The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Boredom : ความเหนื่อยหน่าย ความเบื่อหน่าย ระอา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Noorainee Chederamae, 2022-12-28 22:08:58

Boredom : ความเหนื่อยหน่าย ความเบื่อหน่าย ระอา

Boredom : ความเหนื่อยหน่าย ความเบื่อหน่าย ระอา

Boredom : ความเหนอื่ ยหน่าย ความเบื่อหน่าย ระอา

ดร.อภิรชั ศักดิ์ รัชนวี งศ์

ความเบอื่ หน่ายเปน็ สภาวะทางอารมณ์และทางจิตใจ ในบางคร้ัง เกิดขึ้นเม่ือบุคคลถูกท้ิงไว้โดยไม่ได้
ทาอะไรเป็นพิเศษ ไม่สนใจส่ิงรอบข้าง หรือรู้สึกว่าวันหรือช่วงเวลาน่าเบ่ือหรือน่าเบ่ือหน่าย นักวิชาการ
ยงั เข้าใจด้วยว่าเป็นปรากฏการณส์ มยั ใหมท่ ีม่ ีมิตทิ างวัฒนธรรม "ไม่มคี าจากัดความที่ยอมรับกันทั่วไปของความ
เบ่ือหนา่ ย แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นักวิจัยเถียง มันไม่ได้เป็นเพียงช่ืออื่นสาหรับภาวะซึมเศร้าหรือความ
ไม่แยแส ดูเหมือนว่าจะเป็นสภาพจิตใจที่เฉพาะเจาะจงท่ีผู้คนพบว่าไม่เป็นท่ีพอใจ – การขาดการกระตุ้น
ที่ทาให้พวกเขากระหาย บรรเทาทุกข์ด้วยผลกระทบทางพฤติกรรม ทางการแพทย์ และสังคมมากมาย"
ข่าว บีบีซี ความเบื่อหน่าย "...อาจเป็นสภาวะจิตใจท่ีอันตรายและก่อกวนซ่ึงทาลายสุขภาพของคุณ" ทว่า
การวิจัย "...แนะนาว่า ถ้าปราศจากความเบ่ือ เราไม่สามารถบรรลุผลงานสร้างสรรค์ของเราได้" อลิซาเบธ
กู๊ดสไตน์ (Elizabeth Goodstein) ติดตามวาทกรรมสมัยใหม่เก่ียวกับความเบ่ือหน่ายผ่านตาราวรรณกรรม
ปรัชญา และสังคมวิทยา เพ่ือพบว่าเป็น "ปรากฏการณ์ที่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ...ความเบ่ือหน่ายเกิดข้ึน
พร้อมกันทั้งวัตถุประสงค์และตามอัตวิสัย อารมณ์ และปัญญา-ไม่ใช่ เป็นเพียงการตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่
แต่ยังเป็นกลยุทธ์ท่ีจัดต้ังข้ึนตามประวัติศาสตร์เพื่อรับมือกับความไม่พอใจ" [3]ในแนวความคิดท้ังสอง ความ
เบือ่ หน่ายตอ้ งทาโดยพน้ื ฐานจากประสบการณ์ของเวลา เชน่ ประสบกบั เวลาช้าและปัญหาของความหมาย

นักวิชาการต่างใช้คาจากัดความของความเบ่ือหน่ายท่ีแตกต่างกัน ซึ่งทาให้การวิจัยซับซ้อนขึ้น
ความเบ่ือหน่ายถูกกาหนดโดยซินเทีย ดี. ฟิชเชอร์ (Cynthia D. Fisher) ในแง่ของกระบวนการทางจิตวิทยา
ทีเ่ ปน็ ศูนย์กลางหลกั "สภาพอารมณ์ทไ่ี ม่พึงปรารถนาช่ัวคราว ซ่ึงบุคคลรู้สึกว่าขาดความสนใจ อย่างแพร่หลาย
และมีปัญหาในการจดจ่อกับกิจกรรมปัจจุบัน" มาร์ค เลียรี และคณะ (Mark Leary and team) อธิบายความ
เบ่ือหน่ายว่าเป็น "ประสบการณ์ทางอารมณ์ท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการรับรู้ทางปัญญา" Robert Plutchik
มีลักษณะเบื่อหน่ายเป็นความรังเกียจเล็กน้อย ในทางจิตวิทยาเชิงบวกความเบ่ือหน่ายอธิบายว่าเป็น
การตอบสนองต่อความท้าทายปานกลางซ่ึงตัวแบบมีทักษะมากเกินพอ ซึ่งความเบื่อหน่ายมีสามประเภท
ทั้งหมดเก่ียวข้องกับปัญหาความสนใจ ซ่ึงรวมถึงเวลาที่มนุษย์ถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ต้องการ
เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ไม่ต้องการ หรือเมื่อผู้คนไม่สามารถรักษาการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมได้ด้วยเหตุผลอ่ืน ความเบ่ือหน่ายมีแนวโน้มที่จะประสบกับความเบ่ือหน่ายทุกประเภท โดยทั่วไป
จะได้รับการประเมินโดยมาตราส่วนความโน้มเอียงของความเบื่อหน่าย การวิจัยพบว่า ความโน้มเอียงที่เบ่ือ
หนา่ ยมคี วามชัดเจนและสม่าเสมอเชื่อมโยงกับความล้มเหลวของความสนใจ ความเบ่ือหน่ายและความมักง่าย
น้ัน มีความเช่ือมโยงทั้งในทางทฤษฎีและเชิงประจักษ์กับภาวะซึมเศร้าและอาการที่คล้ายคลึงกัน ความ
โน้มเอียงท่ีเบื่อหนา่ ยได้รับการพบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการเพิกเฉยเช่นเดียวกับภาวะซึมเศร้า แม้ว่า
ความเบ่ือหน่ายมกั ถกู มองวา่ เปน็ เรอื่ งเลก็ นอ้ ยและน่าราคาญเล็กน้อย แต่ความโน้มเอียงที่จะเบ่ือก็เช่ือมโยงกับ
ปัญหาทางจิตใจร่างกาย การศึกษาและสังคมท่ีหลากหลายมาก การขาดสติเป็นที่ที่บุคคลแสดงพฤติกรรม
ที่ไม่ต้ังใจหรือหลงลืม การขาดสติเป็นภาวะทางจิตท่ีผู้ถูกทดลองประสบกับความสนใจในระดับต่าและฟุ้งซ่าน
บ่อยคร้ัง การขาดสติไม่ใช่อาการที่วินิจฉัยได้ แต่เป็นอาการของความเบื่อหน่ายและง่วงนอนซึ่งผู้คนประสบใน
ชีวิตประจาวัน เม่ือทุกข์จากอาการหมดสติ ผู้คนมักจะแสดงสัญญาณของความจาเส่ือมและความจาที่อ่อนแอ
ถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นผลจากภาวะอ่ืนๆ ท่ีแพทย์มักวินิจฉัย เช่น โรคสมาธิสั้นและภาวะซึมเศร้า



