การขดั เกลาทางสังคม จชต.
ดร.อภิรชั ศกั ด์ิ รชั นวี งศ์
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุคปัจจุบัน ปัจจัยการดาเนินงานท่ีสาคัญที่สุดคือ การขัดเกลา
ทางสังคม หรอื การอบรมบ่มเพาะ เมอ่ื มองจากมุมมองทางสงั คมวิทยา ดงั น้ี
การหล่อหลอมคน ในพ้ืนท่ีเรียกว่า “การบ่มเพาะ” ในทางสังคมวิทยา เรียกว่า “การขัดเกลาทาง
สงั คม” (socialization) ซ่ึงมีนิยาม๑ ดังน้ี (๑) การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) คือกระบวนการท่ีสังคม
หรือกลุ่มสั่งสอนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้ ผู้ท่ีจะเป็นสมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้และรับเอาระเบียบวิธีกฎเกณฑ์
ความประพฤติและค่านิยมต่างๆ ท่ีกลุ่มได้กาหนดไว้เป็นระเบียบของความประพฤติและความสัมพันธ์ของ
สมาชิกของสงั คมนัน้ ซ่ึงสมาชกิ ของสังคมจะต้องผา่ นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตลอดชีวิต ท้ังโดยตรงและ
โดยออ้ ม (๒) การขดั เกลาทางสังคม (Socialization) หมายถงึ กระบวนการทางสังคมกับจิตวิทยาซ่ึงมีผลทาให้
บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ เด็กท่ีเกิดมาจะต้องได้รับการอบรมส่ังสอนให้มีความเป็นคน
โดยแท้จริง สามารถอยู่ร่วมและมีความสัมพันธ์กับคนอ่ืนได้อย่างราบรื่น (ราชบัณฑิตยสถาน 2524: 370)
(๓) การขดั เกลาทางสงั คม หมายถึง กระบวนการของคนในสังคมในการกระทาระหว่างกันทางสังคม การได้รับ
รูปแบบของบุคลิกภาพ (Personality) และการเรียนรู้ (Learning) การดาเนินวิถีชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ จาก
สังคมและกลุ่ม (Popenoe, 1993: 126) (๔) การขัดเกลาทางสังคม หมายถึง กระบวนการเรียนรู้วัฒนธรรม
และวัฒนธรรมย่อยของคนในสังคมหรือกลุ่มสังคม รวมถึงพฤติกรรมและการกระทาที่จะต้องแสดงตาม
สถานภาพและบทบาททเ่ี ปลีย่ นไป (Theodrson, 1990:103) คาที่มกั ใช้ในความหมายเดียวกัน คือ สังคมกรณ์
สังคมประกิต การอบรมเรียนรู้ทางสังคม การทาให้เหมาะสมแก่สังคม เป็นกระบวนการสังคมกับทางจิตวิทยา
ซ่ึงมผี ลทาใหบ้ ุคคลมบี คุ ลกิ ภาพตามแนวทางท่ีสังคมต้องการ เด็กที่เกิดมาจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็น
สมาชิกที่สมบูรณ์ของสังคม สามารถอยู่ร่วมและมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างราบรื่น ทาให้มนุษย์
เปลี่ยนแปลงสภาพตามธรรมชาตเิ ป็นมนุษยผ์ ้มู วี ัฒธรรม มีสภาพตา่ งจากสัตวโ์ ลกชนิดอนื่ โดยสรปุ การขัดเกลา
ทางสังคม คือ การเรียนรู้ของสมาชิกในสังคมทั้งรูปแบบท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อพัฒนา
บุคลกิ ภาพตามความต้องการของสังคม
แนวคดิ การขดั เกลาทางสังคมท่สี าคัญมี 3 แนวทาง1 ดงั น้ี
1. การขัดเกลาทางสังคม เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมระหว่างคนรุ่นหน่ึงกับคนอีกรุ่นหน่ึง
(socialization as enculturation) แนวคิดน้ีมองว่า บคุ คลรับเอาวฒั นธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกเขา
อย่างตรงไปตรงมา โดยอัตโนมัติ เพราะเกิดข้ึนจากการรับรู้ซ้า ๆ ซาก ๆ เป็นเวลานานจนซึมซาบเข้าไปโดยที่
เกือบจะไม่มีการแปรสภาพวัฒนธรรมน้ัน ๆ เลย นัยยะสาคัญของแนวคิดนี้ อธิบายได้ใน 3 ลักษณะ คือ
๒
(๑) เด็กรับเอาวัฒนธรรมอย่างตรงไปตรงมา ไมม่ ีปฏกิ ริ ยิ าตอบโตห้ รอื กลนั่ กรองวัฒนธรรมแต่อย่างใด (passive
