บทที่ 2
แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เก่ียวข้อง
โครงการชัน้ วางรองเท้าท่ที ำจากไมอ้ ดั shoe show คณะผจู้ ดั ทำไดศ้ ึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ี
เกย่ี วขอ้ งต่างๆ เพ่ือเปน็ แนวทางในการดำเนินโครงการดังนี้
1. แนวคดิ เกย่ี วกับโครงงาน
2. แนวคดิ เกย่ี วกับไม้
3. แนวคดิ เกยี่ วกบั เฟอรน์ ิเจอร์
4. แนวคดิ เกยี่ วกบั การออกแบบ
5. งานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง
1. แนวคิดเก่ยี วกบั โครงงาน
ความหมายของโครงงานเพอ่ื พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ มีผู้ร้ไู ด้ใหค้ วามหมายของคําวา่ โครงงาน
ไว้ในหลายมมุ มอง ซึง่ ได้ประมวลมาให้ผ้เู รยี นได้ศกึ ษาดังนี้
“โครงงาน” คือ การเรียนรู้ที่เกิดจากความสนใจของผู้เรียนที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายๆ สิ่งที่สงสัยและต้องการคําตอบให้ลึกซึ้งชัดเจน หรือต้องการเรียนรู้ในเรื่อง
นัน้ ๆ ใหม้ ากขนึ้ กว่าเดมิ โดยใช้ความรหู้ ลายๆ ด้านและทักษะกระบวนการที่ต่อเน่ือง มกี ารวางแผนใน
การศึกษาและรบั ผดิ ชอบปฏบิ ตั ิตามแผนจนได้ขอ้ สรปุ หรอื ผลการศกึ ษา หรอื คาํ ตอบเก่ียวกับเร่อื งนน้ั ๆ
อย่างเป็นระบบ เร่อื งท่จี ะทำโครงงานควรเปน็ เรื่องที่ผู้เรยี นสนใจ และสอดคล้องตามสาระการเรียนรู้
ตามรายวิชาน้ัน (สำนักงานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตาม, 2553)
โครงงาน (project) จงึ เปน็ เสมอื นสะพานเชื่อมระหว่างผู้เรียนกบั หอ้ งเรียน และโลกภายนอก
ซึ่งผู้เรียนสามารถจะนําความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ได้ในชีวิตจริงของผู้เรียน ทั้งนี้เพราะว่า ผู้เรียนต้อง
นําเอาความรู้ที่ได้จากชั้นเรียนมาบูรณาการเข้ากับกิจกรรมที่จะกระท ำเพื่อนําไปสู่ความรู้ใหม่ๆ
ดว้ ยการสรา้ งความหมายการแกป้ ัญหา และการค้นพบดว้ ยตนเอง ผู้เรยี นตอ้ งสรา้ งและกำหนดความรู้
จากความคิดและแนวคิดที่มีอยู่และแนวคิดที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนความรู้ให้เป็น
เครือ่ งมือในการเรียนรู้สงิ่ ใหมต่ ามมมุ มองในทัศนะต่างๆ ทร่ี วบรวมมาให้ผู้เรียนได้ศึกษา จะเห็นได้ว่า
โครงงานเป็นวธิ แี สวงหาซ่ึงความร้ดู ้วยตนเองอกี หนทางหนึ่ง ซ่งึ มีคุณค่าแตกตา่ งไปจากการเรียนรู้ด้วย
วิธอี นื่ ๆ อยูบ่ ้าง โดยมขี ้อเดน่ ตรงท่เี ป็นการแสวงหาความรทู้ ีต่ อ้ งสมั ผัสด้วยตนเอง อยา่ งไรกต็ ามผู้เรยี น
ควรสรปุ ความหมายของคําวา่ โครงงานเพือ่ พฒั นาทักษะการเรียนรทู้ ีเ่ ป็นความเข้าใจของตัวทา่ นเอง
1. ประเภทของโครงงาน
สคุ นธ์ สินธพานนท์ (2558 : 118-119) ได้กลา่ วถึง ประเภทของโครงงานไว้ 4 โครงงาน ดงั น้ี
1. โครงงานสาํ รวจ จดั เป็นการรวบรวมขอ้ มลู ทีก่ าํ ลังศกึ ษา เพื่อนาํ มาพฒั นาหรือปรับปรงุ ให้ดี
ขน้ึ เช่น โครงงานสํารวจความคดิ เหน็ ในการพัฒนาโรงเรยี นหรอื สํารวจแหล่งวิทยาการในชมุ ชน
2. โครงงานประเภทหลักการ ทฤษฏี แนวความคดิ และการทดลอง จัดเปน็ การศึกษาค้นคว้า
โดยการแสวงหาข้อมูลจากแหล่วิทยาการ เช่น จากห้องสมุดหรือแหล่งประกอบการ
เพอื่ ฝกึ ฝนการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
3. โครงงานประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ โดยโครงงานประเภทนี้มจี ุดประสงคเ์ พ่ือเสรมิ สร้างความคิด
สร้างสรรค์จากการสังเกตวิเคราะห์ระบบการทำงานของสิ่งของเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ใน
ชีวติ ประจำวนั เชน่ โครงงานออกแบบบรรจภุ ัณฑ์ โครงงานสิง่ ระดษิ ฐท์ างอเิ ล็กทรอนิกส์ เปน็ ต้น
4. โครงงานพัฒนาชิ้นงาน จัดเป็นโครงงานที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดหรือพัฒนา
สิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพใช้ประโยชน์ให้ได้มากยิ่งขึ้น จุดประสงค์เพื่อเสริมสร้าง
ความคิดสร้างสรรค์จากการสังเกต การคิดวิเคราะห์ระบบการทำงานของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
เพอ่ื พัฒนาสร้างงานใหมจ่ ัดระบบงานใหม่
โดยการจาํ แนกประเภทของโครงงานอาจแบ่งได้หลายลกั ษณะ เชน่
1. จําแนกตามกิจกรรมการเรียนของผ้เู รยี น ซง่ึ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.1 โครงงานตามสาระการเรียนรู้เป็นการกำหนดโครงงานที่บูรณาการระหว่างสาระ
การเรียนรแู้ ละทักษะการแสวงหาความรเู้ พ่ือสรา้ งองคค์ วามรูใ้ หมๆ่ ด้วยตนเอง
1.2 โครงงานตามความสนใจ เปน็ การกำหนดโครงงานตามความถนดั ความสนใจ ความ
ต้องการของผ้เู รยี น
2. จาํ แนกตามวตั ถุประสงคข์ องโครงงาน ซง่ึ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
2.1 โครงงานที่เปน็ การสํารวจรวบรวมข้อมูล
2.2 โครงงานที่เป็นการศึกษาค้นคว้าทดลอง
2.3 โครงงานท่เี ปน็ การศึกษาทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ ในการพฒั นาผลงาน
2.4 โครงงานท่ีเป็นการสร้างประดษิ ฐค์ ิดค้น
โดยเราสามารถอธิบายรายละเอยี ดในแตล่ ะประเภท ได้ดังนี้
1. โครงงานที่เป็นการสํารวจรวบรวมข้อมูลเป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวม
ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนําขอ้ มูลนัน้ มาจาํ แนกเป็นหมวดหมู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ข้อมูลที่ได้จะ
นาํ ไปปรับปรงุ พฒั นาผลงาน สง่ เสรมิ ผลผลิตใหม้ ีคุณภาพดีย่งิ ข้ึน ขอ้ มูลดงั กล่าวอาจมีผู้จัดทําขึ้นแล้ว
แต่มีการเปลี่ยนแปลงจึงต้องมีการจัดทำใหมเ่ พือ่ ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้
ศึกษาโครงงาน โดยใช้วิธกี ารเก็บขอ้ มูลด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณแ์ บบบันทกึ เชน่ การสํารวจ
แหล่งเรียนรู้ในชุมชน การสํารวจงานบริการและสถานประกอบการในท้องถิ่น ในการทำโครงงาน
ประเภทสํารวจรวบรวมข้อมลู ไม่จำเป็นต้องมตี ัวแปรเข้ามาเก่ียวข้อง ผู้เรียนเพียงแตส่ ํารวจรวบรวม
ขอ้ มลู ทไ่ี ดแ้ ลว้ และนําข้อมูลทไ่ี ด้มาจัดให้เปน็ หมวดหมูพ่ รอ้ มนาํ เสนอ กถ็ อื ว่าเปน็ การสํารวจรวบรวม
ข้อมูล เป็นตน้
2. โครงงานท่ีเปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลอง เปน็ โครงงานที่มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื การศึกษาเรื่อง
ใดโดยเฉพาะ โดยศึกษาหลักการและออกแบบการค้นควา้ ในรูปแบบการทดลองเพือ่ ยนื ยันหลักการ
ทฤษฎีเพ่อื ศึกษาหาแนวทางในการเพมิ่ คณุ คา่ และการใช้ประโยชนใ์ ห้มากขน้ึ เชน่ การปลกู พืชโดยไม่
ใช้สารเคมีการทำขนมอบชนิดต่างๆ โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น การควบคุมการเจริญเติบโตของต้นไม้
ประเภทเถา การศึกษาสูตรเคร่ืองด่ืมทีผ่ ลิตจากธญั พชื
ในการทำโครงงานประเภทการศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง จำเปน็ ตอ้ งมกี ารจัดการกบั ตัวแปรที่จะมี
ผลตอ่ การทดลอง มี 3 ชนิด คอื
2.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอสิ ระ หมายถึงเหตขุ องการทดลองน้นั ๆ
2.2 ตัวแปรตาม ซ่ึงจะเป็นผลท่ีเกิดจากการเปลย่ี นแปลงของตัวแปรตน้
2.3 ตัวแปรแทรกซอ้ น (Extraneous Variables) เปน็ ตวั แปรอนื่ ๆ ทอี่ าจมีผลตอ่ ตัวแปรตาม
โดยผู้วจิ ยั ไมต่ ้องการใหเ้ กิดเหตุการณน์ นั้ ขนึ้
3. โครงงานที่เปน็ การศึกษาทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์
เพ่ือเสนอความรู้หรือหลกั การใหมๆ่ เกีย่ วกบั เรอื่ งใดเร่ืองหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยคิด หรือคิดขัดแย้งหรือ
ขยายจากของเดมิ ทีม่ อี ยู่จากเนอ้ื หาวิชาการหลักการทฤษฎตี า่ งๆ นํามาปรับปรงุ พฒั นาใหส้ อดคล้องมี
ความชัดเจนมีผลงานที่เป็นรูปธรรม ซึ่งต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการและเชื่อถือได้เช่น
การใช้สมุนไพรในการปราบศัตรูพืช การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการถนอมอาหารและปรุงอาหาร
เกษตรแบบผสมผสาน เทคนิคการแก้โจทย์ปัญหาการทำโครงงานประเภทนี้ผู้ทําโครงงานจะต้องมี
ความรู้ในเร่ืองน้ันๆ เป็นอยา่ งดีจะสามารถอธิบายไดอ้ ย่างมีเหตุผลและน่าเช่อื ถือ จึงไม่เหมาะที่จะทำ
ใหร้ ะดับผู้เรยี นมากนัก
4. โครงงานท่ีเป็นการสร้างประดิษฐ์คิดค้น เป็นโครงงานที่มีวัตถปุ ระสงค์คือ การนําความรู้
ทฤษฎีหลักการ มาประยุกต์ใช้โดยประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อประโยชน์ต่างๆ หรืออาจเป็น
การสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้นใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
เช่น การประดิษฐ์เครื่องควบคุมการรดน้ำ การประดิษฐ์เครื่องรับวิทยุการประดิษฐ์ของชำร่วย การ
ออกแบบเสื้อผา้
จากสาระสำคญั ของการจดั ประเภทโครงงาน ผู้เรยี นจะเหน็ ได้วา่ โครงงานอาจจาํ แนกประเภท
ได้หลายแนวคิด เช่น จําแนกตามกิจกรรมการเรียนรู้ของการจัดทำโครงงานเป็น 2 ประเภท คือ
1) โครงงานตามสาระการเรียนรู้ 2) โครงงานตามความสนใจ และจําแนกตามวัตถุประสงค์ในการ
จัดทำโครงงานเปน็ 4 ประเภท คือ 1) โครงงานทีเ่ ป็นการสาํ รวจรวบรวมขอ้ มูล หรือโครงงานประเภท
สํารวจ 2) โครงงานที่เป็นการศึกษาค้นคว้าทดลอง หรือโครงงานประเภททดลอง 3)โครงงานที่เป็น
การศึกษาทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ หรือโครงงานประเภทพัฒนา 4)โครงงานทีเป็นการสร้าง
ประดิษฐ์คดิ คน้ หรือโครงงานประเภทประดษิ ฐ์การเรียนรู้เรื่องประเภทของโครงงาน จะเปน็ ประโยชน์
ต่อผู้เรียนในการตัดสินใจออกแบบโครงงานให้สนองต่อวัตถุประสงค์ที่ต้อ งการจะศึกษา
ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
2. การพิจารณาเลอื กโครงงาน
การพิจารณาเลือกโครงงานสำหรบั การทำโครงงานประเภทต่างๆ มแี นวคดิ กวา้ งๆ ให้ผเู้ รียน
ไดใ้ ช้เป็นกรอบความคิดในการตัดสนิ ใจ พิจารณาเลอื กหัวข้อในการทำโครงงานจากเรอื่ งปัญหาใกลๆ้
ตัวเรื่องทีต่ อ่ ยอดจากบทเรยี นที่เรยี นมาแลว้ โดยมีวธิ กี ารคดิ ดงั นี้
1) ให้สงั เกตส่งิ แวดลอ้ มใกล้ตวั ท่เี ป็นปัญหา ในการสังเกตสงิ่ แวดลอ้ มทว่ั ไปรอบๆ ตวั ผู้เรียนที่
เปน็ ปญั หา เชน่ สง่ิ แวดลอ้ มในสถานศึกษาส่งิ แวดล้อมรอบบ้าน สงิ่ แวดล้อมทว่ั ไป เช่น ในสถานศึกษา
มีขยะเยอะ มีเศษไม้เศษหญ้า หรือวัสดุต่างๆ ที่ไม่สามารถนํากลับมาใช้ประโยชน์ได้แล้วคิดหาวิธใี ห้
สามารถนาํ กลบั มาใชใ้ ห้เกิดประโยชนอีกครง้ั
2) ใหส้ ํารวจปัญหาที่เกิดจากอาชพี ในชมุ ชนหรือท้องถิน่ ในการประกอบอาชีพในชุมชนหรือ
ท้องถิ่นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เช่น ปัญหาจากแมลงศัตรูพืชวัชพืชต่างๆ หาวิธีกําจัดศัตรูพืช
วัชพชื ตา่ งๆ หรือนาํ ส่ิงเหลา่ นัน้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือวธิ ใี นการเพิ่มจำนวนผลผลิตของอาชีพต่างๆ
หาวิธีในการลดคา่ ใช้จ่ายในการผลติ หาวิธีในการลดเวลา จำนวนต้นทนุ เป็นต้น
3) สํารวจปัญหาของอาชีพเสริม ในการสํารวจปัญหาจากการประกอบอาชีพเสริมของตัว
ผู้เรียนเอง ชุมชนหรือท้องถิ่นโดยการหาวิธีในการเพิ่มปริมาณ ผลผลิต คุณภาพของผลผลิต หรือ
ปรบั ปรุงวธิ ีการตา่ งๆ ให้มปี ระสิทธภิ าพยง่ิ ขึ้น เชน่ การเลีย้ งปลาสวยงาม ใหค้ ิดหาวธิ ใี นการทําให้ปลา
มสี สี วยโดยคดิ วิธีหาสูตรอาหาร วธิ ใี นการเพาะพันธุ์ปลาเปน็ ตน้
4) สํารวจความเชื่อของคนในชุมชนหรือท้องถิ่น ผู้เรียนสํารวจความเชื่อต่างๆ ของคนใน
ชุมชนทอ้ งถิน่ ซง่ึ เป็นภูมิปญั ญาชาวบา้ นทม่ี ีความเชื่อในเรื่องตา่ งๆ หรอื ท่เี คยปฏิบัติสบื ตอ่ ๆ กนั มา มา
พิสูจน์หาข้อเท็จจริงว่าที่คนในชุมชนท้องถิน่ กระทำนัน้ เป็นจริงหรือไม่ เช่น ความเชื่อในเรื่องฟันผุมี
สาเหตมุ าจากแมงกนิ ฟนั จริง หรอื ความเช่ือในเรอ่ื งห้ามหญิงมีครรภ์เย็บปกั ถักร้อยนํามาคิดหาแนวคิด
ในการทำโครงงาน
5) ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือตําราที่เกี่ยวข้องหรือหนังสือพิมพ์ ในการที่จะได้หัวข้อของ
โครงงาน การศึกษาหาความรู้จากหนงั สือหรอื ตําราท่ีเกี่ยวขอ้ งหรอื หนงั สือพิมพ์ที่ได้นําเสนอเก่ียวกับ
การทำโครงงาน ซึ่งเราจะนําแนวคิดต่างๆ ที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์นํามาดัดแปลงหรือคิดเป็นหัวขอ้
โครงงานได้
6) ชม ฟัง รายการวิทยุหรือโทรทัศน์ รายการวิทยุหรือโทรทัศน์หลายรายการ ได้นําเสนอ
เกี่ยวกับการทำโครงงานที่ไดจ้ ัดทำประสบความสำเร็จได้นํามาเสนอสูส่ ายตาบคุ คลทั่วไปโดยแนวคิด
ตา่ งๆ มาปรบั ปรุงเพอ่ื คิดเปน็ หวั ข้อโครงงานได้
7) ศกึ ษาจากนิทรรศการหรือโครงงานของผู้อนื่ ในการเข้าศึกษาดูงานจากนิทรรศการต่างๆ
ตามหนว่ ยงานหรือสถาบนั ทางการศกึ ษาได้จดั ขึ้น เชน่ ตามมหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ หรือหน่วยงานของทาง
ราชการหรือเอกชน จะมีการนําโครงงานประเภทตา่ งๆ เขา้ มาประกวดหรอื แขง่ ขนั แลว้ นําแนวคดิ ทีไ่ ด้
จากการศึกษามาปรับปรงุ คิดเปน็ หัวข้อโครงงานของเราได้
8) ผู้เรยี นสามารถสนทนาแลกเปล่ียนความรูจ้ ากผรู้ ู้หรือครูประจำกล่มุ ในเร่อื งทเ่ี ราสนใจเพ่ือ
หาแนวความคิดกว้างๆ หรือวิธีในการตัดสินใจในการเลือกคิดทำหัวข้อโครงงานการวางแผนทำตรง
งานและขน้ั ตอนกระบวนการทำโครงงานการทำโครงงานมขี ั้นตอนกระบวนการ ดังน้ี
1. การคิดและการเลือกหัวเรื่อง ผู้เรียนจะต้องคิดและเลือกหัวเรื่องของโครงงานด้วย
ตนเองว่าอยากจะศกึ ษาอะไร ทาํ ไมจึงอยากศึกษา หวั เรื่องของโครงงานมักจะได้มาจากปญั หา คําถาม
หรือความอยากรูอ้ ยากเหน็ เก่ยี วกับเร่ืองต่างๆ ของผู้เรยี นเอง หวั เรอ่ื งของโครงงานควรเฉพาะเจาะจง
และชดั เจนเมื่อใครได้อา่ นชื่อเรือ่ งแลว้ ควรเขา้ ใจและรเู้ รื่องวา่ โครงงานนที้ ำจากอะไรและควรคำนึงถึง
ประเด็นความเหมาะสมของระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียน วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้งบประมาณ
ระยะเวลา ความปลอดภยั และแหล่งความรู้ เป็นตน้
2. การวางแผนการทำโครงงาน จะรวมถงึ การเขยี นเค้าโครงของโครงงานซง่ึ ตอ้ งมีแนวคิด
ที่กำหนดไวล้ ว่ งหน้า เพอ่ื ให้การดำเนนิ การเปน็ ไปอย่างรดั กมุ และรอบคอบ ไม่สับสน แล้วนําเสนอต่อ
ครูประจำกลุม่ หรือครูที่ปรกึ ษา เพอ่ื ขอความเหน็ ชอบกอ่ นดำเนินการขน้ั ตอ่ ไป การเขียนเค้าโครงของ
โครงงานโดยทวั่ ไปเขียนเพ่ือแสดงแนวคดิ แผนงาน และขน้ั ตอนการทำโครงงาน ซึ่งควรประกอบด้วย
หัวข้อต่อไปนี้
2.1 ชื่อโครงงาน: เป็นชื่อเรื่องที่ผู้เรียนจะทำการศึกษาค้นคว้า เพื่อหาคําตอบหรือหา
