The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงาน เรื่อง ผ้ามัดย้อมฝึกประสบการณ์รายได้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jutarmasskhongjang, 2024-02-15 02:51:22

โครงงาน เรื่อง ผ้ามัดย้อมฝึกประสบการณ์รายได้

โครงงาน เรื่อง ผ้ามัดย้อมฝึกประสบการณ์รายได้

1 กิตติกรรมประกาศ โครงงานเรื่องนี้ประกอบด้วยการดำเนินงานหลายขั้นตอน นับตั้งแต่การศึกษาหาข้อมูล การทดลอง การวิเคราะห์ผลการทดลอง การจัดทำโครงงานเป็นรูปเล่ม จนกระทั่งโครงงานนี้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวคณะผู้จัดทำโครงงานได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำใน ด้านต่าง ๆ ตลอดจนได้รับกำลังใจจากบุคคลหลายท่าน คณะผู้จัดทำตระหนักและซาบซึ้งในความ กรุณาจากทุก ๆ ท่านเป็นอย่างยิ่ง ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณทุก ๆ ท่าน ดังนี้ กราบขอบพระคุณครูจุฑามาศ คงแจ้ง ครูที่ปรึกษาประจำกลุ่ม ที่ให้คำแนะนำและได้เมตตา ให้ความช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน ตลอดจนเอื้อเฟื้อห้องปฏิบัติการของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมและเครื่องมือต่าง ๆ ในการทำโครงงานนี้จนประสบความสำเร็จ กราบขอบพระคุณ ผู้อำนวยการโรงเรียน และคุณครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานี ทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์และให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ที่คอยดูแลเอาใจใส่และให้ คำปรึกษาอย่างดี ขอขอบคุณ เพื่อน ๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการโครงงาน ท้ายสุด ขอกราบขอบพระคุณ คุณพ่อและคุณแม่ ผู้เป็นที่รัก ผู้ให้กำลังใจและให้โอกาส การศึกษาอันมีค่ายิ่ง คณะผู้จัดทำ


2 บทคัดย่อ โครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลิตภัณฑ์การมัดย้อมผ้า ภูมิปัญญาและวิธีการย้อมผ้า ของโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร สนามหลวง 2 ตลาดกรุงธนบุรีเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์และการปฏิบัติโดยเจาะจงเลือกโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร สนามหลวง 2 ตลาดกรุงธนบุรี สมาชิกจำนวน 2 คน จากผลการศึกษาพบว่ามีผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เสื้อมัดย้อมลายธรรมชาติ หรือแก้ว เป็นต้น เทคนิคการมัดในรูปแบบการพับแล้วมัด การห่อแล้วมัด การขยำแล้วมัด และการพับ การม้วนผ้าแล้วหนีบ เพื่อสร้างลวดลายของผ้าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ มัดยอมผ้าสีต่าง ๆ โดยใช้วิธีการสกัดสีย้อมผ้าจากสีย้อมเย็นและวิธีการย้อมเย็น การออกแบบลวดลาย ผ้าเป็นสีต่าง ๆ จากการผสมสี เช่น สีชมพู สีฟ้า สีม่วง หรือสีน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้สีที่ผู้ผลิต ต้องการจะและทำให้สีที่ได้มีความเข้มมากขึ้น ชนิดของผ้าและเพิ่มประสิทธิภาพของสีอยู่กับการวาด ลวดลายของผู้ทำและการหมักผ้าอย่างดี รวมถึงการล้างสีให้มีความคงทน สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้ ผู้ผลิตหรือผู้ที่ต้องการสนใจ ความสำคัญ : มัดย้อม การย้อมสีวิธีการย้อมเย็น ภูมิปัญญา


