The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวปฏิบัติการพยาบาลในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย
บาดเจ็บทางสมองระดับปานกลางถึงรุนแรง ในผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง
(Clinical nursing practice guideline for discharge planning of dependent patients with moderate to severe traumatic brain injury)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แนวปฏิบัติการพยาบาลในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย บาดเจ็บทางสมองระดับปานกลางถึงรุนแรง ในผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง

แนวปฏิบัติการพยาบาลในการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย
บาดเจ็บทางสมองระดับปานกลางถึงรุนแรง ในผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง
(Clinical nursing practice guideline for discharge planning of dependent patients with moderate to severe traumatic brain injury)

Keywords: E book TBI

แนวปฏิบัติการพยาบาลในการวางแผนจา หน่ายผู้ป่วยบาดเจ็บทางสมอง ระดับปานกลางถึงรุนแรง ในผู้ทมี่ีภาวะพึ่งพิง (Clinical nursing practice guideline for discharge planning of dependent patients with moderate to severe traumatic brain injury) ผู้ทใี่ช้แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก กลุ่มผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ ผู้ป่ วยอายุ 15 ปี ขึ้นไป ที่ได้รับการบาดเจ็บทางสมองระดับปานกลางถึงรุนแรงและมีภาวะ พึ่งพิง ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา กลุ่มผู้ใช้แนวปฏิบัติทางคลินิก พยาบาลวิชาชีพที่ให้การดูแลผู้ป่ วยบาดเจ็บทางสมองระดับปานกลางถึงรุนแรง ในผู้ป่ วยที่มี ภาวะ พึ่งพิง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา นิยามศัพท์ การบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury: TBI) หมายถึง การบาดเจ็บของสมอง ซึ่งเกิด จากมีแรงภายนอกมากระท าที่กะโหลกศีรษะและสมอง ท าให้เกิดความผิดปกติในหน้าที่การ ท างานของ สมอง ส่งผลท าให้เกิดความพิการทางกาย มีผลกระทบต่อสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้ป่ วย การบาดเจ็บทางสมองระดับปานกลาง หมายถึง ผู้ป่ วยที่มีระดับความรู้สึกตัว Glasgow Coma Scale (GCS) 9-12 คะแนน การบาดเจ็บทางสมองระดับรุนแรง หมายถึง ผู้ป่ วยที่มีระดับความรู้สึกตัว Glasgow Coma Scale (GCS) < 8 คะแนน ผู้ป่วยทมี่ีภาวะพึ่งพิง หมายถึง ผู้ป่ วยที่มีความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ได้น้อย ถึง ปานกลาง โดยมีคะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน (ADL Barthel Index) <11 คะแนน โดย ADL Barthel Index แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที, 1 หมายถึง ผู้ที่พึ่งตนเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่น ชุมชน และสังคมได้ (กลุ่มติด สังคม) มี ผลรวมคะแนน ADL ตั้งแต่ 12 คะแนนขึ้นไป กลุ่มที, 2 หมายถึง ผู้ที, ดูแลตนเองได้บ้าง ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง (กลุ่มติดบ้าน) มี ผลรวม คะแนน ADL ตั้งแต่ 5-11 คะแนน กลุ่มที่3 หมายถึง ผู้ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พิการ หรือทุพพลภาพ (กลุ่ม ติดเตียง) มีผลรวมคะแนน ADL อยู่ในช่วง 0-4 คะแนน


2 การวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วย หมายถึง กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดย การมีส่วนร่วมของบุคลากรของทีมสุขภาพ ผู้ป่ วย ผู้ดูแล และครอบครัว ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้การสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ป่ วย ผู้ดูแล และครอบครัวมีความพร้อม ใน เรื่องการท าความสะอาดร่างกาย การให้อาหารทางสายยาง การป้อนอาหาร การเคลื่อนย้ายผู้ป่ วย การ จัดท า การช่วยในการขับถ่าย การดูดเสมหะ การดูแลท่อเจาะคอ สายยางให้อาหาร สายสวน ปัสสาวะ การ ล้างมืออย่างลูกวิธี ฯลฯ ตลอดจนการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะน ากลับไปใช้ที่ บ้านอย่างเต็มที่ ก่อนจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก การปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกเรื่อง การวางแผนจ าหน่ายผู้ป่ วยบาดเจ็บทางสมองระดับปาน กลางถึงรุนแรง ในผู้ป่ วยที่มีภาวะพึ่งพิง ประกอบด้วย 2 ระยะ (รุ่งนภา เขียวชะอ ่า, อรพรรณ โตสิงห์, ปราง ทิพย์ ฉายพุทธ และเกศรินทร์ อุทริยะประสิทธิ์, 2554: level 5) โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ป่ วย (ศิรดา วิพัทนะพร, 2563: level 3) ดังนี้ 1. มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไป 2. ได้รับการวินิจฉัยโรคเมื่อเข้ารับการรักษาว่าบาดเจ็บศีรษะระดับปานกลางถึงรุนแรง (Glasgow coma score = 3-12 คะแนน) 3. มีคะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน โดยมีค่าคะแนนดัชนีบาร์เธล เอ ดี แอล (Barthel ADL index) อยู่ระหว่าง 0-11 คะแนน ระยะที่1 เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยโดยมีขั้นตอนดังนี้ ครั้งที่1 (ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง/วัน) 1. สร้างสัมพันธภาพกับญาติผู้ดูแล พร้อมกับพูดคุยและให้ก าลังใจแก'ญาติผู้ดูแล รวมทั้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการวางแผนร่วมกันในการดูแลผู้ป่ วย (คิรดา วิพัทนะพร, 2563: level 3, รุ่ง นภา เขียวชะอ ่า, อรพรรณ โตสิงห์, ปรางทิพย์ฉายพทุธ และเกศรนิทร์อทุรยิะประสิทธิ์, 2554: level 5) 2. ประเมินความพร้อมและความต้องการของญาติผู้ดูแลในการรับทราบข้อมูล 3. เตรียมญาติผู้ป่ วยก่อนการเข้าเยี่ยม โดยให้'ข้อมูลแก่ญาติผู้ดูแล ได้แก่ ลักษณะของห้อง ผู้ป่ วยหนัก รวมทั้งกฎระเบียบของหอผู้ป่ วย และข้อปฏิบัติในการเข้าเยี่ยม เป็นต้น และเปิดโอกาสให้ ญาติ ได้ซักถามข้อสงสัย และตอบค าถาม (รุ่งนภา เขียวชะอ ่า, อรพรรณ โตสิงห์, ปรางทิพย์ ฉายพุทธ และเกศริ นทร์อทุรยิะประสิทธิ, 2554 : level 5)์ 4. อธิบายเกี่ยวกับผู้ป่ วยและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้กับผู้ป่ วย ได้แก่ เครื่องช่วยหายใจ เครื่อง ควบคุมการไหลของสารละลาย สายให้อาหารทางจมูก ท่อระบายที่ต่อออกจากผู้ป่ วย แนะน าวิธี ปฏิบัติต่อ


