิ วณจดุ สา้ รวจ โดยการวิเคราะหห์ าคา่ ต่าง ๆ ดังนี้

- อุณหภูมินา้ (water temperature) โดยใช้ เทอร์โมมเิ ตอร์ หนว่ ยเป็นองศาเซลเซยี ส
- ความเปน็ กรดเป็นด่าง (pH) โดยใช้ เครื่องวดั ความเป็นกรด ด่าง (pH – meter)
- ปริมาณออกซิเจนละลาย (dissolved oxygen) โดยใช้วิธี akaliazide

modification หน่วยเปน็ มลิ ลิกรมั ตอ่ ลติ ร
- ความเปน็ ด่างของน้า (alkalinity) โดยวธิ กี ารไตเตรท หนว่ ยเป็นมลิ ลิกรมั ต่อลิตร
- ความเค็ม (salinity) โดยใช้ เคร่ืองวัดความเค็มโดยใช้การหักแหของแสง

(Refractometor) หน่วยเป็น psu
- แอมโมเนีย (ammonia, NH3) โดยวิธี phenol-hypochlorite หน่วยเป็น

มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลิตร
- ไนไตรท์ (nitrite,NO2-) โดยวธิ ี diazotization หนว่ ยเปน็ มลิ ลกิ รมั ต่อลิตร

12

1.3 การศกึ ษาสัตว์นา ปลา และอน่ื ๆ
1.3.1 การรวบรวม
1. เก็บโดยใช้เครื่องดักจับ เช่น ใชอวน หรือสวิง ไซ ลอบสา้ หรบั เก็บ
ตวั อย่าง เป็นต้น
2. เกบ็ จากเรือประมงเช่นท่าเรือ หรอื ที่ขายตามตลาด
1.3.2 จาแนกสัตว์นา
1. คดั แยกชนดิ ของสตั ว์นา้ ทศี่ กึ ษา
2. นบั จ้านวนของสัตวน์ ้าแต่ละชนดิ
3. บันทึกลักษณะภายนอกและสีของตัวปลาขณะสดโดยการ

ถายภาพ และเกบ็ รักษาตัวอยา่ งพรอมท้ังบันทกึ ขอมลู กา้ กับตัวอยางส้าหรับท้าการศึกษา
โดยละเอยี ดในหองปฏบิ ตั กิ ารตอไป

1.4 การศึกษาแมลง
1.4.1 การเกบ็ แมลง
การเลือกพืนท่ี เลือกพ้ืนท่ีในป่าโดยคัดเลือกไว้ให้สามารถใช้เป็นตัวแทนของ

สภ าพป่านั้นได้พื้นท่ีที่คัดเลือกค วร จ ะอยู่ห่างจ ากแนวเขตข อง ป่าช นิดน้ันอย่าง น้อย
1 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบจากอิทธิพลของแนวเขตป่าต่อแมลงท่ีจะเก็บตัวอย่าง
(edge effect) อย่าวางแนวเส้นทางสา้ รวจผ่านแนวช่องว่างขนาดใหญ่ของพุ่มไม้หรือวาง
แนวเส้นทางส้ารวจผ่านแม่น้าหรือใกล้แหล่งน้าเกินไป และไม่ควรวางแนวเส้นส้ารวจ
ขนานไปกับแนวสันเขาหรอื ขนานกบั แนวแม่น้า

การวางแนวเสน้ สารวจ เรม่ิ โดยการใช้เชือกยาว 100 เมตร วางกลางแนวเส้น
ส้ารวจ 100 เมตร และแบ่งช่วงเส้นทางส้ารวจเป็น 20 ช่วง ช่วงละ 5 เมตร ดังนั้นจะมี
ชว่ งสา้ รวจตงั้ แต่ 1-20 ช่วง การวางแนวส้ารวจควรจะระวังไมใ่ หม้ กี ารรบกวนแนวส้ารวจ

13

การเก็บขอ้ มลู
1. เก็บข้อมูลปลวกตามแนวเส้นทางส้ารวจท่ีแบ่งเป็นช่วง 1-20 ใช้เวลาในการ

เก็บขอ้ มลู แตล่ ะช่วงประมาณ 30 นาที โดยเก็บในพนื้ ท่ี 5 X 2 เมตร
4.2.1 การใชต้ ะแกรงร่อน (Sifter and other shifting devices)