3 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผ้ามัดย้อมเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชนชาติและได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนมี ความสำคัญใน อุตสาหกรรมสิ่งทอระดับประเทศเนื่องจากผ้ามัดย้อมเป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่จะนำมา พัฒนาเพื่อส่งออก ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงเริ่มที่จะให้ความสนใจที่จะศึกษาหาแนวทางในการพัฒนา ผ้ามัดย้อมให้ได้ตามความต้องการของตลาด ทั้งภายในและนอกประเทศ (นันทิยา ดอนเกิด, 2560) ทั้งนี้ ผ้ามัดย้อมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากการทำผ้ามัดย้อมจะเกิดจากวิธีการ ขั้นตอน และสีของการย้อม ทำให้เกิดลวดลาย รูปแบบ ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม จากสีธรรมชาติเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ดำรงเอกลักษณ์ในรูปแบบและสีสัน คือเส้นใยฝ้ายที่เป็นวัสดุ จากธรรมชาติ รูปแบบ กระบวนการและลวดลายล้วนมาจากสีของธรรมชาติ ลวดเป็นเอกลักษณ์ของ ผ้ามัดย้อมที่ได้ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของความง่ายนี้อาจจะยังไม่ถูกใจคนไทย หรือท าให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจ แต่กลับไปถูกใจชาวต่างชาติมากกว่า (ชนกนาถ มะยูโซ๊ะ, 2555) การถ่ายทอดด้านความรู้สึก ความภาคภูมิใจหรือรสนิยมเพื่อสานต่อจากคนรุ่นหลังจึงเป็นเรื่อง ยากในปัจจุบัน และประกอบกับการได้รับอารายธรรมที่หลากหลาย กระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ผู้คน หลงลืมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีค่า โดยเฉพาะผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติก็อาจจะเลือนหายไปในที่สุด นอกจากนี้กระบวนการผลิตผ้ามัดย้อมจากสีธรร มชาตินั้น จะต้องออกแบบลวดลายผ้ามัดย้อมให้มี คุณสมบัติเหมือนผ้าสังเคราะห์ รวมทั้งเฉดสีที่ต่างจากธรรมชาติแต่ยังคงได้เอกลักษณ์ของความเป็น ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความคงทนของสีแต่ละชนิด นอกจากนี้ผ้าที่ยอมสีจากธรรมชาติที่ เกิดการตกสีกลับพบว่ามีความสวยงามเพิ่มขึ้นหรือมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้คนสมัยก่อนการย้อม เสร็จพอตัดเป็นเสื้อแล้วนำไปหมักเย็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนจะสลับสีอ่อนสีแก่ไว้ ตรงไหน ความสวยงามมีเสน่ห์ของผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติอยู่ที่ผู้ผลิตจะลงสีแบบที่ต้องเพราะมีชิ้นเดียว ในโลก แต่ละสีที่ได้เกิดจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน และคุณประโยชน์ของพืชพรรณที่อยู่รอบตัว อาจจะใช้ ลายจากธรรมชาติจากใบไม้ไม่เพียงแต่ให้ความสวยงามเท่านั้นแต่ยังช่วยรักษาคุณภาพของเส้นใยอีก ด้วย (ชนกนาถ มะยูโซ๊ะ, 2555) 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา จากโครงงานเพื่อการจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ของโรงเรียนฝึกอาชีพ กรุงเทพหานคร สนามหลวง 2 ตลาดธนบุรีซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการเรียนการสอนกับสร้างประโยชน์แก่ ชุมชนกลุ่มเป้าหมายนักเรียน กลุ่มที่ 40 รายวิชาการสื่อสารและการนำเสนอ รหัสวิชา I22202


