The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โลกมุสลิม : ความขัดแย้งระหว่างนิกายสุหนี่กับชีอะห์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-05-18 05:33:08

โลกมุสลิม : ความขัดแย้งระหว่างนิกายสุหนี่กับชีอะห์

โลกมุสลิม : ความขัดแย้งระหว่างนิกายสุหนี่กับชีอะห์

Keywords: มุสลิมนิกายสุหนี่,มุสลิมนิกายชีอะห์

Academic Focus โลกมสุ ลมิ : ความขดั แยง้ ระหว่างนิกาย
กมุ ภาพันธ์ 2559 สุหนีก่ ับชีอะห์
สารบัญ
บทนํา บทนาํ
ประวัตคิ วามเปน็ มา
นิกายสาํ คญั ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาท่ีมีความสําคัญ
คัมภรี ์ทางศาสนาอสิ ลาม
ความแตกต่างระหวา่ งนิกายสุหน่กี ับชีอะห์ ศาสนาหน่ึงของโลก เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม
ความขัดแย้งระหว่าง 2 นกิ าย
บทสรปุ และข้อเสนอแนะของผ้ศู กึ ษา 1 นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) โดยมี
บรรณานุกรม
2 ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) เป็นศาสดาและเป็นผู้ประกาศ
เอกสารวชิ าการอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ศาสนา ศาสนาอิสลามไม่มีพระ นักพรต หรือนักบวช

สํานกั วชิ าการ 2 เพื่อทําหน้าที่ประกอบพิธีกรรมและเผยแผ่ศาสนา
สํานักงานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร
http://www.parliament.go.th/library 3 โดยเฉพาะ เช่น อิหม่ามก็เป็นเพียงผู้นําในการนมัสการ
พระเจ้าเท่าน้ัน ผู้นับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่า “มุสลิม”

4 มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติศาสนากิจเหมือนกันทั้งหมด

5 จึงไม่มีพระ นักพรต หรือนักบวชและมิได้แบ่งแยก
แนวทางปฏิบัติระหว่างศาสนิกชน แม้แต่บุคคลที่ได้รับ

10 การยกย่องว่าเป็นอิหม่าม หรือ ท่านจุฬาราชมนตรี

12 ก็ถือว่าเป็นผู้นําทางศาสนกิจและผู้นํามุสลิมในประเทศ
ไทยเท่านั้น ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหน่ึงที่มีผู้นับถืออยู่

หลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบ

ตะวันออกกลาง ประชาชนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนา

อิสลาม ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น

ประเทศมาเลเซียมีผู้นับถือศาสนาอิสลามจํานวนมาก

สําหรับประเทศไทยมีประชาชนทน่ี ับถือศาสนาอสิ ลามอยู่

ทั่วไป แต่บริเวณที่มากท่ีสุด คือ ในพื้นท่ี 5 จังหวัด

ชายแดนภาคใต้ ซ่ึงได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา สตูล

ปัตตานีและนราธวิ าส

2

ประวตั ิความเปน็ มา
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ถือกําเนิดขึ้นในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม

เรียกว่า มุสลิม แปลว่า ผู้แสวงหาสันติ หรือ ผู้นอบน้อมตอ่ ประสงค์ของพระเจ้า ชาวมสุ ลิมนับถือพระผู้เป็นเจ้า
ที่ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า อัลลอฮ์ (ซ.บ.) พระองค์ทรงเลือกบุคคลที่พร้อมด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง ในแต่ละยุค
แต่ละสมัยให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ มีหน้าที่นําข้อบัญญัติทางศาสนามาเผยแผ่แก่มวลมนุษย์ ศาสนทูต
องค์สุดท้าย คือ นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ท่านเป็นชาวอาหรับ กําเนิดที่เมืองมักกะฮ์ บิดาของท่านคือ อับดุลลอฮ
มารดาช่ือ อามีนะฮ์ เป็นชนเผ่ากุเรช ท่านศาสดากําพร้าต้ังแต่ยังเยาว์วัย ในเวลาต่อมาจึงไปอยู่ในความ
อุปการะของอาบูฏอลิบผู้เป็นลุง โดยช่วยลุงเล้ียงปศุสัตว์ ค้าขาย และทํางานอื่น ๆ ในครอบครัว เม่ือโตเป็นหนุ่ม
ได้ไปทํางานกับนางคอดีญะฮ์ เศรษฐีม่าย โดยท่านทําหน้าท่ีควบคุมกองคาราวานสินค้าไปขายยังประเทศใกล้เคียง
ซ่ึงในเวลาตอ่ มาทัง้ สองก็ได้แต่งงานกนั มีบุตรธดิ าดว้ ยกัน 6 คน

ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) ถึงแก่กรรมเม่ือ พ.ศ. 1175 ในขณะท่ีท่านศาสดามีชีวิตอยู่ต้ังแต่เป็น
เด็กเล้ียงแพะ จนกระท่ังเป็นศาสดา และเป็นประมุขแห่งประชาชาติอาหรับ ท่านได้ดํารงตนเป็นผู้เสมอต้น
เสมอปลาย อย่งู ่าย กินง่าย มีเมตตากับทุกคน โดยเฉพาะผู้ทย่ี ากไร้และตํ่าต้อย ท่านไม่ถือยศถือศักดิ์ มกี ําลังใจ
เขม้ แข็ง มีความยุตธิ รรม และความซื่อสัตยเ์ ป็นเลิศจนได้รับฉายาตั้งแต่สมยั เป็นหนุม่ ว่า “อัลลามีน” ซ่ึงแปลว่า
ผู้ซ่ือสัตย์