recipient) (๒) วัฒนธรรมมีความมั่นคงถาวร (stable culture) คงเส้นคงวา (consistent content)
ไม่ขัดแย้งกัน (๓) กระบวนการขัดเกลาทางสังคมมีความสัมพันธ์กับกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอื่น ๆ
อย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน แยกออกจากกันได้ยากและเกื้อหนุนการคงอยู่ของวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ
แนวคิดนี้มุ่งแสดงให้เห็นถึงพลังในเชิงอนุรักษ์ของสังคม โดยพัฒนามาจากวิชามานุษยา (anthropology)
ท่ีศึกษาสังคมขนาดเล็ก มีเสถียรภาพสูง ไม่เปล่ียนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงแต่น้อย จึงทาให้มองเห็นภาพของ
การขดั เกลาทางสงั คมในรูปของกระบวนการ ซึง่ ทาใหส้ งั คมดารงอยู่ตามแบบฉบับเดิม
2. การขดั เกลาทางสงั คม เป็นกระบวนการควบคุมแรงดลส่วนบุคคล (impulse control) แนวคิดนี้
มองวา่ กระบวนการขัดเกลาทางสงั คม เป็นกระบวนการจากดั ขอบเขตแรงกระตนุ้ ทางธรรมชาติของบุคคลที่ติด
ตัวมาแต่กาเนิด ซึ่งหากปล่อยให้มีผลต่อพฤติกรรมโดยลาพังแล้ว อาจทาให้เกิดความระส่าระสายในสังคมได้
กระบวนการทางสังคม จึงทาหน้าท่หี ลอ่ หลอมให้บคุ คลผันแปรพฤติกรรมทีเ่ กิดจากแรงกระตุ้นธรรมชาตินั้น ไป
ในทางที่สังคมยอมรับได้ แนวคิดน้ีมีที่มาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (psycho-analysis) ซ่ึงมองว่ามนุษย์มีความ
ตอ้ งการทางธรรมชาติตา่ ง ๆ ซึง่ มีมาแตก่ าเนดิ กอ่ นท่ีจะมาเปน็ สมาชิกของสงั คม เชน่ ความก้าวร้าว หรือตัณหา
ของบุคคล ซึ่งบุคลิกภาพนี้ฟรอยด์ (Freud : นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์) เรียกว่า "อภิอัตตา" (super ego)
แนวคิดน้ีเช่ือว่า การควบคุมด้วยการขัดเกลาทางสังคมไม่ใช่ว่าจะกระทาได้ผลแก่ทุกคนเสมอไป แต่โดยเฉลี่ย
แล้วสังคมประสบความสาเร็จในการป้องกันมิให้คนส่วนใหญ่ในสังคมแสดงออกซึ่งพฤติกรรม อันเกิดจาก
แรงกระตุ้นทางธรรมชาตสิ ่วนบุคคล ซ่งึ กอ่ ให้เกดิ ความระสา่ ระสายในสงั คม
3. การขัดเกลาทางสังคมเป็นการเตรียมบุคคลเขา้ รับบทบาทต่าง ๆ ในสังคม (role training) แนวคิด
น้ีมองว่า กระบวนการขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการของสังคม ในอันที่จะทาให้ปัจเจกบุคคลต้องปฏิบัติ
ตามปทสั ถาน (norms) ของสังคม ท่ีมาของแนวคิดน้ีเกิดจากการมองว่า การท่ีสังคมจะดารงโครงสร้างของมัน
อยู่ได้ก็ด้วยการสรร หาบุคคลต่าง ๆ มาสวมบทบาทต่าง ๆ ในสังคมได้ บุคลิกภาพ (personality) ของบุคคล
และโครงสรา้ งทางสงั คม (social structure) จงึ เปน็ ระบบทีแ่ ยกตา่ งหากออกจากกันและความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคลิกภาพส่วนบุคคลกับโครงสร้างทางสังคมจึงอาจมีหลายแนวทาง โดยกระบวนการขัดเกลาทางสังคม
จะทาหน้าทเี่ ปน็ ตวั เชอื่ มร้อยใหส้ องระบบไปดว้ ยกันได้
การขดั เกลาทางสงั คม จึงมีความสาคญั อยา่ งยง่ิ ในการหลอ่ หลอมพฤติกรรมของบุคคล และเป็นตัวแปร
สาคญั ทีส่ ่งผลตอ่ การดารงอยู่ ความขัดแยง้ และการเปลี่ยนแปลงของสงั คม1 ดงั น้ี
พ้ืนฐานทางชีวภาพที่ทาให้เกิดการขัดเกลาทางสังคม (๑) การปราศจากสัญชาตญาณของมนุษย์
(๒) การตอ้ งพึ่งพาผู้อ่ืนยามเยาว์วัย (๓) ความสามารถในการเรียนรู้ (๔) ภาษา ความมุ่งหมายของการขัดเกลา
ทางสังคม (๑) ปลูกฝังระเบียบวินัย (๒) ปลูกฝังความมุ่งหวังและแรงบันดาลใจ (๓) สอนให้รู้จักบทบาทและ
