แหล่งอารยธรรมโบราณที่มี
อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
ของโลก
ประวัติศาสตร์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๒
จัดทำโดย
นางสาวปริภัทร ยังแก้ว
คำนำ
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนวิชา ประวัติศาสตร์(ส๓๒๑๐๑)เพื่อให้ได้
ศึกษาเรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมีจุด
ประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทำได้ฝึกการศึกษาค้นคว้า และนำสิ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาสร้างเป็นชิ้น
งานเก็บไว้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของตนเองและผู้อื่นต่อไป
เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือและเว็บไซต์ต่างๆผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้คงมี
ประโยชน์ต่อผู้ที่นำไปใช้ให้เกิดผลตามความคาดหวัง หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัย
มา ณที่นี้ด้วย
จัดทำโดย
นางสาวปริภัทร ยังแก้ว
เรื่อง สารบัญ หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
อารยธรรมอียิปต์ 1-4
อารยธรรมกรีกโบราณ
อารยธรรมโรมัน 5-10
อารยธรรมเปอร์เซีย 11-16
อารยธรรมอินเดีย 17-22
อารยธรรมจีน 23-28
29-36
37-41
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 1
→-เมโสโปเตเมียแปลว่าดินแดนระหว่างแม่น้ำ โดยอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริส (Trigris) และยูเฟรติส (Euphrates)
-ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าดินแดนอุดมสมบูรณ์พระจันทร์เสี้ยว (The Fertile Cresent)
- เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดในตะวันออกกลาง
-เป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
-แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศ อิรัก (Iraq)
-เป็นแหล่งอารยธรรมที่มีหลายกลุ่มผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจและยึดครอง ได้แก่
→๑.ชาวสุเมเรียน(Sumerian) ๓๒๐๐-๒๓๐๐ปี ปีก่อนคริสต์ศักราช
→๒.ชาวอัคคาเดียน(Akkadian) ๒๓๗๐ ๒๓๑๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช
→๓.ชาวอะมอไรต์(Amorites) ๒๐๐๐-๑๖๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
→
๔.ชาวฮิตไทต์(Hittites) ๑๖๐๐-๑๕๙๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช
→๕.อัสซีเรีย(Assyrian) ๑๓๐๐-๖๑๒ ปีก่อนคริสต์ศักราช
→๖.คาลเดียล(Chaldean) ๖๑๒-๕๓๙ ปีก่อนคริสต์ศักราช
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 2
→๑.ชาวสุเมเรียน(Sumerian) ๓๒๐๐-๒๓๐๐ปี ปีก่อนคริสต์ศักราช
-ปฏิวัติเกษตรกรรม
-มีการพัฒนาระบบชลประทาน เช่น ทำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนทดน้ำ ประตูกั้นน้ำ
-สถาปัตกรรมที่สำคัญ “ซิกกูแรต” (Ziggurat) >> เป็นศาสนสถานที่บูชาเทพเจ้า>>ทำด้วยอิฐตากแห้ง
-ประดิษฐ์อักษรใช้ครั้งแรกบนโลก (เก่าแก่ที่สุด) “อักษรคูนิฟอร์ม”(Cuneiform)หรือ“อักษรลิ่ม”
-วรรณกรรมชิ้นสำคัญ “มหากาพย์กิลกาเมซ” (Gilgamesh)เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วมโลก
→-ความเจริญด้านคณิตศาสตร์ค่าพาย ชั่ง ตวง วัด ปฏิทินแบบจันทรคติ สถาปัตยกรรมที่สำคัญ:ซิกกูแรต
๒.ชาวอัคคาเดียน(Akkadian) ๒๓๗๐ ๒๓๑๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช
-เผ่าซีไมต์แห่งอาณาจักรอัคคาเดียนทางตอนเหนือเข้ารุกรานและยึดครองได้
→๓.ชาวอะมอไรต์(Amorites)หรือ บาบิโลนเก่า ๒๐๐๐-๑๖๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
-ตั้งกรุงบาบิโลนเป็นเมืองหลวง
-มีการจัดเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร
-สมัยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) (1792-1745 B.C. )ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (Code of Hammurabi)
→ประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษร จารึกบนแผ่นหิน->ลักษณะกฎหมายอาญา ->มีลักษณะที่เรียกว่า“ ตาต่อตาฟันต่อฟัน”
→ในการลงโทษ บทลงโทษเหี้ยมโหด
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 3
→๔.ชาวฮิตไทต์(Hittites) ๑๖๐๐-๑๕๙๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช
-เป็นกลุ่มชนรบเก่ง
-เป็นกลุ่มแรกที่รู้จักใช้เหล็กนำมาทำเป็นอาวุธและใช้รถเทียมมาทำศึกสงคราม
