ม.1
มีนามเดิมว่า ปิปผลิ ท่านมีนสิ ยั ชอบความสงบ
ชอบปลกี ตวั อยตู่ ามป่า แตบ่ ดิ ารมารอยากให้
แตง่ งานเพอื่ มีบุตรสบื สกุล ปิปผลิ จึงให้
ชา่ งทองหลอ่ รปู หญงิ สาว และบอกบดิ าหาก
สามารถหาหญิงสาวเหมอื นรปู หลอ่ ทองคาได้
กย็ ินดีจะแต่งงานดว้ ย
และสุดท้ายก็สามารถเจอหญิงสาวเป็นบตุ รของโกสยิ พราหมณ์
(ภทั ทกาปลิ าน)ี บิดามารของ ปิปผลิ จงึ พยายามไปเจรจา
แต่ ปปิ ผลิ ไดเ้ ขียนสารไปแจ้งภทั ทกาปลิ านวี ่า
ปปิ ผลิ ไมป่ ระสงค์จะแต่งงานใหน้ างหา
ผู้ท่เี หมาะสมแต่งงานเถอะ และตง้ั ใจ
จะออกบวช แตม่ กี ารแอบแปลงสารว่าทั้ง 2 ยินดีทจ่ี ะ
แต่งงาน
จนมงี านแต่งงานกันนาม ไม่มคี วามเก่ียวข้องกันในดา้ น
กามารมณ์ และปรกึ ษากนั หากมีโอกาสกจ็ ะออกบวช
และเมอ่ื บิดาของ ปิปผลิได้สิ้นชีวติ
ทั้ง 2 จึงสละบ้านเรือนและออก
แสวงหาพระศาสดาท่จี ะบวช
และปิปผลิไดพ้ บกบั พระสัมมาสัม
พุทธเจา้ และไดแ้ สดงโอวาท3ขอ้ ดงั น้ี
1. ใหม้ หี ริ โิ อตตัปปะ (ยาเกรง็ ตอ่ พระสงฆ์ทกุ ระดับ)
2.ใหต้ ั้งใจฟงั พระธรรมพจิ ารณาธรรมจนแจ่มแจ้ง
3.ใหเ้ จรญิ กายคตาสติอยเู่ สมอ รา่ งกายไมจ่ ีรังย่ังยืน
ปปิ ผลิ ได้ฟังกร็ บั ดว้ ยเคารพ และพระพุทธเจ้ากร็ บั ปิปผลิ
เปน็ สาวกของพระองค์ และช่อื ว่า มหากัสสปะ และหลงั จาก
นั้น 7วนั กบ็ รรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์
และถอื ธดุ งค์ 3 ข้อ อย่างเครง่ ครดั
1. ถอื ผ้าบงั สกุ ุลเปน็ วัตร
2. ถอื บีณฑบาตเป็นวตั ร
3. ถอื การอยู่ป่าเปน็ วตั ร
และเป็นเอตทัคคะ (ผูเ้ ปน็ เลศิ กวา่ ผอู้ ่ืน) มีอายุ 120พรรษา
จึงนิพพาน
คุณธรรมทคี่ วรยดึ ถอื เปน็ แบบอยา่ ง
1. เปน็ บุตรทีด่ ขี องบิดามารดา
2.เปน็ ผมู้ สี ัจจะ
3.เป็นผู้มีความกตญั ญูกตเวทอี ยา่ งยิ่ง
4.เป็นตัวอยา่ งทีด่ ีและมชี ีวติ เรยี บงา่ ย
เปน็ บตุ รของภษู ามาลา (ช่างตัดผม) ได้ออกบวช พรอ้ มกับ
พระราชกุมารแห่งศากวงศแ์ ละโกลยิ วงศ์ โดยพระอุบาลีได้รบั
การอปุ สมบทจากพระพทุ ธเจ้าก่อนและมพี รรษามากกวา่ พระ
ราชกมุ ารองค์อนื่ ๆ และตอ่ มาพระอุบาลีไดบ้ รรลเุ ป็นพระ
อรหันต์