ทัศนคติต่างๆ (๔) สอนให้เกิดความชานาญหรือทักษะ การอุบัติขึ้นมาแห่งตัวตน เม่ือไรก็ตามที่บุคคลยอมรับ
ค่านิยมจากกลุ่มก็จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในตัวบุคคลการยอมรับค่านิยมเป็นจุดเริ่มต้นของการ
เกิดขึ้นแห่งตวั ตน ซึง่ จะมพี รอ้ มกบั กระบวนการขดั เกลาทางสงั คม
๓
แนวคิดของ Mead อธิบายว่าตัวตนมี 2 ประการ1 คือ (๑) ตัวตน I คือ ตัวตนที่มีความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์และกระฉับกระเฉง ตัวตนแบบน้ีมักจะเกิดจากสังคมท่ีให้อิสรภาพแก่บุคคลในการแสดงออกบ้าง
ไม่เข้มงวดเกินไปไม่ใช่ความต้องการของสังคม (๒) ตัวตน Me คือ ตัวตนท่ีมีแต่ความเฉ่ือย ไม่กระฉับกระเฉง
ว่องไว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวตนท่ีชอบทาตามคาสั่ง ตัวตนแบบนี้มักเกิดจากกลุ่มที่ใช้ระเบียบ
กฏเกณฑอ์ ยา่ งเครง่ ครัดในการฝึกอบรม
แนวคิดของ Freud แบ่งตัวตนเป็น 3 อย่าง คือ Id, Ego, Super-ego (๑) Id เป็นตัวตนที่เกิดขึ้น
โดยสัญชาตญาณ และเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ ตัวตนแบบน้ีเป็นส่วนของ
บุคลิกภาพที่อยู่ในจิตไร้สานึก ทาให้คนรู้สึกโกรธ ยินดี หิวและความต้องการทางเพศ (๒) Ego หรืออัตตา คือ
ตัวตนท่ีเป็นส่วนของบุคคลิกภาพที่ทาให้บุคคลรู้สึกรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นตัวประนีประนอม
ระหว่างความต้องการทางชีววิทยากับความต้องการทางสังคม (๓) Super-ego เป็นส่วนท่ีกาหนดอุดมคติของ
บคุ คล ตวั ตนแบบนี้มีความหมายเทา่ กบั ตัวมโนธรรมมักเกิดในสังคมท่ีมกี ารเน้นระเบยี บวินัย
การขัดเกลาทางสงั คมช่วยสรา้ งตวั ตนข้ึนมา 3 อย่าง1 คอื
1. ภาพเกี่ยวกับตัวตน (Self-image) โดยอาศัยการปะทะสัมพันธ์กับคนอ่ืนและโดยอาศัยภาษา
ทาให้บุคคลเกดิ ความคดิ เกี่ยวกับตนเองว่าเป็น “ฉัน” (I) Cooley กล่าวว่า “พฤติกรรมของคนที่มีต่อบุคคลน้ัน
เปน็ เหมอื นกระจกเงาท่ีช่วยให้มองเห็นตวั เองว่าเป็นใคร
2. ตัวตนในอุดมคติ (Ideal-self) สร้างข้ึนจากทัศนคติที่คน่ืนมีต่อตน คนอาจสร้างภาพของสิ่งที่ควร
จะเปน็ เพื่อแสวงหาความรักและการรับรอง
3. ตัวตนปฏิบัติการ (Ego) เป็นสิ่งท่ีเราได้ทาไปในแต่ละวัน โดยได้รับการอบรมส่ังสอนจากพ่อแม่
เพื่อมุ่งหวังให้เด็กควบคุมและพ่ึงตนเองได้ ซึ่งเป็นช่วงสาหรับการปฏิบัติหน้าท่ีควบคุมและส่งเสริมการเป็น
ปกึ แผ่นของตวั ตน เช่น ความอดทน การมีระเบยี บ การยอมรบั ผิด
วัยทจ่ี ะเปน็ ตอ่ การขัดเกลาทางสังคม คือ (1) เด็ก และ (2) วัยรุ่น ส่วนสถาบันหรือองค์กรที่ทาหน้าที่
ขดั เกลาทางสงั คม1 คือ
สถาบนั สงั คม คือ กลุม่ ที่บุคคลที่เป็นสมาชกิ รว่ มอยู่และชวี ิตสังคมดาเนินไปได้ เพราะสมาชิกของกลุ่ม
มีการกระทาต่อกันตามบรรทัดฐานแบบอย่างที่กลุ่มหรือสังคมกาหนดไว้แน่นอน เป็นท่ีรับรู้และยอมรับนับถือ
กัน ดังนั้น คาว่าสถาบันสังคมจึงหมายความได้ 2 ประการ (๑) กลุ่มคนที่รวมกันแน่นอนด้วยจุดประสงค์
ที่จะกระทาการต่อกัน ระหว่างกันและร่วมกัน (๒) แบบอย่างของการกระทาทางสังคมท่ีกาหนดไว้ชัดเจน
แน่นอนเปน็ ทรี่ บั ใช้สบื ตอ่ กันมา
1. สถาบันครอบครัว โดยครอบครัว1 หมายถึง องค์กรท่ีมีขนาดเล็กที่สุดในสังคม ประกอบด้วย
บุคคลที่มีความสัมพันธก์ ันทางสายโลหิตหรอื ทางกฎหมาย โดยการสมรสหรือการรับรองบุตรเป็นบุตรบุญธรรม