นอกจากการไม่มีสติสัมปชัญญะที่นาไปสู่ผลท่ีตามมามากมายท่ีส่งผลต่อชีวิตประจาวันแล้ว ยังอาจมีปัญหา
ร้ายแรงในระยะยาวได้อีกด้วย ความเกียจคร้านเป็นสภาวะของความเหน่ือยล้า เหน่ือยล้าหรือขาดพลังงาน
อาจมาพรอ้ มกับภาวะซมึ เศร้า แรงจงู ใจทีล่ ดลง หรอื ไมแ่ ยแส ความเกียจคร้านอาจเป็นการตอบสนองตามปกติ
ต่อความเบื่อหนา่ ย การนอนหลับไม่เพียงพอ การออกแรงมากเกินไป การทางานมากเกินไป ความเครียด การ
ขาดการออกกาลังกาย หรืออาการผิดปกติ เมื่อเป็นส่วนหน่ึงของการตอบสนองตามปกติ ความง่วง
มักจะหายไปด้วยการพักผอ่ น นอนหลบั ใหเ้ พียงพอ ความเครยี ดลดลงและโภชนาการที่ดี

ในเชิงปรัชญา ความเบื่อหน่ายยังมีบทบาทในความคิดอัตถิภาวนิยม Soren Kierkegaard (โซเรน
เคียร์เคการ์ด) และ Friedrich Nietzsche (ฟรีดริช นิทเช่) เป็นนักปรัชญากลุ่มแรกท่ีถือเป็นรากฐานของ
ขบวนการอัตถิภาวนิยมเช่นเดียวกับปาสกาล (Pascal) พวกเขาสนใจในการต่อสู้เงียบๆ ของผู้คนด้วยความ
ไร้ความหมายที่ชัดเจนของชีวิตและการใช้ความเบี่ยงเบนเพ่ือหนีจากความเบื่อหน่าย ท้ังสอง/หรือของ
Kierkegaard อธิบายวิธีการหมุนซึ่งเป็นวิธีการท่ีสุนทรีย์ระดับสูงใช้เพ่ือหลีกเลี่ยงความเบื่อหน่าย วิธีการน้ี
เป็นสิ่งที่จาเป็นอย่างย่ิงยวดด้านสุนทรียภาพของชีวิต สาหรับสุนทรียศาสตร์ เราเปลี่ยนแปลงสิ่งท่ีกาลัง
ทาอยู่เสมอเพื่อเพ่ิมความเพลิดเพลินและความสุขท่ีได้รับจากแต่ละกิจกรรมให้มากท่ีสุด ในบริบทท่ีคนๆ หน่ึง
ถูกจากัด พื้นที่หรืออย่างอื่น ความเบื่ออาจพบกับกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ไม่ใช่เพราะศาสนาต้องการ
เช่ือมโยงกับความเบ่ือหน่าย แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเบื่ออาจเป็นเง่ือนไขสาคัญของมนุษย์ ซึ่งพระเจ้า
ปัญญาหรือศีลธรรมคือคาตอบสุดท้าย นักปรัชญาอัตถิภาวนิยมหลายคน เช่น Arthur Schopenhauer
(อาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์) เห็นด้วยกับมุมมองนี้ มุมมองของศาสนาท่ามกลางความเบ่ือหน่ายนี้ส่งผลต่อความถ่ี
ท่ผี ู้คนเบอ่ื หนา่ ย ผู้ทมี่ ีศาสนาสูงกวา่ ในขณะทที่ างานท่ีน่าเบือ่ รายงานวา่ มคี วามเบ่ือน้อยกว่าคนที่นับถือศาสนา
น้อยกวา่ คนท่ีทาภารกิจทีไ่ ร้ความหมายตอ้ งคน้ หาความหมายน้อยลง

ในภาษาไทยเราจะใช้คาว่า “เบื่อ” กับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อเราเอาภาษาอังกฤษมาเทียบ พบว่า
บางครั้งเราเบ่ือแบบ bored แต่บางคร้ังเราก็ใช้คาว่า “เบื่อ” ในความหมาย เช่น irritated หรือ annoyed
นั่นคือหน่ายหรือราคาญ เช่น เราอาจเบื่อ (bored) กับงานของตัวเอง แต่เราอาจจะรู้สึกว่าปัญหาท่ีเกิดขึ้นใน
งานน้ัน “น่าเบื่อ” (เพราะเราไม่สามารถจัดการได้) ซึ่งอาจไปตรงกับคาว่า irritating มากกว่า น่ันคือ ชวนให้
หงุดหงดิ งนุ่ งา่ นใจ ในแตล่ ะวัน เราอาจเบื่องาน เบ่ือแฟน เบ่ือเพ่ือน เบื่อรถติด เบ่ือเจ้านาย เบ่ือผู้บังคับบัญชา
เบ่ือลูกน้อง เบ่ือส่ิงที่คนอ่ืนเป็น หรือกระท่ังเบ่ือส่ิงท่ีเราเป็น แต่ความเบื่อน้ันก็ไม่ได้มีอยู่แบบเดียว ลองแยก
งา่ ยๆ วา่ เราเบอื่ เพราะไม่มีอะไรจะทา กับเราเบ่ือเพราะต้องทาอะไรก็ต่างกันมากแล้ว ก่อนท่ีจะ “เบื่อให้ได้ดี”
เราอาจต้องแบง่ ประเภทความเบื่อออกมาดูกอ่ นว่าเรากาลงั เบ่ือแบบไหน1