4 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มุ่งเน้นการจัดเก็บองค์ความรู้ของโรงเรียนฝึกอาชีพ กรุงเทพหานคร สนามหลวง 2 ตลาดธนบุรีเพื่อให้สมาชิกและผู้ที่ต้องการศึกษาหรือผู้นใจ สามารถเข้าถึงองค์ความ ความรู้ และจัดเก็บความรู้ สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมดังกล่าวได้ศึกษาพบ ภูมิปัญญาเป็นองค์ความรู้ของสถานที่นี้ที่มีการพัฒนาและวิธีการผลิตผ้ามัดย้อมแบบเย็นเพื่อสร้าง รายได้ให้กับผู้สนใจในการย้อมผ้า และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กลุ่มโครงงาน กลุ่มที่ 40 จึงสนใจศึกษาผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมของโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพหานคร สนามหลวง 2 ตลาดธนบุรีให้ คงอยู่ในสังคมไทยต่อไป 1.3 สมมติฐานการศึกษา นักเรียนและครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานีชื่นชอบผ้ามัดย้อม 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 1.4.1 ใช้หลักการออกแบบการทดลองแบบรวมปัจจัยส่วนและกระบวนการ Combined Mixture-Process Design 1.4.2 ศึกษาผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมเย็นและผ้ามัดย้อมโดยทั่วไป 1.4.3 ใช้วัตถุดิบในการทำผ้ามัดย้อมแบบเย็นโดยกำหนดสัดส่วนแบบธรรมดาทั่วไป 1.4.4 ทำการทดสอบเปรียบเทียบการย้อมผ้า ชนิดของผ้าความแตกต่างของลายผ้าแบบ ธรรมดาและแบบลายก้นหอย 1.4.5 ทำการหมักผ้า โดยกำหนดสภาวะแวดล้อมคงที่ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 ได้ส่วนผสมที่เหมาะสมในการย้อมผ้าตามลายของตนเอง 1.5.2 เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ใช้ในการย้อมผ้า และเป็นแนวทาง พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมต่อไป


5 บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาค้นคว้าสำหรับผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมมีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้า ดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสภาพทั่วไปของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม 1.1 ประวัติความเป็นมาของผ้ามัดย้อม 1.2 ข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม 1.3 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับผ้ามัดย้อม 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมซิลิเกต 2.1 สรรพคุณของโซเดียมซิลิเกต 3. เอกสารเกี่ยวข้องกับผ้าคอตตอน (COTTON) 3.1 สรรพคุณของผ้าคอตตอน (COTTON) 4. เอกสารเกี่ยวข้องกับน้ำส้มสายชู 4.1 สรรพคุณของน้ำส้มสายชู 5. เอกสารที่เกี่ยวกับการออกแบบ 5.1 ความหมายการออกแบบ 5.2 ประเภทการออกแบบ 5.3 ส่วนประกอบของการออกแบบ 5.4 