จำนวนเชิงซ้อน
เอกลกั ษณ์และตัวผกผนั การบวก
ตัวผกผันการบวกของ
ตัวผกผนั การบวกของ
เอกลกั ษณ์และตวั ผกผนั การคูณ
ตัวผกผนั การคูณของ a2 a b2 , −b
+ a2 + b2
a b
+ +
ตัวผกผันการคูณของ a2 b2 − a2 b2 i
โดยใชต้ วั ผกผันการคูณ
, −
+ +
−
+ +
โดยใช้สังยุค
z (,) +
(,)
+
+
z z
= ,
z
+
3
(−1)2 + ( 3)2 = 2
3 = − 3 3
−1
3
ตวั อย่างท่ี จงเขยี นจำนวนเชิงซ้อนต่อไปนใี้ หอ้ ยใู่ นรูป a + bi
1) 3 cos 11 + i sin 11 cos 4 + i sin 4
2 6 6 4 3 3
วิธที ำ กำหนด z1 = 2 3 cos 11 + i sin 11 , z2 = 4 cos 4 + i sin 4
6 6 3 3
z1z2 = r1r2[cos(1 +2 ) + i sin(1 +2 )]
=
= (2 3)(4) cos 11 + 4 + i sin 11 + 4
= 6 3 6 3
=
8 3 cos 19 + i sin 19
= 6 6
z1z2 =
8 3 cos 19 + i sin 19
6 6
8 3 − cos − i sin
6 6
8 3 − 1 i
3 − 2 2
ตอบ −12 − 4 3i
ตวั อยา่ งที่ 1 จงเขยี น 3+ 3 i 12 ให้อยใู่ นรูป a + bi เมอ่ื a,b
วธิ ีทำ 2 2
กำหนด z= 3 + 3i = 3 cos + i sin
22 4 4
จะได้ 3 cos + i sin 12 = 312 cos12 + i sin12
4 4 4 4
= 312 (cos3 + i sin 3 )
= 312 (−1) + i(0)
ดงั น้นั 3+ 3 i 12 = −312
2 2
ตัวอยา่ งท่ี 2 จงเขยี น (−2 + 2i)5 ให้อย่ใู นรปู a + bi เมือ่ a,b
วิธที ำ กำหนด z = −2 + 2i = 2 2 (cos135 + i sin135)
จะได้ 2 2 (cos135 + i sin135)5 = (2 2)5 cos5(135) + i sin 5(135)
= 128 2 (cos 675 + i sin 675)
= 128 2 (cos315 + i sin 315)
= 128 2 2
2 2 + i − 2
ดงั นั้น (−2 + 2i)5 = 128 −128i
การหารากที่สองของจำนวนเชงิ ซ้อน
ทฤษฎบี ท กำหนดจำนวนเชงิ ซอ้ น z = x + yi และให้ r= x2+y2 จะได้ว่ารากที่สองของ z คือ
± r+x + r-x i เมอ่ื
2 2
± r+x − r -x i เมื่อ
2 2
ตัวอยา่ งท่ี 1 จงหารากท่ีสองของจำนวนเชิงซอ้ น 3+4i
วธิ ีทำ จากโจทย์ 3+4i เม่อื นำไปเทยี บกบั x+yi จะเหน็ ว่า x = 3 และ y = 4 จะเหน็ วา่ ค่า y>0
ดังนัน้ สตู รทีใ่ ช้ในการหารากท่ีสองสตู รท่ีหน่งึ คือ r+x r -x i
± + 2
2
หาค่า r r = x2 + y2 = 32 +42 = 9+16 = 25 = 5
5+3 5-3 8 2
2 2 2 2
จะได้ว่า รากทสี่ องของ 3+4i คือ ± + i = ± + i
= ± 4+ 1i
= ±(2+i)
ดังน้นั รากทส่ี องของ 3+4i คือ 2 + i และ -2 - i
ตวั อย่างที่ 2 จงหารากทีส่ องของจำนวนเชงิ ซ้อน 7−24i
วิธที ำ จากโจทย์ 7−24i เม่ือนำไปเทียบกบั x+yi จะเห็นว่า x= 7 และ y=−24 จะเหน็ วา่ ค่า y<0
ดงั นั้น สตู รที่ใช้ในการหารากท่สี องสตู รทสี่ อง คือ r+x r-x i
± 2
−
2
หาค่า r r = x2+y2 = 72 +(-24)2 = 49+576 = 625 = 25
จะได้วา่ รากท่สี องของ 7−24i คือ ± 25+7 − 25-7 i = ± 32 − 128i
2 2 2
= ±( 16− 9i)
= ±(4 - 3i)
ดังน้นั รากทสี่ องของ 7−24i คือ 4-3i และ -4+3i
การหารากท่ี ของจำนวนเชิงซอ้ น
θ π θ π
ตวั อย่าง จงหารากท่ี ของ -8+8 3i