แนวทางในการแก้ปัญหา การตั้งชื่อเรื่อง ควรสื่อความหมายให้ได้ว่าเป็นโครงงานที่จะทำอะไร
เพ่ือใคร/อะไร ควรเป็นขอ้ ความทีก่ ะทดั รดั ชัดเจนสือ่ ความหมายได้ตรง
2.2 ช่ือผ้ทู ําโครงงาน: เป็นการระบุชื่อของผู้ทําโครงงาน ถา้ เป็นโครงงานกลุม่ ให้ระบชุ ื่อผู้ทํา
โครงงานทุกคน พร้อมเขียนรายละเอียดงานหรอื หน้าท่ีความรับผิดชอบ ในการทำโครงงานของแต่ละ
คนให้ชดั เจน
2.3 ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน: เป็นการระบุชื่อผู้ที่ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนําในการทำ
โครงงานของผู้เรียน
2.4 หลักการและเหตุผลของโครงงาน: เป็นการอธบิ ายวา่ เหตุใดจงึ เลอื กทำโครงงานเรื่องนี้
มีความสำคัญอย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ทำเป็นเรื่องใหม่ หรือมีผู้อื่นได้
ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว ถ้ามีได้ผลอย่างไร เรื่องที่ทำได้ขยายผลเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องที่
ผอู้ ื่นทำไว้อยา่ งไรหรือเป็นการทำซ้ำเพอ่ื ตรวจสอบผล
2.5) วิธีดําเนินงานและขั้นตอนการดําเนินงาน: เป็นการเขียนให้เห็นขั้นตอนของการทำ
โครงงานตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการทำงาน โดยเขียนให้ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรทำเมื่อไหร่ ที่ไหน
ให้ละเอียดทกุ ขน้ั ตอนและกิจกรรม
2.6) แผนปฏิบัติงาน: เป็นการนําขั้นตอนการทำโครงงานมาเขียนในรูปของปฏิทินตาราง
กำหนดการทำงานในแต่ละขัน้ ตอน
2.7) ผลที่คาดว่าจะได้รับ: เป็นการเขียนให้เห็นถึงประโยชน์และผลที่คาดว่าจะได้รับจาก
การทำโครงงาน โดยให้ระบุวา่ จะเกดิ ประโยชนแ์ กใ่ ครเกดิ ขน้ึ อย่างไร ท้ังโดยทางตรงหรอื ทางอ้อมและ
ผลทค่ี าดวา่ จะได้รับจะต้องสอดคล้องกบั จุดมุ่งหมายหรอื วัตถปุ ระสงค์
2.8) เอกสารอ้างอิง: รายชื่อเอกสารที่นํามาอ้างองิ เพือ่ ประกอบการทำโครงงาน ตลอดจน
การเขียนรายงานการทำโครงงาน ควรเขียนตามหลกั การทนี่ ิยมโครงงานเปน็ การศึกษาคน้ คว้าเกยี่ วกับ
สิ ่ ง ใ ด สิ ่ ง ห น ึ ่ ง ห ร ื อ ห ลา ย ๆ สิ ่ ง ท ี ่ อ ย า ก ร ู ้ ค ำ ต อ บ ใ ห ้ ลึ ก ซ ึ ้ ง ห ร ื อ เ ร ี ย น ร ู ้ ใ น เ ร ื ่ อ ง น ั ้ น ๆ ใ ห ้ ม า ก ขึ้ น
โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอยา่ งมีระบบเป็นขั้นตอนมีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด
ปฏิบัติงานตามแผนทว่ี างไว้จนได้ข้อสรุปหรอื ผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรอ่ื งนนั้ ๆ การจัดการเรียนรู้แบบ
โครงงานเปน็ ฐาน เป็นวธิ ีการจัดการเรียนรู้ทีย่ ึดผู้เรียนเปน็ สำคญั ที่จะชว่ ยพัฒนาผูเ้ รียนท้ังด้านความรู้
และทกั ษะผ่านการทำงานท่ีมีการค้นคว้าและการใชค้ วามรู้ในชีวิตจริง โดยมตี วั ผลงานและพฤติกรรม
การแสดงออกถึงศักยภาพจากการเรียนร้กู ารเรียนรู้ด้วยโครงการจะถกู ขับเคลอ่ื นโดยมีคำถามเป็นตัว
เชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานการเรียนรู้สู่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง (ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนา
อาชีวศกึ ษาภาคเหนอื , 2559)
วัฒนา รตั นพรหม (2560: 19-20) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการทำโครงงานไว้ ดังน้ี
ขั้นตอนที่ 1 การคิดและเลือกหัวเรื่อง เป็นการหาหัวข้อในการทดลองในการที่จะ
อยากรูอ้ ยากเห็น
ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการขอคำปรึกษาหรือข้อมูลต่างๆจาก
ผู้ทรงคณุ วุฒทิ ีเ่ กย่ี วขอ้ ง
ขั้นตอนที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงานโดยทั่วไปเค้าโครงของโครงงานจะมีหัวข้อ
ดังต่อไปน้ี โดยหัวข้อ/รายการ รายละเอียดที่ต้องระบุ ได้แก่ 1) ชื่อโครงงาน 2) ชื่อผู้ทำโครงงาน
3) ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4) ระยะเวลาดำเนินการ 5) หลักการและเหตุผล 6) จุดหมาย/วัตถุประสงค์
7) สมมติฐานของการศึกษาโครงงาน 8) ขั้นตอนการดำเนินงาน 9) ปฏิบัติโครงงาน 10) ผลที่คาดว่า
จะได้รบั 11) บรรณานกุ รม
ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติโครงงาน เป็นการดำเนินงานตามแผนที่ได้กำหนดไว้ในเค้าโครงของ
โครงงาน และต้องมกี ารจดบันทึกข้อมูลต่างๆได้อย่างละเอียดและต้องจัดทำอย่างเป็นระบบระเบียบ
เพ่อื ทจี่ ะไดใ้ ชเ้ ป็นขอ้ มูลตอ่ ไป
ขั้นตอนที่ 5 การเขียนรายงาน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน และครอบคลุม
ประเด็นสำคัญของโครงงานโดยสามารถเขียนให้อยู่ในรูปต่างๆ เช่น การสรุปและรายงานผล
ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยหวั ขอ้ ต่างๆ เชน่ บทคดั ย่อ บทนำ เอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ ง เปน็ ต้น
ขั้นตอนที่ 6 การแสดงผล การแสดงผลงาน เป็นการนำเสนอผลงาน สามารถจัดได้หลาย
รูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ หรือทำเป็นสิ่งตีพิมพ์ การสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อนตามแต่ความ
เหมาะสมของโครงงาน
3. การเรยี นรู้แบบโครงงาน (Project Learning)
การเรียนรู้แบบโครงงาน คือ การจัดให้นักศึกษารวมกลุ่มกั นทำกิจกรรมร่วมกัน
โดยมจี ดุ มุง่ หมายในการศึกษาหาความรหู้ รือทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึง่ ตามความสนใจของนักศึกษา
การเรียนรู้แบบโครงงานนี้ จึงมุ่งตอบสนองความสนใจ ความกระตือรือร้น และความใฝ่เรียนรู้ของ
ผู้เรียนเอง ในการแสวงหาข้อมูล ความรู้ต่างๆ เพื่อทำโครงงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จตาม
จุดมุ่งหมายของโครงงาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Project Centered
Learning) ซึ่งหมายถงึ การกระทำกจิ กรรมรว่ มกัน ช่วยเหลือกนั ในการแก้ปัญหาที่เกดิ ข้ึนภายในกลุ่ม
ด้วยวิธีการปฏิบัติจริง เพื่อการเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา ซึ่งนําไปสู่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์
แสวงหาข้อมูลและแนวทางในการแก้ปัญหาเหล่านั้น การเรียนรู้แบบโครงงานอาจมีชื่อเรียกอื่นที่มี
ความหมายเดียวกัน ได้แก่ การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน การเรียนรู้แบบโครงการ การเรียนรู้
โดยใชโ้ ครงงานเป็นศนู ย์กลางการเรียนรู้ในเร่อื งความหมาย ได้มีผ้กู ล่าวถึงไว้หลายคน เช่น การเรียนรู้
แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญต่อผู้เรียน ในการเลือกเรียนสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
ทัง้ เนอื้ หาวธิ กี าร โดยมีครเู ป็นผูค้ อยอํานวยความสะดวก ชว่ ยเหลือใหผ้ ู้เรยี นได้ประสบความสำเร็จใน
การเรยี น ท้งั ในแงข่ องความร้ดู ้านวิชาการ และความรู้ทีใ่ ชใ้ นการดำเนินชวี ิตและการทำงานในอนาคต
เป็นผู้ที่มีความสมดุลทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย ปัญญา อารมณ์และสังคมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้
ผเู้ รียนได้เรียนเรอื่ งการจัดทำโครงงานนัน้ นอกจากจะมีคณุ ค่าทางด้านการฝึกให้ผู้เรียนมีความรู้ความ
ชํานาญและมีความมั่นใจในการนําเอาวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในการแก้ปัญหาหรือค้นควา้ หาความรู้ตา่ งๆ
ดว้ ยตนเองแลว้ ยงั ใหค้ ณุ คา่ อื่นๆ คอื
1) รจู้ ักตอบปัญหาโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไมเ่ ป็นคนทหี่ ลงเช่ืองมงายไรเ้ หตุผล
2) ได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจ ได้อย่างลึกซึ้งกว่าการจัดกิจกรรม
การเรยี นรขู้ องครู
3) ทำให้ผเู้ รยี นไดแ้ สดงออกถึงความสามารถพิเศษของตนเอง
4) ทำใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสนใจเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้น้นั ๆ มากยิง่ ขึ้น
5) ผเู้ รยี นไดใ้ ช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
โดยการเรยี นร้โู ดยใชโ้ ครงงาน สามารถชว่ ยให้ผเู้ รียนไดฝ้ กึ ทักษะสำคญั ๆ ดงั นี้
1) สัมพนั ธภาพระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal skill)
2) การแกป้ ัญหาและความขัดแยง้ (Conflict resolution)
3) ความสามารถในการถกเถยี งเจรจาเพ่ือนําไปสูก่ ารตัดสนิ ใจ (Consensus on decision)
4) เทคนิคการตดิ ตอ่ สื่อสารระหวา่ งบุคคลท่ีมีประสิทธภิ าพ (Effective interpersonal
Communication techniques)
5) การจดั การและการบริหารเวลา (Time management)
6) เตรียมผเู้ รียนเพือ่ จะออกไปทำงานรวมกับผ้อู นื่
6.1) ทกั ษะในแง่ความรู้เก่ยี วกับความสามารถในการควบคมุ จติ ใจและควบคมุ ตนเอง
(Discipline knowledge)
6.2) ทักษะเก่ยี วกบั กระบวนการกลมุ่ (Group-process skill)
7) ช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้มากขึ้น มีมุมมองหลากหลาย (Multi perspective) ซึ่งจะ
นําไปสู่ความสามารถทางสติปญั ญา การรับรู้ความเข้าใจ การจดจํา และความสามารถในการทำงาน
รว่ มกับผู้อืน่ ไดด้ ียิง่ ขน้ึ
8) เพิ่มความสามารถในการเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งนําไปสู่ความสามารถในการคิด
วิเคราะหแ์ ละทักษะการสอื่ สาร (Critical thinking and Communication skill) (Freeman, 1995)
9) ช่วยสนับสนุนการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม จากการเรียนรู้จากประสบการณ์
(Experiential learning) (Kolb, 1984)
10) การเรียนแบบโครงงานช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้แบบร่วมมอื กัน (Cooperative learning)
ในกลุ่มของผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนจะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในการเรียน โดยอาศัย
กระบวนการกลุ่ม (group dynamic)
แคทซ์และชาร์ด (Katz and Chard, 2000:119-123) กล่าวถึงการสอนแบบโครงงานวา่
วธิ กี ารสอนนี้มีจุดมุ่งหมายทีจ่ ะพฒั นาผเู้ รยี นทั้งชวี ิตและจิตใจ (Mind) ซ่ึงชีวติ จิตใจในท่ีนี้หมายรวมถึง
ความรู้ทักษะอารมณ์จริยธรรมและความรู้สึกถึงสุนทรียศาสตร์และได้เสนอว่าการจัดการเรียนการ
สอนโดยใชก้ ารสอนแบบโครงงานวา่ ควรมเี ปา้ หมายหลัก 5 ประการ คอื
1) เป้าหมายทางสติปัญญาและเป้าหมายทางจิตใจของผู้เรียน (Intellectual Goals and
the Life of the Mind) คอื การจดั การเรยี นการสอนแบบเตรยี มความพรอ้ ม มงุ่ ให้ผูเ้ รียนมปี ฏสิ มั พนั ธ์
กับสิ่งแวดล้อมอย่างหลากหลาย และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัวผู้เรียนควรจะได้เข้าใจ
ประสบการณแ์ ละสิ่งแวดล้อมรอบตวั อย่างลึกซึง้ ดงั น้นั เปา้ หมายหลกั ของการเรียนระดับนี้จึงเป็นการ
ม่งุ ให้ผูเ้ รียนพฒั นาความร้คู วามเข้าใจโลกที่อยรู่ อบๆ ตัวเขา และปลูกฝงั คณุ ลกั ษณะการอยากรู้อยาก
เรียนใหก้ บั ผ้เู รียน
2) ความสมดุลของกจิ กรรม (Balance of Activities) การสอนแบบโครงงานจะทำให้ผู้เรียน
ได้ปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมทั้งกิจกรรมทางวิชาการ ใช้กิจกรรมเป็นสื่อทำให้เกิดการเรียนรู้เปิด
โอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมค้นหาความรู้เป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์กับ
สง่ิ แวดลอ้ มต่างๆ ทอ่ี ยรู่ อบตวั
3) สถานศกึ ษาคอื สว่ นหน่ึงของชีวิต (School as Life) การเรียนการสอนในสถานศึกษาต้อง
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้เรียนไม่ใช่แยกออกจากชีวิตประจำวนั โดยทั่วไป กิจกรรมในสถานศึกษาจงึ
ควรเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตปกติการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบๆ
ตวั ผู้เรียน
4) ศกร.เป็นชุมชนหนึ่งของผู้เรียน ( Community Ethos in the Class) ทุกคนมี
ลักษณะเฉพาะตัวการสอนแบบโครงงานเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะ
ความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อของเขา ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนี้จึงเกิดการแลกเปลี่ยน
การมปี ฏิสมั พนั ธ์กนั อยา่ งลกึ ซึ้งผเู้ รียนไดเ้ รยี นรคู้ วามแตกต่างของตนกับเพื่อนๆ
5) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ท้าทายครู (Teaching as a Challenge) ในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ครูไม่ใชผ่ ู้ถา่ ยทอดความรู้ให้กับผู้เรียน แต่เปน็ ผู้คอยกระตุ้น ชี้แนะ
และใหค้ วามสะดวกในการเรียนร้ขู องผู้เรยี น โครงงานบางโครงงานครเู รียนร้ไู ปพรอ้ มๆ กับผ้เู รียน ครู
รว่ มกนั คิดหาวิธแี ก้ปัญหา ลงมอื ปฏิบัติไปดว้ ยกนั ถอื เป็นการเรยี นรู้รว่ มกัน
จากขอ้ สรุปขา้ งต้น สามารถอธบิ ายการจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐานเปน็ การเรียนรู้ที่
เชอื่ มโยงหลักการพฒั นาการคดิ แบบบลูม (Blom) ทงั้ 6 ขน้ั คอื ความรคู้ วามจํา (Knowledge) ความ
เข้าใจ (Comprehension) การนําไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์
(Synthesis) การประเมินค่า (Evaluation) และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่การวางแผนการ
เรียนรกู้ ารออกแบบการเรียนรกู้ ารสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงานโดยผู้สอนมี
บทบาทเปน็ ผู้จัดการเรียนรู้
2. แนวคิดเก่ียวกับไม้ความรู้เรื่องการใชไ้ ม้
ไม้ (wood) เป็นผลิตผลซึ่งยิ่งใหญ่จากธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบ ที่มีค่า ในสมัยโบราณนั้น มนุษย์ใช้ไม้
เป็นทอ่ี ยู่อาศัย ใชไ้ ม้ทำให้ เกิดไฟโดยการเสียดสี ใชไ้ มเ้ ปน็ เช้ือเพลิง ใชเ้ ปน็ ด้ามอาวธุ ฯลฯ ต่อมาเม่ือ
มนุษย์เจริญขึ้น ได้ใช้ประโยชน์ของไม้กว้างขวาง ออกไปอีกมาก เช่น การก่อสร้างบ้านเรือนอย่าง
สวยงาม ใช้ทำครัวเรือน ใช้ในการตอ่ เรอื ทำไม้หมอนรางรถไฟ ทำกระดาษ ทำเชอื้ เพลงิ
โดยปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเคมีได้
เจริญก้าวหน้าไปอีกมาก ทำให้ยิ่งสามารถใช้ประโยชน์จากไม้ได้มากขึ้นอีกมาก เช่น ใช้ในการทำ
ส่วนผสมของดินระเบิด สกัดยารักษาโรคจากไม้ ทำพลาสติก ทำสิ่งทอต่างๆ เช่น ทำผ้าไหมเทียม
เปน็ ต้น
2.1 เทคนคิ การเลือกใชไ้ มช้ นดิ ต่างๆ ให้เหมาะกับประโยชน์การใช้งาน
ไมเ้ ป็นวสั ดปุ ระเภท anisoropic คอื แตล่ ะด้านของไม้จะมีคุณสมบัตแิ ตกตา่ งกันดา้ นต่างๆ ของไม้
อยู่ 4 ดา้ น คือ (1) ด้านยาว เปน็ ดา้ นท่ยี าวตามความยาวของไมท้ อ่ น (2) ดา้ นรัศมเี ป็นดา้ นท่ีขนานกับ
