The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-06-08 00:42:40

การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่

การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่

Keywords: การบริหารรัฐกิจ

การบริหารรฐั กจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 8899

บริหารประเทศมีความเป็นระบบราชการน้อยลง ระบบสายการบังคับ
บัญชาอ่อนลง และการพึ่งพาอานาจสั่งการจากส่วนกลางลดน้อยลง และ
ในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษท่ี 20 ได้มีการเกิดขึ้นของ
“รัฐกลวง” (hollow state) ซ่ึงหมายถึงการที่รัฐบาลลดบทบาทของตนใน
ฐานะผู้จัดหาสินค้าสาธารณะโดยตรง โดยการทาสัญญาจ้าง (contract)
หนว่ ยงานภายนอกเข้ามาเปน็ ผูใ้ ห้บริการสาธารณะแทน

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการท้าทายอย่างรุนแรงต่อแนวคิด
ทฤษฏีการบริหารรัฐกิจท่ีมีอยู่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลให้
เกิดการเปล่ียนแปลงแนวคิดทฤษฎีท่ีเป็นแกนกลางของสาขาวิชา ซึ่งตาม
แนวคดิ แบบด้ังเดิมนั้น คาว่า “สาธารณะ” (public) ในคาว่า “การบริหาร
รัฐกิจ” (public administration) หมายถึงรัฐบาล (government) เมื่อ
บทบาทดัง้ เดิมของรัฐบาลเปล่ียนแปลง และความคาดหวังเกี่ยวกับบทบาท
ของรัฐบาลในส่ิงที่จะต้องทาเปล่ียนแปลง การบริหารรัฐกิจจึงถูกบังคับให้
ต้องมีการนิยามและกาหนดตาแหน่งแห่งท่ีของตนเองใหม่ ทั้งในส่วนของ
การนาไปประยุกต์ใช้และในส่วนท่ีเป็นสาขาวิชา และเพ่ือให้สอดคล้องกับ
โลกแห่งความเป็นจริงท่ีเปลี่ยนแปลงไป นักวิชาการทางด้านบริหารรัฐกิจ
จึงถูกบังคับให้ต้องปรับแนวคิดในสาขาวิชาของตนและพื้นฐานเชิงทฤษฎี
กันใหม่ เช่น ความหมายของคาว่า “สาธารณะ” (public) ในคาว่า การ
บริหารรัฐกิจ (public administration) ภายใต้บริบทของรัฐกลวง
(hollow state) จะต้องมีการนิยามกันใหม่ โดยจะต้องรวมเอาสถาบันและ
องค์กรท่ีหลากหลาย ซึ่งก่อนหน้าน้ีเคยได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่ิงท่ีอยู่

90 การบริหารรัฐกจิ ยคุ หลงั สมยั ใหม่ 90

นอกขอบเขตของรัฐบาลเขา้ มาดว้ ย เป็นต้น7
ในปัจจุบันเสน้ แบ่งระว่างภาครฐั กับภาคเอกชนไม่ชัดเจนเหมือนใน

อดีต โดยมีการนาเอาแนวคิดการบริหารจัดการแบบภาคธุรกิจเข้ามาใช้ใน
การบริหารงานภาครัฐอย่างมาก เช่น การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (new
public management - NPM) และการสร้างระบบราชการใหม่
(reinventing government) เป็นตน้ ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวได้นาไปสู่การ
ลดบทบาทและอานาจของระบบราชการ (downsizing) การแปรรูป
รัฐวิสาหกิจ (privatization) การจ้างเหมาภาคเอกชน (contracting out)
และการกระจายงานให้ผู้เช่ียวชาญเข้ามาดาเนินการ (outsourcing) ซึ่ง
สาเหตุสาคัญที่ทาให้ต้องมีการนาเทคนิคและวิธีการบริหารเหล่านี้มาใช้ใน
ภาครฐั ก็คือ ในชว่ งปลายศตวรรษท่ี 20 ได้มีการโจมตีการบริหารในภาครัฐ
โ ด ย เ ฉ พ า ะ อ ย่ า ง ยิ่ ง ร ะ บ บ ร า ช ก า ร ว่ า เ ป็ น ท่ี ม า ข อ ง เ สื่ อ ม ถ อ ย ข อ ง
ประสิทธิภาพการบริหาร และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกท่ีมีการ
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ในขณะท่ีภาคเอกชนได้
แสดงใหเ้ ห็นวา่ มคี วามก้าวหน้ามากกว่า ดังน้ัน ภาครัฐจึงมีความพยายามที่
จะนาแนวคดิ และเทคนคิ การบริหารจดั การจากภาคเอกชนเข้ามาใช้ เพื่อให้
การบรหิ ารจัดการในภาครฐั มปี ระสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อความ
ตอ้ งการของประชาชนไดด้ ีข้นึ

7 ดูรายละเอียดเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทฤษฎีการบริหารรัฐกิจ
เหลา่ น้ีเพ่ิมเติมได้ใน Frederickson, 2003, pp. 207-8.

การบริหารรฐั กจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 9911

ดังนั้น สิ่งท่ีจะพบเห็นได้มากย่ิงข้ึนในการบริหารรัฐกิจในอนาคต
ก็คือ การให้บริการสาธารณะโดยภาคเอกชน กิจกรรมที่เคยผูกขาดหรือก่ึง
ผูกขาดโดยรัฐในอดีตจะถกู ถา่ ยโอนไปส่ภู าคเอกชนหรือหน่วยงานท่ีไม่ใช่รัฐ
มากขึ้น ซ่ึงแสดงถึงการที่ภาครัฐลดอานาจและบทบาทลง ในขณะที่กลุ่ม
องค์การ หรือหน่วยงานอ่ืนๆ ในสังคมจะมีอานาจและบทบาทในการ
บรหิ ารรฐั กจิ เพ่มิ มากขึ้นเรอื่ ยๆ สาหรบั ในแงข่ องความเป็นสาขาวิชาหรือใน
เชิงทฤษฎีน้ัน นักวิชาการบริหารรัฐกิจจะต้องแสวงหาแนวคิดทฤษฎีหรือ
คาอธิบายเกี่ยวกบั การบรหิ ารจัดการภาครฐั กันใหม่ เนื่องจากตัวแสดงท่ีเข้า
มาเก่ียวข้องกับการจัดการภาคสาธารณะไม่ได้จากัดอยู่เฉพาะการ
บริหารงานของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่เรื่องของการบริหาร
จดั การภาคสาธารณะมกี ารขยายขอบเขตออกไปโดยรวมเอาภาคประชาชน
ภาคธุรกิจและสังคมเข้าไว้ด้วย ทาให้แนวคิดทฤษฎีการบริหารรัฐกิจยุค
สมัยใหม่ไม่เพยี งพอตอ่ การอธิบายความเป็นไปในสังคมและการประยุกต์ใช้
ในเชิงปฏบิ ัติได้อย่างเหมาะสมอกี ต่อไป

3.2.5 แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรมการบริหารรัฐกิจ (Public
Administration Ethics)

จริยธรรมการบริหารรัฐกิจ (public administration ethics) ใน
ยุคสมัยใหม่ถูกครอบงาโดยกรอบแนวคิดเชิงจริยธรรมท่ีแตกต่างกัน 2
ประการ คือ จริยธรรมระบบราชการ (bureaucratic ethos) และ
จริยธรรมประชาธปิ ไตย (democratic ethos)8

8 ดูรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดเชิงจริยธรรมทั้ง 2 ประการ และข้อโต้แย้ง

92 การบริหารรัฐกิจยคุ หลงั สมัยใหม่ 92

จรยิ ธรรมระบบราชการ (bureaucratic ethos) มีแนวคิดพ้ืนฐาน
ว่านักบริหารรัฐกิจในระบอบประชาธิปไตยมีพันธะทั้งในเชิงกฎหมายและ
เชิงศีลธรรมท่ีจะบังคับใช้กฎหมายและนานโยบายที่กาหนดโดยตัวแทนท่ี
ไดร้ ับการเลือกต้ังจากประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไปปฏิบัติ โดยเชื่อ
วา่ การตดั สินใจของตัวแทนดังกล่าวแสดงถึงเจตจานงสาธารณะ ความชอบ
ธรรมของจริยธรรม (ethos’s legitimacy) ดังกล่าวต้ังอยู่บนสมมติฐาน
ที่ว่าในระบอบประชาธิปไตยน้ัน ประชาชนมีอานาจสูงสุด เมื่อประชาชน
แสดงเจตจานงอะไรออกมา ทั้งโดยผ่านการเลือกต้ังทางตรงหรือโดยผ่าน
ผู้แทนท่ีได้รับการเลือกต้ัง ผู้บริหารไม่มีเหตุผลเชิงจริยธรรมท่ีจะต่อต้าน
เจตจานงเหล่าน้ัน สิ่งที่ผู้บริหารจะต้องทาก็คือการนาเจตจานงสาธารณะ
ดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างเป็นกลาง ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมาก
ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเป็นไปได้

ส่วนจริยธรรมประชาธิปไตย (democratic ethos) แม้จะยอมรับ
แนวคิดท่ีว่าการบริหารและการนานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติควรจะต้อง
สะทอ้ นเจตจานงของผู้ใต้ปกครอง แต่สานักน้เี ชอ่ื ว่าไม่มีการส่ือสารทางตรง
และไม่คลุมเครือจากประชาชนไปถึงตัวแทน และส่งผ่านลงไปตามลาดับ
ชั้นในระบบราชการได้อย่างแท้จริง ในแง่ของการปฏิบัติจริงนั้นเป้าหมาย
ของระบบราชการมักจะไม่ได้ถูกกาหนดจากระบวนการทางการเมือง
โดยตรง และนักการเมืองไม่สามารถควบคุมระบบราชการอย่างมี
ประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง แต่ผู้บริหาร (ในระบบราชการ) มีพื้นท่ีทาง

ต่างๆ ได้ใน Woller and Patterson, 1997.

การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 9933

จรยิ ธรรม (ethical space) ของตน จึงไม่สามารถเป็นผู้รับใช้สาธารณะที่มี
เป็นกลางในเชิงคุณค่า (value-neutral) ดังที่จริยธรรมแบบระบบราชการ
ต้องการ ผู้สนับสนุนตัวแบบจริยธรรมประชาธิปไตยเห็นว่าผู้บริหารควร
ตัดสินใจบนพื้นฐานของชุดคุณค่าทางเลือกบางอย่าง ซ่ึงประกอบด้วย
หลักการทางจริยธรรมบางอย่างที่สูงกว่าหลักการท่ีมีอยู่ในแนวคิดของการ
ปกครองแบบประชาธิปไตย และจากแนวคิดดังกล่าวได้นาไปสู่การกาหนด
แนว “การบริหารอย่างมีจริยธรรม” (ethical administration) ซึ่งเป็น
ตัวกาหนดพฤติกรรมของข้าราชการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว
ผู้สนับสนุนจริยธรรมประชาธิปไตยพยายามท่ีจะแทนที่คุณค่าในระบบ
ราชการ เช่น ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความรับผิดชอบตามลาดับชั้น
ผู้เช่ียวชาญเชิงเทคนิค และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ด้วยมุมมองท่ี
เหมาะสมของข้าราชการเอง โดยลดการเน้นคุณค่าดังกล่าวลงเพื่อให้
สอดคลอ้ งกับคณุ คา่ ท่เี ป็นแกนกลางของประชาธปิ ไตย

ความพยาย ามปร ะกา รหน่ึง ของนั กทฤษฎีการบริห ารนับ ตั้ งแ ต่
จริยธรรมระบบราชการถอื กาเนดิ ขึน้ มาตงั้ แต่ปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้น
ศตวรรษท่ี 20 ก็คือทาอย่างไรจึงจะสามารถประนีประนอมระหว่าง
จริยธรรมประชาธิปไตยและจริยธรรมระบบราชการเข้าด้วยกันได้
เนอ่ื งจากแนวคิดหลายประการที่ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของคุณค่าประชาธิปไตย
เช่น ความเท่าเทียม (equality) การมีส่วนร่วม (participation) และ
ปัจเจกบุคคลนิยม (individuality) มีความขัดแย้งอย่างตรงกันข้ามกับ
แนวคิดพื้นฐานหลายประการที่ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของจริยธรรมระบบ

94 การบริหารรฐั กจิ ยคุ หลังสมยั ใหม่ 94

ราชการ เช่น การบังคับบัญชาตามลาดับช้ัน (hierarchy) ความชานาญ
เฉพาะด้าน (specialization) และการไม่เป็นส่วนตัว (impersonality)
เป็นต้น

จริยธรรมระบบราชการ (bureaucratic ethos) มีบทบาท
ครอบงาทฤษฎีการบริหารในช่วงประมาณปลายศตวรรษท่ี 19 ต่อเน่ืองมา
จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 นับต้ังแต่การเสนอแนวคิดเร่ืองระบบราชการใน
อุดมคติของเวเบอร์ (Weber) แนวคิดเร่ืองการแยกการเมือง (ในฐานะผู้
กาหนดนโยบาย) ออกจากการบริหาร (ในฐานะผู้นานโยบายไปปฏิบัติ)
ของวิลสันและกูดนาว (Wilson and Goodnow) และแนวคิดเรื่องการ
จัดการแบบวิทยาศาสตร์ของเทเลอร์ (Taylor) จากแนวคิดกระแสหลัก
ดงั กลา่ วทาใหน้ บั ตง้ั แตป่ ลายทศวรรษที่ 19 มาจนถึงสงครามโลกครั้งท่ีสอง
นักวิชาการผมู้ ีชื่อเสยี งในสาขาการบริหารรฐั กจิ ต่างมองเรื่องของการวางตัว
เป็นกลาง (neutral) และประสิทธิภาพในการให้บริการสาธารณะว่าไม่
เพียงเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบสาคัญของการ
ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอกี ด้วย

จากพ้ืนฐานของจริยธรรมระบบราชการดังกล่าวได้นาไปสู่การ
กาหนดกรอบแนวคิดเก่ียวกับบทบาทและความรับผิดชอบของนักบริหาร
รัฐกิจภายใต้ระบอบประชาธิปไตยท่ีสาคัญ 6 ประการ (Woller and
Patterson, 1997, p. 106) ได้แก่ (1) คุณค่าสูงสุดหรือเป้าหมายสุดท้าย
ของการบริหารไม่สามารถกาหนดโดยการวเิ คราะหใ์ นเชงิ เหตุผล แต่จะต้อง
มาจากการกาหนดโดยกระบวนการทางการเมือง (2) ความรู้และเทคนิคใน

การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลังสมัยใหม่ 9955

เชิงวิทยาศาสตร์เป็นแนวทางที่จะนาไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
สูงสดุ เพอ่ื ตอบสนองเปา้ หมายทางการเมอื งทีไ่ ดต้ ั้งเอาไว้ (3) มีการแบ่งแยก
ออกจากกันระหว่างวิธีการ (means) และเป้าหมาย (ends) (4) การ
กระทาในเชิงการบริหารจะได้รับการตัดสินโดยเกณฑ์ที่เป็นกลางในเชิง
คุณค่า (value-free) ของประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าน้ัน (5) นัก
บริหารรัฐกิจไม่ควรต่อต้านอานาจของเจ้าหน้าที่ท่ีมาจากการเลือกต้ังใน
ระบอบประชาธปิ ไตย แตค่ วรจะแสวงหาวิธีการเชงิ เทคนิคในการที่จะทาให้
ภารกิจท่ีผู้มีอานาจทางการเมืองเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการลงมาตามช่องทาง
ของระบบราชการ และ (6) ตราบเท่าที่นักบริหารรัฐกิจได้ใช้ความพยายาม
เพื่อให้บรรลุเจตจานงสาธารณะตามลักษณะท่ีกล่าวมาข้างต้น ก็ถือได้ว่า
ระบบราชการมีความชอบธรรมภายใตส้ งั คมแบบประชาธิปไตย

ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ถึงต้นทศวรรษท่ี 1970
แนวคิดของจริยธรรมระบบราชการได้ถูกโจมตีจากนักวิชาการกลุ่มต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มการบริหารรัฐกิจแนวใหม่ (New Public
Administration - NPA) ซึ่งกลุ่มดังกล่าวได้โต้แย้งว่า แม้แนวคิดของความ
เป็นกลางเชิงจริยธรรมและระบบราชการภายใต้ระบบคุณธรรมอาจจะ
กอ่ ให้เกดิ ประสิทธิภาพแตไ่ มม่ ีความชอบธรรม เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวไม่
คานึงถึงความเป็นมนุษย์ ไม่ตอบสนองและขาดความรับผิดชอบในเชิง
ประชาธิปไตย คุณค่าแบบระบบราชการดังกล่าวนาไปสู่การปฏิบัติท่ีไม่
คานึงถึงบริบทและสถานท่ี และการท่ีการบริหารรัฐกิจรับเอาจริยธรรม
ระบบราชการมาใช้ทาให้สาขาวิชาลดความชอบธรรม และได้รับการ

96 การบรหิ ารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ 96

พิจารณาว่าเป็นเพียงกลุ่มวิชาชีพหรือกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหน่ึงเท่าน้ัน
โดยกลุ่มที่โจมตีแนวคิดของจริยธรรมระบบราชการได้เสนอว่าการบริหาร
รัฐกิจควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการอ่ืนๆ เช่น ความเท่าเทียมทาง
สังคม ความยุติธรรม เกียรติยศ มนุษย์นิยมและความเมตตากรุณา เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มนักวิชาการที่วิพากษ์หรือโจมตีแนวคิดจริยธรรม
ระบบราชการพยายามท่ีจะค้นหาและอธิบายถึงคุณค่าที่เป็นแก่นของการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยเพ่ือเป็นรากฐานในการกาหนดพฤติการณ์
การบริหารตอ่ ไป

จริยธรรมระบบราชการและจริยธรรมประชาธิปไตยพยายามท่ีจะ
ตอบคาถามเก่ยี วกับความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลและสังคม โดยนาเสนอ
แนวคิดที่เป็นชุดของคุณค่าท่ัวไปท่ีสามารถจะใช้เป็นแนวปฏิบัติของนัก
บริหารรัฐกิจได้อย่างสากล โดยจริยธรรมระบบราชการเห็นว่านักบริหาร
รฐั กจิ จะตอ้ งนานโยบายของหน่วยงานไปปฏิบตั ิให้ประสบความสาเร็จอย่าง
มีประสิทธิภาพ ในขณะที่จริยธรรมประชาธิปไตยเห็นว่านักบริหารรัฐกิจ
จ ะ ต้ อ ง ด า เ นิ น ก า ร ต า ม แ น ว ท า ง จ ริ ย ธ ร ร ม ที่ ต้ั ง อ ยู่ บ น พื้ น ฐ า น ข อ ง
ประชาธิปไตย โดยท้ังสองแนวคิดต่างก็เชื่อว่ามีคุณค่าท่ีเป็นแกนกลางซ่ึง
สามารถค้นพบและใช้เป็นแนวทางในการกาหนดพฤติกรรมของนักบริหาร
รัฐกจิ ไดโ้ ดยไม่จากัดอยู่ภายใต้กรอบของเวลาและสถานที่

ในกรณีของจริยธรรมระบบราชการ สิ่งที่ประกอบเป็นแกนกลาง
คือศาสตร์ของการบริหารในเชิงเทคนิค กฎเกณฑ์ในเชิงเทคนิคสาหรับการ
บริหารท่ีมีประสิทธิภาพซ่ึงมีการกาหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยการใช้

การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลังสมัยใหม่ 9977

ทรัพยากรให้น้อยท่ีสุดคือสาระสาคัญของแนวคิด ภาษาของจริยธรรม
ระบบราชการคือภาษาของวิทยาศาสตร์ ส่วนในกรณีของจริยธรรม
ประชาธิปไตยได้วางคุณค่าแกนกลางไว้ที่เรื่องของความเท่าเทียม ความ
ยตุ ิธรรมและความเมตตากรุณา โดยแทนท่ีแนวคิดพ้ืนฐานของคณิตศาสตร์
ด้วยแนวคิดของนักปรัชญาการเมือง ซึ่งเชื่อว่าคุณค่าแบบประชาธิปไตย
สามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารรัฐกิจได้ ภาษาของจริยธรรม
ประชาธิปไตยจึงเป็นภาษาของปรัชญาการเมือง ไม่ใช่ภาษาวิทยาศาสตร์
ตล อดช่ว งยุ คส มัย ให ม่คว ามพย ายามที่จ ะป ร ะนี ป ร ะน อมแน ว คิดทาง
จริยธรรมท้ังสองสายดังกล่าวเข้าด้วยกันยังไม่เคยประสบความสาเร็จอย่าง
แท้จริง

เม่ือมองจากกรอบแนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ ความพยายามในการ
ประนีประนอมดังกล่าวไม่สามารถนาไปสู่ผลที่พึงปรารถนาได้ เน่ืองจาก
แนวคิดดังกล่าวต้ังอยู่บนพื้นฐานท่ีผิดพลาด นั่นคือแนวคิดดังกล่าวต้ังอยู่
บนหลักการแบบพ้ืนฐานนิยม (foundationalism) หรือหลักการที่เชื่อว่ามี
กฎเกณฑท์ ่ีเป็นสากลหรอื ก่ึงสากล (universal or quasi-universal) ท่ีเป็น
มาตรฐานในการตัดสินพฤติกรรมเชิงจริยธรรม และมองปัจเจกบุคคลใน
ฐานะท่ีเป็นวัตถุซึ่งจะต้องถูกควบคุมโดยเครื่องมือเชิงการบริหาร (Woller
and Patterson, 1997, p. 104-5)

การวิพากษ์แนวคิดแบบพ้ืนฐานนิยมสามารถทาได้โดยใช้ทฤษฎี
การวิเคราะห์วาทกรรม (discourse) จากแนวคิดของแดร์ริดา (Derrida)
ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงอภิปรัชญาที่ต่อต้านวาทกรรมโครงสร้าง (structured

98 การบรหิ ารรัฐกิจยุคหลงั สมัยใหม่ 98

discourse) หรือวาทกรรมแกนกลาง (centered discourse) โดย
วาทกรรมดังกล่าวใช้จุดเร่ิมต้นที่กาหนดไว้ เช่น ประสิทธิภาพแบบระบบ
ราชการ หรือจริยธรรมประชาธิปไตย ในฐานะหลักการเชิงองค์การเพ่ือ
สร้างหรือจากัดบทบาทของกิจกรรมเชิงวาทกรรม โดยวาทกรรมของการ
บรหิ ารรฐั กิจจะเป็นตวั กาหนด กอ่ รูปและสรา้ งระบบซ่ึงถูกเข้าใจว่าเป็นการ
บรหิ ารที่มเี หตุผล (rationality) และเป็นลกั ษณะเฉพาะวิชา (technically)
เม่ือมองจากทัศนะของนักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่ ทั้งจริยธรรมระบบ
ราชการและจริยธรรมประชาธิปไตยที่เป็นพ้ืนฐานของการบริหารรัฐกิจใน
ยุคสมัยใหม่เป็นเพียงสภาพการณ์ทางสังคมซ่ึงมีวาทกรรมเป็นตัวสร้างและ
ก่อรูปขึ้นมา ภายใต้บริบททางสังคมในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่เป็น
การเฉพาะ ไมไ่ ด้มคี วามจรงิ แทใ้ นตัวเองแต่อย่างใด