เป็นผูท้ รงอภิญญาและแตกฉานในปฏิสมั ภทิ า 4
มีความสนใจในพระวินัยเป็นพเิ ศษ
ไดศ้ ึกษาพระวินัยจากพระพทุ ธ
องค์จนมคี วามเชย่ี วชาญ
มีความสามารถในการพิจารณา
อธิกรณเ์ ป็นเอตทัคคะดา้ น
พระวินัย
คณุ ธรรมทค่ี วรยดึ ถอื เปน็ แบบอยา่ ง
1. เป็นผเู้ ชียวชาญพระวนิ ัย
2.เป็นครูท่ดี ี ไม่หวงความรู้
3.ใฝค่ วามรเู้ สมอ (สกิ ขากามตา)
มีนามเดิมว่า สุทัตตะ มบี ตุ รชายชอ่ื กาละ
และธดิ า 3 คน เปน็ ผใู้ จบญุ สุนทาน โดยได้ต้ัง
โรงทานให้แกย่ าจกวณพิ กเป็นประจา จงึ เปน็ ที่มา
ของชื่อ อนาถบณิ ฑกิ ะ (ผู้มีกอ้ นข้าวเพื่อคนอนาถา)
ครงั้ หนง่ึ ทา่ นอนาถบิณฑิกะ ไปทาธรุ ะทีร่ าชคฤห์ และได้พอ
กับพระพุทธเจา้ และได้ฟังธรรมจนเกิด “ดวงตาเห็นธรรม”
และอัญเชิญพระพุทธเจา้ โปรดชาวเมืองสาวตั ถี และได้
สถานทท่ี ีเ่ หมาะสมกับการสร้างวัด และไดข้ อซื้อทีจ่ ากเจ้าของ
สวนช่ือ เชต และสดุ ท้ายได้ช่อื เชตวนั
คุณธรรมทคี่ วรยดึ ถือเปน็ แบบอยา่ ง
1. เปน็ ผมู้ ่นั คงในการทาบญุ
2.เป็นทายก(ผู้ถวายจตุปัจจยั แก่ภิกษุ สามเถร)
ผูห้ ญิงเรียกวา่ ทายิกา
3.พ่อท่ีดขี องลกู และเป็นผู้มคี วามตงั้ ในแน่วแน่
เป็นธิดาของ ธนญั ชัยเศรษฐีและนางสุมนา นางวสิ าขาเตบิ โต
ในเมอื งสาเกต อายุได้ 7ขวบ ได้ฟังธรรมจากพระพทุ ธเจ้าก็
บรรลเุ ป็นโสดานนั เม่ือายุได้ 16 ปี ได้แต่งงานกับบุตรมิ
คารเศรษฐชี อ่ื ปุณณวฒั นกมุ าร โดยนางวสิ าขางดงาม
(เบญจกลั ยาณี)
ผมงาม ผมดาสลวยเปน็ เงางาม
เนอื้ งาม เหงอื กงามและริมฝปี ากงาม
กระดกู งามฟนั ขาวงามเปน็ ระเบยี บ
ผวิ งาม ผิวเกลีย้ งเกลาไมม่ ีไฝฝ้า
วยั งาม มีความงามเหมาะสมวยั ตน
ก่อนนางวสิ าขาจะย้ายบ้านเจา้ บา่ วได้ให้โอวาท 10 ประการ
ไฟในอย่านาออก จงน่ังให้เป็นสขุ
ไฟนอกอยา่ นาเข้า จงนอนให้เปน็ สขุ
จงให้แก่คนที่ให้ จงกินใหเ้ ป็นสุข
จงอย่าใหแ้ กค่ นท่ีไมใ่ ห้ จงบูชาไฟ
จงให้แกค่ นท่ใี ห้และไมใ่ ห้ จงบูชาเทวดา
นางวสิ าขายึดม่ันในพระรตั นตรยั หลงั จาก
ฟงั ธรรมมกั เดนิ รอบเพื่อซักถามความประสงค์
ของพระสงฆ์ นางได้ขอพรจากพระพุทธเจ้า
8 ประการ เกี่ยวกบั การถวายทานตา่ งๆ