-อยู่ในร่วมสมัยกับที่อาณาจักรอียิปต์เรืองอำนาจและมีอำนาจทางการรบทัดเทียมอียิปต์
→๕.อัสซีเรีย(Assyrian) ๑๓๐๐-๖๑๒ ปีก่อนคริสต์ศักราช
-มีศูนย์กลางการปกครองที่กรุงนีนะเวห์ (Nineveh)>>เป็นเมืองที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วย
-สมัยกษัตริย์อัสซูร์บานิปาล (Assurbanipal) (668-629 B.C. )>>ยุคที่อาณาจักรอัสซีเรียเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
-อาวุธทำด้วยเหล็ก>>แข็งแกร่งกว่าโลหะอื่นๆ
-ทำภาพนูนต่ำ (Base relief) >>แสดงวิถีประจำวัน
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 4
๖.คาลเดียล(Chaldean)หรืออาณาจักรบาบิโลนใหม่ (ชนชาติสุดท้าย)
-สร้างอาณาจักรบาบิโลนใหม่ (Neo Babylon)
-สมัยกษัตริย์ในบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar) (605-562 B.C. )>>เป็นสมัยที่รุ่งเรืองสุด
-ตีกรุงเยรูซาเล็มของชาวยิว>>เกณฑ์ชาวยิวมาเป็นทาสที่กรุงบาบิโลน
→-สร้างสวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน (Hanging Garden of Babylon) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรค์
-ด้านดาราศาสตร์>>ทำแผนที่ดวงดาวคำนวณสุริยุปราคา จันทรุปราคา คำนวนทางดาราศาสตร์ได้แม่นยำ
-เอาดาราศาสตร์มาพยากรณ์โชคชะตามนุษย์
สิ้นสุด 539 B.C. 3 กษัตริย์ไซรัสเข้าตีกรุงบาบิโลนสำเร็จ-ถูกเปอร์เซียยึดครองและถูกเป็นส่วนหนึ่งของ
จักรวรรดิเปอร์เซีย
อารายธรรมอียิปต์โบราณ 5
-อียิปต์เป็นวัฒนธรรมจักรวรรดิ
-ที่ตั้งของอียิปต์ยังมีความมั่นคงและมีปราการธรรมชาติเช่น ทะเลทราย
-มีชัยภูมิในการป้องกันการรุกรานของศัตรู อีกทั้งแม่น้ำไนล์ก็นำความชุ่ม
ชื้นอุดมสมบูรณ์ตลอดริมฝั่งในฤดูน้ำหลากโดยเอ่อท่วมสองชายฝั่งที่แห้ง
แล้ง เมื่อน้ำลดก็จะทิ้งโคลนตมเป็นปุ๋ยธรรมชาติเอาไว้ ดังนั้นชาวอียิปต์
จึงมีคติต่อแม่น้ำไนล์ดังคำพูดของเฮโรโดตุสบิดาแห่งประวัติศาสตร์ว่า
“อียิปต์เป็นของขวัญจากแม่น้ำไนล์”
-ให้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีชีวิตและชีวิตหลังความตายจนเกิดเป็น
วัฒนธรรมรักษาศพผู้ตายเรียกว่า “มัมมี่”
อารธรรมอียิปต์โบราณ 6
อียิปต์แบ่งออกเป็น ๒ อาณาจักร
อียิปต์ตอนบน (Upper Egypt)
>>อยู่ทางตอนใต้บริเวณที่เป็นที่ราบจนถึงบริเวณเมืองอัสวาน
อียิปต์ตอนล่าง(Lower Egypt)
>>ทางตอนเหนือณบริเวณปากแม่น้ำไนล์ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เหนือนครเมมฟิส
เมเนสหรือนาร์เมอร์ ประมุขแห่งอียิปต์ล่าง ได้รวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกันและ
สถาปนาราชวงศ์ที่ ๑ โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมมฟิส
อียิปต์ได้พัฒนาระบบตัวอักษรที่เรียกว่าอักษร “ไฮโรกกลิฟิก(Hieroglyphic)”หรือ
สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์>พัฒนาเป็นตัวเขียนที่ง่ายขึ้นอักษรภาพอยู่เรียกว่า“อักษรเฮียราติก”
เขียนลง “กระดาษปาปิรุส”
อารธรรมอียิปต์โบราณ 7
อารยธรรมอียิปต์ที่เห็นชัดแบ่งออกเป็น 3สมัย
สมัยอาณาจักรเก่าหรือสมัยพีระมิด
-ความเชื่อว่าฟาโรห์ทรงเป็นเทวะหรือพระเจ้า จึงทำให้มีการเชิดชูฟาโรห์โดยการสร้างสุสานที่
ใหญ่เรียกว่า “พีระมิด (pyramid)” เพื่อเก็บพระศพหรือ มัมมี่
-การทำมัมมี่เพื่อให้ผู้ตายแล้วโดยเฉพาะฟาโรห์มีชีวิตนิรันดร์ดรและเยาว์วัยตลอดกาลซึ่งเป็น
เสมือน “หนังสือเดินทางไปสู่การนิรันดร์”
-ความเชื่อในชีวิตอมตะหรือฟื้นคืนชีพเกิดจากการสำรวจธรรมชาติโดยรอบของชาวอียิปต์
ดังนั้น การเก็บศพฟาโรห์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
-พีระมิดที่ใหญ่ที่สุดได้แก่พีระมิดของ “ฟาโรห์คูฟู(Khufu) หรือ คีออปส์ (Cheops)”
ข้างหน้าพีระมิดมีตัว “สฟิงค์ (Sphinx)”
หน้าเป็นองค์ฟาโรห์ลำตัวเป็นสิงโต เป็นองค์รักษ์
>>การสร้างพีระมิดต้องใช้ทรัพย์และบุคคลมากจนนำไปสู่ความวุ่นวายสิ้นสุดสมัยอาณาจักรเก่า
อารธรรมอียิปต์โบราณ 8
อาณาจักรกลาง
-ไม่นิยมสร้างพีระมิดขนาดใหญ่ฟาโรห์ทรงหันไปสนใจการทำนุบำรุงสุขประชาชน
-มีวิหารขนาดใหญ่เพื่อบูชาเทพ อะมอน(Amon)หรือ อะมอน-เร Amon-Re และ
เทพโอซิริส(Osiris) >> วิหารคาร์นัก (Karnak)
วิหารที่อาบูซิมเบลที่หน้าวิหารมีเสาเรียงแกะสลักเป็นรูปฟาโรห์รามที่2 จัดเป็นวิหารที่มี
ความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์
อะมอน(Amon)หรือ อะมอน-เร
Amon-Re) >>เทพแห่งดวง
อาทิตย์
อารธรรมอียิปต์โบราณ 9
อาณาจักรใหม่
-นักบวชมีอำนาจมากขึ้นทั้งลัทธิบูชาเทพโอซิริสก็เป็นที่นิยมนับถือกันอย่างกว้างขวาง