แนวเส้นรศั มีที่ลากจากใจไม้ไปยังเปลือกไม้ และขาวไปตามความยาวของไม้ท่อน (3) ด้านสัมผัสเปน็
ด้านทตี่ งั้ ได้ฉากกบั ด้านรัศมี และขาวไปตามความยาวของไม้ท่อนหรือดา้ นที่เห็นเมอื่ เอาเปลือกไม้ของ
ไม้ท่อนออก (4) ด้านหน้าตัด คือ ด้านที่ตั้งได้ฉากกับด้านทั้ง 3 ดังกล่าว หรือเป็นด้านท่ีเห็นทางด้าน
ปลายทั้ง 2 ของไม้ท่อน เมื่อดูทางค้านต่างๆ ของไม้น้ี จะเห็นเซลล์ที่ประกอบเป็นเนื้อไม้มีลักษณะ
แตกตา่ งกนั ท้ังทเ่ี ปน็ เซลล์ชนิดเดยี วกนั
1. ชนิดของไม้
1.1 ลกั ษณะเน้ือไม้ ไดแ้ ก่
- ไม้เนอื้ ออ่ น ไดแ้ ก่ ไม้ท่มี เี นอื้ ค่อนข้างเหนยี ว ทำการเลอ่ื ย ไสกบ ตกแต่งไดง้ ่าย ลักษณะเน้ือ
มีสีซดี จาง น้ำหนกั เบา ขาดความแขง็ แรงทนทาน รับน้ำหนกั ได้ไมด่ ี
- ไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้ที่มีวงปมี ากกวา่ ไม้เนื้ออ่อน เพราะมีการเจริญเติบโตช้ากว่า โดยเฉลี่ยมี
อายุหลายสิบปี จึงจะนำมาใชง้ านได้ ลักษณะทั่วไปของไมเ้ นื้อแข็ง ผิวสัมผัสของเน้ือไม้จะมีความมนั
ลวดลายละเอยี ด เนื้อแน่น สีเข้ม (แดงถึงดำ) มีน้ำหนกั มาก แข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับงานปูพ้ืน
งานเฟอรน์ เิ จอร์ และงานโครงสรา้ งไม้
- ไมเ้ น้อื แกรง่ เปน็ ไม้ท่มี กี ารเจริญเติบโตชา้ มากทีส่ ุด จึงทำให้มีวงปถี ม่ี ากกวา่ ไม้สองชนิดแรก
โดยมอี ายเุ ฉลีย่ ไมน่ ้อยกว่า 60-70 ปีข้นึ ไป จงึ จะนำมาใชง้ านได้ เนือ้ ไม้มีสเี ขม้ คอ่ นข้างแดง นำ้ หนักไม่
มากแตแ่ ขง็ กว่าไมเ้ นื้อแข็ง ไม้ท่จี ดั อยู่ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นไม้ที่ใช้ในงานโครงสร้างเป็นหลัก อาทิ
พ้ืน คาน ตง ขอ่ื และเสา
1.2 ไม้ฉำฉา
ลักษณะคุณสมบัติ ไม้เนื้อหยาบไม่แน่นมีสีค่อนข้างจาง (ขาว) มีลวดลายสวยงาม มีน้ำหนกั
เบา จัดอยู่ในประเภทไม้เนื้ออ่อน ทำการเลื่อย ผ่า ไสกบ ตกแต่งชักเงาได้ง่าย ประโยชน์ ใช้ทำลัง
กลอ่ งใสว่ ัสดอุ ปุ กรณ์ เครื่องมอื ตา่ ง ๆ ปจั จบุ ันนยิ มนำมาใช้ ทำเครือ่ งเรอื น เครอ่ื งใชต้ ่างๆ หรือเพ่ือใช้
ตกแต่งตา่ งๆ
ข้อดี (Benefit)
1. เป็นวัสดทุ ี่หาได้ง่าย เพราะไมจ้ ามจรุ ีเปน็ ไมย้ นื ตน้ ทป่ี ลูกงา่ ย โตไว ทำให้มรี าคาไม่แพง
2. มนี ้ำหนกั เบา ขนย้ายงา่ ย เหมาะกบั การทำเฟอร์นเิ จอรแ์ ละทำของตกแต่งภายในบา้ น
3. มลี วดลายสวยงาม กล่าวคือ ตวั เน้ือไมจ้ ามจรุ ี วงนอกของเนอื้ ไมจ้ ะมีสีขาวเหลือง วงในที่เป็น
แก่นมสี ีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ทำใหเ้ กิดลวดลายเดน่ ชัดสวยงาม เม่อื ขดั ตกแต่งจะมีข้ึนเงาแวว
วาว จงึ นยิ มแปรรปู ไมจ้ ามจรุ เี ปน็ แผ่นใหญ่ ทม่ี หี นา้ ใหญ่และยาวโดยเป็นไม้ชน้ิ เดียวกันและมี
ช้ินเดียวในโลกเพราะลวดลายทถ่ี กู รงั สรรคจ์ ากธรรมชาตจิ ะไมม่ ีวันซ้ำกนั ได้
4. เหมาะกบั การแกะสลัก เพราะเปน็ ไม้เนื้ออ่อนที่มีลวดลายโดดเด่น ทำให้นิยมนำไปเกาะสลัก
เป็นของตกแต่งบ้าน
5. มีความทนทานพอสมควร หากใช้งานในร่มที่ไม่ต้องตากแดดตากฝน ก็สามารถอยู่คงทนได้
ยาวนานนับสิบปี
6. ไม้จัดอยู่ในประเภทไม้หวงห้ามตามกฎหมาย จึงสามารถขนย้ายได้โดยไม่ต้องขอรับอนุญาต
หรอื ขอหนังสอื รบั รองการนำเคล่ือนยา้ ย
ข้อเสยี (Disadvantage)
1. ไม่เหมาะกับการใช้งานภายนอก เพราะไม้จามจุรีไม่ทนแดดทนฝน แต่สามารถใช้งานนอก
บ้านทม่ี หี ลังคาหรือรม่ เงาได้
2. เนอ้ื ไมแ้ ตกไดง้ า่ ย เพราะเน้อื ไม้จามจุรีมีความช้นื ค่อนข้างมาก มักทำให้เกิดปัญหาไม้แตกใน
ระหวา่ งการแกะสลักหรอื หลังจากแกะสลกั เป็นผลิตภณั ฑแ์ ล้ว
1.3 ไม้สัก
ลักษณะคุณสมบัติ เป็นไม้ที่มีคุณภาพดีที่สุด นอกจากความแข็งแรงอย่างเดียวเท่านั้นที่มี
น้อยไปหน่อย แต่ก็แข็งแรงพอทีจ่ ะใช้ได้ เป็นไม้สูงขนาดใหญ่ จะทำการโคนไม้อายุประมาณ 150 ปี
เป็นไม้ที่ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณ เนื้อไม้มีสีเหลืองนานเข้าจะกลายเป็นสีน้ำตาลแก่
มีกลิ่นหอม มีน้ำมันในตัว มีเสี้ยนตรง เนื้อหยาบไม่สม่ำเสมอกัน กรำแดดกรำฝนไม่ค่อยผุง่าย
หดตัวน้อย ไม่มีอาการบดิ หรือแตกร้าว มอดปลวกไม่คอ่ ยรบกวน เมื่อเลื่อยออกจะเห็นลายได้ชัดเจน
เลื่อย ผ่า ไสกบ ตกแต่ง ชักเงาได้ง่าย เป็นไม้ทีผ่ ึ่งให้แห้งได้รวดเร็ว น้ำหนักต่อลูกบาศก์ฟุตประมาณ
35 – 45 ปอนด์ ยังแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ สักทอง สักหิน สักขี้ควาย ไม้สักทองมีลวดลายสวยงามมาก
ปจั จุบันมีราคาค่อนข้างแพง ประโยชนใ์ ช้ในการสร้างสิง่ ทต่ี ้องทำอย่างประณีต ตอ้ งการความสวยงาม
และ ทนทานต้องรับน้ำหนักหรือต้านทานมาก เช่น ทำประตู หน้าต่าง วัสดุเครื่องใช้ เครื่องเรือน
ตา่ งๆ และยงั เป็นสินค้าออกทีท่ ำรายได้ปีละไม่น้อยทีเดียว
ข้อดี (Benefit)
1. ไม้สกั มีความแขง็ แรงทนทาน แตเ่ นื้อไม้กย็ งั มีความนิ่มสามารถแปรรูปได้ง่าย
2. ไม้สักเปน็ วัสดุท่มี คี ณุ ภาพดี ใหผ้ ิวสัมผสั ทีล่ ะเอียดสวยงาม
3. ไม้สัก ปลวกไม่ชอบกิน เพราะไม้สักที่มีอายุมากๆจะผลิตน้ำมันสักที่ปลวก และแมลง
ต่างๆไม่ชอบออกมา (นอกจากพื้นไม้สัก ที่ทำมาจากไม้สักป่าปลูกจึงจะไม่สามารถผลิต
นำ้ มนั สกั ได้)
4. ไมส้ กั ย่ิงเกา่ ยิ่งมีคณุ ค่าเพิ่มมากข้นึ
ขอ้ เสยี (Disadvantage)
1. พนื้ ผิวไมส้ กั จะเปน็ รอยขีดขว่ นได้ง่าย
2. ไมส้ กั ที่มอี ายุมาก ก็จะยิ่งมีราคาสูงตามไปดว้ ย
3. ไมส้ ักจะบดิ ตวั และงอตัวเลก็ น้อยตามสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศทร่ี อ้ นแห้งมากๆ
ชา่ งฝมี ือทม่ี คี วามชำนาญในงานไม้ โดยเฉพาะงานไมส้ กั ในปัจจบุ ันนัน้ หายาก ถ้าหากได้ช่างไม่ดีอาจจะ
เสียคา่ ใช้จา่ ยทเี่ พมิ่ ข้ึนเทา่ ตวั
1.4 ไม้ยาง คือ ลักษณะและคุณสมบตั เิ ป็นไมเ้ น้ืออ่อนและหยาบ มสี ีนำ้ ตาลปนแดง ใชใ้ นที่ร่ม
ทนทานพอใช้ แห่งช้า ยืดหดง่าย เลื่อยผ่าง่าย บิดงอตามดินฟ้าอากาศ ถ้าไสตอนไม้ สด ๆ อยู่จะไม้
เรียบดีนัก เสี้ยนมักจะฉีกติดกันเป็นขุยออกมา ทำให้ขัดหรือทาน้ำมันไม่ค่อยดี ใช้ในการสร้างรับ
น้ำหนักมาก ๆ ไมไ่ ด้ ใช้ในท่ตี ้องการกรำแดดกรำฝนมากไม่ได้นอกจากจะทาสนี ำ้ มันป้องกนั ไว้ นำ้ หนกั
ต่อ 1 ลูกบาศก์ฟตุ ประมาณ 40-50 ปอนด์ ประโยชน์ ใช้ทำบ้านเรือน เครื่องเรอื นเฉพาะที่มีราคาถกู
ๆ สร้างบ้านใชท้ ำ ฝา ฝ้า หรอื สว่ น ทไี่ ม่ตอ้ งรับน้ำหนกั นยิ มใชก้ นั เพราะราคาถูก หางา่ ย
1.5 ไม้เนื้อแข็ง ได้แก่ ไม้ที่มีเนื้อแข็งปานกลาง ทำการเลื่อย ไสกบ ตกแต่งได้ยาก ลักษณะ
เนื้อไม้มีสีเข้มค่อน ไปทางสีแดง มีความแข็งแรงทนทาน เช่น ไม้ตะเคียน ไม้ชิงชัน ไม้เต็ง
และไม้มะม่วง เป็นต้น
1.6 ไมเ้ ต็ง
ลกั ษณะคุณสมบัตเิ ปน็ ไม้ขนาดใหญ่มอี ยู่ทั่วไป เมอื่ เลอ่ื ยไสแล้วระยะแรกจะเปน็ สีน้ำตาลอ่อน
ทิ้งไว้นานจะเป็นสีน้ำตาลแก่แกมแดง เสี้ยนหยาบสับสน ทำให้ไสกบตกแต่งได้ยาก แต่ไม้แข็งและ
เหนียว เหมาะแก่การสร้างส่วนที่รับน้ำหนกั ได้ดี มีความแข็งแรงทนทานดีมาก ทนต่อการใชก้ รำแดด
กรำฝน เนื้อไม้มกั จะมีรอยร้าวเป็นเส้นผมปรากฏหัวไม้มักแตกเก่ง ฉะนั้นไม้เต็งจึงมักจะไม่ค่อยใช้ใน
การสร้างสิ่งประณีต น้ำหนัก 1 ลูกบาศก์ฟุตประมาณ 60 - 70 ปอนด์ ประโยชน์ใชก้ ับงานตรากตรำ
ต้องการความแข็งแรงทนทาน เช่น ทำเก้าอี้นวม เก้าอี้ ชิงช้า สะพาน หมอนรางรถไฟใช้ในการสร้าง
บา้ นเรอื นทต่ี ้องรบั น้ำหนกั มากๆ เช่น ตง คาน กระดานพน้ื ไมโ้ ครงหลงั คา และด้ามเครื่องมือกสกิ รรม
ข้อดี (Benefit)
1. ไม้เตง็ มีความคงทนแขง็ แรง รับนำ้ หนักไดด้ ี
2. ไม้เตง็ ทนตอ่ สภาพอาอาศไดด้ กี ว่าไมช้ นิดอืน่ ๆ จงึ สามารถนำไปใช้ภายนอกอาคารได้
3. ไมเ้ ตง็ มีอตั ราการบิดตวั หรอื โก่งตัวเม่ือโดนนำ้ และความช้ืนค่อนข้างต่ำ
4. ไมเ้ ต็ง มปี ัญหาเร่อื งปลวก และแมลงคอ่ นข้างน้อยกวา่ ไม้ชนดิ อืน่ ๆ
ขอ้ เสีย (Disadvantage)
1. พน้ื ผิวของไม้เตง็ ค่อนขา้ งหยาบ และลวดลายไมส่ วยงามเท่ากับไม้ชนดิ อนื่ ๆ
2. ไมเ้ ต็งเปน็ ไมเ้ นอื้ แขง็ จงึ ทำให้ตดั แตง่ และลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้คอ่ นขา้ งยาก
3. ถา้ หากนำไปทำสี แล้วทำไมค่ อ่ ยดี จะทำใหส้ ีแตกลอกล่อนค่อนข้างเร็ว
1.7 ไมแ้ ดง
คุณลักษณะและคุณสมบตั ิ แดง หรือกร้วม คว้าย เป็นไม้ประเภทเนื้อแขง็ มีลำต้นขนาดใหญ่
ขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าเบญจพรรณ เนื้อไม้มีสีแดงเรื่อๆหรือสีน้ำตาลแกมแดง เสี้ยนเป็นลูกคลื่น ละเอียด
พอประมาณ แข็ง เหนยี ว มีความแข็งแรงทนทาน มลี ายสวยงาม ทำการเลอ่ื ย ไสกบ ตกแตง่ ตอกตะปู
ได้ยาก เมอื่ ทำเสรจ็ แลว้ มีความเรียบรอ้ ยสวยงามชักเงาได้ดีมีน้ำหนกั ต่อ 1 ลูกบาศกฟ์ ุตประมาณ 55 -
65 ปอนด์ ประโยชน์ ใชใ้ นการกอ่ สร้างอาคารบา้ นเรอื น เช่น ทำ เสา ข่อื คานตง กระดานพื้น สะพาน
เกวียน เรอื หมอนรถไฟ เคร่อื งเรอื น เครอ่ื งมอื ทางกสกิ รรม ดา้ มเคร่อื งมอื ต่างๆเป็นต้น
ขอ้ ดี (Benefit)
1. ไมแ้ ดง เป็นไมเ้ น้อื แขง็ ทเี่ นอื้ ไมค้ อ่ นคา้ งแนน่ มีความทนทาน และสามารถรบั นำ้ หนกั ได้ดี
2. ไมแ้ ดง มคี วามโดดเด่นดว้ ยลายเส้นสีเขม้ สวยงาม ในโทนสีนำ้ ตาลอมแดง
3. ไม้แดง ไมค่ อ่ ยมปี ัญหาเรอ่ื งปลวก หรือ แมลงรบกวน
ข้อเสีย (Disadvantage)
1. เนื้อไม้แดงมีความแข็งค่อนข้างมาก จึงทำให้ไม้แดงมีโอกาสยืดหดตัวตามสภาพอากาศ
พอสมควร อกี ท้ังยงั เปน็ ไม้ทีม่ ีอัตราการยืดหดตัวสงู
2. ไม้แดง มีเนื้อไม้ค่อนข้างแน่น จนทำให้การตัดแต่ง หรือการเจาะทำได้ค่อนข้างยาก
ยกตัวอย่างเชน่ เวลาตอกตะปจู ะตอ้ งเอาสว่านเจาะนำกอ่ น จึงจะตอกตะปูได้
1.8 ไม้รัง
ลักษณะและคุณสมบัติ ไม้รังหรือไม้เรียง เป็นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ขึ้นเป็นหมู่ ๆในป่าแดง
เนือ้ ไมม้ ีสีนำ้ ตาลเหลอื ง เสย้ี นสบั สน เนือ้ หยาบแขง็ แรงทนทานมาก เล่ือย ไสกบ ตกแตง่ ค่อนข้างยาก
น้ำหนักต่อ 1 ลูกบาศก์ฟุต ประมาณ 50 - 60 ปอนด์ ประโยชน์ ใช้กับงานประเภททีต่ ้องการรับแรง
เช่นทำเสา หมอนรางรถไฟ สร้างบ้านเรือน การก่อสรา้ งต่างๆ ทำรถ เรอื เคร่อื งมือ กสกิ รรม เนื่องจาก
สาเหตุทไ่ี มน้ ี้แขง็ แรงและทนทานมาก จงึ นิยมใช้การก่อสร้างที่ต้องการความแขง็ แรงทนทาน ลักษณะ
เหมอื นกบั ไม้เต็ง มีจำหนา่ ยในท้องตลาดทั่วไป
ขอ้ ดี (Benefit)
1. ไม้รัง มีความแขง็ แรงทนทาน สามารถรับนำ้ หนกั ไดด้ ี
2. ไม้รัง เปน็ ไม้ทีท่ นต่อสภาพอาอาศได้ดี จงึ สามารถนำไปใช้ภายนอกอาคารได้ (คลา้ ยไมเ้ ตง็ )
3. ไม้รัง ไม่คอ่ ยมีปัญหาเรอื่ งปลวก และแมลง (คลา้ ยไมเ้ ตง็ )
ข้อเสีย (Disadvantage)
1. ไม้รัง เป็นไม้เนื้อแข็ง จึงทำให้ตัดแต่ง และลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ค่อนข้างยาก
(คลา้ ยไมเ้ ต็ง)
2. พื้นผวิ ของไม้รังคอ่ นขา้ งหยาบ และลวดลายไม่สวยงามเทา่ กบั ไม้ชนิดอนื่ ๆ
1.9 ไม้เน้อื แกรง่
จัดเป็นไม้ที่มีเนื้อแกร่ง ทำการเลื่อย ไสกบ ตกแต่งได้ยากมาก ลักษณะเนื้อไม้เป็นมันในตัว
แน่น ลายละเอียด น้ำหนักมาก มีสีเข้มจัดจนถึงสีดำ มีความแข็งแรงทนทานดีมาก เช่น ไม้ประดู่
ไม้แดง ไมเ้ กลือ เป็นตน้
ขอ้ ดี (Benefit)
1. ไม้มีความเเข็งแรง ทนทานต่อรอยขดี ขว่ น และสามารถรับน้ำหนักไดด้ ีมาก
2. เนื้อไม้คอ่ นขา้ งละเอียด จึงสามารถนำไปไสกบตกแตง่ และขัดเงาได้ดี
3. ลักษณะสีเสน้ เส้ยี นจะแกก่ ว่าสีพื้น ลายเส้ียนสับสนเปน็ ริว้ มีลวดลายทีส่ วยงาม
4. ไม้มีอัตราการหดตัวคอ่ นขา้ งนอ้ ย
ขอ้ เสีย (Disadvantage)
1. ไม้มีลกั ษณะเป็นไมท้ ีอ่ มความรอ้ น
2. ไม้ มีเนื้อไม้คอ่ นข้างแนน่ จนทำให้การตัดแต่ง หรือการเจาะทำได้ค่อนข้างยาก ยกตัวอย่าง
เชน่ เวลาตอกตะปจู ะต้องเอาสวา่ นเจาะนำกอ่ น จึงจะตอกตะปูได้
1.10 ไมม้ ะค่าโมง
ลักษณะคุณสมบัติ ไม้มะค่าโมงหรือไม้มะคา่ ใหญ่ หรือไม้มะคา่ หลวง เป็นไม้เนื้อแกร่งลำต้น
ใหญ่แต่ไม่สูงนัก ขึ้นตามป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณ เว้นทางภาคใต้ เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลเหลือง
เสี้ยนค่อนข้างสน เนื้อหยาบมีริ้วแทรกแข็งเลื่อย ไสกบค่อนข้างยาก ถ้าแห้งดีแล้วจะตกแต่งง่าย ขัด
และชกั เงาไดด้ ี น้ำหนักต่อ 1 ลบ.ฟตุ ประมาณ 60 ปอนดป์ ระโยชน์ ใช้ทำเสา ไมห้ มอนรางรถไฟ และ
ใช้ในงานก่อสรา้ งตา่ งๆเป็นไม้ชนิดใหป้ ุม่ มีลายงดงาม ราคาแพง ใช้ทำพวกเครื่องเรือน เครื่องใช้ เช่น
ตู้ โต๊ะ เกา้ อ้รี ับแขก เป็นต้น
ขอ้ ดี (Benefit)
1. ไม้มะค่า เปน็ ไม้ทม่ี ีความแขง็ แรงทนทานมาก จงึ สามารถรบั น้ำหนกั ได้ดี
2. เนอ้ื ไมม้ คี วามหยาบหนกั แน่นแตก่ ็มคี วามราบเรียบสม่ำเสมอ
3. ไม้มะคา่ มลี วดลายไม้ทส่ี วยงามคลา้ ยลายไม้สกั
4. ไมม้ ะคา่ ทนตอ่ ปลวก มอด ความชื้น และเชื้อรา อกี ทง้ั ยังผุพงั ไดย้ าก
ข้อเสยี (Disadvantage)
1. ไม้มะค่าเป็นไมท้ ่หี ายาก และราคาสงู
2. ไมม้ ะค่า มเี น้ือไมท้ ี่หนกั แน่น จึงทำใหม้ นี ้ำหนกั คอ่ นข้างมาก
3. ไม้มะค่า มีเนื้อไม้ที่ค่อนข้างแน่น จนทำให้การตัดแต่ง หรือการเจาะทำได้ค่อนข้างยาก
ยกตวั อย่างเช่น เวลาตอกตะปูจะต้องเอาสว่านเจาะนำกอ่ น จึงจะตอกตะปูได้
4. ถงึ แม้ไมม้ ะค่าจะเป็นไมเ้ นื้อแข็ง แต่ก็ยังมโี อกาสท่จี ะยดื -หดตัวตามสภาพอากาศได้เช่นกัน
1.11 ไม้ประดู่ชงิ ชัน
ลกั ษณะคณุ สมบัติ ไม้ประด่ชู งิ ชันหรือพยุงแกม หรือ พยุงแดง เชยี งใหมเ่ รยี กวา่ เกดิ แดง ภาค
อีสานเรียกว่า ชงิ ชนั ภาคเหนอื เรยี กว่า ด่ลู าย เปน็ ไมป้ ระเภทเนื้อแขง็ ลำตน้ ขนาดปานกลางถึงขนาด
ใหญ่ ขึ้นอยู่ในป่าเบญจพรรณทัว่ ไป เน้ือไม้มสี มี ่วงแก่ สีเสน้ แทรกสีดำอ่อนหรอื สีแก่กว่าพ้ืน เส้ียนมัก
สับสนเป็นร้วิ แคบๆ เน้ือละเอียดปานกลาง แข็ง เหนยี วมาก แข็งแรงทนทาน ไสกบ ตกแตง่ ชักเงาได้ดี
ตอกตะปไู ดย้ าก เมื่อทำเสร็จแลว้ จะมีความเรียบรอ้ ยสวยงามเป็นมนั ดี เมอื่ ชักเงาแล้วจะมีลายมีสีสรร
สวยงามมาก นำ้ หนัก 1 ลูกบาศก์ฟตุ ประมาณ 67 - 70 ปอนด์ ประโยชน์ ใชท้ ำพวกเครอื่ งเรอื น เช่น
ตู้ โตะ๊ เก้าอีร้ บั แขก เก้าอโี้ ยก ดา้ มเคร่อื งมือ รางกบ เกวยี น รถ แกะสลกั ทำหวี เปน็ ต้น
ขอ้ ดี (Benefit)
1. ไม้ประดู่มีข้อดที ่คี วามเเขง็ แรง ทนทานตอ่ รอยขดี ขว่ น
2. สามารถรบั น้ำหนกั ไดด้ ีมาก จึงเหมาะกับการนำมาทำเปน็ พน้ื ไม้
3. เนอ้ื ไมค้ ่อนขา้ งละเอียด และมลี วดลายชัดเจนสวยงาม นำไปตกแตง่ ขัดเงาไดด้ ี
ขอ้ เสีย (Disadvantage)
1. ไมป้ ระดู่เปน็ ไม้ทอ่ี มความรอ้ น
2. ไมเ้ หมาะกับการนำไปแกะสลกั มากกวา่ ด้านอื่น เพราะเน้อื ไมแ้ ข็ง
สรุปได้วา่ เซลล์ในเนื้อไม้ยังมีการเรียงตัวไม่เหมือนกันทัง้ หมดอีกด้วยจึงทำใหด้ ้านตา่ งๆของ
