การฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ผู้จัดทำ
นางสาวศุภลักษณ์ บุญสงค์
คำนำ
ภูมิปัญญาชาวบ้านของคนไทยเรานั้นมีอยู่จำนวนมาก ล้วนแต่มีคุณค่าและมี
ประโยชน์ เป็นการบอกเล่าถึงวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านั้น
กำลังสูญหาย ไปพร้อม ๆ กับชีวิตของคน ซึ่งดับสูญไปตามกาลเวลา ผู้จัดทำรูปแบบ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการฟ้อนไทพวนบ้านเชียงนี้ ได้เล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญ
ในเรื่องดังกล่าว จึงจัดทำ หนังเล่มนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนและบุคคลทั่วไปได้ศึกษาและได้เห็น
ถึงความเป็นมาต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ท่าฟ้อน ศึกษาองค์ประกอบที่สำคัญของฟ้อน
ไทพวนบ้านเชียง ผู้เรียนและบุคคลทั่วไปจะเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและรับรู้ถึงเรื่องต่างๆ เป็นการ
สืบทอด มีให้ภูมิปัญญาสูญไป
ผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ เลยจะส่งเสริมการฟ้อนไทพวนบ้านเชียง โดยผลิตสื่อหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดองค์ความรู้เรื่องการฟ้อน
ไทพวนบ้านเชียง โดยใช้ทฤษฎีของธอร์นไดค์ เป็นทฤษฎีของกฎแห่งความพร้อม กฎแห่ง
การฝึกหัด กฎแห่งความพอใจ ทดสอบความเข้าใจด้วยการฝึกหัดตามที่ครู กำหนด และ
กระตุ้น เสริมแรงเพื่อที่จะฝึกหัดต่อไปภายใต้การแนะนำของครูเป็นวิธีการสอนที่ ไม่ซับ
ซ้อนยุ่งยาก ดังนั้น จึงควรใช้สื่อการสอนที่มีความน่าสนใจและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อ
เป็นการส่งเสริมความรู้ซึ่งกันและกัน การนำเสนอสื่อที่น่าสนใจและเข้าถึงง่าย เรียกว่า สื่อ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เป็นสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สื่อการสอนรายบุคคลที่
สนองความแตกต่างของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพของตนเอง
ขอบคุณทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ ผู้จัดทำ
นางสาวศุภลักษณ์ บุญสงค์
สารบัญ หน้า
ประวัติความเป็นมา 4-8
กระบวนท่ารำของการแสดงชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง 9 - 15
16
เครื่องแต่งกายเครื่องประด
ับ
เครื่องดนตรีที
่ใช้ในการแสดง 17
18 - 19
สรุป
อ้างอิง 20
ประวัติความเป็นมา
อุดรธานีเดิมทีเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ 5,000
- 7,000 ปี การค้นพบเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน และภาพเขียนสี
บนผนังถ้ำที่บ้านผือ นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สะท้อนความ
รุ่งเรืองในอดีต กลุ่มชาติพันธุ์ไทพวนเป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่กระจายตัวอยู่หลายพื้นที่
ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี เพชรบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และนครนายก คำว่า “พวน”
เป็นคำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานเดิมอยู่ในแคว้นเชียงขวาง ประเทศสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว แคว้นเชียงขวางเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำ
พวนไหลผ่านตลอดปีเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนบนภูมิภาคนี้ และ