ที่มา https://thematter.co/thinkers/bored/29494


ความเบื่อมีอยู่สามประเภท1 คือ (๑) ความเบื่อที่เกิดจากการไม่ได้ทาสิ่งท่ีอยากทา (๒) ความเบ่ือ
ท่ีเกิดจากการต้องทาส่ิงท่ีไม่อยากทา (๓) ความเบ่ือท่ีโดยไม่มีเหตุผลที่ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งท่ีทาอยู่ หรือ
สิ่งท่ีดูอยู่ได้. ส่วนทีมนักวิจัยเยอรมันเคยแบ่งความเบ่ือออกเป็นห้าสถานะ คือ (๑) indifferent ไม่แยแส
(๒) calibrating สอบเทียบ (๓) searching กาลังค้นหา (๔) reactant สารตั้งต้น (๕) apathetic เฉยเมย
โดยอธบิ ายว่า ความเบอ่ื แบบ indifferent นัน้ มาจากการขาดการกระตุ้นและเป็นความเบ่ือแบบที่แย่น้อยที่สุด
(เช่น ความเบื่อที่คุณรู้สึกตอนกลับมาท่ีบ้านแล้วแฟนบ่นเรื่องงาน แล้วคุณก็เหนื่อยเกินกว่าจะฟัง)
ส่วน apathetic boredom เป็นความเบื่อแบบท่ีคุณเบื่อมากๆ จนไม่สามารถบอกตัวเองให้ลุกข้ึนมาทาอะไร
ไดเ้ ลย ในขณะท่ี reactant เป็นความเบอ่ื แบบมีการกระตุน้ สูงและเป็นความเบอื่ ที่ทาใหร้ ู้สึกแย่ท่ีสุด

ท่ีมา https://thematter.co/thinkers/bored/29494
มาตรวัดความเบ่อื 1
ถงึ แมค้ วามเบอื่ จะดเู หมือนว่าเป็นสงิ่ ทีจ่ ับต้องไม่ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามวัดระดับความเบื่อ
ออกมาจนได้ โดยความเบื่อสามารถถูกวัดได้ด้วยสองตัววัดหลักๆ มาตรวัดชื่อ BPS (Boredom Proneness
Scale) ซ่ึงถูกคิดขึ้นโดยนักจิตวิทยา เป็นมาตรวัดที่ทาให้เรารู้ว่าตัวเราเองหรือใครสักคนเบ่ือง่าย แค่ไหน โดย
ใหต้ อบแบบสอบถามที่ให้เราใหค้ ะแนนตง้ั แต่ 1 (เหน็ ดว้ ยน้อยสุด) ไปจนถึง 7 (เห็นด้วยท่สี ดุ ) ตัวอย่างประโยค
เชน่ “การถกู บงั คับให้ดโู ฮมมูฟว่หี รอื รปู ถา่ ยตอนไปเทย่ี วของคนอ่ืนทาให้ฉันเบ่ือมาก” หรือ “ฉันไม่ค่อยต่ืนเต้น
กบั งานของตัวเอง”
จอห์น อีสท์วู้ด (John Eastwood) นักจิตวิทยา New York University และ BoredomLab.org
แนะนาเครื่องมือวัดความเบ่ือช่ือ BPS หรือ Boredom Proneness Scale ซ่ึงถูกคิดข้ึนโดยนักจิตวิทยา
สองคนคือ Richard Farmer และ Norman D. Sundberg ในปี 1986/2529 ซึ่งเคร่ืองมือนี้จะเป็น
มาตรวัดที่ทาให้เรารู้วา่ ตัวเราเองหรือใครสักคน “เบ่ือง่าย” แค่ไหน จากการตอบแบบสอบถามแบบให้น้าหนัก



คะแนน หรือ Rating scale ตั้งแต่ 1 ถึง 7 คะแนน… ซ่ึง John Eastwood อธิบายว่า คนที่ได้คะแนน BPS
สูงมักจะมีช่วงความสนใจ หรอื สมาธิ หรือ Attention Spans ที่สั้น…ภายใต้นิยามความสนใจ หรือ Attention
ไว้ว่า…คือความสามารถในการบริหารการมีส่วนร่วมต่อโลกภายนอก หรือ Engagement With The World
นั่นแป ลว่า …ควา มเบ่ื อหน่ ายส่ว นให ญ่เกิ ดจา กกา รแยก ส่วน ของ โลก ส่วน ตัว กับ โลก ภาย นอก ท่ีแว ดล้อม
ในขั้นสร้างประสบการณ์ให้รู้สึกไม่สุขสบายทางใจและทัศนคติ5บอกว่า คนที่ได้คะแนน BPS เยอะๆ มักจะมี
ช่วงความสนใจหรือสมาธิ (attention spans) ที่ส้ัน เขานิยามว่าความสนใจ (attention) คือ “ความสามารถ
ในการบริหารความมีส่วนร่วมต่อโลกรอบข้าง” (regulate your engagement with the world) ซ่ึงคาว่า
engage หรอื “รู้สึกมสี ว่ นรว่ ม รสู้ กึ เปน็ อันหนึ่งอันเดียวกับโลกรอบข้าง” น้ีเอง ที่ทาให้ใครคนหน่ึงไม่เบื่ออะไร
ง่ายๆ มาตรวัดอีกแบบช่ือ MSBS (Multidimensional State Boredom Scale) มาตรวัดน้ีจะต่างจาก
แบบแรกตรงท่ีไม่ได้เป็นการวัดว่าคนคนหนึ่งเบ่ือง่ายหรือยาก แต่เป็นการวัดระดับความเบื่อในสถานการณ์
ต่างๆ เฉพาะช่วงเวลา (เช่น คุณเบ่ือตอนที่มีคนท่ีคุณอยากหลีกเล่ียงมาชวนคุยย้าวยาวจะหลบ ก็ไม่ได้
โว้ย มากกว่า คุณเบ่ือตอนท่ีรถติดเส้นสุขุมวิทตอนหกโมงเย็นหรือเปล่า) โดยจะใช้วิธีตอบคาถามเหมือนกัน
แตเ่ ปน็ คาถามอกี ชดุ เชน่ “ฉันกาลังตดิ อยู่ในสถานการณ์ที่ฉันรู้สึกไม่เกี่ยวข้อง” “ฉันกาลังเหงา” หรือ “ฉันถูก
บังคบั ให้ทาอะไรท่ฉี นั ไม่เหน็ คา่ ”