ไม้มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจยั ที่อยู่ในไม้ซึง่ ได้แก่ โครงสร้างซ่ึงกค็ ือ เชลล์ชนิดต่างๆ
ทป่ี ระกอบเปน็ เนอ้ื ไม้ปัจจัยต่างๆ ดังกลา่ วอาจแบง่ ไดด้ ังนี้
1. ปริมาณของสารเคมีต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นผนังเซลล์ของเน้ือไม้ ซึ่งวัดด้วยค่าความ
ถว่ งจำเพาะมีประโยชนม์ าก ใช้เปน็ ตวั ชค้ี ุณสมบตั ขิ องไม้ได้
2. ปริมาณของน้ำที่มีอยู่ในเนื้อไม้ น้ำน่าจะถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ
โครงสร้างไม้ น้ำจะมีอยู่ในไม้ตั้งแต่ขังมีชีวิตอยู่จนถึงตัดโด่นลงแล้ว น้ำเป็นปั จจัยสำคัญที่มีต่อ
คุณสมบตั ขิ องไม้
3. สดั สว่ นของสารเคมที ป่ี ระกอบเปน็ ผนงั เซลล์ และสารแทรกที่มอี ยู่ในไม้
4. การเรียงตวั ของสารที่ประกอบเปน็ ผนงั เซลล์เปน็ ปัจจยั ท่ีเกย่ี วกับ แนวเส้ียนไม้
5. ชนิด ขนาด และสัดส่วนของเซลล์ที่ประกอบเปน็ เนอ้ื ไม้
2.2 เทคนิคการแปรรูปไม้
การเลื่อยไม้ซุงเพื่อเป็นไม้เปรรูปมีวิธีการเสื่อยหลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เป็นที่นิยมมากสุด
เนื่องจากให้ผลผลิตสูงสุดและสนองตอบความต้องการของตลาค หรือผู้ใช้ประโยชน์ไม้แปรรูป
มากท่สี ุดมีอยู่ 2 วิธี คือ
2.1 การเลื่อยดะ (Through & Through) หมายถึง การนำไม้ซุงมาเลื่อยเปีดปีกออกค้าน
จากน้ันกลับไมซ้ งุ โดยเอาดา้ นท่ีเปิดปกี วางบนแท่นเสอื่ ย แลว้ ทำการเลอื่ ยตามขนาดที่ต้องการ ดงั ภาพ
ภาพที่ 1 เทคนคิ การเลื่อยดะ
การเลื่อยไม้วิธีน้ี นิยมใช้แปรรูปไม้เพ่ือใช้ในงานอุตสาหกรรมไม้ทำเครื่องเรือนหรืองานฝีมือ
หรอื บางกรณีทตี่ ้องเลื่อยไมข้ นาคเล็กๆ
- ข้อดี การปรับเปล่ียนดา้ นเพ่อื เลื่อยไมน้ อ้ ย
- ข้อเสีย เปอร์เซ็นต์ผลิตผลที่ได้ค่อนข้างน้อย การซอยข้างไม้แผ่นมากกว่าปกติทำให้
สูญเสยี เนือ้ ไม้
2.2 การเลื่อยเปิดปีก 2 ข้าง (Cant sawing) หมายถึง การเลื่อยวิธีนี้จะนำไม้ซุงมาเลื่อย
เปีดปีกทีละคา้ นจนไวไ้ มเ้ หลย่ี มทีส่ ามารถเส่อื ยออกตามขนาดและคณุ ภาพที่ตอ้ งการ ดงั ภาพ
ภาพท่ี 2 เทคนคิ การเลือ่ ยเปิดปีก 2 ข้าง
การเลอ่ื ยไมว้ ิธนี ้ีนยิ มเลอ่ื ยมากที่สุด เพราะมขี อ้ คี คอื
1. ไม้แปรรูปท่ไี ด้หรอื ปีกไม้ มกี ารซอยขา้ งน้อย
2. สามารถกำหนคความกว้างตามต้องการ
3. เปอรเ์ ซน็ ตไ์ มแ้ ปรรูปที่ได้ค่อนขา้ งสงู
(กรมปา่ ไม้, 2547: 20-22)
2.3 ปญั หาเกีย่ วกบั ผลติ ภณั ฑไ์ ม้
ปญั หาความช้ืนจากพ้นื ปนู อาจเป็นเพราะช่างรบี ปูปาร์เกต์ขณะท่ีพ้ืนปนู ยังแห้งไม่สนิท หรือ
ยังคงมีความชื้นอยู่ ทีนี้ ความชื้นมันก็ต้องหาทางระบาย ระเหยออก ปูไม้ทับลงไป ก็จะทำให้พื้น
เสียหายได้ อย่าเร่งช่างใหร้ ีบปูพื้น ทุกอย่างมีระยะเวลาของมัน หลังจากขัดมันควรปลอ่ ยให้ความชื้น
ในพื้นคอนกรีตระเหยออกให้หมดก่อน สำหรับพื้นชั้นล่างซึ่งอยู่ใกล้กับดินนั้น ควบคุมยากหน่อย
เพราะเราไม่สามารถปล่อยให้ดินคายความชื้นออกได้หมด ดังนั้น ความชื้นในดินจึงระเหยข้ึน
ตลอดเวลา โดยเฉพาะในฤดูฝน จึงอยากแนะนำว่า ควรเลือกวัสดุปูพื้นชั้นล่างเป็นกระเบื้อ งเพื่อ
ป้องกันปัญหา แต่ทั้งนี้ หากต้องการปูปาร์เกต์ ก็มิใช่หมดหนทางเลย ทางออกคือให้ปูพลาสติกแบบ
หนา สว่ นพืน้ คอนกรีตก็ควรผสมน้ำยากันซึมด้วย จะช่วยป้องกนั ไมใ่ หม้ ปี ัญหาความช้นื จากพ้ืนดนิ
1. ความชน้ื จากภายนอก อธบิ ายได้เชน่ น้ำหกลงบนพ้นื แล้วไม่เช็ดออก หรอื เปิดหน้าต่างทิ้ง
ไว้ ละอองฝนสาดเขา้ มาบนพืน้ เป็นเวลานาน ในความเปน็ จรงิ พนื้ ปาร์เกตก์ ็ไม่ได้ถึงกบั บอบบางขนาด
นั้น เพราะมีการทาน้ำยาเคลือบรักษาเนื้อไม้หลายชั้น แต่อาจจะเป็นปัญหาเรื่องรอยต่อริมผนังที่ไม่
สนิท (เนื่องจากต้องเวน้ ไวเ้ พ่ือป้องกันการขยายตัวของไม)้ ทำให้น้ำซ่ึงเปน็ ของเหลวไหลซึมเข้าไปทำ
ความเสยี หายได้ ท้งั นี้ การติดต้ังตวั จบ บัวเชงิ ผนงั กช็ ว่ ยปอ้ งกนั ไดร้ ะดับหน่งึ วธิ ปี อ้ งกันปัญหาน้ี คือ
ใส่ใจกบั การดูแลรักษาบา้ น การเชด็ ทำความสะอาดและอยา่ ลมื ปดิ หนา้ ต่างก่อนออกจากบา้ น เปน็ ตน้
2. ความชื้นจากตัวไม้ปาร์เกต์เอง คือ ไม้ที่นำมาใช้ทำเป็นพื้นไม้ปาร์เกต์ไม่ได้ผ่านการอบไล่
ความช้ืน ทำใหเ้ วลาอากาศเปลีย่ นแปลง หรือบรเิ วณทโ่ี ดนแดดสอ่ งมาก หรอื บางแหง่ โดนความช้ืนไม่
เทา่ กนั ใชไ้ ปนานๆ ไม้ปาร์เกตก์ อ็ าจมปี ญั หาพองตวั บวมขึน้ ได้ หรืออาจจะหดตวั ได้เหมือนกัน ตรงนี้
ตอ้ งอธิบายไว้ดว้ ยครับว่า ไม้ปาร์เกต์นนั้ เป็นไม้ธรรมชาติ ซง่ึ เปน็ ธรรมดาที่จะมีการยืดหดตัวอยู่ตลอด
แตจ่ ะมองด้วยตาเปล่าไมเ่ หน็ ผทู้ ่ีคดิ จะใช้ผลิตภัณฑ์ไมจ้ งึ ควรมคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกับความช้ืนในเนื้อไม้
ว่าจะมีผลต่อพื้นผลิตภัณฑ์ไมอ้ ยา่ งไร โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ไม้จะต้องผ่านการอบเพื่อให้ได้ความชื้นใน
เนอื้ ไม้ที่เหมาะสม และหลงั จากกระบวนการผลิตไปจนถึงมอื ผูใ้ ชง้ านความช้ืนในเนอ้ื ไม้จะเพิ่มขึ้นตาม
สภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม้มีการขยายตัว ผู้ใช้งานจึงควรควบคุมไม่ให้มีความชื้น
จากปัจจัยอื่นๆเท่าที่สามารถทำได้ เช่นหากเป็นการปูพื้นไม้บนพื้นคอนกรีตควรทิ้งพื้นคอนกรีตไว้
ระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ความชื้นจากพื้นคอนกรีตทำให้มีผลกับพืน้ ไม้ที่จะติดตั้ง หรืออาจปูวัสดุป้องกัน
ความชื้น เช่น แผ่นพลาสติก เป็นต้น หรือหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ไม้ไปใช้งานในลักษณะที่อาจมี
การเปลี่ยนแปลงความชื้นมากๆ เช่นการนำไม้เนื้ออ่อนไปใช้งานกลางแจ้งโดยไม่มีการป้องกันการ
เปลี่ยนแปลงความชื้นในเนื้อไม้ เช่น การทา Wood oil , Wood Stain หรือควรเลือกชนิดไม้ให้
เหมาะสมกับการใช้งานจริง เป็นต้น
สรุปได้ว่า ผู้ที่คดิ จะใช้ผลิตภณั ฑ์ไม้จึงควรมีความเข้าใจเก่ียวกับความชนื้ ในเนื้อไม้ ว่าจะมีผล
ต่อพื้นผลิตภัณฑ์ไม้อย่างไร โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ไม้จะต้องผ่านการอบเพื่อให้ได้ความชื้นในเนื้อไม้ที่
เหมาะสม และหลังจากกระบวนการผลิตไปจนถึงมือผูใ้ ช้งานความชื้นในเนื้อไม้จะเพิม่ ขึ้นตามสภาพ
ภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม้มีการขยายตัว ผู้ใช้งานจึงควรควบคุมไม่ให้มีความชื้นจาก
ปัจจัยอื่นๆเท่าที่สามารถทำได้ เช่นหากเป็นการปูพื้นไม้บนพื้นคอนกรีตควรทิ้งพื้นคอนกรีตไว้ระยะ
หนึ่ง เพื่อไมใ่ หค้ วามชืน้ จากพื้นคอนกรตี ทำให้มผี ลกับพ้นื ไมท้ ี่จะตดิ ต้ัง หรอื อาจปูวัสดุป้องกันความช้ืน
เช่น แผ่นพลาสติก เป็นต้น หรือหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ไม้ไปใช้งาน ในลักษณะที่อาจมีการ
เปลี่ยนแปลงความชื้นมากๆ เช่นการนำไม้เนื้ออ่อนไปใช้งานกลางแจ้ง โดยไม่มีการป้องกันการ
เปลี่ยนแปลงความชื้นในเนื้อไม้ เช่น การทา Wood oil , Wood Stain หรือควรเลือกชนิดไม้ให้
เหมาะสมกบั การใชง้ านจรงิ เป็นต้น
2.4 การพิจารณาเลอื กไม้สำหรับการทำชิน้ งาน
เฟอร์นิเจอรไ์ ม้ควรมีการดูแลรกั ษาเฟอร์นเิ จอร์ไม้อย่างถูกวิธีเพือ่ คงความสวยงามและความ
ทนทานในการใชง้ านของเฟอร์นิเจอร์ไม้ในบ้าน เฟอร์นเิ จอร์ไมท้ นี่ ำมาใช้งานมักจะมกี ารเคลือบน้ำยา
รกั ษาเนอื้ ไมแ้ ละนำ้ ยาขดั เงาตา่ งๆ เพ่อื ปกปอ้ งเนอ้ื เฟอร์นิเจอร์ไม้จากสภาพอากาศและความช้ืนต่างๆ
ดังนั้นในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้อาจใช้เพียงแปรงขนไก่นุ่มๆ ปัดฝุ่นออกหรือเช็ดด้วยผ้า
นุ่มๆสะอาดและแห้งเช็ดฝุ่นออกแต่ถ้าหากเฟอร์นิเจอร์ไม้มีฝุ่นเกาะมากก็อาจจะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ
เชด็ ทำความสะอาดเฟอร์นเิ จอร์ไม้ก็ได้ไม่ควรใช้ผ้าเปียกเชด็ เฟอรน์ เิ จอร์ไมโ้ ดยตรง นอกจากนี้ก็ไม่ควร
ใช้แปรงแข็งๆหรือวัสดุมีคมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้วย เพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ซึ่งจะทำให้
เฟอร์นิเจอร์ไม้เสยี ความงามไปด้วย นอกจากน้กี ็ควรหลกี เล่ียงการนำเฟอร์นิเจอรไ์ ม้ไปวางในพ้นื ทท่ี อ่ี ยู่
กลางแจ้งเพราะจะทำให้เฟอร์นิเจอร์ไม้เกิดการโป่งพองและเกิดการเสียรูปขึ้นได้รวมทั้งไม่ควรวาง
เฟอร์นิเจอร์ไม้ไว้ในที่ที่โดนแสงแดดจัดด้วยเพราะอาจจะทำให้สีของเฟอร์นิเจอร์ไม้ซีดจางลง
ต้องข้นึ อยกู่ ับ 3 สง่ิ ไดแ้ ก่
1. ชนิดของชิ้นงานทีจ่ ะทำเช่น ประตภู ายนอกต้องใช้ไม้ท่ีสามารถตา้ นทานนำ้ และแสงแดด
2. ราคาของไม้ท่ใี ช้
3. ลักษณะหรอื รูปทรงของไมท้ ี่นำมาใช้
4. คุณสมบตั แิ ละการดแู ลรกั ษาเฟอร์นเิ จอร์ไม้
เฟอรน์ เิ จอร์ไม้ MDFและ Partical Board
วัสดุชนิดนี้ขึ้นรูปโดยใช้กาวและไม้เป็นส่วนประกอบอย่างที่ทราบๆกันดีว่า กาวส่วนใหญ่
มกั จะไม่ทนนำ้ และไม้ทุกประเภทกจ็ ะบวมพองเวลาโดนน้ำมากบ้างน้อยบ้างแล้วแตช่ นิดของไม้ถ้าเป็น
ไม้เน้ือแขง็ กบ็ วมนอ้ ยหนอ่ ย ถา้ เปน็ ไมเ้ น้อื ออ่ น เช่นไมย้ างพาราก็จะบวมมากหนอ่ ย และเม่ือวัสดุสอง
ตัวนี้มาอยู่ด้วยกัน ณเวลาที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของน้องน้ำกาวที่แช่อยู่ในน้ำก็เกิดการ
เสื่อมสภาพ เศษไม้หรือชิ้นไม้ก็จะบวมอืดเป็นผลให้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุสองประเภทนี้บวมน้ำ
หากแบกน้ำหนกั อยกู่ จ็ ะเรมิ่ เอยี งและทา้ ยทสี่ ุดก็จะรับนำ้ หนักไม่ไดแ้ ละพังครนื ลงมาในที่สุด
เฟอร์นเิ จอรไ์ มอ้ ัด
ดว้ ยราคาทส่ี ูงและคุณภาพทีด่ ีทสี่ ุดในบรรดาแผ่นไม้สังเคราะห์ท่ีใช้ทำเฟอรน์ ิเจอรท์ ัง้ หมด ไม้
อัดจึงได้รับความนิยมนำไปใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินซึ่งมีราคาแพงกว่าเฟอร์นิเจอร์ลอยตวั
ทั่วไปนิดหนอ่ ยแต่เป็นทีร่ ้กู ันวา่ ทนทานกว่าเฟอรน์ ิเจอร์ลอยตัวหรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์บิวท์อินจากแบ
รนด์ดังที่ผลิตโดยใช้เทคนิค Knock-Build หลายเท่าตัวนัก การขึ้นรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ด้วยไม้อัดจะ
ยุ่งยากมากกว่าแผ่นไม้อื่นๆก่อนทำผิวให้สวยและประกอบร่างช่างจะต้องนำไม้อัดมาประกบแซนวิ
ชโดยใช้ใส้กลางเป็น “ไม้จ๊อยท์” เพื่อเพิม่ ความหนา (เพราะไม้อัดหนาๆแพงมาก)แล้วจึงนำไปใชง้ าน
เป็นโครงสร้างตู้แต่กลายเป็นว่าการใช้ไม้จ๊อยท์แซนวิชกลางนี้กลับทำให้โครงสร้างตู้เฟอร์จากไม้อัด
แข็งแรงขึ้นเพราะไม้จ๊อยท์ก็คอื ไม้จริงท่ีผ่านการตัดต่อโครงสร้างไม้ใหม่จึงมีความทนทานแข็งแรงและ
มีโอกาสบิดตัวเมื่อโดนน้ำน้อยมากอย่างไรก็ตามเฟอร์นิเจอร์จากไม้อัดก็ยังมีปัญหาเพราะผิวของ
เฟอร์นิเจอรซ์ งึ่ กค็ ือไมอ้ ัดนัน้ มคี วามทนน้ำเพยี งระดับนึงเทา่ นน้ั หากตอ้ งจุ่มน้ำเปน็ เวลานานๆนำ้ จะซึม
ผ่านผิวไม้เข้าไปถึงชั้นกาวและทำให้กาวเสือมสภาพจนผิวไม้จริงฝานบางที่ถูกอัดกันอยู่หลุดลอก
ออกมาเป็นแผ่นๆอี่กทง้ั ตัวผิวไมก้ ็อาจเกิดการขยายตัว พลิ้วตวั จนกระท่ังหมดความสวยงามไมส่ ามารถ
ใช้งานได้อีกตอ่ ไป
ข้อได้เปรียบของการใช้เฟอร์นิเจอร์จากไม้อัดในยุคน้ำท่วมนี้ก็จะมีตรงที่สามารถซ่อมผิว
เฟอร์นิเจอรใ์ หก้ ลับมาสวยงามได้ดงั เดมิ ได้ และทส่ี ำคญั เฟอร์นเิ จอรจ์ ะไมม่ ีทางพังครืนลงมาจนของใน
ตู้ลอยเต็มบ้านเป็นขยะอย่างแน่นอนเพราะโครงสร้างไม้จอ๊ ยท์นน้ั แข็งแรงและไม่สญู เสยี สภาพเช่นแผ่น
ปาร์ตเิ กิลหรือแผน่ เอม็ ดเี อฟเม่ือต้องจมุ่ น้ำเปน็ เวลานาน
การเลือกไม้ทีจ่ ะนำมาใชง้ านตอ้ งพจิ ารณาใน 2 ประเดน็ คือ
1. การเลือกมาใช้ในงานรับน้ำหนักโดยตรง ได้แก่ ไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างที่ไม่ต้องการความ
ประณีตมากนัก เช่น การก่อสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ไม้จำพวกนี้ต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับ
น้ำหนกั และตา้ นทานแรงต่าง ๆ มากกว่าความสวยงาม ความแข็งแรง จงึ เปน็ ข้อแรกทีจ่ ะตอ้ งคัดเอาไม้
ท่แี ข็งแรงเท่าท่ีจะสามารถทำได้ คือ ต้องเปน็ ไมท้ ่ีเน้ือแนน่ แขง็ แกร่ง เหนย่ี ว ไม่เปราะง่าย ควรเลือก
ไมแ้ ก่นหรอื ไมท้ ี่มีอายเุ หมาะแกก่ ารตดั ไม่มีรอยชำรุดเสยี หาย เช่น เป็นตา ผุ แตกรา้ ว ปดิ งอ คด โค้ง
และเปน็ ไมท้ ี่ผา่ นการผ่ึงมาไดท้ พ่ี อเหมาะแก่งานประเภทน้ันๆ เปน็ ต้น
2. การเลือกไม้มาใช้ในงานประณีต ไม้ที่เลือกมาใชง้ านประเภทนี้ เปน็ ไม้ที่ไม่ต้องรับน้ำหนัก
หรือต้านแรงมากเหมือนไม้ที่ใช้งานประเภทแรก แต่งานประเภทนี้จะนำไม้ไปประกอบเป็นรูปร่าง
ต่างๆ เช่น บาน ประตู หน้าต่าง เครื่องเรือน ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ หรือครุภัณฑ์ต่างๆ ที่จะทำอย่างประณีต
เรยี บรอ้ ยและต้องการความสวยงามมากกวา่ ความแขง็ แรง เป็นงานทีท่ ำไดย้ ากและต้องใช้ฝีมือ
3. แนวคดิ เกี่ยวกับเฟอรน์ เิ จอร์
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ได้มีการพัฒนาและมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ซ่ึงเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากย่ิงขึ้น ดังน้ัน การศึกษาถึงแนวโนม้การเปลี่ยนแปลงของ
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อหาแนวทางและกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม
เฟอร์นิเจอร์เพื่อรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงกระแสโลกาภิวัตน์
กลไกการผลิตและการบริโภค ซ่ึงจะส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ทั้งด้านการผลิตและ
รปู แบบสนิ คาเ้ ฟอร์นเิ จอร์ท่เี ปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์
5.1 หลกั การออกแบบเฟอรน์ ิเจอร์
อรอนงค์ สุเวชวัฒนกุล (2559:12-20) ได้กล่าวถงึ เฟอรน์ ิเจอรว์ ่า เฟอรน์ เิ จอร์ถือเป็นส่ิงที่
จำเป็นในบ้านเรือนหรือสำนักงานที่ผู้บริโภคใช้สำหรับอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันหรือ
ตกแต่งเพื่อความสวยงาม โดยวัตถุดิบในการผลิตเฟอร์นิเจอร์มีหลากหลายประเภท เช่น ไม้ เหล็ก
หนัง พลาสตกิ เป็นตน้
คำว่า "เฟอร์นิเจอร"์ (Furniture) มีชื่อภาษาไทยเรียกหลายอย่าง เช่น เคหะภัณฑ์ ครุภัณฑ์
เครือ่ งเรือน เครอ่ื งใชภ้ ายในบ้านหรอื เครื่องเรือนตกแต่งบา้ น ลว้ นแตม่ คี วามหมายใกล้เคียงกนั ดังน้ัน
เฟอร์นเิ จอร์ หมายถึง เครื่องตกแตง่ บ้านพักอาศัยหรืออาคาร มีประโยชนใ์ ช้สอยสะดวกสบายในการ
ใช้เฟอร์นิเจอร์เป็นผลิตภัณฑ์ ประเภทอุปโภค ซึ่งได้แก่ โต๊ะอาหาร โต๊ะทำงาน ตู้ชนิดต่าง ๆ เก้าอี้
เตียงนอน ชั้นวางของ ตลอดจนสงิ่ ของที่ใชต้ กแตง่ อาคาร เปน็ ตน้
5.1.1 หน้าทใี่ ชส้ อย (Function) หมายถงึ การออกแบบเครอ่ื งเรือนให้มีหน้าทใ่ี ช้สอยถูกต้อง