3 ผู้ป่ วยที่ข้างเตียง อธิบายกิจกรรมการพยาบาลที่ผู้ป่ วยได้รับ ได้แก่ การท าความสะอาด ร่างกาย การให้ อาหารทางสายยาง การดูดเสมหะ การประเมินทางระบบประสาท และการประเมิน สัญญาณชีพ การให้ยา การพลิกตะแคงตัว การป้องกันอุบัติเหตุและการบาดเจ็บในกรณีผู้ป่ วยต้อง ผูกมัด อธิบายถึงความจ าเป็น ของการผูกมัด รวมทั้งการตอบข้อซักถามขณะเข้าเยี่ยม ครั้งที่2 (ใช้เวลา 15-30 นาที/วัน) 1. อธิบายอาการและการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่ วยให้ญาติผู้ดูแลได้ทราบ 2. สอบถามความพร้อมของญาติในการดูแลผู้ป่ วย พูดคุยรับฟ้งปัญหา ตอบข้อซักถามและให้ ก าลังใจแก่ญาติผู้ดูแล 3. ประเมินความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่ วย (ศิรดา วิพัทนะพร, 2563: level 3พัชรริดา เคณา ภูมิ, 2563: level3) และสอบถามความต้องการของญาติผู้ดูแลเกี่ยวกับข้อมูลในการดูแลผู้ป่วย บาดเจ็บที่ศีรษะ โดยเลือกหัวข้อที่ต้องการทราบมากที่สุดก่อน โดยมีหัวข้อดังนี้ อาการและอาการแสดง ของผู้ป่ วย การดูแล และการรักษา ปัญหาของผู้ป่ วยภายหลังได้รับการบาดเจ็บ กิจกรรมการพยาบาลที่ ผู้ป่ วยได้รับ และการมี ส่วนร่วมของญาติในการดูแลเพื่อส่งเสริมการทินหายของผู้ป่ วย และตอบข้อ ซักถามหรือข้อสงสัย 4. บันทึกหัวข้อในการดูแลผู้ป่ วยบาดเจ็บที่ศีรษะโดยเรียงตามล าดับหัวข้อที่ญาติผู้ดูแล ต้องการ ทราบมากที่สุดก่อนเพื่อตอบสนองความต้องการของญาติที่ต้องการมากที่สุด ระยะที่2 เมื่อแพทยว์างแผนให้ผู้ป่วยกลับบ้าน ครั้งที่3 (ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง/วัน แต่ละหัวข้อใช้เวลา 10-15 นาที) 1. ก าหนดวันในการฟิ กทักษะ ซึ่งหัวข้อการฟิ กทักษะให้แก่ญาติผู้ดูแลผู้ป่ วยบาดเจ็บที่ศีรษะ 2. ท าการฟิ กทักษะในการดูแลผู้ป่ วยตามหัวข้อที่ญาติผู้ดูแลต้องการรู้โดยให้ญาติฟิ กทักษะ ต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่ วยจริงกับผู้ป่ วย เช่น การท าความสะอาดร่างกาย การให้อาหารทางสายยาง การป้อน อาหาร การเคลื่อนย้ายผู้ป่ วย การจัดท่า การช่วยในการขับถ่าย การดูดเสมหะ การดูแลท่อ เจาะคอ สาย ยางให้อาหาร สายสวนปัสสาวะการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การพลิกตะแคงตัวเพื่อ ป้องกันแผลกดทับ (อุบลรัตน์วิสุทธินันห์ และกฤตพัทธ์ ฟิ กฝน, 2559: level 3) การบริหารแขนและ ขาเพื่อป้องกันข้อติดแข็ง การป้องกันปลายเท้าตก การล้างมืออย่างถูกวิธี ฯลฯ ตลอดจนการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะน า กลับไปใช้ที่บ้าน (คิรดา วิพัทนะพร, 2563: level 3) 3. ทบทวนการฝึกทักษะในการดูแลผู้ป่ วยทุกวัน จนกระทั่งจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล (รุ่ง นภา เขียวชะอ ่า, อรพรรณ โตสิงห์, ปรางทิพย์ฉายพทุธ และเกศรนิทร์อทุรยิะประสิทธิ์, 2554: level 5)


4 แผนผังประกอบขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Algorithms) Flow discharge Planning


เอกสารอ้างอิง นครชัย เผื่อนปฐม และธีรเดช ศรีกิจวิไลกุล. (2562). แนวทางเวชปฏิบัติกรณีสมองบาดเจ็บ.กรุงเทพฯ: บริษัท พรอสเพอรัสพลัส จ ากัด. รุ่งนภา เขียวชะอ ่า, อรพรรณ โตสิงห์, ปรางทิพย์ ฉายพุทธและเกศรนิทร์อทุรยิะประสิทธิ์. (2554). การพัฒนาแนว ปฏิบตัิการเตรียมความพรอ้มสา หรบัญาตผิูดู้แลผูป้่วยบาดเจ็บทีศ่รีษะ.Journal of Nursing Science, 29(1), 18-25. วันดี โกยกิจเจริญ, วิไลลักษณ์ วงศ์จุลชาติ และสุพรพรรณ์ กิจบรรยงเลิศ. (2562). การพฒันารูปแบบ การดูแล แบบบูรณาการแกผูป้่วยบาดเจ็บศรีษะโดยการนา ของพยาบาล.วารสารการปฏิบัติการ พยาบาลและการผดุง ครรภ์ไทย, 6(2), 48-69. วัลลภา สุวรรณพิทักษ์, สุชาตา วิภวกานต์ และบุญญารัศม์ ประคีตวาทิน. (2560). การพัฒนา แนวทางปฏิบัติการ พยาบาลผูป้่วยลมองบาดเจ็บไม่รุนแรง โรงพยาบาลกระบี.่วารสารเครือข่าย วิทยาลัยพยาบาลและการ สาธารณสุขภาคใต้, 4(2), 140-156. หนแูดงจนัทอปุฬีและวาสนา นาชยัเร่มิพร. (2563). การพฒันารูปแบบการดูแลผูป้่วยหลอดเลือด สมอง โรงพยาบาลกมลาไสย.วารสารสุขภาพและสิ่งแวดล้อมศึกษา, 5(4), 55-64. ศิรดา วิพัทนะพร. (2563). การพฒันารูปแบบการวางแผนจา หนา่ยผูป้่วยบาดเจ็บศีรษะรุนแรง.วารสารส านักงาน สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น, 2(1), 59-75. สุรีย์ ธรรมิกบวร. 2554. การพยาบาลองค์รวม: กรณีศึกษา.กรุงเทพ: บริษัท ธนาเพรส จ ากัด. อุบลรัตน์ วิสุทธินันท์, กฤตพัทธ์ ฝึกฝน. (2559). ผลการใช้แนวปฏิบัติการดูแลผูป้่วยบาดเจ็บที่ศรีษะระดบั ปานกลางและรุนแรงต่อการเกิดแผลกดทบัและภาวะปอดอกัเสบทสี่มัพนัธ์ดับการ ใช้เครื่องช่วยหายใจ. วารสารการพยาบาล การสาธารณสุขและการศึกษา, 17(3), 33-41. อัญชลี โสภณ, ผดุงศิษฏ์ ช านาญบริรักษ์, ไพรวัลย์พรมที, สุรกรานต์ ยทุธเกษมสนัต์และอรไท โพธิ์ไชย แสน.(2560). การพฒันารูปแบบการดูแลผูป้่วยบาดเจ็บสมองระดับรุนแรง โดยใช้การ อัดการรายกรณี. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 29(3), 126-138. Christine Becker. (2012). Nursing care of the brain injury patient on a locked neurobehavioral unit. Rehabilitation Nursing, 37(4), 171-175. McNett, M. M., &Gianakis, A. (2010).Nursing interventions for critically ill traumatic brain injury patients. Journal of Neuroscience Nursing, 42(2), 71-77. Natalie Kreitzer, Brad G. Kurowski &Tamilyn Bakas. (2018). Systematic Review of