กระบวนการออกแบบ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสภาพทั่วไปของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม 1.1 ประวัติความเป็นมาของผ้ามัดย้อม การทำผ้ามัดย้อมอาจเริ่มเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของคนสมัยโบราณ โดยนักมนุษยวิทยา สันนิษฐานว่า อาจมีแนวความคิดมาจากการฟอกสีออกด้วยแสงอาทิตย์โดยบังเอิญ ซึ่งหลักฐานความรู้ ที่พอจะเชื่อถือได้แสดงให้เห็นว่าประเทศในยุคแรก ๆ ที่มีการมัดย้อมผ้า คือ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และแอฟริกาที่มีความคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้สีย้อมที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในประเทศ อินเดีย ผ้ามัดย้อมทจะเป็นที่รู้จักกันในชนบทสมัยก่อน ซึ่งพบหลักฐานจากเศษผ้าเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และประสบการณ์ในการใช้สีย้อม เช่น สาหรี เป็นต้น หรือชนเผ่ายิบซีที่เคยอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย ก็ปรากฏให้เห็นศิลปะของการมัดย้อมผ่าน เครื่องแต่งกายในปัจจุบัน ส่วนในบาหลี ประเทศอินโดนีเซียก็มีศิลปะของการมัดย้อมเช่นเดียวกัน โดย จะเรียกการมัดย้อมนี้ว่า เปลังกิ เป็นต้น


6 1.2 ข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อม การทำมัดย้อมได้เริ่มจากเอเชียโบราณแผ่ขยายไปยังตอนกลางของทวีปอินเดียไปยัง มาเลเซีย ข้ามไปยังแอฟริกา และทวีปอเมริกา เทคนิคการท าทุกแบบจะมาจากพื้นฐานเดียวกัน คือ ต้องผูกผ้าให้เป็นปม ห่อ พับและเย็บ (ยุพินศรี สายทอง,2532) ซึ่งวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นได้มีการ พัฒนาหลายทศวรรษและยังมีการนำเอาวิธีการต่างๆ เข้ามาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดลวดลายที่ น่าสนใจ ความหมายตรงตามตัวอักษรของการมัดย้อม (Gleser, Virginia,1999) คือ การนำผ้ามามัด ด้วยวัสดุต่างๆแล้วน าไปย้อมสีโดยใช้วิธีการกันสีด้วยวัสดุบางอย่าง เช่น ยางรัด เชือก หมุดปักผ้า ตัว หนีบกระดาษ หรือการเย็บ ซึ่งจะช่วยกันไม่ให้สีแทรกซึมลงไป การกันสีขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ นอกจากนั้น ผลการออกแบบยังขึ้นอยู่กับปริมาณสีย้อมและการแทรกซึมของสีในผืนผ้าที่มัดด้วย การมัดย้อม นั้นจะมีรูปแบบและเทคนิคความสวยงามที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ ช่วงเวลาที่ค้นพบ หรือสภาพแวดล้อมต่างๆที่เป็นวัตถุดิบในการทำผ้ามัด ย้อม (ศศธร ศรีทองกุล และสาวิตรี อัครมาส,2556) กล่าวได้ว่างานผ้ามัดย้อม เป็นการทำลวดลายบน ผืนผ้าโดยใช้เทคนิคการกันสี ที่อาศัยการบีบ อัด รัดให้แน่นของเนื้อผ้า โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้าง ลวดลายนั้นจะเป็นสิ่งของที่อยู่รอบๆตัว ซึ่งการพัฒนาลวดลายของผ้ามัดย้อมนั้นจะขึ้นอยู่กับ ผู้ออกแบบน าอุปกรณ์ใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมซิลิเกต ปัจจุบันนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนาเพื่อยกระดับฐานะเศรษฐกิจของประเทศ โดยการส่งเสริม