INDIA
วัฒนธรรม
ของ
ประเทศอินเดีย
วัฒนธรรมอินเดีย
อินเดียเป็นสังคมที่มีความหลากหลายด้าน
เชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม
โดยมีศาสนา วรรณะ และภาษา เป็นปัจจัย
หลักกำหนดรูปแบบสังคมและการเมือง
อินเดียมีภาษาราชการกว่า 22 ภาษา ซึ่งฮินดี
เป็นภาษาประจำชาติที่ใช้กันมากที่สุด และ
ใช้ภาษาอังกฤษในวงราชการและธุรกิจ
แม้ว่าประชากรกว่าร้อยละ 82 นับถือศาสนา
ฮินดู แต่มีประชากรที่นับถือศาสนามุสลิม
(13.4%) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ
โลก รองจากอินโดนีเซีย และปากีสถาน อีก
ทั้งยังมีผู้นับถือศาสนาอื่น เช่น คริสเตียน
ซิกข์ พุทธ และเชน การจัดลำดับชั้นทาง
สังคมและอาชีพในอินเดียเป็นการสะท้อน
อิทธิพลของระบบวรรณะ
ระบบวรรณะ
ตั้งแต่สมัยโบราณวรรณะที่สำคัญมี 4 วรรณะ คือ
1) วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ นักบวช ปัจจุบันอาจตีความไปถึงนักวิชาการ นัก
วิทยาศาสตร์และนักการเมือง
2) วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ นักรบ ซึ่งอาจรวมไปถึงข้าราชการ
3) วรรณะแพศย์ ได้แก่ พ่อค้า นักธุรกิจ
4) วรรณะศูทร ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา กรรมกร และคนยากจน ซึ่งสาม
วรรณะแรกเป็นชนชั้นผู้ปกครอง วรรณะสุดท้ายเป็นผู้ถูกปกครองแม้ว่าวรรณะเหล่านี้
เป็นที่เข้าใจทั่วไปในอินเดีย แต่ยังมีการแบ่งวรรณะต่ำสุดในในสังคมฮินดู เรียกกันว่า
เป็นกลุ่มคนอันมิพึงแตะต้อง คือ จัณฑาล หรือเรียกชื่อใหม่ว่า ดาลิต มีความหมายว่า อัน
เป็นที่รักของพระเจ้า ซึ่งเป็นชนชั้นที่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับโอกาสทางสังคมและอาชีพ
น้อยที่สุด ในสังคม การปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายของอินเดียในปัจจุบันได้พยายาม
ลดช่องว่างของสังคมและการกีดกันทางวรรณะเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา และอาชีพ
ให้เท่าเทียมกันในสังคม เช่นมีโควตาพิเศษสำหรับนักศึกษาดาลิตในการเข้า
มหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกด้านวรรณะยังคง
ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ซึ่งสะท้อนออกมาในด้านความคิด วัฒนธรรมและการบริหาร
ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคมอินเดีย
มีผู้เข้าใจว่า “ปรัชญาอินเดีย” หมายถึงปรัชญาฮินดู ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับ
ความเป็นจริง ความหมายที่ถูกต้องของคำว่า “ปรัชญาอินเดีย” ก็คือ หมายถึงปรัชญาทุกสำนักหรือทุก
ระบบที่เกิดขึ้นในอินเดีย หรือที่คิดสร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยศาสดาและนักคิดที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกำลังมีชีวิต
อยู่ในอินเดีย เพราะฉะนั้น ปรัชญาอินเดียจึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะแต่ปรัชญาฮินดู แต่หมายรวมถึง
ปรัชญาอื่นที่ไม่ใช่ปรัชญาฮินดูด้วย เช่น พุทธปรัชญา ปรัชญาเชน เป็นต้น
ปรัชญาอินเดียมีวิธีการเป็นแบบฉบับของตนเอง คือก่อนที่จะเสนอแนวความคิดของตนเอง
ขึ้นมานักปรัชญาหรือนักคิดอินเดียจะเสนอแนวความคิดของนักปรัชญาคนอื่นหรือระบบอื่นเสียก่อน
แนวความคิดของนักปรัชญาคนอื่นหรือระบบอื่นที่เสนอก่อนนี้เรียกว่า ปูรวปักษ์ เมื่อเสนอ
แนวความคิดของคนอื่นขึ้นมาแล้ว ต่อจากนั้น นักปรัชญาคนนั้นก็จะวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่า แนวความ
คิดเช่นนั้นมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องอย่างไร มีความหมายสมควรแก่การยอมรับเชื่อถือหรือไม่ การ
วิพากษ์วิจารณ์โจมตีนี้ เรียกว่า ขัณฑนะ เมื่อได้ยกทรรศนะของคนอื่นขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีชี้ให้
เห็นข้อบกพร่องแล้วนักปรัชญาคนนั้นจึงเสนอแนวความคิดทางปรัชญาของตน พร้อมกับพยายาม
อธิบายให้เห็นว่า ทรรศนะของตนนั้นปราศจากข้อบกพร่องและเป็นทรรศนะที่ถูกต้องอย่างไรบ้าง
ทรรศนะของตนเองที่เสนอขึ้นมาทีหลังนี้เรียกว่า อุตตรปักษ์
ด้วยเหตุที่วิธีการแห่งปรัชญาอินเดียมีลักษณะดังกล่าวมานี้ จึงปรากฏว่าในบันทึกแนวความคิด
ทางปรัชญาระบบต่างๆของอินเดีย นอกจากจะมีแนวความคิดของตนเองโดยเฉพาะแล้ว ยังมีคำวิพากษ์