นอกจากน้ี การวิพากษ์แนวคิดแบบพื้นฐานนิยมยังสามารถทาได้
จากทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่เร่ืองการวิเคราะห์ภาษา (language analysis)
ตามทัศนะของนกั วิชายคุ หลังสมยั ใหมเ่ ห็นวา่ แนวคิดแบบพ้ืนฐานนิยามเป็น
ผลผลิตของความเข้าใจเร่ืองภาษาที่ผิดพลาด น่ันคือ แนวคิดแบบพื้นฐาน
นิยมเชอ่ื วา่ คา (word) ในภาษามีความหมายที่จริงแท้แน่นอนในตัวเองโดย
ไม่ข้ึนอยู่กับเวลาและสถานที่ แต่การวิเคราะห์โดยใช้กรอบแนวคิดของ
ทฤษฎีการวิเคราะห์ภาษาได้ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคาในภาษาน้ันไม่ได้มี
ความหมายที่แน่นอนในตัวเอง เช่น คาว่า “ประสิทธิภาพ” ซึ่งเป็นแนวคิด
แกนกลางของจริยธรรมแบบระบบราชการ และคาว่า “ความยุติธรรม”
หรือ “ความเท่าเทียมทางสังคม” ซ่ึงเป็นแนวคิดแกนกลางของจริยธรรม

การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 9999

ประชาธิปไตยน้ัน ไม่ได้เป็นคาท่ีมีความหมายแน่นอนในตัวเอง คาดังกล่าว
เป็นประดิษฐกรรมที่ถูกสร้างข้ึนมาภายใต้บริบทของสังคมและช่วงเวลาใน
ประวัติศาสตรเ์ ฉพาะ ดังนั้น คาต่างๆ เหล่าน้ีจึงไม่ได้มีความหมายที่แท้จริง
ในตัวเองซ่ึงสามารถยึดถือเป็นแก่นของการบริหารรัฐกิจได้อย่างเป็นสากล
โดยไม่จากดั เวลาและสถานทไ่ี ดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ

นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่ได้เสนอทางเลือกที่สามข้ึนมาเพื่อ
แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคู่ตรงข้ามของจริยธรรมระบบราชการและ
จริยธรรมประชาธิปไตยดังกล่าว เรียกว่าแนวคิด “จริยธรรมการบริหาร”
(administrative ethics) ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของวิธีการ
ตีความ (hermeneutical approach) และวิธีการสนทนา (dialogic
approach) (Woller and Patterson, 1997, p. 114-5) โดยในส่วนของ
วิธีการตีความนั้นเป็นการช้ีให้เห็นว่าท้ังจริยธรรมระบบราชการและ
จริยธรรมประชาธิปไตยที่เชื่อถือและปฏิบัติกันอยู่ในการบริหารรัฐกิจน้ัน
เป็นเพียงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและสังคม ซึ่งปรากฏตัวและ
แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดภายใต้บริบททางสังคมและประวัติศาสตร์เฉพาะ
เวลาหนึ่งเท่านั้น มิได้เป็นเรื่องสิ่งสากลที่ไม่จากัดเวลาและสถานที่แต่
อย่างใด สาหรับในส่วนวิธีการสนทนานั้น จริยธรรมการบริหารจะเริ่มต้น
ด้วยคาถามเชิงภววิทยา (ontology)9 หรือคาถามของสิ่งท่ีมีอยู่เป็นอยู่

9 ภววิทยา (ontology) เป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาท่ีมุ่งศึกษาสภาวะแห่ง
ความเป็นจริง (reality) หรือสารัตถะ (essence) ของสรรพสิ่งทั้งหลาย เพ่ือตอบ
คาถามท่ีว่าอะไรคือความเป็นจริงสูงสุด (ultimate reality) ของสรรพส่ิงทั้งหลายใน

100 การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลังสมัยใหม่ 100

(being) เป็นการสร้างแนวคิดและประเภทของจริยธรรมการบริหารจาก
วิธีการสนทนา ซ่ึงจะทาให้ผู้บริหารตระหนักหรือยอมรับลักษณะของการ
สะท้อนกลับในกิจกรรมของมนุษย์ และไม่ยัดเยียดความแน่นอนตายตัว
ใหก้ ับกิจกรรมทเี่ กดิ จากความต้ังใจ ซึ่งจะก่อให้เกิดความคลุมเครือท่ีไม่อาจ
แกไ้ ขได้

ขอ้ เสนอแนะของนักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่ก็คือ นักวิชาการและ
นักบริหารรัฐกิจ ควรจะอธิบายความหมายของสภาพการณ์ทางสังคม
ภายใต้กรอบสังคมซึ่งนักวิชาการและนักบริหารรัฐกิจมีส่วนร่วมอยู่ และ
การตัดสินใจดาเนินการใดๆ จะต้องข้ึนอยู่กับสภาพการณ์ของบริบททาง
สังคมและประวัติศาสตร์เฉพาะ เนื่องจากปัจเจกบุคลไม่อาจแยกตัวเอง
ออกมาจากบริบททางสังคมบนพ้ืนฐานของแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
ดังเช่นกรณีของจริยธรรมระบบราชการ (bureaucratic ethos) หรือการ
ตีความเอกสารอย่างเข้มงวดโดยไม่คานึงถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์
ดังเช่นแนวคิดของจริยธรรมประชาธิปไตย (democratic ethos) ได้อย่าง
แทจ้ รงิ

3.2.6 แนวคิดเก่ยี วกับรัฐ (State)
ถึงแม้แนวคดิ ทฤษฎียคุ หลงั สมยั ใหม่จะมคี วามแตกตา่ งหลากหลาย
จนยากที่จะสรุปแนวคิดลงเป็นอันหน่ึงอันเดียวได้ แต่ถ้าหากมองใน

จกั รวาล ศกึ ษาถึงลกั ษณะของการมีอยเู่ ป็นอยู่ (being) ของสิ่งทง้ั หลายว่าอะไรเป็นสิ่ง
ที่จริงแท้ จิตหรือวัตถุเป็นความจริงขั้นพื้นฐาน ภววิทยามีขอบข่ายกว้างขวางมาก
เพราะเปน็ การแสวงหาความจริงเกีย่ วกับชีวติ และสิง่ ทัง้ หลายในจักรวาล

การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 101101

ภาพรวมแล้วจะพบว่านักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่มีความเห็นท่ีสอดคล้อง
ต้องกันในแง่หน่ึง นั่นคือในแง่ของการต่อต้านเผด็จการ (anti-
authoritarian) และต่อต้านรัฐ (anti-state) (Frederickson and Smith,
2003, p.152) โดยนักวิชาการกลุ่มน้ีมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
เกี่ยวกับการเส่ือมถอยของรัฐ-ชาติและวิพากษ์แนวคิดเรื่องรัฐ (state)
ดังน้ัน ทฤษฎียุคหลังสมัยใหม่จึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเด็น
ปญั หาท่ีสาคญั ทส่ี ดุ ปญั หาหนึ่งในสาขาการบริหารรัฐกิจในปัจจุบัน น่ันก็คือ
ประเดน็ เกย่ี วกับการเสอ่ื มสลายของรฐั

รฐั -ชาตสิ มยั ใหม่ (modern nation-state) มีความสาคัญในฐานะ
ที่เป็นแกนกลางของการบริหารรัฐกิจ เน่ืองจากการบริหารรัฐกิจยุค
สมัยใหม่ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของการมีรัฐ-ชาติ โดยผู้บริหารงานในภาครัฐคือ
ตัวแทนของรัฐและผลประโยชน์สาธารณะ แต่นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่
กลับวิพากษ์รัฐโดยได้ช้ีให้เห็นถึงความเส่ือมสลายและความพร่ามัวของ
แนวคิดรัฐ-ชาติ โดยนักวิชาการในกลุ่มนี้ได้ใช้แนวคิดเร่ืองการรื้อสร้าง
(deconstruction) การจินตนาการ (imagination) การสลายเส้นแบ่ง
เขตแดน (deterritorialization) และการเปล่ียนแปลง (alterity) เป็น
กรอบแนวคิดในการวิพากษ์แนวคิดเกี่ยวกับรัฐ-ชาติในโลกยุคสมัยใหม่
(p.152)

รั ฐ -ช า ติ ส มั ย ใ ห ม่ เ กิ ด ข้ึ น ม า พ ร้ อ ม ๆ กั บ ยุ ค แ ห่ ง ก า ร รู้ แ จ้ ง
(enlightenment) ซ่งึ มีความสอดคล้องกับแนวคดิ แกนกลางในเร่ืองอานาจ
อธิปไตยของชาติ จากการรื้อสร้าง (deconstruction) ตามแนวคิดทฤษฎี

102 การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 102

ยุคหลังสมัยใหม่ได้ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องรัฐ-ชาติเป็นการสร้างทางสังคม
(social construction) ท่ีเกิดข้ึนในช่วงเวลาเฉพาะ โดยอาศัยตานานหรือ
เร่ืองเล่าเป็นตัวสร้างความสาคัญ ใช้อานาจในรูปแบบของความชอบธรรม
ภายใต้อานาจอธิปไตย และการกระทาท่ีชอบธรรมต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของ
การใช้อานาจในนามของรัฐ โดยได้รับการคาดหวังจากประชาชนว่ารัฐจะ
สามารถรักษาระเบียบ ความม่ันคง ความสามารถในการทานายอนาคต
และการมีอตั ลกั ษณ์ (identity) ของสงั คมเอาไว้ได้ (p.153)

ฟูโก (Foucault) ได้ใช้แนวคิดเรื่องการบริหารจัดการชีวิต
(governmentality) ในการปฏิเสธมุมมองท่ัวไปของรัฐสมัยใหม่โดย
ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ รฐั ไมใ่ ช่ส่ิงท่ีมคี วามเป็นหนึง่ เดยี ว แต่มีลักษณะเป็นเครือข่ายของ
การปฏิบัติและสถาบันที่แตกต่างกัน อานาจไม่ได้มีท่ีมาจากแหล่งเดียวแต่
มาจากชุดของกระบวนการและเทคนิควิธีท่ีหลากหลาย การบริหารจัดการ
ชีวิตมีจุดเริ่มต้นในระดับจุลภาคซ่ึงอานาจเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติใน
ชวี ติ ประจาวัน อานาจไม่ได้ถูกสร้างโดยชนชั้นปกครองแต่เป็นการใช้ส่ิงท่ีมี
อยู่แล้ว โดยการรับมา ปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ
ตน ดังน้ัน รัฐจึงเป็นโครงสร้างส่วนบน (superstructure) ในความสัมพันธ์
ของชุดของเครือข่ายอานาจท้ังหมด ซ่ึงเป็นสิ่งกากับร่างกาย เพศวิถี
ครอบครัว ความเป็นเครือญาติ ความรู้ เทคโนโลยีและเร่ืองอื่นๆ โดยรัฐ
และข้อห้ามตา่ งๆ ท่ีออกโดยรัฐ จะสามารถดารงอยู่ได้ก็เฉพาะการท่ีอานาจ
ดังกล่าวมีรากฐานอยู่บนชุดของความสัมพันธ์ทางอานาจท่ีหลากหลายไม่
สิ้นสดุ เท่านัน้ (Joseph, 2004, pp. 154-5)

การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลงั สมยั ใหม่ 101303

ตามทัศนะของฟูโก รัฐไม่ใช่ผู้ใช้อานาจในการบริหารจัดการท่ีเป็น
หนึ่งเดียว แต่รัฐมีลักษณะเป็นเครือข่ายของสถาบันและกิจกรรมที่มีความ
แตกตา่ งหลากหลายมาเช่ือมโยงอยูด่ ้วยกัน การใช้อานาจในรัฐไม่ได้มาจาก
แหล่งเดียว และการไหลของอานาจไม่ได้เกิดข้ึนในทิศทางเดียวจากบนลง
ล่าง หรือจากผู้ปกครองสู่ประชาชนเพียงทิศทางเดียวอย่างท่ีมีการเชื่อถือ
กันมาแต่เดิม แต่อานาจมีที่มาจากหลายแหล่งและมีลักษณะกระจัด
กระจายทุกทิศทุกทาง โดยนัยนี้การใช้อานาจจึงไม่ใช่เป็นการสร้างและ
ผูกขาดโดยชนช้ันปกครองเพียงฝ่ายเดียว แต่การใช้อานาจในรัฐเป็นการ
ปะทะประสานระหวา่ งกลุ่มตา่ งๆ ท่ีมีลักษณะเป็นเครือข่ายเข้ามาใช้อานาจ
เพื่อเปา้ หมายและผลประโยชน์ของกลมุ่ ตน

นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่าแนวคิดเร่ืองรัฐ-ชาติสมัยใหม่มี
ลักษณะเลื่อนไหล ไม่ชัดเจนและกาลังลดความสาคัญลงเร่ือยๆ การ
เคลื่อนย้ายของคน เงิน โรคติดต่อและมลภาวะเป็นพิษข้ามเขตแดนมีมาก
ข้ึน การยึดติดอย่กู ับเขตพื้นที่ เขตการปกครองและประเทศใดประเทศหน่ึง
ของประชาชนลดน้อยลง มีการทาธุรกิจในระดับโลกมากข้ึน และการทา
ธุรกรรมยุคใหม่ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะก้าวข้ามเขตแดน
ประเทศ ซ่ึงผลท่ีตามมาก็คือความยากลาบากในการเก็บภาษีและการ
ควบคุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะที่ศัตรูของรัฐอาจจะเป็นประเทศอื่นและ
ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นบุคคลหรือกลุ่มที่ไร้รัฐ การที่จะจัดการและ
ควบคุมการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารและความคิดโดยรัฐใดรัฐหน่ึง
เป็นไปได้โดยยาก เน่ืองจากส่ิงเหล่าน้ีไม่ข้ึนอยู่กับพรมแดนและอานาจ

104 การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลงั สมัยใหม่ 104

อธปิ ไตย (Frederickson and Smith, 2003, p. 153)
การใช้ส่ืออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ประกอบกับการเคลื่อนย้ายของ

คนจานวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการพฒั นาการของเทคโนโลยีการคมนาคม
สื่อสารและข้อมูลข่าวสารสมัยใหม่ทาให้ปรากฏการณ์ต่างๆ ในโลกไม่
สามารถกาหนดได้ด้วยเส้นแบ่งแบบเดิมอีกต่อไป แนวคิดเรื่องรัฐ-ชาติซ่ึง
เป็นรูปแบบทางการเมืองที่สาคัญของยุคสมัยใหม่ไม่มีความสามารถท่ีจะ
จัดการกับสภาวการณ์ที่เกิดข้ึนในยุคข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อานาจอธิปไตยของรัฐ-ชาติถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากปัญหาต่างๆ ที่มี
ลักษณะข้ามชาติ/ข้ามรัฐ (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2547, น. 37-40)
นอกจากน้ี แนวคิดเรื่องรัฐ-ชาติในยุคสมัยใหม่ยังเสื่อมพลังลง เน่ืองจากไม่
สามารถรักษาสถานะของการผูกขาดในการสร้างความจงรักภักดีของ
ประชาชนเพียงแหล่งเดียว แต่มีแหล่งของความจงรักภักดีอ่ืนๆ เกิดขึ้นอีก
มากมายในลักษณะท่ีเป็นเครือข่าย เช่น เครือข่ายทางศาสนา ภาษาและ
ชาตพิ ันธุ์ เป็นต้น ซ่ึงการสร้างความผูกพันดังกล่าวมีความหมายไปไกลกว่า
แนวคดิ เร่ืองพรมแดนหรืออาณาเขตของรฐั

ก า ร เ มื อ ง แ บ บ รั ฐ -ช า ติ ข อ ง ยุ ค ส มั ย ใ ห ม่ ก า ลั ง ถู ก ท้ า ท า ย จ า ก
สถานการณ์ของโลกยุคหลังสมัยใหม่ ในสังคมท่ีมีความเช่ือมโยงแบบ
เครือข่ายไม่ได้มีเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับองค์กรทางการ
เมืองเท่าน้ัน แต่ประชาชนยังมีความเชื่อมโยงกับองค์กรอ่ืนๆ ท่ีสร้างขึ้นมา
ภายนอกรัฐอีกด้วย (Frederickson and Smith, 2003, p. 154) ดังน้ัน
สถาบันการเมอื งจึงไม่ใช่องค์กรหลักในการแก้ปัญหาของชีวิตในสังคมเพียง

การบรหิ ารรฐั กจิ ยุคหลังสมยั ใหม่ 101505

สถาบันเดียวอีกต่อไป และเม่ือไม่มีสถาบันหลักที่มีบทบาทในการสร้าง
ความเป็นหน่ึงเดียว การจัดโครงสร้างอานาจตามลาดับชั้นในรูปพีระมิดจึง
หายไป เหลอื อยู่เพยี งความสัมพนั ธ์ในรูปของเครือขา่ ยอันซบั ซ้อน

ถ้าหากข้อวิพากษ์ของนักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่เก่ียวกับรัฐ-ชาติ
เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือแม้แต่ถูกต้องเพียงบางส่วน ย่อมส่งผลกระทบต่อการ
บริหารรัฐกิจอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ นั่นคือ ถ้าแนวคิดเรื่องอานาจอธิปไตย
ไม่ได้รับความเช่ือถือแล้วการบริหารรัฐกิจควรจะมีอยู่เพื่อใคร และถ้าหาก
ระเบียบในเชิงสถาบันของความเป็นรัฐ-ชาติสูญเสียความชอบธรรมจาก
อิทธิพลของโลกาภิวัตน์แล้วการบริหารรัฐกิจจะต้องปรับตัวอย่างไร
ประเด็นเหล่าน้ีคอื ตัวอยา่ งปัญหาที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารกิจท้ังใน
แงข่ องทฤษฎแี ละในเชงิ การปฏิบตั ิจะตอ้ งหาคาอธิบาย10

เม่ือมองจากทัศนะของนักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่ เมื่อเส้นแบ่ง
เขตแดนของรัฐเร่มิ เลือนราง ทาให้หน้าท่ีของการบริหารและธรรมชาติของ
อานาจมีการเปล่ียนแปลง นักบริหารรัฐกิจจะต้องปรับบทบาทหน้าที่ของ
ตนไปสู่ความเป็น “คนกลาง” (intermediaries) มากกว่าที่จะเป็น
“เจ้านาย” (bosses) โดยมีหน้าที่หลักคือการปรับองค์การ ซึ่ง
ประกอบด้วยหน่วยงานย่อยที่มีลักษณะแตกต่างหลากหลายมาเชื่อมโยง
สัมพันธ์กันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงใน
บริบทดังกล่าวการบริหารงานท่ีเหมาะสมจะเป็นไปได้โดยการกระจาย

10 ดูรายละเอียดเก่ียวกับปัญหาและข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมได้
ใน Frederickson and Smith, 2003, pp. 152-156.

106 การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลงั สมัยใหม่ 106

อานาจ การขยายสาขาการให้บริการ และโครงสร้างตามลาดับชั้นแบบ
พีรามิดซึ่งเป็นตัวแบบท่ีอานาจจะต้องถูกควบคุมและสั่งการ จะต้องถูก
แทนที่โดยโครงสร้างของการกระจายอานาจท่ีเป็นการเชื่อมโยงแบบ
เครอื ขา่ ยหลายมติ ิ ซ่ึงการมอี านาจเป็นเรื่องของการติดต่อ การสื่อสาร และ
การนิยามความหมายของอานาจจะเป็นการนิยามในแง่ท่ีเป็นอิทธิพลไม่ใช่
นิยามในแง่ของการเปน็ เจา้ นายอกี ต่อไป

ขอบเขตอานาจในโลกยคุ หลังสมัยใหม่จะมีลักษณะท่ีแตกแยกเป็น
ส่วนเสี้ยว เขตการปกครองขนาดเล็กจะเพ่ิมมากย่ิงข้ึนเร่ือยๆ การรวมกัน
เป็นกลุ่มประเทศตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก เช่น สหภาพยุโรป (Europe
Union) จะหายไป โดยอานาจและการเมืองเชิงภูมิภาคมีแนวโน้มจะตกอยู่
ในมือของเครือข่ายเจ้าหน้าที่เชิงเทคนิค นักบริหารรัฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญซ่ึง
เป็นตัวแทนของรัฐ และเครือข่ายของตัวแสดงซ่ึงเป็นตัวแทนองค์กรท่ีไม่ใช่
รัฐและธรุ กจิ ระดบั โลก โดยนยั นี้ การบรหิ ารรัฐกิจในโลกยุคหลงั สมัยใหม่จะ
มีพลงั อานาจและความสาคญั มากขึ้นมใิ ชล่ ดน้อยลง

การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่จาเป็นจะต้องพิจารณาภายใต้
แนวคดิ แบบหลงั ชาติ (post-national) โดยการบริหารรัฐกิจในยุคหลังชาติ
จะถอยห่างออกจากตรรกของรัฐ (logic of state) หรือการสร้างชาติ
(nation building) และหันไปสู่การแสวงหาความร่วมมือกันของสถาบัน
แบบหลายมติ ิ การพยายามเสาะหาการรวมกันข้ามเขตแดน และท่ีสาคัญก็
คือการแสวงหาวิธีการซ่ึงจะช่วยพัฒนากระบวนการและกฎเกณฑ์ของการ
ตัดสินใจท่ีสามารถยอมรบั ได้ การบริหารรัฐกจิ ยคุ หลงั สมัยใหม่จะมีลักษณะ

การบรหิ ารรัฐกิจยคุ หลงั สมัยใหม่ 101707

เปน็ เครอื ข่ายของขอ้ ตกลงระหว่างหน่วยงานแบบเปิดแทนทีจ่ ะเป็นการรวม
อานาจอยูท่ ่ีหน่วยงานเดยี ว

ทฤษฎีการบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่จะเน้นท่ีการทางานเป็น
ทมี โดยมีเป้าหมายคือการลดโครงสร้างและสัง่ การตามลาดับช้ันแล้วแทนท่ี
ด้วยหน่วยงานขนาดเล็กที่หลากหลาย และเน่ืองจากไม่มีสถาบันท่ีเป็น
ศูนย์กลาง จุดเน้นของการบริหารจัดการจึงเคล่ือนไปอยู่ท่ีความแตกต่าง
ทางสังคม ศาสนา เช้ือชาติและวัฒนธรรม การสร้างชาติในฐานะท่ี
เป้าหมายหลักของรัฐ-ชาติสมัยใหม่จะค่อยๆ ลดความสาคัญลง แม้
ประชาชนจะยังคงต้องการการยอมรับซ่ึงกันและกันในฐานะของความ
เป็นชาติ แต่แม้กระทั่งประเทศมหาอานาจก็จะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะ
ปกป้องและให้บริการประชาชนของตนได้อย่างแท้จริง และการลด
ความสาคัญของเขตแดนในเชิงภูมิศาสตร์จะกระตุ้นให้มีการค้นหารูปแบบ
ใหมข่ องการอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมมนุษย์

ดังนั้น การบรหิ ารรฐั กจิ ยุคหลงั สมัยใหม่จึงต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด
การบริหารรัฐกิจเป็นแบบหลังชาติ (post-national) โดยเปล่ียนจากการ
บริหารจัดการที่ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของรัฐหรือการสร้างชาติ (nation
building) ไปสู่การเน้นศักยภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น และเปลี่ยนจาก
แนวคิดเรื่องอานาจอธิปไตยไปสู่การแสวงหาสถาบันท่ีหลากหลาย (multi-
institutional) การบรหิ ารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่จะมีลักษณะเป็นเครือข่าย
ของข้อตกลงที่สอดคล้องกับองค์กรระบบเปิด แทนที่จะเป็นการจากัด
ขอบเขตอยู่ในพ้ืนท่ีใดพ้ืนที่หนึ่งโดยเฉพาะ นอกจากนี้ การบริหารรัฐกิจยุค

108 การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลงั สมัยใหม่ 108

หลังสมัยใหม่จะเน้นท่ีการทางานเป็นทีม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดโครงสร้าง
และการใช้อานาจตามลาดับช้ัน และแทนที่ด้วยโครงสร้างระดับจุลภาคที่
หลากหลาย และเนื่องจากไม่มีสถาบันท่ีเป็นแกนกลาง จึงเน้นท่ีการจัดการ
บนพ้นื ฐานของสังคม ศาสนา เชื้อชาติ และวัฒนธรรมท่ีแตกต่าง เป้าหมาย
ในการสรา้ งชาตจิ ะคอ่ ยๆ ลดความสาคญั ลง และหันไปเน้นทค่ี วามเช่ือมโยง
และความสัมพันธ์ระหว่างชมุ ชนแทน