ความเบื่อกลายเป็นส่ิงที่สนใจในแวดวงวิชาการกันมากๆ เพราะมันเป็นภาวะที่นาไปสู่หลายส่ิงหลาย
อย่าง การศึกษาว่า ความเบื่ออาจทาให้คนเราขับรถแย่ลง ด่ืมมากข้ึน มีเซ็กซ์ความเส่ียงสูงมากขึ้น กินขนม
มากขึ้นแบบไมค่ ิดดว้ ยนะวา่ กนิ อะไรเขา้ ไปบา้ งและทีส่ าคญั คอื ทาให้คนติดพนนั ความเบื่อยังอันตรายขนาดที่ว่า
มีทีมนักจิตวิทยาทีมหนึ่งพบว่า ผู้ชายสองในสามและผู้หญิงหนึ่งในสี่ยอมที่จะถูกไฟช็อต แทนที่จะต้องนั่งอยู่
เฉยๆ เป็นเวลา 15 นาที เพราะพวกเขา ‘ขอรู้สึกอะไรสักนิด ดีกว่าท่ีจะน่ังเบ่ือโดยไม่ทาอะไรเลย’ มีชาย
คนหน่ึงทเ่ี อาไฟชอ็ ตตวั เองถงึ 190 ครั้ง เพอ่ื ไม่ใหเ้ บือ่ (บ้าไปแล้ว!)

ทีม่ า https://thematter.co/thinkers/bored/29494

งานสัมมนาวิชาการเก่ียวกับความเบื่อเด่นๆ สองแห่ง คือ Boredom Conference ที่มีสโลแกน
ก๊ิบเก๋ว่า “Boredom Academically” (ความเบ่ือออย่างเป็นวิชาการ) โดยในงานมีการพูดถึงความเบื่อใน
แง่มมุ ตา่ งๆ เช่น “เวลาและความหมายของความเบื่อ” “ความเบื่อของนักวิทยาศาสตร์” หรือที่น่าสนใจมากๆ



คือหัวข้อเรื่อง “การใช้ความเบื่อเป็นหนทางรักษาอาการติดชีวิต” (Boredom as a therapy for the
addiction to life) ท่บี อกวา่ เบ่อื เยอะๆ เถอะ เปน็ วคั ซนี ป้องกนั ความเบือ่ ได้ในอนาคต อีกงานเป็นงานสัมมนา
ท่ีต้ังใจพูดเรื่องน่าเบ่ือ ช่ือว่า The Boring Conference โดยอธิบายว่า “งาน Boring Confenence คืองาน
หนึ่งวันที่จะเฉลิมฉลองส่ิงปกติธรรมดา ส่ิงท่ีรู้กันอยู่แล้ว และสิ่งท่ีถูกมองข้าม หัวข้อเหล่าน้ีมักถูกมองว่า
ไร้สาระไม่มีประเด็นอะไร แต่เมื่อมองดีๆ พบว่าน่าสนใจมาก” ตัวอย่างหัวข้อพูดเช่น “การจาม ขนมปังป้ิง
เสียงที่ตู้กดน้า บาร์โค้ด เส้นสีเหลือง” และอื่นๆ เม่ือพลิกมุมกลับ-ปรับมุมมองกับความเบ่ือ ก็จะพบว่า จริงๆ
ความเบ่ือมันบอกอะไรเก่ียวกับตัวเราได้เยอะเหมือนกัน หน่ึงคือมันสามารถให้ภาพร่างคร่าวๆ ได้ว่า “จริงๆ
แล้วเราสนใจอะไร” นักวิจัยบอกว่าเราอาจแบ่ง “แรงจูงใจ” (motivation) ได้สองประเภทใหญ่ๆ หนึ่ง
คือแรงจูงใจประเภท behavioral-activation ที่จะขับให้เราออกไปยังโลกกว้าง เพื่อค้นพบส่ิงใหม่ กับอีกแบบ
(สอง) คือแรงจูงใจประเภท behavioral-inhibition คือแรงจูงใจประเภทที่ดึงเรากลับเข้ามาอยู่ในเซฟโซน
ซึ่งถ้าเรามีแรงจูงใจประเภทใดประเภทหนึ่งในสองประเภทน้ีสูงๆ เราก็จะเบื่อง่าย ทาไม? เพราะผู้ที่มีแรงจูงใจ
สัมผัสประสบการณ์ใหม่มากๆ นั้น จะรู้สึกว่า “โลกหมุนช้าไปสาหรับพวกเขา” เม่ือพวกเขาไม่ได้ทาอะไรให้
อะดรีนาลีนหลั่ง จึงรู้สึกเบื่อ ส่วนผู้ท่ีมีแรงจูงใจให้กลับบ้านมากๆ น้ัน ก็จะเบื่อง่ายเพราะแรงจูงใจที่อยากเก็บ
ตัวอยู่ในเซฟโซน มักกีดกันพวกเขาจากประสบการณ์ใหม่ๆ นั่นคือ เราอาจต้องรักษาสมดุลระหว่างแรงจูงใจ
สองแบบนใี้ หด้ ี

