The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sf2thailand, 2021-10-09 03:56:57

ระบบฐานข้อมูล

ระบบฐานข้อมูล

รายงาน
เรอื่ ง ระบบจดั การฐานขอ้ มลู

เสนอ
อ.สรุ ศกั ด์ิ จนี แฉ่ง

จดั ทำโดย
นายพฤฒนิ นั ท์ พันธ์แุ ตง

ปวส.2/3 เลขท่3ี 1



คำนำ

ผู้เขียนได้จัดทำตำรา เรื่อง ฐานข้อมูลและระบบจัดการฐานข้อมูล เล่มน้ีขึ้นเนื่องจาก
ตระหนักวาฐานข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างย่ิงในการจัดการธุรกิจยุคปจจุบัน การออกแบบ
ฐานข้อมูลการบริหารจัดการฐานข้อมูล รวมถึงภาษาสอบถามเชิงโครงสร้าง หรือ SQL ลวนแลวแต่มี
ความสำคัญยง่ิ ในการบรหิ ารฐานขอ้ มลู ใหมปี ระสทิ ธภิ าพ

เนื้อหาในตําราเล่มน้ีประกอบด้วย ความรูพื้นฐานระบบฐานข้อมูลสถาปตยกรรมระบบฐานข
อมูลแบบจําลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธการออกแบบฐานข้อมูลการเปลี่ยนแผนภาพอีอารเป็นรีเลชัน
กระบวนการแปลงรีเลชันใหอยู่ในรูปปกติการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาสอบถามเชิงโครงสร้าง การ
บริหารรายการ การบรหิ ารฐานขอ้ มูลและแนวทางการจดั การฐานข้อมลู

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงวา ตําราเล่มนี้จะเป็นประโยชนสำหรับนักศึกษาและผู้ที่สนใจทั่วไป
หากมขี อเสนอแนะอื่นๆ ผู้เขยี นยนิ ดีรบั ไปปรับปรงุ ใหตาํ ราเล่มนมี้ ีความสมบรู ณยง่ิ ขน้ึ ตอไป

จดั ทำโดย

นายพฤฒนิ ันท์ พันธ์แุ ตง
9 ตลุ าคม 2564



สารบัน

เร่ือง หนา้
คำนำ.........................................................................................................ก
สารบนั .......................................................................................................ข
......................................................................................................................................
ความหมายของระบบฐานขอ้ มลู ................................................................1
องคป์ ระกอบของระบบฐานขอ้ มลู ..............................................................1-3
ระบบจดั การฐานขอ้ มูล..............................................................................3-4
โปรแกรมจดั การข้อมูล(Data Management Software)......................4
โปรแกรม DBase.......................................................................................4-7
ประโยชนข์ องระบบจดั การฐานขอ้ มลู ........................................................7-10
ดาตา้ เบสเซริ ์ฟเวอร์...................................................................................10
ขอ้ มลู .........................................................................................................10
ผบู้ ริหารฐานข้อมลู .....................................................................................10
รูปแบบของฐานข้อมลู ...............................................................................10-18
แบบจำลองฐานข้อมลู ( Data Model ) ..................................................18-23
ระบบแบบจาํ ลองข้อมูลสารสนเทศ............................................................23-27
ระบบการจดั การ DBMS............................................................................27-30
คำศพั ทพ์ นื้ ฐานเกีย่ วกับระบบฐานข้อมลู ....................................................30
......................................................................................................................................
บรรณานกุ รม.............................................................................................31

1

ความหมายของระบบฐานขอ้ มลู

ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน นำมาเก็บรวบรวมเข้า
ไวด้ ว้ ยกนั อย่างมีระบบและข้อมลู ท่ีประกอบกนั เปน็ ฐานข้อมูลนั้น ตอ้ งตรงตามวัตถปุ ระสงคก์ ารใช้งาน
ขององค์กรด้วยเช่นกัน เช่น ในสำนักงานก็รวบรวมข้อมูล ตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่มาติดต่อ
จนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของสำนักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่สัมพันธ์กันและเป็นที่ต้องการ
นำออกมาใช้ประโยชน์ต่อไปภายหลัง ข้อมูลนั้นอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของสถานที่ หรือเหตุการณ์
ใด ๆ ก็ได้ที่เราสนใจศึกษา หรืออาจได้มาจากการสังเกต การนับหรือการวัดก็เป็นได้ รวมทั้งข้อมูลที่
เป็นตัวเลข ข้อความ และรูปภาพตา่ ง ๆ กส็ ามารถนำมาจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลได้ และท่ีสำคัญข้อมูล
ทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะเราตอ้ งการนำมาใชป้ ระโยชน์ต่อไปในอนาคต

ระบบฐานข้อมูล (Database System) หมายถึง การรวมตัวกันของฐานข้อมูลตั้งแต่ 2
ฐานข้อมูลเป็นต้นไปที่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
และทำให้การบำรุงรกั ษาตวั โปรแกรมง่ายมากขึ้น โดยผ่านระบบการจัดการฐานขอ้ มูล หรือ เรียกย่อ
ๆ ว่า DBMS

องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล

ระบบฐานข้อมูลสว่ นใหญเ่ ป็นระบบที่มีการนำคอมพิวเตอรเ์ ข้ามาชว่ ยในการจัดเกบ็ ข้อมูลโดย
มีซอฟแวร์หรือโปรแกรมช่วยในการจัดการข้อมลู เหล่านีเ้ พื่อให้ไดข้ ้อมูลตามผู้ใช้ต้องการองคป์ ระกอบ
ของระบบฐานขอ้ มูล แบง่ ออกเปน็ 5 ประเภท คือ

1.ฮาร์ดแวร์ ( Hardware ) ในระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพควรมีฮาร์ดแวร์ต่างๆ ท่ี
พร้อมจะอำนวยความสะดวกในการบริหารระบบงานฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น
ขนาดของหนว่ ยความจำความเร็วของหนว่ ยประมวลผลกลาง อปุ กรณ์นำเข้าและออกรายงานรวมถึง
หนว่ ยความจำสำรองที่รองรบั การประมวลผลขอ้ มูลในระบบได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

2.โปรแกรม ( Program ) ในการประมวลผลฐานข้อมูลอาจจะใชโ้ ปรแกรมท่ีแตกต่างกันทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ว่าเป็นแบบใด โปรแกรมที่ทำหน้าที่การสร้างการเรียกใช้ข้อมูลการ
จัดทำรายงานการปรับเปลี่ยนแก้ไขโครงสร้าง การควบคุม หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ระบบ
จัดการฐานขอ้ มลู ( Database Management System ) คือโปรแกรมหรอื ซอฟท์แวร์ท่ีทำหน้าท่ี
ในการจัดการฐานข้อมูลโดยจะเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้ และโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน
ฐานขอ้ มูล

2

3.ข้อมูล ( Data ) ฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างเป็น
ระบบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ร่วมกันได้ ผู้ใช้ข้อมูลในระบบฐานข้อมูล จะมองภาพข้อมูลใน
ลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ใช้บางคนมองภาพของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในสื่อเก็บข้อมูลจริง (
Physical Level ) ในขณะที่ผ้ใู ช้บางคนมองภาพข้อมลู จากการใช้งานของผู้ใช้ ( External Level )

4.บุคลากร ( People )ผู้ใช้ทั่วไป เป็นบุคลากรที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล เพื่อให้งาน
สำเรจ็ ลุล่วงได้เชน่ ในระบบข้อมลู การจองตวั๋ เครอื่ งบนิ
ผู้ใช้ทั่วไป คือ พนักงานจองตั๋วพนักงานปฏิบัติงาน ( Operating ) เป็นผู้ปฏิบัติการด้านการ
ประมวลผล การปอ้ นขอ้ มูลลงเครอ่ื งคอมพิวเตอร์
นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ ( System Analyst ) เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบ
ฐานข้อมลู และออกแบบระบบงานทีจ่ ะนำมาใช้
ผู้เขียนโปรแกรมประยุกต์ใชง้ าน ( Programmer ) เป็นผู้ทำหน้าที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้งานต่าง
ๆ เพ่อื ใหก้ ารจดั เก็บการเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปตามความตอ้ งการของผู้ใช้
ผู้บริหารงานฐานข้อมูล(Database Administrator :DBA ) เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่บริหารและควบคุม
การบริหารงานของระบบฐานข้อมูลทั้งหมด เป็นผู้ที่จะต้องตัดสินใจว่าจะรวบรวมข้อมูลอะไรเข้าสู่
ระบบ จัดเก็บโดยวิธีใด เทคนิคการเรียกใช้ข้อมูล กำหนดระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
การสร้างระบบข้อมูลสำรอง การกู้ และประสานงานกับผู้ใช้ว่าต้องการใช้ข้อมูลอย่างไร รวมถึง
นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ และโปรแกรมเมอร์ประยุกต์ใช้งาน เพื่อให้การบริหารการใช้งาน
เป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

5. ข้นั ตอนการปฏิบตั งิ าน ( Procedures )
ในระบบฐานข้อมูลควรมีการจัดทำเอกสารที่ระบุขั้นตอนการทำงานของหน้าที่การงานต่างๆในระบบ
ฐานข้อมูล ในสภาวะปกติและในสภาวะที่ระบบเกิดปัญหา( Failure)ซึ่งเป็นขั้นตอนการปฏิบัติงาน
สำหรับบุคลากรทกุ ระดบั ขององคก์ ร
หน่วยของข้อมูล

หน่วยของข้อมูลคอมพิวเตอร์สามารถจัดเรียงเป็นลำดับชั้น จากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่ได้
ดงั น้ี

- บิต (bit) เลขฐานสองหนงึ่ หลักซึง่ มคี ่าเปน็ 0 หรอื 1
- ตวั อกั ษร (character) กลมุ่ ขอ้ บติ สามารถแทนค่าตัวอักษรได้ ในชดุ อกั ขระASCII 1 ไบต์ (8
บติ ) แทน 1 ตัวอกั ษร
- เขตข้อมูล (field) เขตข้อมลู ซง่ึ ประกอบด้วยกลุ่มตัวอักษรทแี่ ทนข้อเท็จจรงิ

3

- ระเบียน (record) คือโครงสร้างขอ้ มลู ทแี่ ทนตัววัตถชุ ้นิ หน่ึง เชน่ ระเบยี นนักเรียน

- แฟม้ (file) ตารางทีเ่ ป็นกลุม่ ของระเบยี นทม่ี โี ครงสร้างเดียวกนั

- ฐานข้อมูล (database) กลุ่มของตารางทมี่ ีความสมั พนั ธก์ ัน

หน่วยวดั ความจุของหนว่ ยความจำทางคอมพิวเตอร์

8 bits =1 Byte :B

1,024 Bytes =1 Kilo Byte : KB

1,024 KB =1 Mega Byte : MB

1,024 MB =1 Giga Byte : GB

1,024 GB =1 Tera Byte : TB

หมายเหตุ Kilo = 210 = 1,024

ระบบจัดการฐานข้อมูล

ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หมายถึง ซอฟต์แวร์หรือ
โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการข้อมูล หรือรายการต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูล โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ
สร้างสภาวะแวดล้อมที่สะดวกและมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและจัดเก็บข้อมูล แปลความต้องการ
ของผู้ใช้ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถทำงานได้กับฐานข้อมูล ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่าง
รวดเร็ว ซึ่งโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้มีอยู่หลายโปรแกรมด้วยกัน เช่น Dbase, FoxPro,
Access, SQL Server, Oracle เป็นต้น โดยแต่ละโปรแกรมจะมีความสามารถท่ีแตกต่างกัน บาง
โปรแกรมใช้งานได้ง่ายแต่ก็จะจำกัดขอบเขตการใช้ บางโปรแกรมใช้งานยากกว่า แต่จะมี
ความสามารถในการทำงานมากกว่า ซึ่งก่อนที่ผู้ออกแบบจะนำฐานข้อมูลที่ได้ออกแบบไปใช้งานบน
โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลของบริษัทใดก็ตาม จะต้องเข้าใจการใช้เครื่องมือ และวิธีการควบคุมการ
ทำงานเบื้องต้น ต้องศึกษาโปรแกรมจัดการฐานข้อมลู ที่จะเลอื กใช้ว่ามีขอ้ จำกัดอย่างไรบ้าง ค่าใช้จา่ ย
ต่างๆ ที่จะเสียไปในการติดตัง้ การซ่อมบำรุง ซึ่งแต่ละโปรแกรมจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับขนาด
และขอบเขต บางโปรแกรมสามารถทำงานได้ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เช่น Dbase, FoxPro,
Access ส่วนโปรแกรมยจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องมีคอมพิวเตอร์ทำงานโดยเฉพาะที่เรียกว่า
เซิร์ฟเวอรร์ องรับการใชง้ านที่มีผใู้ ช้หลายคน เชน่ SQL Server, Oracle หรอื DB2 เปน็ ต้น