2. โดยการวางแปลงส้ารวจ ( quadrat) ขนาด 1x1 เมตร หรือ
50x50 เซนตเิ มตร แล้วแต่วัตถุประสงค์วธิ ีแยกแมลงออกจากดินและซากใบไม้ทับถมโดย
การตกั ดนิ ในแปลงใส่ในถาดตะแกรง ขนาดกว้างประมาณ 20x15 เซนติเมตร รูตะแกรง
ขนาด 4 มิลลิเมตร ร่อนแยกแมลงออกจากดินโดยแมลงจะตกลงบนถาดอลูมิเนียมหรือ
ถาดพลาสติกขาวทร่ี องรับใต้ตะแกรงรอ่ น เมือ่ แยกมดและดว้ งออกจากดินแล้ว ใช้ปากคีบ
คีบมดหรือด้วงใส่ขวดแอลกอฮอล์ 80% โดยใช้หลอดดูดแมลง (aspirators) ดูดมดและ
ดว้ งท่แี ยกออกจากดิน (Ogata and Hung, 2003)

3. การใช้กับดักหลุม (Pitfall-trap) กับดักชนิดน้ีใช้ส้าหรับดักจับแมลงที่เดิน
บนผิวดิน (Gordh and Headrick, 2001) ซึ่งใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพส้าหรับแมลงที่
เปน็ predator พนื้ ดิน เช่น ด้วงดนิ และมด กบั ดักจะประกอบไปด้วยถ้วยพลาสติกขนาด
ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของถ้วยประมาณ 5 เซนติเมตร วิธีติดต้ัง
โดยการฝงั ถ้วยกับดัก ลงในพน้ื ดินให้ปากถว้ ยเสมอบริเวณพ้ืนดิน และรินสารสะลาย เช่น
ethylene glycol และน้า ลงไปในถ้วยประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาตรถว้ ย และอาจจะใช้
เหยอื่ ลอ่ เชน่ มลู สตั วแ์ ขวนด้วยเสน้ ด้าย เพ่ือล่อแมลงให้ตกลงสู่ถ้วยเม่ือแมลงตกลงสู่ถ้วย
แล้ว กจ็ ะไมส่ ามารถขน้ึ มาจากถ้วยไดโ้ ดยมากแล้วมักจะปล่อยให้กับดักอยู่ในพื้นท่ีส้ารวจ
ประมาณ 3 วัน เมื่อเก็บตัวอย่างมดหรือแมลงอื่นๆ ในถ้วยแล้ว ให้ดองด้วยแอลกอฮอล์
80% พรอ้ มท้ังใสบ่ นั ทึกข้อมลู ลงในขวดดองแอลกอฮอล์

1.4.2. การจาแนกชนดิ และการระบุชนิดของแมลง
1) นา้ ตวั อย่างแมลงในดนิ ทีไ่ ด้จากการแยกในขัน้ ต้นของแต่ละแปลงจาก

ภาคสนามมาจ้าแนกออกเป็นอันดับ (Oder) และวงศ์ (Family) โดยใช้กล้อง Stereo
microscope ชว่ ยในการจา้ แนก

14

2) น้าข้อมูลเกี่ยวกับแมลงในดินแต่ละชนิดเปรียบเทียบกับเอกสารอ่ืน ๆ และ
สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มนนั้ ๆ เพ่ือตรวจสอบ ช่ือวิทยาศาสตร์ท่ีถูกต้องของแมลง
ในดินแต่ละตัว

3) น้าตัวอย่างแมลงในดินทั้งหมดไปตรวจสอบความถูกต้องโดยเทียบกับ
ตัวอย่างแมลงในดินของห้องปฏิบัติการกีฏวิทยากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เม่ือท้าจน
ครบทุกพื้นที่ที่ศึกษาแล้วจึงน้าผลการศึกษาที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านความ
หลากหลายและความชุกชุม

15

บทท่ี 3 เคร่อื งมอื
1. เครอื่ งวัดความเค็มแบบกล้องส่อง หรอื Salinity Refractometer
ลักษณะท่ัวไป
เครื่องวัดความเค็มแบบกล้องส่องใช้หลักการหักเหของแสงเป็นตัวช่วยในการ
อ่านค่า ใช้วัดความเค็มที่เป็นของเหลว ช่วงการวัดระหว่าง 0-100 psu (part per
thousand) หรือ 1 ใน 1000 ส่วน โดยที่ความละเอียดอยู่ท่ีขีดละ 10 psu ลักษณะ
หนา้ จอปรซิ ึมทใ่ี ช้อ่านคา่ ความเคม็ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 สเกล ด้านขวามือ คือสเกลค่า
ความเค็มทว่ี ัดได้ และขวามอื คอื ค่าความถว่ งจา้ เพราะ ตามภาพท่ี 1