ตามเป้าหมายที่ต้งั ไว้ เพือ่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ตวั อย่าง การออกแบบโต๊ะอาคารกับ
โต๊ะทำงานมหี น้าที่ใช้สอยทย่ี งุ่ ยากกว่า ตอ้ งมีลิ้นชักสำหรับเก็บเอกสารหรือเครอ่ื งใช้ท่ีจำเป็นส่วนโต๊ะ
อาหารนั้น ไม่จำเป็นต้องมีที่เก็บเอกสารหรือเครื่องใช้ ระยะเวลาในการใช้งานก็มีความกต่างกัน
การทำความสะอาโต๊ะอาหารก็ควรทำไดง้ า่ ยและสะดวก แตถ่ ้าหากเราตอ้ งการใชอ้ าหารมาทำงานก็ได้
เพียงแต่หนา้ ทใ่ี ช้สอยไมส่ มบูรณเ์ ท่าทคี่ วร เปน็ ตน้
5.1.2 ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง การออกแบบเครื่องเรือนควรคำนึงถึงความ
ปลอดภัยของผอู้ ุปโภคและผเู้ ก่ียวข้องดว้ ย เชน่ วสั ดทุ ใี่ ช้ผลติ เคร่ืองเรือนนั้นเกดิ จากสารมพี ษิ หรอื ไม่ มี
จุดล่อแหลมส่วนใดบ้างที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ ทำการออกแบบนั้นควรจะเลือกใช้โครงสร้างให้
เหมาะสมมีความแขง็ แรงทนทาน แตต่ อ้ งคำนงึ ถงึ การใชไ้ ปแล้วมคี วามปลอดภยั ด้วย
5.1.3 ความแข็งแรง (Construction) หมายถึง ความแข็งแรงของเครื่องเรือนที่ประหยัด
ประกอบการพิจารณาด้วย ไม่ใช่ว่าโครงสร้างเครื่องเรือนจุดที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ข้อต่อและความ
แข็งแรงของโครงสร้างเครื่องเรือนนั้นจะมากหรือน้อยย่อมจะขึ้นอยู่กับประเภทหรือชนิดของเครื่อง
เรือน เช่น เครื่องเรือนที่ใช้ภายในอาคารบ้านพักอาศัยนั้นย่อมจะแข็งแรงน้อยกว่าเครื่องเรือน
สาธารณะ เปน็ ตน้
5.1.4 ความสะดวกสบายในการใช้ (Ergonomic) หมายถึง ต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสม
ในการใช้งานขนาดความสูง กว้าง ยาว และขีดจำกัดของผู้อุปโภคประกอบในการออกแบบ เช่น
การออกแบบเก้าอี้ต้องรูว้ า่ ใช้พกั ผ่อนหรือใชท้ ำงาน มีขนาดสัดส่วนที่เหมาะสมกบั การใช้งานนัง่ แลว้
สบายมคี วามน่มุ เป็นตน้
5.1.5 ความสวยงามน่าใช้ (Aesthetics or sales appeal) หมายถึง การออกแบบให้เครื่อง
เรอื นมีรูปร่างขนาด สีสวยงามนา่ ใช้ นอกจากนแี้ ลว้ ควรจะช่วยยกระดับเก่ยี วกับรสนิยมในด้านรูปร่าง
ขนาด สีสนั แก่ผู้อุปโภคให้ดขี ้ึน
5.1.6 ราคาพอสมควร (Cost) หมายถึง นักออกแบบที่ดีต้องรู้จักเลือกกำหนดการใช้วัสดใุ ห้
ถูกต้องรวมท้ังกรรมวธิ กี ารผลติ ทเ่ี หมาะสมกบั เครอ่ื งเรือนนั้น ๆ เพอ่ื ท่จี ะผลิตไดง้ า่ ยและสะดวก ซ่ึงยัง
ผลไปถึงราคาของเครื่องเรือนหากเรารู้จักการเลือกใช้ที่ดีแล้ว จะได้เครื่องเรือนที่มีราคาสมควรตาม
ความต้องการของตลาด
5.1.7 การซ่อมบำรุงรักษาง่าย (Easy of maintenance) หมายถึง ต้องทำการออกแบบ
เครอื่ งเรอื นให้สามารถแก้ไขและซอ่ มแชมไดง้ ่าย ไม่ยุง่ ยากเมือ่ มีการชำรดุ เสียหายเกิดขึน้
5.1.8 วัสดุ (Materials) หมายถึง นักออกแบบเครื่องเรือนควรจะเลือกใช้วัสดุให้ถูกต้อง
เหมาะสมกับงานว่าเครือ่ งเรือนน้ันใชย้ ังสถานทใี่ ด เชน่ ใชท้ ่บี า้ นพกั ตากอากาศชายทะเลควรจะใช้วัสดุ
ชนดิ ใดจงึ จะเหมาะสม นอกจากนีต้ อ้ งคำนงึ ถึงปริมาณของวัสดดุ ว้ ยว่ามีมากน้อยเพียงใด หาซือ้ ได้ยาก
งา่ ยหรือไม่ คุณสมบตั ิด้านตา่ ง ๆ ทีน่ ำมาผลิตเคร่ืองเรือนเหมาะสมหรือไม่ ราคาของวสั ดุเหมาะสมกับ
ชนิดหรอื ประเภทเครือ่ งเรือนหรอื ไม่ เป็นตน้
5.1.9 กรรมวธิ ีการผลติ (Production) หมายถงึ เม่อื ทำการออกแบบเคร่อื งเรอื นแลว้ สามารถ
ผลติ ได้สะดวกรวดเร็ว ประหยัดวัสดุ คา่ แรงและค่าใชจ้ ่ายอ่นื ๆ เคร่อื งจักรและอปุ กรณท์ ี่มีอยู่สามารถ
ใชท้ ำการผลติ ได้หรอื ไม่ เป็นต้น
5.1.10 การขนส่ง (Transportation) นักการออกแบบต้องคำนึงถึงการประหยัดค่าขนส่ง
การขนส่งสะดวกหรือไม่ ระยะใกล้หรือระยะไกลกินเนื้อที่ในการขนส่งหรือไม่ การขนส่งทางน้ำหรอื
ทางบก หรือทางอากาศต้องทำการบรรจุหีบห่ออย่างไร เครอ่ื งเรือนไมเ่ กิดการเสยี หายชำรดุ ขนาดของ
รถตบู้ รรทกุ สนิ ค้า หรอื เนอื้ ท่ที ่ีใชใ้ นการขนสง่ มขี นาดกวา้ งยาวสงู เท่าไร เปน็ ต้น
5.2 ประเภทของเฟอรน์ เิ จอร์ สามารถแบ่งไดห้ ลายแบบ ดงั นี้
1) การแบง่ เฟอรน์ ิเจอรต์ ามลักษณะทต่ี ง้ั แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1. เฟอร์นิเจอร์ภายนอกอาคาร (Out-door furniture) เฟอร์นิเจอร์ภายนอกอาคารเป็น
เฟอร์นิเจอร์ที่วางอยู่ภายนอกอาคาร เช่น ตามสวนสาธารณะ ตามถนนตามสนามหญ้าทั่วไปหรือที่
สาธารณะท่ัวไป มีลกั ษณะทนตอ่ สภาพแวดลอ้ มสงู เชน่ แดด ลม ฝน มนษุ ย์ และสตั วต์ า่ งๆ เช่นแมลง
ปลวก มอด สัตว์เลย้ี ง เป็นต้น เป็นเฟอรน์ ิเจอร์ทมี่ นี ้ำหนักมาก ใช้วสั ดแุ ละโครงสรา้ งแขง็ แรง
ภาพท่ี 3 เฟอรน์ เิ จอร์ภายนอกอาคาร
ที่มา: วรรณี สหสมโชค, ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ (กรุงเทพ ฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุน่ ),
2549), 3.
2. เฟอร์นิเจอร์ภายในอาคาร (In-door furniture) เฟอร์นิเจอร์ภายในอาคารเป็น
เฟอรน์ เิ จอร์ทใ่ี ชภ้ ายในบ้านพกั อาศัย สำนกั งาน หรอื อาคารท่ัวไปเป็นเฟอร์นิเจอรท์ ่เี กีย่ วขอ้ งกบั มนษุ ย์
โดยตรง ซึ่งจะต้องมีรูปทรงทีส่ ัมพันธ์กับภายในอาคาร เนื้อที่ว่าง ทางเดิน (Circulation) ขนาดห้อง
เหมาะสมกับขนาดสัดสว่ นรา่ งกายมนุษย์ เปรยี บเสมือนมนษุ ย์เปน็ จุดศูนย์กลางและมีเฟอร์นิเจอร์เป็น
ส่ิงแวดล้อม
ภาพที่ 4 เฟอร์นเิ จอรภ์ ายในอาคาร
ที่มา: วรรณี สหสมโชค, ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ (กรุงเทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น),
2549), 3.
2) เฟอร์นิเจอร์แยกประเภทตามวัสดุที่ใช้ เพื่อความเหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีจึงแบ่ง
ประเภทของเฟอร์นเิ จอร์ออกเปน็ 4 ประเภท ดังน้ี
1. ประเภทตู้ (Box-type Furniture) เฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เก็บภาชนะ
ของสิ่งของต่างๆ สามารถรับน้ำหนักของภาชนะและสิ่งของโดยตรงสนองความต้องการของผู้ใช้สอย
และเพื่อการตกแต่ง ไดแ้ ก่ ต้เู สือ้ ผา้ ตู้วางโทรทัศน์ ตโู้ ชว์ ชน้ั วางของ ช้นั วางรองเท้า เป็นต้น
2. ประเภทขา (Leg-type Furniture) เฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้ทำหน้าท่ีรับน้ำหนัก ร่างกาย
มนุษย์โดยตรง และรับน้ำหนักอุปกรณ์และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ โต๊ะท างาน โต๊ะวางคอมพิวเตอร์
โตะ๊ เคร่ืองแปูง เตยี งนอน เป็นต้น
3. ประเภทบุ (Upholstery) หมายถงึ เฟอร์นิเจอรท์ ่ผี ลิตจากไม่จรงิ หรอื วัสดโุ ลหะมาทำเป็น
โครงสร้างภายในแล้วหุ้มดว้ ยโฟมยางหรือโฟมวิทยาศาสตร์ สว่ นภายนอกน้นั จะห้มุ ทับดว้ ยผ้าชนิดต่าง
ๆ เช่น หนังเทียม พลาสติก เป็นต้น ตัวอย่างเฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้ เช่น เก้าอี้รับแขกส่วนประกอบ
ของเก้าอชี้ นดิ ต่าง ๆ เป็นตน้
4. ประเภทไมบ้ างอดั โคง้ (Molded Veneer or Plywood) หมายถึง เฟอรน์ เิ จอร์ท่ีผลิตจาก
ไม้บางมาอัดยดึ ตดิ เขา้ กัน โดยใช้แบบแมพ่ ิมพ์กาวและแรงอดั เพือ่ ให้ได้รูปรา่ งท่ตี ้องการด้วยวธิ กี ารผ่าน
ความร้อนให้กาวแหง้
3) ประเภทเฟอรน์ ิเจอร์ตามลกั ษณะการติดต้งั
1. เฟอร์นิเจอร์ติดตั้งกับที่ (Built-in Furniture หรือ Fixed Furniture) หมายถึง
เฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการออกแบบและติดตั้งสำหรับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นการเฉพาะยากที่จะ
เคลื่อนย้าย และติดตั้งใหม่ เนื่องจากมีการออกแบบให้ยึดเกาะกับอาคารหรือโครงสร้างอาคารมี
รูปแบบเฉพาะตัวหรูหรา (Elegance) เป็นเอกเทศ (Unique) สามารถติดตั้งและดัดแปลงให้เข้ากับ
พื้นที่ต่างๆ ได้โดยไม่จ ากัด รวมทั้งมักจะนิยมออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้สูงจนชนฝาเพดาน ทำให้ไม่
สามารถเคล่อื นยา้ ยไดแ้ ละเปลยี่ นรปู รา่ งหน้าตาได้
2. เฟอรน์ เิ จอรล์ อยตัว (Movable Furniture หรือ Loose Furniture) หมายถึง เฟอร์นเิ จอร์
ทผ่ี ลติ สำเรจ็ ท่โี รงงานเฟอร์นเิ จอรแ์ ล้วนำมาวางในหนว่ ยงานลูกคา้ สามารถเลือกรูปแบบและประโยชน์
ใชส้ อยได้จากตัวอยา่ งทีม่ ีอยู่จริงในร้านค้าได้สามารถเคลอื่ นยา้ ยไปตามท่ตี ่างๆ ไดต้ ามความต้องการ
3. เฟอรน์ ิเจอรท์ ่ีสามารถถอดประกอบได้ (Knock down Furniture) หมายถงึ เฟอร์นิเจอร์
ที่รวมเอาข้อดีของเฟอร์นิเจอร์ทั้งสองระบบแรกเข้าด้วยกัน โดยมีลักษณะเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์
ติดตั้งกับทีใ่ นขณะที่มีการผลิตที่เกอื บจะส าเร็จรูปจากโรงงาน เพียงแตน่ ำมาติดตัง้ ด้วยช่างผู้ชำนาญ
งานและใช้เวลาไม่นานนัก
5.3 ประเภทรูปแบบสินค้าเฟอรน์ เิ จอร์
ปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ เพราะมีความสวยงาม
ทนทานมรี ูปแบบท่หี ลากหลายสามารถหาซื้อไดง้ า่ ยในทอ้ งตลาด เน่ืองจากผ้ปู ระกอบการอุตสาหกรรม
เฟอร์นิเจอรไ์ ม้มีสัดสว่ นมากกว่าอตุ สาหกรรมเฟอรน์ ิเจอร์ประเภทอื่นๆ และชนดิ ไมท้ ่ีนำมาผลิต ได้แก่
ไม้เน้ือแข็งประเภทต่างๆ เชน่ ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้มะค่า เปน็ ต้น แตด่ ว้ ยขอ้ จำกัดทางดา้ นกฎหมายและ
ภาวะขาดแคลนไม้ เนื้อแข็ง จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพารา ไม้อัด
เป็นต้น เพือ่ ทดแทนไม้เน้ือแข็งในการผลิตเฟอรน์ ิเจอร์จนไดร้ ับความนิยมมาจนปจั จุบัน โดยสามารถ
แบ่งรูปแบบสินค้าเฟอรน์ ิเจอร์ได้ 5 ประเภท ไดแ้ ก่
1. เฟอร์นิเจอร์เพือ่ สิ่งแวดล้อม (Eco - Furniture) คือ สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ท่ัว
โลกให้ความสนใจเนื่องจากปัจจุบนั โลกเร่ิมประสบปัญหาสภาวะโลกร้อน จึงได้มีการออกมาตราการ
ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดท้ังในการผลิดและการนา เข้าสินค้ารวมถึงการนำขยะหรือวัสดุเหลือใช้มา
ผลิตเป็นของใช้เพิ่มยิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาขยะล้นโลกการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบการผลิตและ
กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการผลิตเฟอร์นิเจอร์วัสดุรีไซเคิล ซ่ึงข้ันตอนจะไม่
ยุง่ ยากซับซ้อนแต่ตอ้ งอาศัยความคิดสรา้ งสรรค์ในการออกแบบเพือ่ ให้แปลกใหม่มีความน่าสนใจและ
สามารถใช้งานไดด้ ี
2. เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ (Multifunction Furniture) คือ แนวโนม้การเพิ่มข้ึนของ
ประชากรในเมือง ส่งผลให้วิถีใช้ชีวิตของสังคมเปลี่ยนไป มีการพักอาศัยในพ้ืนที่ค่อนข้างจำกัด เช่น
คอนโดมเี นยี ม บา้ นพักอาศัยท่มี ีพ้ืนที่จำกดั เปน็ ต้น เฟอร์นิเจอรจ์ ะเน้น ด้านประโยชน์ใช้สอยสามารถ
ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น ได้หลากหลายสำหรับพื้นที่จำกัด เช่น โซฟา ที่สามารถปรับเป็นเตียงได้
(Day Bed) เฟอรน์ ิเจอร์ท่ีสามารถปรับเปน็ ได้ทัง้ เตียงโต๊ะทำงานและทเี่ ก็บของ เป็นต้น
3. เฟอร์นิเจอร์ผสมผสานวัฒนธรรม (Cultural-mixed Furniture) คือ การออกแบบ
เฟอรน์ ิเจอร์ท่ผี สมผสานทางด้านวัฒนธรรม เชน่ ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก
เพื่อให้เป็นรูปแบบเฟอร์นิเจอร์แบบใหม่ที่สามารถตอบรับความต้ องการผู้บริโภคท้ังตะวันตกและ
ตะวันออกเฟอรน์ เิ จอร์ผสมผสานวัฒนธรรมจะมรี ปู รา่ งท่แี ปลกใหม่ เช่น โต๊ะท่ีมีความสูงไม่มากนักเมื่อ
เปรียบเทยี บกับโตะ๊ทั่วไปการใช้เก้าอ้ีทีไ่ ม่มีพนักพงิ
4. เฟอร์นิเจอร์เน้นประโยชน์ใช้สอย ( Functionalism Furniture) คือ การออกแบบที่
มุ่งเน้นเฉพาะ “สิ่งที่จำเป็น” คือ สิ่งที่มีประโยชน์จริงในชีวติประจำวันของคนจริงๆ สามารถ
ตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตของคนในแต่ละกลุ่มได้การออกแบบเฟอร์นิเจอร์
ประเภทนี้จะต้องมีการศึกษาการตลาดอย่างจริงจังถึงความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเพื่อให้
สามารถนามาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น ปัจจุบันคนเริ่มเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้น พ้ืนที่อยู่
อาศยคั ่อนขา้ งเล็กจึงมีการออกแบบเฟอรน์ ิเจอรข์ นาดเลก็ เหมาะสมกับพื้นทใ่ี ช้สอยในห้องพัก
5. เฟอร์นิเจอร์เพ่ือสุขภาพ (Furniture for health) จากแนวโน้มพฤติกรรมผบู้ริโภคท่ี
เร่ิมตระหนกใั ห้ความสนใจด้านสุขภาพเพิม่ สูงขึ้น รวมถงึ การเขา้สสู่ ังคมผู้สงู อายุท่ีมมี ากย่ิงขึ้นส่งผลให้
การออกแบบเฟอร์นเิ จอร์ต้องคำนึงถงึ การใช้งานท่ีสง่ ผลดีสขุ ภาพ เฟอรน์ ิเจอร์จะปรับให้เข้ากับรูปร่าง
ของผู้ใช้งานและออกแบบเพื่อช่วยลดอาการเจ็บป่วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาผลิตเฟอร์นิเจอร์
เพือ่ สุขภาพ เช่น โซฟา หมอน ที่นอน ป้องกันไรฝุ่น เปน็ ต้น
5.4 องคป์ ระกอบสำคญั การออกแบบเฟอรน์ เิ จอร์
อุดมศักดิ์ สาริบุตร (2559:25-27) กล่าวไว้ว่า การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ควรคำนึงถึง
องค์ประกอบของการออกแบบ ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ ประโยชน์ใช้สอย
รูปทรงสีสนั ต้องสวยงาม ราคาตอ้ งประหยดั
1. ประโยชน์ใช้สอย (Good Function) หมายถงึ เฟอร์นิเจอร์นั้นต้องสนองความตอ้ งการใน
หน้าท่ีใช้สอยไดค้ รบถ้วน และเกดิ ความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้
2. รูปทรงสีสันต้องสวยงาม (Handsome Form and Beautiful color) เป็นการสนอง
ความต้องการของผู้ใช้ ทางด้านจิตใจ และความรู้สึก ฉะนั้นต้องสร้างรูปทรงเฟอร์นิเจอร์ให้มีความ
สวยงาม การตกแต่งผิวใหม้ ลี วดลายสีสันจงึ จะเป็นทตี่ ้องการของผู้ใช้
3. ราคาประหยัด (High Economic) เรื่องราคาเป็นด่านสุดท้ายในการตัดสินใจซ้ือ
ถ้าเฟอรน์ เิ จอรน์ นั้ มปี ระโยชนใ์ ชส้ อยดีจรงิ หรืออยา่ งน้อยราคาควรสมดุลกบั คณุ ภาพของผลิตภัณฑ์น้ัน
จึงจะเกดิ ความยุตธิ รรมกับทั้งผูข้ ายและผ้ซู ื้อ
George E. Dieter (2000:47-49) (อ้างในกุลจิตเส็งนา. 2550 : 8) การออกแบบ
อุตสาหกรรม (Industrial Design) หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) ที่ดีนั้นต้องมี
คณุ สมบตั ิ 7 ประการดังนี้
1. ประโยชน์ใชส้ อย (Functional Performance Requirement) ตรงกับความต้องการของ
ผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานและมีคุณภาพในการใชง้ าน (Quality of the user Interface) ในที่น้ี หมายถึง
ความง่ายและความสะดวกสบายในการใช้งานรูปทรงที่กระชับในการจับมีความแข็งแรงทนทานต่อ
