พทุ ธประวตั ิ
พทุ ธประวัตขิ องพระพุทธเจา้ ต้งั แต่ประสูติ ตรัสรู้ เสด็จออกเผยแผ่
หลกั ธรรม ตลอดจนถงึ ดบั ขันธปรนิ ิพพาน ลว้ นมคี วามสาคญั แก่
การศกึ ษา และสามารถนามาวเิ คราะหเ์ พอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางในการ
ดาเนินชวี ิตไดท้ งั้ สิน้
การผจญมาร ตรัสรู้ การสั่งสอน
การผจญมาร
การผจญมาร
หลังจากทพ่ี ระสิทธตั ถะทรงเลกิ การบาเพ็ญทกุ กรกริ ยิ า(การกระทา
กิจท่ีทาไดโ้ ดยยาก) การกลน้ั ลมหายใจ
การกดพระทนต์
การกดพระตาลุ ( เพดาน) ดว้ ยพระชวิ หา (ล้ิน)
หันมาตั้งพระทยั จะบาเพ็ญเพยี รและเสวยอาหาร
ตามปกติ
ปญั จวคั คยี ์ (โกณฑัญญะ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานมะ และอสั สช)ิ
เมอ่ื เหน็ พระสิทธตั ถะกลบั มาเสวยอาหารเกดิ ความไมเ่ ชอื่ ถอื จงึ
พากนั หนีไปป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน
นางสุชาดาถวายขา้ ว นาถาดไปลอยในแมน่ ้า รับหญ้าคาจากโสตถติ ย
มธุปายาส
เนรัญชรา พราหมณ์
พร้อมกบั ทรงตงั้ ปณธิ านแน่วแนว่ า่ “แม้เลอื ดและเนือ้ ในสรรี ะนจ้ี ะ
เหอื ดแห้งไป เหลืออยแู่ ตห่ นัง เอน็ กระดกู ก็ตามทีเถดิ ตราบใดที่ยังไมบ่ รรลุ
พระอนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ เราจะไมย่ อมลุกจากที่นงั่ นี้”
เมอื่ พญามาร “วสวตั ดี” ทราบพระ
ปณธิ านอนั แน่วแนน่ ัน้ ก็ระดมพลเสนามาร
ท้ังหลายมาขัดขวางการบาเพญ็ เพยี รของ
พระองค์ เช่น บันดาลใหเ้ กดิ พายพุ ดั รุนแรง
แต่วา่ พระองคไ์ ด้ทรงระลกึ ถงึ ความดีทีท่ รง
บาเพ็ญมา คือ พระบารมี ๑๐ ประการ จึงทรง
มพี ระทยั มนั่ คงไมห่ วาดกลวั ตอ่ อานาจมาร
พญามารจงึ กลา่ วอา้ งวา่ บลั ลงั ก์ทีป่ ระทบั นั้น
เปน็ ของตน โดยอา้ งวา่ มเี สนามารท้งั หลายเปน็
พยานและใหพ้ ระสทิ ธตั ถะหาพยานมายนื ยัน
พระองคจ์ งึ ทรงเหยียดนว้ิ ชล้ี งท่ีแผน่ ดนิ เพราะใน
การใหท้ านทกุ คร้ังพระองค์ทรงหลง่ั ทกั ษิโณทก
(นา้ ทีห่ ลง่ั ในเวลาทาทาน ” การกรวดน้า ” )
ลงบนแผน่ ดิน
ฉะนนั้ แมพ่ ระธรณีจงึ เท่ากบั เปน็ พยานในการทรงบรจิ าคทาน แมพ่ ระ
ธรณีจงึ บบี มวยผมซง่ึ ชมุ่ ด้วยนา้ หลง่ั ออกมามากมายกลายเปน็ ทะเลทว่ มพญามาร
และเสนาทงั้ หลายจนแตกพา่ ยไปหมดสนิ้ และพระองคไ์ ด้เรมิ่ บาเพ็ญเพียรจนได้
บรรลุญาณท้งั 3 ลาดับ
ปฐมยาม ทรงบรรลุปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ หยงั ร้ใู นชาตภิ พก่อนๆ
บบุ -เพ-น-ิ วา-สา-นดุ -สะ-ต-ิ ยาน
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตปู ปาตญาณ หยงั รกู้ ารเกดิ และการตาย
จ-ุ ตู-ปะ-ปา-ตะ-ยาน