ภาพที่ 1 ลักษณะเครือ่ งวัดควาเค็มและสเกลอ่านค่าความเคม็
วธิ กี ารสอบเทยี บและการใชง้ าน

1. ควรท้าการสอบเทียบค่ากับน้าบริสทุ ธิเชน่ น้ากลั่นหรอื น้า RO หรือ DI เพ่ือให้ได้
ค่าความแม่นย้าในการวัด โดยการเปิดฝาพลาสติก Daylight Plate แล้วหยด
นา้ กลัน่ หรอื RO สัก 2-3 หยด แล้วปิดฝา ให้น้ากระจายเต็มแผ่น prism แล้ว
รอประมาณ 30 วนิ าที เพือ่ ให้ได้อุณหภูมิหอ้ ง

ภาพท่ี 2 ลักษณะการใชเ้ คร่ืองวัดความเคม็ แบบกลอ้ งส่อง
2. มองผ่านช่องมองกล้อง Eyepiece โดยการส่องไปท่ีมีแสงสว่างเพียงพอ และ

มองตรงกลางเล็นซ์กลอ้ ง จะเห็นในกล้องเป็นสีฟ้าและขาวตัดกัน โดยข้ันตอนน้ี

16

เส้นตัดสขี าวจะอยทู่ ่ี 0 ‰ หรือ 1 SG ถา้ ต้่ากว่าหรอื สงู กวา่ ใหใ้ ช้ไขควงขันสกรู
ต้าแหน่ง Calibration Screw เพื่อปรับให้ตรง (ถ้าเป็นไปได้และต้องการให้
เครอ่ื งวดั คา่ ไดค้ า่ ตรงทสี่ ุด ควรสอบเทียบปรบั คา่ 0 ‰ นท้ี อ่ี ุณหภูมหิ อ้ ง 20 °C )

ภาพท่ี 3 สเกลหน้าจอปกติ ท่ียังไม่มี ภาพที่ 4 สเกลหน้าจอท่ีมีการหยดน้า
การหยดนา้ ลงไป กล่ันขณะสอบเทียบก่อน
น้ามาวัด โดยกอ่ นการน้ามา
วัดความเค็มทุกครั้งต้อง
หยดน้ากล่ันเพ่ือท้าให้ค่า
ความเคม็ เริม่ ตน้ เปน็ 0

3. หลังจากปรับค่าเสร็จ ให้เปิดฝาแล้วเทน้าท้ิง แล้วใช้กระดาษทิชชู่ซับให้แห้ง
จากนนั้ ท้าการวัดน้าท่ีจะน้ามาทดสอบ โดยหยด 2-3 หยด ปิดฝาแล้วอ่านค่าท่ี
ได้จากการวัด

4. ตัวอย่างการอ่านค่าจากรปู ที่ 5 ด้านขวา หากมองเห็นเส้นระดับสีขาวอยู่ท่ีเลข 20
กับ 7 ขีดย่อย ใหอ้ ่านคา่ ทไ่ี ด้เป็น 270 psu หรือ อ่านคา่ ได้เท่าไหร่ เอา 10 ไปคูณ
เช่น 27x10 = 270 psu เป็นต้น ส่วนด้านซ้ายจะเป็นค่าของความถ่วงจ้าเพาะขีด
ย่อยขีดละ 0.001 SG ตามรูปจะอา่ นไดเ้ ท่ากบั 0.019
หมายเหตุ : บางคร้ังหากจะใช้หน่วย psu (practical salinity unit) ซ่ึงเป็นหน่วย
มาตรฐานใหม่ ก็ให้สามารถใชเ้ ทยี บเทา่ กับค่า percent mille (psu) ได้

17

ภาพที่ 5 ตัวอย่างคา่ ที่วดั ได้
ข้อควรระวงั
1. หา้ มจุ่มเครือ่ งมอื ลงในน้า
2. หา้ มน้าไปวดั กับน้ายาหรือสารเคมที ่ีมีฤทธิ์กัดกร่อน
3. ท้าความสะอาดแผ่น Prism ดว้ ยความเบา และ ระมัดระวงั ไม่ให้เกิดรอย
4. เกบ็ รกั ษาไวใ้ นท่อี ากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก

18

2. กระดาษลติ มัส (litmus)
ลกั ษณะทั่วไป

เป็นกระดาษทใี่ ช้ทดสอบสมบัติความเป็นกรด-เบสของของเหลว กระดาษลิตมัสมีสอง
สีคือสีแดงหรือสีชมพู และสีน้าเงินหรือสีฟ้ากระดาษลิตมัส ซ่ึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อ
โดนกรด เปน็ สีเขียวหากโดนสารละลายที่เป็นกลาง และเป็นสีน้าเงินหรือม่วงหากสัมผัส
กบั ดา่ งเป็นกระดาษทใี่ ช้ทดสอบสมบตั คิ วามเป็นกรด-เบสของของเหลว กระดาษลิตมัสมี
สองสคี อื สีแดงหรือสชี มพู และสีน้าเงนิ หรือสฟี ้า

ภาพที่ 6 กระดาษลติ มสั
วธิ กี ารสอบเทยี บและการใชง้ าน

วิธีใช้คือการสัมผัสของเหลวลงบนกระดาษ ถ้าหากของเหลวมีสภาพเป็นกรด (pH < 4.5)
กระดาษจะเปลี่ยนจากสนี า้ เงนิ เป็นสแี ดง และในทางกลับกันถ้าของเหลวมีสภาพเป็นเบส
(pH > 8.3) กระดาษจะเปล่ยี นจากสแี ดงเปน็ สีน้าเงนิ ถ้าหากเปน็ กลาง (4.5 ≤ pH ≤ 8.3)
กระดาษทั้งสองจะไมเ่ ปลี่ยนสี

- สารละลายสามารถเปล่ียนสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้าเงินสารนั้นมีสมบัติ
เป็นเบส ค่า pH มากกวา่ 7

- สารละลายสามารถเปลย่ี นสกี ระดาษลิตมัสจากสีน้าเงินเป็นสีแดง สารน้ันมีสมบัติ เป็นกรด
คา่ pH น้อยกวา่ 7 ส่วนสารละลายท่ีไม่เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสท้ังสีน้าเงินและสีแดง สารนั้นมี
สมบตั ิเป็นกลาง คา่ pH เทา่ กับ 7

19

3. เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)

ภาพท่ี 7 เทอร์โมมเิ ตอร์

เทอร์โมมิเตอร์มีหลายแบบถ้าเป็นเทอร์โมมิเตอร์แบบเซลเซียส ค่าท่ีวัดได้มี
หนว่ ยเปน็ องศาเซลเซียส ( ้C ) ถ้าเป็นเทอร์โมมิเตอร์แบบฟาเรนไฮต์ ค่าที่วัดได้มีหน่วย
เป็นองศาฟาเรนไฮต์ ( ้F ) ส้าหรับประเทศไทยนิยมใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบเซลเซียส
เทอรโ์ มมเิ ตอร์ท่นี ้ามาใช้งาน จะวัดอณุ หภูมิไดต้ ่า้ สดุ และสูงสุดก่ีองศาเซลเซียส หรือองศา
ฟาเรนไฮต์ ขนึ้ อยกู่ ับการออกแบบ เพอื่ นา้ ไปใช้ให้ตรงกับลักษณะงาน เช่น ต้องการใช้วัด
อณุ หภมู ิ 0 ้C - 100 ้C ก็อาจใช้เทอรโ์ มมิเตอรแ์ บบเซลเซียส ซึ่งวัดอุณหภูมิได้ต้่าสุด -10 ้
C และสงู สดุ 110 ้C เปน็ ตน้

วธิ กี ารใช้งาน
1. ในกระเปาะเทอร์โมมิเตอร์จุ่มหรือสัมผัสกับส่ิงที่ต้องการจะวัดอุณหภูมิเสมอ และ

ระมัดระวังไม่ให้กระเปาะแตะด้านข้างหรือก้นภาชนะ ให้ก้านเทอร์โมมิเตอร์ตั้งตรงใน
แนวด่ิง เว้นแตจ่ ะกระท้าไมไ่ ดจ้ ริง ๆ
2. อ่านค่าอุณหภูมิเมื่อระดับของเหลวข้ึนไปจนหยุดน่ิงแล้วขณะอ่านค่าอุณหภูมิ ต้องให้
สายตาอยรู่ ะดับเดยี วกบั ระดบั ของเหลวในเทอรโ์ มมเิ ตอร์