4

หน้าที่ของระบบจัดการฐานขอ้ มลู มดี ังน้ี
1.กำหนดมาตรฐานขอ้ มลู
2. ควบคมุ การเข้าถึงขอ้ มลู แบบต่าง ๆ
3. ดแู ล-จัดเกบ็ ข้อมูลใหม้ ีความถูกตอ้ งแมน่ ยำ
4. จดั เรื่องการสำรอง และฟน้ื สภาพแฟม้ ข้อมลู
5. จัดระเบียบแฟ้มทางกายภาพ (Physical Organization)
6.รักษาความปลอดภยั ของข้อมลู ภายในฐานขอ้ มูล และปอ้ งกันไม่ใชข้ ้อมูลสญู หาย
7. บำรงุ รักษาฐานข้อมลู ให้เปน็ อิสระจากโปรแกรมแอพพลิเคชนั อืน่ ๆ
8.เชือ่ มโยงขอ้ มูลท่มี คี วามสัมพันธเ์ ข้าด้วยกัน เพ่อื รองรับความตอ้ งการใชข้ ้อมลู ในระดบั ต่าง ๆ

โปรแกรมจัดการข้อมูล(Data Management Software)

โปรแกรมจัดการข้อมูล คือ โปรแกรมสำหรับการสร้าง จัดการ และรวบรวมข้อมูลจากไฟล์
ต่างๆ โดยมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสร้างระบบสารสนเทศต่างๆ ได้ เพื่อให้ข้อมูลถูก
จัดเกบ็ ในรปู แฟ้มข้อมูล

ปัจจุบนั ความตอ้ งการใช้ข้อมูลเพ่ิมขึ้นอยา่ งรวดเรว็ และเพอื่ ให้ได้ข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์
ปจั จุบันมากทสี่ ุด จึงทำใหม้ ีการนำฐานขอ้ มูลมาประยุกตใ์ ช้ในส่วนงานต่างๆ เพ่ิมมากข้นึ

โปรแกรม DBase

เป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่ทำงานบน DOS เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายมีเครื่องมือ
อำนวยความสะดวกต่อการเขียนโปรแกรม เช่น Report, Screen และ Label เป็นต้น และข้อมูล
รายงานที่อยู่ในไฟล์บน Dbase จะสามารถประมวลผลในโปรแกรม Word Processor ได้ รวมถึง
Excel ก็สามารถอ่านไฟล์ .DBF ที่สนร้างขึ้นโดยโปรแกรม Dbase ได้ด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้
งานได้อย่างกว้างขวาง มีการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับเริ่มจาก Dbase I ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 บิต
โดยทร่ี ะยะแรกเครื่อง 16 บิต ยังไมแ่ พร่หลายและยังมีราคาแพงอยู่ ตอ่ มาเมือ่ มีผู้เร่ิมใช้เครื่อง 16 บิต
มากขน้ึ จึงมีการพฒั นา Dbase II ให้สามารถใช้กับเครื่อง 16 บิตได้ เม่อื ความนยิ มและความสามารถ
ของเครื่อง 16 บิตมากขึ้น จึงได้มีการปรับปรุงให้มีความสามารถมากขึ้น มีการแก้ไขเพิ่มเติมคำส่ัง
และฟังก์ชั่นต่างๆ เป็น Dbase III และ Dbase III PLUS ตามลำดับ ภายหลังเมื่อมีการใช้งาน
Windows กนั อย่างแพร่หลาย Dbase ก็มกี ารพัฒนาใหส้ ามารถใชง้ านบน Windows ไดด้ ว้ ย

5

โปรแกรม Microsoft Access

เป็นโปรแกรมที่ใช้จัดการกับฐานข้อมูล สามารถจัดการกับข้อมูลปริมาณมากๆ ได้อย่าง
ง่ายดาย ทั้งในแง่การจัดเก็บข้อมูล การค้นหาข้อมูล การจัดทำรายงานข้อมูล การสำรองข้อมูล
สามารถสร้างแบบฟอร์มที่ต้องการเรียกดูในฐานข้อมูล หลังจากบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูลเรียบร้อย
แล้ว สามารถค้นหาหรือเรยี กดูข้อมลู ใดกไ็ ด้นอกจากนี้ ยังมีระบบรกั ษาความปลอดภัยของข้อมลู โดย
การกำหนดรหัสผ่านเพื่อป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลในระบบได้ด้วย โปรแกรม Microsoft
Access นั้น เป็นที่นิยมใช้อย่างมากในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมากๆ ทั้ง
งานทั่วไป ในสำนักงาน เช่น งานด้านบัญชี งานบุคคล คลังสินค้า รวมถึงงานที่เกี่ยวข้องกับ
อนิ เทอร์เนต็ เชน่ การเก็บขอ้ มูลผ้ใู ช้งานเวบ็ ไซต์ รวมไปถึงการทำธุรกจิ ผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ ดว้ ย

โปรแกรม Microsoft SQL Server

เปน็ โปรแกรมจดั การฐานข้อมูลเชงิ สมั พนั ธ์ ใชช้ ว่ ยงานผบู้ รหิ ารงานระบบฐานข้อมูลให้ทำงาน
ได้ง่ายขึ้น และรองรับการทำงานกับระบบงานขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดเดก็บ
และวิเคราะห์ข้อมูลที่มี่ความยืดหยุ่นต่อการนำไปใช้ จึงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น
องค์กรธุรกิจขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งโปรแกรม Microsoft SQL Server นั้น มีหลาย
เวอร์ชั่นตามลักษณะการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานฐานข้อมูลที่มีขนาดเล็ก ใช้ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ตลอดจนสามารถรองรับการทำงานของระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทำงาน
พร้อมๆ กันได้หลายคน สนับสนุนนการทำงานของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่มีขนาดโปรเซสเซอร์สูง ๆ ซึ่ง

6

นอกจากรองรับการทำงานทั่วไปในองค์การต่างๆ แล้ว ยังสนับสนุนการทำงานด้านพาณิชย์
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และอินเทอร์เนต็ อยา่ งครอบคลุม

โปรแกรม FoxPro

เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด เนื่องจากใช้ง่ายทั้งวิธีการเรียกจากเมนูของ
FoxPro และประยุกต์โปรแกรมขึ้นใช้งาน โปรแกรมที่เขียนด้วย FoxPro จะสามารถใช้กลับ dBase
คำสั่งและฟังก์ชั่นต่าง ๆ ใน dBase จะสามารถใช้งานบน FoxPro ได้ นอกจากนี้ใน FoxPro ยังมี
เครอ่ื งมือช่วยในการเขียนโปรแกรม เช่น การสร้างรายงาน

โปรแกรม Oracle

Oracle คือ โปรแกรมจดั การฐานข้อมลู ผลิตโดยบรษิ ัทออราเคิล ซึง่ เปน็ โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลเชิง
สัมพันธ์ หรือ DBMS (Relational Database Management System) ตัวโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
คอยติดต่อ ประสาน ระหว่างผู้ใช้และฐานข้อมูล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฐานข้อมูลได้สะดวกขึ้น เช่นการ
ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ภายในฐานข้อมูลที่ง่ายและสะดวก โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างภายในของ
ฐานขอ้ มูลสามารถเขา้ ใชฐ้ านข้อมลู นั้นได้

7

ประโยชน์ของระบบจดั การฐานขอ้ มูล

ในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับระบบฐานข้อมูลกันมาก เนื่องจากระบบ
ฐานขอ้ มลู มีประโยชนด์ ังตอ่ ไปน้ี
1.ลดความซ้ำซ้อนของขอ้ มลู

เนื่องจากการใช้งานระบบฐานข้อมูลนั้นต้องมีการออกแบบฐานข้อมูลเพื่อให้มีความซ้ำซ้อน
ของข้อมูลน้อยที่สุด จุดประสงค์หลักของการออกแบบฐานข้อมูลเพื่อการลดความซ้ำซ้อน สาเหตุที่
ต้องลดความซ้ำซ้อน เนื่องจากความยากในการปรับปรุงขอ้ มูล กล่าวคือถ้าเก็บข้อมลู ซ้ำซ้อนกันหลาย
แห่ง เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลแล้วปรับปรุงข้อมูลไม่ครบทำให้ข้อมูลเกิดความขัดแย้งกันของข้อมูล
ตามมา และยังเปลืองเนื้อที่การจัดเก็บข้อมูลด้วย เนื่องจากข้อมูลชุดเดียวกันจัดเก็บซ้ำกันหลายแห่ง
นัน่ เอง

ถึงแม้ว่าความซ้ำซ้อนช่วยให้ออกรายงานและตอบคำถามได้เร็วขึ้น แต่ข้อมูลจะเกิดความ
ขัดแย้งกัน ในกรณีที่ต้องมกี ารปรบั ปรงุ ข้อมูลหลายแหง่ การออกรายงานจะทำไดเ้ ร็วเทา่ ใดนั้นจึงไม่มี
ความหมายแต่อย่างใด และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันของข้อมูล
แก้ไขไมไ่ ด้ดว้ ยฮารด์ แวร์ ขณะทกี่ ารออกรายงานช้านัน้ ใชค้ วามสามารถของฮารด์ แวรช์ ว่ ยได้
2.รกั ษาความถกู ตอ้ งของข้อมูล

เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลสามารถตรวจสอบกฎบังคับความถูกต้องของข้อมูลให้ได้
โดยนำกฎเหลา่ นัน้ มาไว้ทฐี่ านขอ้ มูล ซง่ึ ถอื เปน็ หนา้ ทข่ี องระบบจดั การฐานขอ้ มลู ท่ีจะจัดการเรอ่ื งความ
ถกู ตอ้ งของข้อมลู ให้แทน แต่ถ้าเป็นระบบแฟม้ ข้อมูลผู้พฒั นาโปรแกรมต้องเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุม
กฎระเบียบต่างๆ( data integrity ) เองทั้งหมด ถ้าเขียนโปรแกรมครอบคลุมกฎระเบียบใดไม่ครบ
หรือขาดหายไปบางกฎอาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและ
พัฒนาโปรแกรมด้วย เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลจัดการให้นั่นเอง เนื่องจากระบบจัดการ
ฐานข้อมูลสามารถรองรับการใช้งานของผู้ใช้หลายคนพร้อมกันได้ ดังนั้นความคงสภาพและความ

8

ถูกต้องของข้อมูลจึงมีความสำคัญมากและต้องควบคมุ ให้ดีเนื่องจากผู้ใช้อาจเปล่ียนแปลงแก้ไขข้อมลู
ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดพลาดกระทบต่อการใช้ข้อมูลของผู้ใช้อื่นทั้งหมดได้ ดังนั้นประโยชน์ของ
ระบบฐานขอ้ มูลในเรอื่ งนี้จงึ มีความสำคัญมาก
3. มคี วามเปน็ อสิ ระของข้อมูล