ไดแ้ ก่ พอ่ แม่ บตุ รและญาตพิ นี่ อ้ ง ประเภทของครอบครัวในสงั คมตา่ ง ๆ ยอ่ มมีโครงสร้างและลักษณะแตกต่าง
กันไป ถ้าแบ่งตามหลักสังคมวิทยา แบ่งได้เป็น 2 ประเภท (๑) ครอบครัวเด่ียวหรือครอบครัวเฉพาะ
ประกอบดว้ ยบิดา มารดาและบุตรเทา่ น้ัน (๒) ครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริม มีพื้นฐานจากครอบครัวเดิม
มาจากครอบครวั เฉพาะ ประกอบดว้ ย บิดา มารดาและบตุ ร นอกจากน้ียังมีญาติพี่น้องอื่น ๆ เป็นสมาชิกอาศัย
ร่วมอยู่ด้วย อาจจะเป็น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ลุง ป้า น้า อา และอาจจะมีหลานร่วมด้วย ครอบครัวขยาย จึงมี
สมาชิกมากกวา่ ครอบครวั เฉพาะ
๔
การแบ่งครอบครัวตามจานวนของคู่ครอง (๑) Monogamy ครอบครัวประเภทนี้สามีจะมีภรรยา
ได้คนเดียว บรรทัดฐานน้ีอาจกาหนดเป็นลายลักษณ์อักษร (๒) Polygamy ครอบครัวแบบมีคู่ครองหลายคน
การแบ่งครอบครัวตามความเป็นใหญ่ หรือความมีอานาจในครอบครัว (๑) ครอบครัวที่ผู้ชายเป็นใหญ่
(๒) ครอบครัวทีผ่ ู้หญิงเปน็ ใหญ่ (๓) ครอบครวั ท่ผี ู้ชายและผู้หญงิ มีอานาจเท่าเทยี มกัน
หน้าที่ของครอบครัว (๑) ให้กาเนิดสมาชิกใหม่และกาหนดสถานภาพแก่สมาชิก (๒) ดูแลและ
เลยี้ งดใู ห้เจริญเตบิ โต ท้งั ทางรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม (๓) อบรมสั่งสอนหลักศีลธรรมในการดารงชีวิต
ในสงั คม (๔) เปน็ หนว่ ยงานเศรษฐกิจ
2. กลุ่มเพ่ือน กลุ่มในทางจิตวิทยา๕ หมายถึง การท่ีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปมารวมกัน โดยมีการ
ติดต่อสัมพันธ์กัน หรือปฏิสัมพันธ์กัน และมีจุดมุ่งหมายท่ีจะกระทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน และ
ความสมั พนั ธ์นี้ จะชว่ ยใหส้ มาชิกกลมุ่ อยรู่ ่วมกันได้ในระดับท่พี อดี
กล่มุ เพ่อื น (peer group)๗ ตวั แทนทางสังคมท่ีไม่เป็นทางการแต่มีอิทธิพลอย่างสูง คือ กลุ่มเพ่ือน
โดยเฉพาะในสังคมสมัยใหม่ท่ีมีสถานศึกษาเป็นที่รวมเด็กและวัยรุ่นให้อยู่ร่วมกันเป็นเวลานาน ๆ จนเกิด
วัฒนธรรมเฉพาะของกลมุ่ วยั รุ่นขนึ้ มที ศั นคติความคิดใกล้เคียงกัน สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมีแนวโน้มจะให้
และรับการขัดเกลาซ่ึงกันและกัน มีแนวความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ท่ีใกล้เคียงกันในหมู่สมาชิก กลุ่มเพ่ือน
มักจะมีวัฒนธรรมเฉพาะของกลุ่ม เป้าหมายของวัยรุ่นมักจะเป็นเรื่องความต้องการเป็นท่ีสนใจ ในความ
ทันสมยั เป็นท่ยี อมรับกนั มากทีส่ ดุ
Martin E. Shaw กลุ่ม คือ บุคคลตั้งแต่สองคนข้ึนไปท่ีมีปฏิสัมพันธ์กัน ซ่ึงบุคคลแต่ละคนจะมี
อิทธิพลต่อเพื่อนในกลุ่ม และจะได้รับอิทธิพลจากเพ่ือนในกลุ่มด้วยเช่นกัน และ Richard M. Hodgetts กลุ่ม
คือ หน่วยทางสังคมที่ประกอบด้วยบุคคลท่ีมีอิสระเป็นตัวของตัวเอง ต้ังแต่สองคนข้ึนไปมารวมกันมี
ปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน ท่ังน้ีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ส่วน Dorwin Cartwright and Alvin Zander
คุณลักษณะของกลุ่ม เมื่อคนมารวมกันเป็นกลุ่ม จะต้องมีลักษณะใดลักษณะหน่ึงหรือหลายลักษณะต่อไปน้ี
เกดิ ขึ้น คือ (๑) จะต้องมปี ฏิสมั พันธก์ ันเสมอ (๒) แต่ละคนจะถือว่าคนเองเป็นสมาชิกกลุ่ม (๓) แต่ละคนในกลุ่ม
จะยอมรับกันเป็นสมาชิกกลุ่ม (๔) มีปทัสถานร่วมกัน (๕) แต่ละคนจะมีบทบาทท่ีชัดเจน (๖) มีการเลียนแบบ