แนวคิดท่ีเกี่ยวกับการบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ทั้ง 6 ประการ
ที่นาเสนอผ่านมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าได้มีการเปล่ียนแปลงท่ีสาคัญ
เกิดข้ึนในการบริหารรัฐกิจทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ ซ่ึงนักบริหาร
รัฐกจิ จะต้องมีความรู้และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงจะสามารถ
แก้ปัญหาของสังคมที่มีความสลับซับซ้อนอย่างสูงเช่นในปัจจุบันได้ ในโลก
ยุคที่ข้อมูลข่าวสารและผู้คนสามารถเคล่ือนย้ายไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลกได้
อยา่ งรวดเรว็ โดยแทบจะไม่มีปญั หาเรื่องเส้นก้ันเขตแดน การบริหารจัดการ
ภายใต้กรอบแนวคิดของการบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่น่าจะมีความ
เหมาะสมและสอดคล้องกับยุคสมัยมากกว่าการบริหารรัฐกิจแบบสมัยใหม่
สาหรับในบทข้างหน้าซึ่งเป็นบทสุดท้าย ผู้เขียนจะได้สรุปการเปลี่ยนแปลง
ท่ีเกิดขึ้นในการบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ท่ีได้นาเสนอผ่านมา และ
เสนอแนะแนวทางปฏิบัติท่ีเหมาะสมของการบริหารงานสาธารณะใน
อนาคตต่อไป

การบรหิ ารรฐั กจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 101909

บทท่ี 4
การสรปุ และข้อเสนอแนะ

จากแนวคิดทฤษฎีที่สาคัญในยุคหลังสมัยใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 1)
เรื่องเล่า (narrative) และอภิตานาน (metanarrative) 2) วาทกรรม
(discourse) 3) การร้ือสร้าง (deconstruction) 4) การวิเคราะห์ภาษา
(language analysis) และ 5) การบริหารจัดการชีวิต (governmentality)
ได้นาไป สู่การเป ล่ียนแปล งแนวคิด ในการบ ริหารรัฐ กิจ ยุคหลั งสมัยให ม่
หลายประการ ได้แก่ 1) แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพ 2) แนวคิดเกี่ยวกับ
ผลประโยชน์สาธารณะ 3) แนวคิดเก่ียวกับนโยบายสาธารณะ 4) แนวคิด
เก่ียวกับการบริหารจัดการ 5) แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรมการบริหารรัฐกิจ
และ 6) แนวคิดเก่ียวกับรัฐ สาหรับในบทท่ี 4 น้ี จะเป็นการสรุปแนวคิดใน
การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ทั้ง 6 ประการ ดังกล่าว พร้อมทั้ง
ข้อเสนอแนะเพ่อื เป็นแนวทางในการบรหิ ารจัดการภาคสาธารณะในอนาคต
ต่อไป

1) แนวคดิ เกย่ี วกบั ประสทิ ธิภาพ (Efficiency)
การบริหารรัฐ กิจยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่าความคิดเรื่อง
ประสิทธิภาพในการบริหารรัฐกิจแบบด้ังเดิมนั้นคือรูปธรรมที่เด่นชัดของ
คุณค่าและวิธีคิดแบบการควบคุม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ จาก
แนวคิดดังกล่าวได้นาไปสู่การจัดรูปแบบและโครงสร้างขององค์การ
สาธารณะในแบบข้ันบันไดเพ่ือผลในการควบคุมส่ังการ เม่ือมองในเชิง

110 การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลงั สมัยใหม่ 110

เศรษฐกจิ แนวคิดเร่ืองประสทิ ธภิ าพผูกโยงอยูก่ บั กลไกตลาด
ความคดิ เร่ืองประสิทธิภาพเป็นเพียงประดิษฐกรรมทางสังคมแบบ

หนึง่ เท่าน้ัน หากวิธคี ิดและคุณค่าเกี่ยวกับการบริหารจัดการเปล่ียนไป การ
บริหารจดั การภาคสาธารณะก็อาจจะมีการเปล่ียนแปลงอย่างสาคัญตามมา
เช่น ถ้าแนวคิดการบริหารจัดการเปลี่ยนระบบคุณค่าจากการควบคุมใน
รูปแบบของประสิทธิภาพสู่คุณค่ารูปแบบอ่ืน เช่น ความเสมอภาค ความ
ยุติธรรม จริยธรรม ความเป็นพลเมืองและประชาธิปไตย ภาพของ
การศึกษาการบริหารรัฐกิจก็จะเปล่ียนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คาว่า
ประสิทธิภาพเป็นคาที่ถูกสร้างขึ้นในเชิงสังคม ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ภายใต้บริบทเฉพาะ มิได้เป็นคาที่มีความหมายแน่นอนตายตัวในทุกที่ทุก
เวลา นอกจากน้ี คาว่าประสิทธิภาพมิใช่คาที่เป็นกลาง แต่อัดแน่นไปด้วย
ระบบคุณค่าและวิธีคิดชุดหน่ึง น่ันคือ การควบคุม (control) และอยู่
ภายใต้กระบวนทัศน์ชุดหน่ึง นั่นคือ กระบวนทัศน์การตลาด (market
paradigm)

สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นน้ีก็คือ นักบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมัยใหม่ควรหันมาให้ความสาคัญกับคุณค่าทางการบริหารแบบอื่นที่
นอกเหนอื จากประสทิ ธิภาพ เช่น ความเสมอภาค ความยุติธรรม จริยธรรม
การเกิดประโยชน์ การปกครองตนเอง ความเป็นพลเมืองและ
ประชาธิปไตย เป็นต้น โดยส่ิงท่ีนักบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่จะต้องทา
เพอ่ื ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็คือ การสร้างกลยุทธ์หรือการกาหนด
เป้าหมายในการบริหารจัดการท่ีไม่ได้ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของประสิทธิภาพ

การบรหิ ารรัฐกิจยคุ หลงั สมยั ใหม่ 111111

เพ่ือแทนทร่ี ะบบคุณค่าแบบการควบคุม และกระบวนทัศน์การตลาดท่ีเป็น
พื้นฐานทางทฤษฎีและการปฏิบัติในการบริหารรัฐกิจที่เคยยึดถือกันมา
ในอดีต

2) แนวคิดเก่ยี วกับผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest)
นักวิชาการในยุคหลังสมัยใหม่ได้ใช้แนวคิดเกี่ยวกับวาทกรรม
(discourse) และวิธีการรื้อสร้าง (deconstruction) เพื่อช้ีให้เห็นว่า
แนวคิดเร่ืองผลประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องของการสร้างและนิยามทาง
สังคม คาน้ีไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง แต่เกิดจากคาท่ีเป็นคู่
ตรงข้ามที่ไม่เท่าเทียมเป็นตัวให้ความหมาย คาว่าผลประโยชน์สาธารณะท่ี
ใ ช้ ใ น ก า ร บ ริ ห า ร รั ฐ กิ จ ยุ ค ส มั ย ใ ห ม่ เ ป็ น เ พี ย ง ว า ท ก ร ร ม ที่ เ กิ ด ข้ึ น ใ น
สภาวการณ์และช่วงเวลาเฉพาะในประวัติศาสตร์ โดยผู้กาหนดวาทกรรม
คอื ผู้บรหิ ารทม่ี อี านาจครอบงาเพ่อื ผลประโยชน์ของชนช้ันปกครอง
แ น ว คิ ด แ บ บ ห ลั ง ส มั ย ใ ห ม่ เ ห็ น ว่ า แ น ว คิ ด เ ร่ื อ ง ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์
สาธารณะถูกใช้ในฐานะเป็นเคร่ืองมือของการควบคุม โดยผลประโยชน์
สาธารณะจะแสดงถึงความจริง (Truth - T ตัวใหญ่) และความดี (Good –
G ตัวใหญ่) ที่ทุกคนจะต้องเช่ือถือและปฏิบัติตาม แต่ปัญหาท่ีตามมาก็คือ
ใครจะเป็นผู้กาหนดว่าผลประโยชน์สาธารณะอันไหนเป็นนโยบาย
สาธารณะท่ีจริง (Truth) หรือเป็นนโยบายสาธารณะท่ีดี (Good) สาหรับ
ทุกคนท่ีจะต้องยึดถือร่วมกัน ซ่ึงในที่สุดก็จะต้องมีบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหน่ึง
ทาหน้าที่ในการตัดสินในข้นั สุดทา้ ยวา่ นโยบายสาธารณะใด “จริง” (Truth)
และ “ดี” (Good) ที่สุด แต่แนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด

112 การบริหารรฐั กิจยคุ หลังสมัยใหม่ 112

ที่ว่ามีความจริง (Truth) และความดี (Good) ที่เป็นวัตถุวิสัย โดยเห็นว่า
ความจริง (Truth) และความดี (Good) เป็นเพียงวาทกรรมหนึ่งในบรรดา
วาทกรรมท่ีหลากหลาย และมีความเป็นไปได้ที่จะมีวาทกรรมอื่นๆ
นอกเหนือไปจากวาทกรรมเร่ืองความจริง (Truth) และความดี (Good)
และเม่ือไม่มีความจริง” (Truth – T ตัวใหญ่) และความดี (Good – G ตัว
ใหญ)่ ทีเ่ ปน็ สากลแล้ว ความจริง (truth – t ตัวเล็ก) และความดี (good –
g ตัวเลก็ ) จานวนมากกย็ อ่ มจะเป็นไปได้

สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นน้ีก็คือ นักบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมัยใหม่จะต้องไม่มองว่าควรมีบุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวท่ีเป็นผู้
ผูกขาดการตัดสินว่าอะไรคือผลประโยชน์สาธารณะ หรือมีวาทกรรมของ
ผลประโยชน์สาธารณะเพียงชุดเดียวที่ทุกคนจะต้องทาตาม แต่ควรจะเปิด
โอกาสให้คนกลุ่มต่างๆ ท่ีหลากหลายมากที่สุดเข้ามามีส่วนร่วมในท่ีจะ
กาหนดว่าเร่ืองใดเปน็ ผลประโยชน์สาธารณะท่ีจริง (truth) และดี (good)

3) แนวคิดเกย่ี วกับนโยบายสาธารณะ (Public Policy)
ใน ก าร ศึ กษ า น โ ย บ าย ส าธ า ร ณะ แ บ บ ดั้ งเ ดิ ม น้ั น จ ะเ น้ น ท่ี ก า ร
แสวงหาวิธีการปฏิบัติท่ีแน่นอนตายตัว ภายใต้ระเบียบวิธีการหาความรู้
แบบประจักษ์นิยม (empiricism) แต่นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่า
การศึกษาหรือกาหนดนโยบายบนพ้ืนฐานของระเบียบวิธีแบบประจักษ์
นิยมน้ันมีข้อบกพร่องในแง่ที่เชื่อว่าความรู้ท่ีค้นพบสามารถสร้างเป็นกฎ
ท่ัวไป (generalizable) และเป็นวัตถุวิสัยท่ีเป็นกลาง (neutral
objectivity) ที่สามารถนาไปใช้ได้ในทุกช่วงเวลาและทุกบริบทของสังคม

การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมยั ใหม่ 111313

แนวคดิ ยคุ หลังสมยั ใหมอ่ ธบิ ายว่า ความรู้ทกุ อย่างตกอยู่ภายใต้สภาพการณ์
เชิงสังคม โดยในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์จะมีการนิยามความรู้ใน
ลักษณะที่แตกต่างกันไป วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะ
สามารถตัดสินเก่ียวกับการกาหนดนโยบายได้อย่างถูกต้อง แต่วิธีการใช้
เหตุผลแบบอื่นก็อาจจะตัดสินอย่างถูกต้องได้ เช่น วิธีแบบปรากฏการณ์
วิทยา (phenomenology) วิธีการหาความรู้แบบเร่ืองเล่า (narrative)
และวิธีการหาความรู้แนวการตีความ (hermeneutics) เป็นต้น ก็ควรจะ
ไดร้ บั การใหค้ วามสาคญั เช่นเดียวกับวิธกี ารหาความรแู้ บบวทิ ยาศาสตร์