และสนับสนุนการอุตสาหกรรมให้เจริญกาวหน้าทัดเทียมต่างประเทศ มีการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิต สารเคมีซึ่งเป็นที่ต้องการใช้ในอุตสาหกรรมและเคยสั่งซื้อจากประเทศเป็นมูลค่าสูง และการผลิต โซเดียมซิลิเกตหรือที่รู้จักกันดีว่าวอเตอร์กลาส (water glass) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรใช้ทำประโยชน์ที่ได้ หลายอย่าง เช่น อุตสาหกรรมผลซักฟอก สบู่ซักล้างและใช้เป็นตัวประสานพวกวัสดุต่าง ๆ เป็นต้นว่า การทำเปเปอร์บอร์ด (paperboards) และ active silica เป็นต้น เป็นสารที่เตรียมได้ง่ายต้นทุนการ ผลิตก็ไม่สูงและยังมีวัตถุบางอย่างอยู่ในภายประเทศด้วย การผลิตอาจผลิตออกมาในรูปของแข็งหรือของเหลวก็ได้ สารนี้มีสูตรทางเคมีเป็น 2 3 ซึ่งเป็นสารประกอบของโซเดียมออกไซต์กับทรายที่มีได้หลายอัตราส่วน และเรียกชื่อ ได้ต่าง ๆ กัน ถ้าอัตราส้วนของโวเดียมซิลิเกตต่อทราย 1:1 เรียกว่า โซเดียมเมตาซิลิเกตุ (Sodium Metasilicate) ถ้าเป็น 3:2 เรียกว่าโซเดียมเซสวิซิลิเกต (Sodium Sequisilicate) โดยทั่วไปมีอยู่ หลายรูปแบบ เช่น มีลักษณะเป็นแก้วไม่มีสัณฐาน เป็นผลึกที่มีน้ำผลึกอยู่ด้วย เป็นผงแห้งหรือ ของเหลวข้นซึ่งโดยมาหผลิตและจำหน่ายเป็นสารละลายที่มีความเข้นข้นร้อยละ 50 ซึ่งเรียกว่า วอเตอร์กลาสหรือ Soluble glass


7 2.1 สรรพคุณของโซเดียมซิลิเกต โซเดียมซิลิเกตเป็นสารที่เราพบเห็นและใช้อยู่เป็นประจำ แต่ไม่ได้พบเห็นสารตัวเดียวโดด ๆ ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในสภาพที่ผสมกับสิ่งอื่นเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เรามักจะนำมาใช้ประโยชน์ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมโดยทั่วไปคือ ใช้เตรียมสารประกอบซิลิกอน โดยเฉพาะซิลิกาเจล คอปเปอร์ซิลิเกต อะลูมิเนียมซิลิเกตและแมกนีเซียมซิลิเกต ใช้เป็นวัตถุดิบใน อุตสาหกรรมผงซักฟอกและสบู่ ใช้เชื่อมประสานวัตถุ เช่น แก้ว ไม้ หรือเชื่อมโลหะกับกระดาษ ใช้เป็น กาวในการทำแผ่น ไม้อัด กระดาษอัด และกระดาษทราย ใช้เป็นวัสดุประสานสำหรับทำวัสดุทน กรดซีเมนต์ แม้หลังคาทนไฟหรือหลอดเรืองแสงก็ต้องเคลือบด้วยโซเดียมซิลิเกตก่อน นอกจากนี้ยังใช้ ผสมกับและหล่อสำหรับอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก และใช้ซ่อมประสานก้อนหินที่แตกหรือรอยร้าว เป็นต้น 3. เอกสารเกี่ยวข้องกับผ้าคอตตอน (COTTON) ในปี 1907 ได้มีกลุ่มตัวแทนของอุตสาหกรรมฝ้ายมาร่วมประชุม พบปะ กันที่เมืองแอต แลนต้า รัฐจอร์เจีย เพื่อปรึกษาหารือถึงปัญหาในการทำการตลาดของเส้นใยฝ้าย ข้อสรุปที่ได้จากการ ประชุม คือ ให้มีการจัดทำ มาตรฐานกลางของเส้นใยฝ้ายขึ้น เพื่อลดช่องว่างของราคาในตลาดต่างๆ สร้างวิธีที่ใช้อ้างอิงได้ในการไกล่เกลี่ยเมื่อเกิดข้อพิพาท ช่วยให้ชาวไร่ตระหนักถึงความสำคัญของ คุณค่าของผลผลิต ซึ่ง สามารถช่วยการในการต่อรอง อันเป็นผลดีต่อการค้าฝ้ายโดยรวม เพื่อตอบสนองต่อการเรียกร้องนี้ และคำร้องขอทำนองเดียวกันในเวลาต่อมา รัฐบาลสหรัฐจึงได้ออก กฎหมายมอบให้ กระทรวงเกษตรสหรัฐหรือ USDA จัดการพัฒนากรจัดมาตรฐานของฝ้าย และให้บริการจำแนกลักษณะและแบ่งเกรดฝ้าย