เนอื่ งจากมีแนวคิดทว่ี ่าทำอย่างไรใหโ้ ปรแกรมเป็นอิสระจากการเปล่ียนแปลงโครงสร้างข้อมูล
ในปัจจบุ ันนถ้ี ้าไมใ่ ช้ระบบฐานข้อมลู การแก้ไขโครงสร้างข้อมูลจะกระทบถึงโปรแกรมดว้ ย เน่ืองจากใน
การเรียกใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบแฟ้มข้อมูลนั้น ต้องใช้โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อเรียกใช้ข้อมูลใน
แฟ้มข้อมูลนั้นโดยเฉพาะ เช่น เมื่อต้องการรายชื่อพนักงานที่มีเงินเดือนมากกว่า 100,000 บาทต่อ
เดือน โปรแกรมเมอร์ต้องเขียนโปรแกรมเพื่ออ่านข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลพนักงานและพิมพ์รายงานท่ี
แสดงเฉพาะข้อมูลที่ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล
ข้อมูลเช่น ให้มีดัชนี ( index ) ตามชื่อพนักงานแทนรหัสพนักงาน ส่งผลให้รายงานที่แสดงรายช่ือ
พนักงานทีม่ ีเงนิ เดือนมากกวา่ 100,000 บาทตอ่ เดอื นซ่ึงแตเ่ ดมิ กำหนดใหเ้ รียงตามรหัสพนักงานนั้นไม่
สามารถพิมพ์ได้ ทำให้ต้องมีการแก้ไขโปรแกรมตามโครงสร้างดัชนี ( index ) ที่เปลี่ยนแปลงไป
ลกั ษณะแบบน้ีเรียกว่าขอ้ มูลและโปรแกรมไม่เปน็ อิสระตอ่ กัน

สำหรบั ระบบฐานขอ้ มูลน้นั ขอ้ มลู ภายในฐานข้อมลู จะเป็นอสิ ระจากโปรแกรมที่เรยี กใช(้ data
independence ) สามารถแก้ไขโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลได้ โดยไม่กระทบต่อโปรแกรมที่
เรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล เนื่องจากระบบฐานข้อมูลมีระบบจัดการฐานข้อมูลทำหน้าที่แปลงรูป (
mapping ) ให้เป็นไปตามรูปแบบท่ีผูใ้ ช้ตอ้ งการ เนื่องจากในระบบแฟ้มข้อมูลนั้นไม่มคี วามเป็นอิสระ
ของข้อมูล ดังนั้นระบบฐานข้อมูลได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาด้านความเป็นอิสระของข้อมูล นั่น
คือระบบฐานข้อมูลมีการทำงานไม่ขึ้นกับรูปแบบของฮาร์ดแวร์ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลและไม่
ขึ้นกับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูล และมีการใช้ภาษาสอบถามในการติดต่อกับข้อมูลภายใน
ฐานข้อมูลแทนคำสั่งของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ทำให้ผู้ใช้เรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลโดยไม่
จำเป็นต้องทราบรูปแบบการจัดเกบ็ ขอ้ มูล ประเภทหรือขนาดของข้อมลู นน้ั ๆ
4. มีความปลอดภัยของข้อมูลสูง

ถ้าหากทุกคนสามารถเรียกดูและเปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลทั้งหมดได้ อาจก่อให้เกิด
ความเสียหายต่อข้อมูลได้ และข้อมูลบางส่วนอาจเป็นข้อมูลที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือเป็นข้อมูลเฉพาะ
ของผู้บรหิ าร หากไม่มกี ารจดั การด้านความปลอดภยั ของข้อมลู ฐานขอ้ มลู ก็จะไมส่ ามารถใชเ้ ก็บข้อมูล
บางสว่ นได้

ระบบฐานข้อมลู ส่วนใหญจ่ ะมีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ดังน้ี

9

· มีรหัสผูใ้ ช้ ( user ) และรหัสผ่าน ( password ) ในการเข้าใช้งานฐานขอ้ มูลสำหรับผู้ใช้
แต่ละคนระบบฐานข้อมูลมีระบบการสอบถามชื่อพร้อมรหัสผ่านของผู้เข้ามาใช้ระบบงานเพื่อให้
ทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาเห็นหรือแก้ไขข้อมูลใน
สว่ นทตี่ อ้ งการปกปอ้ งไว้

· ในระบบฐานข้อมูลสามารถสร้างและจัดการตารางข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูล ทั้งการ
เพิ่มผู้ใช้ ระงับการใช้งานของผู้ใช้ อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเรียกดู เพิ่มเติม ลบและแก้ไขข้อมูล หรือ
บางส่วนของข้อมูลได้ในตารางที่ได้รับอนุญาต ระบบฐานข้อมูลสามารถกำหนดสิทธิการมองเห็นและ
การใช้งานของผใู้ ช้ต่างๆ ตามระดับสทิ ธิและอำนาจการใชง้ านข้อมูลนั้นๆ

· ในระบบฐานข้อมูล ( DBA ) สามารถใช้วิว ( view ) เพื่อประโยชน์ในการรักษาความ
ปลอดภัยของข้อมูลได้เป็นอย่างดี โดยการสร้างวิวที่เสมือนเป็นตารางของผู้ใช้จริงๆ และข้อมูลที่
ปรากฏในวิวจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งจะไม่กระทบกับข้อมูลจริงใน
ฐานขอ้ มูล

· ระบบฐานข้อมูลจะไม่ยอมให้โปรแกรมใดๆ เข้าถึงข้อมูลในระดับกายภาพ ( physical
) โดยไม่ผ่าน ระบบการจัดการฐานข้อมูล และถ้าระบบเกิดความเสียหายข้ึนระบบจัดการฐานข้อมลู
รับรองได้ว่าข้อมูลที่ยืนยันการทำงานสำเร็จ ( commit ) แล้วจะไม่สูญหาย และถ้ากลุ่มงานที่ยังไม่
สำเร็จ ( rollback ) นั้นระบบจดั การฐานขอ้ มูลรบั รองได้ว่าข้อมลู เดมิ ก่อนการทำงานของกล่มุ งานยัง
ไมส่ ญู หาย

· มีการเข้ารหัสและถอดรหัส ( encryption/decryption ) เพื่อปกปิดข้อมูลแก่ผู้ที่ไม่
เกีย่ วขอ้ ง เช่น มกี ารเขา้ รหสั ขอ้ มูลรหัสผา่ น

5. ใช้ข้อมูลร่วมกันโดยมีการควบคุมจากศูนย์กลาง มีการควบคุมการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูล
จากศูนย์กลาง ระบบฐานข้อมูลสามารถรองรับการทำงานของผู้ใช้หลายคนได้ กล่าวคือระบบ
ฐานข้อมูลจะต้องควบคุมลำดับการทำงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เช่นขณะที่ผู้ใช้คนหนึ่งกำลังแก้ไข
ขอ้ มูลสว่ นหนึ่งยังไม่เสรจ็ ก็จะไมอ่ นุญาตให้ผู้ใช้คนอื่นเข้ามาเปล่ียนแปลงแก้ไขข้อมูลน้ันได้ เน่ืองจาก
ข้อมูลที่เข้ามายังระบบฐานข้อมูลจะถูกนำเข้าโดยระบบงานระดับปฏิบัติการตามหน่วยงานย่อยของ
องค์กร ซ่งึ ในแต่ละหน่วยงานจะมีสิทธิในการจัดการข้อมูลไม่เท่ากัน ระบบฐานขอ้ มลู จะทำการจัดการ
วา่ หนว่ ยงานใดใชร้ ะบบจดั การฐานข้อมูลในระดับใดบ้าง ใครเปน็ ผ้นู ำข้อมูลเข้า ใครมีสิทธิแก้ไขข้อมูล
และใครมสี ทิ ธเิ พียงเรยี กใช้ข้อมลู เพ่ือทจี่ ะใหส้ ทิ ธทิ ี่ถูกตอ้ งบนตารางที่สมควรใหใ้ ช้

ระบบฐานข้อมูลจะบอกรายละเอียดว่าข้อมูลใดถูกจัดเก็บไว้ในตารางชื่ออะไร เมื่อมีคำถาม
จากผู้บริหารจะสามารถหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามได้ทันทีโดยใช้ภาษาฐานข้อมูลทีม่ ีประสิทธิภาพมาก

10

คือ SQL ซึ่งสามารถตอบคำถามที่เกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลได้ทันที โดยไม่
จำเป็นต้องเขยี นภาษาโปรแกรมอย่างเช่น โคบอล ซี หรือ ปาสคาล ซึ่งเสียเวลานานมากจนอาจไม่ทัน
ต่อความต้องการใช้ข้อมูลเพ่ือการตัดสินใจของผบู้ รหิ าร

เนื่องจากระบบจัดการฐานข้อมูลนั้นสามารถจัดการให้ผู้ใช้ทำงานพร้อมๆ กันได้หลายคน
ดังนั้นโปรแกรมที่พัฒนาภายใต้การดูแลของระบบจัดการฐานข้อมูลจะสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันใน
ฐานข้อมูลเดียวกันระบบฐานข้อมูลจะแบ่งเบาภาระในการพัฒนาระบบงานถ้าการพัฒนาระบบงานไม่
ใช้ระบบฐานข้อมูล ( ใช้ระบบแฟ้มข้อมูล ) ผู้พัฒนาโปรแกรมจะต้องจัดการสิ่งเหล่าน้ีเองทั้งหมด น่ัน
คือระบบฐานข้อมูลทำให้การใช้ข้อมูลเกิดความเปน็ อิสระระหวา่ งการจัดเก็บข้อมูลและการประยุกต์ใช้
เพราะสว่ นของการจัดเก็บขอ้ มูลจริงถกู ซ่อนจากการใช้งานจริงนน่ั เอง

ดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์

เป็นคอมพิวเตอร์ที่คอยให้บริการการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ระบบ
จัดการฐานข้อมูลทำงานอยูน่ ่ันเอง เพราะฉะนั้นควรเปน็ คอมพิวเตอร์ท่ีมีความรวดเรว็ ในการทำงานสูง
กว่าคอมพิวเตอร์ทใ่ี ช้งานโดยทัว่ ไป

ขอ้ มลู

ข้อมูล คือ เนื้อหาของข้อมูลที่เราใช้งาน ซึ่งจะถูกเก็บในหน่วยความจำของดาต้าเบส
เซิรฟ์ เวอร์ โยจะถกู เรยี กมาใชง้ านจากระบบจัดการฐานข้อมลู

ผู้บริหารฐานข้อมูล

ผู้บริหารฐานข้อมูล คือ กลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่ดูแลข้อมูลผ่านระบบจัดการฐานข้อมูล ซึ่งจะ
ควบคมุ ให้การทำงานเป็นไปอยา่ งราบรน่ื นอกจากนยี้ ังทำหนา้ ที่กำหนดสิทธกิ ารใช้งานข้อมูล กำหนด
ในเรื่องความปลอดภัยของการใชง้ าน พร้อมทัง้ ดแู ลดาต้าเบสเซิร์ฟเวอรใ์ ห้ทำงานอยา่ งปกติด้วย

รูปแบบของฐานข้อมลู

ฐานข้อมูลโดยทั่วไปจะถูกสร้างให้มีโครงสร้างที่ง่ายต่อความเข้าใจและการใช้งานของผู้ใช้ โดยทั่วไป
แล้วฐานข้อมลู ท่ีมีใช้อยู่ในปัจจุบันจะมโี ครงสร้าง 3 แบบด้วยกัน คือ ฐานข้อมูลแบบเชิง สัมพันธ์แบบ
ลำดับขั้นและแบบเครือข่าย ระบบฐานข้อมูลจะมีการเรียกใช้ข้อมูลโดยผู้ใช้หลายกลุ่ม ข้อมูลที่ผู้ใช้
สามารถเรยี กใช้ได้มีการแบ่งระดบั ของข้อมูลออกเป็นระดับต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ข้อมูลของ ผู้ใช้เป็นไป
อย่างเหมาะสม โดยมีระบบจัดการฐานข้อมูล ทำหน้าที่เช่ือมข้อมูลระหว่างข้อมูลในระดับ ต่าง ๆ
เพื่อให้การเรียกใชข้ อ้ มลู มปี ระสิทธภิ าพ

11

คำศัพท์พื้นฐานท่ีเกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล เค้าร่างของฐานข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
ของเอนทิต้ี ระดับของข้อมลู และรูปแบบของฐานข้อมลู ซ่งึ มรี ายละเอยี ด ดงั นี้

1. ศัพท์พ้ืนฐานของฐานขอ้ มูล
• เอนทิตี้ ( Entity ) หรือ ตาราง ( Table ) หรือ รีเลชั่น ( Relation ) คือ การรวบรวมข้อมูล