เมื่อมองจากกรอบแนวคิดเรื่องอภิตานาน (metanarrative)
แนวคิดยุคหลังสมยั ใหม่เห็นวา่ นโยบายท่ีกาหนดโดยผูม้ อี านาจในโครงสร้าง
อย่างเป็นทางการของการบรหิ ารรฐั กจิ น้ันเป็นเพียงอภติ านานเรื่องหนึ่งจาก
บรรดาเรือ่ งเลา่ (narrative) ของกลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลาย และการที่
น โ ย บ า ย ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้ รั บ ก า ร ก า ห น ด เ ป็ น แ น ว ป ฏิ บั ติ ข อ ง อ ง ค์ ก า ร ห รื อ
หน่วยงานเป็นผลมาจากการครอบงาและการใช้อานาจกดขี่กลุ่มอ่ืนๆ ของ
บุคคลท่ีอยู่ในอานาจภายใต้โครงสร้างอย่างเป็นทางการของการบริหาร
รัฐกิจ

เม่ือมองจากรอบแนวคิดเรื่องการวิเคราะห์ภาษา (language
analysis) แนวคิดยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่านโยบายสาธารณะน้ันไม่ได้มี
นโยบายที่จริง (Truth – T ตัวใหญ่) และนโยบายท่ีดี (Good – G ตัวใหญ่)
เพียงนโยบายเดียวที่ทุกคนในสังคมจะต้องถือปฏิบัติ แต่นโยบายที่จริง
(truth – t ตัวเล็ก) และนโยบายที่ดี (good - g ตัวเล็ก) สามารถจะ

114 การบรหิ ารรัฐกจิ ยคุ หลงั สมยั ใหม่ 114

เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมและช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ และ
ประชาชนแต่ละกลุ่มควรมีโอกาสกาหนดนโยบายท่ีจริง (truth) และดี
(good) ของตนโดยไม่ถูกครอบงาจากนักบริหารรัฐกิจที่อยู่ในโครงสร้าง
อานาจท่เี ปน็ ทางการ

แ ล ะ เ มื่ อ ม อ ง จ า ก ก ร อ บ แ น ว คิ ด เ ร่ื อ ง ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ชี วิ ต
(governmentality) แนวคิดยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่านอกจากรัฐและ
หนว่ ยงานท่เี ก่ียวข้องกับภาครัฐแล้ว ยังมีกลไกของการจัดการที่สาคัญอ่ืนๆ
อกี เปน็ จานวนมาก และในการกาหนดนโยบายสาธารณะนั้นภาครัฐจะต้อง
มองตนเองในฐานะที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งสังคมเครือข่าย (network
society) และเป็นเพยี งองคาพยพหนึ่งในโครงสร้างทใี่ หญ่กว่าเท่าน้ัน

สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นนี้ก็คือ ในการบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมัยใหม่ การกาหนดนโยบายสาธารณะไม่ควรผูกขาดโดยนักบริหารรัฐกิจ
ที่อยู่ในอานาจตามโครงสร้างอย่างเป็นทางการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เท่าน้ัน แต่ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ เข้ามามีส่วน
ร่วมในการกาหนดนโยบายให้มากท่ีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กระบวนการใน
การกาหนดนโยบายควรเป็นลักษณะของการปรึกษาหารือจากทุกฝ่าย โดย
เนน้ การกาหนดนโยบายจากล่างขึ้นบน (bottom-up) แทนท่ีจะเป็นบนลง
ล่าง (top-down) ไม่ควรผูกขาดอยู่กับวิธีการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
เท่านั้น แต่ควรให้ความสาคัญกับวิธีการหาความรู้แบบอื่นๆในการได้มาซึ่ง
นโยบายสาธารณะ เช่น วิธีการหาความรู้จากเร่ืองเล่า (narrative) และ
วธิ กี ารหาความรแู้ บบปรากฏการณ์วทิ ยา (phenomenology) เปน็ ต้น

การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 111515

4) แนวคดิ เกย่ี วกับการบริหารจดั การ (Governance)
จากแนวคิดเรื่องอานาจของฟูโก (Michel Foucault) ที่ว่าอานาจ
ไม่ได้มีท่ีมาจากแหล่งเดียวจากบนลงล่าง แต่อานาจมีลักษณะกระจัด
กระจายทุกทิศทุกทาง นาไปสู่แนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ในเร่ืองการบริหาร
จัดการชีวิต (governmentality) ซ่ึงมีแนวคิดหลักว่า อานาจในการ
ปกครองหรือการบริหารประเทศนั้นไม่ได้มาจากรัฐบาลหรือผู้บริหารแต่
เพียงกลุ่มเดียว แต่มาจากกลุ่มต่างๆ ท่ีหลากหลายที่มีลักษณะเป็น
เครือขา่ ยของสถาบันและการปฏิบตั ิท่แี ตกตา่ งกัน
ในอดตี คาว่า “ภาคสาธารณะ” (public) มีความหมายเพียงแคบๆ
คือหมายถึงการบริหารงานของรัฐบาล แต่ในปัจจุบันความหมายของคา
ดังกล่าวได้มีการขยายออกไป โดยมีการรวมเอาภาคประชาชน ภาคธุรกิจ
และสังคมเข้าไว้ด้วย และมีการนาเอาคาว่า “การบริหารจัดการ” หรือ
“Governance” มาใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งสื่อความหมายถึงการบริหาร
จัดการภาคสาธารณะ โดยการผสมผสานการจัดการแบบภาคธุรกิจเอกชน
เข้ากบั การบริหารงานภาครฐั
สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นนี้ก็คือ นักบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมยั ใหม่จะต้องเข้าใจและตระหนักวา่ ในอนาคตภาคเอกชนหรือหน่วยงาน
ท่ีไม่ใช่รัฐจะเข้ามาเกี่ยวข้องและมีส่วนร่วมในการให้บริการสาธารณะมาก
ข้ึน กิจกรรมที่เคยผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดโดยรัฐในอดีตจะถูกถ่ายโอนไปสู่
ภาคเอกชนหรือหน่วยงานท่ีไม่ใช่รัฐมากข้ึน ซึ่งแสดงถึงการที่ภาครัฐลด
อานาจและบทบาทลง ในขณะท่ีกลุ่ม องค์การ หรือหน่วยงานอื่นๆ ใน

116 การบรหิ ารรฐั กจิ ยคุ หลงั สมยั ใหม่ 116

สังคมมีอานาจและบทบาทในการบริหารรัฐกิจเพิ่มมากขึ้น หรือกล่าวอีก
นัยหนึ่งก็คือ การบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่น้ันการบริหารงานของ
รัฐบาลถือเป็นเพียงส่วนหน่ึงของการบริหารงานภาคสาธารณะโดยรวม
เท่านัน้

5) แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรมการบริหารรัฐกิจ (Public
Administration Ethics)

จริยธรรมการบริหารรัฐกิจ (public administration ethics) ใน
ยุคสมัยใหม่ถูกครอบงาโดยกรอบแนวคิดเชิงจริยธรรมที่แตกต่างกัน 2
ประการ คือ จริยธรรมระบบราชการ (bureaucratic ethos) และ
จริยธรรมประชาธิปไตย (democratic ethos) โดยจริยธรรมระบบ
ราชการ (bureaucratic ethos) มีแนวคิดพ้ืนฐานว่านักบริหารรัฐกิจใน
ระบอบประชาธิปไตยมีพันธะท้ังในเชิงกฎหมายและเชิงศีลธรรมที่จะบังคับ
ใช้กฎหมายและนานโยบายที่กาหนดโดยตัวแทนท่ีได้รับการเลือกตั้งจาก
ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไปปฏิบัติ โดยเชื่อว่าการตัดสินใจของ
ตัวแทนดังกล่าวแสดงถึงเจตจานงสาธารณะ ผู้บริหารไม่มีเหตุผลเชิง
จริธรรมที่จะต่อต้านเจตจานงเหล่าน้ัน ส่ิงที่ผู้บริหารจะต้องทาก็คือการนา
เจตจานงสาธารณะดังกลา่ วไปปฏิบตั อิ ยา่ งเป็นกลาง ให้มีประสิทธิภาพและ
ประสิทธผิ ลมากทส่ี ดุ เท่าท่ีจะเปน็ ไปได้

ส่วนจริยธรรมประชาธิปไตย (democratic ethos) มีแนวคิด
พ้ืนฐานว่าผู้บริหารมีพื้นท่ีทางจริยธรรม (ethical space) ของตน จึงไม่
สามารถเป็นผู้รับใช้สาธารณะที่มีเป็นกลางในเชิงคุณค่า (value-neutral)

การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 111717

ดังที่จริยธรรมแบบระบบราชการต้องการได้ ผู้บริหารควรตัดสินใจบน
พื้นฐานของชุดคุณค่าทางเลือกบางอย่าง ซ่ึงประกอบด้วยหลักการทาง
จริยธรรมบางอยา่ งท่ีสูงกว่าหลักการที่มีอยู่ในแนวคิดของการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย และจากแนวคิดดังกล่าวได้นาไปสู่การกาหนดแนว “การ
บริหารอย่างมีจริยธรรม” (ethical administration) ซ่ึงเป็นตัวกาหนด
พฤติกรรมของข้าราชการให้เป็นไปตามหลกั การดังกล่าว

ปัญหาสาคัญของนักทฤษฎีการบริหารรัฐกิจก็คือทาอย่างไรจึงจะ
สามารถประนีประนอมระหว่างจริยธรรมแบบประชาธิปไตยและจริยธรรม
ระบบราชการเข้าด้วยกันได้ เน่ืองจากแนวคิดหลายประการที่ตั้งอยู่บน
พ้ืนฐานของคุณค่าท้ังสองฝ่ายมีความขัดแย้งอย่างตรงกันข้าม แต่แนวคิด
แบบยคุ หลงั สมัยใหม่เห็นวา่ ความพยายามในการประนีประนอมดังกล่าวไม่
สามารถประสบความสาเรจ็ ได้ เน่ืองจากแนวคิดดังกล่าวตั้งอยู่บนพ้ืนฐานท่ี
ผิดพลาด นั่นคือแนวคิดท้ังสองตั้งอยู่บนหลักการแบบพ้ืนฐานนิยม
(foundationalism) หรือหลักการที่เช่ือว่ามีกฎเกณฑ์ท่ีเป็นสากลหรือกึ่ง
สากล (universal or quasi-universal) ที่เป็นมาตรฐานในการตัดสิน
พฤติกรรมเชิงจริยธรรม จากการใช้แนวคิดเร่ืองวาทกรรม (discourse)
เป็นกรอบในการวิเคราะห์ นักวิชายุคหลังสมัยใหม่ได้ชี้ให้เห็นว่าท้ัง
จริยธรรมระบบราชการและจริยธรรมประชาธิปไตยท่ีเป็นพ้ืนฐานของการ
บริหารรัฐกิจในยุคสมัยใหม่เป็นเพียงสภาพการณ์ทางสังคมซึ่งมีวาทกรรม
เป็นตัวสร้างและก่อรูปขึ้นมา ภายใต้บริบททางสังคมและในช่วงเวลาทาง
ประวตั ิศาสตรท์ เี่ ป็นการเฉพาะ ไม่ได้มีความจริงแท้ในตัวเองแต่อยา่ งใด