นิกายสําคัญ
เรามักได้ยนิ เรื่องนกิ ายของศาสนาอิสลามกันบ่อย ๆ แค่ "สุหนี่" กับ "ชีอะห์" จนมักเข้าใจกันว่าศาสนา

อิสลามมีแค่สองนิกายนี้ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่ 2 นิกาย แต่มีนิกายอ่ืนรวมท้ังนิกายย่อย และสํานักคิดย่อย
อีกมาก บางคร้ังในหมู่นักวิชาการอิสลามก็มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการก็มีการจําแนกไว้
โดยแบ่งได้ 6 นกิ ายหลัก ได้แก่

ซนุ หนี่
(Sunni)

ชอี ะห์ (Shia) ซูฟี (Sufi) ซูฟี
มลี ักษณะเป็น
สํานกั คิดมากกว่า

อัมมาดียะห์ อ่ืน ๆ
(Ahmadiyya)

คารจิ ิยะห์
(Kharijiyyah)

3

ในศาสนาอิสลาม การแยกนิกายมิได้อยู่ท่ีความขัดแย้งเกี่ยวกับความเช่ือในหลักคําสอนหรือในการ
ปฏิบัติศาสนกิจ แต่อาจอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นสําคัญ กล่าวคือ ก่อนส้ินชีวิตท่านศาสดามูฮัมหมัด
(ซ.ล) มิได้ต้ังใครเป็นทายาทสืบแทน หลังถึงแก่กรรมของท่านก็มีปัญหาเรื่องการต้ังผู้นําโลกมุสลิม ซ่ึงเป็นท้ัง
ผู้นําศาสนจักรและอาณาจักรในเวลาเดียวกัน เหมือนกับที่ท่านศาสดาเคยเป็น กลุ่มคอวาริจญ์เห็นว่าควร
เลือกต้ัง กลุ่มชีอะห์เห็นว่าควรเอาผู้สืบเช้ือสายของท่านศาสดา เหตุการณ์ขัดแย้งเหล่านี้ทําให้เกิดกลุ่มศาสนา
ข้ึนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคอวาริจญ์ เรียกว่า ซุนนะห์ (คนไทยเรียกสุหน่ี) กลุ่มน้ีไม่เป็นท้ังพวก
คอวาริจญ์และชีอะห์ แต่เป็นพวกที่ถือแนวของอัลกุรอานและซุนนะห์ (ซุนนะห์ หมายถึง แบบแผนที่ได้จาก
จริยวัตร และโอวาทของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล)) ดังน้ัน เมื่อกล่าวถึงลักษณะสําคัญของนิกายสุหน่ี
และชีอะห์ในศาสนาอสิ ลาม จึงสามารถสรุปไดด้ ังแผนภาพ ดงั นี้

นกิ ายซนุ นีหรอื ซนุ นะห์

เคร่งครัดการปฏิบัติตาม คัมภีร์อลั กุรอานและซนุ นะห์เทา่ น้ัน และยอมรับ
ผู้นํารุ่นแรก ซ่ึงเป็นผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา มุสลิมส่วนใหญ่ในโลกรวมท้ังประเทศ
อนิ โดนีเซีย มาเลเซยี และไทยนับถือนิกายนี้

นกิ ายชีอะห์

ชีอะห์ แปลว่า พรรคพวก หมายถึง พรรคพวกท่านอาลีน่ันเอง นิกายน้ี
ถือว่าท่านอาลี บุตรเขยของศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) คนเดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่ถูกต้อง
ผู้ถือนิกายน้ีส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอิหร่าน อิรัก เยเมน อินเดีย และประเทศ
ในทวปี แอฟริกาด้านตะวนั ออก

คมั ภรี ท์ างศาสนาอิสลาม
คัมภีร์ทางศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์นี้ถือว่าเป็นพระดํารัสของพระเจ้า

ที่ได้ประทานแก่มวลมนุษย์ผ่านทางท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) ซึ่งเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงเลือกให้
ทําหน้าท่ีประกาศศาสนา และเป็นผู้นําในการปฏิบัติศาสนกิจตามคําสอนของพระองค์ อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
ทรงประทานคัมภีร์แก่ท่านศาสดาโดยการส่งเทวทูตมาพร้อมกับโองการ ท่านศาสดาได้รับโองการเป็นระยะ ๆ
รวมเวลาทั้งส้ิน 23 ปี เมื่อได้รับโองการมาก็ให้สาวกจดจารึกลงบนหิน หนังสัตว์และอื่น ๆ เก็บไว้ คัมภีร์
อัลกุรอาน มีท้ังหมด 30 ภาค 114 บท เป็นแนวทางการปฏิบัติสําหรับบุคคลและสังคม มีคําสอนเก่ียวกับ
การทําความดี การดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน การแต่งงาน ความตาย อาชีพ การทํามาหากิน รวมท้ังมีเร่ือง
การเมือง เศรษฐกจิ กฎหมาย และสงั คมไว้อย่างครบถ้วน