-การแต่งหนังสือ “คัมภีร์มรณะ (Book of the Dead)”เพื่อใช้เป็นคู่มือว่าหลังจากเสียชีวิตแล้ว
ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรก่อนเดินทางไปสู่ปรโลก
เทพเจ้าโอสิริส>>มีบทบาทในการชั่งน้ำหนัก
ระหว่างหัวใจของผู้ตายกับขนนกแห่งความ
เป็นจริงและหัวใจที่ปราศจากบาปเท่านั้นที่จะ
มีชีวิต “อมตะ”
-ฟาโรห์อัคเคนาตัน ทำลายอำนาจของกลุ่มนักบวชและปฏิรูปศาสนาคือ การนับถือเทพเจ้าองค์
เดียวคือสุริยะเทพ จึงสร้างความขัดแย้งแก่ฟาโรห์กับกลุ่มนักบวชจนมาสู่การแบ่งแยก
>>ต่อมาถูกพวกอัสซีเรียยึดครอง>เปอร์เซีย>กรีก>โรมัน
ในกลางทศวรรษที่7 อียิปหันไปนับถือศาสนาอิสลาม
อารธรรมอียิปต์โบราณ 10
มรดกของชาวอียิปต์
-เป็นผู้วางแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
-สังเกตุการโคจรของดาวซิริอุส (Sirius) ทำให้เกิดปฏิทินแบบสุริยคติ
โดยแบ่งโดยแบ่งปีนึงออกเป็น ๓๖๕ วัน
-วางรากฐานการศึกษาวางรากฐานการศึกษาวิชาพีชคณิต เรขาคณิต
วงกลมและเส้นรอบวงกับเส้นผ่าศูนย์กลาง พื้นที่สามเหลี่ยมปริมาตรของ
พีระมิด
-ป็นผู้ส่งผ่านความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และการดนตรี
อารยธรรมกรีก 11
-อารยธรรมกรีซโบราณเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลอีเจียนและ
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีลักษณะเป็นอารยธรรมทางทะเล
-รากเหง้าของอารยธรรมกรีกคือ อารยธรรมอีเจียนประกอบด้วย อารยธรรม
มิโน และอารยธรรมไมซินี
อารยธรรมมิโนน>>เป็นสังคมที่มุ่งทางโลก
-เกิดขึ้นที่เกาะครีต(Crete๐) >>ชาวครีตัน>>การเดินเรือและค้าขาย
-มีการใช้อักษร ลีเนียร์ เอ (Linear A)ประกอบด้วยสัญลักษณ์ 87 สัญลักษณ์
ใช้แทนคำพยัญชนะ
-เซอร์อาเทอร์ อีแวนส์ (Sir Arthur Evans) ขุดพบว่าเคยเป็นที่ตั้งของวังคนอสซุส
(Knossos) มีระบบประปาและชักโครก
-ไม่นิยมสร้างวัดและไม่มีนักบวช
>>สิ้นสุด ถูกรุกรานจากพวกเอเคียนหรือไม
ซินี เพราะ เกาะครีตไม่มีป้อมปราการ
อารยธรรมกรีก 12
อารยธรรมไมซินี
-อยู่ในคาบสมุทรเพโลพอนนีซัส(Peloponnesus) ชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียน
-มีความสามารถด้าน การรบ และยึดสามารถเมืองทรอยที่เป็นคู่แข่งในสงครามโทรจัน
-กษัตริย์นักค้า(ผูกขากการค้า) ส่งออกสำคัญ น้ำมันมะกอก
-มรดก: รูปบูชาเทพซุส(Zeus) เฮรา(Hera)และโพไซดอน(Poseidon)การอุทิศ
ตกแก่การกีฬา
ระหว่าง ๑๑๒๐-๘๐๐ปีก่อนคริสต์ศักราช>> ยุคมืด
-ประพันธ์วรรณกรรมมุขปาฐะเรื่อง มหากาพย์อิเลีย(lliad) และ โอดีสซีย์
(Odyssey)
อารยธรรมกรีก 13
อารยธรรมเฮเลนหรืออารยธรรมกรีก
-เข้าสู่สมัยคลาสสิก
-มหากาพย์อิเลีย(lliad) และ โอดีสซีย์ (Odyssey) เปรียบได้กับคำพีร์ไบเบิ้ล
-มีการจัดตั้งนครรัฐหรือโพลิส(polis)>>พลเมืองกรีก กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การ
เฉลิมฉลองเทพซุส>>หุบเขาโอลิมเปีย >>ต้นกำเนิดกีฬาโอลิมปิกในเวลาต่อมา
เทพซูส เป็นราชาแห่งทวยเทพ
ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส
(Olympus) และเทพแห่ง
ท้องฟ้าและฟ้าร้องของ ตำนาน
เทพปกรณัมกรีก
อารยธรรมกรีก 14
นครรัฐกรีกที่สำคัญ>>เอเธนส์ คอรินท์ สปาร์ตา ทีบส์และไมซิเนีย
เอเธนส์
-การปกครองแบบประชาธิปไตย [ให้สิทธิผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะและพลเมืองของรัฐในการเลือกตั้ง]
-ระบบเนรเทศ
**กรีกได้สมญานามว่า “บิดาแห่งระบอบการปกครองประชาธิปไตย
สปาร์ต้า
-การปกครองแบบเผด็จการทหาร
-ระบบเกณฑ์ทหารและทำให้ทหารเป็นอาชีพตลอดชีวิตของพลเมือง
-ระบบคานอำนาจเป็นครั้งแรกของโลก(ปกครองโดยกษัตริย์2พระองค์)
อารยธรรมกรีก 15
ระหว่าง๔๘๒-๔๔๙ปีก่อนคริสต์ศักราช
เอเธนส์และนครรัฐกรีกอื่นๆ+เปอร์เซีย >>
ในสงครามกรีก-เปอร์เซีย (Greco-Persian Wars)
กรีกชนะ>>ยุคทองแห่งเอเธนส์
ต่อมาใน ๔๓๑ ปีก่อนคริสต์ศักราช
เอเธนส์+สปาร์ต้า>>สงครมเพโลพอนนีเชียน(Peloponnesian War) [สู้รบ27ปี]
>>นำไปสู่ความวิบัติ
มาซิดอน (Macedon) ขย
ายอำนาจเข้าครอบครองนครรัฐกรีก
ต่อมาใน ๓๓๖-๓๒๓ ปีก่อนคริสต์ศักราช
>>รัชสมัยพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช
>>เข้าสู่ยุคเฮเลนิสติก (Hellenistic Age)
**ในทศวรรษที่ ๒ ก่อนคริสต์ศักราช
>>กรีกสูญเสียอิสระภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรมัน
อารยธรรมกรีก 16
สถาปัตยกรรม
วิหารกรีกที่สร้างด้วยหินอ่อน หลังคาหน้าจั่ว มีเสาเรียงราย