10 ภาคผนวก


1 แบบประเมินความรู้สึกตัวของกลาสโกว


2 แบบประเมินกิจวัตรประจ าวัน ดัชนีบารเธลเอดีแอล (Barthel Activities of Daily Living :ADL) แบบประเมนกิจวัตรประจ าวัน ดัชนีบาร์เธลเอคีแอล (Barthel Activities of Daily Living : ADL) การประเมินกิจวัตรประจ าวัน โรงพยาบาล วันที่……… เยี่ยมบ้าน๑ วันที่.......... เยี่ยมบ้าน๒ วันที่............ (๑) รับประทานอาหารเมื่อเตรียมส าหรับไว้ไห้เรียบร้อยต่อหน้า ๐ ไม่สามารถดักอาหารเข้าปากได้ ๑ตักอาหารเองได้แต่ต้องมีคนช่วย เช่น ช่วยใช้ช้อนตักเตรียมไห้/ตัดเป็นชิ้นเล็กๆให้ ๒ ตักอาหารและช่วยตัวเองได้เป็นปกติ (๒) การล้างหน้า หวีผม แปรงฟัน โกนหนวดในระยะเวลา ๒๙-๙๘ ชั่วโมงที่ผ่านมา ๐ ต้องการความช่วยเหลือ๑ท าได้เอง (รวมทั้งที่ท าได้เองถ้าเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้) (๓) ลูกบงจากที่บอน หวือจากเคียงไปยังเกาอี้ O ไม่สามารถบังได้ (นั่งแห้วจะล้มเสมอ) หวือดองไข้คบ ๒ คนช่วยกันยกขึ้น ๑ต้องไข้คนแข้งแรงหวือมิทักษะ a คน/ไข้คนทั่วไป ๒ คนพยุงดับขึ้นมาจึงจะนั่งอยู่ ได้ ๒ ต้องการความช่วยเหลือบ้าง เช่นช่วยพยุงเล็กน้อย/ต้องมีคนดูแลเพื่อความ ปลอดภัย ๓ ท าได้เอง (๔) การใช้ห้องน ้า ๐ช่วยตัวเองไม่ได้ ๑ท าเองได้บ้าง ต้องการความช่วยเหลือในบางสิ่ง ๒ ช่วยเหลือตัวเองได้ดี (๕) การเคลื่อนที่ภายในพ้องหรือบ้าน ๐ เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ ๑ใช้รถเข็นช่วยให้เคลื่อนที่ได้เอง (ไม่ต้องมีคนเข็นให้) เข้าออกมุมห้องหรือประตูได้ ๒ เดินหรือเคลื่อนที่โดยมีคนช่วย เช่น พยุง ๓ เดินหรือเคลื่อนที่เอง (๖) การสวมใส่เสื้อผ้า ๐ ต้องมีคนสวมใส่ไห้ ช่วยตัวเองแบบไมได้หรือได้น้อย ๑ช่วยตัวเองได้ประมาณร้อยละ ๕๐ ที่เหลือต้องมีคนช่วย ๒ ช่วยตัวเองได้ดี(รวมทั้งการติดกระดุม รูดซิป ใส่เสื้อผ้าที่ดัดแปลงให้เหมาะสมก็ ได้)


3 (๗)การขึ้นลงบันได ๑ ชั้น ๐ ไม่สามารถท าได้ ๑ ต้องการคนช่วย ๒ ขึ้นลงเองได้ (ถ้าต้องใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น Walker จะต้องเอาขึ้นลงได้ด้วย) (๘) การอาบน ้า ๐ ต้องมีคนช่วยหรือท าให้ ๑อาบน ้าได้เอง (๙) การกลั้นการถ่ายอุจจาระ ใน๑สัปดาห์ที่ผ่านมา ๐ กลั้นไมได้ หรือต้องการการสวนอุจจาระอยู่เสมอ ๑กลั้นไมได้บางครั้ง (ไม่เกิน ๑ครั้งต่อสัปดาห์) ๒ กลั้นได้เป็นปกติ (๑o) การกลั้นปัสสาวะในระยะ ๑สัปดาห์ที่ผ่านมา ๐ กลั้นไมได้ หรือใส่สายสวน ปัสสาวะ แต่ไม่สามารถดูแลเองได้ ๑กลั้นไม่ได้บางครั้ง (ไม่เกินวันละ ๑ครั้ง) ๒ กลั้นได้เป็นปกติ รวมคะแนน ผลการประเมิน คะแนนรวม ADL ๒๐ คะแนน แปลผล ๐- ๙ คะแนน ภาวะพึงพาโดยสมบูรณ์: very low initial score, total dependence ๕-๘ คะแนน ภาวะพึงพารุนแรง : low initial score, severe dependence ๙ – ๑๑คะแนน ภาวะพึงพาปานกลาง: intermediate initial score, moderately severs dependence «๒ - ๒๐ คะแนน ไม่เป็นกาวพงพา : intermediate high, mildly severs dependence, consideration of discharging home Barthel Activities of Daily Living : ADL ( ) เพิ่มขึ้น ( ) ลดดง ( ) เท่าเดิม


4 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลผู้ป่วย 1. อายุ........ปี 2. เพศ ( ) ชาย ( ) หญิงHN………………. 3. ระดับการศึกษา ( ) 1. ไม่ได้เรียนหนังสือ ( ) 2.ประถมศึกษา (ป.1 - ป.6) ( ) 3. มัธยมศึกษา (ม.1 - ม.6 ( ) 4. สูงกว่าระดับมัธยมศึกษา 4. อาชีพ ( ) 1. นักเรียน/นักศึกษา ( )2.ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ( ) 3. รับจ้าง ( ) 4.พนักงานบริษัท ( ) 5. พนักงานรัฐวิสาหกิจ ( )6.ข้าราชการ ( ) 7.ว่างงาน/พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ ( ) 8.อื่นๆ....................... 5. สถานภาพ ( ) โสด ( ) สมรส ( ) หย่าร้าง/แยกกันอยู่ 6. สถานภาพในครอบครัว ( ) หัวหน้าครอบครัว ( ) หัวหน้าครอบครัว ( ) ผู้อาศัย 7. โรคประจ าตัว.............................................................................................................. 8. สาเหตุการบาดเจ็บ...................................................................................................... 9. ดัชนีบารเธลเอดีแอล (Barthel Activities of Daily Living : ADL) ...................................