และยงั ได้สรา้ ง วดั บุพพาราม
และนาวิสาขาเปน็ เอตทคั คะ
คุณธรรมทค่ี วรยดึ ถือเปน็ แบบอยา่ ง
1. มคี ารวธรรม เชื่อฟังบิดามารดา
2.เปน็ ผู้มปี ัญญาและมีกศุ โลบายในการแนะนาคนเข้าหาธรรม
3.จริงใจตอ่ เพอ่ื นและชว่ ยเหลือเพ่อื ยดึ ม่นั พระรัตนตรัย
4.ช่วยปกปอ้ งพระศาสนา
ม.1
พระเจ้าอโศกมหาราช เปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ พนิ ทุสาร
มพี ระภาดา 101 พระองค์ เมือ่ พระราชบิดาสวรรคต พระ
เจ้าอโศกไดส้ าเรจ็ โทษพระภาดาต่างพระชนนีถงึ ๙๙
พระองค์ทรงมชี อ่ื เรียกขานอกี อย่างหน่ึงว่า “จณั ฑาโศก”
แปลว่า “อโศกผ้โู หดรา้ ย”
เม่ือนบั ถอื พระพุทธศาสนา ทรงประกอบกรรมอันเปน็ กุศล
เป็นอนั มาก ทรงทานุบารงุ พระพทุ ธศาสนาเปน็ การใหญ่จนได้
พระนามใหมว่ า่ “ธรรมโศก” แปลว่า
“อโศกผู้ทรงธรรม”สาเหตหุ ันมาเลื่อมใส
พระพุทธศาสนาคือ ได้ทอดพระเนตร
เห็นสหี บญั ชรสามเถรเดนิ ผา่ น
และไดฟ้ งั ธรรมจึงเลอ่ื มใส
มหินทกมุ าร และ สังฆมติ ตา พระราชโอรสและพระราชธดิ า
ได้บวชในพระพุทธศาสนาและพระเจ้าอโศก
มหาราชทาสงั คายนาและส่งพระสงฆ์ออกไป
เผยแผ่พระพุทธศาสนา 9 สาย
และบกุ เบกิ การปกครอง ธรรมราชา
คุณธรรมทค่ี วรยดึ ถือเปน็ แบบอยา่ ง
1. ผ้มู ัน่ คงในพระรัตนตรัยเป็นอุบาสกที่ดี
2.มคี วามรบั ผดิ ชอบอยา่ งยิ่ง
3.มนี ้าพระทยั ให้เสรีแก่การนับถอื ศาสนา
4.ทรงเปน็ มหาราชในอดุ มคติ
พระโสณะและพระอตุ ตระเป็นชาวชมพทู วีป มชี วี ิตอยู่ในรชั
สมัยของพระเจา้ อโศกมหาราช เป็นผู้แตกฉานในพระไตรปฎิ ก
มีสว่ นรว่ มในการสังคายนาคร้ังท่ี 3 เมื่อเสรจ็ สนิ้ การสงั คายนา
ได้รบั การแต่งตง้ั เป็นธรรมทูตเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดน
สุวรรณภมู ิ
พระโสณะและพระอตุ ตระไดแ้ สดง
ธรรมเร่อื ง พรหมชาลสูตร และได้
เปล่งวาจา ไตรสรณมน์ รวมถงึ
สมาทานศีล โดยเป็นจุดเรมิ่ ตน้
พระพทุ ธศาสนาไดห้ ย่งั รากลึกใน
สุวรรณภูมิ
คุณธรรมทคี่ วรยดึ ถือเปน็ แบบอยา่ ง
1. เป็นสาวกท่ีดีของพระพุทธเจา้
2.ผู้มขี นั ติสูงย่ิง
3.มีความสามารถในการถ่ายทอดพระรรม