ดอริก(Doric) >>เรียบง่าย
ไอออนิก(lonic)>>ม้วนย้อย เข้มแข็ง
โครินเธียน(Corinthian)>>ธรรมชาติ
วิจิตรศิลป์ สมัยคลาสสิค จิตรกรรม: ธรรมชาตินิยม (Naturalism)
มนุษย์เปลือยกาย>>ถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์
สมัยเฮเลนิสติก ประติมากรรม: สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดความ
ทุกข์ทรมาณของมนุษย์แทนความงามที่สมบูรณ์แบบ
จิตรกรรม:ใช้กรวดเม็ดเล็กๆเรียงเป็นภาพ เรียกว่า
โมเสก(mosaic)
***กรีกยังเป็นต้นตำรับการแสดงนาฏยกรรมในฤดูใบไม้ผลิของทุกๆปีจะมีการแสดง
ละครถวายแก่ไดโอนีซุส(เทพแห่งเหล้าองุ่น) >>โรงละครกลางแจ้ง >>อัฒจันทร์
อารยธรรมโรมัน 17
-เป็นอารยธรรมที่เรืองอำนาจต่อจากจักรวรรดิกรีก
-กำเนิดบนคาบสมุทรอิตาลี เมืองหลวงคือกรุงโรม (Rome)
-เป็นอารยธรรมทางทะเลเช่นเดียวกับกรีก (ไม่ใช่อารยธรรมลุ่มน้ำเหมือนอารยธรรมอียิปต์และ
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
-เดิมคาบสมุทรอิตาลีมีคน ๒ กลุ่มอยู่แล้ว >>กรีกและอีทรัสกัน (Etruscan)
-โรมันรับอารยธรรมจาก ๒ กลุ่มนี้
จากกรีก>>ตำนาน ความเชื่อ ศิลปะ การแกะสลัก
จากอีทรัสกัน>>ความเชื่อ เทพเจ้าหลายองค์ การสร้างประตูโค้ง (Arch)
-๕๐๙B.C. >>แพททริเชียนขับไล่ชาวอีทรัสกันและปกครอง
-สังคมโรมมันมีชนชั้น
ชนชั้นแพทริเชียน (Patrician) >> ชนชั้นสูงขุนนางชนชั้นปกครอง
ชนชั้นเพลเบียล (Plebeians) >> เป็นชนชั้นสามัญ
ทั้งสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันเพราะชนชั้นล่างต้องการมีส่วนร่วมในการปกครอง
อารยธรรมโรมัน 18
1)สมัยสาธารณรัฐ
-ในระยะแรกโรมปกครองในระบอบกษัตริย์เรียกว่า อิมพิเรียม(lmperium) ซึ่งมี
สภาซีเนตหรือสภาขุนนางนางเป็นที่ปรึกษาโดยสมาชิกในชนชั้นพาทรีเชียน
-ใน509 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกพาทรีเชียนขับกษัตริย์อีทรัสกันออก
และจัดตั้งระบบ การปกครองสาธารณรัฐขึ้น
-ต่อมาเพลเบียนก็มีส่วนร่วมในการปกครอง มีสิทธิเลือกผู้นำของตนเอง เรียกว่า
คณะทรีบูน(tribunes) เปล่งวาจาว่า“วีโต้(veto)”>> ข้าพเจ้าขอห้าม
[ศัพท์ปัจจุบัน หมายถึง การยับยั้ง ]
-พวกพาทรีเชียน+เพลเบียน[ชนะ] >> จารึกในแผ่นสำริดจำนวน12แผ่น เรียก
ว่า กฎหมาย12โต๊ะ
-ในระหว่าง ๒๖๔ ถึง ๑๔๖ ปีก่อนถ้าศักราช กองทัพโรมันได้ก่อ “สงครามฟินิเชียหรือสงครามพิวนิค”
จำนวน3ครั้งกับอาณาจักรคาร์เทจ และในครั้งที่3สามารถทำลายอารยธรรมของพวกคาร์เทจได้ จากนั้น
สาธารณรัฐสาธารณรัฐโรมันจึงขยายอำนาจเข้าครอบครอง ดินแดนตา่างๆ
อารยธรรมโรมัน 19
2)สมัยจักรวรรดิ
-ออตตาเวียน>>มีอำนาจในการปกครองสูงสุด
-ใน ๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราชเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบจักรวรรดิ
ออตตาเวียนได้รับสมญานาม ออกัสตัส(Augustus) เป็นจักรพรรดิหรือซีซาร์องค์แรกของโรม
ในระหว่าง ค.ศ.๙๖-๑๐๘ เป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพซึ่งได้รับขนานนามว่า
สันติภาพแห่งโรมหรือPax Romana >>จากนั้นถูกพวกอารยชนเผ่ากอทหรือชนเผ่าเยอรมัน
ร-ุกจัรการนพรรดิคอนสแตนติน (Constantine, ค.ศ. ๓๐๖-๓๓๗) ทรงยอมรับคริสต์ศาสนา เป็นศาสนา
ประจำจักรวรรดิ ใน ค.ศ. ๓๑๒ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ทรงสร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล
(Constantinople) ทางตะวันออกของจักรวรรดิโรมันเพื่อเป็นเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า
จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์
ในค.ศ.476 ถูกพวกอารยชนเข้าปล่้นสะดมและขับออกจากบัลลังก์
ในค.ศ.จักรพรรดิไบแซนไทน์ถูกพวกเติร์กยึดและเป็นส่วนหนึ่งของจักออตโตมัน
อารยธรรมโรมัน 20
มรดกทางวัฒนธรรม
สถาปัตยกรรม>>เน้นความใหญ่โต ทนทาน
→-อาคารประตูโค้ง แพนธีออน(Patheon) ที่มีหลังคาทรงโดม
-สถานที่อาบน้ำสาธารณะ (Public baths)
→-ประตูชัย อนุสรณ์สถานเฉลิมฉลองชัยชนะจากสงคราม
→-สร้างถนนและสะพานขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่งและเคลื่อนทับ สะพานส่งน้ำ
→-วิหารแพนธีออน(Pantheo
n) ใช้เป็นเทวสถานของเทพเจ้าโรมัน
→-โรงละคร(Theatures)และสนามกีฬา(Amphitheatres) เช่นโคลอสเซียม (Colosseum)
→-โคลอสเซียม(Colosseum)[สร้างด้วยคอนกรีต] เป็นสนามต่อสู้ระหว่างทางที่เรียก
→ →ว่า“Gradiator” ใช้เป็นลานประหารชีวิตโดยนำมาสู้กับสิงโต สถานที่แข่งม้า