วิจารณ์โจมตีแนวความคิดของระบบอื่นๆ ปรากฏรวมอยู่ด้วยเสมอ
เทพเจ้าของอินเดีย
ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่องราวและ
ประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่าชาติอื่น และกล่าวกันว่า ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติ
อริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีการนับถือเทพเจ้าและ
มีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะ หรืออารยันนั้น แต่เดิมก็นับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ ต่อมามีการกำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อ
ตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท
ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อน
คริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดิน
แดนแคปปาโดเซีย ในตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ นั่นก็คือ
พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna) และ นาสัตย์
(Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins) นับเป็นชื่อเทพเจ้าที่เก่าที่สุดที่ถูกเอ่ยนาม แสดง
ว่าลัทธิพราหมณ์ มีมายาวนานยิ่งนัก สมัยของพระเวท จึงมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มีมาก่อน
พุทธกาลราว 1,000 ปีและบางตำราบอกว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของพวกอริยกะนั้นมีพระอินทร์ พระ
สาวิตรี พระวรุณ และพระยม (พระสาวิตรี คือ ดวงอาทิตย์) ส่วนอีกตำราหนึ่งกล่าวว่า เทพเจ้า
ที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระพฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม เทพที่พราหมณ์ยกย่องนั้น มี
เพียงไม่กี่องค์ที่ปรากฏอยู่ในพระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ ที่ถือว่ามีฤทธิ์อำนาจมาก
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม อินเดียได้รับอิทธิพลมาจาก
เปอร์เซีย (ลานด้านใน ประตูโค้ง) ที่เมืองหลวง
ใหม่ของพระเจ้าอัคบาร์ คือ ฟาเตห์ปูร์สิครี ใกล้เมือ
งอัครา แสดงสถาปัตยกรรมแบบโมกุลแท้ในการ
สร้างราชวัง สุเหร่า เช่นเดียวกับหลุมศพของพระเจ้า
อัคบาร์ที่สีกันดารา และ วัดโก-แมนดาล ที่โอไดปูร์
แต่งานที่เด่นที่สุด คือ ทัชมาฮัล ประดับด้วยหินมีค่า
บนยอดเป็นหินสีขาว เส้นทุกเส้นเข้ากันได้อย่าง
งดงามกับสวน และน้ำพุ นับเป็นสถาปัตยกรรมที่
งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนั้นมีสุเหร่ามุก
ของเมืองอัครา เกิดนิกายขึ้นหลายนิกายในหมุ่คน
ฮินดู เช่น ตันตริก ซิก มาดวา ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีซากเมืองฮารับปาและโมเฮ
นโจดาโร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมืองอย่างดี มีสา
ธาร- ณูประโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น
ถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งเน้นประโยชน์ใช้สอย
มากกว่าความสวยงาม ซากพระราชวังที่เมืองปาฏลี
บุตรและตักศิลา สถูปและเสาแปดเหลี่ยม ที่สำคัญ
คือ สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริยะ) และสุสาน
ทัชมาฮาล สร้างด้วยหินอ่อน เป็นการผสมระหว่าง
ศิลปะอินเดียและเปอร์เชีย
สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริยะ)
ประติมากรรม
เกี่ยวข้องกับศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูปแบบคันธาระ พระพุทธรูปแบบมถุรา
พระพุทธรูปแบบอมราวดี ภาพสลักนูนที่มหาพลิปุลัม ได้รับการยกย่องว่ามหัศจรรย์
พระพุทธรูปแบบอมราวดี พระพุทธรูปแบบคันธาระ
จิตรกรรม
จิตรกรรมอินเดียตามประวัติศาสตร์
แล้ว วิวัฒนาการมากจากการเขียน
ภาพบุคคลในศาสนาและพระมหา
กษัตริย์ จิตรกรรมอินเดียเป็นคำที่มา
จากตระกูลการเขียนหลายตระกูลที่
เกิดขึ้นในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งมี
ลักษณะแตกต่างกันไปมีตั้งแต่
จิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ของถ้ำ
เอลเลรา (Ellora Caves) ไปจนถึง
งานที่ละเอียดลออของจุลจิตรกรรมของ
จิตรกรรมโมกุล และงานโลหะจาก
ตระกูล Tanjore ส่วนจิตรกรรมจาก
แคว้นคันธาระ-ตักกสิลา