ปัจฉมิ ยาม ทรงบรรลุอาสวกั ขยญาณ ทาให้อาสวะให้หมดไป โดยตรสั รอู้ รยิ สจั ส่ี
อา-สะ-วะ-ขะ-ยะ-ยาน
พญามารเสยี ใจทไ่ี มส่ ามารถเอาชนะ
พระพทุ ธเจา้ ได้ ธิดามารทงั้ 3 คอื
นางตณั หา นางราคา และนางอรดี พยาม
ยามแปลงกายมาหมายมนั่ ใหพ้ ระพทุ ธเจา้
ทรงพอพระทัยแต่สุดทา้ ยกพ็ า่ ยแพก้ ลบั ไป
@ข้างๆครๆู
“มาร”
ในพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ
ส่งิ ทฆ่ี า่ บคุ คลให้ตายจากคณุ ความดี
1. กเิ ลสมาร ได้แก่ ความโลภ 2. ขันธมาร หมายถงึ มารคอื ขันธ์ ได้แก่
รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ
ความโกรธ ความหลง ซง่ึ เป็นตวั เป็นความหลงในสภาพทีม่ กี ารปรุงแตง่
ขดั ขวางการทาความดีทั้งปวง
ข้นึ เชน่ หลงและยึดติดในรูปกายของ
ตนเอง ทาใหต้ ัดโอกาสในการบาเพญ็
คณุ ความดีต่าง ๆ
3. อภสิ ังขารมาร หมายถึง 4. เทวปุตตมาร หมายถงึ มารท่คี อย
มารท่ีขดั ขวางมิให้หลดุ พน้ จาก ขัดขวางเหนยี่ วรงั้ บคุ คลใหห้ ว่ งพะวงอยู่
สงั สารวฏั คอื การเวยี นว่ายตายเกดิ ในกามสขุ จนไมอ่ าจเสยี สละออกไป
เชน่ การทาบญุ แลว้ ยงั ยึดติดอยใู่ น บาเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้
ผลแหง่ บุญน้นั
สังสารวฏั การเวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ นโลกของอานาจกเิ ลส
5. มจั จุมาร หมายถงึ มารคือ ความตาย เพราะความตายเปน็
ตวั การตัดโอกาสท่ีจะได้ทาความดที งั้ หลาย
ตรสั รู้
ตรสั รู้
@ขา้ งๆครๆู
ในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนวิ าสานุสตญิ าณ คือ ความ
หยง่ั รใู้ นชาติภพกอ่ น ๆ หมายถงึ ทรงระลึกชาตไิ ด้
ในมชั ฌมิ ยาม ทรงบรรลุ จตุ ปู ปาตญาณ คือ ทรงรกู้ ารจุติ
และการเกดิ ของสรรพสตั วท์ งั้ หลาย หมายถงึ มีตาทิพย์ หูทพิ ย์
ในปจั ฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ตรัสรู้อรยิ สจั ๔
ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ๔ ประการ ไดแ้ ก่
ทุกข์ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ
สมทุ ัย เหตทุ าใหเ้ กดิ ทกุ ข์
นโิ รธ ความดบั ทกุ ข์
มรรค แนวทางนาไปสคู่ วามดบั ทกุ ข์
วันทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูค้ อื …ข…ึน้ …1…5ค…า่ …เด…ือน……6
การตรสั ร้เู รียกวา่ พทุ ธะ หมายถงึ ผ้ตู ื่นจาก
ความหลับใหลและหลงใหลด้วยกิเลส ผู้เบกิ บาน
เพราะหลุดพ้น และผู้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
อะรงั หัง สัมมาสมั พุทโธ
(พระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจ้า)
อะรงั หัง = ผไู้ กลจากกิเลส