อารยธรรมโรมัน 21
งานประติมากรรม>>ภาพนูนสูง
-มีลักษณะสมจริงตามธรรมชาติมากที่สุด
-สลักรูปเหมือนที่สะท้อนบุคลิกภาพและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้
สมจริงที่สุด
-งานแกะสลักหินอ่อนรูปเหมือนครึ่งท่อนของจักรพรรดิ
-งานหล่อเหรียญกษาปณ์
ด้านงานประพันธ์
-อิเนียด ประพันธ์โดยเวอร์จิลเป็นมหากาพย์ว่าด้วยประวัติความเป็นมาของกรุงโรม
และแทรกคำสั่งสอนเกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองต่อจักรวรรดิ
-ซิเซโร เป็นวรรณกรรมด้านการเมืองและจริยธรรมเสียดสีสังคมการเมืองและชนชั้น
การปกครองมีความสวยงามในการใช้ภาษาละตินในการเขียน
อารยธรรมโรมัน 22
กฎหมาย
-หลักกฎหมายโรมันที่เป็นมรดกในปัจจุบัน>> “ผู้ต้องหาจะเป็นผู้บริสุทธิ์
จนกว่าจะได้รับการพิจารณาว่าผิดจริง” “การทรมานเพื่อให้รับสารภาพ
เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
-กฎหมายสิบสองโต๊ะ (๔๔๐ B.C. )>>ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนในสังคม
อย่างเท่าเทียมกัน
-ประมวลกฎหมายจัสตีเนียน (Code of Justinian)>>รวบรวมกฎหมาย
โรมันและกฎหมายสิบสองโต๊ะจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ เป็นต้นแบบการ
จัดหมวดหมู่กฎหมายในยุคต่อมา
วิทยาศาสตร์การแพทย์
การผ่าตัดหน้าท้องที่เรียกว่า ศัลยกรรมแบบซีซาร์ ผ่าตัดทำคลอดหน้าท้องให้แก่
ซีซาร์ มีการจัดระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล สุขาสาธารณะ
อารยธรรมเปอร์เซีย 23
-เป็นอารยธรรมของชาวเปอร์เซียเป็นชาวอารยันกลุ่มหนึ่งปัจจุบันคืออิหร่าน
-มีอำนาจเมื่อ ๕๓๙ B.C.(ไซรัสทรงยกทัพเข้าโจมตีบาบิโลน)สามารถยึดครองกรุง
บาบิโลนแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียได้
-ศูนย์กลางอาณาจักรเปอร์เซียในปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศอิหร่าน
-ศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) เป็นศาสนาของชาวเปอร์เซียเป็นศาสนาประจำอาณาจักร
เปอร์เซีย (คัมภีร์อาเวสตา (Avesta) ฝ่ายหนึ่งดีฝ่ายหนึ่งชั่ว เทพเจ้าแห่งความดีเป็นเทพผู้สูงสุดชื่อ
“ออร์มาซด์ (Ormazd)” และเทพแห่งความชั่วองค์หนึ่งชื่อ “อาห์ริมาน (Ahriman)”
ศาสนาโซโรแอสเตอร์สอนว่ามนุษย์ควรจะปรนนิบัติรับใช้เทพแห่งความดี
-มีการทำระบบนำน้ำเข้าสู่เมือง เป็นระบบชลประทานน้ำใต้ดินที่เรียกว่า "คานัต" (Qanat)
-จักรวรรดิเปอร์เซียอ่อนแอลงและที่สุดถูกจักรวรรดิกรีกสมัยอเล็กซานเดอร์มหาราชเข้าโจมตีและเป็น
ดินแดนส่วนหนึ่งสมัยนั้น
อารยธรรมเปอร์เซีย 24
กษัตริย์ไซรัสมหาราช (Cyrus The Great)
-เป็นผู้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซีย
-เป็นกษัตริย์ตีบาบิโลนได้ในก่อน ค.ศ. ๕๓๙
-เป็นผู้ที่ปลดปล่อยชาวยิวจากการถูกเป็นทาสที่บาบิโลนให้กลับดินแดน
ปาเลสไตน์ หลังจากยึดครองกรุงบาบิโลนได้
-เป็นกษัตริย์ที่ถูกกล่าวไว้ในไบเบิ้ล
-เป็นกษัตริย์ที่ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ดีมีขันติธรรม >>อนุญาตให้ดินแดนที่คน
เองยึดครองสามารถรักษาประเพณีของตนเองได้ ไม่ต้องจ่ายส่วย ไม่จับมา
เป็นเชลยไม่กดขี่ข่มเหง จ่ายค่าแรงงานแก่คนสร้างเมือง/วังด้วยค่าจ้าง
อารยธรรมเปอร์เซีย 25
สมัยแคมไบซิส (Cambyeses)
→-ปกครองด้วยความรุนแรงไม่เหมือนสมัยกษัตริย์ไซรัส (ผู้เป็นพ่อ) ทำให้คนต่อ
ต้านและเกิดกบฏ
สมัยกษัตริย์ดาริอัสที่ ๑ (Darius The Great)
→-กษัตริย์ที่เข้มแข็ง รวบรวมดินแดนและปราบผู้ต่อต้านที่เริ่มไม่เห็นด้วยสมัย
-เป็นสมัยที่จักรวรรดิเปอร์เซียเจริญและเรืองอำนาจมากที่สุดมีอาณาเขตกว้างขวางมากโดย
ขยายดินแดน ไปจรดอินเดีย ปาเลสไตน์ เอเชีย ไมเนอร์ (ตุรกี) และอียิปต์
-ยุคนี้เป็นจักรวรรดิมีอาณาเขตที่กว้างขวางมากที่สุดในโลกในยุคสมัยนั้น
-ยุคทองของอารยธรรมเปอร์เซียเป็นนักรบและนักปกครองชั้นเยี่ยม วางระเบียบการ
ปกครองจักรวรรดิเปอร์เซีย
-
อารยธรรมเปอร์เซีย 26
-ประกาศเป็นผู้ปกครองอียิปต์และบาบิโลน
-ศูนย์กลางการปกครองสมัยนี้คือ กรุงสุสา (Susa)
-สร้างเงินตราขึ้นใช้แลกเปลี่ยนในดินแดนประเทศตะวันออก (บาบิโลน อียิปต์และเปอร์เซีย)
เงินตราที่สร้างขึ้นใช้ทำมาจากทองคำ
-ขุดคลองลัดตรงคาบสมุทรสุเอช (Suez) มีชื่อว่า คลองดาริอัส (Darius 'canal) ให้สามารถเดิน
เรือจากทะเลแดงเข้าสู่แม่น้ำไนล์ไป ออกทะเลเมดิเดอร์เรเนียนได้
-สร้างถนนเชื่อมโยงกับหัวเมืองต่างๆทั่วจักรวรรดิเพื่อประโยชน์ในการคมนาคมขนส่งสื่อสาร