ลักษณะบางอย่างที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมจากสมาชิกในกลุ่ม (๗) สมาชิกมีความคิดว่ากลุ่มจะต้องให้
ผลประโยชน์ต่อสมาชิก (๘) สมาชิกจะแสวงหาเป้าหมายร่วมกัน (๙) มีการรับรู้ความเป็นเอกภาพของกลุ่ม
ร่วมกัน (๑๐) สมาชิกกลุ่มจะปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของกลุ่ม ดังนั้น กลุ่ม หมายถึง บุคคล
ต้ังแต่สองคนข้ึนไปมารวมกัน มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน เพ่ือให้
กิจกรรมนั้น บรรลจุ ดุ หมายปลายทาง ที่กลุ่มกาหนดไว้ โดยทท่ี ุกคนอยู่ร่วมกนั ได้อยา่ งมคี วามสขุ ดว้ ย
สาเหตุที่ทาให้เกิดการรวมกลุ่ม (๑) เกิดจากความชอบพอกันเป็นส่วนตัวระหว่างสมาชิกด้วย
กันเอง (๒) เกดิ จากการถูกชกั ชวนหรือชักจูงไป (๓) เกดิ จากความพอใจในเป้าหมายกิจกรรมของกลุ่ม หรือกลุ่ม
มจี ุดมุ่งหมายตรงกับอดุ มการณ์ของบคุ คลที่จะเข้าไปเป็นสมาชิก (๔) เกิดจากการได้รับคัดเลือกหรือแต่งตั้งจาก
ผู้มีอานาจ เพ่ือให้ปฏิบัติงานร่วมกันโดยเฉพาะ (๕) เกิดจากความต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็น
การสนองตอบความต้องการทางจิตใจหรือทางจิตวิทยา (๖) เกิดจากการต้องการพิทักษ์ผลประโยชน์ของ
ตนเอง เป็นการรวมกลุม่ เพ่ือทากิจกรรมงานบางอยา่ งด้วยกนั ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและของกลมุ่
ความสาคัญของกลุ่ม (๑) ด้านการพัฒนาบุคคล กลุ่มสามารถพัฒนาบุคคลท่ีเป็นสมาชิกได้เป็น
อยา่ งดี (๒) ดา้ นการวนิ ิจฉยั ผูน้ ากลุ่มจะสามารถสงั เกตพฤติกรรมของสมาชิกในกลมุ่ ได้ (๓) ด้านการปฏิบัติงาน
การปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม สมาชิกกลุ่มจะมีโอกาสคิดร่วมกัน วางแผนร่วมกัน ประสานงานกัน และทาให้การ
๕
ดาเนนิ งานมีประสิทธภิ าพ ผลผลิตทง้ั หลายท้งั ปวงในโลกปัจจุบันน้ีเป็นผลงานของกลุ่มคนแทบท้ังส้ิน กลุ่มจึงมี
ความสาคัญตอ่ การปฏบิ ัติงานอย่างมาก
การพฒั นาของกลุ่มตามแนวคดิ เรือ่ ง Cog’s Ladder ซึ่งเปน็ รูปแบบการพฒั นากลมุ่ ทจี่ าแนก
เป็น ๕ ขั้นตอน ดงั น้ี
ข้ันท่ี ๑ ทาความรูจ้ ักกนั ด้วยความสุภาพ (Polite)
ขั้นที่ ๒ หาความหมายใหก้ ับกลุ่มวา่ ทาไมต้องมาอยู่รว่ มกัน (Why we’re here)
ขนั้ ท่ี ๓ เสนอความคิดและหาแนวร่วม (Bid for power)
ข้ันที่ ๔ ร่วมเป็นโครงสรา้ งของทมี (Constructive)
ขั้นที่ ๕ มีความรกั ในหมคู่ ณะ (Esprit)
กลุ่มเพื่อน (peer group)๖ หมายถึง กลุ่มของบุคคลหรือหน่วยงานที่มีลักษณะและความสนใจที่
คลา้ ยคลงึ กนั ระหวา่ งกนั กลุ่มเพอ่ื นฝงู ในกรณีของคน มลี กั ษณะท่คี ลา้ ยคลึงกัน เช่น สถานะทางเศรษฐกิจและ
สังคม ระดับการศึกษา ภูมิหลังทางชาติพันธ์ุและอื่นๆ ในหมู่สมาชิกแต่ละคน ในบริบทของบริษัท กลุ่มเพื่อน
หมายถงึ บริษัททเี่ ปน็ ค่แู ขง่ กันในภาคอตุ สาหกรรมเดียวกนั และมขี นาดใกลเ้ คียงกนั
3. สถาบันการศึกษา2 การศึกษาแต่เดิมนั้น เคยเป็นหน้าท่ีหนึ่งของสถาบันครอบครัวและสถาบัน
ศาสนา ตอ่ มาเม่ือสงั คมซับซ้อนมากข้ึนความเปน็ อย่ลู าบากยากเย็นมากขึ้น ทาให้ครอบครัวและสถาบันศาสนา
ต้องลดหน้าท่ีและบทบาททางการศึกษาลงไป และปล่อยให้สถาบันการศึกษาได้ดาเนินการในเรื่องการเรียนรู้
ชองเดก็ และสมาชิกอ่ืนๆ ของสังคมต่อสถานศกึ ษา
การให้การศกึ ษาเพ่อื ก่อให้เกดิ การเรียนรแู้ ยกออกได้ 2 รูปแบบ คือ (๑) การใหก้ ารศึกษาแบบเป็น
ทางการเป็นการจัดการศึกษาโดยวางแผนและระบบการด าเนินงานอย่างมีระเบียบมีข้ันตอน ทั้งในด้าน การ