สมั มาสัมพทุ โธ = ผู้ตรัสร้ชู อบด้วยตนเอง
การส่งั สอนธรรม
การสั่งสอนธรรม
เจา้ ชายสิทธัตถะ ตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจา้ ขณะทีพ่ ระองคม์ ี
พระชนมายุ ๓๕ พรรษา และมกี ารพกั ผ่อนพระอริ ิยาบถเรียกว่า
“เสวยวิมุตตสิ ุข”
เดินทางผา่ นมาเจอ และถวายอาหาร
ไดฟ้ ังคาสัง่ สอนจากพระพทุ ธเจา้
รอ้ งของเป็นสาวก
และประสบความสาเรจ็
พอ่ คา้ ชอื่ ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ
ดอกบัว 4 เหล่า
บุคคลทสี่ ง่ั สอน และสง่ั สอนไมไ่ ด้ เรยี กวา่ บคุ คล 4 จาพวก
วิปจิตญั ญู อุคฆฏติ ญั ญู ผู้รู้โดยฉบั พลันเพียงยกหวั ขอ้
ร้กู ต็ ่อเมือ่ อธิบายเนอ้ื หา เนยยะ
ผูท้ พ่ี อจะแนะนาใหร้ เู้ ขา้ ใจ
ต่อไป
ปทปรมะ ผู้ไมส่ ามารถแนะนาได้
หลังจากตรสั รแู้ ล้ว พระพุทธเจา้ ทรงพกั ผอ่ นเปน็ เวลา ๗
สัปดาห์ แล้วเสดจ็ ออกเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ทรงคดิ ถงึ พระอาจารย์
ทัง้ สอง คือ อาฬารดาบส และอุททกดาบส แต่ทา่ นทง้ั สองไดส้ ิ้นชพี แลว้
จึงเสดจ็ ไปโปรดปญั จวคั คยี ์ ณ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมือง
พาราณสี พระธรรมเทศนาทพ่ี ระองคท์ รงแสดงคร้งั แรกเรยี กวา่ ปฐมเทศนา
พระธรรมทท่ี รงแสดง เรียกว่า ธัมมจักกปั ปวตั นสตู ร
หลังจากฟังพระธรรมเทศนา โกณฑญั ญะ ได้ดวงตาเหน็ ธรรม จงึ ทูลขอ
บวชนับเปน็ พระสงฆอ์ งคแ์ รกในโลก พระรตั นตรัยครบองค์ 3
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
ต่อจากนน้ั ทรงแสดงธรรมเทศนา (อนัตตลักขณสตู ร)
โปรดอีก 4 ท่าน จนเกิดความเขา้ ใจธรรมและทลู ขอบวชตามลาดบั
ปญั จวคั คยี ท์ งั้ 5 จึงสาเรจ็ เป็นพระอรหนั ต์
และพระพุทธเจา้ ไดแ้ สดงทรงโปรด..
บุตรชายเศรษฐี(พาราณส)ี ยสกลุ บตุ ร (วิมละ สพุ าหุ ปณุ ณชิ ควัมปติ)
เศรษฐีบดิ าของพระยสะ (อุบาสกคนแรก) พระยสะ(พระอรหนั ต์)
มารดา อดีตภรรยาของพระยสะ(อบุ าสิกา) เพอ่ื นสนทิ 50คน (บวชเปน็ พระอรหนั ต์)
พระพุทธเจา้ เหน็ ว่ามพี ระสาวกมากพอจึงแนะนาใหอ้ อกไปประกาศ
ศาสนา โดยกลมุ่ เปา้ หมายคอื กลมุ่ คนทเี่ คารพนับถอื ทวั่ ไป
ชฎิล 3 พีน่ ้องและบรวิ ารละทง้ิ ลทั ธเิ ดมิ หนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา
พระเจา้ พิมพิสาร หนั มานับถอื พระพทุ ธศาสนา
มกี ารประกาศตนปน็ อุบาสิกา อบุ าสก ภิกษุ ภกิ ษณุ ี โยเรยี กรวมๆวา่
พทุ ธบริษัท 4
พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศศาสนา 45ปี จนพระชนมายไุ ด้ 80 พรรษา
และพระพทุ ธเจ้าทรงปรนิ พิ พานท่เี มอื งกสุ ินารา