ภายใต้กฎหมายสามฉบับ the U.S. Cotton Statistics and Estimates Act of 1927, the U.S. Cotton Standards Act of 1923, the U.S.Cotton Futures Act of 1914 นับแต่นั้นมา USDA ก็ได้เข้ามาดูแล จัดเกรดฝ้ายทั้งหมด และให้บริการจำแนกลักษณะ อันเป็นการร่วมทำงานระหว่าง ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมอย่าง แข็งแกร่งจนทุกวันนี้ โดยต่างฝ่ายมีบทบาทที่สำคัญและชัดเจน การทำงานร่วมกันที่ดีนี้ ได้ดำ เนินมา จนปัจจุบันและได้สร้างผลประโยชน์อย่างมากแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งลูกค้าในต่างประเทศ 3.1 สรรพคุณของผ้าคอตตอน (COTTON) ในทางพฤกษศาสตร์ ฝ้ายมีสามกลุ่มทีมีความสำคัญในด้านการค้า กลุ่มแรกคือ สายพันธุ์ Gossypium hirsutum ซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโกและอเมริกากลาง สายพันธุ์นี้ได้ถูก พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกในสหรัฐ และใช้ปลูกกว่า 95% ในผลผลิตของสหรัฐ เป็นที่รู้จักในชื่อ “American UplandCotton” โดยให้เส้นใยมีความยาว 7/8 ถึง 15/16 นิ้ว กลุ่มที่สอง คือ สายพันธุ์ G. barbadense มีปลูกราว 5%ในสหรัฐ มีถิ่นกำ เนิดมาจากแถบอเมริกาใต้ โดยมีความยาวเส้นใย 1- 1/4 ถึง 19/16 นิ้ว เป็นที่รู้จักในสหรัฐว่า ฝ้าย “American Pima” หรือบางครั้งเรียกว่า “Extra-


8 Long Staple Cotton” กลุ่มที่สาม สายพันธุ์2 G. herbaceum and G. arboreum คือ ฝ้าย พื้นเมืองที่มีเส้นใยสั้น ครึ่งถึงหนึ่งนิ้ว ปลูกที่ อินเดียและ เอเชียตะวันออก ไม่มีการนำฝ้ายสายพันธุ์นี้ มาปลูกในสหรัฐฝ้ายที่น้ำ หนักเพียงหนึ่งปอนด์มีเส้นใยถึงกว่าล้านเส้น แต่ละเส้นเกิดมาจาก เซลเพียงเซลเดียวบนผิวของเมล็ดของฝ้าย ในระยะแรกที่เจริญขึ้นมา จะโตไปทางยาว คล้ายท่อที่มีผิว บางๆ เมื่อโตมากขึ้น ผิวท่อจะหนาขึ้นเพราะมีสารเซลลูโลสมาจับและ ตรงกลางกลวง เมื่อโตเต็มที่ และพืชตายลง เส้นใยจะยุบตัวลง และบิดรอบแกนของตัวเอง 4. เอกสารเกี่ยวข้องกับน้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักเอทานอลโดยใช้จุลินทรีย์ในกลุ่ม acetic acid bacteria ซึ่งจุนทรีย์ในกลุ่มนี้สามารถออกซิไดซ์เอทานอลให้เปลี่ยนไปเป็นกรดอะซิติกวัตถุดิบที่นิยม นำมาผลิตน้ำส้มสายชูโดยส่วนใหญ่จะเป็นเอทานอลที่ได้จากการหมัก ผลไม้รวม น้ำส้มสายชู (vinegar) จัดเป็นเครื่องปรุงรสอารที่เรารู้จักกันมานาน และใช้กันอย่าง แพร่หลายใยชีวิตประขำวันจองครอบครัวไทย โดยนำมาประกอบอาหารที่ต้องการรสเปรี้ยวหรือใช้ หมักดองถนอมอาหาร น้ำส้มสายชูที่บริโภคกันทั่วไปในครัวเรือนเป็นน้ำส้มสายชูกลั่นซึ่งมีปริมาณกรด น้ำส้มสายชู ร้อยละ 4-7 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร นอกจากนี้ยังมีน้ำส้มสายชูหมักซึ่งเป็นน้ำส้มสายชูที่ หมักจากวัตถุดิบธรรมชาติโดยเฉพาะจากผลไม้และธัญพืชต่าง ๆ โดยนำมาทำการหมักให้กลายเป็น แอลกอฮอล์ก่อน จากนั้นหมักกับจุลินทรีย์ในกลุม acetic acid bacteria จนได้กรด 4.1 สรรพคุณของน้ำส้มสายชู - ช่วยปรับความดันโลหิตที่สูงให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ - ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร เพิ่มปริมาณเชื้อแบคทีเรียดีในทางเดินอาหาร - ลดระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด ลดไขมันช่องท้อง ช่วยให้ควบคุม หรือลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น - ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกาย - เพิ่มปริมาณเชื้อแบคทีเรียดีในทางเดินอาหาร - ลดโอกาสทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ - ช่วยเพิ่มปริมาณแคลเซียม และแร่ธาตุแมกนีเซียมในร่างกาย - บรรเทาอาการแสบร้อนหน้าอกจากโรคกรดไหลย้อน - ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน - ป้องกันการเกิดโรคเสื่อมของร่างกาย (Degenerative illnesses) - ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย - ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย - บำรุงสุขภาพผมให้แข็งแรง ลดการเกิดรังแคบนหนังศีรษะ


9 - ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและสามารถใช้น้ำส้มสายชูสำหรับล้างแผลได้ ถึงแม้การรับประทานน้ำส้มสายชูอย่างพอเหมาะและถูกวิธีจะให้ประโยชน์มากมายหลายด้าน ต่อร่างกาย แต่คุณก็ยังจำเป็นต้องรับประทานเครื่องเทศอื่นๆ ให้หลากหลาย เช่นเดียวกับประเภทของ อาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดและไม่ประสบปัญหาการขาดสารอาหารนั่นเอง 5. เอกสารที่เกี่ยวกับการออกแบบ 5.1 ความหมายการออกแบบ การออกแบบ หมายถึง การรู้จักขั้นตอนและรู้จักเลือกใช้วัสดุวิธีการเพื่อทำตามที่ต้องการ โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบ คุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดคามคิดสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ขึ้นมา เช่น เราจะทำเก้าอี้สักตัวจะต้องวางแผนไว้เป็นขั้นตอนโดยเริ่มเลือกวัสดุที่ทำให้เก้าอี้ให้ เหมาะสม ทนทานต่อการใช้งาน เป็นต้น การออกแบบ หมายถึง การปรับปรุงแบบ ผลงานหรือสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เหมาะสมมีความ แปลกใหม่เพิ่มขึ้น เช่น เก้าอี้เราทำขึ้นมาใช้ไปนาน ก็เกิดการเบื่อหน่ายในรูปทรงเราจัดการปรับปรุงให้ เป็นรูปแบบใหม่สวยกว่าเดิม ทั้งนี้มีความเหมาะสม ความสะดวกสบายในการใช้งานนยังคงเหมือนเดิม การออกแบบ หมายถึง การรวบรวม หรือจัดองค์ประกอบทั้งที่เป็น 2 มิติ และ 3 มิติเข้า ด้วยกันอย่างมีหลักเกณฑ์ การนำองค์ประกอบของการออกแบบมาจัดรวมกันนั้น ผู้ออกแบบจะต้อง คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย และความสวยงามอันเป็นคุณลักษณะสำคัญของการออกแบบ 5.2 ประเภทการออกแบบ ปัจจุบันมนุษย์เราอาศัยอยู่ในโลกที่สิ่งแวดล้อมไปด้วยผลงานที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงรูปทรงของธรรมชาติให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับความต้องการด้านการใช้งานและ ความต้องการที่แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิด เป็นจุดมุ่งหมายเป็นการประการแรก แต่ความต้องการ ของมนุษย์ไม่เคยมีขีดจำกัด