5 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลผู้ดูแลผู้ป่วย 1. อายุ.......ปี 2. เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง 3. สถานภาพ ( )โสด ( )สมรส ( ) หย่าร้าง/แยกกันอยู่ 4. ระดับการศึกษา ( ) 1. ไม่ได้เรียนหนังสือ ( ) 2.ประถมศึกษา (ป.1 - ป.6) ( ) 3. มัธยมศึกษา (ม.1 - ม.6) 5. อาชีพ ( ) 4. สูงกว่าระดับมัธยมศึกษา! ( ) 1. นักเรียน/นักศึกษา ( ) 2. ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ( ) 3. รับจ้าง ( ) 4. พนักงานบริษัท ( ) 5. พนักงานรัฐวิสาหกิจ ( ) 6. ข้าราชการ ( ) 7.ว่างงาน/พ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ ( ) 8.อื่นๆ.................... 6. สถานภาพในครอบครัว ( ) หัวหน้าครอบครัว ( ) หัวหน้าครอบครัว ( ) ผู้อาศัย 7. ปัญหาค่าใช้จ่าย ( ) มี ( ) ไม่มี 8. ความสัมพันธ์ของท่านกับผู้ป่ วย ( ) บุตร ( ) คู่สมรส () บิดา/มารดา ( ) พี่/น้อง ( ) หลาน ( ) เขย/สะใภ้ 9. โรคประจ าตัวของผู้ดูแล ( ) มี ( ) ไม่มี 10. ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่ วย ( ) มี ประสบการณ์การดูแลผู้ป่ วย ........ปี ( ) ไม่มี ประสบการณ์การดูแลผู้ป่ วย 11. มีความรู้เรื่องโรค อาการและอาการแสดงของโรค อาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ขั้นตอน การ ดูแลรักษา การพื้นฟูและแนะน าการจัดเตรียมที่อยู่อาศัย และเตรียมผู้ดูแลเมื่อจ าหน่าย กลับ บ้าน ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย 12. การดูแลท าความสะอาดร่างกาย (Bed bath) ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย


6 13. การดูแลท าความสะอาดช่องปาก (Mouth care) ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 14. การจัดประเภทของอาหารและปริมาณที่เหมาะสมกับโรคประจ าตัวผู้ป่ วย ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 15. การดูแลการให้อาหารทางสาย (Feeding) ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 16. การดูแลการดูดเสมหะในล าคอหรือในช่องปาก (Suction) ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 17. การดูแลช่วยเหลือในการขับถ่ายการท าความสะอาดหลังการขับถ่าย ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 18. การท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ/การดูแลสายสวนปัสสาวะ ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 19. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การพลิกตะแคงตัวเพื่อป้องกันแผลกดทับ การบริหารแขน และขาเพื่อป้องกันข้อติดแข็ง การป้องกันปลายเท้าตก. ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 20. การพื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การเคลื่อนย้ายผู้ป่ วย การขิกให้นั่ง ยืน การรับประทานอาหาร ด้วย ตนเอง ( ) ดูแลได้ดีมาก ( ) ดูแลได้ปานกลาง ( ) ดูแลได้น้อย 21. ความต้องการการติดตามผล และประสานงานกับหน่วยงานปฐมภูมิ/หน่วยงานการ พยาบาล ต่อเนื่อง การตรวจเยี่ยมหลังจ าหน่าย ( ) โทรศัพท์ ( ) ไลน์ ( ) เยี่ยมบ้าน () อื่นๆ


7 แผนการสอน การเช็ดตัวบนเตียง ผู้ป่ วยที่ต้องเช็ดตัวบนเตียงมักมีข้อจ ากัดในการเคลื่อนไหว ไม่สามารถอาบน ้าเองได้ การเช็ดตัวบนเตียง 1. เตรียมของใช้ให้พร้อม ได้แก่ ชุดท าความสะอาดปากและฟัน สบู่ กาละมังเช็ดตัว 2 ใบ ผ้า ถูตัว 2 ผืน ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน และเสื้อผ้า 1 ชุด 2. ปิดพัดลม ปิดแอร์ 3. เคลื่อนผู้ป่ วยมาริมเตียง หนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าพื้นเตียงประมาณ 1 ฟุต คลุมผ้าเช็ดตัว ที่ หน้าอก ท าความสะอาดปากและฟัน 4. ถอดเสื้อผ้าออกใช้ผ้าเช็ดตัวปิดแทน เปิดเฉพาะส่วนที่จะเช็ดเท่านั้น 5. ใช้ผ้าชุบน ้าเช็ดใบหน้า หู จมูก คอ และใช้ผ้าอีกผืนชุบน ้าพอหมาด ฟอกสบู่ เช็ดให้ทั่ว แล้ว ตามด้วยผ้าชุบน ้าเช็ดจนสะอาด 6. เช็ดช่วงอก และหน้าท้องด้วยวิธีเดียวกันจนสะอาด ซับให้แท้ง 7. เปลี่ยนน ้า รองผ้าเช็ดใต้แขนด้านไกลตัวผู้ดูแล เช็ดแขนด้วยสบู่และน ้าจนสะอาดซับให้แท้ง แล้วจึงเช็ดแขนด้านใกล้ผู้ดูแลด้วยวิธีเดียวกัน 8. เปลี่ยนน ้า รองผ้าเช็ดตัวใต้ขาข้างไกลตัวผู้ดูแล แล้วเช็ดด้วยสบู่และน ้าจากปลายขาถึงขา หนีบ จนสะอาดซับให้แท้ง แล้วจึงเช็ดขาด้านใกล้ตัวผู้ดูแล 9. ท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ ด้วยน ้าและสบู่ ซับให้แห้ง 10. ตะแคงตัวผู้ป่ วย รองผ้าเช็ดตัว เช็ดหลังด้วยน ้าและสบู่จนสะอาด ซับให้แท้งทาโลชั่น/ แป้ง 11. พลิกตัวผู้ป่ วยนอนหงาย ทาโลชั่น /แป้ง สวมเสื้อผ้า หวีผม 12. จัดให้ผู้ป่ วยนอนในท่าสบาย 13. ท าความสะอาดของใช้และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย


8 การดูแลการรับประทานอาหาร การดูแลการรับประทานอาหารทางปาก การให้อาหารทางปากจะเริ่มให้อาหารทางปากเมื่อผู้ป่ วยมีอาการคงที่โดยใช้อาหารที่มี ลักษณะ อ่อนนุ่ม เช่น โจ๊กเนื่องจากอาหารเหลว (น ้า) ผู้ป่ วยมีโอกาสที่จะส าลักได้ง่าย ข้อแนะน าการให้อาหารทางปาก 1. ให้เวลาผู้ป่ วยพักผ่อนก่อนรับประทานอาหาร 2. เลือกอาหารที่มีประโยชน์ กลืนง่าย อุ่นพอดี เหมาะสมกับโรค 3. วางอาหารไว้ตรงหน้าผู้ป่ วย เพื่อให้มองเห็นและเป็นการกระตุ้นความอยากอาหาร 4. ควรเป็นอาหารอ่อนนุ่มและไม่มีน ้ามาก 5. จัดให้ผู้ป่ วยนั่ง หรือศีรษะสูงขณะรับประทานอาหาร และหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที 6. หากมีอัมพาตที่หน้า ควรใส่อาหารเข้าไปในปากทางด้านดีทีละน้อย ปล่อยให้ผู้ป่ วยได้มีเวลา เคี้ยวและกลืน 7. ไม่ควรเร่งผู้ป่ วย โดยแนะน าให้ผู้ป่ วยเคี้ยวและกลืนให้เป็นจังหวะ 8. หลังรับประทานอาหาร ให้น ้าดื่มตามทุกครั้งอาจใช้หลอดดูดหรือใช้ช้อนป้อน และให้ดื่มครั้งละ น้อยๆแต่บ่อยครั้ง 9. ท าความสะอาดปากและฟัน ก่อนและหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง 10. ผู้ป่ วยที่มีโรคประจ าตัวต้องจัดอาหารที่เหมาะสมตามข้อจ ากัดของแต่ละโรค การดูแลการให้อาหารทางสายยาง เมื่อผู้ป่ วยออกจากโรงพยาบาล บางรายมีความจ าเป็นต้องให้อาหารทางสายยางโดยญาติหรือ ผู้ดูแลจะเป็นผู้จัดเตรียมและท าให้ในขณะที่อยู่ที่บ้าน การให้อาหารทางสายยางจะให้เมื่อผู้ป่ วยไม่สามารถ รับประทานอาหารได้เองทางปากได้ แต่ระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหารยังสามารถท างานได้ โดย อาจจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้ป่ วยไม่รู้สึกตัว ผู้ป่ วยอ่อนเพลีย ผ่าตัดระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่ วยมีปัญหาเรื่อง การกลืน โดยผู้ดูแลหรือญาติ จะต้องเรียนรู้วิธีการจัดเตรียมและให้อาหารทางสายยางเพื่อการได้รับอาหาร ที่ถูกต้องและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะให้อาหารด้วย อุปกรณท์ ใี่ช้ในการให้อาหารทางสายยาง คือ 1. อาหารเหลวหรืออาหารส าเร็จรูป (ตามค าสั่งของแพทย์) 2. กระบอกให้อาหารทางสายยาง 3. ส าลีแอลกอฮอล์ 4. สบู่ล้างมือหรือแอลกอฮอล์ส าหรับล้างมือ


9 การให้อาหารทางสายยาง จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามต าแหน่งที่เข้าสู่ร่างกาย คือ 1. ใส่สายยางทางจมูก 2. ใส่สายยางทางหน้าท้อง วิธีการให้อาหารทางสายยาง 1. เตรียมของเครื่องใช้ในการให้อาหารทางสายยาง อาหารเหลวและยาที่เตรียมให้ผู้ป่ วย (ตาม วิธีการเตรียมของเครื่องใช้ผู้ป่ วยที่ให้อาหารทางสายยาง) 2. ท่านอนให้ผู้ป่ วยศีรษะอยู่สูงอย่างน้อย 45 องศา ในรายที่ผู้ป่ วยไม่รู้สึกตัวควรให้หนุนหมอน ตั้งแต่หลัง จนถึงศีรษะโดยใข้หมอน 2 ใบใหญ่หรือจัดใท้ผู้ป่ วยนั่งพิงพนักเตียงหรือให้นั่งเก้าอี้ 3. จัดสิ่งแวดล้อมรอบๆผู้ป่ วยให้สะอาดและผู้ที่จะให้อาหารต้องล้างมือให้สะอาดตามวิธีการ ล้างมือที่ลูกวิธี 4. ในผู้ป่ วยที่เจาะคอมีท่อช่วยหายใจ ให้ดูดนั้าลายในปากก่อนแล้วจึงใช้สายดูดเสมหะเส้นใหม่ดูด เสมหะ ในท่อช่วยหายใจเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบ จากการส าลักอาหารและล้างมืออย่างถูก วิธี ภายหลังดูดเสมหะให้ผู้ป่ วย 5. ดึงจุกที่ปิดหัวต่อปลายสายให้อาหารออก ขณะเดียวกันใช้นิ้ว พับสายคีบเอาไว้ เพื่อป้องกัน ลม เข้ากระเพาะอาหารผู้ป่ วย เพราะจะท าใท้ผู้ป่ วยท้องอืดได้ 6. ใช้ส าลีชุบน ้าต้มสุก เช็ดบริเวณจุกให้อาหารทางสายยาง เอากระบอกให้อาหาร พร้อมลูกสูบต่อ กับหัวต่อและปล่อยนิ้วที่คีบสายออก ท าการทดสอบดูว่า ปลายสายยางให้อาหาร ยังอยู่ในกระเพาะอาหาร หรือไม่ โดย - ใช้กระบอกให้อาหารดูดอาหารหรือน ้าออกจากกระเพาะ ถ้ามีมากเกิน 50ซีซี ให้ดันอาหารหรือ น ้ากลับคืนไปอย่างช้าๆ และเลื่อนเวลาออกไปครั้งละ 1 ชั่วโมง แล้วมาทดสอบดูใหม่ถ้ามีไม่เกิน 50ซีซี ให้ ตันอาหารน ้ากลับคืนไปอย่างช้าๆ และให้อาหารได้ - ถ้าดูดออกมาแล้ว ไม่มีอาหารตามขึ้นมาเลย ให้ดูดลมเข้ามาในกระบอกอาหาร ประมาณ 20ซีซี แล้วต่อเข้ากับสายให้อาหาร พร้อมกับเอาฝ่ ามืออีกด้านหนึ่งแนบเข้ากับใต้ชายโครงด้านซ้าย ดันลมใน กระบอกให้เข้าไปในกระเพาะอาหารอย่างช้า ถ้าสายอยู่ในกระเพาะอาหารจะรู้สึกว่ามีลมเข้าไปในกระเพาะ อาหาร จากนั้นให้ดูดลมออก - ถ้าดูดออกมาแล้วได้ของเหลวสีน ้าตาลเข้ม ๆ ควรปรึกษาพยาบาลเยี่ยมบ้าน เพราะผู้ป่ วยอาจมี ปัญหาแผลในกระเพาะอาหารได้ ควรติดต่อโรงพยาบาลเพื่อรับค าปรึกษาแนวทางการดูแลต่อ 7. พับสายยางปลดกระบอกให้อาหารออกเอาลูกสูบออกจากกระบอกแล้วต่อกระบอกเข้ากับ สายให้อาหารใหม่