การใชง้ านมีความปลอดภยั ในการใชง้ าน
2. ประสทิ ธภิ าพในการทำงาน (Complementary Performance Requirement) หมายถึง
ผลิตภัณฑม์ ีช่วงอายุการใช้งานทค่ี มุ้ คา่ มีความเหมาะสมในการใช้งานมคี ุณภาพทไ่ี ว้วางใจได้ง่ายต่อการ
ใช้งานประหยัดง่ายต่อการดูแลรักษาและซ่อมบ ารุง ( Ability to maintain and repair the
product) นอกจากนั้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องเป็นไปตามข้อก าหนดทางกฎหมายและ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรม
3. รปู ทรงภายนอกสอดคลอ้ งกับความต้องการของกลุ่มเปาู หมาย (Physical Requirement)
และมีความเหมาะสมในการใช้งาน (Appropriate use of resource) และมีความแตกต่างท่ีโดดเดน่
(Product Differentiation)
4. เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ทีเ่ ป็นมิตรกบั ส่งิ แวดลอ้ ม (Environment Requirement)
5. มีรูปลักษณ์สวยงาม (Aesthetic Requirement) สามารถดึงดูดความสนใจได้ดี
(Emotional Appeal)
6. มีความสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในระบบอุตสาหกรรม ( Manufacturing
Technology Requirement)
7. มตี ้นทุนทเี่ หมาะสม (Cost)
5.5 วัสดุและกรรมวธิ กี ารผลติ เฟอรน์ ิเจอร์
วัสดุในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์มีหลายชนิด นักออกแบบควรเลือกพิจารณาวัสดุตาม
คุณสมบัติ ข้อดีและขอ้ เสียของวัสดุนั้นๆ เพื่อที่จะเลือกใช้ไดเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน ซึ่งแบง่ ประเภท
วสั ดเุ ปน็ 3 ประเภทใหญ่ๆ คอื โลหะ สารอินทรยี ์สงั เคราะหแ์ ละสารอินทรีย์ธรรมชาติ
1. โลหะ (Metallic materials) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ โลหะประเภทเหล็ก
เป็นโลหะทม่ี เี หล็กผสมอยู่หรือเปน็ สว่ นประกอบ เช่น เหล็กกลา้ เหลก็ เหนียว เหลก็ ไร้สนิม เหล็กหล่อ
เปน็ ต้น
โลหะประเภทไม่ใช่เหล็ก เป็นโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็ก เช่น อะลูมิเนียม ทองเหลือง
ทองแดง บรอนซ์ สังกะสี เป็นต้น
2. สารอินทรีย์สังเคราะห์ (Organic materials: Synthetically) เป็นวัสดุสังเคราะห์หรือ
วัสดุเทียมท่ีนักวิทยาศาสตรไ์ ด้พัฒนามาจากวัสดุโครงสร้างงา่ ยๆ โดยอาศัยความร้อน ความดัน ที่ทำ
ปฏกิ ิรยิ าเคมีจนไดโ้ ครงสร้างท่ชี บั ชอ้ น เช่น พลาสติก ยางเทยี ม ใยสงั เคราะห์ เป็นตน้
3. สารอินทรียธ์ รรมชาติ (Organic materials from natural sources) ไดแ้ ก่ วัตถุท่ีได้จาก
ธรรมชาติโดยตรง เช่น ไม้ ยาง ดิน หนิ หนังสตั ว์ (วรรณี สหสมโชค,2549)
ลกั ษณะโครงสรา้ งของตน้ ไม้
ตันไม้ที่ใช้งานได้ดี ควรจะมีอายุไมน่ ้อยกว่า 50 ปีโดยเฉลี่ย ยกเว้นไม้โตเร็วและไม้เนื้ออ่อน
เช่น ไม้ยคู าลปิ ตสั ไมส้ นโตเรว็ และไมก้ ระดินเทพา เปน็ ต้น ถ้าเปน็ ไม้เน้อื แขง็ ย่งิ มีอายุมากเนื้อไม้จะ
ยิ่งแกร่ง เมื่อแห้งแล้วอยู่ตัวดี ถ้าเราตัดหน้าของไม้จะเห็นโครงสร้างซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างๆ
อย่างนอ้ ย 8 สว่ น คือ
1. ไสไ้ ม้ (Pith) เปน็ แกนกลางของตน้ ท่เี กดิ มาพร้อมกบั ตน้ ไม้ ซึ่งถอื เปน็ ตำหนขิ องไม้ชนดิ หนง่ึ
เมื่อต้นไมม้ อี ายุมาก ๆ อาจจะแห้งเป็นโพลงได้
2. เปลอื กชัน้ นอก (Outer bark) เป็นสว่ นทอี่ ยภู่ ายนอกรอบๆ ต้นไม้เพอื่ ปอ้ งกันการกระทบ
กระแทกจากแรงภายนอก และการเปลี่ยนแปลงของลักษณะอากาศทวั่ ไป ไมใ่ ห้เปลอื กช้ันในและเย่ือ
เจรญิ ได้รับการบอบชำ้
3. เปลือกช้นั ใน (Inner bark) จะประกอบไปด้วยทอ่ เซลลเ์ ล็กๆ ทเ่ี รียกว่า โพลเอ็ม(Phloem)
จะทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ปรุงแต่งแล้วไปยังส่วนต่าง ๆ ของลำต้น โดยส่งผ่านต่อเซลล์รังสี
อกี ทอดหน่ึง
4. เยื่อเจริญ (Cambium layer) เป็นส่วนเนื้อเยือ่ ลื่นๆ ใต้เปลือกอยู่ระหว่างกลางกระพี้กบั
เปลือกใน สว่ นนจ้ี ะเจริญเตบิ โตขน้ึ เปน็ กระพี้ไมต้ อ่ ไป
5. กระพ้ไี ม้ (Sap wood) เป็นเน้อื ไมท้ ่ยี งั ไมแ่ ก่ ทำหนา้ ท่ลี ำเลียงน้ำและอาหารผ่านท่อชีเล็ม
(xylem) เข้าไปรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์และอากาศที่ใบ โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์
ทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง 1 ของต้นไม้ กระพี้ส่วนใหญ่จะมีสีขาวหรือสีอ่อน
กวา่ แก่นของต้นไม้
6. แก่นไม้ (Heart wood) เป็นเซลล์ของไม้ที่เจริญเต็มที่แล้วสีไม้จะเข้มกว่าส่วนอื่นๆ
ทำหน้าที่ใหค้ วามแขง็ แรงแกล่ ำต้น ส่วนน้ีคือส่วนที่เรานำมาใช้งาน โดยนำมาเลื่อยแปรรูปตามขนาด
ทีต่ อ้ งการ
7. เส้นรอบวงปี (Annual ing) การเจริญเติบโตของเซลล์ที่เรียกว่า วงรอบปี หรือวงปี
เย่ือเจริญน้นั จะเจริญเตบิ โตมากในฤดูใบไม้ผลิ เม่ือเขา้ ฤดฝู นน้ำและอาหารอุดมสมบูรณ์ พอถึงฤดูแล้ง
น้ำมีน้อยเชลล์ที่เกิดข้ึน จะแคบ เล็กและสีเข้ม บางชนิดหยุดการเจริญเตบิ โต ทำให้เกิดเป็นเส้นรอบ
ตนั ไมข้ ึน้ ปลี ะหน่ึงรอบ เราเรียกวา่ เส้นรอบวงประจำปี ดังนน้ั เราจึงสามารถนบั อายุของต้นไม้ได้จาก
เส้นรอบวงนี้ เพราะเส้นนี้จะเกิดขึน้ ทุกปีและเรายังจะไดร้ ู้อกี ว่าปีไหนน้ำฝนอุดมสมบูรณ์ เส้นรอบวง
ประจำปจี ะหา่ ง และถ้าเสน้ รอบวงประจำปถี ่ี ๆ ก็แสดงวา่ ปีนั้นน้ำฝนมนี ้อย ทำใหต้ น้ ไมเ้ จริญเตบี โต
8. เส้นรัศมี (Wood rays) จะมองเหน็ เป็นเสน้ จากกระขี้เข้าไปถึงใจกลางของต้นไม้ตามแนว
รัศมีของหน้าตดั ต้นไม้ เส้นรัศมีจะทำาหน้าที่สะสมอาหารและนำอาหารจากกระพี้ส่วนภายนอกของ
ตน้ เข้าไปเล้ยี งลำตน้
โครงสร้างของเนื้อไม้จะประกอบไปด้วยเชลล์ (Cell) แต่ละเชลล์ยังประกอบด้วยสารหลาย
ชนิดเป็นเส้นใยเล็กๆ ที่เรียกว่าเชลลูโลส (Cellulose) ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ที่มีความสัมพันธ์กับ
คุณสมบัติของไม้มากท่ีสุด เส้นใบเหล่านี้จะยึดติดกันด้วยชเี มนตธ์ รรมชาตทิ ี่เรยี กว่า สิกนิน (Lignin)
ไม่เพียงแห่จะทำหน้าท่ีเปน็ ตัวเชื่อมประสานให้เชลล์ยึดติดกันอย่างเดียวเท่านัน้ ยังจะช่วยทำให้ผนัง
เชลลม์ ีความแขง็ แรงอกี ด้วย
5.6 เทคนคิ การเลอื กไม้ทำเฟอรน์ เิ จอร์
การเลอื กไม้เพอื่ ทำเฟอรน์ ิเจอร์ตอ้ งพิจารณาถึงความสวยงามค่อนข้างมาก ต้องเป็นไม้ท่ีแห้ง
เสี้ยนตรง ไม่มรี ู ตาไม้ รอยแตกรา้ ว ไมม่ ีกระพไี้ ม้ อย่างไรก็ตาม ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ลกั ษณะของงานและ
ส่วนท่ตี ้องใช้ไม้นัน้ ดว้ ย เนื่องจากเราไม่สามารถเลือกใช้แตไ่ ม้ดีๆ ได้ทงั้ หมด จำเป็นต้องเอาไม้ท่ีดีรอง
ลงไปมาใช้ร่วมด้วยในส่วนที่อยู่ภายในหรือส่วนที่มองไม่เห็น งานในส่วนที่ต้องโชว์ลักษณะไม้ ได้แก่
ส่วนท่ีมองเหน็ ชัดเจน เชน่ พืน้ โต๊ะ หน้าตู้ หน้าส้นิ ชกั เปน็ ตน้ ตอ้ งเลอื กใช้ไมท้ ่มี คี วามสวยงามเส้นลาย
ไมต้ รง สสี วย ไมม่ ีตาไมห้ รือรอยแตกร้าว ถ้าจำเปน็ ตอ้ งเพลาะไม้เปน็ แผ่นใหญ่ ตอ้ งให้ลายไม้เรียงกัน
ไปในลักษณะเดียวกัน หรือถ้าเป็นงานท่ีต้องใช้ไม้ในแนวตัง้ ก็ให้เอาลายไม้ที่มรี ูปร่างแหลมตั้งขึ้นให้
เหมือนกัน จะชว่ ยทำให้เกิดความสวยงาม มีระเบียบและส่งเสริมใหเ้ กดิ ความรู้สึกว่าแข็งแรงดีไปด้วย
ถ้ากลับเอาลายไม้ที่มีมุมแหลมเล็กลงด้านล่าง จะทำให้บานตู้นั้นหมดคุณค่าด้านความสวยงาม
ไปอยา่ งมาก
ภาพท่ี 5 ลกั ษณะการใช้ไม้ในแนวต้ัง
ทีม่ า: วรรณี สหสมโชค, ออกแบบเฟอร์นเิ จอร์ (กรุงเทพฯ: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี (ไ2549), 57.
ภาพที่ 6 ตวั อยา่ งการต่อลายไมแ้ บบต่าง ๆ
ที่มา: วรรณี สหสมโชค, ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ (กรุงเทพฯ: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น),
2549), 57.
เฟอร์นเิ จอร์บางชนดิ ใช้ภายนอกอาคาร เช่น เก้าอ้ีสนาม โต๊ะนง่ั พกั ผอ่ น ซึ่งตอ้ งอยู่กลางแดด
และตากฝนอยู่ตลอดเวลา จำเป็นต้องใช้ไม้เนื้อแข็งที่มีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศเช่น ไม้สัก
ไมเ้ ต็ง ไมร้ งั ไม้ประดู่ ไมแ้ ดง ไม้ตะเคยี นทอง เป็นต้น ถา้ เฟอร์นิเจอรท์ ใ่ี ช้ในร่มกค็ วรพิจารณาเลือกไม้
ที่มีความสวยงามและง่ายแก่การจัดทำ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้เนือ้ อ่อนหรือไม้เนือ้ ปานกลาง อาจเป็นไม้
เน้อื แข็งในบางชนิ้ งานที่ต้องการสหี รอื ลายไม้ทส่ี วยงาม
ไม้เนื้ออ่อนที่นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบนั ได้แก่ ไม้ร่มม้า (ช้อ) ไม้ยมหอม ไม้ยางพารา
ไม้มะม่วงปา่ ไม้จำปาปา่ ไม้สน เป็นต้น
ไม้เนอ้ื ปานกลางที่นิยมใช้ทำเฟอรน์ ิเจอร์ ไดแ้ ก่ ไม้สัก ไมต้ ะแบก ไมอ้ ินทนนิ ไมย้ มหินไม้โมก
มัน เป็นต้น สว่ นไมส้ กั เป็นไมท้ ด่ี ีท่ีสุดเน่ืองจากมีลายสวยงาม ไสแตง่ ง่าย ทนต่อสภาพอากาศได้ดีมาก
ปลวก มอดไมท่ ำลาย
ไม้เนื้อแขง็ ที่นิยมใชท้ ำเฟอร์นิเจอรใ์ นปจั จุบัน ได้แก่ ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่าโมง
ไม้เตง็ ไม้รัง เป็นต้น ซ่ึงมลี ายและสีท่ีสวยงาม
ในการผลิตเฟอร์นิเจอรน์ ิยมใช้ไม้เน้อื แขง็ ปานกลาง เนอ่ื งจากเน้ือไม้ท่ีมคี วามแข็งแรงการตัด
ขอบ มุม และพื้นผิวจะสามารถทำได้เที่ยงตรง พื้นผิวไม้มีคุณภาพสูง ทนทาน คงสภาพอยู่ได้นาน
นอกจากนี้ยงั มสี ีและลายไมง้ ดงามกวา่ ไมเ้ นอื้ อ่อน
5.7 การปอ้ งกันรกั ษาเน้อื ไม้
นอกจากการผึ่งและการอบไม้ให้แห้งตามต้องการแล้ว ยังมีวิธีป้องกันการรักษาเนื้อไม้ให้
คงทนถาวรและสวยงามด้วย เราสามารถป้องกนั รักษาได้โดยวธิ ตี อ่ ไปนี้
1. การทาน้ำมนั
ใช้น้ำมันเครื่องเกา่ ๆ ทาไม้ป้องกันแมลง เชื้อราและป้องกันไม้ผุได้ดี ซึ่งเหมาะทีจ่ ะใช้ทาไม้
หมอนรถฟ เสาไมใ้ กลๆ้ พน้ื ดิน
ข้อดี : ราคาถูก ทาแล้วติดทนทาน ทางา่ ย ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
ขอ้ เสีย ทาแลว้ ไมค่ อ่ ยแหง้ ขาดความสวยงาม จับตอ้ งไม่คอ่ ยได้
ใช้น้ำมันดินทา เป็นน้ำมันท่ีได้จากการกลั่น สกัดถ่านหิน มีสีดำ หรือสีน้ำตาลไหม้ใช้มากทีส่ ุดในการ
ป้องกันรกั ษาเนื้อไม้ ไดแ้ ก่ โซลกิ นม่ั (Solignum)
ขอ้ ดี : มีสิ่งเป็นพษิ แกเ่ ชือ้ ราและแมลงต่าง ๆ ไมค่ ่อยละลายน้ำ ระเหยช้า ทาแลว้
ทนทาน ใช้งา่ ย สามารถแทรกซมึ เขา้ ไปในเนือ้ ไมไ้ ดด้ ี หาง่าย ราคาไมแ่ พงนัก ใชแ้ ปรงธรรมดาทาได้
เร็วกวา่ ทาสี 5-7 เทา่
ข้อเสยี : มกี ล่นิ เหมน็ ไมเ่ หมาะท่จี ะทาบ้านพกั อาศัย และถา้ แพ้จะกัดผิวหนังผทู้ าด้วย
2. การทาสี
การทาสเี คลือบผิวทีบแสง สีท่ใี ช้ทาไม้จะตอ้ งเปน็ สนี ำ้ มัน ซงึ่ มีอยหู่ ลายชนดิ บางชนิดแห้งเร็ว
บางชนดิ แหง้ ชา้ แลว้ แตค่ ุณภาพของสีและส่วนผสมของตัวทำละลาย โดยปกตสิ ี 1 แกลลอน จะทำไม้
ไดพ้ ื้นท่ปี ระมาณ 35 ตารางเมตร ความทนของสที ่ีทาแลว้ ประมาณ 5 ปี โดยเฉลีย่ มากหรือน้อยกว่าน้ี
ประมาณ 2 ปี คอื สี่ไมค่ ่อยดจี ะทนไดป้ ระมาณ 3 ปี แต่สดี ีจะทนได้ถงึ 7 ปี
ถ้าใช้สีพลาสติกทำจะต้องป้องกันยางไม้ด้วยการทาเชลเล็กหนึ่งถึงสองครั้งก่อนจึงจะทาสี
พลาสติกได้ มิฉะนั้นยางไม้จะออกมาทำให้เป็นรอยด่าง สีพลาสติกนี้ทาเพื่อความสวยงาม เท่านั้น
ไม่ไดช้ ่วยรักษาเน้ือไมเ้ ทา่ ใดนกั เนอื่ งจากเป็นสที ผี่ สมกบั นำ้
การทาสีเคลือบผิวบาง เป็นการป้องกันรกั ษาเนอ้ื ไม้ เมือ่ ทาแล้วสามารถมองเหน็ ลายไม้และสี
ของไม้สวยงามเป็นธรรมชาติมากที่สุด วัสดุที่ใช้ทาได้แก่ เชลเล็ก ยูรีเทน แล็กเกอร์ น้ำมันทีคอยล์
นำ้ มนั วานิช เปน็ ต้น เปน็ การรกั ษาเนอื้ ไม้ให้ทนทาน เพราะสที ใ่ี ชท้ านป้ี ้องกันความขนึ้ ได้ดีทนทานข้ึน
สารเคมีท่ใี ช้มดี ้วยกนั หลายชนดิ ไดแ้ ก่
3. การใช้สารเคมี ทาไม้หรืออัดเข้าไปในเนื้อไม้ จะทำให้ไม้มีคุณสมบัติดีข้ึนและชิงคลอไรด์
(Zinc chloride) เปน็ ผงสีขาวละลายง่ายในนำ้ รอ้ น
ข้อดี : เปน็ สารทล่ี ะลายน้ำได้ ราคาถกู หาซ้ือง่าย ไม่มกี ลิ่น ไมม่ ีอันตรายจากอัคคีภัย เม่ืออัด
เขา้ ไปเน้อื ไม้จะมีผลทำให้ไมท้ นไฟไดม้ ากขึน้
ข้อเสีย : ละลายน้ำได้ดี ทาแล้วเมื่อถูกน้ำจะละลายหายไปได้ง่าย เมื่อทาไม้แล้วไม้จะหดตัว
ได้มากโชเดียมฟลูออไรด์ (Sodium fluoride) เป็นผลึกสีขาวละลายน้ำแล้วทางา่ ย รักษาเนื้อไมไ้ ดด้ ี
ไม่มีกลิ่น ไม่มีอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัย ราคาแพงกว่าชิงคลอไรด์ ส่วนอาร์ซีนิก (Arsenic) สารหนูผสม
เจือจาง ใช้ทารักษาเนื้อไม้ไดด้ ีมาก สารนเ้ี ปน็ พิษแก่เชือ้ ราและแมลงต่างๆ
ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้สารชนิดนี้ทาไม้โครงสร้างบ้านพักอาศัย เมื่อทาแล้วจะระเหยเป็น
แก๊สท่อี าจเปน็ อันตรายแกร่ า่ งกายผู้อยู่อาศยั ได้
คอปเปอรซ์ ลั เฟต (Copper sulphate) นสเี ปน็ ผลกึ สีฟ้าป้องกันไม้ผุได้ได้ดีละลายน้ำแล้วทา
งา่ ยราคาไม่แพงนกั มีอนั ตรายตอ่ ผูใ้ ชน้ ้อยมาก
ข้อควรระวงั : สารชนดิ น้กี ดั เหล็กหรือเหลก็ กล้า ซึง่ ใชป้ ระกอบกบั งานท่ีทำหรือส่วนก่อสร้าง
เชน่ ตะปู หรือนอตทย่ี ดึ โครงสร้างต่างๆ โซเดยี มซิลเิ กต (Sodium silicate) ใชผ้ สมกับน้ำเย็นละลาย
แล้วนำไปทาเคลือบผิวไม้ไว้ ทำให้ไม้ทนทานสารเคมีที่ใช้ผสมน้ำทา ไม่ควรใช้ทาภายนอกอาคาร
เพราะเมื่อถกู น้ำฝนชะล้างสารเคมจี ะละลายไปกับนำ้ ดว้ ย
คอนอินเซกทิไซด์ (Con insecticide) เป็นน้ำยาเคมีชนิดเข้มข้น มีอำนาจแทรกซึมสูง
ใช้ทาหรือพ่นรักษาเนื้อไม้ที่ไม่ได้ทาสีเพียงครั้งเดียว มีอายุการป้องกันได้นาน 8-10 ปี ซึ่งใช้กันอยู่
ทัว่ ไปในปัจจบุ นั การดดั น้ำผาเข้าไปในเน้อื ไม้หรือถาบน้ำมาไม้
5.8 กรรมวธิ กี ารผลตเฟอร์นิเจอร์ไม้
สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้แล้วเทคนิคในการผลิตเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะมีผลโดยตรงต่อ
คุณภาพของผลิตภัณฑ์และราคา และที่สำคัญคือมีผลต่อรูปร่างที่จะปรากฎ (Form appreciably)
ฉะนั้นในการตัดสินใจที่จะเลือกว่าควรจะใช้เทคนิคในการผลิตรูปแบบใดจึงจะสอดคล้องกับลกั ษณะ
ของเครอื่ งจักร เคร่ืองมือที่จะทำการผลติ และรปู ร่าง (Form) ท่นี กั ออกแบบต้องการ เทคนิคที่นิยมใช้
ทำเฟอร์นิเจอรม์ ีดังนี้ คอื
1. เทคนิคแบบขุด เจาะ (Block wood or sculpture techniques) เทคนิคแบบน้ี คือ
การนำเอาไมข้ นาดใหญ่ นำมาขดุ เจาะ เหลาแตง่ ใหม้ รี ูปร่างหรอื ช้นิ ส่วนทต่ี ้องการ ซ่ึงจะต้องใช้เวลา
ในการผลิตนาน งานประเภทนี้มักจะพบในสมัยโบราณและสมัยกลางที่ชอบนำเอามาใช้ในการผลิต
เฟอร์นิเจอร์ เช่น การทำบันไต ทำสาก ทำเก้าฮี้ เป็นต้น ซึ่งแม้ในปัจจุบันนี้กี่ยังมีการนำเอาเทคนิค
แบบนี้มาใช้กบั เฟอร์นิเจอร์อยู่ แต่เปน็ บางชิ้นสว่ นทีต่ ้องการนำมาประกอบเท่าน้ัน โดยเฉพาะประเทศ