นักคิดบางคนยังเช่ือว่า ‘ความเบ่ือในปริมาณพอเหมาะพอสม ในโลกท่ีมีแต่สิ่งวุ่นวายกวนใจ’ น้ัน
ดอี ีกด้วย เช่น หนังสือ How to be bored ของ Eva Hoffman เขียนข้ึนมาบนหลักคิดนี้ เธอบอกว่า “ในโลก
เทคโนโลยที จ่ี ริงๆ กใ็ ห้ประโยชนม์ ากมาย แต่มนั กน็ าปัญหามาด้วยเช่นกัน ฉันคิดว่าการหลีกเลี่ยงไม่ใช้อุปกรณ์
ดิจิทัลในชีวิตประจาวันน้ันเป็นเรื่องยากมาก” และเช่นเคยกับนักคิดสายนี้ เธอคิดว่าการติด “จานวนรีทวีต
และเฟซบุ๊ซไลก์” นั้น อาจทาให้เราคุ้นชินกับการได้รางวัล เธอจึงคิดว่า ความเบ่ือน้ันสาคัญตรงที่ว่า มันให้
โอกาสสมองในการพักหายใจ เช่น “การหยุดน่ิงสัก 15 นาที ในตอนเช้าหรือตอนเย็น ปิดมือถือ แล้วนั่งคิด
อะไรเร่ือยเป่ือยไปเรื่อยๆ” กอ็ าจจะเปน็ เร่อื งดีสาหรบั เรา

Eva บอกว่า เราต้องการ ‘ความเบ่ือแบบละมุนละไม’ (gentle boredom) ซ่ึงเป็นภาวะดีๆ ท่ีทาให้
เรารู้สึกกับช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งได้ โดยที่ไม่ต้องทาอะไร ความเบื่อยังอาจมีข้อดีมากมาย เช่น งานศึกษา
Bored George Helps Others: A Pragmatic Meaning-Regulation Hypothesis on Boredom and
Prosocial Behaviour บอกว่า คนท่ีเบ่ือจะเบื่อจนอยากทาอะไรท่ีมีความหมาย เช่น การช่วยคนอ่ืน นักวิจัย
ยกตัวอย่างว่า “ความเบ่ืออาจเป็นแรงจูงใจให้คนทาอะไรที่ไม่ชอบ (unpleasant) แต่มีความหมาย เช่น
การบริจาคเลือด หรือบริจาคเงิน” อีกข้อดีหน่ึงที่มักมีคนยกข้ึนมาคือ จริงๆ แล้ว ความเบื่อหน่ายในช่วงเวลา
สั้นๆ อาจทาให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีข้ึน เช่น งานวิจัยหน่ึงบอกว่า เม่ือให้อาสาสมัครคิดวิธีแก้โจทย์
ปัญหาหน่ึงๆ เม่ือคาตอบง่ายๆ ถูกตอบไปหมดแล้ว พวกเขาก็ยังตอบเพิ่มได้เรื่อยๆ และสร้างสรรค์ขึ้นเร่ือยๆ
(เพ่ือไม่ให้เบ่ือ) หรืออีกงานวิจัยท่ีให้อาสาสมัครคิดวิธีใช้งานแปลกใหม่สาหรับอุปกรณ์ในบ้าน (เช่น ไม้แขวน
เสอ้ื หรือเครอ่ื งดูดฝ่นุ ) กลุ่มที่ถูกบังคับให้ทาอะไรนา่ เบอื่ ก่อนตอบคาถาม จะคิดวิธีการใช้งานแปลกใหม่ได้ก่อน
กลมุ่ ที่ไม่ถกู บงั คบั



ที่มา https://thematter.co/thinkers/bored/29494
ในเชิงสรีวิทยา สมองของมนุษย์ถือได้ว่าเป็นเคร่ืองมืออันทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงมาก
ตลอดเวลาที่ลืมตาต่ืน สมองของเราพยายามจะใช้ความคิดในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญ
ในแต่ละวัน โดยไม่จากัดว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่มากแค่ไหน สมองของเราคอยจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา
ท้ังหมด ซึ่งแม้ว่าสมองของเราจะมีขนาดความจาเทียบเท่ากับเมมโมรีการ์ด 2.5 ล้านกิกะไบต์ โดยเฉลี่ยแล้ว
มนุษย์ทั่วไปสามารถใช้ศักยภาพสมองของตนเองได้เพียงแค่ประมาณ 10% แต่สมองของมนุษย์ก็ยังมีขีดจากัด
เหมือนกับเคร่ืองยนต์ การใช้งานมันอย่างไม่ลดละ เกินกาลัง ย่อมทาให้เกิดอาการ ‘เคร่ืองร้อน’ (Overheat)
ได้เชน่ กัน
งานวิจัยของ อลิเซีย วอล์ฟ (Alicia Walf)4 นักประสาทวิทยา สาขาวิทยาการปัญญา (Cognitive
Science) ประจาสถาบันโพลิเทคนิคเรนส์ซเลียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนาว่า การปล่อยให้ตัวเองน้ัน
รู้สึกถึงความเบื่อหน่ายบ้างเป็นคร้ังคราว มีความสาคัญเป็นอย่างย่ิงในการรักษาสมองของเราให้คงอยู่ใน
สุขภาพที่ดีและแข็งแรง ‘ความเบื่อหน่าย’ (Boredom) น้ันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิสัมพันธ์
ทางสังคมได้ โดยสมองจะทาการรีเซ็ตตัวเองกลับไปอยู่ในโหมดค่าเร่ิมต้น (Default Mode) เม่ือมันได้รับการ
หยุดพักจากการใช้งานท่ีต่อเนื่องยาวนาน ซ่ึงเป็นการพักไม่ใหัเคร่ืองร้อนเกินไป นอกจากนี้ ความเบ่ือหน่าย
ยังสามารถส่งเสริมในเร่ืองของความคิดสร้างสรรค์ เพราะการทาให้สมองไม่ต้องอยู่ในสภาวะน้าเต็มแก้ว
ตลอดเวลา จะช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ได้มีระยะฟักตัว บ่มเพาะไอเดียที่ดีสาหรับการทางานครีเอทีฟ
เหมือนกับเวลาที่ไอเดียดีๆ จะไหลเข้ามาตอนสมองเราอยู่ในสภาพผ่อนคลาย เช่น ขณะอาบน้า จนเกิดเป็น
‘ช่วงเวลายูเรกา้ ’ (Eureka Moment) นัน่ เอง ในช่วงเวลาทเ่ี รากาลังทาอะไรน่าต่ืนเต้น สมองจะปล่อยสารเคมี
ที่เรียกว่าโดปามีน (Dopamine) ออกมากระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่ดี เม่ือเหตุการณ์น่าตื่นเต้นจบลง สมองก็จะ
กลับไปอยู่รูปแบบของค่าเริ่มต้น จนหลายคนรู้สึกเบ่ือหรือแม้กระท่ังซึมเศร้าได้ เพียงเพราะสมองไม่คุ้นชินกับ
การมีระดับสารโดปามีนต่า วิธีหนึ่งท่ีจะช่วยได้ก็คือ การฝึกสมองให้เคยชิน หรือแม้กระท่ังสนุกไปกับช่วงเวลา
ทน่ี ่าเบือ่ หนา่ ยจนเกนิ ความคนุ้ ชิน ทาใหส้ ภาวะ ‘เบื่อหนา่ ย’ กลายมาเปน็ สภาวะ ‘ปกต’ิ