ถนนทุกสายมีศูนย์กลางที่กรุงสุสาถนนที่มีความยาวถึง ๒๗๐๐ กิโลเมตรจากเมืองสุสา มายัง เมือง
ซาร์ดิส (Sardis) เรียกถนนนี้ว่า Royal Road
-มีการใช้ม้าเร็วสื่อสารและจัดให้มีสถานที่พักมาระหว่างราชสำนักกับหัวเมืองทุกแห่ง ทำให้
เปอร์เซียได้รับการยกย่องว่าเป็นชาติแรกที่ให้กำเนิดไปรษณีย์
อารยธรรมเปอร์เซีย 27
-สร้างกองทัพเรือขนาดใหญ่ใช้ชาวฟินิเชียนเป็นผู้ดำเนินการเพื่อคุมอำนาจทางทะเล
(เพราะชาวฟินีเชียนเป็นชนที่มีความชำนาญในการค้าและการเดินเรือทางทะเลตลอด
จนการต่อเรือ)
-มีการจัดระบบการปกครองส่วนภูมิภาค(ได้รับการยกย่องว่าเป็นชาติแรกที่ริเริ่มการ
ปกครองรูปแบบนี้)
-มีการทำเหรียญกษาปณ์ใช้เป็นเงินทางการทั่วอาณาจักร
-ด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมมีความโดเด่นในการสร้างพระราชวัง
-สมัยกษัตริย์ดาริอัสที่1ขยายอำนาจไปถึงกรีกและเริ่มทำสงครามกับกรีกที่เรียกว่าสงคราม
เปอร์เซีย-กรีก
-ทหารแม่นธนูและกองทัพม้าที่ดีที่สุดในแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ
อารยธรรมเปอร์เซีย 28
สมัยกษัตริย์เซอร์ซิสที่ ๑ (Xerxes the Great)
-ทำภารกิจหน้าที่สืบต่อจากดาริอัสที่ ๑ ผู้เป็นพ่อในการทำสงครามกับกรีก
(แต่ไม่สำเร็จ)
สงครามกรีก-เปอร์เซีย
>>กรีกสร้างความเดือดร้อนให้แก่เปอร์เซียมากกว่า และเปอร์เซียก็ไม่เคยเอาชนะกรีก
ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แรก ๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งถึงกับสามารถยึดกรุง
เอเธนส์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของกรีกได้แล้วเผาวัดวาอารามและอาคารบ้านเรือนของ
ประชาชน ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา อะโครโปลิส (Acropolis) แต่อีกไม่นานกองทัพกรีกก็
สามารถทำลายเรือรบส่วนใหญ่ของเปอร์เซีย กองทัพของเซอร์ซิสที่ 1 พ่ายแพ้ยับเยิน
และถูกปลงพระชนม์
อารยธรรมอินเดีย 29
“แม่แม่น้ำสินธุ”เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอินเดียอีกทั้งเป็นที่มา
ของชื่ออินเดีย ต้นกำเนิดของแม่น้ำสินธุคือ “ภูเขาหิมาลัยทางเหนือ”
แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอยู่ที่ “เมืองโมเฮนโจ-ดาโรและเมืองฮา
รัปปา” (ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน)
อารยธรรมอินเดียแบ่งออก
เป็น๒สมัย
อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดียสมัยประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดีย 30
อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ยุคหินเก่า : หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดคือ ขวาน กำปั้น ทำด้วยหิน
ยุคหินกลาง : ผู้คนยังเร่ร่อน เก็บอาหาร ล่าสัตว์ รู้จักนำสุนัขป่ามาเลี้ยง ทำเครื่องมือหินดีขึ้น
ยุคหินใหม่ : ผู้คนเริ่มรู้จักการเพาะปลูก นำสัตว์มาเลี้ยง อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน ทำเครื่องนุ่งห่ม
การนับถือพระแม่ธรณีเพื่อความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน
ยุคโลหะ : อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อประมาณ ๕๐๐๐ ปีล่วงมาแล้วโดยเป็นอารยธรรมของ
ชาวอินเดียดั้งเดิมที่เรียกว่าเผ่า ที่เรียกว่า “ทราวิฑ”หรือพวกดราวิเดียน ( Dravidian ) หรือ
ทมิฬ มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ
ความเจริญ -ตัวเมืองมีการวางแผนเมืองอย่างเป็นย่านใหญ่ๆ
แบบ -มีที่อาบน้ำสาธารณะ
-พบที่ประทับตามากกว่า ๒๐๐๐ชิ้น
อารยธรรม
เมือง
อารยธรรมอินเดีย 31
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุล่มสลายไปประมาณ๑๕๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช
>>ถูกพวกอินโด-ยูโรเปี่ยน เข้ามารุกรานผ่านช่องเขาไคเบอร์
พวกอารยะหรือพวกอารยัน (ผิวขาว)>>ได้ยึดบ้านช่องทรัพย์สินของพวก
ทมิฬให้ชาวทมิฬเป็นผู้รับใช้และถูกเรียกว่า “ทาส” ซึ่งเป็นที่มาของการ
เกิดวรรณะ(แปลว่าสีหรือสีผิว)เป็นการแยกชนชั้นโดยดูสีผิว
อารยธรรมอินเดีย 32
อารยธรรมของพวกอารยันที่สำคัญ
คือ การแต่งบทสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในพิธีบูชายัญโดยพวกนักบวช
ยุคพระเวท ประมาณ (ประมาณ ๑๕๐๐ ถึง ๙๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช)
พระเวทที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอารยันคือ
1) ฤคเวท :เป็นบทสวดอ้อนวอนเทพเจ้า