วิธที ำ เนื่องจาก -8 + 8 3i = 16 cos 2 +isin 2
3 3
ถ้า เปน็ รากที่ ของ 16 cos 2 +isin 2
3 3
จะได้ x= 4 16 2 +2k 2 + 2k เมื่อ k { 0, 1, 2, 3 }
3 3
cos 4 +isin 4
2 + 2(0) 2 + 2(0)
cos 3 3
ถา้ จะได้ x= 2 4 + isin 4 2 cos + isin 3+i
6 6
2 + 2(1) 2 + 2(1)
cos 3 isin 3
ถา้ จะได้ x= 2 4 + 4 2 cos 2 + isin 2 −1+ 3i
3 3 − 3-i
1- 3i
2 + 2(2) 2 + 2(2)
cos 3 3
ถ้า จะได้ x= 2 4 + isin 4 2 cos 7 + isin 7
6 6
2 + 2(3) 2 + 2(3)
cos 3 3
ถา้ จะได้ x= 2 4 + isin 4 2 cos 5 + isin 5
3 3
ดงั น้นั รากที่ของ -8+8 3iคอื 3+i −1+ 3i − 3-i 1- 3iตอบ
สมการพหนุ ามกำลังสอง
สมการกำลังสองทีเ่ ขียนอยู่ในรปู ax2 + bx + c = 0 เมอ่ื a , b และ c เป็นจำนวนจริงใด ๆ และ a 0
คำตอบของสมการ
คือ x = -b± b2 - 4ac เม่อื b2 – 4ac 0
2a
และคือ x = -b± b2 -4ac i เม่ือ b2 – 4ac < 0
2a
ตัวอย่าง 1 จงแก้สมการ x2 + 4 = 0
วธิ ีทำ x2 + 4 = x2 – 4i2 = x2 – (2i)2 = (x + 2i)(x – 2i) = 0
ดังน้ัน x = -2i และ x = 2i
ตวั อย่าง 2 จงแก้สมการ 2x2 – 2x – 3 = 0
วิธที ำ เน่อื งจาก b2 – 4ac = (-2)2 – 4(2)(-3) = 28 0
ดงั น้นั คำตอบของสมการคือ x = -b± b2 - 4ac
2a
(-2)2 -4(2)(-3)
จะได้ x = -(-2) ± 2(2)
x = 2± 4 28
x = 2 ±2 7
4
x = 1± 7
2
ดังน้นั คำตอบของสมการคือ x = 1+ 7 และ x = 1- 2 7
2
ตวั อยา่ ง 3 จงแกส้ มการ x2 – 2x + 5 = 0
วิธีทำ เนื่องจาก b2 – 4ac = (-2)2 – 4(1)(5) = –16 < 0
ดงั นัน้ คำตอบของสมการคือ x = -b ± b2 -4ac i
2a
-(-2) ± (-2)2 - 4(1)(5) i
จะได้ x = 2(1)
x = 2± -16 i
2
x = 2 ± 16 i
2
2 ±4 i
x = 2
x =1±2i
ดงั นั้น คำตอบของสมการคือ x =1+2i และ x =1-2i
พหนุ ามและสมการพหนุ ามตวั แปรเดยี ว
ขอ้ กำหนด
ถา้ P(x) = an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0 โดยท่ี n เป็นจำนวนเตม็ บวก
และ an , an-1 , an-2 , … , a1 , a0 เปน็ จำนวนเชิงซอ้ น ซง่ึ an 0 แลว้
เราจะเรียก P(X) ว่า “ พหุนามกำลงั n ”
และ P(X) = 0 วา่ “ สมการพหนุ ามกำลัง n ”
ซง่ึ สมการพหนุ ามกำลัง n ทุกสมการจะสามารถหาคำตอบหรอื รากของสมการได้เสมอ ทีเ่ ป็นเชน่ นโ้ี ดยอาศยั ทฤษฎี
บทพีชคณิตเบอ้ื งต้นเป็นทฤษฎบี ทพ้ืนฐาน
ทฤษฎบี ทพีชคณติ เบ้ืองต้น (The Fundamental Theorem of Algebra)
ถา้ P(x) = 0 เปน็ สมการพหุนามกำลัง n เมอ่ื n เป็นจำนวนเต็มบวก
และมสี มั ประสิทธ์จิ ำนวนเชงิ ซอ้ นแล้ว
สมการนีจ้ ะมีรากท่ีเป็นจำนวนเชงิ ซ้อนอยา่ งนอ้ ยหนงึ่ ราก
ความหมายของความจริงทฤษฎีบทพชี คณติ เบอ้ื งต้น
1. ถ้าเอกภพสมั พัทธเ์ ป็นจำนวนเชิงซ้อนแล้ว การแกส้ มการทุกคร้ังจะต้องได้รากทเี่ ป็นจำนวน
เชิงซ้อนอย่างนอ้ ยหนง่ึ รากเสมอ
2. รากที่เป็นจำนวนเชงิ ซ้อน คือ รากนนั้ อาจเป็นจำนวนจรงิ จำนวนจินตภาพ หรอื