4

ความเเตกต่างระหว่างนกิ ายสหุ นีก่ บั ชีอะห์
เน่ืองจากความขัดแย้งในโลกมุสลิม ส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายชีอะห์และนิกายสุหนี่

ซึ่งสามารถอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสองนิกายนี้ได้ คือ ท้ังนิกายสุหนี่และชีอะห์ ต่างถือว่าอัลกุรอาน
เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิ และเห็นพ้องต้องกันเร่ืองหลักคําสอนพ้ืนฐานของศาสนาอิสลาม แต่เห็นต่างกันในด้าน
ประวัติศาสตร์ การเมือง ความสําคัญของญาติขององค์ศาสดา และการตีความพระคัมภีร์หลังศาสดามูฮัมหมัด
(ซ.ล) เสียชีวิต ผู้นํามุสลิมได้แตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเช่ือว่าผู้ท่ีจะมาเป็นผู้นําสูงสุดหรือ "กาหลิบ"
ต่อจากองค์ศาสดาน้ัน เป็นเพียงผู้นําทางการเมืองและสังคมเท่าน้ัน ไม่ได้เป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ และผู้นํานี้
ไม่จําเป็นต้องสืบสายเลือดจากองค์ศาสดา และไม่จําเป็นต้องถูกแต่งตั้งโดยองค์ศาสดา กลุ่มน้ีจึงสนับสนุนให้
"อาบู บัคร์" ศิษย์ใกล้ชิดของศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) เป็นกาหลิบองค์แรก ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ต่อมา
ได้กลายเป็นผู้นับถือนิกายสุหน่ี ในทางตรงกันข้าม อีกกลุ่มหนึ่งเช่ือว่า ผู้นําที่จะสืบทอดจากศาสดามูฮัมหมัด
(ซ.ล) น้ัน ไม่ได้เป็นเพียงผู้นําทางการเมืองและสังคมเท่าน้ัน แต่ยังเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณด้วย ผู้ที่จะเป็นกาหลิบ
ต้องเป็นผู้ท่ีพระเจ้าเลือกมาผ่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) ดังน้ันกาหลิบจึงต้องเป็นผู้มีสายเลือดของศาสดา และ
เป็นผู้ท่ีองคศ์ าสดาเลือกไว้ กลุ่มน้ีจึงสนับสนุนให้ "อาลี" ซึง่ เป็นน้องเขย และลูกพี่ลกู น้องของศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล)
เป็นกาหลิบองค์แรก และให้ความสําคัญกับอิหม่ามที่สืบเช้ือสายมาจากศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) เป็นพิเศษ
ผูส้ นบั สนุนแนวคิดนตี้ ่อมาไดก้ ลายเป็นผูน้ ับถือนิกายชีอะห์

ทงั้ 2 นกิ ายก็ข้นึ ตน้ ด้วยตัว “s” เหมอื นกนั ทาํ ไมจะสมานสามัคคีกนั ไมไ่ ด้เลยหรอื – ผู้เขียน

ที่มา : http://muftah.org/wp-content/uploads/2015/07/ShiaSunni.jpg?bd2281

คําว่า "ซุนนี" แปลว่าผู้ปฏิบัติตามคําของศาสดา ส่วน "ชีอะห์" มาจากคําว่า "ชีอาท อาลี" ซ่ึงแปลว่า
"ผู้สนับสนุนอาลี" ชาวชีอะห์ยังเช่ือด้วยว่า ในอนาคตจะมี "มะฮ์ดี" ท่ีพระเจ้าส่งมาเพ่ือนําสันติภาพและความ
ยุติธรรมมาสู่โลกมนุษย์ ชาวสุหนี่ท่ีเคร่งครัดกับแนวคิดสุหน่ีด้ังเดิมมักปฏิเสธแนวคิดน้ี แต่ก็ยังมีชาวสุหน่ีอีก
จํานวนมากก็รับเอาแนวคิดน้ีมาเช่นกัน ในด้านพิธีกรรม ชาวชีอะห์เชื่อในการแสวงบุญตามศาสนสถานท่ีบูชา

5

อิหม่ามผู้สืบเช้ือสายมาจากศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล) แต่ชาวสุหน่ีจํานวนมากโดยเฉพาะที่นับถือนิกายวาฮาบี
เชอ่ื วา่ ประเพณนี ีข้ ัดแย้งกบั หลกั อสิ ลามท่ีกําหนดให้บชู าพระเจา้ และศาสดาเท่านนั้

☯ ไมว่ า่ จะสุหนหี่ รือชอี ะห์ก็คือพนี่ อ้ งชาวมสุ ลมิ เหมือนกนั เปรียบเหมือนสีขาวกับดาํ สีดํากบั ขาวนั่นเอง – ผ้เู ขยี น