118 การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลงั สมยั ใหม่ 118

สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นน้ีก็คือ นักบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมัยใหม่ควรใช้ “วิธีการสนทนา” (dialogic approach) แทนท่ีจะใช้
แนวคิดจริยธรรมสากล โดยเร่ิมต้นด้วยคาถามเชิงภาวะวิทยา (ontology)
หรือคาถามของสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ (being) ซ่ึงหมายความว่านักบริหารรัฐกิจ
จะต้องอธิบายความหมายของสภาพการณ์ทางสังคมจากภายในกรอบ
สังคมท่ีซับซ้อนซึ่งนักบริหารรัฐกิจมีส่วนร่วมอยู่ และการตัดสินใจ
ดาเนินการใดๆ จะขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ของบริบททางสังคมและ
ประวัติศาสตร์เฉพาะ ไม่ควรยึดติดกับจริยธรรมอันใดอันหนึ่งโดยไม่
คานึงถึงบริบทของแวดลอ้ มท่เี ป็นอยู่จริง

6) แนวคดิ เก่ียวกบั รัฐ (State)
นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่ได้ใช้แนวคิดเรื่องการร้ือสร้าง
(deconstruction) และการบริหารจัดการชีวิต (governmentality)
เป็นฐานในการวิพากษ์แนวคิดเก่ียวกับรัฐ-ชาติในโลกยุคสมัยใหม่ โดย
นักวิชาการยุคหลังสมัยใหม่เห็นว่าแนวคิดเร่ืองรัฐ-ชาติสมัยใหม่มีลักษณะ
ลื่นไหล ไม่ชัดเจนและกาลังลดความสาคัญลงเร่ือยๆ การพัฒนาของ
เทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคมสมัยใหม่ทาให้ปรากฏการณ์ต่างๆ
ในโลกไม่สามารถกาหนดได้ด้วยเส้นแบ่งแบบเดิมอีกต่อไป แนวคิดเรื่อง
รั ฐ -ช า ติ ซึ่ ง เ ป็ น รู ป แ บ บ ท า ง ก า ร เ มื อ ง ที่ ส า คั ญ ข อ ง ยุ ค ส มั ย ใ ห ม่ ไ ม่ มี
ความสามารถที่จะจัดการกับสภาวการณ์ท่ีเกิดข้ึนในยุคข้อมูลข่าวสารได้
อย่างมีประสิทธิภาพ อานาจอธิปไตยของรัฐ-ชาติถูกท้าทายอย่างหนักจาก
ปัญหาต่างๆ ที่มีลักษณะข้ามชาติ/ข้ามรัฐ นอกจากน้ี แนวคิดเรื่องรัฐ-ชาติ

การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 111919

ในยุคสมัยใหม่ยังเส่ือมพลังลง เน่ืองจากไม่สามารถรักษาสถานะของการ
ผูกขาดในการสร้างความจงรักภักดีของประชาชนเพียงแหล่งเดียว แต่มี
แหล่งของความจงรักภักดีอ่ืนๆ เกิดข้ึนอีกมากมายในลักษณะที่เป็น
เครือข่าย เช่น เครือข่ายทางศาสนา ภาษาและชาติพันธุ์ เป็นต้น ซ่ึงการ
สร้างความผูกพันดังกล่าวมีความหมายไปไกลกว่าแนวคิดเรื่องพรมแดน
หรืออาณาเขตของรัฐ

สาหรับข้อเสนอแนะในประเด็นน้ีก็คือ นักบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมยั ใหม่ควรปรับเปล่ียนแนวคิดการบริหารรัฐกิจเป็นแบบหลังชาติ (post-
national) โดยเปล่ียนจากการบริหารจัดการท่ีต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของรัฐหรือ
การสร้างชาติไปสู่การเน้นศักยภาพทางเศรษฐกิจมากข้ึน และเปล่ียนจาก
แนวคิดเรื่องอานาจอธิปไตยไปสู่การแสวงหาสถาบันที่หลากหลาย การ
บริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ควรจะมีลักษณะเป็นเครือข่ายของข้อตกลงท่ี
สอดคล้องกับองค์กรระบบเปิด แทนที่จะเป็นการจากัดขอบเขตอยู่ในเขต
พื้นท่ี นอกจากน้ีนักบริหารรัฐกิจยุคหลังสมัยใหม่ควรจะเน้นท่ีการทางาน
เป็นทีม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดโครงสร้างและการใช้อานาจตามลาดับช้ัน
และแทนท่ีด้วยโครงสร้างระดับจุลภาคที่หลากหลาย แนวคิดในการสร้าง
ชาติควรลดความสาคัญลง และหันไปให้ความสาคัญกับความเช่ือมโยงและ
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างชมุ ชนแทน

120 การบริหารรัฐกิจยุคหลงั สมัยใหม่ 120

สรุป
ผลจากการศึกษาพบว่า แนวคิดทฤษฎีที่สาคัญในยุคหลังสมัยใหม่

ประกอบด้วย 1) เร่ืองเล่า (narrative) และอภิตานาน (metanarrative)
2) วาทกรรม (discourse) 3) การร้ือสร้าง (deconstruction) 4) การ
วิเคราะห์ภาษา (language analysis) และ 5) การบริหารจัดการชีวิต
(governmentality) โดยแนวคิดทฤษฎีเหล่าน้ีได้ก่อให้เกิดการ
เปลยี่ นแปลงอยา่ งสาคญั ตอ่ แนวคิดในการบริหารรัฐกิจในหลายด้าน คือ 1)
แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพ (efficiency) 2) แนวคิดเกี่ยวกับ
ผลประโยชน์สาธารณะ (public interest) 3) แนวคิดเก่ียวกับนโยบาย
สาธารณะ (public policy) 4) แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
(governance) 5) แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรมการบริหารรัฐกิจ (public
administration ethics) และ 6) แนวคิดเกี่ยวกับรัฐ (state) ซึ่งการ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการบริหารรัฐกิจว่ากาลัง
ดาเนินไปสู่รูปแบบใหม่ในเชิงคุณภาพ โดยการบริหารรัฐกิจยุคสมัยใหม่
กาลังค่อยๆ เส่ือมความนิยมลง และแนวคิดของการบริหารรัฐกิจยุคหลัง
สมัยค่อยๆ เพ่ิมความสาคัญขึ้นตามลาดับ และเป็นที่คาดหมายได้ว่าเม่ือ
แนวคิดของการบริหารรัฐกิจแบบหลังสมัยใหม่พัฒนาอย่างเต็มท่ีแล้ว ภาพ
ของการบรหิ ารรัฐกจิ ในอนาคตจะแตกตา่ งไปจากภาพของการบริหารรัฐกิจ
ในอดีตอย่างส้ินเชิง ซึ่งผลการศึกษาท่ีพบสามารถสรุปลงในรูปของตาราง
เพอ่ื ใหส้ ามารถมองเห็นภาพรวมทง้ั หมดได้อยา่ งชดั เจน ดังตอ่ ไปนี้

การบริหารรฐั กจิ ยุคหลังสมัยใหม่ 121121

ตาราง 4.1 สรปุ การเปล่ียนแปลงแนวคิดทฤษฎีการบริหารรัฐกิจ
จากการบริหารรัฐกจิ ยคุ สมัยใหม่ไปส่กู ารบริหารรัฐกจิ ยุคหลังสมัยใหม่

ประเด็น แนวคดิ ของการ แนวคดิ ของการ การวิเคราะห์แนวคดิ
ของการ
เปล่ียนแปลง บริหารรัฐกิจ บรหิ ารรัฐกจิ ทเี่ ปน็ สาเหตขุ อง
ประสทิ ธภิ าพ
(efficiency) ยคุ สมัยใหม่ ยุคหลงั สมัยใหม่ การเปลย่ี นแปลง

ผลประโยชน์ เป้าหมายหลัก การให้ คาวา่ ประสิทธิภาพมี
สาธารณะ
(public ของการบริหาร ความสาคญั กบั ความหมายไมช่ ดั เจน ไม่
interest)
จัดการคือความ เปา้ หมายและ แน่นอนและไม่ตายตวั

มปี ระสิทธิภาพ คุณค่าของการ แต่การใหค้ วามหมาย

บรหิ ารจดั การ ขนึ้ อยกู่ บั บรบิ ทของ

แบบอืน่ เชน่ สังคมและช่วงเวลา และ

ความเสมอภาค การเน้นท่ปี ระสิทธภิ าพ

ความยตุ ิธรรม เพยี งอยา่ งเดยี วทาใหผ้ ทู้ ่ี

จรยิ ธรรมและ บริหารจดั การภาครฐั

ประชาธิปไตย ละเลยเปา้ หมายและ

เป็นตน้ คณุ คา่ ของการบริหาร

จดั การแบบอ่ืนๆ ที่

อาจจะมีความสาคญั เทา่

เทยี มกนั หรือมากกว่า

การใหบ้ ุคคล การเปิดโอกาส การอา้ งความเปน็

เพยี งคนเดียว ใหบ้ คุ คลกลมุ่ ตวั แทนของบคุ คลหรือ

หรือกลุ่มเดียว ต่างๆ ที่ กลุ่มบุคคลในการพูด

เปน็ ผกู้ าหนดว่า หลากหลายเข้า แทนผอู้ ื่น เปน็ การใช้

122 การบรหิ ารรัฐกจิ ยคุ หลงั สมยั ใหม่ 122

ประเด็น แนวคดิ ของการ แนวคดิ ของการ การวเิ คราะห์แนวคิด
ของการ
เปลี่ยนแปลง บรหิ ารรัฐกจิ บริหารรฐั กิจ ท่เี ปน็ สาเหตขุ อง

นโยบาย ยุคสมัยใหม่ ยคุ หลงั สมัยใหม่ การเปล่ยี นแปลง
สาธารณะ
(public อะไรคือ มามีส่วนรว่ มใน อานาจและความ
policy)
ผลประโยชน์ การกาหนดวา่ เหนอื กวา่ ไปครอบงา

สาธารณะท่ีจริง เร่อื งใดเปน็ ปดิ กน้ั สทิ ธขิ องผู้อ่นื โดย

(Truth) และดี ผลประโยชน์ ผู้น้นั มิได้พดู ด้วยเสยี ง

(Good) สาธารณะทจ่ี ริง ของตวั เอง

(truth) และดี

(good)

การให้ผู้บรหิ าร ผูบ้ รหิ ารใน นโยบายทีจ่ ริง (truth)
ในภาครฐั มี ภาครฐั มบี ทบาท และดี (good) ไม่ใชส่ งิ่ ท่ี
บทบาทนาใน เป็นเพยี งผู้ แน่นอน ตายตวั แตเ่ ป็น
การกาหนด อานวยความ สง่ิ ทีส่ ามารถ
นโยบาย สะดวกใหผ้ ู้มี เปล่ยี นแปลงไปตาม
สาธารณะ ส่วนไดส้ ว่ นเสยี บรบิ ทของสงั คมและ
กลุ่มตา่ งๆ เขา้ ช่วงเวลา และ
มามสี ว่ นรว่ มใน การกาหนดนโยบายโดย
การกาหนด ผู้มอี านาจในโครงสร้าง
นโยบายใหม้ าก อย่างเปน็ ทางการใน
ท่ีสดุ เท่าทจี่ ะ ภาครฐั เพยี งฝา่ ยเดยี ว
เป็นไปได้ เป็นการใช้อานาจ
ครอบงากลมุ่ อ่นื ๆ

การบรหิ ารรัฐกิจยคุ หลงั สมัยใหม่ 121323

ประเดน็ แนวคดิ ของการ แนวคิดของการ การวิเคราะห์แนวคดิ
ของการ บรหิ ารรัฐกจิ บริหารรัฐกิจ ท่ีเป็นสาเหตุของ
เปลีย่ นแปลง ยุคสมยั ใหม่ ยคุ หลังสมยั ใหม่ การเปลี่ยนแปลง
การบริหาร
จัดการ รฐั บาลหรือ ภาคเอกชนหรือ อานาจในการปกครอง
(governance) หน่วยงานของ หนว่ ยงานท่ีไมใ่ ช่ หรือการบรหิ ารประเทศ
รฐั เปน็ ผผู้ กู ขาด รฐั เขา้ มามี ไมไ่ ด้มาจากรฐั บาลหรือ
จรยิ ธรรมการ ในการบรหิ าร บทบาทสาคญั ผู้บรหิ ารภาครฐั เพียง
บริหารรัฐกจิ จดั การภาค ในการบริหาร กลุ่มเดียว แต่มาจาก
(Public สาธารณะเพยี ง จดั การ รฐั บาล กลมุ่ ต่างๆ ที่
Administra- หน่วยงานเดยี ว เป็นเพยี งสว่ น หลากหลาย และคาวา่