เคยเป็นพื้นที่แห่งสมรภูมิรบของประเทศมหาอำนาจ ส่งผลให้เกิดการอพยพลี้ภัย
สงครามเข้ามาพำนักตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งพื้นที่ใกล้เคียงกับแคว้นเชียงขวางเรื่อยลงมา
จนถึงเมืองเวียงจันทน์และสยามในสมัยกรุงธนบุรีทรงโปรดให้นำกองทัพไปตี
เวียงจันทน์แคว้นเชียงขวางได้กวาดต้อนชาวพวนมาเป็นจำนวนมากบรรดากลุ่ม
ชาติพันธุ์ที่หนีภัยสงครามมาครั้งนั้น ประกอบด้วย ลาวเวียง ลาวโซ่ง และลาวพวน
พระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระบรมราชานุญาตให้ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาไปพำนักตามหัว
เมืองชั้นในได้แก่ สระบุรี ลพบุรี และนครนายก
ประวัติความเป็นมา
ในปี พ. ศ. 2370 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่นครเวียงจันทน์ หมายที่จะประกาศตนเป็น
เอกเทศไม่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานครสยาม ในสมัยนั้น จึงยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์
และกวาดต้อนผู้คนทั้งที่อยู่ในเวียงจันทน์และหัวเมืองต่าง ๆ มาเป็นอันมากรวมทั้ง
กลุ่มชาติพันธุ์พวนจากแคว้นเชียงขวาง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด
เกล้าฯ ให้ผู้คนเหล่านั้นไปตั้งรกรากในพื้นที่ภาคกลางของสยามประเทศ คงไว้แต่ชาว
พวนเชียงขวางที่มาจากบ้านหนองแก้วและบ้านหาดเดือย ทั้ง 11 ครัวได้ขอพระบรม
ราชานุญาตปักหลักตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านผือ บ้านกาลึม และบ้านกลาง
อันเป็นพื้นที่ราบเชิงเทือกเขาภูพานอยู่ในการปกครองของเมืองกุมุทาสัย (จังหวัด
หนองบัวลำภูในปัจจุบัน) ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัด
อุดรธานี ปี พ.ศ. 2428 – 2436 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดศึกฮ่อขึ้นที่ทุ่งเชียงคำ ชายแดนระหว่างแคว้น
เชียงขวางกับญวณ โดยพวกฮ่อได้ยกกำลังเข้ารุกรานปล้นสะดมชาวพวนที่เมืองเชียง
ขวางและเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหกเป็นอันมาก ทำให้ชาวพวนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานหนี
ภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในฝั่งสยามประเทศ โดยได้รวมกลุ่มกันตั้ง
ถิ่นฐาน
ประวัติความเป็นมา
บ้านเรือนอยู่ที่บ้านผือ ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกันกับกลุ่มชาวพวนที่ถูกกวาดต้อนเข้ามา
เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และบางส่วนก็กระจายไปตั้งรกรากอยู่ใน
พื้นที่ดงแพง ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้อยู่ในเขตพื้นที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง อำเภอ
หนองหาน จังหวัดอุดรธานี และเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเสียใหม่จาก พวน ลาว
พวน เป็นไทพวนจวบจนถึงปัจจุบันนี้ (บังอร ปิยะพันธุ์, 2529 : 77-82)
ไทพวนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน ของจังหวัดอุดรธานีนั้น
ต่างมีความเชื่อในเรื่องที่สืบทอดกันมาถึงสิ่งที่เหนือธรรมชาติควบคู่ไปกับการนับถือ
ศาสนา โดยจะนับถือผีไท้ ผีแถน เทพยดาอารักษ์ ผีป่า ผีเขา ผีบรรพบุรุษ เป็นต้น ซึ่ง
จะสร้างหอโฮง หรือ เรือน ไว้ในที่ดอนมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมหนาแน่น และกำหนดให้