ที่มา : http://beingcovers.com/tag/religious-facebook-covers.html?page=7

ปัจจุบันท่ัวโลกมีผู้นับถือศาสนาอิสลาม ประมาณ 1,600 ล้านคน ในจํานวนนี้ 940 ล้านคน หรือ
ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ นับถือนิกายสุหน่ี ในขณะท่ีอีก 120 ล้านคน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ นับถือ
นิกายชีอะห์ ประเทศท่ีประชากรส่วนใหญ่นับถือนิกายชีอะห์ ได้แก่ อิหร่าน อิรัก อาเซอร์ไบจาน และบาห์เรน
และประเทศทม่ี ีประชากรชีอะห์เกินร้อยละ 20 ได้แก่ เลบานอน เยเมน คเู วต และตุรกี

ความขดั แย้งระหว่าง 2 นิกาย
ปัญหาหน่ึงที่ทําลายความสามัคคีและความมั่นคงของสังคมมุสลิมมายาวนาน คือ ปัญหาความ

ขัดแย้งระหว่างนิกายสุหน่ีและชีอะห์ ซ่ึงเกิดจากความคลุมเครือในเร่ืองของการสรรหาผู้นํา ท่ีถูกยอมรับจาก
สังคมจากความขัดแย้งในเร่ืองการสรรหาผู้นํา จนถูกขยายออกไปเป็นความขัดแย้งทางเช้ือชาติของ 2 นิกาย
การจุดประเดน็ ความขัดแยง้ จึงหนไี ม่พ้นปัญหาความขดั แยง้ ทางเชือ้ ชาตติ ิดตามมาดว้ ย เช่น อริ กั กบั อหิ รา่ น ที่มี
แนวทางในเรื่องเอกภาพของความเป็นพ่ีน้องมุสลิมไม่ว่าจะเป็นสุหน่ีหรือชีอะห์ มาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติอิหร่าน
และหลงั จากการโค่นล้มราชวงศช์ าในอิหร่าน บรรดาผ้รู ู้ของทัง้ สองฝ่ายต่างเข้าใจปัญหาความขดั แยง้ และไดร้ ับ
ประสบการณ์ความสูญเสียที่ถกู สร้างขึน้ นีด้ ี โดยมกี ารเรียกรอ้ งใหเ้ ลกิ โต้เถยี งในประเดน็ ขัดแย้งทางศาสนา และ
ปัญหาความขัดแย้งในเร่ืองวิธีการสรรหาผู้นํา มุ่งเน้นไปให้ความสําคัญกับการพัฒนาการศึกษา เศรษฐกิจ
การเมืองแทนประเด็นขัดแย้งท่ีไม่เกิดประโยชน์เหมือนในอดีตท่ีผ่านมา และต้องยุติสงครามระหว่างมุสลิม
ด้วยกัน แมว้ า่ มนั จะมเี หตมุ ีผลอย่างไรก็ตาม นเ่ี ป็นทางออกเดยี วทจ่ี ะเรียกความเป็นพ่ีนอ้ งมสุ ลมิ กลับคืนมาอีกคร้งั

6

ความขดั แยง้ ของ 2 นกิ ายนี้ เปรยี บเสมือนเกมส์ชกั เยอ่ ที่ตา่ งฝา่ ยกไ็ มไ่ ด้ลดราวาศอกกันเสยี ที – ผู้เขียน
ทมี่ า : http://muslim-academy.com/violence-name-islam-sunni-shia-bloodshed/

ความขัดแย้งของ 2 นิกายน้นั คนส่วนใหญ่มักมองเป็นเรื่องความขัดแย้งทางลัทธิความเช่ือทางศาสนา
ระหว่างสุหน่ีและชีอะห์ ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจเป็นสงครามที่ประเทศมหาอํานาจต้องการเข้ามาแทรกแซง
หาผลประโยชน์จากคู่บาดหมาง ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านท่ียาวนาน กลุ่มตอลีบันและ
อัลกออิดะห์ ความขัดแย้งระหว่างอัฟกานิสถานและปากีสถาน หรือความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับ
ปาเลสไตน์ กลุ่มขบวนการท่ีเกิดข้ึนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับอิทธิพลของมหาอํานาจ ท้ังในภูมิภาคและนอก
ภูมิภาคทั้งสิน้ สมมตฐิ านดังกล่าวนเ้ี รม่ิ เป็นทีช่ ดั เจนมากข้ึนต่อประชาคมโลกในปจั จบุ นั