“ไตรเพทหรือตรีเวท” 2) ยชุรเวท :เป็นคัมภีร์อธิบายวิธีการประกอบบวงสรวง
3) สามเวท :เป็นบทสวดสำหรับการทำพิธีบูชาด้วยน้ำโสมในพิธีของบ้านเมืองหรือ
ของกษัตริย์
คัมภีร์อรรถเวทเกิดขึ้นภายหลังเรียกรวมกันว่า “จตุรเวท”
4) อถรรพเวท :นับถือเทพและไม่ใช่เทพทั้งที่ให้คุณและให้โทษแก่
มนุษย์เช่น ภูตผีปีศาจ
อารยธรรมอินเดีย 33
อารยธรรมยุคมหากาพย์ (ประมาณ ๙๐๐ ถึง ๕๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช)
ชื่อมหากาพย์เรื่องยิ่งใหญ่ของอินเดีย 2เรื่อง
•มหาภารตะ ซึ่งเป็นเรื่องมหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ใกล้กรุงเดลี ของราชวงศ์สอง
ราชวงศ์เผ่ากุรุที่ขัดแย้งกันเอง
•รามายณะ (รามเกียรติ์) ซึ่งเป็นเรื่องการทำสงครามระหว่างความดีกับความชั่ว
อารยธรรมในยุคนี้สืบต่อจากยุคพระเวทและเจริญก้าวหน้ามาก
การบันเทิงมีมากขึ้น มีพิธีอัศวเมธหรือการพลีกรรมด้วยม้า
อารยธรรมอินเดีย 34
อารยธรรมอินเดียสมัยประวัติศาสตร์
(ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๗-๘ก่อนคริสต์ศักราชถึงปัจจุบัน)
-เกิดศาสนาขึ้นคือ ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูและพระพุทธศาสนา
•ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู [เชื่อว่าพระวิษณุและพระศิวะเป็นผู้มาโปรด] (หลักการเวียนว่ายตาย
เกิด)
•พระพุทธศาสนา ศาสดาคือ พระพุทธเจ้า คำสอนหัวใจของพระพุทธศาสนาคือการทำความดีละ
เว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ การปฏิบัติทางสายกลาง(มัชฌิมาปฎิปทา)อริยสัจ 4ปฏิบัติเพื่อ
พ้นจากความทุกข์
ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานพระสงฆ์สาวกก็มีทัศนะแตกต่างกันจึงทำให้มีการ
แบ่งแยกออกเป็น๒นิกายใหญ่คือ หีนยานหรือเถรวาท และ มหายาน
เผยแผ่ทางตอนเหนือของอินเดียที่สำคัญ คือ จีน
อารยธรรมอินเดีย 35
ด้านประวัติศาสการเมืองการปกครอง
•พระเจ้าจันทรคุปต์ ก็ได้รวบรวมอินเดียเป็นปึกแผ่น [ตั้งราชวงศ์เมารยะ ๓๒๑ ถึง ๑๘๕ ปีก่อนคริสตศักราช]
หลังจากการรุกรานอินเดียจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช(กรีก)
•กษัตริย์ที่สำคัญของราชวงศ์นี้ในเวลาต่อมาคือ พระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งพระองค์ทรงทำนุบำรุงสุขและเผย
แพร่ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ จากนั้นราชวงศ์เมาระยะหมดอำนาจ
•จนกระทั่งค.ศ. 320 พระเจ้าจัทรคุปต์ที่ 1แห่งราชวงศ์คุปตะ เริ่มรวมประเทศและขยายอำนาจออกไปจาก
แคว้นมคธในสมัยนี้ศาสนาพราหมณ์ได้พัฒนาเป็นศาสนาฮินดู
ในสมัยนี้มีความเจริญรุ่งเรืองทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โดยเป็นผู้เริ่มใช้เลขอารบิกและเลขศูนย์(๐)
หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์คุปตะ อินเดียแตก
แยกและอ่อนแอทางตอนเหนือถูกต่าง
ชาติรุกรานทำให้ศาสนาอิสลามเผยแพร่เข้าสู่อินเดียทางเหนือ
•ต้นคริสต์ทศตวรรษที่ ๑๓ ถึง ๑๖ อินเดียถูกปกครองโดยสุลต่านแห่งเด
ลีหรือราชวงศ์มัมลูก สมัยนี้อิสลามได้เผยแพร่ออกไปทั่วอินเดีย
อารยธรรมอินเดีย 36
•ราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอินเดียคือราชวงศ์โมกุลหรือมุคัล ผู้ตั้งจักรวรรดิโมกุล คือ
อักบาร์มหาราช พระองค์ต้องการให้คนที่นับสือศาสนาอิสลามกับฮินดูอยู่ร่วมกันได้
และสุลต่านที่สำคัญอีกพระองค์หนึ่งคือ
ชาห์จะฮาน(Shah Jhahan) ผู้สร้างทัชมาฮัล อนุสรณ์แห่งความรักที่สวยงาม
จักรวรรดิโมกุลหมดอำนาจ ในค.ศ. ๑๘๕๘ โดยอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศอินเดียซึ่ง
ชาวอินเดียได้เรียกร้องการ ประชากรส่วนใหญ่เป็น
ปกครองของตนเองโดยมีผู้นำ
สำคัญคือมหาตมา คานธี และ ชาวฮินดู
ยาวาหร์ลาล เนห์รู อินเดียได้
รับเอกราชแต่มีความขัดแย้ง ประเทศปากีสถานซึ่ง
ทางศาสนาระหว่างชาวฮินดูกับ ประชากรส่วนใหญ่เป็น
มุสลิมจึงต้องแยกออกเป็นสอง
ชาวมุสลิม
ส่วน
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำเหลืองหรือแม่น้ำหวังเหอ 36
แม่น้ำเหลืองหรือหวางเหอเป็นแม่น้ำสายยาวอันดับสองของจีน ชื่อ
แม่น้ำเหลืองได้จากดินทรายสีเหลืองที่แม่น้ำสายนี้พัดพามาจากทิศ
ตะวันตก ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในสองฟากแม่น้ำ และใน
บริเวณที่แม่น้ำสายนี้ท่วมท้น ทำให้เกิดความหายนะทั้งทรัพย์สินและ
ชีวิต ดังนั้นแม่น้ำเหลืองจึงได้ชื่อว่า “แม่น้ำวิปโยค”
37
อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