20

ภาพที่ 8 วิธีการมองเทอรโ์ มมเิ ตอร์
3. อ่านอุณหภูมขิ ณะท่กี ระเปาะเทอร์โมมเิ ตอร์ยังสมั ผัสกบั สง่ิ ทวี่ ดั อยู่ เมอ่ื อ่านเสรจ็ แล้วจึง

เอาออกจากการสมั ผัสได้
ข้อควรระวังในการใช้เทอร์โมมเิ ตอร์
1. เนอ่ื งจากกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์บางและแตกงา่ ย เวลาใชจ้ ึงควรระมัดระวังไม่ให้

กระเปาะไปกระทบกบั ของแขง็ ๆ แรง ๆ
2. ไม่ควรใชเ้ ทอร์โมมิเตอรใ์ ช้วดั อุณหภูมทิ แ่ี ตกต่างกนั มาก ๆ ในเวลาตอ่ เนอ่ื งกัน เช่น วัด

ของท่ีรอ้ นจัดแล้วเปล่ยี นมาเป็นวัดของทเ่ี ย็นจดั ทันที เพราะหลอดแก้วจะขยายตัวและ
หดตัวอยา่ งทันทที นั ใดทา้ ให้แตกหกั ได้
3. อย่าใช้เทอร์โมมิเตอรว์ ดั อุณหภูมทิ สี่ งู หรือตา้่ กวา่ สเกลสูงสดุ ต้่าสดุ มาก ๆ
4. เม่อื ใช้เสรจ็ แลว้ ควรล้างท้าความสะอาด เชด็ ให้แหง้ แลว้ เก็บรกั ษาไว้ในท่ปี ลอดภยั

21

4. เวอรเ์ นยี หรอื เวอรเ์ นยี คาลิปเปอร์ (Vernier Caliper)
เวอร์เนยี หรือ เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) เป็นเคร่ืองมือท่ีมีความ
แมน่ ยา้ ท่สี ามารถใช้ในการวัดระยะท้ังภายในและภายนอกอย่างถูกต้อง ตัวอย่างที่แสดง
ด้านล่างเป็นคู่มอื การใชเ้ วอร์เนยี แบบอนาล็อก (Analog) ซ่ึงการวัดจะถกู ตคี วามจากสเกล
โด ย ผู้ ใ ช้ เ วอ ร์ เ นีย ช นิ ด น้ี มี ค วา ม ยา ก ก ว่ า ก า ร ใ ช้ เ วอ ร์ เ นี ย ค า ลิ ป เ ปอ ร์ แ บ บ ดิ จิ ต อ ล ท่ี มี
จอแสดงผลดิจิตอลที่อ่านจะปรากฏข้ึนรุ่นท่ีใช้มีท้ังขนาดอิมพีเรียล (น้ิว) และเมตริก
(มลิ ลิเมตร)
เวอร์เนียแบบอนาล็อก (Analog) ยังคงสามารถซื้อได้อยู่และยังคงเป็นท่ีนิยม
เพราะมีมากราคาถูกกว่ารุ่นดิจิตอล นอกจากน้ีระบบดิจิตอลต้องใช้แบตเตอร่ีในขณะท่ี
แบบอนาล็อก (Analog) ไมจ่ ้าเปน็ ตอ้ งมีแหลง่ พลังงานใด ๆ
วิธกี ารใชง้ าน
1. สว่ นประกอบของเวอรเ์ นยี รค์ าลปิ เปอร์ (Vernier Caliper) แบบอนาล็อก

ภาพท่ี 9 สว่ นประกอบของเวอร์เนยี คาลิปเปอร์

22

2. การอ่านค่าจากเวอรเ์ นยี รค์ าลปิ เปอร์ (Vernier Caliper) แบบอนาลอ็ ก

ภาพท่ี 10 วธิ กี ารอา่ นค่าจากเวอร์เนียคาลิปเปอร์

จากรูป จะสังเกตได้ว่า ตัวเลข 1-10 ในสเกลเลื่อน จะมีขีดส้ันๆอยู่ระหว่าง
ตวั เลข 1-10 และจะเห็นไดว้ า่ เลข 0 เลย เลข 10 มา 9 ขีดนิด ๆ แสดงว่าค่าแรกที่อ่านได้
คือ 19
จากนนั้ ดทู ศนิยมตา้ แหน่งหลงั วา่ ขีดไดในสเกลเล่ือนตรงกับสเกลหลัก จากรูปจะเห็นได้ว่า
ขดี ท่ี 3 ของสเกลเล่อื นตรงกับสเกลหลัก แสดงว่าทศนยิ มคือ 3
*ดงั นั้นค่าท่อี า่ นได้จากรูปคอื 19+3 = 19.3 mm