Erich Seligmann Fromm (อีริช เซลิกมันน์ ฟรอมม์)5 นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน เคยอธิบายไว้ว่า…
การหาความสนุกสนานเป็นหนทางง่ายท่ีสุดในการสนองความต้องการที่อยากจะหลุดพ้นความเบื่อหน่าย
ที่คุกคาม และ การกลัวความเบ่ือหน่ายมีนัยยะสาคัญในความกลัวของมนุษย์ในยุคสังคมแห่งความทันสมัย
หรือ Modernism… ในโลกของความสนุกสนานเฮฮา เขากลัวความเบ่ือหน่าย เขาจึงดีใจเมื่อแต่ละวันผ่านไป
ด้วยดี เขาคร่าเวลากันทุกช่ัวโมงโดยไม่รู้เลยว่าความเบ่ือนั้นซุ่มซ่อนอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ในหนังสือ
Experience Without Qualities: Boredom and Modernity ของ Elizabeth S. Goodstein… ได้มอง
ความเบื่อหน่ายเป็นประสบการณ์ที่เด่นชัดในความรู้สึกและทัศนคติ ซ่ึงเกิดข้ึนอย่างมีวัตถุประสงค์สอดคล้อง
กับสภาพและสภาวะอันเป็นประสบการณ์ตรง…แต่ส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด ความเชื่อและทัศนคติส่วนตัว
ในทางตรงกันข้ามกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง ประเด็น คือความเบ่ือหน่ายเป็นสัญญาณของความกังวลรูปแบบหน่ึง
ทเ่ี กิดจากทศั นคติขัดแย้งกับสภาพ หรือ ประสบการณ์ทเี่ ป็นจรงิ โดยจะบ่อนทาลายจิตวิทยาส่วนตัวให้เห็นเป็น
“ความไม่ปกติ” ท้ังท่ีรับรู้ด้วยตัวเอง และหรือ ปรากฏให้คนอื่นเห็นร่องรอย “ความไม่สุขสบายทางใจ และ
ทศั นคต”ิ อย่างชดั เจน

วิธใี หเ้ กิดความเบ่อื แบบทเ่ี ราอยากเบื่อ
1. เบอ่ื ใหถ้ กู ประเภท เบอ่ื ผิดประเภทคอื อยา่ งไร เขาบอกว่าความเบอื่ ทไี่ มด่ คี ือความเบ่ือท่เี กดิ จาก
การทาอะไรไรป้ ระเดน็ ไม่มีคุณคา่ แต่เบ่ือถูกประเภทคอื ความเบื่อแบบที่คุณรู้วา่ จริงๆ แล้วคุณก็อยากทาสิ่งนั้น
แหละ แต่คุณเบ่ือ เพราะคุณคิดไม่ออก แบบนี้ ‘ความเบ่ือ’ อาจจะเป็นแค่สัญญาณลวงๆ ของการต่อต้าน
เทา่ นนั้ เอง
2. ตัดสนิ ใจกอ่ นว่าคณุ จะลงมือทางานจรงิ ๆ เมอื่ ไร อยา่ ผดั วนั ประกันพร่งุ
3. ตัดตัวเองออกจากสงิ่ กวนใจและส่งิ รบกวนอนื่ ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตหรอื มือถอื อยา่ เชือ่ ใจตัวเองมาก
เพราะพอเบื่อแลว้ ก็จะบังคับตวั เองไม่อยู่
4. เตรียมตัวเบ่ือ อย่าไปต่อต้านมัน : เขาบอกว่าให้น่ังนิ่งๆ แล้วรู้สึกเบ่ืออย่างเต็มต้ืน แล้วสังเกต
ร่างกายและอารมณ์ให้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้จักความเบ่ือ ศึกษาความเบ่ือของตัวเองว่าเบื่อแล้วเราชอบ
คิดอะไร เราเบอ่ื เพราะอะไรและกาลงั จะทาอะไรต่อไป
5. ถ้าต้องคิดงานก็อย่าเร่งตัวเองให้รีบทามาก : อนุญาตให้ตัวเองยอมไม่ทาอะไรสักพัก หรือ
แค่แก้ตรงนนั้ ตรงน้ีนดิ ๆ หน่อยๆ อย่าไปพยายามบบี ให้ตวั เองตอ้ งเรง่ งานออกมาใหไ้ ด้บดั เด๋ียวนี้
6. ทาให้เป็นนิสัย : สุดท้ายเราจะเห็นรูปแบบของตัวเองว่า พอเบ่ือ แล้วน่ังคิดเร่ือยเป่ือยก็อาจจะ
เร่มิ สงสัย แลว้ เร่มิ สงสยั กเ็ รมิ่ สนใจ เร่ิมสนใจก็จะจมกับงานได้ เม่ือเห็นวงจรแบบน้ี เราอาจจะเบื่อในคร้ังต่อไป
(ซ่ึงแก้ไม่ได้) ก็จริง แต่เราจะเบื่ออย่างมีความหวัง เราจะรอสเต็ปต่อไปของการเบื่อ แล้วเราก็จะไม่เบื่อ
จนนอยด์ (noid) ตวั เอง