“พระรามกับสีดาในป่า” แบบปัญจาบ ค.ศ. 1780
ภาพจิตรกรรมบนผนังถ้ำอชันตะ
เป็น จิตรกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากจิตรกรรมเปอร์เซียทางตะวันตก จิตรกรรมในอินเดียตะวันออก
วิวัฒนาการในบริเวณตระกูลการเขียนของนาลันทา ที่เป็นงานที่ได้รับอิทธิพลจากตำนานเทพอินเดีย
สมัยคุปตะ และหลังสมัยคุปตะ เป็นสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่ ผนังถ้ำอชัน
ตะ เป็นภาพเขียนในพระพุทธศาสนาแสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถในการวาดเส้นและ
การอาศัยเงามืดบริเวณขอบภาพ ทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกสมจริง
เกี่ยวกับการฟ้อนรำ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม
เพื่อบูชาเทพเจ้าตามคัมภีร์พระเวท ส่วนบท
สวดสรรเสริญเทพเจ้าทั้งหลาย ถือเป็น
แบบแผนการร้องที่เก่าแก่ที่สุดใน สังคีตศิลป์
ของอินเดีย แบ่งเป็นดนตรีศาสนา ดนตรีใน
ราชสำนักและดนตรีท้องถิ่น เครื่องดนตรี
สำคัญ คือ วีณา หรือพิณ ใช้สำหรับดีด เวณุ
หรือขลุ่ย และกลอง
นาฎศิลป์และสังคีตศิลป์
เป็นการแสดงที่มีการใช้ภาษาท่าในการสื่อ
ความหมาย แสดงเพื่อเป็นการแสดงความ
เคารพต่อพระวิษณุ แหล่งกำเนิดอยู่ทางตอน
ใต้ของอินเดีย
Mohiniyattam
วรรณกรรม
วรรณกรรมอินเดียที่มีอิทธิพล ได้แก่ รามายณะ มหาภารตะ คัมภีร์ปุราณะและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ
ธรรมเนียมกษัตริย์ การสืบราชวงศ์ตามแบบธรรมเนียมโบราณของราชวงศ์ในลุ่มแม่น้ำคงคา
วรรณกรรมอินเดียมีอิทธิพลต่อชีวิตชาวบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย โดยการเล่า การอ่าน
นิทานแสดงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในวรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนัง ละครที่มีเนื้อหาของ
วรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดก
ทศกัณฐ์ หรือ อสูรราพณ์ ศัตรูของพระราม รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร หรือ
พระราม จากมหากาพย์ รามายณะ ชาวไทย
รู้จักกันในชื่อเรื่อง รามเกียรติ์
การแพร่ขยายและการถ่ายทอด
อารยธรรมอินเดีย
อารยธรรมอินเดีย แพร่ขยายออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วทวีปเอเชีย โดยผ่านทางการค้า ศาสนา การเมือง
การทหาร และได้ผสมผสานเข้ากับอารยธรรมของแต่ละประเทศจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรม
สังคมนั้นๆ
ในเอเชียตะวันออก พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชาวจีนทั้งใน
ฐานะศาสนาสำคัญ และในฐานะที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะของจีน
ภูมิภาคเอเชียกลาง อารยธรรมอินเดียที่ถ่ายทอดให้เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อพวก
มุสลิมอาหรับ ซึ่งมีอำนาจในตะวันออกกลางนำวิทยาการหลายอย่างของอินเดียไปใช้ ได้แก่ การแพทย์
คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นต้น ขณะเดียวกันอินเดียก็รับอารยธรรมบางอย่างทั้งของเปอร์เชียและ
กรีก โดยเฉพาะด้านศิลปกรรม ประติมากรรม เช่น พระพุทธรูปศิลปะคันธาระซึ่งเป็นอิทธิพลจากกรีก
ส่วนอิทธิพลของเปอร์เชีย ปรากฏในรูปการปกครอง สถาปัตยกรรม เช่น พระราชวัง การเจาะภูเขา
เป็นถ้ำเพื่อสร้างศาสนสถาน
ภูมิภาคที่ปรากฏอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียมากที่สุดคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้า
พราหมณ์ และภิกษุสงฆ์ชาวอินเดียเดินทางมาและนำอารยธรรมมาเผยแพร่ อารยธรรมที่ปรากฏอยู่มี
แทบทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านศาสนา ความเชื่อ การปกครอง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธ ได้
หล่อหลอมจนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้
ความก้าวหน้าทางวิทยาการของอินเดีย
1. ภาษาศาสตร์
2. นิติศาสตร์ หรือ ธรรมศาสตร์
3. แพทยศาสตร์
4. ชโยติษ(ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ คณิตศาสตร์)
จัดทำโดย
นางสาวศิลารัตน์ หาเรือนพืชน์
รหัสนักศึกษา : 16322389
สาขา: การพัฒนาชุมชนเเละสังคม
คณะ :
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา