พระนางมัลลิก ลิ า
สารบัญ เรื่อง หน้า ประวัติ วั ติ มัล มั ลิกาขอพระพุทธเจ้า จ้ มัล มั ลิกาแพ้ท้ พ้ ท้ อง จากนำ้ ในสระโบกขรณี พัน พั ธุละ พร้อ ร้ มกับบุตรชาย 32 คน ถูก ถู สัง สั หารสิ้นสิ้ พระเจ้า จ้ปเสนทิโกศลทราบความจริงริ คุณ คุ ธรรมที่ควรถือเป็น ป็ แบบอย่า ย่ ง 1 2 3 5 7 9
นางมัลลิกา เป็นพระธิดาของกษัตริย์อ ย์ งค์ห ค์ นึ่งในแคว้น ว้ กุสิน สิ ารา ซึ่งภายหลังได้ส ด้ มรสกับพันธุลเสนาบดีพันธุล เสนาบดี เป็นโอรสของเจ้า จ้ มัลละในเมืองกุสิน สิ ารา เป็น ศิษ ศิ ย์ศึย์ ก ศึ ษาศิล ศิ ปวิท วิ ยาในสำ นักเดียวกันกับปเสนทิกุ ทิ กุ มาร แห่ง ห่ แคว้น ว้ โกศล และเมื่อศึก ศึ ษาจบได้ก ด้ ลับไปยังกุสิน สิ ารา นคร และได้แ ด้ สดงศิล ศิ ปวิท วิ ยาที่ได้ศึ ด้ ก ศึ ษามาให้เหล่า ล่ มัลล กษัตริย์ชย์ ม แต่ถู ต่ ถู กเจ้า จ้ มัลละบางพวกแกล้ง ล้ ด้ว ด้ ยความ น้อยใจ จึงหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของปเสนทิ กุมาร ซึ่งต่อ ต่ มาได้ค ด้ รองราชย์เ ย์ป็นพระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศล และได้ท ด้ รงสถาปนาพันธุละในตำ แหน่งเสนาบดี พันธุละ ก็ไก็ ด้รั ด้รั บราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้า จ้ปเสนทิ โกศลด้ว ด้ ยความซื่อสัตย์สุย์ สุ จริต สำ หรับพันธุลเสนาบดีผู้นี้ ผู้ นี้ ได้ส ด้ มรสกับเจ้า จ้ หญิง ญิ มัลลิกา แต่ห ต่ ลังจากแต่ง ต่ งานเป็น เวลานานก็ยั ก็ยั งไม่มี ม่ มี บุตร จนสามีคิด คิ ว่า ว่ นางเป็นหมัน (ตาม ความเชื่อสมัยนั้น นั้ ถือว่า ว่ สตรีที่ไม่สม่ ามารถมีบุตรได้จ ด้ ะ ทำ ให้สามีเป็นคนอาภัพ ต้อ ต้ งถูกส่ง ส่ ตัวกลับตระกูลเดิม) จึงส่ง ส่ นางกลับตระกูลของตน ประวัติ ( 1 )
ก่อ ก่ นเจ้า จ้ หญิง ญิ มัลลิกากลับ ได้ถ ด้ วายบังคมลาพระพุทธเจ้า จ้ ที่พระเชตวัน พระพุทธองค์จึ ค์ จึ งตรัสถามว่า ว่ เธอจะไปไหน พระนางจึงกราบทูลไปว่า ว่ จะกลับไปยังเมืองมาตุภูมิ เพราะไม่สม่ ามารถให้กำ เนิดบุตรแก่สก่ ามีได้ จึงถูกส่ง ส่ ตัว กลับ แต่พ ต่ ระพุทธองค์ต ค์ รัสอย่า ย่ ด่ว ด่ นกลับเลย นางมัลลิกาคิด คิ ว่า ว่ พระพุทธเจ้า จ้ ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ รู้ เห็น ห็ ทีเราคงมี บุตรแน่ๆ พระองค์จึ ค์ จึ งตรัสถามอย่า ย่ งนี้ พระนางดีใจเป็น ล้น ล้ พ้น พ้ และเดินทางกลับบ้า บ้ นทันที มัลลิกาขอพระพุทธเจ้า ( 2 )
มัลลิกาแพ้ท้อง จากนำ้ ในสระโบกขรณี อยู่ม ยู่ าไม่น ม่ านพระนางก็แ ก็ พ้ท้ พ้ อ ท้ งอยากลงอาบและดื่มน้ำ ใน สระโบกขรณี อันเป็นสระน้ำ มงคลและเป็นที่หวงแหน ของพระเจ้า จ้ ลิจฉวี เมืองไพศาลี สระนี้ได้รั ด้รั บการอารักขา เป็นอย่า ย่ งดี พันธุละอุ้ม อุ้ ภริยาขึ้นรถถือธนูคู่ชีคู่ ชี พ มุ่ง มุ่ หน้าไป ยังเมืองไพศาลีเมื่อถึงเมืองไพศาลีแล้ว ล้ ก็มุ่ ก็ มุ่ ง มุ่ ตรงไปยังสระ โบกขรณี และใช้แ ช้ ส้ห ส้ วายหวดไล่เ ล่ หล่า ล่ ทหารที่อารักขาสระ น้ำ จนแตกกระจาย ให้ภริยาลงอาบน้ำ ดื่มน้ำ แล้ว ล้ ขึ้นรถ ห้อตะบึง บึ กลับ พวกเจ้า จ้ ลิจฉวีเมื่อทราบว่า ว่ มีผู้บุ ผู้ บุ กรุกก็อ ก็ อกติดตาม มหาลิ ลิจฉวีสหายร่วมสำ นักของพันธุละ ซึ่งบัดนี้ตาบอดทั้ง ทั้ สอง ข้า ข้ ง และเป็นอาจารย์ข ย์ องลิจฉวีราชกุมารทั้ง ทั้ หลาย ได้ยิ ด้ น ยิ เสีย สี งฝีเท้า ท้ ม้า ม้ และล้อ ล้ รถวิ่ง วิ่ ผ่า ผ่ นไป รู้ทันทีว่า ว่ เป็นพันธุล เสนาบดีผู้เ ผู้ กรียงไกร จึงร้องห้ามพวกลิจฉวีไม่ใม่ ห้ตามไป เพราะจะเป็นอันตรายแก่ชีก่ ชี วิต วิ แต่พ ต่ วกเจ้า จ้ ลิจฉวีไม่เ ม่ ชื่อฟัง ( 3 )
พันธุละบอกภริยาว่า ว่ ถ้า ถ้ รถม้า ม้ ที่ตามมาปรากฏเป็นแนว เดียวกันเมื่อไรให้บอก และเมื่อนางมัลลิกาเห็น ห็ ว่า ว่ รถได้ เรียงแถวเป็นแนวเดียวกันแล้ว ล้ จึงบอก พันธุละจึงโก่ง ก่ คันศรปล่อ ล่ ยธนูไปด้ว ด้ ยความแรง ลูกธนูออกจากแล่ง ล่ ด้ว ด้ ยความเร็วเจาะเกราะทะลุหัวใจของมัลลกษัตริย์ 500 คน พร้อมกัน ล้ม ล้ ลงสิ้น สิ้ ชีวิต วิ หมดสิ้น สิ้ ต่อ ต่ มานางมัลลิกาก็ค ก็ ลอดบุตรชายแฝด 16 ครั้ง รั้ ครั้ง รั้ ละ 2 คนบุตรทั้ง ทั้ หมดเจริญเติบโตเต็ม ต็ วัยแล้ว ล้ ได้เ ด้ รียน ศิล ศิ ปวิท วิ ยาสำ เร็จกันจนหมดแต่ล ต่ ะคนก็มี ก็มี บุรุษบริวารนับ พันคน อยู่ม ยู่ าวันหนึ่ง พันธุลเสนาบดี ได้ท ด้ ราบว่า ว่ พวกอำ มาตย์ ผู้วิ ผู้ นิ วิ นิ จฉัยคดี วินิ วิ นิ จฉัยคดีด้ว ด้ ยความไม่ยุ ม่ ยุ ติธรรมเก่เ ก่ จ้า จ้ ทุกข์ จึงวินิ วิ นิ จฉัยเสีย สี เอง ทำ ให้ประชาชนมีความยุติธรรม เรื่องรู้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศล พระองค์จึ ค์ จึ งทรงมอบหน้าที่วินิ วิ นิ จฉัยคดีแก่พั ก่ พั นธุละอีก ตำ แหน่งหนึ่ง ( 4 )