จดั เก็บ ในรปู ของตาราง 2 มติ ิ
• แอททรบิ วิ ต์ ( Attribute ) คือ รายละเอียดของข้อมลู ในเอนทิตี้ เปน็ ชือ่ เขตขอ้ มูล หรอื ฟิลด์ ( Field )
• ความสมั พนั ธ์ ( Relationship ) คอื ความสมั พันธ์ระหวา่ งเอนทิต้ี ( Entity )
• ทูเพิล ( Tuple ) คือ ค่าของข้อมูลในแต่ละแถว ( Row ) หรือที่เรียกว่า เรคอร์ด ( Record )

คารด์ ินาลิตี้ ( Cardinality ) คอื จํานวนแถวของข้อมูลในแต่ละรเี ลช่ัน หรือจํานวนเรคอร์ดใน
• คียห์ ลัก ( Primary Key ) หรอื คา่ เอกลักษณ์ ( Unique Identifier ) คอื แอททริบิวต์ทมี่ คี ่าของ
• โดเมน ( Domain ) คือ ขอบเขตของค่าของข้อมูลที่ควรจะเป็นในแต่ละแอททริบิวต์

ฐานขอ้ มลู นน่ั เองข้อมลู ไม่ซำ้ กันในแต่ละทเู พลิ

2. เคา้ ร่างของฐานขอ้ มูล ( Database Schema )
ในการออกแบบฐานข้อมูล ต้องระบุช่ือของเอนทิตี้ และรายละเอียดของแต่ละเอนทิต้ีประกอบ

ด้วยแอททริบิวต์อะไรบ้าง มีลักษณะความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้อย่างไร ซึ่งรายละเอียดของ
โครงสร้างของฐานข้อมูลน้ีเรียกว่าเค้าร่างของฐานข้อมูล ( Database Schema ) ส่วนข้อมูลท่ีถูก
บนั ทกึ ลงในฐานขอ้ มูล เรยี กว่า อนิ สแตนซ์ ( Instance หรือ Occurrence ) แสดงดงั ตารางท่ี 2.1
Schema หมายถงึ โครงสร้างขอ้ มลู หรือนยิ ามข้อมลู
Instance หมายถึง เนอ้ื ข้อมลู ที่เกบ็ อยู่ในโครงสร้างข้อมูล

ตารางท่ี 2.1 แสดงโครงสรา้ งของข้อมูลพนกั งานบรษิ ัทแห่งหน่ึง

12

จากตวั อยา่ งตารางที่ 2.1 สามารถอธิบายโครงสร้างของข้อมูล ไดด้ งั น้ี
เค้าร่างของฐานข้อมูล ( Database Schema ) คือ รหัสพนักงาน, ชื่อพนักงาน, ตำแหน่ง,

แผนก, วุฒิการศึกษา
เนื้อข้อมูล ( Instance ) คือ 55001, นางสาวสุดสวย รักงาน, ผู้จัดการทั่วไป, การตลาด,

ปริญญาตรี
เมื่อมีการเรยี กใช้หรอื แกไ้ ขข้อมูลจะทำให้คา่ ของข้อมูล ( Instance ) มีการเปลย่ี นแปลงได้

ตลอดเวลาส่วนเคา้ รา่ งท่ีไดจ้ ากการออกแบบฐานข้อมูล ( Database Schema ) ไม่ควรมกี าร
เปล่ียนแปลง ถ้ามกี ารเปล่ียนแปลงกไ็ มค่ วรให้เกิดข้ึนบ่อยคร้ัง

3. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอนทิตี้
การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์กระทำได้ โดยการกําหนดให้

เอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์กันมีแอททริบิวต์ที่เหมือนกัน และใช้ค่าของแอททริบิวต์ที่เหมือนกันเป็นตัว
ระบขุ ้อมูลในเอนทติ ท้ี ม่ี ีความสัมพนั ธก์ นั

ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งเอนทิตี้ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้
3.1 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ( One-to-one Relationship ) เป็นการแสดง
ความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่ง ว่ามีความสัมพันธ์กับข้อมูลของอีก เอนทิตี้หนึ่ง ในลักษณะท่ี
เปน็ หน่ึงต่อหน่งึ เชน่
ความสมั พนั ธ์ของประชาชนกับหมายเลขรหสั ประจําตวั ประชาชน ซง่ึ ประชาชน 1 คน จะต้องมี
หมายเลขรหัสประจาํ ตวั ประชาชน 1 หมายเลข ซึง่ ไมช่ ำ้ กนั
นักศึกษากับรหัสประจาํ ตวั นักศกึ ษา นักศึกษาแต่ละคนกจ็ ะมรี หัสประจําตัวนักศึกษาไม่ ซํ้ากัน
รถยนต์กับทะเบียนรถยนต์ก็เช่นกัน รถยนต์แต่ละคันก็จะมีหมายเลขทะเบียนไม่ช้ำกัน จึงมี
ความสมั พันธแ์ บบหนงึ่ ต่อหนึ่ง แสดงดังรปู ท่ี 2.1

13

3.2 ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม ( One-to-many Relationship ) เป็นการแสดง
ความสัมพันธ์ของข้อมูลของเอนทิตี้หน่ึง ว่ามีความสัมพันธ์กับข้อมูลหลาย ข้อมูลกับอีกเอนทิตี้หนึ่ง
เชน่

ความสัมพันธ์ของ แผนกกับพนักงาน ซึ่งแผนกแต่ละแผนกจะประกอบไปด้วยพนักงาน ที่
สังกดั อยู่ในแผนกหลายคน

ความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับนักเรียน โรงเรียน 1 โรงเรียน มีนักเรียนหลายคนเรียนอยู่ ใน
โรงเรยี น จงึ มีความสมั พันธ์แบบหนึ่งตอ่ กลมุ่ แสดงดังรูปท่ี 2.2

3.3 ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม ( Many-to-many Relationship ) เป็นการแสดง
ความสมั พนั ธข์ องข้อมลู ของ 2 เอนทิตี้ ในลักษณะแบบกลมุ่ ต่อกลมุ่ เช่น

ความสัมพันธ์ของนักศึกษากับรายวิชา นักศึกษาหลายคน อาจลงทะเบียนเรียนได้หลาย
รายวิชาในการลงทะเบียนเรียนแต่ละภาคเรียน และอาจมีลงทะเบียนเรียนหลายครั้ง จึงมี
ความสัมพนั ธ์แบบกลมุ่ ต่อกลุ่ม

ความสัมพันธ์ของลูกค้า/การสั่งซื้อกับสินค้า ลูกค้าหลายคน อาจซื้อสินค้าได้หลายชนิด ใน
การซ้อื แต่ละครั้งและอาจมกี ารส่งั ซื้อหลายครั้ง จึงมคี วามสัมพันธแ์ บบกล่มุ ตอ่ กลมุ่ ที่ 2.3 แสดงดงั รูป

4. ระดบั ของขอ้ มูล
ระบบฐานข้อมูลเป็นการนําข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกันมารวมกันไว้ในระบบเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้ สามารถใช้
ข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน ผู้ใช้แต่ละคนจะมองข้อมูลในแง่มุม หรือวิว ( View ) ที่ต่างกัน ผู้ใช้
บางคนอาจต้องเรียกใช้ข้อมูลทั้งแฟ้มข้อมูล บางคนอาจต้องการเรียกใช้ข้อมูลเพียง บางส่วนของ

14

แฟม้ ข้อมูล โดยผใู้ ชไ้ ม่จำเปน็ ตอ้ งสนใจว่าการจดั เก็บข้อมลู ท่ีแทจ้ ริงจะเป็นอย่างไร ดังนั้น การเลือกใช้
วธิ จี ดั เก็บข้อมูลท่ีเหมาะสม จึงเปน็ สว่ นท่ีทำให้การเรยี กใชข้ อ้ มูลเกิดประสทิ ธภิ าพ

ระบบฐานข้อมลู มีการเรยี กใช้โดยผู้ใช้หลายกลมุ่ ข้อมลู ท่ีผู้ใชส้ ามารถเรยี กใชไ้ ด้มีการแบง่
ระดับ ของข้อมูลออกเป็นระดับตา่ งๆ เพ่ือให้การใช้ข้อมูลของผใู้ ช้เป็นไปอย่างเหมาะสม แบง่ เป็น 3
ระดับ ดังนี้

4.1 ระดับภายนอกหรอื ววิ ( External Level หรือ View ). เป็นระดบั ของข้อมูลที่อยสู่ ูงที่สดุ
ประกอบไปด้วยภาพที่ผู้ใช้แต่ละคนมองข้อมูล ( View ) เค้าร่างของข้อมูลระดับนเี้ กดิ จากความ
ตอ้ งการข้อมลู ของผู้ใช้

4.2 ระดับแนวคดิ ( Conceptual Level ). เปน็ ระดบั ของข้อมลู ท่ีอย่ถู ัดลงมา อธบิ ายถงึ
ฐานข้อมลู วา่ ประกอบด้วยเอนทติ ้ี โครงสร้างของข้อมูล ความสัมพนั ธ์ของข้อมลู กฎเกณฑแ์ ละ
ข้อจาํ กดั ตา่ งๆ อย่างไร ข้อมลู ในระดับน้ี เปน็ ข้อมูลทผี่ า่ นการวิเคราะหแ์ ละออกแบบโดยผู้บริหาร
ฐานข้อมลู ( DBA ) หรือนกั วิเคราะห์ และ ออกแบบฐานขอ้ มลู เปน็ ระดบั ของข้อมลู ท่ีถกู ออกแบบ
เพ่ือใหผ้ ใู้ ช้ข้อมลู ในระดบั ภายนอกสามารถ เรยี กใช้ข้อมลู ได้

4.3 ระดับภายใน ( Internal level หรอื Physical Level ) เปน็ ระดับของขอ้ มูลท่อี ยู่ล่างสดุ
ซง่ึ ข้อมลู จะถูกเก็บอยจู่ ริงในสื่อบนั ทกึ ข้อมลู มีโครงสร้าง การจดั เก็บข้อมูล รวมถึงการเข้าถึงข้อมลู
ต่างๆ ในฐานข้อมลู เพ่ือดงึ ข้อมลู ทีต่ อ้ งการ แสดงดังรูป ที่ 2.4

จากรูปท่ี 2.4 แสดงให้เห็นว่าฐานขอ้ มูลจะประกอบดว้ ยเคา้ ร่างภายใน 1 ตวั เค้ารา่ งแนวคิด 1 ตวั
และเค้ารา่ งภายนอกไดห้ ลายๆ ตวั

15

5. รูปแบบฐานข้อมูล
ข้อมลู ในฐานข้อมูลโดยท่ัวไปจะถกู สร้างให้มโี ครงสร้างท่ีงา่ ยตอ่ ความเข้าใจและการใช้งานของ

ผใู้ ชโ้ ดยทัว่ ไปแลว้ ฐานขอ้ มลู ทีม่ ีใชอ้ ยใู่ นปัจจบุ นั มี 3 รปู แบบด้วยกนั ดังนี้
1. ฐานขอ้ มลู แบบเชงิ สมั พนั ธ์ (Relational Database)
ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยกลุ่มของเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยข้อมูลของแต่ละ
เอนทติ ้ีจะถูกจัดเกบ็ ข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มติ ใิ นแนวแถว (Row) และแนวคอลัมน์ (Column)
โดยบรรทดั แรกของตารางคือ ชื่อแอททริบิวต์

ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะเชื่อมโยงโดยใช้แอททริบิวต์ที่มีอยู่ในทั้งสองตาราง
เป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลกัน ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นรูปแบบที่ง่าย และนิยมใช้ในปัจจุบัน ตัวอย่าง
รปู แบบฐานข้อมลู เชงิ สัมพนั ธข์ องพนกั งานบริษัทแหง่ หนึ่ง ประกอบดว้ ย 3 ตาราง

ตารางที่ 1 แสดงตัวอยา่ งตารางขอ้ มลู พนักงาน

ตารางที่ 2 แสดงตัวอย่างตารางข้อมลู ตำแหน่ง

16

ตารางที่ 3 แสดงตัวอย่างตารางขอ้ มลู แผนก

2. ฐานขอ้ มูลแบบลำดับขั้น (Hierarchical Database)
เปน็ ฐานข้อมลู ท่นี าํ เสนอขอ้ มลู และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งข้อมลู ในรูปแบบของโครงสร้างต้นไม้

(Tree Structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลําดับขั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา ผู้ท่ี
คิดค้นฐานข้อมูลแบบนี้คือ North American Rockwell โดยใช้แนวความคิดของโปรแกรม
Generalized Update Access Method (GUAM) โครงสร้างของฐานข้อมูลแบบลําดับขั้นจะมี
โครงสร้างของข้อมูลเป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อลูก คือ พ่อ (Parent) 1 คนมีลูก (Child) ได้
หลายคน แต่ลูกมีพ่อได้คนเดียว (ความสัมพันธ์แบบ 1 ต่อ n) หรือแบบพ่อคนเดียวมีลูก 1 คน
(ความสัมพนั ธแ์ บบ 1 ตอ่ 1) ซึง่ จดั แยกออกเป็นลําดบั ขน้ั โดยระดบั ข้นั ที่ 1 จะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
คือ พ่อ ในระดับขั้นที่ 2 และระดับขั้นที่ 3 จะมีกี่แฟ้มข้อมูลก็ได้โดยในโครงสร้างข้อมูลแบบลําดับข้ัน
แตล่ ะกรอบจะมีตวั ช้ี (Pointers) หรอื หวั ลูกศรวิ่งเข้าหาได้ไม่เกนิ 1 หัวกฎควบคุมความถูกต้อง คือ เร
คอร์ดพ่อสามารถมีเรคอร์ดลูกได้หลายเรคอร์ดแต่เรคอร์ดลูกแต่ละเรคอร์ดจะมีเรคอร์ดพ่อได้เพียงเร
คอร์ดเดียวเท่านั้นตัวอย่าง ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ในการขายสินค้า พนักงานขายสามารถขายสินค้า
ให้แก่ลูกค้าได้หลายคน แต่ลูกค้าแต่ละคนต้องซื้อสินค้ากับพนักงาน 1 คน แต่ก็สามารถซื้อสินค้าได้
มากกวา่ 1 อยา่ งขึ้นไป

ลกั ษณะเด่นของรูปแบบฐานข้อมูลแบบลำดับขนั้
- เป็นฐานขอ้ มูลท่มี ีระบบโครงสร้างซับซ้อนน้อยทีส่ ดุ

17

- มีค่าใช้จ่ายในการจัดสรา้ งฐานขอ้ มลู นอ้ ย
- ลกั ษณะโครงสรา้ งเขา้ ใจง่าย
- เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกรายงานแบบ
เรียงลำดับต่อเน่อื ง
- ป้องกันระบบความลับของข้อมูลได้ดีเนื่องจากต้องอ่านแฟ้มข้อมูลที่เป็นต้นกําเนิดก่อน
ข้อจาํ กดั ของรูปแบบฐานข้อมลู แบบลำดบั ขั้น
- มโี อกาสเกดิ ความซ้ำซอ้ นมากที่สดุ เมอื่ เทียบกับฐานข้อมลู แบบโครงสร้างอน่ื
- ขาดความสัมพนั ธร์ ะหว่างแฟม้ ข้อมลู ในรปู เครอื ขา่ ย
- มีความคล่องตัวนอ้ ยกว่าโครงสร้างแบบอื่นๆ เพราะการเรียกใช้ข้อมลู ต้องผ่านทางต้น
กำเนิด (root) เสมอ ถ้าต้องการคน้ หาข้อมลู ซ่งึ ปรากฏในระดับลา่ งๆ แลว้ จะตอ้ งค้นหาทั้งแฟม้
3.ฐานขอ้ มูลแบบเครอื ข่าย (Network Database)
โครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห โดยมีลักษณะโครงสร้าง
คล้ายกับโครงสร้างแบบลำดับขั้น แตกต่างกันตรงที่โครงสร้างแบบเครือข่ายสามารถมีต้นกำเนิดของ
ข้อมูลได้มากกว่า 1 เรคอร์ด การออกแบบลักษณะของฐานข้อมูลแบบเครือข่ายทำให้สะดวกในการ
ค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำเนิดโดย
ทางเดยี ว ขอ้ มลู แต่ละกลุ่มจะเชื่อมโยงกันโดยตวั ช้ี
ขอ้ มลู ภายในฐานข้อมลู แบบนี้สามารถมีความสัมพันธ์กันแบบใดก็ได้อาจเปน็ หน่งึ ต่อหนึ่ง หนึ่งต่อกลุ่ม
หรอื กลมุ่ ต่อกลุ่ม
กฎการควบคมุ ของฐานข้อมลู แบบเครือขา่ ย
โครงสร้างแบบเครือข่ายสามารถยินยอมให้ระดับขั้นที่อยู่เหนือกว่ามีหลายแฟ้มข้อมูลแม้ว่า
ระดบั ขั้นถดั ลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว โดยเรคอรด์ ที่อยู่เหนือกวา่ มีความสัมพนั ธ์กับเรคอร์ดที่อยู่
ระดับล่างได้มากกว่า1เรคอร์ด โดยแต่ละเรคอร์ดสัมพันธ์กันด้วยการลิงค์ (Links) ฐานข้อมูลแบบ
เครือข่ายจะทำให้สะดวกในการค้นหามากกว่าฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหา
ตงั้ แตข่ อ้ มลู ตน้ กำเนดิ โดยทางเดยี ว ข้อมูลแตล่ ะกลุ่มจะเชือ่ มโยงกนั โดยตัวชี้
ตัวอย่างของโครงสร้างข้อมูลแบบเครือข่าย เช่น ร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งส่ัง
สินค้าหลายชนิดจากผู้ผลิตสินค้าหลายๆ บริษัท แล้วนําสินค้าไปเก็บไว้ในคลังสินค้า ซึ่งแสดง
ความสมั พันธ์ของผผู้ ลติ สนิ คา้ และคลังสินคา้ โดยการใชล้ ูกศรเชอ่ื มโยง

18

แสดงโครงสรา้ งฐานขอ้ มูลแบบเครือข่าย

พบว่าผู้ผลิตสินค้ากับสินค้า มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม กล่าวคือ ผู้ผลิตสินค้าแต่ละ
บริษัทสามารถขายส่งสินค้าได้มากกว่า 1 ชนิด และสินค้าแต่ละชนิดก็สามารถสั่งได้จากผู้ผลิตสินค้า
มากกว่า 1 บริษัท ส่วนสินค้ากับคลังสินค้า มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง กล่าวคือ ที่เก็บสินค้าใน
คลงั สินค้าแตล่ ะแห่งจะใช้เกบ็ สนิ คา้ แต่ละชนิดเทา่ นน้ั
สรุป

ระบบฐานข้อมูลมีการเรียกใช้โดยผู้ใช้หลายกลุ่ม ข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ได้มีการแบ่ง
ระดับของข้อมูลออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อให้การใช้ข้อมูลของผู้ใช้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยข้อมูลใน
ฐานข้อมูลจะถูกสร้างให้มีโครงสร้างที่ง่ายต่อความเข้าใจและการใช้งานของผู้ใช้ซึ่งฐานข้อมูลมี
โครงสร้างของฐานข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ฐานข้อมูลแบบ
ลำดบั ขน้ั และฐานขอ้ มูลแบบเครือข่าย ซึ่งโครงสร้างของฐานข้อมลู แต่ละประเภทจะมีลักษณะการจัด
ระดับของข้อมูลแตกตา่ งกัน

แบบจำลองฐานข้อมูล ( Data Model )

แบบจำลองฐานขอ้ มลู แบ่งออกเปน็ 4 แบบ คือ
1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น ( Hierarchical Model ) เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและ

ความสัมพนั ธ์ระหว่างขอ้ มลู ในรปู แบบของ โครงสรา้ งตน้ ไม้ ( tree structure ) เป็นโครงสร้างลักษณะ

19

คลา้ ยตน้ ไม้เปน็ ลำดบั ชัน้ ซึ่งแตกออกเป็นกง่ิ ก้านสาขา หรอื ที่เรียกว่า เป็นการจัดเกบ็ ข้อมูลในลักษณะ
ความสมั พันธแ์ บบ พ่อ-ลูก ( Parent-Child Relationship Type : PCR Type )

คณุ สมบัติของฐานขอ้ มูลแบบลำดับขน้ั
1. Record ที่อยู่ด้านบนของโครงสร้างหรือพ่อ ( Parent Record ) นั้นสามารถมีลูกได้
มากกวา่ หนึ่งคน แตล่ ูก ( Child Record ) จะไม่สามารถมีพ่อไดม้ ากกว่า 1 คนได้
2. ทกุ Record สามารถมคี ุณสมบัติเปน็ Parent Record (พ่อ) ได้
3. ถา้ Record หน่ึงมีลูกมากกวา่ หนึง่ Record แล้ว การลำดบั ความสัมพนั ธ์
ของ Child Record จะลำดับจากซา้ ยไปขวา
ลักษณะเดน่
• เป็นระบบฐานขอ้ มูลท่มี ีระบบโครงสร้างซับซอ้ นน้อยทีส่ ุด
• มคี า่ ใช้จ่ายในการจดั สร้างฐานข้อมลู น้อย
• ลกั ษณะโครงสรา้ งเข้าใจงา่ ย
• เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกงานแบบ
เรียงลำดบั ต่อเนื่อง
• ป้องกันระบบความลบั ของขอ้ มูลได้ดี เนือ่ งจากต้องอ่านแฟม้ ข้อมูลที่เปน็ ตน้ กำเนิดก่อน
ขอ้ เสีย
• Record ลูก ไม่สามารถมี record พ่อหลายคนได้ เช่น นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้
มากกวา่ 1 วชิ า
• มีความยดื หยุ่นนอ้ ย เพราะการปรับโครงสร้างของ Tree ค่อนข้างยุง่ ยาก
• มโี อกาสเกดิ ความซ้ำซ้อนมากทสี่ ุดเมื่อเทยี บกับระบบฐานข้อมูลแบบโครงสรา้ งอ่นื
• หากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา เนื่องจากจะต้อง
เขา้ ถึงทตี่ น้ กำเนดิ ของข้อมูล
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Model) - ลักษณะฐานข้อมูลนี้จะคล้ายกับลักษณะ
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ในลักษณะฐานข้อมูลแบบเครือข่ายนี้สามารถมีต้น
กำเนดิ ของข้อมูลไดม้ ากกว่า 1 และยินยอมให้ระดบั ชั้นท่ีอยู่เหนือกว่าจะมไี ด้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่า
ระดับชัน้ ถดั ลงมาจะมีเพียงแฟม้ ข้อมลู เดียว
- ลกั ษณะโครงสร้างระบบฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะมีโครงสรา้ งของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูล
มคี วามสมั พันธค์ ลา้ ยร่างแห

20

ขอ้ ดี
• ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทัง้ หมด
• สามารถเชอื่ มโยงขอ้ มูลแบบไป-กลับ ได้
• สะดวกในการค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหา
ต้งั แตข่ ้อมลู ตน้ กำเนดิ โดยทางเดียว และการค้นหาข้อมลู มเี งื่อนไขได้มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบ
ลำดบั ชน้ั
3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Model) เป็นการจัดข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติ
คือมี แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) โดยการเชือ่ มโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่
มีอยู่ทง้ั สองตารางเปน็ ตวั เช่อื มโยงข้อมลู
ขอ้ ดี
• เหมาะกับงานทเี่ ลอื กดขู ้อมลู แบบมเี งื่อนไขหลายคยี ฟ์ ิลด์ข้อมูล
• ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์น้ีผูใ้ ช้จะไม่ทราบว่า
การเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไข
ได้ดี
• การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมี
การฝกึ ฝนเพียงเล็กน้อยกส็ ามารถใชท้ ำงานได้
ขอ้ เสีย
• มกี ารแก้ไขปรับปรุงแฟม้ ขอ้ มูลไดย้ ากเพราะผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่าง
แทจ้ ริงเปน็ อยา่ งไร
• มคี า่ ใช้จ่ายของระบบสงู มากเพราะเม่ือมีการประมวลผลคือ การอ่าน เพมิ่ เตมิ ปรบั ปรงุ หรือ
ยกเลกิ ระบบจะต้องทำการสรา้ งตารางขึน้ มาใหม่ ทัง้ ทใ่ี นแฟม้ ขอ้ มูลทแ่ี ทจ้ รงิ อาจจะมีการเปล่ียนแปลง
เพยี งเลก็ นอ้ ย

4. ฐานข้อมลู เชงิ สัมพนั ธ์ (Relational Model) เป็นการจัดข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติ
คือมี แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่
มอี ยู่ทั้งสองตารางเปน็ ตวั เชอ่ื มโยงขอ้ มลู

ข้อดี
• เหมาะกบั งานที่เลอื กดขู อ้ มูลแบบมเี งื่อนไขหลายคยี ์ฟลิ ด์ข้อมูล

21

• ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสรา้ งแบบสัมพันธน์ ี้ผู้ใชจ้ ะไม่ทราบว่า
การเก็บข้อมลู ในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอยา่ งไร จึงสามารถปอ้ งกนั ข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไขไดด้ ี

• การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมี
การฝึกฝนเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำงานได้
ขอ้ เสีย

• มีการแก้ไขปรับปรุงแฟ้มขอ้ มูลได้ยากเพราะผู้ใชจ้ ะไมท่ ราบการเกบ็ ขอ้ มลู ในฐานข้อมลู อย่าง
แท้จรงิ เปน็ อยา่ งไร

• มีค่าใชจ้ ่ายของระบบสงู มากเพราะเม่ือมกี ารประมวลผลคือ การอา่ น เพมิ่ เติม ปรบั ปรุงหรือ
ยกเลกิ ระบบจะตอ้ งทำการสรา้ งตารางข้นึ มาใหม่ ท้ังทใี่ นแฟม้ ขอ้ มูลท่ีแทจ้ รงิ อาจจะมีการเปล่ียนแปลง
เพียงเล็กนอ้ ย
สว่ นประกอบของแบบจำลองขอ้ มลู

ส่วนที่ 1 ส่วนโครงสรา้ ง (Structural) เป็นกลุ่มทป่ี ระอบไปด้วยสัญลักษณ์รวมท้ังกฎระเบียบ
ให้เข้าใจตรงกันในการสร้างฐานข้อมูล เช่น การจดั เกบ็ ข้อมลู ในรูปแบบของตาราง ที่จะตอ้ งประอบไป
ดว้ ยไปด้วย แถวและคอลมั น์

ส่วนที่ 2 ส่วนปรับปรุง (Manipulative) เป็นส่วนที่ใช้ในการกำหนดชนิดของการดำเนินงาน
ตา่ งๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับข้อมูล โดยจะประกอบไปดว้ ย การอปั เดตข้อมลู ปจั จบุ นั จะใชค้ ำสั่ง SQL ในการ
จดั การข้อมลู

ส่วนท่ี 3 ส่วนกฎความคงสภาพ (a set of integrity rules) เป็นส่วนของกฎที่ใช้ในการ
ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความถูกต้องและความแน่นอนของข้อมูลที่
บนั ทกึ ลงในฐานขอ้ มลู
ประเภทของแบบจำลองข้อมลู

แบบจำลองข้อมูล คือ เทคนิคที่นำมาใช้จัดการโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลใน
ระบบ แบ่งออกเป็น 2 รปู แบบ คือ

1. แบบจำลองเชิงแนวคิด (Conceptual Data Models) สำหรับแสดงลักษณะโดยรวมของ
ข้อมูลทั้งหมดในระบบ นำเสนอข้อมูลในรูปแบบของแผนภาพหรือไดอะแกรม (เอ็นติต้ี,ความสมั พันธ์)
จุดประสงค์เพื่อนำเสนอให้ผู้ใช้กับผู้ออกแบบมีความเข้าใจตรงกัน แบบจำลองจะไม่ขึ้นกับ DBMS
สามารถนำไปดดั แปลงให้เขา้ กับ DBMS ได้ในภายหลัง เช่น E-R Diagram

2.แบบจำลองเพื่อการนำไปใช้ (Implementation Data Models) ใช้อธิบายโครงสร้าง
ข้อมูลของฐานข้อมูล จะอิงกับระบบจัดการฐานข้อมูลที่ใช้ เทียบได้กับชนิดของภาษาโปรแกรมซึ่ง

22

สามารถสร้างดว้ ยภาษาระดับสงู ภาษาระดบั ต่ำ หรอื ภาษาเครื่อง แบ่งออกเปน็ 5 ประเภทตารปู แบบ
ของแตล่ ะโครงสรา้ งของฐานขอ้ มลู

คุณสมบัตขิ องแบบจำลองขอ้ มูล
1.แบบจำลองข้อมูลที่ดีต้องง่ายต่อความเข้าใจ ควรใช้กฎทั่วๆไป โดยมีข้อมูลแอตตริบิวต์ที่
อธบิ ายในรายละเอยี ดของแต่ละเอน็ ติต้ี
2.ต้องมสี าระสำคัญและไม่ซำ้ ซ้อน หมายถงึ แอตตรบิ วิ ต์ในแต่ละเอ็นติตี้ไม่ควรมีข้อมูลซ้ำซ้อน
ซึ่งอาจจะใช้วิธีการสร้างเปน็ คยี น์ อก (foreign key) เพอ่ื ใช้ในการอ้างองิ ขอ้ มูลแทน
3.ต้องมีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการปรับปรุงในอนาคต แบบจำลองไม่ควนขึ้นกับตัว
แอปพลิเคชั่น โปรแกรม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อ
โปรแกรมท่ีใช้งานอยู่ หรอื อาจกลา่ วไดว้ ่าข้อมูลมีความเปน็ อสิ ระ ไม่ยดึ ติดกับแอปพลิเคชนั่
พน้ื ฐานการสร้างแบบจำลองข้อมูล (Data Model Basic Building Blocks)
เอ็นติตี้ (Entities) องค์ประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เช่น บุคคล สถานที่ สิ่งของ หรือ
เหตุการณ์ต่างๆ โดยจะถูกเก็บรวบรวมไว้เพื่อการจัดเก็บในฐานข้อมูล เอ็นติตี้ ตัวอย่างเช่น เอ็นติต้ี
ลกู ค้า เอน็ ติต้สี นิ คา้ เอ็นตติ เี้ ท่ยี วบนิ เปน็ ต้น
แอตตริบิวต์ (Attributes) คือ คุณลักษณะของเอ็นติตี้ เช่น เอ็นติตี้ลูกค้า ที่ประกอบไปด้วย
แอตตริบิวต์ รหัสลูกค้า ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ วงเงินเครดิต หรือเป็น ฟิลด์ในระบบไฟล์
นัน้ เอง
ความสัมพันธ์ (Relationships) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นติตี้ โดยแบบจำลองข้อมูลจะ
แบ่งความสมั พนั ธอ์ อกเป็น 3 ชนิดด้วยกนั คือ
1.ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one) เป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละเอ็นติต้ีA มี
ความสัมพันธ์กับข้อมูล B เพียงรายการเดียว จะใช้สัญลกั ษณ์ 1:1 เช่น นักศึกษาจะมีรหัสนักศกึ ษาได้
เพียงรหัสเดยี ว ในทางกลับกนั รหสั นกั ศกึ ษาก็จะเปน็ ของนักศกึ ษา ไดเ้ พยี งคนเดยี วเทา่ นน้ั

2.ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (one-to many) เป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละเอ็นติตี้ A มี
ความสัมพันธ์กับอีกเอ็นติตี้ B มากกว่าหนึ่งรายการและในทางกลับกัน เอ็นติตี้ B มีความสัมพันธ์กับ

23

เอ็นติตี้ A เพียงหนึ่งรายการ จะใช้สัญลักษณ์ 1:M เช่น อาจารย์หนึ่งคนมีนักศึกษาที่ปรึกษาได้หลาย
คน แต่นักศกึ ษาในแตล่ ะคนจะมีอาจารย์ทีป่ รึกษาได้เพยี งคนเดยี ว

3.ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (many-to-many) เป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละเอ็นติต้ีA มี
ความสัมพันธ์กับข้อมูล B มากกว่าหนึ่งรายการและในทางกลับกันเอ็นติตี้ B มีความสัมพันธ์กับเอ็น
ติต้ีA มากกว่าหนึ่งรายการเช่นกัน จะใช้สัญลักษณ์ M:N เช่นนักศึกษาลงทะเบียนเรียนได้หลายวิชา
และวชิ าหน่งึ วิชาก็มีนกั ศกึ ษาลงทะเบยี นเรยี นได้หลายคน

ข้อบังคับ (Constraints) คือกฎเกณฑ์เพื่อการบรรจุข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้การ
จัดเก็บข้อมูลมีความถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ข้อมูลมีความสอดคล้องกัน เช่น นักศึกษาแต่ละคน
สามารถลงทะเบียนเรียนได้หลายหนว่ ยกิต แตก่ ารลงหนว่ ยกิตรวมตอ้ งไมเ่ กนิ 21 หน่วยกติ

ระบบแบบจาํ ลองข้อมลู สารสนเทศ

ในการออกแบบฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศนั้น จะต้องใช้แบบจำลองของข้อมูล เพ่ือ
นำเสนอรายละเอียดที่เกี่ยวที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในฐานข้อมูล เนื่องจากแบบจำลองของข้อมูลจะมี
รูปแบบในการนำเสนอรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลที่มาตรฐาน จึงทำให้สามารถนำเสนอต่อ
ผู้ใช้ในแต่ละระดับที่มีมุมมองที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแบบจำลองข้อมูลหรือ Data Model
จึงหมายถึงแบบจำลองที่ใช้จำลองโครงสร้างข้อมูลทั้งหมดในระบบท่ี ใช้อธิบายความสัมพันธ์ทาง
ตรรกะข้อมูลและเอนทิตีท่ีเกีย่ วข้องกนั ในระบบ โดยจะแสดงข้อมลู ภาพรวมทไ่ี มส่ นใจลักษณะการเก็บ

24

ข้อมูลทางกายภาพ เป็นแบบที่ใช้อธิบายถึงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลภายใน
ฐานขอ้ มูลจากรูปแบบท่ีเป็นแนวคิดที่ยากต่อการเข้าใจให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจและจับต้องได้
ง่ายขึน้ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ

1.Conceptual Model เป็นแบบจำลองเชิงแนวคิดที่ถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการอกแบบ
ฐานข้อมูลเพื่อให้เห็นว่าภายในฐานข้อมูลต้องประกอบด้วยข้อมูลอะไรบ้าง และแต่ละข้อมูลมี
ความสัมพันธ์กันอย่างไรดังนั้นแบบจำลองในกลุ่มมักจะมีลักษณ์ที่ใช้แทนข้อมูล คุณสมบัติของข้อมูล
และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลดังนั้นแบบจำลองกลุ่มนี้จึงมักประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัว
ข้อมูล คณุ สมบัตขิ องขอ้ มูล และความสมั พนั ธต์ ่างๆ แบบจำลองของขอ้ มูลประเภทนีไ้ ดแ้ ก่ ER Model

2. Implementation Model เป็นแบบจำลองที่ถูกนำมาอธิบายถึงโครงสร้างข้อมูลใน
ขน้ั ตอนการสร้างฐานขอ้ มลู แต่ละประเภทที่จำเปน็ ต้องใชแ้ บบจำลองข้อมูลในการนำเสนอเชน่ เดียวกับ
การนำเสนอรายละเอยี ดในดา้ นอ่ืนๆท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานข้อมูล