เรียนการสอน หลักสูตร ตัวผู้เรียนผู้สอน ฯลฯ (๒) การศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นการให้การศึกษา
ท่ีไม่มีการกาหนดเกณฑ์ตายตัว ไม่มีการกาหนดเวลาในการเรียน การสอน สถานท่ีท่ีจะเรียนจะสอน อายุของ
ผเู้ รียน ฯลฯ
ผู้เก่ียวข้องทางการศึกษา (๑) ครูหรืออาจารย์ ทาหน้าท่ีสอนนักเรียนและนักศึกษา (๒) ผู้บริหาร
สถานศึกษา ทาหน้าที่บริหารและจัดการศึกษาให้เป็นไปตามหลักสูตรที่กาหนดไว้ (๓) คณะกรรมการ
สถานศึกษา ทาหน้าท่ีสนับสนุนและร่วมมือในการบริหารและจัดการศึกษา (๔) ศึกษานิเทศ ทาหน้าที่ให้
คาปรึกษาในการจัดการเรียนการสอนแก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา (๕) ผู้อุปถัมภ์สถานศึกษา ทาหน้าท่ีให้
ความช่วยเหลือในกิจการของสถานศึกษาท้ังปวงเม่ือได้รับการร้องขอ (๖) ผู้เรียน ทาหน้าที่ศึกาหาความรู้ตาม
ความต้องการของตนเองและสงั คม
หน้าท่ีของสถาบันการศึกษา (๑) ขัดเกลาทางสังคม เพื่อให้สมาชิกมีคุณลักษณะตามที่สังคม
ต้องการ (๒) ถ่ายทอดเทคโนโลยี ความรู้ ค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคมให้สมาชิกนาไปใช้และปฏิบัติ
(๓) ผสมกลมกลือนทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สอนให้สมาชิกได้เรียนรู้ภาษาแลวัฒนธรรมของตน
(๔) ควบคุมสังคม เช่น สอนให้รักชาติ ปฏิบัติตามกฎหมาย (๕) สร้างนวัตกรรมทางสังคมและเปลี่ยนแปลง
สงั คม (๖) เลือกสรรและกาหนดบทบาทของสมาชกิ สงั คมให้สมบูรณ์
4. สถาบันการปกครอง2 หรือสานักงานหรือองค์กรท่ีบุคคลสังกัดอยู่ แบบอย่างของการคิดการ
กระทาในเร่ืองเกย่ี วกบั การรกั ษาระเบียบ ความสงบ การบรรลเุ ป้าหมายของสงั คมรว่ มกัน สถาบันการปกครอง
เป็นสถาบันที่ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องผู้ปกครอง หรือผู้มีอานาจในสังคม รวมท้ังการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน ผู้นาการเลือกตั้ง ลัทธิการเมืองต่างๆ และอุดมการณ์ทางการเมือง รวมถึงหน่วยงานหรือสานักงาน
หน้าท่ีของสถาบันปกครอง (1) รักษาไว้ซ่ึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ปัจจัยที่จะช่วยให้เกิดความ
๖
เป็นระเบียบได้แก่ กฎเกณฑ์ กฎหมาย กติกา ข้อบังคับ ฯลฯ เพ่ือใช้เป็นบรรทัดฐาน ประกอบกับเจ้าหน้าที่
ต่างๆ ท่ีคอยควบคุมดูแลให้ผู้คน ปฏิบัติตามบรรทัดฐาน (๒) วางแผน ประสานนโยบายและโครงดารต่างๆ
เพื่อสนองความตอ้ งการของสงั คมและใหส้ งั คมเปลยี่ นแปลงไปในทิศทางท่ีเหมาะสม (3) ปกป้องคุ้มครองสังคม
จากอนั ตรายภายนอก เชน่ ภัยสังคม ภัยทางเศรษฐกิจ
5. สถาบันศาสนา2 ศาสนา หมายถึง ระบบความเช่ือ การกระทา และส่ิงศักด์ิสิทธิ์ หมายถึง สิ่งที่
ทาให้สมาชกิ เกดิ ความรัก ความเกรงและใหก้ ารยอมรบั
การแบง่ ประเภทของศาสนา
๑. ศาสนาที่มีรากฐานมาจากสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ เป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปในสังคม ก่อน
สังคมอุตสาหกรรม ศาสนาประเภทน้ีไม่รวมถึงความเชื่อในเร่ืองของพระเจ้าและวิญญาณ แต่มีความเช่ือว่ามี
อานาจเหนือธรรมชาติ ซึง่ มีอานาจหรืออทิ ธิพลเหนอื ชีวิตมนุษย์ และสามารถให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ ซึ่งอานาจ
เหนอื มนุษย์น้อี าจเป็นสิง่ ท่ีดหี รอื เลวกไ็ ด้
๒. ศาสนาที่มีรากฐานมาจากวิญญาณนิยม มีความเชื่อวา่ วญิ ญาณอยู่ในสรรพสิ่งจ่างๆ เช่น แม่น้า