โดยสอดคล้องกับความคิดเห็นของนายบันฑิตย์ สะมะอุน สํานักข่าวอะลามี่ ท่ีว่า “...สําหรับกรณีปัญหา
ของชีอะห์-สุหน่ี ซึ่งมีความลึกซึ้งตรงท่ีเป็นการสร้างความขัดแย้งจากคนในศาสนาเดียวกัน คือ มุสลิม และแบ่งแยก
ความเป็นมุสลิมแยกออกจากกัน ไม่ใช่เป็นการแยกรัฐชาติ แต่เป็นการแยกศาสนา/วัฒนธรรม ของคนในรัฐให้เกิด
เป็นเงอ่ื นไขความขัดแย้งหรือความแตกแยกกันภายใน กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างชีอะห์-สหุ น่ี น่าจะเป็นเพียง
เร่ืองความขัดแย้งระหว่างรัฐ/ประเทศซาอุดิอาระเบียกับประเทศอิหร่านมากกว่า ท่ีจะกลายเป็นความขัดแย้ง
ระหว่างชีอะห์-สุหน่ี อย่างท่ีกําลังเกิดข้ึนในปัจจุบัน เพราะที่สุดของสถานการณ์แล้ว ท้ังซาอุดิอาระเบียและ
อิหร่าน ก็ล้วนแต่เกิดข้ึนมาจากผลผลิตของมหาอํานาจ ท่ีต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซาอุดิอาระเบีย
ซ่ึงมีสหรัฐอเมรกิ าหนุนหลัง และอิหร่านท่ีมีรสั เซียหนนุ หลัง ทคี่ อยแทรกแซงและสร้างเงอื่ นไขแห่งความขดั แย้ง
เพ่ือสร้างคู่สงครามตัวแทนอยู่ตลอดเวลา แต่เหตุใดมุสลิมหรือประเทศมุสลิมยังลุ่มหลงกับวาทกรรมท่ีถูกปลุก
กระแสขนึ้ ท้ัง ๆ ที่รวู้ า่ กรณีความขัดแยง้ ของซาอุดิอาระเบียและอิหรา่ นน้นั มผี ชู้ กั ใยอยเู่ บอื้ งหลังก็ตาม

การเผยแพร่แนวคิดอุดมการณ์เป็นเร่ืองปกติ ไม่ว่าจะเป็นชีอะห์-สุหนี่ ท่ีต้องการให้แนวคิด/อุดมการณ์
ของตนขยายออกไปยังภายนอก ซึ่งเป็นส่ิงท่ีดีและน่าส่งเสริม แต่ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในประเด็นน้ี คือ การโจมตี/
การกล่าวหาอุดมการณ์ของกันและกันระหว่างชีอะห์-สุหนี่ ภายใต้บรรยากาศของความรู้สึกชาตินิยม ที่ติดตัว
มาจากประเทศท่ีบ่มเพาะอุดมการณ์โดยนักศึกษา/ผู้รู้ คือผู้ส่งออกอุดมการณ์สําคัญต่าง ๆ นี้ นักศึกษาท่ีจบมา

7

จากซาอุดิอาระเบีย (สุหนี่) ก็มักกล่าวร้ายประเทศอิหร่าน (ชีอะห์) และนักศึกษาท่ีจบมาจากอิหร่าน (ชีอะห์)
ก็มกั กล่าวร้ายประเทศซาอดุ ิอาระเบยี (สุหน)ี่ ...”

เราคงไมอ่ ยากเห็นทัง้ 2 นิกายปรองดองกนั แต่เพยี งในนาม แต่เบ้ืองหลังยังคงรบราฆ่าฟนั กนั – ผู้เขยี น
ที่มา : https://www.politicalcartoons.com/cartoon/deadc998-a89a-4c2e-ac07-36a335cded58.html

ดังน้ัน สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าศาสนามิได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด มนุษย์ผู้แสวงหาอํานาจ
ต่างหากที่เป็นผู้ก่อปัญหาขึ้น บริบททางการเมืองและอํานาจจึงเป็นประเด็นสําคัญที่ควรนํามาใช้ในการ
วิเคราะห์ ดังจะเห็นได้จากคํากล่าวของจิตรา อินทร์เพ็ญ นักวิชาการอิสระ สามารถสรุปสาระสําคัญได้ว่า
ปมความขัดแย้งหลักและความร้อนระอุทางการเมืองในตะวันออกกลางที่มีมาโดยตลอด คือความซับซ้อน
ของเกมอํานาจโลก โดยมีชาติมหาอํานาจและข้ัวอํานาจต่าง ๆ ที่ล้วนต้องการเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคน้ี
และให้การสนับสนุนพันธมิตรท่ียืนอยู่ข้างเดียวกับตน ขั้วหนึ่งนําโดยสหรัฐอเมริกาซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบีย
อิสราเอล ตุรกี และชาติอาหรับได้ให้การสนับสนุน อีกข้ัวหนึ่งคือรัสเซีย อิหร่าน อิรัก ซีเรีย การโยงใยพัวพัน
และความซบั ซ้อนของสถานการณท์ แ่ี ตล่ ะประเทศอย่กู ันคนละฝัง่ เล่นกันคนละบทบาท มคี วามตอ้ งการสว่ นตัว
ไปคนละอย่าง ทําให้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดข้ึนในตะวันออกกลางขณะนี้มีลักษณะเป็นสงครามตัวแทน
เป็นสงครามแห่งอํานาจที่ยังคงดําเนินต่อเน่ืองไปอีกยาวนาน ฝ่ายใดที่ถอยออกจากเวทีน้ีนั่นหมายถึงการ
หมดบทบาทสิ้นอาํ นาจ ซ่ึงอาจกลายเป็นการสญู เสยี ครงั้ ยง่ิ ใหญ่ของประวตั ศิ าสตรช์ าติตนเลยทีเดียว