เป็นพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมในการสักการะบูชา รวมถึงคติชน
ทางความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ ได้ถูกบอกผ่านรุ่นสู่รุ่นและปลูกฝังถึงพลังงาน
อันลี้ลับตามความเชื่อในการดลบันดาลสิ่งต่างๆ โดยผ่านพิธีกรรมการภาวนาอ้อนวอน
และถวายเครื่องบัดพลี หรือแม้แต่การเซ่นสรวงบูชาด้วยระบำรําฟ้อน เพื่อให้ได้มาซึ่ง
สิ่งที่ตนปรารถนา
ประวัติความเป็นมา
ทั้งนี้ผู้คนชาวพวนจะมีความเชื่อว่าสิ่งที่เหนือธรรมชาติเหล่านี้สามารถก่อให้เกิด
สิ่งที่ดี เช่น ฝนตกในช่วงฤดูกาลทำนา การปกปักรักษาเมื่อคราวจัดงานเทศกาลต่างๆ
ในหมู่บ้านของตน รวมไปถึงการบำบัดรักษาโรค เป็นต้น หากประพฤติผิดแไปจาก
ขนบเดิมที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมาหรือละเว้นการเซ่นสรวงบูชาดังกล่าว สิ่งลี้ลับที่กล่าว
มาข้างต้นก็จะบันดาลให้เกิดโทษนานัปการ เช่น ฟ้าผ่า น้ำท่วม หรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บ
ในหมู่ผู้คนในหมู่บ้าน (บุญถม เจริญชนม์, 2560 : 15)
ฟ้อนไทพวน เป็นการฟ้อนที่เกิดขึ้นในพิธีกรรมเพื่อเซ่นสรวงบูชาหรืออ้อนวอนต่อ
เทพเจ้า และผีบรรพบุรุษตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เพื่อให้เกิดความผาสุกในหมู่บ้านของ
ตน พิธีกรรมนี้จะจัดขึ้นในช่วงเวลาที่เคยจัดเป็นประจำจนกลายเป็นเทศกาลใน
หมู่บ้านและใช้ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองทั้งนี้ เพื่อให้เทพเจ้าทั้งหลายได้มาปก
ปักรักษาผู้มาร่วมงานและให้การจัดงานนั้น ๆ ไม่มีเภทภัยใดใดเกิดขึ้น ในการฟ้อนจะ
ใช้ผู้หญิงล้วนเป็นผู้แสดง แต่งกายแบบพวนในท้องถิ่นของตน (ยอดยิ่ง ราชตั้งใจ,
2559 : 22)
ประวัติความเป็นมา
ฟ้อนไทพวนบ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
เป็นการฟ้อนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเช่นเดียวกัน เน้นการฟ้อนเป็นหมู่
คณะเพื่อถวายปู่ขุนเชียงสวัสดิ์ผู้รวบรวมผู้คนไทพวนเมื่อครั้งอพยพมาจากเชียงขวาง
ให้มาตั้งรกรากที่ คงแพง หรือพื้นที่บ้านเชียงในปัจจุบัน รวมไปถึงเป็นการถวายต่อ
เทพยดาฟ้าดินพร้อมด้วยเครื่องบัดพลีต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลและความผาสุก
ตลอดปีนั้น ๆ โดยหญิงสาวไทพวนในหมู่บ้านจะได้รับการฝึกฝนการฟ้อนพวนมา แต่
ครั้งยังเด็กเพื่อร่วมงานเทศกาลฟ้อนถวายปู่ขุนเชียงสวัสดิ์ แสดงถึงความกตัญญูต่อ
บรรพบุรุษในการก่อร่างสร้างบ้านเมืองให้ลูกหลานได้มีที่อยู่อาศัยจวบจนปัจจุบันนี้
(อังคณา บุญพงษ์ , 2559 : 22)
ปัจจุบันมีผู้นำฟ้อนไทพวนในลักษณะนาฏศิลป์พื้นบ้าน และเป็นศิลปะการแสดงไท
พวนบ้านเชียง มีคุณค่าต่อวัฒนธรรมจังหวัดอุดรธานี แต่กระบวนท่าฟ้อนเดิมนั้นได้ถูก
นำมาผสมและดัดแปลงเป็นท่าใหม่เสียหมด รวมถึงปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมของเยาวชน
รุ่นใหม่ มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา ผู้วิจัยเห็นว่าปัญหาดังกล่าวก็มีส่วนในการที่จะ
ทำให้การฟ้อนไทพวนแบบดั้งเดิมสูญหายไป พร้อมกับกลุ่มผู้ฟ้อนที่อยู่ในวัยผู้สูงอายุ
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงขวาและซ้าย
มือขวา: เท้าสะเอว
1
(ท่าเปิดหรือ มือซ้าย: เท้าสะเอว
ท่าไหว้) เท้าขวา: แตะเท้าขวา
เอียงซ้าย
เท้าซ้าย: แตะเท้าซ้าย
เอียงขวา