หน่งึ ของการ “ภาคสาธารณะ” ไมไ่ ด้
บริหารจดั การ มคี วามหมายแคบๆ
ภาคสาธารณะ เพยี งการบรหิ ารงานของ
โดยรวมเท่าน้นั รัฐบาลเทา่ นั้น แต่

ความหมายของภาค
สาธารณะได้มีการขยาย
ออกไป โดยรวมเอา
ภาคประชาชน ภาค
ธุรกจิ และภาคสังคมเขา้
ไว้ดว้ ย

การยดึ ถือหลกั การตัดสินใจใน จรยิ ธรรมระบบราชการ
จริยธรรมการ การบรหิ าร และจรยิ ธรรม
บรหิ ารจดั การ จดั การควร ประชาธปิ ไตยทเี่ ป็น
แบบใดแบบหนงึ่ ขึน้ อยู่กับบรบิ ท พนื้ ฐานของการบรหิ าร

124 การบรหิ ารรฐั กิจยุคหลงั สมัยใหม่ 124

ประเดน็ แนวคดิ ของการ แนวคิดของการ การวิเคราะห์แนวคดิ
ของการ
เปลย่ี นแปลง บรหิ ารรัฐกิจ บริหารรฐั กิจ ท่เี ปน็ สาเหตขุ อง
tion Ethics)
ยุคสมยั ใหม่ ยุคหลงั สมัยใหม่ การเปล่ียนแปลง
รฐั (state)
อยา่ งแนน่ อน ทางสงั คมและ จดั การในยุคสมยั ใหม่

ตายตวั ช่วงเวลาเปน็ เป็นเพียงกฎเกณฑท์ าง

โดยเฉพาะ หลัก แทนท่ีจะ สงั คมท่กี ่อรูปขน้ึ มา

จรยิ ธรรมระบบ ยดึ ถือจรยิ ธรรม ภายใต้บรบิ ททางสังคม

ราชการและ ทางการบรหิ าร และในชว่ งเวลาทาง

จรยิ ธรรม แนวใดแนวหน่งึ ประวัติศาสตร์เฉพาะ

ประชาธปิ ไตย อย่างแนน่ อน ไม่ไดม้ คี วามจรงิ แท้ใน

ตายตัว ตวั เองแต่อย่างใด

การบรหิ าร สถาบนั ทาง แนวคิดเรือ่ งรัฐ-ชาติมี

จดั การภาครฐั การเมอื งไมใ่ ช่ ลักษณะพรา่ มัว ล่ืนไหล

ตัง้ อยบู่ นพนื้ ฐาน องคก์ รหลกั ใน และกาลงั ลดความสาคญั

ของรัฐ-ชาติ การบรหิ าร ลงเรอื่ ยๆ เน่ืองจากการ

ผู้บริหารใน จัดการภาครัฐ เคลอ่ื นย้ายของคน เงนิ

ภาครัฐคือ เพียงสถาบัน โรคตดิ ตอ่ มลภาวะ และ

ตัวแทนของรฐั เดียวอีกตอ่ ไป ข้อมูลขา่ วสาร มลี ักษณะ

และผทู้ ม่ี ีสว่ น แตม่ ีองค์กรอ่ืนๆ ก้าวขา้ มพรมแดนและ

เก่ยี วขอ้ ง คือ ภายนอกรฐั เขา้ อานาจอธิปไตยของรัฐ

ประชาชนกับ มามสี ว่ นรว่ มใน มากขนึ้ ทกุ ที

องคก์ รทางการ รปู ของเครือข่าย

เมอื งเท่าน้ัน ทห่ี ลากหลาย

การบรหิ ารรัฐกจิ ยุคหลงั สมยั ใหม่ 121525

บรรณานกุ รม

หนงั สือ
จันทนี เจรญิ ศร.ี (2545). โพสต์โมเดริ น์ &สงั คมวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร:

สานักพิมพว์ ภิ าษา.

ไชยรตั น์ เจรญิ สินโอฬาร. (2545). สญั วทิ ยา, โครงสรา้ งนิยม,
หลงั โครงสร้างนิยมกบั การศกึ ษารัฐศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร:
สานักพมิ พ์วภิ าษา.

_______. (2546). การบรหิ ารรฐั กิจเปรยี บเทียบ: การบรหิ ารจดั การใน
โลกยคุ หลังสงครามเยน็ . กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์

_______. (2547). การบรหิ ารจดั การภาคสาธารณะในโลกยุคหลัง
สงครามเย็น, รายงานวิจัย. กรุงเทพมหานคร.

อมั พร ธารงลกั ษณ์. (2552). “การบริหารรัฐกิจยคุ หลังสมัยใหม.่ ” ใน

รฐั ศาสตร์สาร : รัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ 60 ปี /รัฐศาสตร์สาร
30 ปี (เลม่ 3). กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พธ์ รรมศาสตร์.

Books

Best, Steven and Kellner, Douglas. (2001). The Postmodern
Adventure: Science, Technology, and Cultural
Studies at the Third Millennium. London: Routledge.

126 การบรหิ ารรัฐกิจยุคหลงั สมยั ใหม่ 126

Bogason, Peter. (2004). “Postmodern Public Administration” in

Ferlie B. Ewan; Lynn Larry and Pollitt Christophey.

Handbook of Public Management. London: Oxford
University Press.

Box, Richard C. (2005). Critical Social Theory in Public
Administration. London: M. E. Sharpe.

Denzin, K. Norman and Lincoln, S. Yvonna. eds. (1994).

Handbook of Qualitative Research. Thousand Oaks:
Sage Publications.

Drolet, Michael, ed. (2004). The Postmodernism Reader:
Foundation Texts. London: Routledge.

Dunn, Robert G. (1998). Identity Crises: A Social Critique of
Postmodernity. Minneapolis: The University of
Minnesota Press.

Farazmad, Ali and Pinkowski, Jack. (2007). Handbook of
Globalization, Governance, and Public
Administration. Florida: CRC/Taylor & Francis.

Farmer, David John. (1995). The Language of Public
Administration: Bureaucracy, Modernity, and
Postmodernity. Alabama: The University of Alabama
Press.

การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 121727

________ . (2005). To Kill the King: Post- Traditional
Governance and Bureaucracy. London: M. E. Sharpe.

Fischer, Frank. (2003). Reframing Public Policy: Discursive
Politics and Deliberative Practices. New York: Oxford
University Press.

Fox, Charles J. and Miller, Hugh T. (1996). Postmodern Public
Administration: Toward Discourse. London: SAGE
Publications.

Frederickson, H. George and Smith, B. Kevin. (2003). The
Public Administration Theory Primer. Colorado:
Westview Press.

Gabardi, Wayne. (2001). Negotiating Postmodernism.
Minneapolis: University of Minnesota Press.

Hajer, Maarten and Wagenaar Hendrik. (2003). Deliberative
Policy Analysis: Understanding Governance in the
Network Society. Cambridge: Cambridge University
Press.

Hassard, John and Parker, Martin. (1993). Postmodernism and
Organization. London: Sage Publications.

Linstead, Stephen. (2004). Organization Theory and
Postmodern Though. London: Sage Publications.

128 การบริหารรัฐกจิ ยคุ หลงั สมัยใหม่ 128

Malpas, Simon, ed. (2001). Postmodern Debates. New York:
PALGRAVE.

McSWITE, O. C. (1996). “Postmodernism, Public Administration,

and the Public Interest.” in Wamsley L. Gary and Wolf

F. James, eds. Refounding Democratic Public
Administration: Modern Paradoxes, Postmodern
Challenges. California: SAGE Publications.
________ . (2002). Invitation to Public Administration.
London: M. E. Sharpe.

Morcol, Goktug. (2002). A New Mind for Policy Analysis:
Toward a Post-Newtonian and Postpositivist
Epistemology and Methodology. London: Greenwood
Publishing Group.

Sorensen, Eva and Torfing , Jacob. (2007). Theories of
Democratic Network Governance. Basingstoke:
Palgrave Macmillian.

Spicer, Michael W. (2001). Public Administration and the
State: A Postmodern Perspective. Alabama: The
University of Alabama Press.

Stivers, Camilla. (2002). Gender Images in Public
Administration, 2nd ed. London: SAGE Publications.

การบรหิ ารรฐั กจิ ยคุ หลงั สมัยใหม่ 121929

Wamsley, Gary, ed. (1990). Refounding Public Administration.
New York: Sage Publication.

White, J. D. (1999). Taking Language Seriously: The Narrative
Foundation of Public Administration Research.
Washington, D.C.: Georgetown University Press.

Articles

Bogason, Peter. (2008). “Public Administration Under
Postmodern Conditions” in Administrative Theory &
Praxis. Vol. 30, No. 3, pp. 359-362.

Boje, David M. (2006). “What Happened on the Way to
Postmodern? Part II. in Administrative Theory &
Praxis. Vol. 28, No. 4, pp. 479-494.

Cawley, R. McGreggor and Chaloupka, William. (1997).
“American Governmentality: Michel Foucault and
Public Administration.” in The American Behavioral
Scientist. Vol. 41, No. 1, pp. 28-42.

Farmer, David J. (1997). “Derrida, Deconstruction, and Public
Administration.” in The American Behavioral
Scientist. Vol. 41, No. 1, pp. 12-27.

130 การบรหิ ารรฐั กิจยคุ หลังสมยั ใหม่ 130

Gillroy, J. Martin. (1997). “Postmodernism, Efficiency, and

Comprehensive Policy Argument in Public

Administration: A Tool for the Practices of
Administrative Decision Making.” in The American
Behavioral Scientist. Vol. 41, No. 1, pp. 163-190.
Harmon, Hichael. (2003). “PAT-NET Turn Twenty-Five: A Short

History of the Public Administration Theory Network.”
in Administrative Theory & Praxis. Vol. 25, No. 2,
pp. 157-172.
Joseph, Jonathan. (2004). “Foucault and Reality.” in Capital &
Class. Vol. 82, Spring, pp. 143-165.
Marshall, S. Gary and Choudhury, Enamul. (1997). “Public

Administration and Public Interest: Re-Presenting a Lost

Concept.” in The American Behavioral Scientist.
Vol. 41, No. 1, pp. 119-131.

McSWITE, O. C. (1997). “Jacques Lacan and the Theory of the

Human Subject: How Psychoanalysis Can Help Public

Administration. in The American Behavioral
Scientist. Vol. 41, No. 1, pp. 43-63.

การบรหิ ารรฐั กจิ ยคุ หลงั สมยั ใหม่ 131131

Nickel, Patricia M. (2008). “On the Convenience of Postmodern
Public Administration and the State for the
Continuation of Modern Public Administration as a
Legitimized State.” in Administrative Theory & Praxis.
Vol. 30, No. 3, pp. 344-348.

Spicer, Michael M. (1997). “Public Administration, the State,
and the Postmodern Condition: A Constitutionalist
Perspective.” in The American Behavioral
Scientist. Vol. 41, No. 1,pp. 90-102.

Woller, M. Gary. (1997). “Public Administration and
Postmodernism: Editor’s Introduction” in The
American Behavioral Scientist. Vol. 41, No. 1,
pp. 9-11.

Woller, M. Gary and Patterson, D. Kelly. (1997). “Public
Administration Ethics: A Postmodern Perspective.” in
The American Behavioral Scientist. Vol. 41,
No. 1, pp. 103-118.

Zwart, de Frank. (2002). “Administrative Practice and Rational
Inquiry in Postmodern Public Administration Theory.” in
Administration & Society. Vol. 34, No. 5, pp. 482-498.

132 การบรหิ ารรฐั กจิ ยุคหลังสมัยใหม่


Click to View FlipBook Version