เดนมารค์ ยงั นิยมเทคนิคแบบนอ้ี ยู่
2. เทคนคิ แบบไม้แผน่ ตรง (Solid wood or straight wood technique) เทคนคิ แบบน้เี ป็น
ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป คือ การนำเอาไม้จริงลักษณะตรงตั้งแต่สองชิ้นขึ้นไปนำมาประกอบติดกัน
เพื่อทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ต่าง 1 ซึ่งลักษณะเชื่อมต่อกันนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ใช้ตะปูยึดหรือใช้กาวยีด
ส่วนวิธีการที่ยุ่งยากมากกว่านั้นคือ การเข้าเตือย เข้าลิ้น และบางวิธีการต้องการช่างที่มีฝีมือและ
ความชำนาญเปน็ พิเศษ เทคนิคแบบนีน้ ิยมใชใ้ นระบบอุตสาหกรรม (Mass-production) มาก เพราะ
สะดวกรวดเร็วในการผลติ และงา่ ยแก่การทำดว้ ยเคร่ืองจักร
3. เทคนิคแบบงอไม้ (Bending wood techniques) ลักษณะเฟอร์นิเจอร์แบบนี้มีความ
ต้องการด้านรูปโค้ง เว้า (Shapes) เป็นพื้นฐาน ซึ่งวิธีการดัดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับ
คุณสมบัติเฉพาะตวั ของไม้แต่ละชนิดว่ามคี วามออ่ นตัวและความแข็งตวั มากน้อยเพียงใด ตลอดจนมี
ความเหนยี วทนต่อการตตั ได้แค่ไหน มกั จะพบอยูเ่ สมอวา่ ไมบ้ างชนดิ เมอ่ื ตดั แล้วมีรอยแตกรา้ วหรือคืน
ตัวได้ง่ายวิธีการตัดแบบดั้งเดิม คือ การนำไม้ไปต้มจนนิ่มตัว แล้วตัดโค้งตามแบบโลหะที่ตัดไว้แล้ว
โดยการยึดไม้ติดกับแบบโถทะนั้นเป็นจุด ๆ ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จะได้รูปโค้งตามแบบที่ต้องการแต่
วธิ กี ารดังทีก่ ลา่ วมานี้ไม่สามารถใช้ตัดกับมมุ ท่ีโค้งมาก ๆ ได้ นอกจากจะใช้เทคนิคแบบใช้ไม้แผ่นบาง
(Vencer) ปะไปตามตัวแบบทีละชั้น จนได้ความหนาตามต้องการ การปะที่นิยมทำกันก็จะใช้กาวทา
แทรกในทกุ ๆ ข้ันของแผน่ ไมแ้ ผน่ บาง
4. เทคนิคแบบไม้ประสาน (Laminated wood or plywood technique) เทคนิคแบบไม้
ประสาน คือ การนำไม้มีขนาดเล็ก ๆ หรือบาง ๆ ประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจแบ่งไวเ้ ป็น 3 ลักษณะ
คอื ลักษณะแบบไม้อดั แบบไมจ้ ริงประสานและแบบผสม
4.1 ลกั ษณะแบบไมอ้ ัด เป็นการประสานกนั ระหว่างไม้แผ่นบางหลายๆ ชนมา
4.2 ลกั ษณะแบบไม้จริงประสาน เปน็ การนำแผ่นไม้ ทอ่ นไม้ขนาดเล็กมาประสานกัน
เขา้ ด้วยกัน ทำให้เปน็ แทง่ หนาข้ึน เพ่อื ให้เป็นไปตามความต้องการในดา้ นการออกแบบ
4.3 ลกั ษณะแบบผสม เปน็ การประสานผสมกับวัสดุชนิดอ่ืนทไ่ี ม่ใช่ไม้ เชน่ พลาสติก
และโลหะต่าง ๆ
จดุ ประสงค์ในการใชเ้ ทคนิคแบบไม้ประสาน (Laminated wood)
1. เพ่ือปอ้ งกันการบิดงอของไม้
2. เพื่อทำใหน้ ้ำหนกั เบาขึน้
3. ตอ้ งการใชป้ ระโยชน์จากไมร้ าคาแพงให้มากทสี่ ุด
4. เพื่อความสวยงามของลักษณะเฉพาะผิวของไม้แต่ละชนิดและตามความต้องการในด้าน
การออกแบบ
5. เทคนิคแบบแม่พิมพ์ (Molded plywood) เป็นการนำไม้แผ่นบางมาช้อนทับกันหลายๆ
ช้นั ลงบนแม่พิมพ์ เทคนิคแบบน้จี ะมขี อบเขตจำกดั ในด้านการออกแบบมากข้นึ เพราะการจะออกแบบ
ให้มีมุมโค้งหรือเว้าชับช้อนไม่ได้เพราะจะไม่สามารถถอดออกจากแม่พิมพ์ได้ ฉะนั้นการออกแบบ
รูปรา่ ง (Form) และประโยชน์ใช้สอย (Function) จะถกู จำกัด
ขน้ั ตอนการใชเ้ ครือ่ งจักรกบั งานเฟอร์นิเจอรไ์ ม้
ภาพที่ 7 ลำดับของการใช้เครื่องจักรในโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์มา: วรรณี สหสมโชค,
ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ (กรุงเทพฯ: สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี (2549), 73.
4. แนวคิดเก่ยี วกบั การออกแบบ
4.1 ความสำคญั ของงานออกแบบผลติ ภณั ฑ์
งานออกแบบผลิตภัณฑ์ มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตจากวัสดุเหลือใช้ของมนุษย์ทั้ง
ทางตรงและทางอ้อมเพราะเป็นส่งิ จำเป็นเบ้อื งตน้ ท่สี ำคญั ท่ีสดุ 2 ประการคอื
1. จากสิ่งของทใี่ ช้ในชีวติ ประจำวัน ไดแ้ ก่ การประดิษฐ์ ขน้ึ เพือ่ อำนวยความสะดวกสบายใน
การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การนำดินเหนียวมาปั้นเป็นชาม ถ้วย หม้อ ไห ใส่อาหารซึ่งถือว่าเป็นการ
ประดษิ ฐช์ ้ินแรกของมนษุ ย์ท่ีสรา้ งขน้ึ เพ่ือการดำรงชวี ติ ทด่ี ี ควบคูก่ ับววิ ัฒนาการ ดา้ นอ่ืนของมนุษย์
2. การออกแบบดา้ นสงั คม
2.1 เศรษฐกิจ การนำวัสดุท้องถิ่นมาดัดแปลง สร้างสรรค์เพื่อสร้างสิ่งใช้สอย สนองความ
ต้องการในครอบครัวของตนเอง จากนั้นขยายวงไปยังครอบครัวอื่น จนกลายเป็นระดับท้องถ่ิน
ในภูมิภาค และระดับชาติ เป็นระบบการผลิตเบื้องต้นใช้วัสดุและแรงงานในท้องถิ่นนั้นๆ ทำให้
ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น การผลิตระดับครัวเรือนพัฒนาเป็นการผลิตระดับอุตสาหกรรมจัดว่าเป็น
รากฐานทางเศรษฐกิจเบือ้ งต้น
2.2 วัฒนธรรมผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่น เป็นการแสดงเอกลักษณ์ เฉพาะการดำเนินชีวิต
ท่มี ีขน้ั ตอน มรี ะบบ มคี วามงาม ท้งั ในด้านสิ่งประดษิ ฐ์และด้านสุนทรียภาพ ตวั อยา่ งเชน่ กระต๊ิบของ
ชาวเหนือกับกล่องข้าวของชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาชนะใส่ข้าวเหนียวนึ่งเหมือนกัน
แต่รปู รา่ งลักษณะตา่ งกนั มเี อกลักษณเ์ ฉพาะแตล่ ะภาค
2.3 ดา้ นอาชีพการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถ่นิ เป็นงานท่ีสามารถประกอบเป็นอาชีพ
อิสระที่อาศัยฝีมือความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก ลงทุนน้อย ผลงาน ผลงานที่ได้ มีประโยชน์ต่อการ
ใช้สอย หรือการประดับตกแตง่
จุดมุง่ หมายของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์
แนวคดิ การนำวสั ดทุ ้องถิน่ มาประดษิ ฐ์เปน็ ช้นิ งานต่างๆมีจุดมุ่งหมาย 4 ประการ ดังนี้
1. เพอื่ ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งนุง่ หม่
ผลติ ภณั ฑ์จากวสั ดุท้องถน่ิ ท่ใี ชเ้ ปน็ เครือ่ งนงุ่ ห่ม ไดแ้ ก่ เสื้อ กางเกง กระโปรง ของไทยมีท้ังผ้า
ฝ้ายทอมือ ผ้าไหมของชุมชนทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเด่นของผ้า
ซื้อลวดลายการทอ ได้แก่ ผา้ ทอลาย มดั หม่ี ผา้ ทอลายขดิ เป็นต้น
ปจั จบุ นั นอกจากเครื่องนุ่งหม่ ยังมกี ารนำผ้าทอ ไปทำเปน็ กระเป๋า ปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ ผ้า
หม่ กล่องกระดาษทชิ ชู ฯลฯ จำหน่ายเป็นของชำรว่ ย ของท่ีระลึกอกี ดว้ ย
2 เพื่อใชเ้ ป็นเครอ่ื งประดบั
เครื่องประดับที่เป็นผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิน่ มีรูปแบบหลากหลายที่นิยม ใช้ มักเป็นวัสดุ
ด้ังเดิมตั้งแตด่ ิน เครื่องเงิน เครื่องถม เปลือกหอย ปัจจุบันยังมีการนำวัสดุอื่น ได้แก่ เปลือกข้าวโพด
ใบยางพารา เกล็ดปลา กะลามะพร้าว ไม้ มาใช้เป็นวัสดุในการประดิษฐ์ด้วย ทำให้น้ำหนักเบาและ
ราคาถูกเป็นท่นี ยิ ม ในสมัยนี้
3 เพ่ือใช้เปน็ เครอื่ งตกแต่ง
เครื่องตกแตง่ จากวัสดุท้องถิน่ ได้แก่ การประดิษฐ์ช้ินงานเพื่อประดับตกแตง่ บ้าน ที่นิยมกัน
ท่ัวไป มกั เปน็ กรอบรูป เครอ่ื งแขวน แจกนั ตุ๊กตา เปน็ ตน้
4. เพ่ือใช้เป็นเครื่องมอื เคร่ืองใช้
การประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ด้วยวัสดุในท้องถิ่น จากหลักฐานที่ค้นพบ ส่วนใหญ่เป็นการ
ทำเคร่อื งมอื เครือ่ งใชใ้ นการประกอบอาชีพ เช่น ไถ คราด แอบ ลอบ เป็นต้น
วัสดุท้องถิ่นที่นิยม นำมาใช้ในการประดิษฐ์มักเป็นวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ กกว่าหลายไม้ใบ
ยางพารา เปลอื กหอย ผักตบชวา เปน็ ต้น
4.2 หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์
การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) คอื การออกแบบส่ิงของเครอื่ งใชเ้ พอื่ นำมาใช้สอย
ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการผลิตจำนวนมากในรูปสินค้าเพื่อให้ผ่านไปยังผู้บริโภคในวงกว้าง
โดยที่รูปแบบและคุณภาพของผลิตภัณฑ์จะเป็นปัจจัยสำคัญชักจูงผู้บริโภคให้เกิดความกระหายที่จะ
จ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือใช้คือ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์จากวัสดุเหลือใช้หรือวัสดุที่ไม่ใช้
ประโยชน์แล้วแต่สามารถนำสว่ นใดส่วนหน่ึงของวัสดุมาผลิตเป็นผลติ ภัณฑ์ทีม่ ปี ระโยชนใ์ ช้สอยใหม่
การออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ การรู้จักวางแผนจดั ตัง้ ขั้นตอน และรู้จักเลือกใชว้ สั ดุวิธีการเพ่อื
ทำตามที่ต้องการนั้น โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบและคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตาม
ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา เช่น เราจะทำเก้าอี้นั่งซักตัวจะต้องวางแผน'
เปน็ ขนั้ ตอนโดยต้องเรม่ิ เลอื กวสั ดุทจี่ ะใช้ทำเกา้ อน้ี ้นั จะใชว้ ัสดุอะไรท่เี หมาะสม วิธีการต่อยึดนั้นกวรใช้
กาว ตะปูน หรือใช้ข้อต่อแบบใด คำนวณสัคส่วนการใช้งานให้เหมาะสม ความแข็งแรงของเก้าอี้นั่ง
มากนอ้ ยเพียงใด สีสนั ควร ใช้สอี ะไรจึงจะสวยงาม และทนทานกบั การใชง้ าน เปน็ ตน้
ปัจจัยท่ีเก่ียวกบั การออกแบบผลติ ภณั ฑ์
การออกแบบผลิตภัณฑ์มีปจั จัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง 4 ประการคอื
1. การออกแบบที่สมั พนั ธ์กับคณุ ภาพของผลิตภัณฑ์
2. การออกแบบท่ีสัมพนั ธ์กับวสั ดแุ ละกระบวนการผลติ
3. การออกแบบทสี่ ัมพันธก์ ับคความต้องการของผูบ้ รโิ ภค
3.1 กวามต้องการท่ีสอดกล้องกับความเปน็ อยู่
3.2 ความสอดคล้องกบั สภาพเศรฐกิจ
4. การออแบบทม่ี คี ุณคา่ ทางความสวยงาม
จากข้อสรุปข้างต้น การออกแบบผลิตภัณฑ์จึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายด้านซึ่งควรจะได้
พจิ ารณา คอื
1. การออกแบบท่ีสมั พันธก์ ับคณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์การออกแบบผลิตภณั ฑ์ ควรต้องพจิ ารณา
ถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นประการแรกเพ่ือจะได้ออกแบบใหไ้ ด้ความคงทนถาวรมากน้อยหรือให้
เหมาะสมกับการใช้เพียงช่ัวคราวของผลติ ภัณฑ์น้ัน เพราะการออกแบบจะต้องคำนึงถึงวัสดุและเวลา
การผลิตไปพรอ้ มกันถ้าออกแบบโดยไม่ศึกษาถึงคุณภาพตามเป้าหมายของการผลิตแล้วก็ไม่สามารถ
ออกแบบท่เี หมาะสมได้
2. การออกแบบที่สัมพันธ์กับวสัดุและกระบวนการผลิตทางด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์
โดยตรงด้วยการผลิตสิ่งของเครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์กำลังการผลิตเป็นจำนวนมากมีความจำเป็นสูง
เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการผลิตเช่นเครือ่ งจักรหรือเครื่องทุนแรงอื่นๆ ย่อมเหมาะสมกับวัสดุอย่างหน่ึงทำให้
การออกแบบผลิตภัณฑต์ อ้ งพิจารณาถึงวัสดแุ ละกระบวนการผลิตไปพร้อมกัน
3. การออกแบบที่สัมพันธ์กับหน้าที่ใช้ส้อยหน้าท่ีใช้ของผลิตภัณฑแ์ ต่ละชิ้น เป็นสิ่งจำเป็นที่
ผู้ออกแบบพจิ ารณา แม้การออกแบบผลติ ภัณฑ์ทม่ี ีเครอื่ งกลไกซับซอ้ น ผู้ออกแบบจะไมร่ ู้ระบบทำงาน
ของผลิตภัณฑ์น้ันทั้งหมดกค็ วรจะรู้การทำงานของผลิตภัณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบหรอื
แม้แต่การออกแบบผลติ ภัณฑ์ท่ีไม่เก่ียวข้องกับเคร่ืองกลไกผู้ออกแบบจะต้องทำความเข้าใจกับหน้าที่
ใช้สอยเป็นประการสำคญั ด้วย
4. การออกแบบที่สัมพันธ์กับความต้องการของผู้บริโภคอาจจะพิจารณาได้ 2 แง่ คือความ
ต้องการสอดคล้องกับชีวติ ความเปน็ อยู่กับการสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจความต้องการสอดคล้อง
กับชีวิตความเป็นอยู่เป็นความต้องการทีเ่ หมาะสมกับสภาพวัฒนธรรม รสนิยม และการใช้ผลิตภัณฑ์
น้ันๆความต้องการของผู้บริโภคยังเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจโดยตรงอีกด้วย ถ้าสภาพเศรษฐกิจ
ตกต่ำการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ราคาสูง สินค้าฟุ่มเฟือยหรือเน้นความงามทางการ
ออกแบบมากจนผลิตภัณฑ์น้ัน ราคาสูงการออกแบบเช่นน้ีอาจจะไม่สอดคล้องกับความต้องของ
ผบู้ ริโภคได้
5. การออกแบบท่ีมีคุณค่าทางความงามเพอื่ ให้ผู้ออกแบบตระหนกัถึงความงามที่เด่นชัดร่วม
สมัยและมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์แทรกอยู่ในการออกแบบแต่ละชน้ิ ความประณีตบรรจงในการออกแบบ
หรือผลติ ภัณฑ์เปน็ คุณค่าส่วนหน่ึงของความอกี ดว้ ย
แนวคิดในเร่ืองวัฎจักรของผลิตภัณฑ์ชี้ให้เราเห็นว่า ระดับของผลกำไรจะไม่คงทีอ่ ยู่ตลอดไป
โดยไม่ลดลงสินคา้ใด ๆ ก็ตามย่อมจะต้องถึงจุดอิ่มตัวและถดถอยเหมือนกัน หมดด้วยเวลาและ
ความเร็วที่ต่างกันออกไปดงัน้นัการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา จึงเป็น
แนวทางให้ผลิตภณั ฑ์เปน็ ท่ีต้องการของผู้บริโภคตอ่ ไปไมส่ ิ้นสดุ
การลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก สภาพการณ์ของตลาดมีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างสลับซับซ้อนและไม่แน่นอนอัตราการล้มเหลวของผลิตภัณฑ์ใหม่จึงค่อนข้างสูง
ผลิตภัณฑ์บางชนิดเปน็ ผลจากความคิดสร้างสรรค์ ที่ดมี ากแต่ไม่มีการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม เวลาพดูถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ถอดด้ามเสมอไป
ผลิตภัณฑ์ใหม่ส่วนมากเป็นนวัตกรรมที่พัฒนามาจากสิง่ ประดิษฐ์เก่าแตใ่ ช้ประโยชน์ได้ดีกว่าเดิมและ
เป็นที่ยอมรับของท้องตลาด การหยิบยืมเอาความคิดหรือผลงานออกแบบในอดีตมาขดัเกลาใหม่
พัฒนาตอ่ เติมเสรมิ แต่งให้ขยายออกไปเป็นฐานของการสร้างนวตักรรมท่ีไม่มสี นิ้ สุด
4.2 ขน้ ตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์
ขน้ ตอนที่1 : การวางแผน
1.1 กำหนดเวลา
1.2 ผลงานที่จะได้รับในแต่ละขนั้ ทำงาน
1.3 รายละเอยี ดของตราสินค้า
1.4 ผู้รบั ผิดชอบในแตล่ ะขนั้ ตอน
ขนั้ ตอนที่2 : การรวบรวมข้อมลู
2.1 ข้อมูลการตลาด
2.2 สถานการณ์แข่งขัน จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส ข้อจำกัด (SWOT: Strength Weakness
Opportunity Treat)
2.3 ขอ้ มลู จากจดุ ขาย
2.4 ความตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมายและพฤตกิ รรมผู้บริโภค
2.5 เทคโนโลยีใหม่ๆ ทางดา้ นวัสดุบรรจภุ ัณฑ์และเคร่ืองจักร
ขนั้ ตอนที่3 : การออกแบบร่าง
3.1 พัฒนาความคิดริเริ่มต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
3.2 ร่างตน้ แบบ ประมาณ 3-5 ตน้ แบบ
3.3 ทำต้นแบบ ประมาณ 2-3 ต้นแบบ
ขน้ั ตอนท่ี4 : การประชุมวเิ คราะห์ปรบั ตน้ แบบ
4.1 วเิ คราะห์ความเปน็ ไปไดท้ างเทคนคิ