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: จีบระหว่างหู
มือซ้าย: จีบระหว่างหู
2
(ท่ายิงธนู) เท้าขวา: แตะเท้าขวาไว้
ข้างหน้า ย่อตัวลง
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงขวา
มือขวา: จีบคว่ำ
มือซ้าย: จีบคว่ำ
3
(ท่าล่องกุ้ง) เท้าขวา: ใช้จมูกเท้าขวา
แตะด้านหน้า
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
ศีรษะ: เอียงขวาและซ้าย
สลับกัน
มือขวา: จีบคว่ำ ดึงจีบขึ้น
(ท่าดึง) มือซ้าย: แทงมือลง
4
เท้าขวา: แตะเท้าขวาไว้
ข้างหน้า
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: ตั้งวงระหว่างชาย
พก (สลับทำอีกข้าง)
มือซ้าย: จีบส่งหลัง(สลับ
5
(ท่ารำยั่ว) ทำอีกข้าง)
เท้าขวา: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า(สลับทำอีกข้าง)
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: จีบขึ้นเหนือ
ศีรษะ(สลับทำอีกข้าง)
(ท่าลมพัด มือซ้าย: หงายมือเข้าหา
6
พร้าว) จีบ(สลับทำอีกข้าง)
เท้าขวา: แตะเท้าไว้ข้าง
หน้า
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: จีบหงายระหว่าง
(ท่าสอด ชายพก (สลับทำอีกข้าง)
7 สร้อยมาลา มือซ้าย: ตั้งวง
แปลง) เท้าขวา: แตะเท้าขวาไว้
ข้างหน้า (สลับทำอีกข้าง)
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง(สลับทำอีกข้าง)
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: ตั้งวงไว้ข้างหน้า
8
(ท่าลำเพลิน) มือซ้าย: ตั้งวงกลาง
เท้าขวา: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า(สลับทำอีกข้าง)
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง(สลับทำอีกข้าง)
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: คว่ำมือลงไว้ด้าน
หน้า สูงกว่ามือซ้าย (สลับ
ทำอีกข้าง)
9
(ท่านกบิน) มือซ้าย: คว่ำมือลงระดับ
เอว(สลับทำอีกข้าง)
เท้าขวา: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง(สลับทำอีกข้าง)
เท้าซ้าย: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า(สลับทำอีกข้าง)
ศีรษะ: หน้าตรง
มือขวา: ตั้งวงขึ้นเหนือ
ศีรษะทั้งสองข้าง
มือซ้าย: จีบส่งหลังทั้งสอง
10
(ท่าเต้ย) ข้าง
เท้าขวา: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
เท้าซ้าย: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
ศีรษะ: เอียงขวาและซ้าย
มือขวา: จีบส่งหลัง
มือซ้าย: หงายมือขึ้น
11
(ท่าเชิญ) เหนือศีรษะ
เท้าขวา: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
ศีรษะ: เอียงซ้ายและขวา
มือขวา: จีบที่ไหล่ (สลับ
ทำอีกข้าง)
12
(ท่าวาด) มือซ้าย: ตั้งวงบน (สลับ
ทำอีกข้าง)
เท้าขวา: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง
เท้าซ้าย: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า
กระบวนท่ารำของการแสดง
ชุดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
ท่าที่ ภาพท่ารำ ชื่อท่า อธิบายท่า
13
ศีรษะ: เอียงขวาและซ้าย
มือขวา: จีบคว่ำลงทั้งสอง
ข้าง
มือซ้าย: ม้วนมืออกแทง
มือลงทั้งสองข้าง ระดับ
(ท่าลง) เอว
เท้าขวา: แตะเท้าไว้ด้าน
หน้า(สลับทำอีกข้าง)
เท้าซ้าย: วางเท้าไว้ด้าน
หลัง(สลับทำอีกข้าง)
เครื่องแต่งกาย
เครื่องประดับ
เสื้อ ผ้าถุง
ผ้าเบี่ยง ดาวเรืองประดับทรงผม ดอกไม้ติดอก
สร้อย เข็มขัด
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดง
สรุปว่าสำหรับกระบวนการสืบทอดฟ้อนไทพวนบ้านเชียง ที่มุ่งเน้นความ
สวยงามของท่ารำ และอนุรักษ์การฟ้อนที่มีความเป็นชาติพันธุ์แบบดั้งเดิม ขอบเขต
และรูปแบบในการการแสดง โดยยึดหลักตามนาฏยจารีต เกี่ยวกับหลักในการ
ประดิษฐ์ท่ารำของแม่บทอีสาน ที่มีลีลาท่ารำผสมผสานให้สอดคล้องกับท่วงทำนอง
เพลงที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ท่วงทำนองเพลงมีทั้งช้าและเร็วตามรูปแบบการแสดง
บรรเลงโดยนักดนตรีที่เคยฟ้อนในอดีตและยังคงเล่นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุไม่
น้อยกว่า 60 ปี ใช้เวลาในการแสดง 7 นาที โดยใช้ผู้หญิงแสดงล้วนจำนวน 8 คนขึ้น
ไป เพื่อความสวยงามและอ่อนช้อยตามรูปแบบการรำ กระบวนท่ารำสื่อให้เห็น
พิธีกรรมเพื่อเซ่นสรวงบูชาหรืออ้อนวอนต่อเทพเจ้าเพื่อให้เกิดความผาสุกในหมู่บ้าน
ของตน เน้นการรำอยู่กับที่ พร้อมเพรียงสวยงามที่ สอดคล้องกลมกลืนกับทำนอง
เพลง ซึ่งการกำหนดรูปแบบในกระบวนท่ารำมีความสอดคล้องกับหลักและวิธี
ประดิษฐ์ท่ารำของบรมครูด้านนาฏศิลป์ไทยหลายท่าน กระบวนการสืบทอดท่ารำเพื่อ
ให้เกิดการสื่อสาร และความเข้าใจให้ตรงกันระหว่างผู้ถ่ายทอดท่ารำ และผู้รับการ
สืบทอดท่ารำ ในกระบวนการฟ้อนไทพวนบ้านเชียงจึงกำหนดชื่อท่ารำ หรือตั้งชื่อท่า
รำตามจินตนาการ เพื่อการจดจำที่ง่ายขึ้น ต่อการเข้าใจในความหมาย ตลอดจน
สื่อสารกันอย่างชัดเจนขึ้นในแต่ละกระบวนท่ารำ
คิวอาร์โค้ดการแสดงฟ้อนไทพวนบ้านเชียง
(วิดีโอเพื่อการศึกษา)
เอกสารอ้างอิง
วีระภัทร์ ชาตินุช. (2560). การพัฒนาโสตทักษะวิชาดนตรีสากลโดยใช้ชุดกิจกรรมตาม
แนวคิดของธอร์นไดค์สำหรับนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. มหาวิทยาลัยธุรกิจ
บัณฑิตย์
ชาติชาย ม่วงปฐม. (2557). ทฤษฎีการเรียนการสอน. ดุษฎีบัณฑิต คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
โพธิ์ แซมลำเจียก. (2538). วัฒนธรรมและประเพณีไทยพวน. กรุงเทพฯ : สามัคคีสาร.
วิบูล อย์ ลี้สุวรรณ. (2544). : มรดกวัฒนธรรมพื้นบ้าน. พิมพ์ครั้งที่ ๓.กรุงเทพฯ :
ภูมิปัญญา
อุษา สบฤกษ์. (2545). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนาฏยสร้างสรรค์ที่ส่งเสริม
ความคิดสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์ของผู้เรียนวิชานาฏศิลป์ไทยในสถาบันอุดมศึกษา.
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ณัฏฐ์ฑกฤษณ์ ไชยจินดา. (2558นาฏยลักษณ์ฟ้อนไทพวนในจังหวัด
อุดรธานี.มหาวิทยาลัยขอนแก่น
วัชนี เมษะมาน. (2543). การศึกษาประวัติ ผลงาน แนวคิด และวิธีการสร้างสรรค์ผล
งานนาฏยประดิษฐ์ของลมุล ยมะคุปต์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วาสนา ชาวหา. (2533). สื่อการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : บุ๊ค พอยท์
สมพร วงษ์วรรณ. (2533).การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น เรื่อง ภูมิปัญญาชาวบ้านของไทย
พวนจังหวัดปราจีนบุรี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6. มปท
สุมิตร เทพวงษ์. (2548). นาฏศิลป์ไทย : นาฏศิลป์สำหรับครูประถมศึกษา-อุดมศึกษา.
กรุงเทพฯ: โอ
เดียนสโตร์.
วัชนี เมษะมาน. (2543). การศึกษาประวัติ ผลงาน แนวคิด และวิธีการสร้างสรรค์ผล
งานนาฏยประดิษฐ์ของลมุล ยมะคุปต์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.