2.1 แบบจำลองเชิงสมั พนั ธ์ (Relational Model)
แบบจำลองเชิงสัมพนั ธเ์ ปน็ แบบจำลองขอ้ มลู ที่มีพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ โดยนำหลกั การของ
เซ็ตและตรรกะในการคาดคะเนผลมาใช้งาน เป็นการกำหนดการแสดงโครงสร้างข้อมูล วิธีป้องกัน
ข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล แบบจำลองเชิงสัมพันธ์เป็นแบบจำลองทำง่ายต่อการใช้งาน ผู้ใช้
ทั่วไปสามารถงานฐานข้อมูลนี้ได้ เนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับการจดั เก็บข้อมูลในระดบั
กายภาพ นอกจากนก้ี ารแสดงความสัมพันธ์ของข้อมลู ระหวา่ งแฟ้มข้อมลู จะสามารถมองเห็นได้จากตัว
ขอ้ มลู ท่เี กบ็ อยใู่ นแฟม้ ข้อมลู จึงเปน็ แบบจำลองข้อมูลทนี่ ิยมใชก้ นั มากในปัจจุบนั
แบบจำลองเชงิ สมั พันธ์มีลักษณะโครงสรา้ งเปน็ ตารางที่มีความสมั พันธ์กนั โดยแต่ละแถวของ
ข้อมูลในตารางหนึ่งจะเป็นชุดข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งอาจหมายถึงเอนทิตีหรือความสัมพันธ์
ระหว่างเอนทิตีก็ได้ โดยข้อมูลแต่ละแถวเรียกว่า ทูเปิล (Tuple) และชื่อของแต่ละคอลัมน์เรียกว่า แอตทริบิวต์
(Attribute) และในการที่จะใช้แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ออกแบบระบบฐานข้อมูลควรจะต้องรู้จักกับ
ความหมายของคำศัพท์ที่มีการบัญญัติขึ้นใช้กับแบบจำลองประเภทนี้ เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการที่จะ
ออกแบบฐานข้อมลู ต่อไป ดังนี้
1. รีเลชัน (Relation) หรือตาราง เป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลในรูปแบบตาราง 2 มิติ
ประกอบด้วยคอลัมน์และแถว โดยคอลัมน์แสดงถึงคุณลักษณะของรีเลชัน และแถวมีความหมาย
เหมือนระเบียนขอ้ มูล ซ่งึ แต่ละรีเลชันจะมีช่อื รเี ลชนั ใช้อา้ งองิ
2. แอตทริบิวต์ (Attribute) หมายถึง แต่ละคอลัมน์ท่ีอยู่ในรีเลชัน แต่ละแอตทริบิวต์จะมีชอ่ื
กำกับในแต่ละรีเลชัน

25

3. ทเู ปลิ (Tuple) หมายถึง แตล่ ะแถวหรือแตล่ ะรายการข้อมูลในรเี ลชัน
4. ดีกรี (Degree) หมายถงึ จำนวนแอตทรบิ วิ ตข์ องแต่ละรเี ลชัน
5. คารดฺ ินลั ลติ ี (Cardinality) หทายถึง จำนวนทูเปลิ ในแตล่ ะรเี ลชนั
6. โดเมน (Domain) คือ การกำหนดขอบเขตและชนิดของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่
จัดเก็บมคี วามผิดพลาดไปจากความจริง
7. ค่าว่าง (Null Values) ถ้ามีแอตทรบิ ิวต์ใดไม่มีค่าข้อมลู เก็ยอยู่จะเรียกว่าคา่ ว่าง แต่ค่าว่าง
นี้จะไมใ่ ช่ช่องว่างหรือ 0 มนั เป็นการไม่รู้หรือยงั ไม่พร้อมท่ีจะใส่ข้อมูลอะไรลงไปในแอตทริบิวต์น้ัน ซึ่ง
ในตอนหลังเราอาจกลับมาใสใ่ หมไ่ ด้
8. คยี ห์ ลัก (Primary Key) เป็นคยี ์ที่ได้เลอื กมาเพื่อใช้กำหนดให้เปน็ ค่าคยี ห์ ลักของรีเลชันที่มี
คณุ สมบตั มิ คี วามเปน็ หน่ึงเดยี ว ค่าของคียห์ ลักต้องไมซ่ ้ำกันเลย ประกอบด้วยจำนวนแอตทริบิวต์น้อย
ทีส่ ุดที่สามารถเจาะจงทูเปลิ หนงึ่ ในรีเลชนั ได้
9. คีย์นอก (Foreign Key) เป็นแอตทรบิวหรือกลุ่มของแอตทริบิวต์ท่มีความสัมพันธ์กับคีย์
หลักในอีกรีเลชันหรือในรีเลชันเดียวกัน เป็นคีย์ที่ใช้เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อสร้างความสัมพันธ์เข้ากันคีย์
นอกเปรียบเสมือนกาวเชื่อมข้อมูลในรีเลชันหนึ่งซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชัน ซึ่งรี
เลชันหนงึ่ อาจมคี ียน์ อกอยหู่ รอื ไม่ก็ได้ แต่ทุกรเี ลชันจะตอ้ งมีคยี ห์ ลกั เสมอ
2.2 Entity-Relationship Model
Entity-Relationship Model หรือ ER Model เป็นแบบจำลองข้อมูลที่นำเสนอโครงสร้าง
ของฐานข้อมูลในระดับความคิดออกมาในลักษณะของแผนภาพที่โครงสร้างที่ง่ายต่อการทำความ
เขา้ ใจ ทำให้เหน็ ภาพรวมและความสัมพันธ์ของเอนทิตีทั้งหมดในฐานข้อมูลที่เป็นอิสระจากซอฟต์แวร์
ที่ใช้ในการพัฒนาฐานข้อมูลรวมทัง้ รายละเอียดและความสัมพันธร์ ะหว่างข้อมูลในระบบเป็นภาพรวม
ทำให้เป็นประโยชนต์ ่อการรวบรวมและวิเคราะห์รายละเอยี ดความสัมพนั ธ์ของข้อมูล ทำให้ผเู้ ก่ยี วข้อง
สามารถเขา้ ใจถูกต้องตรงกัน
ER Diagram หมายถึง แผนภาพที่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับจำลองข้อมูล จัดเป็นแบบจำลอง
เชิงแนวคิดที่ใช้แสดงลักษณะโดยรวมของข้อมูลในระบบ ในรูปแบบของแผนภาพหรือไดอะแกรม
(Diagram) เพื่อต้องการนำเสนอให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ออกแบบผู้ใช้งาน ให้เกิดความเข้าใจ
ตรงกันในเรื่องของข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งประกอบด้วย เอนทิตี แอตทริบิวต์ และความสัมพันธ์ มี
สญั ลกั ษณต์ า่ งๆ ดงั นี้

26

1. เอนทิตี (Entity) สงิ่ ท่ีสนใจและต้องการจัดเกบ็ ขอ้ มูลไว้ในฐานข้อมูล ท้ังท่ีเป็นบุคคลสิ่งของ
หรือสถานที่ หรือสิ่งที่อยู่ในรูปแบบนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ จำแนกเอนทิตีออกเป็น 3 กลุ่ม
ดังน้ี

(1) เอนทติ เี ชงิ รปู ธรรม ประกอบด้วย
- เอนทติ ที เี่ ปน็ บคุ คล เชน่ นกั ศึกษา ครู เจา้ หน้าท่ี เป็นต้น
- เอนทิตที เี่ ป็นสถานท่ี เชน่ โรงเรียน ร้านค้า บรษิ ทั เป็นตน้
- เอนทติ ีที่เป็นวตั ถุ เชน่ สินคา้ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้

(2) เอนทติ เี ชงิ แนวความคิด เช่น การขาย แผนก วชิ า เป็นต้น
(3) เอนทติ ีเชิงเหตกุ ารณ์ เชน่ การขาย การยืม การลงทะเบยี น เป็นต้น
เอนทิตีใช้สัญลักษณ์รูปที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนเอนทิตี และมีชื่อเอนทิตีเป็นคำนาม
กำกับอย่ใู นรปู สีเ่ หล่ียมผืนผา้
2. แอตทริบิวต์ (Attribute) คือ ข้อมูลที่ใช้อธิบายคุณสมบัติหรือคุณลักษณะของเอนทิตีโดย
เอนทิตีหนึ่งอาจประกอบด้วยแอตทริบิวต์ได้มากกว่า 1 แอตทริบิวต์ เช่น เอนทิตีนักกศึกษา
ประกอบด้วย แอตทริบิวต์ รหัสนักศึกษา ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และชั้น เป็นต้น ดดยแอตทริบิวใช้
สัญลกั ษณ์รปู วงรีและมีช่อื แอตทริบวิ ต์ที่เปน็ คำนามกำกบั อยู่ในวงรี
(1) แอตทรบิ ิวต์แบบธรรมดา (Simple of Atomic Attribute) หมายถีง แอตทริบิวต์
ทีไ่ มส่ ามารถแบ่งเปน็ ส่วนประกอบย่อยๆได้อกี เชน่ รหสั นกั กศกึ ษา ช่อื สกลุ ช้นั และแผนกเป้นตน้
(2) แอตทริบิวต์แบบผสม (Composite Attribute) หมายถึง แอตทริบิวต์ท่ี
สามารถแบ่งออกเป็นแอตทริบิวต์ย่อยได้ เช่น แอตทริบิวต์ที่อยู่ ที่อาจแบ่งได้เป็นแอตทริบิวต์ย่อย
ไดแ้ ก่ เลขท่ี ถนน ตำบล อำเภอ และจงั หวดั
(3) แอตทริบิวต์ที่มีค่าข้อมูลเพียงค่าเดียว (Single-Valued-Attribute) หมายถึง
แอตทริบิวตท์ มี่ ีค่าข้อมลู เพียงคา่ เดยี วเท่านน้ั เชน่ รหัสนกั ศึกษา ชอ่ื นามสกลุ แผนก และช้นั ซึง่ แต่ละ
แอตทรบิ ิวต์มีคา่ ข้อมลู เพียงค่าเดียว
(4) แอตทริบิวตท์ มี่ ีคา่ ข้อมูลหมายค่า (Multi-Valued-Attribute) หมายถึง แอตทริ
บิวต์ที่มีค่าข้อมูลได้มากกำหนึง่ ค่า เช่น แอตทริบิวต์หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งนักศึกษาหนึ่งคนสามารถมี
หมายเลขโทรศัพท์ได้มากกวา่ หน่ึงหมายเลข แอตทรบิ วิ ตท์ ี่มีค่าข้อมูลหลายคา่ ใช้สัญลักษณ์รูปวงรีเส้น
คู่แทนแอตทริบิวต์ และมชี ่ือแอตทรบิ ิวตท์ ี่เปน็ คำนามกำกับอยู่ในวงรี

27

3. ความสัมพันธ์ (Relationship) ความสัมพันธ์ในระบบฐานข้อมูล หมายถึง ความสัมพันธ์
ระหว่างเอนรติ ี เช่น ความสัมพันธ์ระหวา่ งเอนทิตนี ักศึกษาและเอนทิตแี ผนก ซึ่งหมายถึงนักศกึ ษาแต่
ละคนเรียนอยแู่ ผนกใดแผนกหนง่ึ

(1) ความสัมพันธ์แบบหน่งึ ตอ่ หน่งึ (Ont to Ont) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก
หนงึ่ รายการของเอนทติ ีหนึง่ กับสมาชิกเพียงหนึ่งรายการของอีกเอนทติ ีหน่ึง

(2) ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (Ont to Many) เป็นความสัมพันธ์ที่สมาชิก
หนึ่งรายการของเอนทิตหี นึ่งมีความสัมพนั ธ์กบั สมาชิกหลายรายการในอกี เอนทติ หี นึ่ง

(3) ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many to Many) เป็นความสัมพันธ์ที่สมาชิก
หลายรายการในเอนทิตหี นง่ึ มคี วามสัมพันธก์ บั สมาชกิ หลายรายการในเอนทิตหี น่ึง

(4) กฎความคงสภาพของขอ้ มลู (Data Integrity Rule) กฎทใ่ี ช้สำหรบั รกั ษาความ
ถกู ต้องของขอ้ มลู แบง่ ออกเป็น 2 กฎ คอื กฎทเ่ี กย่ี วข้องกับเอนทิตี และกฎที่เกีย่ วข้องกับการเช่ือมโยง
ความสัมพนั ธ์ของเอนทติ ี ดังน้ี