จำนวนจนิ ตภาพแท้ ก็ได้
ในการหาคำตอบของสมการพหุนามกำลัง n น้นั ทำไดโ้ ดยการพยายามเขียนพหุนาม
an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0 ให้อยูใ่ นรปู ผลคูณของพหนุ ามกำลัง 1 ในทนี่ จ้ี ะแบ่งการหาคำตอบ
ของสมการพหนุ ามกำลัง n เป็น 2 กรณี ดงั นี้
กรณที ี่ 1 สมการพหุนามกำลงั สอง
กรณีท่ี 2 สมการพหุนามกำลงั มากกวา่ สอง
สมการพหุนามกำลงั มากกว่าสอง
ในการเขยี นสมการพหุนาม an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0 ให้อยใู่ นรปู ผลคูณของพหุนามกำลัง 1
หรอื กำลงั 2 น้ัน ทฤษฎีบทต่อไปนเี้ ป็นทฤษฎบี ทท่ีชว่ ยในการกระทำดงั กลา่ ว
ทฤษฎบี ทเศษเหลอื (Remainder Theorem)
ถา้ P(x) = an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0
โดยที่ n เปน็ จำนวนเตม็ บวก และ an , an-1 , an-2 , … , a1 , a0 เป็นจำนวนเชิงซอ้ น ซง่ึ
an 0 แลว้
ถา้ หารพหนนุ าม P(X) ด้วยพหุนาม x – c เม่ือ c เป็นจำนวนเชงิ ซ้อนใด ๆ แล้ว
เศษจะเทา่ กับ P(c)
ทฤษฎบี ทตัวประกอบ (Factor Theorem)
ถา้ P(x) = an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0
โดยที่ n เปน็ จำนวนเตม็ บวก และ an , an-1 , an-2 , … , a1 , a0 เปน็ จำนวนเชิงซ้อน ซง่ึ
an 0 แล้ว
1. x – c เป็นตัวประกอบของ P(x) กต็ อ่ เมือ่ P(c ) = 0
2. ถา้ x – c เปน็ ตวั ประกอบของ P(x) แล้ว
ให้เรยี ก c วา่ “ เป็นรากของสมการพหุนาม P(x) = 0 ”
ทฤษฎบี ทตัวประกอบจำนวนตรรกยะ
ถา้ P(x) = an xn + an-1 xn-1 + an-2 xn-2 + … + a1x + a0 โดยที่ n เปน็ จำนวน
เต็มบวก และan , an-1 , an-2 , … , a1 , a0 เปน็ จำนวนเชงิ ซอ้ น ซง่ึ an 0 แล้ว
ถ้า x - k เปน็ ตัวประกอบของพหนุ าม P(x) โดยที่ m และ k เป็นจำนวนเต็ม ซง่ึ m
m
0 และ ห.ร.ม. ของ m และ k เทา่ กบั 1 แล้ว
m จะเปน็ ตัวประกอบของ an
k จะเป็นตัวประกอบของ a0
ตัวอยา่ งท่ี 1 จงหาเศษที่เหลือจากการหาร x3 – 3x2 + 2x + 1 ดว้ ย x – 1 และ x + 1
วธิ ที ำ ถา้ หาร P(x) = x3 – 3x2 + 2x + 1 ด้วย x – 1 และ x + 1 แลว้ เศษจะเท่ากับ
P(1) และ P(-1)
จะได้ P(1) = 1 – 3 + 2 + 1
=1
P(-1) = -1 – 3 - 2 + 1
= -5
ดังนน้ั เศษทเ่ี หลือจากการหาร x3 – 3x2 + 2x + 1 ด้วย x – 1 และ x + 1 คือ 1 และ -5 ตามลำดบั
ตวั อย่างท่ี 2 จงหาเซตคำตอบของสมการ 2x4 – x3 – 6x2 + 4x – 8 = 0
วธิ ที ำ ให้ P(x) = 2X4 – X3 - 6X2 + 4X – 8
เนอื่ งจาก P(2) = 32 – 8 – 24 + 8 – 8 = 0
P(-2) = 32 + 8 – 24 – 8 – 8 = 0
จะได้ 2x4 – x3 – 6x2 + 4x – 8 = (x – 2) (x + 2) (2x2 – x + 2)
นนั่ คอื (x – 2) (x + 2) (2x2 – x + 2) = 0
จะได้ x = 2 หรอื x = -2 หรอื 2x2 – x + 2 = 0
จาก 2x2 – x + 2 = 0
จะได้ x = 1+ 15i หรือ x = 1- 15i
4 4
ดังนน้ั เซตคำตอบของสมการคอื { 2, -2, 1+ 4 15i , 1- 15i }
4