10 8. เทอาหารใส่กระบอกครั้งละประมาณ 50 ซีซียกกระบอกให้สูงกว่าผู้ป่ วยประมาณ 1 ฟุต ปล่อยให้อาหารไหลตามสายช้าๆ อย่าให้อาหารไหลเร็ว ถ้าเร็วมากต้องลดกระบอกให้ต ่าลง เพราะการ ให้ อาหารเร็วมากเกินไป จะท าให้ผู้ป่ วยคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเดิน 9. เดิมอาหารใส่กระบอกเพิ่มอย่าให้อาหารในกระบอกลดระดับลงจนมีอากาศในสาย เพราะ อากาศจะท าให้ผู้ป่ วยท้องอืดได้ 10. เมื่ออาหารกระบอกสุดท้ายเกือบหมดให้เดิมน ้าและยาหลังอาหารที่เตรียมไว้ เดิมน ้าตาม อีก ครั้ง จนยาไม่ติดอยู่ในสายยาง และไม่ควรมีน ้าเหลือค้างอยู่ในสาย 11. พับสาย ปลดกระบอกให้อาหารออก เช็ดหัวต่อด้วยส าลีชุบนาต้มสุกปิดจุกหัวต่อให้ เรียบร้อย 12. ให้ผู้ป่ วยนอนในท่าศีรษะสูงหรือนั่งพักหลังให้อาหารต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง


11 การดูแลดูดเสมหะในปากทบี่้าน (Oral suction) การดูดเสมหะมีความจ าเป็นส าหรับผู้ป่ วยที่มีเสมหะเหนียว ไม่สามารถขับเสมหะออกมาได้ ท าให้ เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ จนเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว หรือเกิดภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ ดังนั้นการ ดูดเสมหะที่ลูกวิธี สามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดชื้นได้ การดูดเสมหะในปาก คือ การใช้สายดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อผ่านเข้าทางปาก เพื่อน า เสมหะออกจากทางเดินหายใจ ป้องกันการอุดกั้นทางเดินหายใจและภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ พิจารณาดูด เสมหะเมื่อมีอาการดังนี้ - ไอมีเสมหะ - หายใจได้ยินเสียงครืดคราดของเสมหะในปอด - หายใจเร็ว มีอาการหายใจล าบาก อุปกรณด์ูดเสมหะ 1. เครื่องดูดเสมหะ 2. สายดูดเสมหะเบอร์ 12,14 3. ขวดใส่น ้าสะอาด 4. ถุงมือสะอาด วิธีการดูดเสมหะในปาก 1. ประเมินความจ าเป็นในการดูดเสมหะ 2. ควรดูดเสมหะก่อนอาหารหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอาเจียน ล้า จ าเป็นต้องดูดเสมหะหลังการให้อาหารใหม่ๆ ให้ดูดตื้นๆ และไม่ควรดูดนาน 3. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและล้างมือก่อนดูดเสมหะทุกครั้ง 4. จัดท่าให้ผู้ป่ วยนอนหงายศีรษะสูง ใช้หมอนรองใต้ไหล่ 5. สวมถุงมือสะอาด แกะสายดูดเสมหะต่อเข้ากับเครื่องดูดเสมหะ 6. เปิดเครื่องดูดเสมหะแรงดันไม่เกิน 100-120 mmHg ในผู้ใหญ่หากเสมหะเหนียวข้น สามารถ เพิ่มแรงดันได้ 7. สอดสายดูดเสมหะอย่างนุ่มนวล ลงไปลึกถึงคอหอย โดยยังไม่ดูดเสมหะเพื่อป้องกันการดูด อากาศออกจากปอดมากเกินไป ซึ่งท าให้เกิดภาวะเนื้อปอดแฟบ (Atelectasis) เมื่อผู้ป่วยมีปฏิกิริยา ไอ จึง เริ่มดูดเสหะโดยใช้หัวแม่มือปิดรูบริเวณตรงข้อต่อแล้วค่อยๆดึงและหมุนสายขึ้นมา 8. การดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 10-15 วินาทีหรือประมาณเท่ากับการกลั้นหายใจของ ผู้ดูด เสมหะไม่ควรดูดเกิน 3 ครั้งต่อรอบ และควรหยุดพัก 20-30 วินาทีก่อนดูดเสมหะในแต่ละรอบ เพื่อป้องกัน การขาดออกซิเจน 9. หากผู้สูงอายุเกร็งหรือมีฟันในช่องปาก สามารถใช้อุปกรณ์เปิดทางเดินหายใจ (mouth gag)


12 โดยสอดเข้าช่องปาก เพื่อน าสายยางดูดเสมหะเข้าในช่องปากได้ง่ายขึ้น 10. สังเกตอาการผู้ป่ วยขณะดูดเสมหะว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เช่น สีผิว สีเล็บ มีสีเขียว คล ้า ขึ้น หรือหายใจหอบเหนื่อย หากพบอาการดังกล่าว ให้พักการดูดเสมหะทันที 1-3 นาที แล้วจึง พิจารณาดูด เสมหะซ ้าจนหมด และควรสังเกตสีและปริมาณเสมหะ 11. หลังจากดูดเสมหะเรียบร้อย ควรกระตุ้นให้ผู้ป่ วยหายใจเข้า -ออกลึกๆ 3-4 ครั้ง เพื่อ ป้องกัน ภาวะเนื้อปอดแฟบ 12. ล้างสายดูดเสมหะด้วยน ้าสะอาดที่เตรียมไว้ ปิดเครื่องดูดเสมหะ และยกสายยางระบายที่ ต่อ จากเครื่องให้สูงขึ้นเพื่อไล่น ้าและเสมหะที่ค้างอยู่ในสายระบาย ให้!หลลงไปในขวดรองรับเสมหะ 13. เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ควรเทเสมหะในขวดรองรับเสมหะทุกครั้งหลังดูดเสมหะ 14. ล้างมือให้สะอาดหลังท าการดูดเสมหะทุกครั้ง


13 การดูแลการขับถ่ายปัสสาวะ/ อุจจาระ การดูแลผู้ป่วยขับถ่ายปัสสาวะ กรณีขับถ่ายปัสลาวะได้เอง 1. ควรพาผู้ป่ วยไปปัสสาวะในท้องน ้าหรือปัสสาวะใส่ภาชนะรองรับ / ผ้ารองกันเปื้อน 2. ต้องท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังการขับถ่ายทุกครั้ง กรณีใส่ลายสวนปัสสาวะ 1. ติดพลาสเตอร์ตรึงสายสวนปัสสาวะให้ติดกับหน้าขาในผู้หญิงและหน้าท้องในผู้ชาย 2. ระวังไม่ให้สายหัก พับ งอ 3. ปิดจุกด้านล่างของลุงรองรับปัสสาวะ หลังเทปัสสาวะทุกครั้ง 4. ถุงรองรับปัสสาวะต้องอยู่ต ่ากว่าบริเวณหน้าท้องเสมอ หากจ าเป็นต้องยกสูง ให้พับสาย ป้องกันปัสสาวะไหลย้อน 5. ท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก รอบรูเปิดของท่อปัสสาวะด้วยน ้าสบู่อย่างน้อยวัน ละ 2 ครั้งและซับให้แห้ง การดูแลผู้ป่วยขับถ่ายอุจจาระ 1. พาผู้ป่ วยไปถ่ายอุจจาระในห้องน ้า หรือถ่ายใส่ภาชนะรองรับ หรือผ้ารองกันเปื้อน 2. ท าความสะอาดทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระ


14 การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การจัดทนี่อน เพื่อ - การป้องกันแผลกดทับ - การป้องกันข้อติด กล้ามเนื้อและเอ็นหดตัว - การป้องกันการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ที่เกิดเกร็งมากกว่าปกติ - การกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการพื้นตัวได้เร็ว ท่าที่1 ท่านอนหงาย - หมอนไม่ควรสูงมาก - ศีรษะและล าตัวอยู่ในแนวตรง - แขนเหยียดสบายข้างล าตัว - ข้อมือคว ่าหรือหงายก็ได้นิ้วมือเหยียดออก - ขาเหยียดตรง มีผ้าขนหนูรองใต้เข่า เข่างอเล็กน้อย - ปลายเท้าควรมีผ้าขนหนูเล็กๆ รองด้านข้างของข้อเท้า เพื่อให้เท้าตั้งตรง ป้องกันแผลกด ทับบริเวณตาตุ่ม ท่าที่2 ท่านอนตะแคงทับข้างดี - ศีรษะโน้มไปทางด้านหน้าเล็กน้อย - แขนของผู้ป่ วยข้างที่อ่อนแรงควรมีหมอนรองใต้แขนตั้งแต่แขนจนถึงปลายแขนโดยแขน ของ ผู้ป่ วยยื่นไปข้างหน้า - ข้อศอกเหยียด - มือคว ่าบนหมอน - ข้อมือตรงนิ้วมือเหยียดออก - สะโพกและเข่าขางที่อ่อนแรง มีหมอนรองตั้งแต่สะโพกถึงปลายเท้า จัดให้ข้อสะโพกและ ข้อเข่างอประมาณ 30 องศาข้อเท้าอยู่ในท่าปกติ


15 ท่าที่3 ท่านอนตะแคงทับข้างทอี่่อนแรง - ศีรษะโน้มไปด้านหน้าเด็กน้อย แขนข้างดี วางตามสบาย - สะโพกและเข่าข้างดี มีหมอนรองตั้งแต่สะโพกถึงปลายเท้า - แขนข้างที่อ่อนแรงยื่นมาข้างหน้า ข้อศอกตรง หงายมือ - ขาข้างที่อ่อนแรง เหยียดเข่า งอเด็กน้อย ข้อเท้าอยู่ในท่าปกติ ท่าที่4 ท่านอนตะแคง สา หรับผู้ป่วยอ่อนแรงทัง้ 2 ข้าง - แขนข้างที่นอนตะแคงทับ ยื่นมาข้างหน้า ข้อศอกตรง หงายมือ - แขนข้างที่ไม่ได้นอนทับ ควรมีหมอนรองใต้แขนตั้งแต่แขนถึงปลายแขน โดยแขนยื่นไป ข้างหน้า ข้อศอกเหยียด มือคว ่าบนหมอน ข้อมือตรง นิ้วมือเหยียดออก - ขาข้างที่นอนตะแคงทับเหยียดออก งอเข่าเด็กน้อย ข้อเท้าอยู่ในท่าปกติ - สะโพกและเข่าข้างที่ไม่ได้นอนทับ มีหมอนรองตั้งแต่สะโพกถึงปลายเท้าจัดให้ข้อสะโพก และข้อเข่างอเด็กน้อย ข้อเท้าอยู่ในท่าปกติ การท ากายภาพบ าบัดเป็ นการฝึกกระตุ้นการเคลื่อนไหว ข้อควรปฏิบัติในการเคลื่อนไหวข้อ - การเคลื่อนไหวข้อให้ผู้ป่ วยควรท าซ ้า - ควรท าการเคลื่อนไหวให้สุดองศาของการเคลื่อนไหวที่ปกติ - ในแต่ละท่าซ ้า ท่าละ 10-20 ครั้งวันละ 2 รอบ ได้แก่ ท่าบริหารส่วนแขน บริหารส่วนขา และ การบริหารข้อไหล่ - ไม่ควรท าการเคลื่อนไหวหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ หรือในขณะที่ผู้ป่ วยมีไข้ - ขณะท าการเคลื่อนไหวข้อ ถ้าผู้ป่ วยปวดหรือพบปัญหาอย่างอื่นตามมาควรหยดท าและ ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบ าบัด


16 ท่าที่1 การยกแขนขึน้และลง -จับข้อมือและข้อศอกผู้ป่ วยยกแขนขึ้นจนถึงเหนือศีรษะแล้วค่อยๆยกแขนลง ท่าที่2 กางแขนออกและหุบแขนเข้า -จับข้อมือและข้อศอกของผู้ป่ วยกางแขนออกแล้วค่อย ๆ หุบแขนเข้าแนบล าตัว ท่าที่3 หมุนข้อไหล่เข้าและออก -จับข้อมือและข้อศอกผู้ป่ วยให้แขนกาง 90 องศา หมุนแขนผู้ป่ วยขึ้น และหมุนแขนผู้ป่ วยลง


17 ท่าที่4 งอข้อศอกและเหยียดแขนออก - จับข้อมือและข้อศอกผู้ป่วย งอแขนผู้ป่วยเข้าแล้วเหยียดออก ท่าที่5 กระดกข้อมือขึน้และลง -จับข้อมือและนิ้วมือทั้งสี่ของผู้ป่ วยกระดกข้อมือขึ้นและลง ท่าที่6 กา นิว้มือเข้าและเหยียดนิว้มือออก - จับนิ้วหัวแม่มือและนิ้วทั้งสี่ของผู้ป่ วย ก านิ้วมือทั้งสี่เข้าและเหยียดนิ้วมือทั้งสี่ออก ท่าที่7 กระดกนิว้หัวแม่มือขึน้และลง - จับนิ้วหัวแม่มือและนิ้วทั้งสี่ของผู้ป่ วย กระดกนิ้วขึ้น และลง การบริหารส่วนขา ท่าที่1 การงอขาเข้าและเหยียดขาออกของข้อสะโพกและข้อเข่า -จับที่ข้อเท้าและข้อเข่ายกขางอเข้าให้มากที่สุด ค่อยๆเหยียดขาออก


18 ท่าที่2 การกางขาออกและหุบขาเข้าของข้อสะโพก -จับข้อเท้าและข้อเข่ากางขาออกและหุบขาเข้า ท่าที่3 การกระดกข้อเท้าขึน้และกระดกข้อเท้าลง -จับข้อเท้าและส้นเท้ากระดกข้อเท้าขึ้นและกระดกข้อเท้าลง ท่าที่4 การหมุนปลายเท้าเข้าและออก - จับข้อเท้าและปลายนิ้วเท้าบิดปลายเทาเข้าและออก