( 5 ) พัน พั ธุละ พร้อ ร้ มกับบุตรชาย 32 คนถูก ถู สัง สั หารสิ้น สิ้ พวกอำ มาตย์ไย์ ม่พ ม่ อใจ จึงยุยงให้พระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศล ส่ง ส่ ให้พันธุละไปปราบโจรที่ชายแดน และส่ง ส่ ทหารไปดัก ฆ่า ฆ่ พันธุละและพร้อมกับบุตรชาย 32 คนจนสิ้น สิ้ ชีวิต วิ หมด สิ้น สิ้ วันที่พันธุละและบุตรทั้ง ทั้ หมดถูกฆ่า ฆ่ นางมัลลิกานิมนต์ พระอัครสาวกทั้ง ทั้ สอง พร้อมภิกษุ 500 รูปไปฉัน ภัตตาหารที่บ้า บ้ น เช้า ช้ วันนั้น นั้ มีคนนำ จดหมายมาแจ้ง จ้ ว่า ว่ สามีและบุตรของพระนางถูกโจรฆ่า ฆ่ ตายหมดสิ้น สิ้ นางรับ มาอ่า อ่ นเสร็จแล้ว ล้ ใส่ช ส่ ายพกไว้แ ว้ ละจัดการงานถวาย ภัตตาหารต่อ ต่ ขณะนั้น นั้ นางทาสี(สี สาวรับใช้)ช้ ซึ่งยกถาด แก้ว ก้ ใส่เ ส่ นยใสเข้า ข้ มาถวายพระภิกษุก้า ก้ วพลาดทำ ถาดนั้น นั้ ตกลงแตก พระภิกษะนั้น นั้ เห็น ห็ ว่า ว่ ถาดแก้ว ก้ มีราคาสูงมาก จึงเกรงว่า ว่ นางมัลลิกาจะเกิดโทสะและลงโทษนางทาสีผู้ สี ผู้ นั้น นั้ จึงพูดปลอบใจหวังให้คลายโทสะว่า ว่ " ธรรมดาของ ย่อ ย่ มแตกเสีย สี หายได้ อ ด้ ย่า ย่ ได้คิ ด้ ด คิ เสีย สี ดายเสีย สี ใจเลย " นาง มัลลิกาจึงนำ จดหมายออกจากชายพกและเรียนต่อ ต่ พระ เถระว่า ว่ "เมื่อเช้า ช้ นี้ ดิฉันได้ข่ ด้ า ข่ วว่า ว่ สามีและบุตรชายทั้ง ทั้ 32 คน ได้ต ด้ ายเสีย สี แล้ว ล้ ยังไม่คิ ม่ ด คิ อะไร เพียงแค่ถ ค่ าด เนยใสแตกจะคิด คิ อะไรเล่า ล่ "
( 6 ) *** ในสำ นวนที่แตกต่า ต่ ง : พระราชพรหมยาน(หลวง พ่อ พ่ ฤๅษีลิงดำ )วัดท่า ท่ ซุง เล่า ล่ ไว้อี ว้ อี กนัยว่า ว่ พระเถระที่พระภัต ตุเทศก์จั ก์จั ดให้ไปรับภัตตาหารตามที่นางมัลลิกานิมนต์ใต์ น วันนั้น นั้ ไม่มี ม่ มี พระอริยะบุคคลหรือพระผู้ท ผู้ รงฌานที่มีเจโต ปริยญาณ(ญาณรู้ใจผู้อื่ ผู้ อื่ น)เลย เมื่อนางทาสีทำ สี ทำมัลลิกาทำ ถาดแก้ว ก้ แตก..ไม่มี ม่ มี ภิกษะรูปใดรู้ว่า ว่ ใจนางมัลลิกายังคง สงบนิ่งเลย ท่า ท่ นจึงได้คิ ด้ ด คิ เมตตาพูดปลอบใจเช่น ช่ นั้น นั้ และเมื่อนางมัลลิกาตอบโดยยกข่า ข่ วเรื่องสามีและบุตร เสีย สี ชีวิต วิ ที่เพิ่ง พิ่ มาถึงในเช้า ช้ นั้น นั้ แต่ก ต่ ลับวางใจได้ส ด้ งบนิ่ง นั้น นั้ ก็ทำ ก็ ทำให้พระภิกษุเหล่า ล่ นั้น นั้ ตระหนักได้ว่ ด้ า ว่ นางมัลลิกา ผู้นี้ ผู้ นี้ บรรลุอริยะบุคคลถึงระดับพระอนาคามีซึ่งจะสามารถ ตัดปฏิฆะได้ห ด้ มดสิ้น สิ้ แล้ว ล้ * ในสำ นวนที่หลวงพ่อ พ่ พระราชพรหมยานเล่า ล่ นั้น นั้ น่าจะ สมเหตุผลกว่า ว่ สำ นวนที่บอกว่า ว่ ..นิมนต์อั ต์ อั ครสาวกทั้ง ทั้ สอง ไป เพราะถ้า ถ้ เป็นพระอัครสาวก หรือพระอริยะผู้ท ผู้ รงฌาน ย่อ ย่ มทราบดีว่า ว่ นางมัลลิกามีจิตใจสงบเย็น ย็ ไม่มี ม่ มีโทสะต่อ ต่ นางทาสี. สี .ไม่มี ม่ มี ความจำ เป็นต้อ ต้ งพูดปลอยโยนแต่อ ต่ ย่า ย่ งใด
( 7 ) พระเจ้า จ้ปเสนทิโกศลทราบความจริง ริ นางมัลลิกาเรียกสะใภ้ทั้ง ทั้ 32 คน มาให้โอวาทว่า ว่ สามีของพวกเธอไม่มี ม่ มี ความผิด แค่ไค่ ด้รั ด้รั บผลกรรมที่ทำ ไว้แ ว้ ต่ปต่ างก่อ ก่ น พวกเธออย่า ย่ ได้เ ด้ ศร้าโศกไปเลย จาก นั้น นั้ บุรุษที่พระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศลส่ง ส่ คนมาสอดแนม ได้ นำ ข้อ ข้ ความที่นางมัลลิกาสอนแก่สก่ ะใภ้ไปกราบทูลให้ พระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศลทรงทราบ พระองค์ท ค์ รงสลดพระ ราชหฤทัยที่หลงเชื่อคนผิด ทำ ให้พันธุละเพื่อนผู้ ซื่อสัตย์พ ย์ ร้อมบุตรต้อ ต้ งเสีย สี ชีวิต วิ พระเจ้า จ้ปเสนทิโทิ กศลได้ล ด้ งโทษประหารพวกอำ มาตย์ ที่ทูลความเท็จ ท็ และทรงไปกล่า ล่ วขอโทษกับนางมัลลิกา พร้อมลูกสะใภ้ด้ว ด้ ยพระองค์เ ค์ อง นางไม่ไม่ ด้โด้ กรธอะไร แต่น ต่ างได้ข ด้ อพระราชาอนุญาตว่า ว่ จะกลับไปยังเมือง มาตุภูมิพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้ง ทั้ หมด พระองค์ก็ ค์ ท ก็ รง อนุญาต และรับทีฆการายนะผู้เ ผู้ป็นหลานชายของพันธุ ละเป็นอำ มาตย์
หลังจากที่นางมัลลิกาพร้อมกับสะใภ้ทั้ง ทั้ 32 คนได้ก ด้ ลับ ไปยังเมืองมาตุภูมิแล้ว ล้ พวกนางไม่ไม่ ด้ปด้ รากฏตัวอีก เลย จนกระทั่งหลังจากพระพุทธเจ้า จ้ ทรงดับขันธ์ ปรินิพพานที่เมืองกุสิน สิ ารา แคว้น ว้ มัลละ พวกมัลล กษัตริย์แ ย์ ห่ง ห่ เมืองกุสิน สิ าราได้อั ด้อั ญเชิญพระพุทธสรีระไป ถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ โดยนำ ขบวน เคลื่อนที่จากทิศทิ เหนือไปยังทิศทิ ตะวันออกของเมืองกุสิ นารา ระหว่า ว่ งทางขบวนเคลื่อนที่ นางมัลลิกาได้ข ด้ อให้ ขบวนหยุดแล้ว ล้ นำ มหาลดาปสาธน์ เครื่องประดับของ นางมาถวายแก่พ ก่ ระพุทธสรีระจนพระพุทธสรีระเปล่ง ล่ แสงประกายอย่า ย่ งน่าอัศจรรย์ ในบั้น บั้ ปลายชีวิต วิ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ไม่ ด้ร ด้ ะบุ ว่า ว่ นางเสีย สี ชีวิต วิ เมื่อใด แต่ค ต่ งดำ รงขันธ์อ ธ์ ยู่พ ยู่ อสมควรแก่ กาลจึงอันตรธานไป ( 8 )
( 9 ) คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง 1.เป็นภรรยาที่ดี และมารดาที่ดี 2.เป็นชาวพุทธที่ดี 3.มีสติสัมปชัญญะและมีความอดทนสูง 4.เป็นผู้ไผู้ ม่คิ ม่ ด คิ อาฆาตพยาบาท 5.เป็นผู้ที่ ผู้ ที่ มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่า ย่ ง มั่นคง
น.ส.รุจิราภา จั่นประดับ ม.5/1 เลขที่ 22 จัดทำ โดย