ระบบการจัดการ DBMS

ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส
(DBMS) เป็นกลุ่ม โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล เพื่อ
จัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายใน
ฐานข้อมูล ซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อ
กับข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่มดีเอ็มแอล (DML) หรือ ดีดีแอล (DDL) หรือจะ
ด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับข้อมูลจะถูกดีบีเอ็มเอสนำมาแปล (คอมไพล์) เป็นการ
ปฏบิ ัตกิ าร (Operation) ตา่ งๆ ภายใตค้ ำสั่งนน้ั ๆ เพอ่ื นำไปกระทำกบั ตวั ข้อมลู ภายในฐานข้อมูลต่อไป
สำหรับส่วนการทำงานตางๆ ภายในดีบีเอ็มเอสที่ทำหน้าที่แปลคำสั่งไปเป็นการปฏิบัติการต่างๆ กับ
ข้อมูลนนั้ ประกอบดว้ ยส่วนการปฏิบตั กิ ารดังนี้

ตัวจัดการฐานข้อมูล (Database Manager) : เป็นส่วนที่ทำหน้าที่กำหนดการกระทำต่างๆ
ใหก้ บั สว่ น File Manager เพ่ือไปกระทำกบั ข้อมลู ที่เกบ็ อยู่ในฐานข้อมูล (ตัวจัดการไฟล์ เป็นส่วนท่ีทำ
หนา้ ทบ่ี รหิ ารจดั การกบั ขอ้ มูลท่เี กบ็ อยใู่ นฐานข้อมูลในระดับกายภาพ)

ตัวประมวลผลสอบถาม (Query Processor) : เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แปลงกำหนดคำสั่งของ
ภาษาสอบถาม (Query Language) ใหอ้ ยู่ในรูปแบบของคำสั่งที่ตวั จัดการฐานขอ้ มูลเข้าใจ

28

ตวั แปลภาษาจดั ดำเนนิ การข้อมลู ลว่ งหนา้ (Data Manipulation Language Precompiler)
: เปน็ ส่วนทที่ ำหนา้ ท่แี ปลประโยคคำส่ังของกลุ่มคำส่ังในดเี อ็มแอล ให้อยูใ่ นรูปแบบทีส่ ่วนรหัสเชิงวัตถุ
ของโปรแกรมแอปพลเิ คชนั ใช้นำเข้าเพ่ือสง่ ตอ่ ไปยังสว่ นตวั จดั การฐานข้อมูลในการแปลประโยคคำสั่ง
ของกลุ่มคำสั่งของดีเอ็มแอลของส่วน ตัวแปลภาษาจัดดำเนินการข้อมูลล่วงหน้านี้จะต้องทำงาน
รว่ มกับสว่ นตวั ประมวลผลขอ้ คำถาม

ตัวแปลภาษานิยามข้อมูลล่วงหน้า (Data Definition Language Precompiler) : เป็นส่วน
ที่ทำหน้าที่แปลประโยคคำสั่งของกลุมคำสั่งในภาษานิยามข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบของเมทาเดตา
(MataData) ที่เก็บอยู่ในส่วนพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ของฐานข้อมูล (เมทาเดตาคือ
รายละเอยี ดทบี่ อกถงึ โครงสร้างต่างๆ ของข้อมูล)

รหัสจุดหมายของโปรแกรมแอปพลิเคชัน (Application Programs Object Code) : เป็น
ส่วนที่ทำหน้าที่แปลงคำสั่งต่างๆ ของโปรแกรม รวมทั้งคำสั่งในกลุ่มคำสั่งภาษาจัดดำเนินการข้อมูล
หรือดีเอ็มแอลที่ส่งต่อมาจากส่วนตัวแปลภาษาจัดดำเนินการข้อมูลล่วงหน้าให้อยู่ในรูปแบบของรหสั
จดุ หมาย (Object Code) ทีจ่ ะส่งตอ่ ไปให้ตวั จัดการฐานข้อมลู เพอื่ กระทำกบั ข้อมูลในฐานข้อมูล
หนา้ ทีข่ องระบบการจดั การ DBMS

1. แปลงคำสงั่ ทีใ่ ชจ้ ดั การกบั ขอ้ มูลภายในฐานขอ้ มลู ให้อย่ใู นรปู แบบทีฐ่ านขอ้ มูลเข้าใจ
2. นำคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานขอ้ มูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ (Retrieve)

จัดเก็บ (Update) ลบ (Delete) เพ่มิ ข้อมูล (Add) เป็นตน้
3. ปอ้ งกนั ความเสียหายที่จะเกิดข้ึนกับข้อมูลภายในฐานข้อมลู โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใด

ทสี่ ามารถทำงานได้ และคำส่งั ใดทีไ่ มส่ ามารถทำงานได้
4. รักษาความสมั พนั ธ์ของข้อมูลภายในฐานขอ้ มลู ให้มคี วามถกู ต้องอยู่เสมอ
5. เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ในพจนานุกรมข้อมูล (Data

Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า เมทาเดตา (MetaData) ซึ่งหมายถึง
"ขอ้ มูลของข้อมลู "
6. ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานไดอ้ ย่างถูกต้องและมปี ระสทิ ธิภาพ
7. ควบคุมสถานะภาพของคอมพวิ เตอรใ์ นการแปลสถาพฐานข้อมูล ส.ท

29

ลักษณะของ DBMS

ระบบการจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะอำนวยความสะดวกกับผู้ใช้ คือสามารถใช้งานได้

โดยที่ไม่จำเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึกมากเหมือนกับการ

เขียนโปรแกรมของโปรแกรมเมอร์ ระบบดังกล่าวจะยอมให้ผู้ใช้กำหนดโครงสร้างและดูแลรักษา

ฐานขอ้ มลู ไดเ้ ปน็ อย่างดี และยังสามารถควบคมุ การเขา้ ถึงข้อมลู ในสว่ นตา่ งๆตามระดับการใช้งาน

ของผูใ้ ชแ้ ตล่ ะคนดว้ ย เราอาจพบเหน็ การใชง้ าน DBMS สำหรบั การจัดการฐานขอ้ มูลได้ในองค์กร

ธุรกิจโดยทั่วไป เช่น ระบบข้อมูลลูกค้า ระบบสินค้าคงคลัง ระบบงานลงทะเบียน ระบบงาน

ธุรกรรมออนไลน์

DBMS เปน็ เหมือนตวั กลางที่ยอมให้ผู้ใช้เข้าคน้ คืนข้อมูลได้โดยมีเคร่ืองมือสำคัยคือ ภาษาท่ีใช้

จัดการกับข้อมูลโดยเฉพาะเรียกว่า ภาษาเรียกค้นข้อมูล หรือ ภาษาคิวรี่ (query language) ซึ่ง

ประกอบด้วยคำสั่งสำหรบั เรียกใช้ข้อมูล แกไ้ ขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูล และยังสามารถนำไปใช้

ร่วมกับการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทางด้านฐานข้อมูล (Database application) ได้เป็นอย่างดี

ภาษาควิ รี่ (Query language)

เป็นภาษาที่ใช้สำหรับสอบถามหรือจัดการฐานข้อมูลใน DBMS โดยภาษาประเภทนี้ที่ได้รับความ

นิยมสูงสุดคือ ภาษา SQL (Structure Query language ) คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มใน

ทศวรรษที่ 1970 มีรูปแบบคำสั่งที่คล้ายกับประโยคในภาษาอังกฤษมาก ซึ่งปัจจุบันองค์กร ANSI

(American National Standard Institute) ได้ประกาศให้ SQL เป็นภาษามาตรฐานสำหรับสำหรับ

ระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Management System หรือ

RDBMS) ซ่งึ เปน็ ระบบ DBMS แบบทใ่ี ชก้ ันแพร่หลายทส่ี ุดในปจั จบุ นั

ระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสมั พันธ์ ทุกระบบจะใช้คำสัง่ พื้นฐานของภาษา SQL ได้เหมือนกัน

แต่อาจมีคำสั่งพิเศษท่ีแตกต่างกันบ้าง เนื่องจากบริษัทผูผ้ ลติ แตล่ ะรายก็พยายามทีจะพัฒนา RDBMS

ของตนเองให้มีลักษณะที่เด่นกว่าระบบอื่นโดยเพิ่มคุณสมบัติที่เกินข้อจำกัดของ ANSI ซึ่งคิดว่าเป็น

ประโยชนต์ ่อผู้ใชเ้ ขา้ ไป ตัวอย่างของคำสัง่ SQL มดี งั น้ี

คำส่ัง ผลลพั ธ์

DELETE ใชส้ ำหรับลบขอ้ มลู หรือลบเรคคอร์ดใดๆในฐานขอ้ มลู

INSERT ใช้สำหรับเพมิ่ ข้อมูลหรอื เพิม่ เรคคอร์ดใดๆในฐานข้อมูล

SELECT ใช้สำหรับเลือกข้อมูลหรือเลือกเรคคอร์ดใดๆที่ต้องการจาก

ฐานข้อมูล

UPDATE ใชส้ ำหรับแกไ้ ขข้อมลู หรอื แกไ้ ขเรคคอร์ดใดๆในฐานข้อมูล

30

คำศัพท์พื้นฐานเกีย่ วกบั ระบบฐานข้อมลู

การประมวลผลในระบบแฟ้มขอ้ มูล ซึ่งมกี ารแบ่งระดับของขอ้ มลู ในฐานข้อมลู ไวด้ ังต่อไปน้ี
1. บติ (Bit) หมายถึง หนว่ ยของข้อมูลที่มขี นาดเล็กท่สี ุด
2. ไบต์ (Byte) หมายถึง หน่วยของข้อมลู ทเ่ี กิดจากการนำบิตมารวมกัน
3. ฟิลด์ (Field) หมายถึง เขตของขอ้ มูลมารวมกันแลว้ ได้ความหมายเปน็ คำ
4. เรคคอรด์ (Record) หมายถึง ระเบียนหรือหนว่ ยของขอ้ มูลท่ีเกิดจากการนำเอาฟลิ ด์หรือ

เขตข้อมูลหลายๆเขตข้อมูลที่เกยี่ วขอ้ งมารวมกนั
5. ไฟล์ (File) หมายถึงขอ้ มูลหรอื หนว่ ยของขอ้ มูลท่เี ดจากการนำข้อมลู หลายๆระเบยี นทเี่ ป็น

เรอ่ื งเดียวกนั
6. เอนทิตี้ (Entity) หมายถึง ชอ่ื ของสิ่งใดส่ิงหน่งึ เปรียบเสมอื นคำนาม
7. แอททรบิ วิ ต์ (Attribute) หมายถึง รายละเอียดที่แสดงลกั ษณะและคณุ สมบัตขิ องแอททริ

บิวต์หน่ึงๆ
8. ความสมั พนั ธ์ (Relationships) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ แบ่งออกเปน็ 3

ประเภทคือ
8.1 ความสัมพนั ธ์แบบหนึง่ ตอ่ หน่ึง (One-to one Relationships)
8.2 ความสมั พนั ธ์แบบหนงึ่ ตอ่ กลุ่ม (One-to many Relationships)

31

บรรณานุกรม
ความหมายของระบบฐานขอ้ มูล

https://sites.google.com/site/bb28003a/home/khwam-hmay-khxng-than-khxmul

องคป์ ระกอบของระบบฐานข้อมลู

https://sites.google.com/site/khxmulsarsntat1zaka1eieita1olo/kar-cad-keb-khxmul-
sarsnthes/xngkh-prakxb-khxng-rabb-than-khxmul

โปรแกรมจดั การขอ้ มลู (Data Management Software)

https://sites.google.com/site/pond1619/home/tawxyang-porkaerm-cadkar-than-
khxmul

ประโยชนข์ องระบบจัดการฐานข้อมลู

https://www.srisangworn.go.th/home/databaselearn/cs2t3-2.htm

แบบจำลองฐานข้อมลู

https://sites.google.com/site/rabbthankhxmul778/than-khxmul/baeb-calxng-than-
khxmul

ระบบแบบจําลองขอ้ มลู สารสนเทศ

https://sites.google.com/site/yeesusgod/5-2-baeb-calxng-khxmul

ระบบการจดั การ DBMS

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0
%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9
0%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0
%B8%B9%E0%B8%A5
ลักษณะของ DBMS
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/22/cit/6_6.html

คำศัพทพ์ ้นื ฐานเกย่ี วกบั ระบบฐานขอ้ มลู

https://sites.google.com/a/bicec.ac.th/e-learning/hnwy-thi-1-khwam-ru-thawpi-keiyw-
kab-than-khxmul-hnathi-
4?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1


Click to View FlipBook Version