19 การวางแผนการดูแลและจา หน่ายผู้ป่วยทไี่ด้รับบาดเจ็บทศี่ีรษะ ตามกระบวนการ D – METHOD D = Disease - ความรู้เรื่องโรค ภาวะแทรกซ้อน การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะนอกจากบาดแผลภายนอกแล้วสมอง อาจได้รับการกระทบกระเทือนขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่ได้รับ -แพทย์อธิบายให้ญาติทราบถึงพยาธิสภาพของโรค แผนการรักษาและพยากรณ์โรค - พยาบาลให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการผู้ป่ วยและการรักษาของแพทย์ -อาการส าคัญที่ต้องสังเกตหลังเกิดภาวะบาดเจ็บที่ศีรษะและมาพบแพทย์ทันทีได้แก่ 1. ระดับความรู้สึกตัว (Conscious level) ไม่เหมือนเดิมเช่น ปลุกไม่ตื่น ซึม เรียกไม่รู้สึกตัว เอะอะ โวยวาย ท าตามสั่งไม่ได้ 2. แขนขาอ่อนแรง (Weakness) หรือเดินไม่เหมือนเดิม 3. ชัก (Convulsion) หรือมีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อ 4. ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน 5. ปวดศีรษะ (Headache) หรือมึนศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม และไม่ดีขึ้นหลังทานยาแก้ปวดแล้ว 2 ชั่วโมง 6. คลื่นไส้หรืออาเจียน (Nausea / Vomiting) 7. ความจ า (Cognitive) หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไป (Behavior change) 8. การนอนหลับ (Sleep Pattern) ผิดไปจากเดิม 9. มีเลือดใสๆหรือน ้าใสๆไหลออกจากจมูก หูหรือไหลลงคอ M = Medication -ซักประวัติการได้รับยา การแพ้ยาและโรคเดิมของผู้ป่ วย - ให้ยาตามแผนการรักษา, การรับประทานยาต่อเนื่อง เฝ้าระวังอันตราย/ผลข้างเคียงจากยา 1. ยาบรรเทาอาการปวดอักเสบ เช่น - ยาพาราเซตามอล เป็นยาที่นิยมน ามาใช้ลดไข้และบรรเทาอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่ควรรับประทานติดต่อกันนานเกิน 5 - 7 วันเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อตับ - ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs; NSAIDs) ทรามาดอล เป็นต้น ใช้บรรเทาอาการปวดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และในรายที่มีอาการอักเสบ หรือ บวมแดงร่วมด้วย อาการข้างเคียงเช่น ระคายเคืองกระเพาะอาหารและล าไส้ท าให้มีอาการปวดท้อง แสบ ท้อง อาหารไม่ย่อย ทางเดินอาหารเป็นแผล หรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหารซึ่งสังเกตได้จากการที่มี อุจจาระปนเลือด หรือมีสีด า หรืออาเจียนเป็นเลือด ดังนั้นยากลุ่มนี้จึงควรรับประทานหลังอาหารทันที


20 อาการแพ้เช่น ผื่นคันตามร่างกาย แน่นหน้าอก หายใจล าบาก หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรทันที 2. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Antibiotics: ใช้ในกรณีที่ผู้ป่ วยมีบาดแผลที่สงสัยว่าจะมีการติดเชื้อหรือ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น บาดแผลที่สกปรกมีอาการบวมแดงรอบแผล หรือมีไข้ร่วมด้วยอาการผิดปกติเช่น คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะรุนแรง ผื่นคันตามร่างกาย เจ็บบริเวณตาปาก หรืออวัยวะเพศ แน่น หน้าอกหายใจล าบาก ยากลุ่มนี้ต้องทานติดต่อกันจนหมด ห้ามหยุดยาเอง เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการดื้อยา และการกลับเป็นซ ้า 3. ยากันชัก (Antiepileptic drugs): ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาอาการชัก ในผู้ป่ วยที่มีการบาดเจ็บ ทางสมองปานกลางถึงรุนแรงหรือผู้ป่ วยได้รับการผ่าตัดสมองยากันชักบางชนิดจะมีผลท าให้เกิดอาการง่วง ซึม ตาพร่ามัว ทรงตัวล าบากต้องเฝ้าระวังการพลัดตกหกล้ม หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ ยากลุ่มนี้ต้อง ทานสม ่าเสมอตามระยะเวลาที่แพทย์แนะน า ห้ามหยุดยาเอง เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการกลับมาชักซ ้าและจะ ท าให้การรักษายากขึ้น E = Environment and Economic - สังเกตและซักถามเพื่อประเมินผู้ป่ วยและครอบครัว สิ่งแวดล้อมทางสังคมและภาวะเศรษฐกิจ - ซักถามและให้ข้อมูลเพื่อด าเนินการด้านสิทธิการรักษา - ค้นหา Care giver หรือผู้ดูแลผู้ป่ วยเมื่อจ าหน่าย - การจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด ปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุ T = Treatment - ให้การพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล - ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลกดทับ, การติดเชื้อใน รพ.,ข้อติดแข็ง - ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตกเตียง, การดึงท่อช่วยหายใจและท่อระบายต่างๆ - ภาวะเร่งด่วนที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น ปลุกไม่ตื่น ซึม เรียกไม่รู้สึกตัว เอะอะโวยวาย ท าตามสั่ง ไม่ได้ แขนขา อ่อนแรง ชักเกร็งกระตุก ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน ปวด ศีรษะหรือมึนศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม และไม่ดีขึ้นหลังทานยาแก้ปวดแล้ว 2 ชั่วโมง คลื่นไส้ หรือ อาเจียน ความจ า หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปมีเลือดใสๆหรือน ้าใสๆ ไหลออกจากจมูก หู หรือ ไหลลงคอ H = Health - คือการส่งเสริม ฟื้นฟู สภาพทางร่างกายและจิตใจ ตลอดจนป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ - ให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการให้การพยาบาลง่ายๆ


21 - อธิบายและให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการทั่วไปของผู้ป่ วยและวิธีการดูแล - ร่วมกับญาติในการวางแผนการดูแลผู้ป่ วย O = Outpatient - ซักถามและตรวจสอบแหล่งประโยชน์ในชุมชน - ส่งต่อข้อมูลผู้ป่ วยไปยังสถานพยาบาลใกล้บ้าน - ให้ค าแนะน าเรื่องการมาตรวจตามนัด เช่น การเจาะเลือด, x-ray ก่อนพบแพทย์ ที่คลินิก ศัลยกรรมประสาท - การติดต่อขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน 1669 D = Diet - ประเมินภาวะโภชนาการเดิมของผู้ป่วย - ดูแลให้ผู้ป่ วยได้รับอาหารตามแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะทุพโภชนาการ เช่น การได้รับบาดเจ็บทางใบหน้า กราม หรือฟัน ส่งผลต่อการเคี้ยวบดอาหาร ทานได้แต่อาหารเหลว การได้รับบาดเจ็บทางสมอง ศีรษะกระแทก มีปัญหาด้านการเคี้ยวกลืน ผู้ป่ วยที่ไม่รู้สึกตัวไม่สามารถทาน อาหารได้เอง - ติดตามประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่ วยขณะอยู่ รพ. เช่น ได้รับอย่างเพียงพอกับความ ต้องการ , ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ


Click to View FlipBook Version