วธิ กี ารจัดความเบือ่
1. ขยายเครือข่ายคนรู้จัก (แบบออฟไลน์) การสื่อสารที่ทาได้ง่ายด้วยปลายนิ้วในสมัยน้ีจะทาให้
น่าเบ่ือได้อย่างไร จริงอยู่ที่ว่าการเริ่มต้นรู้จักใครๆ ทาได้เพียงแค่กด Add Friend แต่ยิ่งได้อะไรมาง่ายๆ
สุดทา้ ยแลว้ กจ็ ะเบ่ือไปอย่างรวดเรว็ เม่ือเรมิ่ เบอ่ื การทักไลน์ DM หรือ Inbox ก็จะเริ่มทาให้คุณสนใจคนรอบตัว
มากขึ้น ออกไปพบสังคมใหม่ๆ เกิดเป็นเครือข่ายมากมาย ที่ไม่ใช่แค่การทักไปแล้วรอให้ตอบกลับ แต่เป็นการ
นดั ไปกินขา้ วแล้วแลกเปล่ยี นเรือ่ งราวระหวา่ งกันน่นั เอง



ที่มา https://www.mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/
2. ไปเป็นอาสาสมัคร ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คือได้เป็นส่วนร่วมอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
(แน่นอน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม) ในปี 2007/2550 มหาวิทยาลัยในรัฐมิสซิสซิปปีวิจัย พบว่า
เม่ือคนเรารู้สึกเบ่ือมักจะรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายมากขึ้น งานวิจัยของมหาวิทยาลัยในรัฐเซาแธมป์ตัน ในปี
2016/2559 พบวา่ เม่อื คนเรามีน้าใจเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น กลับเพิ่มระดับของความสุขมากขึ้น ดังน้ัน หากอยาก
ขจัดความเบื่อ ลองหางานที่เป็นกึ่งๆ อาสาสมัครดู นอกจากจะเพ่ิมความสุขของเรามากข้ึนแล้ว ยังป็นการ
แบง่ ปนั ส่งิ ดีๆ ให้กบั ผู้อ่นื อกี ด้วย

ทม่ี า https://www.mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/
3. ออกจากคอมฟอร์ทโซน (Comfort Zone) มนุษย์ทุกคนมีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน โดยท่ัวไปแล้ว
ความเบ่ือจะทาให้คุณได้ออกไปทาอะไรใหม่ๆ มากขึ้นและปริมาณความสุข มักข้ึนอยู่ความท้ายทายของงาน
ท่ีไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไปจนทาให้เรารู้สึกสนุกไปกับมัน ดังนั้น ลองหากิจกรรมอะไรท่ีทาแล้วรู้สึกสนุก
ไม่ได้ทาให้ตัวเองหนักใจจนเกินไป และถ้าจะให้ดี ควรเป็นกิจกรรมท่ีเป็นออฟไลน์อย่างการดาน้า ออกไปเดิน
พพิ ธิ ภัณฑ์



ทม่ี า https://www.mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/
4. เปิดใจทาอะไรท่ีแตกต่าง หน่ึงในสาเหตุของความเบ่ือคือ การทาส่ิงเดิมๆในทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอน
ไปทางาน ใชช้ วี ติ และกลับบ้าน วนลูปไปแบบน้ี จนร่างกายเปดิ ระบบอัตโนมตั ิ แน่นอนว่าอาจไม่ทาให้ชีวิตเกิด
ความเสี่ยง แต่ความหลากหลายในชีวิตก็เป็นเร่ืองจาเป็นเช่นเดียวกัน ลองจัดปาร์ตี้แล้วชวนเพ่ือนของเพ่ือน
(ท่ีไว้ใจได้) มาแลกเปล่ียนความเห็น เปิดโลกใหม่ หรือเปลี่ยนวิธีการไปทางาน เปล่ียนประเภทอาหารท่ีกิน
บางทอี าจจะเปล่ียนมมุ มองชีวิตให้ดีขน้ึ และนา่ เบอื่ น้อยลงก็ได้

ทม่ี า https://www.mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/
5. เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างลึกซ้ึง สมองของคนเราในส่วนของการคิดวิเคราะห์น้ัน ส่วนใหญ่สามารถรับ
เร่ืองราวต่างๆ ได้อย่างไม่ลึกและเป็นการตัดสินใจแบบเร็วๆ (เป็นหนึ่งในกลไกท่ีไม่ให้สมองต้องทางานหนัก
เกินไป) แตม่ สี ่วนหนึง่ ทีส่ ามารถทางานไดอ้ ย่างลึกซง้ึ และทางานอย่างต่อเน่ือง คือส่วนของความเห็นอกเห็นใจ
และความสขุ นัน่ เอง ลองหากจิ กรรมท่ีเปน็ ความถนัดของเรา ที่ทาให้คุณจมอยู่กับส่ิงน้ันและลืมเรื่องราวรอบตัว
เพราะสงิ่ น้นั แหละ คือเครือ่ งแก้เบือ่ อย่างดี และอาจทาให้คณุ เจอกบั ความถนัดใหมๆ่ และกลายเป็นผู้เช่ียวชาญ
ในเร่ืองนัน้ เลยก็ได้