4.2 วิเคราะหก์ ารสนองความต้องการของกลุ่มเปา้ หมาย
4.3 เลอื กต้นแบบท่ยี อมรับได้
ขนั้ ตอนท5ี่ : การทำแบบเหมอื นร่าง
5.1 เลือกวัสดุที่จะทำแบบ
5.2 ออกแบบกราฟฟกิ เหมือนจริง พร้อมตราสินคา้ และสัญลกั ษณ์ทางการคา้
5.3 ขน้ึ แบบ
ขนั้ ตอนท่6ี : การบรหิ ารการออกแบบ
เริ่มจากการติดต่อโรงงานผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์จนถึงการควบคุมงานผลิตให้ได้ตามแบบที่
ต้องการพร้อมทั้งจัดเตรียมรายละเอียดการสั่งซ้ือ (Specification) เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบ
สามารถผลิตได้ตามตอ้ งการ
สุดท้ายเป็นการติดตามผลของการบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบไปแล้วว่าสามารถสนองตาม
จุดมงุ่ หมายของการออกแบบและบรรจุถึงวัตถุประสงค์ขององค์กรเพยี งใด
4.3 ความสำคัญของการออกแบบผลิตภณั ฑ์
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดองค์ประกอบของงานออกแบบผลิตภัณฑ์การออกแบบ
ผลิตภัณฑม์ ีปัจจัย (Design factors) มากมายที่นกั ออกแบบท่ีต้องคำนงึ ถึง แตใ่ นที่น้จี ะขอกล่าวเพียง
ปัจจยั พืน้ ฐาน 10 ประการ ท่ีนิยมใชเ้ ปน็ เกณฑ์ในการพิจารณาสร้างสรรค์
1. ความสำคัญในดา้ นคณุ ค่าทาง ศลิ ปะ งานออกแบบทีด่ ที ำใหผ้ ลิตภณั ฑ์ มีความงามดงึ ดูดใจ
สามารถตอบสนอง รสนิยมของผบู้ ริโภคได้
2. มีประสิทธิภาพทางอุดสาหกรรม มีการเลือกวัสดุที่ดีเพื่อนำเข้าสู่ กระบวน การผลิตที่มี
ประสิทธภิ าพลงทนุ น้อย แตม่ ีปรมิ าณผลผลิตทเ่ี พ่ิมข้ึน
3. มีคุณภาพทางการบริโภค ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบที่ดี มีการใช้วัสดุที่ดีมีกระบวนการ
ผลิตอย่างมปี ระสิทธิภาพจะทำให้ผลิตภัณฑ์มคี วามคงทนและ มีความปลอดภัยในการใชส้ อย
4. มีศักยภาพในการแข่งขันทางพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ที่มีความงาม ความ คงทนและความ
ปลอดภัยจะเปน็ ทต่ี อ้ งการของตลาดทำให้มียอดขายสงู สามารถแข่งขนั ชนดิ เดยี วกนั ของบริษัทอ่นื
5. มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เมื่อบริษัทมกี ำไรจากการขายผลิตภณั ฑ์ ที่มีการออกแบบที่ดี
บริษัทจะนำผลกำไรมาลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โคยการ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมหรือสร้าง
ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คล้ายกถึงกับผลิตภัณฑ์เดิมเกี่ยวพันกันขึ้นด้วยการออกแบบที่ดีจะช่วยให้บริษัท
สามารถรักษาลกู ค้าเดมิ ไวไ้ ด้ ในขณะเดยี วกัน
6. มีศกั ยภาพในการรกั ษาลกู ค้าเดมิ การปรบั ปรุงผลิตภณั ฑเ์ ดิมหรอื การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่
บริษัทยังสามารถดงึ ดดู ลูกค้าใหมท่ ี่มรี สนยิ มอย่างเดยี วกนั ได้ดว้ ย
7. มีการพยากรณ์ทีด่ ี เป็นที่คาดหมายกันว่าสินค้าที่มีการออกแบบไม่ดี จะไม่ค่อยได้รับการ
ขอมรับของประชาชนในทางตรงกันข้ามสินค้าที่มีการออกแบบ ที่ดีจะได้รับการยอมรับ ทำให้การ
พยากรณ์เปน็ ไปในทางทพี่ ึงประสงก์
8. มีการรบั รองคุณภาพตามระบบ ISO 9000 ผลติ ภณั ฑข์ องบริษทั ที่ได้รบั ประกันคุณภาพมี
การควบคมุ การออกแบบกระบวนการผลติ การตรวจและการทคสอบลกั ษณะและคุณลักษณะโดยรวม
ของผลิตภณั ฑแ์ ละแสดงให้เห็นได้ ทำให้ผบู้ ริโภคเกิดความพงึ พอใจ
9. มีการคิดกันสิ่งใหม่ เมื่อมีความด้องการพัฒนาผลิตภณั ฑ์ใหม่ หรือ ต้องการผลิตภัณฑ์ท่มี ี
ความแปลกและแตกตา่ งไปจากเดิมตัง้ แตร่ ะดับเล็กนอ้ ยจนถึงระดบั มาก เปน็ ตน้ วา่ บริษทั ผลติ รถยนต์
จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยกับรถยนต์รุ่นเดิมอยู่เสมอ เพื่อให้กลายเป็นรถยนค์รุ่นใหม่พร้อมกับ
ราคาที่เพมิ่ สูงขน้ึ
10. มกี ารพฒั นาทีมงานในการออกแบบ เปน็ การทำงานรว่ มกันระหวา่ ง นกั ออกแบบด้วยกัน
และทำงานรว่ มกบั บคุ ลากรฝ่ายการตลาด วิศวกร ฝ่ายผลติ คนงานรวมท้งั ผู้บริหารองคก์ าร
5. งานวิจัยที่เกีย่ วข้อง
ศศิกาญจน์ นารถโคษา (2556) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน ให้สะท้อนความเป็นไทยมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำให้ เกิด
ลักษณะเฉพาะทางรปู ลักษณท์ แ่ี ตกต่าง มกี ารใชส้ อยที่สอดคลอ้ งกบั ความเปน็ อย่ปู ัจจบุ ัน เปน็ การเพิ่ม
มิติคุณค่าทางวัฒนธรรมและความหมายของชิ้นงาน ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกทางความคิดต่อ
สินค้านน้ั ๆ แตกตา่ งกันออกไปจากผลิตภัณฑ์อื่นที่มอี ยเู่ ดิม ซึ่งทำการศกึ ษาพฤติกรรมการใช้งานสวน
ในบ้านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากวรรณกรรมต่างๆ และสร้างแบบสอบถามกลุ่มเป้าหมายเพ่ือ
สอบถามพฤติกรรมการใช้สวนในบ้าน และความต้องการของผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน นำมาวิเคราะห์
ร่วมกับการศึกษาอัตลักษณ์ไทยท่ีจะนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบใหต้ อบสนองพฤติกรรม
และความตอ้ งการของกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้การเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพอ่ื นำมาวเิ คราะห์ ในรูปแบบการ
วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ควบคู่กัน
การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (X) และคู่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) หรือ
“หมอนสามเหลี่ยม" เพราะมคี วามสอดคลอ้ งกบั พฤตกิ รรมการน่งั / นอนพกั ผ่อน และตรงกบั
จากการศกึ ษาอัตลกั ษณ์ไทย เรงบนั ดาลใจท่ใี ช้งานการออกแบบ คือ "หมอนขวานผ้าชดิ ความ
ต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ทำการตอบแบบสอบถาม ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันแพร่หลาย
มมี าต้งั แตอ่ ดีตกาลและยงั ใชอ้ ยจู่ นถงึ ปจั จุบนั
ผลของการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อตัวมลิตภัณฑ์ พบว่า คุณค่าและคุณลักษณะ
ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน ที่สะท้อนอัตลักษณ์โทยชุดนี้ ทั้งด้านความสวยงาม
การใช้งานแนวคิดที่สะท้อนความเป็นไทย รูปแบบเฟอร์นิเจอร์ มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ
และความเป็นไปได้ในห้องตลาดนั้น กลุ่มผู้บริโภคเป้หมายมีความพึงพอใจตัวผลิตภัณฑ์
ในระดบั มาก ซึ่งมคี ำเฉลยี่ 4.08 (S.D. - 0.84)
รุ่งรัศมี วันจงคำและขวัญชนก บุญพิมพ์ (2559) โครงการนี้เป็นโครงการประเภท
นวัตกรรมสิ่งประดษิ ฐ์ช้ันวางของจากไม้พาเลท มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ 1). เพ่อื ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์การ
เรียนรขู้ องโครงการ 2). เพอื่ ใหน้ กั ศึกษาเกิดความสามัคคีและร่วมมือปฎิบัตงิ านกนั เป็นทีม 3) เพ่ือให้
นักศึกษามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากไม้ผลิตภัณฑ์ จากไม้อัดเบา และเพื่อเป็นการลด
ปริมาณการใช้ทรัพยากรไม้ 4) เพื่อตอบสนองแนวทางพระราชดำรัสปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
โดยใช้วสั ดุเหลอื ใชม้ าสร้างให้เกิดประโยชน์
มีวิธีการดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่1 ขั้นเตรียมการ ข้ันที่2 ขั้นดำเนินการ และข้ันที่ 3
ขน้ั ประเมนิ ผลจากผลการดำเนินงาน สรปุ ไดด้ งั นี้
1. วัน เวลาและสถานที่ดำเนินโครงการ คือ เริ่มดำเนินโครงการต้ังแต่วนั ที่1 กรกฎาคม
2559 ถึงวันที่ 20 กุมภาพนั ธ์ 2560 รวมปฏิบัตงิ าน 34 สปั ดาห์สถานท่ีด าเนนิ โครงการคอื 60/274ข.
ม.1 ซ.พร้อมนมิ ิต 8 ถ.เทพารักษ์ ต.บางเมอื ง อ.เมืองฯ จ.สมทุ รปราการ 10270
2. ผลการดำเนนิ งานดา้ นงบประมาณ มีเงนิ ลงทุน 5,000 บาท เสยี ค่าใช้จา่ ยด้านวัสดุอปุ กรณ์
เปน็ จำนวนเงนิ 2,070 คงเหลอื 2,930 บาท คืนเงินใหส้ มาชิกคนละ 1,465 บาท
3. ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั จากการดำเนนิ โครงการ การดำเนินงานบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์การเรียนรู้
ของวิชาโครงการสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุที่ไม่สามารถใช้ได้แล้วทำให้สมาชิกในกลุ่มเกิด
ความสามัคคีและมีความร่วมมือจากการทำงานเป็นทีม และทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์สร้าง
ผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหมแ่ ละมีคุณคา่
4. ปญั หาและอุปสรรคที่เกดิ ข้ึนในระหว่างการดำเนนิ โครงการ 1) ปัญหาในด้านเคร่ืองมอื และ
อปุ กรณ์ที่สมาชกิ ภายในกลมุ่ ไม่มีความชำนาญในการใช้ 2)สมาชกิ ในกลุ่มยังทำงานไม่เป็นทีมและบาง
คนอาจไมป่ ฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ทำให้เสียเวลาในการร่างรูปแบบของส่ิงประดิษฐ์ 3) ไม้อัดเบามี
ความเหนียวและแข็งเวลาตัดหรือเจาะใสส่ กรอู าจจะทำใหไ้ มแ้ ตกได้
5. การแก้ไขปัญหา 1) ได้ความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ให้ความรู้เกี่ยวกับ
การใช้เครือ่ งมอื ตา่ งๆมาช่วยสอนวิธีการใช้อยา่ งถกู ตอ้ ง 2) ประธานโครงการมีการเรียกประชุมสมาชิก
ภายในกลุ่มให้ทำหนา้ที่ของแต่ละคนอย่างเต็มความสามารถ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือและคอย
อำนวยการประสานให้สมาชิกภายในกลมุ่ 3) สมาชิกในกลุ่มได้มีการค้นหาขอ้ มูลการออกแบบของตัว
ผลิตภัณฑ์ที่มีความแปลกใหม่และทันสมัยทางอินเทอร์เน็ต นิตยสารตกแต่งบ้าน สอบถามอาจารย์
ผสู้ อน เพอื่ นำมาเป็นแนวทางในการออกแบบตัวสิ่งประดิษฐ์ 4) ใชค้ วามระมัดระวังในขนั้ ตอนการตัด
หรอื เจาะสกรมู ากขึ้น
6. ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา 1) ต้องพยายามทีจ่ ะเรียนรู้ในสิง่ ต่างๆเพราะการ
ใชเ้ ครือ่ งมือถา้ ใช้ผดิ วิธกี ็สามารถก่อให้เกดิ ซ่งึ ตรายต่อรา่ งกาย และสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดซ้ือ
มาทดแทนถา้เกดิ ความเสยี หาย 2) สมาชิกทุกคนจะต้องคำนึงถงึ การทำงานเป็นทมี เม่ือสมาชิกภายใน
กลุม่ ขาดความรับผิดชอบทกุ คนในกลมุ่ ตอง้ บอกกลา่ วหรือเตอื นให้บุคคลน้ันรู้ตัวและการทำงานตามท่ี
ได้รับมอบหมาย 3) ต้องมีการหาความรู้หรือหาข้อมูลต่างๆนำมาเป็นแนวทางในการปรับใช้ให้เกิด
ประโยชนต์ อ่ การดำเนินโครงการต่อไป
จากผลการสำรวจทัศนคติทีข่ องผ้บู รโิ ภคท่ีตอบแบบสอบถาม จำนวน 100 คน โดยถามส่วน
ประสมทางการตลาด (4P’s) ส่วนประสมทางการตลาด (4P’s) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
มีค่าเฉล่ีย (X = 4.5) เพอ่ื พิจารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ด้านผลติ ภัณฑอ์ ยู่ในระดับ มากท่สี ุด มีค่าเฉล่ีย
( X = 4.57 ) ด้านราคาอยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย ( X = 4.44 ) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย
อยู่ในระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( X= 4.53 )และ ด้านการส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดับ มาก
มีคา่ เฉลย่ี ( X = 4.48 ) ตามลำดบั
นภัทร โลหะพงศธรและอชิตพล ศิริมุขอาคม (2563) โครงการนี้เป็นโครงการประเภท
นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ชั้นวางหนังสือ O2 วัตถุประสงค์เพื่อ 1). เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้
ของโครงการ 2). เพื่อให้นักศึกษาเกิดความสามัคคีและร่วมมือปฎิบัติงานกันเป็นทีม 3) เพื่อให้
นักศึกษามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากไม้ผลิตภัณฑ์ จากไม้อัดเบา และเพื่อเป็นการลด
ปริมาณการใช้ทรัพยากรไม้ 4) เพื่อตอบสนองแนวทางพระราชดำรัสปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
โดยใช้วสั ดเุ หลอื ใช้มาสรา้ งให้เกดิ ประโยชน์
มีวิธีการดำเนินการ 3 ข้ันตอน คือ ข้ันที่1 ข้ันเตรียมการ ขั้นที่2 ขั้นดำเนินการ และข้ันที่ 3
ขนั้ ประเมนิ ผลจากผลการดำเนนิ งาน สรปุ ได้ดังน้ี
1. วันเวลาและสถานที่ดำเนินการโครงการคือเริ่มดำเนินโครงการต้ังแต่วันท่ี
4 มิถุนายน 2562 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 สถานที่ 63/59 ม.1 ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง
จ.สมุทรปราการ
2. ผลการดำเนินงานด้านงบประมาณมีการลงทุน 2,500 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายจำนวน
1,240 บาท ยอดคงเหลือ 1,260 บาท แบง่ กำไรให้สมาชกิ ในกลมุ่ 2 คน คนละ 630 บาท
3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ ซึ่งตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
(1.) การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้วิชาโครงการ (2.) สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุ
เหลือจากธรรมชาติและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ไม่มีอาชีพ (3.) ทำให้เกิดความสามัคคีและมีความร่วมมือ
จากการทำงานเป็นทีมของสมาชิก (4.) ทำให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และผลิตภัณฑ์แปลกใหม่
และมีคุณคา่
4. ปญั หาและอุปสรรคท่เี กดิ ข้ึนระหว่างการปฏิบตั งิ านโครงการคือ (1.) เวลาว่างไม่ตรงกันจึง
ทำให้เกิดการล่าช้าในการปฏิบัติงาน (2.) ขาดการวางแผนก่อนปฏิบัติงานจึงทำให้การดำเนินการ
ปฏบิ ตั งิ านล่าช้า (3.) สมาชิกในกลุ่มขาดความช านาญในการใชเ้ ครือ่ งมือ
5. ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาโครงการประเภทนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ คือ
(1.) ควรประชุมวางแผนการกับสมาชิกในทีมเพือ่ จดวันเวลาใหต้ รงกันและนัดหมายการปฏิบัติหน้าที่
อย่างน้อย 1 สัปดาห์ (2.) ควรมีการคิดดำเนินการวางแผนก่อนปฏิบัติงานเพื่อให้ไม่มีข้อผิดพลาด
(3.) ศกึ ษาคู่มอื และวธิ ีการใช้เคร่ืองมือก่อนการปฏิบัตงิ านและสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้
เคร่ืองมอื ในการทำงานเพือ่ ลดความผดิ พลาดในการปฏบิ ตั งิ าน
6. จากรายงานผลแบบสอบถามความพงึ พอใจที่มีต่อชั้นวางหนังสือ O2 ดา้ นส่วนประสมทาง
การตลาด 4P’s โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย x = 4 .26 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า
ด้านผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย x = 4.30 รองลงมาด้านส่งเสริมการขายอยู่ในระดับมาก
มีค่าเฉลี่ย x = 4 .27 รองลงด้านการจัดจำหน่ายอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย x = 4 .23
และด้านราคาอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย x = 4.22 ตามลำดับ