•วัฒนธรรมหยางเชา >> ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์
เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม มีการทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นแบบลายเขียน
สี [ยุคหินใหม่ของจีน]
•วัฒนธรรมหลงซาน >> อยู่อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ มีการจัด
ระบบการปกครอง ทำเครื่องทำเครื่องปั้นดินเผาแบบรมควันและพบกระดูกสัตว์ที่
ถูกลมควันความร้อนเพื่อให้เกิดรอยแตกใช้ในการทำนายเรียกว่า “กระดูก
ทำนาย”
ดังที่ผู้คนของราชวงศ์ชางซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีนทำ [ยุคโลหะ-สำริด]
อารยธรรมจีน 38
อารยธรรมจีนสมัยประวัติศาสตร์
สมัยราชวงศ์ชางเมื่อ ๑๗๖๖-๑๑๒๒ปีก่อนคริสต์ศักราช
•มีการประดิษฐ์ตัวอักษรแบบรูปภาพลงบนกระดูกสัตว์และบนกระดอง
เต่าซึ่งเรียกว่า กระดูกมังกรหรือกระดูกทำนาย
•มีการนับถือเทพเจ้าแห่งการเพาะปลูกเรียกว่า ชางตี้ มีการทำปฏิทินบอกฤดูกาล
สมัยราชวงศ์โจว ๑๑๒๒ ถึง ๒๒๑ ปีก่อนพุทธศักราช
•เกิดความคิดในการปกครองที่สำคัญคือผู้ปกครองจะต้องได้รับ “อาณัติแห่งสวรรค์”
•มีความเจริญทางปรัชญามาก ที่ที่สำคัญคือ
→ลัทธิขงจื๊อหรือลัทธิขงจื่อ เน้นในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การปฎิบัติตามฐานะ
→ลัทธิเต๋าหรือลัทธิเต้า การปฏิบัติตนตามวิถีธรรมชาติ ใช้ชีวิตสันโดษ
อารยธรรมจีน 39
ในสมัยราชวงศ์โจว
จีนสามารถคำนวณได้ว่าปีนึงมี ๓๖๕ วันเศษหนึ่งส่วนสี่วัน มี
การประดิษฐ์ตะเกียบ มีการประดิษฐ์เข็มทิศ
สมัยราชวงศ์ฉิน ๒๒๑-๒๐๖ปีก่อนคริสต์ศักราช
•เป็นสมัยสั้นๆเพียง15ปี มีจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้หรือฉินสื่อหวงตี้ เริ่มการปกครอง
ในระบอบจักรพรรดิ
•สร้างเชื่อมกำแพงเมืองจีนให้เป็นแนวเดียวกัน กำแพงเมืองจีนจึงเป็นเส้นแบ่ง
ระหว่างคนจีนที่อยู่ใต้กำแพงกับพวกป่าเถื่อนที่อยู่เหนือกำแพงเมืองจีน
•การปกครองที่เข้มงวดและการลงโทษที่รุนแรงทำให้ราชวงศ์ฉินมีอายุสั้น
อารยธรรมจีน 40
สมัยราชวงศ์ฮั่น ๒๐๖ ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. ๒๒๐
•มีการนำลัทธิขงจื๊อมาเป็นหลักสำคัญในการปกครอง และเริ่มมีการสอบไล่คัดเลือก
เป็นข้าราชการ พระพุทธศาสนาจากอินเดียเริ่มเผยแพร่สู่จีน
•จางเชียน ขุนนางจีนเริ่มสำรวจเส้นทางการติดต่อกับอาณาจักรทางด้านตะวันตกของจีน
เส้นทางนี้ได้ชื่อว่า “เส้นทางสายไหมหรือเส้นทางสายแพรไหม”ซึ่งเป็นเส้นทางทาง
บกที่สำคัญที่มีการติดต่อระหว่าง จีนกับอินเดีย จีนกับทวีปยุโรป
•ซือหม่า เชียน ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นบิดาวิชาประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออก
•ได้ปรับปรุงจันทรักษ์คติให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
•เขียนหนังสือ “สื่อจี้” หรือบันทึกของนักประวัติศาสตร์
•มีการประดิษฐ์เครื่องมือวัดแผ่นดินไหว
อารยธรรมจีน 41
ราชวงศ์สุย (ค.ศ.๕๘๙-๖๑๘) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ.๖๑๘-๙๐๗)
•จีนรวมกันเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง อารยธรรมจีนรุ่งเรืองอารยธรรมจีนรุ่งเรืองสูงสุด
•สมัยราชวงศ์ถังได้ชื่อว่าเป็น “ศูนย์กลางของโลกเป็น ยุคทองของจีน”
พวกป่าเถื่อนในสายตาจีน ปกครองจีนในเวลาต่อมาคือ
-พวกมองโกล ที่มาตั้งราชวงศ์หยวน
-พวกแมนจู ที่มาตั้งราชวงศ์ชิง
-ผู้พิชิตจีนได้คือ กูบไลขาน ต่อมาเสื่อมอำนาจลงเพราะจักรพรรดิไม่มีความสามารถและมีการฉ้อ
ราษฎร์บังหลวงมากประกอบกับ ชาวตะวันตกนำฝิ่นมาขายทำให้คนจีนติดฝิ่นเป็นสาเหตุที่เกิด
สงครามระหว่างจีนกับอังกฤษ โดยจีนเป็นฝ่ายแพ้สงคราม
ทำให้การปกครองแบบจักรพรรดิสิ้นสุดลงและเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐและระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด
อ้างอิง
๑)หนังสือประวัติศาสตร์สากลชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖
๒)http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AboutStudent/Document/Hist_Western_Civilizatio
n/pdf/Mesopotamian_Civilization.pdf
๓)http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AboutStudent/Document/Hist_Western_Civilization/
pdf/Roman_Civilization.pdf
๕)http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AboutStudent/Document/Hist_Western_Civilizati
on/pdf/Persian_Civilization.pdf