ภูเขา ลม ฯลฯ และวญิ ญาณในทศั นะของผทู้ ่ีมีความเชือ่ ถือนัน้
๓. ศาสนาที่มีรากฐานมาจากอุดมคตินามธรรม ศาสนาชนิดนี้เช่ือในเรื่องของผลการกระทาตาม
แนวความคิดมากกว่าที่จะเชื่อในผลท่ีจะได้รับจากการบูชาพระเจ้า ความคิดและการกระทาของเขามี
จดุ มุ่งหมายที่จะยกระดับความเป็นอยู่ คนและขดี ความสามารถของเขาให้สูงท่ีสุด ศาสนาประเภทน้ี เป็นที่รู้จัก
กนั ดที ่ีสดุ คือ พทุ ธศาสนา
๔. ศาสนาที่มีรากฐานมาจากเทวนิยม เป็นศาสนาท่ีต้ังอยู่บนฐานแห่งความเช่ือในพระเจ้าว่าเป็น
ผู้ที่มีอานาจ เป็นผูก้ าหนดชะตาชวี ติ ของมนษุ ย์ เปน็ ผู้กอ่ ให้เกดิ สรรพสิง่ ทัง้ หลาย
ความสาคัญของศาสนา (๑) สร้างศรัทธาและความเชื่อแก่มนุษย์ (๒) อบรมสั่งสอนคุณค่าทาง
ศีลธรรมและจริยธรรม (๓) เป็นแรงเสริมควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ (๔) สร้างเสริมค่านิยมและบรรทัดฐาน
ชองสงั คม (๕) ชว่ ยให้สมาชิกของสังคมมคี วามสขุ ทางใจ
6. สถาบนั สอื่ สารมวลชน เปน็ สถาบันทท่ี าหน้าท่ีสื่อข้อความ ข่าวสาร รายงานเหตุการณ์เฝ้าติดตาม
ความเป็นไปของสถาบันสังคมและสังคมโดยรวม ในสังคมตะวันตกสถานบันสื่อมวลชนเป็นสถาบันท่ีได้รับการ
ยอมรับและให้เกียรติและมีอิทธิพลอย่างมาก โดยบรรดาสื่อมวลชนขนานนามรูปแบบการปฏิบัติหน้าที่ของ
ตนเองว่าเป็น “หมาเฝ้าบ้าน” (Watchdog) เพราะคอยทาหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจสอบความไม่โปร่งใสต่าง ๆ
พร้อมทั้งรายงานให้สังคมได้ทราบ นอกจากน้ี สถาบันสื่อมวลชนยังมีฐานะคล้ายกับ “ผู้เฝ้าประตู”
(Gatekeeper) ซ่ึงคอยกล่ันกรอง คัดเลือก ข้อมูลข่าวสาร เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อประชาชนผู้บริโภค
ข่าวสาร รวมไปถึงความม่ันคงของประเทศ๓ สื่อมวลชนเป็นแหล่งความรู้ ความคิดที่นาไปสู่พฤติกรรมของ
มนุษย์ในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ท้ังด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพราะมนุษย์จะมี
ความคิดได้นั้น มีสาเหตุหลายประการ เช่น จากการได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น สัมผัส จากส่ือมวลชนและความ
คิดเห็นของคนอื่น เป็นต้น แต่ในปัจจุบันน้ีบทบาทของส่ือมวลชนได้กระตุ้นให้คนมีแนวความคิดมีพฤติกรรม
ตา่ ง ๆ ได้มาก ได้แก่ หนังสือพมิ พ์ วิทยุ โทรทัศนแ์ ละภาพยนตร์๔ สอ่ื สงคมออนไลน์
หนา้ ท่ีหลกั ทส่ี าคัญของสถาบันส่ือมวลชน ได้แก่ (๑) การสอดส่องดูแล (๒) การสร้างความสัมพันธ์
กับส่วนต่าง ๆ ในสงั คม (๓) การถา่ ยทอดวฒั นธรรม (๔) การใหก้ ารศกึ ษา (๕) การใหค้ วามบนั เทิง
๗
ในขณะ “การขัดเกลาทางสังคม” ล้วนมีความสาคัญในแต่ละสังคม ในการก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงใดใด ล้วนมาจากการขดั เกลาทางสังคมท้ังส้นิ ดงั เช่น
1. ครอบครวั (สถาบนั ครอบครัว)
(๑) ปลูกฝังจิตสามัญสานกึ ถึงความศรัทธา การต่อสู้
(๒) เนน้ หลกั ปฏิบัติ เร่อื งการต่อส้ยู ่งิ ชีพ
(๓) ราลกึ ถึงบรรพบรุ ุษท่ีถูกทรมานจากประวัตศิ าสตร์ เปรยี บเสมือนครอบครัวเดยี วกนั
2. อาชพี การงาน (สถาบนั เศรษฐกิจ)
(๑) ปลกู ฝังจติ สานกึ การอาชพี การงานที่สุจริตและไมเ่ บียดเยยี นการทามาหากนิ
(๒) เมอ่ื มรี ายได้ท่ีเพยี งพอ ควรเออื้ เฟ้อื เผ่อื แผบ่ รจิ าคแกผ่ ูเ้ ดือดร้อน
3. การดารงชวี ติ ประจาวัน
(๑) ทาความดี ไมย่ ุ่งเกี่ยวกบั อบายมุข