นอกจากน้ัน ประเด็นความขัดแย้งระลอกใหม่คือ การประกาศตัวเป็นผู้นําในรูปแบบของคอลีฟะห์
(ผู้มีอํานาจปกครอง) ของนายอาบู บาการ์ แบกดาดี (Abu Bakral Baghdadi) ผู้นํากลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรัก
และซีเรีย หรือ ไอเอส ซึ่งได้ต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลซีเรียและอิรัก และยังได้ประกาศการเป็นรัฐอิสลามเหนืออาณาเขต
ท่ียึดครองได้จากซีเรียและอิรัก แต่การประกาศดังกล่าวของนายแบกดาดีในการใช้ระบบคอลีฟะห์ในการ
ปกครอง เป็นเรื่องท่ีหลายฝ่ายมองว่าเป็นอันตรายมากกว่า เพราะหากประกาศเป็นระบบคอลีฟะห์ขึ้นจริง

8

ความขัดแย้งจากการยอมรับในตัวนายแบกดาดีในฐานะคอลีฟะห์ อาจเป็นชนวนใหม่ท่ีนําไปสู่ความขัดแย้ง
ในภูมิภาคให้ยืดยาวออกไป เพราะการประกาศตัวเป็นคอลีฟะห์นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และจะทําให้เกิด
ความไม่พอใจกับทั้งฝ่ายสุหนี่และชีอะห์ต่อไป โดยนายอัล กอรฎอวี ประธานสหภาพนักปราชญ์มุสลิม
นานาชาติ (IAMS) เคยกล่าวไว้ว่า “การประกาศตัวเป็นคอลีฟะห์ของนายแบกดาดีนั้นเป็นเรื่องท่ีละเมิด
กฎหมายชารอิ ะห”์

ซ่ึงหลักกฎหมายอิสลาม หรือชารีอะฮ์ (Sharia/Shari'ah) ก็คือ ประมวลข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของ
กฎหมายในศาสนาอิสลาม คําว่า "ชารีอะฮ์" แปลว่า "ทาง" หรือ "ทางไปสู่แหล่งนํ้า" กฎหมายชารีอะฮ์ คือ
โครงสร้างทางกฎหมายท่ีครอบคลุมวิถีการดําเนินชีวิตของบุคคลและสาธารณชนที่มีพื้นฐานมาจากหลัก
นิติศาสตร์ (jurisprudence) ของศาสนาอิสลามสําหรับใช้โดยมุสลิม กฎหมายชารีอะฮ์ครอบคลุมด้านต่าง ๆ
ของชีวิตประจําวันที่รวมท้ังระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการดําเนินธุรกิจ ระบบการธนาคาร
ระบบการทําสัญญา ความสัมพันธ์ในครอบครัว หลักของความสัมพันธ์ทางเพศ หลักการอนามัย และปัญหา
ของสังคม กฎหมายชารีอะฮ์ในปัจจุบันเป็นกฎหมายศาสนาท่ีใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดและเป็นกฎหมาย
ท่ีปรากฏบ่อยท่ีสุดของระบบกฎหมายของโลกพอ ๆ กับคอมมอนลอว์ และซีวิลลอว์ ในระหว่างยุคทองของ
อิสลาม กฎหมายอิสลามอาจถือว่ามีอิทธิพลตอ่ วิวฒั นาการของคอมมอนลอวอ์ ีกดว้ ย

ชาวมสุ ลิมส่วนใหญ่ตา่ งเรียกรอ้ งหาความสงบสขุ ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน (united) ใหเ้ กิดขึ้นโดยเรว็ ท่สี ุด – ผเู้ ขียน
ทีม่ า: http://sayyidali.com/wp-content/uploads/2014/09/14868-sunnishiacoexistance-1353653082-606-640x480.jpg

ขณะที่ ดร. อับบาส ซูมาน รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ซ่ึงมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเป็นองค์กร
ศาสนาแห่งโลกอิสลาม ก่อต้ัง ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ได้ให้ความเห็น สรุปสาระสําคัญได้ว่า เขาเชื่อว่าปัจจุบัน
ผู้ท่ีพูดถึงเก่ียวกับรัฐอิสลามแบบคอลีฟะห์ล้วนเป็นผู้ก่อการร้าย และสื่อในโลกอาหรับยังพูดถึงกรณีน้ีว่า
รัฐอิสลามแบบคอลีฟะห์ของนายแบกดาดีน้ัน ไม่มีอะไรมากไปกว่าประกาศของชายคนหน่ึงซ่ึงเป็นผู้นํา
กลุ่มก่อการร้าย การประกาศรัฐอิสลามแบบคอลีฟะห์หากเกิดขึ้นจริง ในอนาคตมันคือระเบิดเวลาลูกใหม่

9

ท่ีถูกตั้งไว้ เป็นอันตรายต่อท้ังอิรักและซีเรีย อันตรายทั้งกับซีอะห์และสุหนี่ และที่สําคัญคือ อันตรายต่อการ
ประสานความสัมพันธ์ของพ่ีน้องมุสลิม และล่อแหลมว่าจะเกิดกลุ่มก่อการร้ายที่มีความขัดแย้งรุนแรงมากข้ึน
กว่าในปัจจุบัน และเพราะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสุหนี่และชีอะห์น้ัน ส่วนหน่ึงมาจากความเห็นต่าง
อย่างรุนแรงที่มตี อ่ ระบบคอลีฟะหใ์ นอดีตนน่ั เอง

แทนทจี่ ะบาดหมางกนั โลกคงอยากเห็นความสามัคครี ะหว่าง 2 นิกายในการกําจดั กลุ่มไอเอสมากกว่า – ผ้เู ขียน
ที่มา: http://en.nasimonline.ir/archives/16158