๑๐

ท่มี า https://www.mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/

คนส่วนใหญใ่ ชอ้ ธบิ ายความรู้สึกท่ีมีต่อสภาพและปัจจัยแวดล้อม ซ่ึงหลายคน “รู้สึกเบื่อ” กับสภาพ
ของตัวเองเป็นหลัก โดยเฉพาะสภาพท่ีตนเองติดอยู่ใน “วงจรความน่าเบื่อที่ทาลายสุนทรียภาพและพลังใจ”
ทัง้ ทพ่ี ยายามหาทางออกจากสภาพน้ันและทไ่ี รท้ างออกจากสภาพน้ัน การถูกความเบื่อหน่ายคุกคามความรู้สึก
ถึงแม้โดยรวมจะไม่กระทบชีวิตประจาวันถึงขั้นทาลายอะไร รวมท้ังทาลายผลผลิตส่วนตัว ซึ่งได้จากการ
ทาหน้าท่ีไปตามวัฏจักรท่ีอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเหตุปัจจัยต่อความน่าเบ่ือ… แต่ความน่าเบื่อก็ทาลาย
“ผลผลิตท่ีดีท่ีสุด” จากศักยภาพสูงสุดในตัว ให้เหลือเพียงผลงานเท่าที่ความเบ่ือหน่ายในตัวจะเปิดทางให้
เป็นไปได้ สิ่งที่น่าสนใจ คือความไม่สุขสบายทางใจและทัศนคติในทางเทคนิคจะมีระดับของความเบื่อหน่าย
ผ่านคาเรียกหลากหลาย ซึ่งนอกจากคาว่า เบ่ือหน่าย หรือ Bored แล้ว…ยังมีคาว่า หงุดหงิด-งุ่นง่าน หรือ
Irritated ซ่ึงจะเป็นอาการเบื่อหน่ายปนขุ่นเคืองคนอื่นหรือสภาพภายนอก อันเป็นปัจจัยภายนอกท้ังหมด…
นอกจากน้นั ยงั มีคาวา่ ราคาญ หรอื Annoyed ซึ่งมักจะถูกคนอื่นหรือสภาพภายนอกรบกวนสมาธิ หรือทาลาย
บรรยากาศท่ีพึงพอใจรอบตัวไป ข่าวดี คือความเบ่ือหน่ายเกิดข้ึนกับคนส่วนใหญ่ หรือกับทุกคนก็ว่าได้
โดยความเบ่ือหน่ายสามารถแก้ไข หรือบรรเทาได้ด้วยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม หรือบรรยากาศรอบตัว
แบบที่คนส่วนใหญ่ต้องจัดตารางไปเท่ียว ไปเจอคนรู้ใจ ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ไปเมา หรือไปหาอะไรต่ืนเต้น
สารพดั ทาน่ันเอง… แตถ่ า้ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม หรือ บรรยากาศรอบตัวซ่ึงเป็นปัจจัยภายนอกทาได้อยาก
บางช่วงบางคราวก็อาจจะต้องเปลี่ยนจากภายใน ท้ังความคิดและวัตรปฏิบัติต่อตนเอง…ไม่ง่ายหรอกเพราะ
สุดทา้ ยแลว้ ก็ต้องมกี าร “อดทนกบั ความร้สู กึ เบ่อื หน่าย” ใหไ้ ด้จนกวา่ จะเปล่ียนแปลงอะไรตามท่ตี ้องการได้

คาวา่ ความเบื่อ หรอื Bored แล้ว ยงั มีคาวา่ หงดุ หงดิ -งนุ่ ง่าน หรือ Irritated ในทางพระพุทธศาสนา
คือนิวรณ์ 5 แปลว่า เคร่ืองก้ันใช้ หมายถึงธรรมที่เป็นเคร่ืองปิดก้ันหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิด
โอกาสให้ทาความดี และเป็นเคร่ืองกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสาคัญที่ทาให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรม
ไม่ได้หรือทาให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป นิวรณ์มี 5 อย่าง6 คือ (๑) กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหล
ใฝฝ่ นั ในกามโลกยี ์ทัง้ ปวง ดุจคนหลับอยู่ (๒) พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปราถณาในโลกียะ
สมบัติท้ังปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่ (๓) ถีนมิทธะ ความข้ีเกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กาลัง
ท้ังกายใจ ไม่ฮึกเหิม (๔) อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ และ
(๕) วิจกิ ิจฉา ความไมแ่ นใ่ จ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้าๆ กลวั ไม่เตม็ ร้อย ไมม่ น่ั ใจ...แก้โดยการนง่ั สมาธิ น่นั แล

๑๑

อ้างอิง

1 Teepagorn Champ Wuttipitayamongkol. 2560. เบื่ออย่างไรให้ไดด้ .ี เข้าถึงข้อมลู ไดจ้ าก
https://thematter.co/thinkers/bored/29494 วนั ท่ีสบื คน้ ข้อมูล 26 พฤษภาคม 2565.

2 วกิ พิ ีเดีย สารานุกรมเสรี. 2565. ความเบือ่ หน่าย. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://en.wikipedia.org/wiki/
Boredom วนั ที่สบื ค้นขอ้ มลู 26 พฤษภาคม 2565.
3 Patta.pond. 2563. Why so bored? 5 วธิ ีกาจดั ความเบอื่ . เขา้ ถงึ ข้อมูลไดจ้ าก https://www.
mangozero.com/how-to-kill-the-boredom/ วนั ที่สืบคน้ ข้อมูล 26 พฤษภาคม 2565.
4 KNOWLEDGE & WISDOM. 2564. พักบา้ งกไ็ ด้ นกั ประสาทวิทยาช้ี ‘ความเบอ่ื หนา่ ย’ เปน็ สิ่งจาเปน็ ตอ่
สุขภาพท่ีดขี องสมอง. เขา้ ถึงข้อมลู ได้จาก https://themomentum.co/wisdom-boredom/
วนั ทส่ี ืบค้นขอ้ มูล 26 พฤษภาคม 2565.
5 Thum Namprom. 2564. Boredom… เบ่ือหนา่ ยจะตายอยู่แลว้ #SelfInsight. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก
https://reder.red/boredom-09-08-2021/ วันทสี่ บื คน้ ขอ้ มลู 26 พฤษภาคม 2565.
6 บา้ นจอมยุทธ. ม.ป.พ. นิวรณ์ 5. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก https://www.baanjomyut.com/pratripidok/
24.html วนั ทีส่ บื ค้นข้อมูล 26 พฤษภาคม 2565.


Click to View FlipBook Version