(๒) ช่วยเหลอื และร่วมกิจกรรมทางสงั คมในทุกดา้ น
(๓) ไมส่ รา้ งความเดือดรอ้ นให้กบั ราษฏรในพื้นที่
(๔) รวางตัวใหม้ ีความน่าเชื่อถอื และไม่ทาตัวโดดเด่นจนเกินไป “อย่าทาตัวเดน่ จะเป็นภัย”
4. การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม
(๑) ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมอื งภายในประเทศและท้องถ่นิ โดยเน้นการเมอื งท้องถิ่น
(๒) วิเคราะห์แนวโน้มนโยบายหลงั การเลอื กตงั้
(๓) การปรบั ตัวต่อการเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มและสังคม
(๔) การหาชอ่ งทางพูดคยุ เพอ่ื เจรจาตอ่ รอง
5. สถานการณ์โลก
(๑) ตดิ ตามข่าวสารต่างประเทศ ด้านการเมอื ง เศรษฐกิจ ขา่ วสารรอบตวั ทวั่ ไป
จากมุมมองทางสังคมวิทยา พบว่า หน่วยงานของสังคมที่เกี่ยวข้องกับการขัดเกลาทางสังคม ได้แก่
ครอบครัว กล่มุ เพอื่ น สถาบันการศึกษา สถาบนั สอื่ สารมวลชน สถาบนั การปกครอง และสถาบนั ศาสนา ดงั นัน้
๑. หน่วยนโยบาย ต้องประสานในระดบั นโยบายกับหน่วยทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการขดั เกลาทางสงั คม
๒. หน่วยนโยบาย ต้องถ่ายทอดนโยบายลงสู่ระดับปฏิบัติ (หน่วยงานปกติ) ให้เกิดผลอย่างเป็น
รปู ธรรม
๓. หนว่ ยปฏิบตั ิในพื้นท่ี ตอ้ งวิเคราะหส์ ถานการณแ์ ละสะท้อนกลับไปยังหนว่ ยนโยบาย
๔. การปฏิบตั งิ านในพืน้ ท่ี จชต. ตอ้ งดาเนินการแบบคู่ขนาน โดยหน่วยงานปกติต้องดาเนินการคู่ไป
กบั หน่วยสนบั สนุนเฉพาะกจิ มใิ ชห่ นว่ ยสนับสนนุ เฉพาะกิจดาเนินการตมลาพงั
๕. หน่วยปฏิบตั ใิ นพนื้ ที่ ต้องจดั ทาแนวทางและมาตรการการดาเนินการกับหน่วยขัดเกลาทางสังคม
ในรูปแบบคู่ขนาน เช่น การศึกษาเพ่ือความม่ันคง จชต. การส่ือสารเพ่ือความม่ันคง จชต. สถาบันครอบครัว
เพ่ือความม่ันคง จชต. สถาบันศาสนาเพ่ือความมั่นคง จชต. องค์กรหรือหน่วยงานเพื่อความมั่นคง จชต.
กลุ่มกจิ กรรมเพื่อความัน่ คง จชต.
๘
อ้างอิง
1 นริ นาม. ม.ป.พ. การขัดเกลาทางสังคม. เข้าถงึ ขอ้ มลู ไดจ้ าก http://119.46.166.126/self_all/
selfaccess10/m4/social4_1/lesson1/lesson1_2.html วันที่สืบคน้ ข้อมูล 9 กมุ ภาพนั ธ์ 2565.
๒ wordpress.com. 2559. สถาบนั ทางสังคม. เขา้ ถงึ ข้อมูลไดจ้ าก https://ajkanittha.files.
wordpress.com/2016/06/unit-3.pdf วนั ทีส่ บื ค้นข้อมูล 9 กุมภาพนั ธ์ 2565.
๓ Kanmanee. ๒๕๕๒. สถาบนั สื่อสารมวลชน. เขา้ ถึงข้อมูลไดจ้ าก http://www.thaigoodview.com/
node/45252#:~:text วนั ท่ีสบื ค้นขอ้ มลู 9 กุมภาพันธ์ 2565.
๔ บา้ นจอมยทุ ธ. ม.ป.พ. ประชาชนกบั บทบาททางการเมอื ง : สื่อมวลชน. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก https://www.
baanjomyut.com/library_4/politics/08_4.html# วันท่ีสบื คน้ ขอ้ มลู 9 กมุ ภาพันธ์ 2565.
๕ Nova Bizz. ม.ป.พ. กระบวนการกลุ่ม. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก https://www.novabizz.com/NovaAce/
Manage/group.htm วนั ทีส่ ืบคน้ ขอ้ มูล 9 กุมภาพันธ์ 2565.
๖ Messi. ๒๕๖๔. Peer Group Definition. เขา้ ถึงข้อมลู ไดจ้ าก https://www.thaifrx.com/peer-group-
definition/#:~:text วนั ทส่ี บื คน้ ขอ้ มลู 9 กุมภาพนั ธ์ 2565.
๗ future. ๒๕๕๓. ชที สงั คม ครงั้ ที่ 3. เขา้ ถึงขอ้ มูลไดจ้ าก https://ac4-7.blogspot.com/2010/07/3.html
วันที่สืบค้นข้อมูล 9 กุมภาพนั ธ์ 2565.