ในกรณีนี้ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อํานวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณี “คอลีฟะห์ หรือ เคาะลีฟะฮ์” ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“การประกาศตนเป็น ‘เคาะลีฟะฮ์’ ของนายอาบู บาการ์ แบกดาดี ผู้นํากลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย หรือ
ไอเอส ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในโลกมุสลิมไม่น้อย เพราะในทางหนึ่งถือเป็นการท้าทายอํานาจของเหล่าผู้นํา
โลกมุสลิมท้ังหลาย ขณะที่ในอีกทางหนึ่งก็ทําให้เกิดความเห็นท่ีแตกต่างหลากหลายของชาวมุสลิมต่อ
สถานการณ์ท่ีเกิดข้ึน” นอกจากน้ี ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ยังได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นมาในแง่มุมต่าง ๆ
สามารถสรุปสาระสําคัญได้ว่า คําว่า เคาะลีฟะฮ์ เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง ‘ตัวแทน’ หรือ ‘ผู้มีอํานาจ
ปกครอง’ ถ้าตรวจดูในคัมภีร์อัลกุรอานก็จะพบคําน้ีอยู่ แต่ถูกอธิบายในบรบิ ทของการสร้างศาสดาอาดํา ผู้เป็น
มนุษย์คนแรกของโลก โองการในอัลกุรอาน กล่าวว่า “และจงนึกถึงเม่ือตอนท่ีพระผู้เป็นเจา้ ของเจ้าได้กล่าวแก่
บรรดามลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงฉันจะให้มีเคาะลีฟะฮ์ขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน” จากเรื่องราวการสร้างศาสดาอาดํา
ทําให้ชาวมุสลิมศรัทธาว่ามนุษย์ไม่ได้กําเนิดขึ้นมาอย่างไร้สาระ หรือไม่มีเป้าหมายในการดําเนินชีวิต แต่มนุษย์
ถูกกําหนดให้เป็น ‘ตัวแทน’ (เคาะลีฟะฮ์) ของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน การเป็นตัวแทนนี้ไม่ได้หมายความว่า
มนุษย์จะเป็นพระเจ้าแทนพระองค์ แต่หมายถึงการเป็นตัวแทนของพระเจ้าเพื่อทําหน้าที่ดูแลเพ่ือนมนุษย์
ด้วยกันตามความสามารถในด้านต่าง ๆ ท่ีพระองค์ประทานให้แต่ละคนแตกต่างกัน ท้ังน้ีก็เพื่อให้มนุษย์ได้
พ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ขณะเดียวกัน ในฐานะท่ีเป็นตัวแทนของพระเจ้า มนุษย์ก็จะต้องใช้อํานาจและ

10

ความสามารถ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ ตามขอบเขตกฎหมายท่ีพระผู้เป็นเจ้าได้กําหนดเอาไว้ ไม่ใช่เอาไปใช้
จนเกนิ เลยขอบเขต ละเมดิ สิทธิสรา้ งความเดือดรอ้ นให้คนอื่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากนัยทางการเมืองของโลกมุสลิม คําว่า ‘เคาะลีฟะฮ์’ ก็อาจหมายถึง
ประมุขหรือหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเป็นตัวแทนในการนํากฎหมายของพระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติใช้ เช่น กฎหมาย
อิสลามให้อํานาจเคาะลีฟะฮแ์ ต่เพียงผู้เดียวในการประกาศญิฮาด (การทําสงครามต่อต้านการรุกรานประชาคม
มุสลิม) เป็นต้น ยุคหลังศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) คําว่าเคาะลีฟะฮ์ถูกนําไปใช้เป็นตําแหน่งผู้นําสูงสุด
ของประชาชาติอิสลาม ผู้นําที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขว้างในโลกมุสลิม ซ่ึงถือเป็นเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม
คือ เคาะลีฟะฮ์อบูบักร (ค.ศ. 632-634) เคาะลีฟะฮ์อุมัร (ค.ศ. 634-644) เคาะลีฟะฮ์อุสมาน (ค.ศ. 644-656) และ
เคาะลีฟะฮ์อาลี (ค.ศ. 656-661) ท้ังหมดนี้ถือเป็นผู้นําต้นแบบที่มีคุณลักษณะท่ีเป็นคนมีศรัทธามั่น จิตใจโอบ
อ้อมอารี และมีความยุติธรรมในการปกครอง นับจากน้ันมาโลกมุสลิมในภาคส่วนต่าง ๆ ก็พยายามฟ้ืนฟู
ระบอบเคาะลีฟะฮ์ขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังไม่เคยประสบความสําเร็จ และยังไม่เคยมีใครกล้าเรียกตนเองว่า
เป็นเคาะลีฟะฮ์อีกเลย จนกระทั่งเกิดกลุ่มที่เรียกว่ารัฐอิสลามในอิรักและซีเรียขึ้นมา แต่เคาะลีฟะฮ์ในศตวรรษ
ที่ 21 ท่ีเกิดข้ึนใหม่นี้ กลับกลายเป็นตัวแทนของความโหดร้ายรุนแรง ที่โลกมุสลิมส่วนใหญ่ต่างไม่ยอมรับ
ถือเป็นการอ้างตนที่ไม่สอดคล้องกับหลักการอิสลาม แตกต่างกับเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมรุ่นแรกที่โลกมุสลิม
ต่างปรารถนา