23

5. เครอ่ื งชัง่ ดิจิตอล (Digital Compact Scale)

วิธีการใช้งาน
1. วางเคร่อื งชัง่ บนพืน้ ราบที่เรียบและมัน่ คง กดปุ่ม ON/OFF
2. รอจนหนา้ จอแสดงตวั เลข “ 0.0 ”
3. กดปุม่ เลือกหน่วยที่จะใช้ Mode เพอ่ื เลือกหน่วย g / oz / lb / kg
4. วางของทีต่ อ้ งการจะชงั่ อ่านคา่ ตัวเลขทีไ่ ด้

ภาพที่ 11 ลักษณะทวั่ ไปของเคร่อื งชงั่ ดจิ ิตอล
5. ปุ่ม MODE ใช้เพื่อเลือกหนว่ ยทีต่ ้องการ เช่น กรัม / ออนซ์ / ปอนด์ / กิโลกรมั
6. ปุ่ม TARE ใช้เพื่อหักน้าหนักของภาชนะก่อนชั่งน้าหนักส่ิงของอย่างเดียว – เปิด

เครือ่ งใช้งานตามทีไ่ ดอ้ ธบิ ายไว้ขา้ งต้น
7. วางแผ่นรองวัสดทุ ่ีจะชง่ั หรือภาชนะใสข่ องบนบรเิ วณชั่งน้าหนกั
8. หนา้ จอจะแสดงน้าหนักของแผ่นรองหรือภาชนะ กดปุ่ม TARE ตัวเลขหน้าจอจะปรับ

เป็น 0 เพื่อพร้อมในการชัง่ น้าหนักจริงของวัตถทุ ต่ี ้องการวัดเท่านน้ั
9. ปุ่ม LIGHT กดเพื่อเปดิ หรือปิดแสงของหนา้ จอ

24

6. เคร่อื งวัดค่าความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งแบบปากกา (PH Meter)

ภาพท่ี 12 ลกั ษณะเคร่ืองวัดคา่ ความเปน็ กรดเป็นด่างแบบปากกา (PH Meter)

วิธีการใชง้ าน
เปดิ เครือ่ งแลว้ นา้ โพรบอเิ ล็กโทรดจมุ่ ลงไปในน้า ใหผ้ วิ น้าอย่ตู รงช่วงระดบั ขดี

ของตวั มิเตอรเ์ พ่อื ใหร้ ะดับนา้ อยใู่ นจดุ ทไ่ี มต่ ื้นเกนิ ไปและลกึ เกินไป จากนนั้ เครอ่ื งจะทา้
การวัดคา่ pH ใหร้ อจนกวา่ ตวั เลขทีห่ น้าจอLCD ของมิเตอรน์ ่งิ เสยี ก่อนใช้เวลาประมาณ
10 วินาที เม่อื ตัวเลขนง่ิ แล้วใหท้ า้ การอ่านคา่ ท่วี ัดได้

การอา่ นคา่ ของpH Meter จะมีตวั เลข 0 - 14 แสดงค่าความเป็นกรดและด่าง
7 มีค่า pH เปน็ กลาง
มากกวา่ 7 จะมคี ่าเป็นด่าง
น้อยกว่า 7 จะมคี า่ เปน็ กรด

วธิ กี ารเก็บตัวอยา่ งน้า
1. เพ่ือเตรียมตัวอย่างน้าท่ีต้องการใช้วัดคา่ ถ้าเป็นนา้ ประปาให้เปิดก๊อกน้าใหไ้ หลทิง้ ชว่ ง

ระยะหนึง่ กอ่ นแลว้ จงึ เกบ็ ตัวอย่างน้านา้ มาตรวจสอบ
2. การเกบ็ ตัวอย่างน้าควรท้าการทดสอบภายใน24ช่ัวโมง เพ่ือความเที่ยงตรงในการวัดคา่
3. น้าในหว้ ย หนอง คลอง บึง แม่นา้ และบ่อเกบ็ น้า ควรเกบ็ ตัวอยา่ งน้าให้ลกึ ประมาณ 50 ซม.


Click to View FlipBook Version