บทสรปุ และข้อเสนอแนะของผูศ้ กึ ษา
ความขัดแย้งทางศาสนาเป็นความขัดแย้งที่เกิดข้ึนง่ายและรุนแรง เน่ืองจากผู้นับถือศาสนาแบบยึดม่ัน

ถือม่ันจะเห็นว่าศาสนาหรือลัทธิท่ีตนนับถือดีกว่าของผู้อ่ืนและไม่ยอมรับคนต่างศาสนาต่างลัทธิ ทั้งนี้เพราะคน
เหล่านั้นมีพื้นฐานความเช่ือต่างกันและตีความศาสนาไปตามความเชื่อของตน และวางรูปแบบการดํารงชีวิต
แตกต่างกันออกไปตามที่ตนเชื่อถือ ซ่ึงความยึดมั่นถือม่ันนี้เองทําให้เกิดความขัดแย้งกันข้ึนมา ส่วนใหญ่ความ
ขัดแย้งทางศาสนามักจะมีความรุนแรงและพร้อมจะสละชีวิตเพ่ือความยึดม่ันของตน ทั้งน้ีความขัดแย้งทางศาสนา
เกิดข้ึนได้ท้ังกรณีต่างศาสนาและศาสนาเดียวกัน อย่างในศาสนาอิสลามด้วยกันเอง แม้มุมมองการตีความทาง
ศาสนาในแต่ละนิกายจะแตกต่างกันสักเพียงใด แต่โดยเน้ือแท้แล้วมีจุดเช่ือมโยงในความเป็นพ่ีน้องชาวมุสลิม
เหมือนกัน แต่เกมแห่งอํานาจและผลประโยชน์ทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางต่างหากที่มีเดิมพันสูง
มาก จนกลายเป็นการทําสงครามแห่งอํานาจและผลประโยชน์ของบางประเทศที่อยู่เบ้ืองหลังที่จะสร้างความ
เสียหายให้กบั โลกใบน้ี

11

ความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดียวกัน (unity) ของ 2 นกิ าย ภายใต้ศาสนาเดียวกนั คือส่ิงทไี่ ม่ไกลเกินเอือ้ ม – ผู้เขียน
ทีม่ า : http://www.dixine.com/images/1420622507t.10.14.unity1.jpg

จดั ทําโดย
นายยอดชาย วิถีพานิช
วิทยากรชํานาญการพิเศษ
กลมุ่ งานบรกิ ารวิชาการ 1 สาํ นักวชิ าการ
โทร 0 2244 2060 โทรสาร 0 2244 2058
Email : [email protected]

บรรณานกุ รม

ภาษาไทย

กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ. (2550). ศาสนาอสิ ลาม. สืบค้น 15 มกราคม 2559 จาก
http://www.aksorn.com/Lib/S/Soc_01

จิตรา อนิ ทรเ์ พ็ญ. (8 มกราคม 2559). ซาอฯุ -อหิ ร่าน สงครามนกิ ายหรอื ดุลอํานาจในตะวนั ออกกลาง ?.
สบื ค้น 15 มกราคม 2559 จาก http://www.publicpostonline.net/6782

บัณฑิตย์ สะมะอนุ . (สงิ หาคม 2557). มายาคตทิ ี่โลกมสุ ลิมตอ้ งกา้ วข้าม. สืบค้น 15 มกราคม 2559 จาก
http://www.thealami.com/main/content.php?page=&category=5&id=131

________. (มกราคม 2559). จากซาอดุ ิอาระเบยี -อหิ รา่ น ถึง “ชอี ะห์-ซนุ นยี ”์ . สบื คน้ 15 มกราคม 2559
จาก http://www.thealami.com/main/content.php?page=news&category=5&id=1514

ศราวฒุ ิ อารีย.์ (31 ตลุ าคม 2557). เคาะลฟี ะฮ์ : โลกมสุ ลมิ . สืบคน้ 15 มกราคม 2559 จาก
http://www.komchadluek.net/detail/20141031/195040.html

ศลิ ป์ชัย เชาว์เจริญรัตน.์ (2 กรกฎาคม 2558). นิกายของอิสลาม. สืบคน้ 15 มกราคม 2559 จาก
http://sinchaichao.blogspot.com/2015/07/blog-post_2.html

รปู ภาพ

http://muslim-academy.com/violence-name-islam-sunni-shia-bloodshed/
http://beingcovers.com/tag/religious-facebook-covers.html?page=7
https://www.politicalcartoons.com/cartoon/deadc998-a89a-4c2e-ac07-36a335cded58.html
http://en.nasimonline.ir/archives/16158
http://muftah.org/wp-content/uploads/2015/07/ShiaSunni.jpg?bd2281
http://www.dixine.com/images/1420622507t.10.14.unity1.jpg
http://sayyidali.com/wp-content/uploads/2014/09/14868-sunnishiacoexistance-1353653082-

606-640x480.jpg


Click to View FlipBook Version