ความต้องการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันให้มีการสร้างผลิตผลอย่าง ต่อเนื่อง หากพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามีสิ่งที่สิ่งที่มีความเป็นต้องการดำรงชีวิต เช่นที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม และสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต สำหรับการแก้ปัญหาตามความเหมาะสม การที่ ได้ทางเลือกที่จะใช้แก้ปัญหา เป็นสิ่งที่ต้องใช้กระบวนการสร้างสรรค์ อันเป็นทักษะเฉพาะสำหรับการ ทำงานแต่ละอย่าง อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ออกแบบเข้ามานี้ หากนำมาจัดจำพวกเข้าด้วยกันแล้ว สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ การออกแบบระบบ (System Design) หมายถึง การออกแบบลักษณะการจัดวางระบบหรือ ระเบียบแบบแผน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างงานระดับนี้ที่ไม่ รูปธรรม เช่น การจัดการด้านการบริหารองค์การหรือหน่วยงานและในงานที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ไฟฟ้า ในอาคาร


10 การออกแบบสภาพแวดล้อม (Environmental Design) หมายถึง การออกแบบในลักษณะ การสร้างสิ่งต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ตั้งแต่การวางซึ่งนับเป็นสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่ จนถึงออกแบบสถาปัตยกรรม การออกแบบสิ่งของ (Artefact Design) หมายถึง การออกแบบข้างของเครื่องใช้ที่สัมผัส โดยตรงกับมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อม ถ้าเปรียบเทียบกับการออกแบบระบบและ สภาพแวดล้อม จะพบว่าการออกแบบสิ่งของเกี่ยวข้องและอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่า มีนาดเล็กกว่า และเป็นงานที่มีความลึกซึ้งในแง่ของรูปทรง การใช้สอยและผลิตซึ่งทำได้ทั้งในรูปงานหัตถกรรม และ อุตสาหกรรม งานออกแบบในกลุ่มนี้มีความหลากหลายกันมาก จึงมีการจัดจำแนกเพื่อให้ครอบคลุมผ งานได้ครบถ้วน 5.3 ส่วนประกอบของการออกแบบ ส่วนประกอบของการออกแบบ โดยมีส่วนประกอบหลาย ๆ อย่าง จะรวมตัวกันเป็นผลงาน ส่าวนที่สวยงามหรือน่าสนใจนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพในการปฏิบัติงานของผู้ออกแบบเอง ซึ่งจะได้ กล่าวถึงต่อไป 5.3.1 จุด (Dot) เมื่อเรากล่าวถึงจุดในความหมายทั่ว ๆ ไป เราจะเข้าใจถึงส่วนที่เล็กที่สุดในที่ใดที่หนึ่ง เช่น จุดบนกระดาษ บนผ้า หรือบนพื้น จุดทางการออกแบบอาจจะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดหรือใหญ่ก็ได้ นาทงการออกแบบสามมิติ จุดอาจมีปริมาตรได้ด้วย เช่น จุดในงานโครงสร้าง งานโมบิล หรืองานปะติ มากรรม เมื่อเราพบจุดงานออกแบบ จุดอาจบอกถึงขนาดตำแหน่ง และแรงดึงดูด จุดจะทำหน้าที่ในงานออกแบบ ได้ 3 ทาง คือ 1. เป็นรูปร่างด้วยจัวของมันเอง 2. เป็นเส้นประที่เชื่อมสายตาด้วยจุดที่ต่อกัน 3. นำมารวมกันเพื่อสร้างรูปที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นรูปร่างที่มีค่าน้ำหนักสีเทาและมีผิว หยาบที่มองเห็นได้ 5.3.2 เส้น เส้นทีอยู่ทุกส่วนในโลกนี้ จากเส้นขอบฟ้าไปจนถึงเส้นละเอียดอ่อนของใขไม้ ก้างปลา ใย แมงมุมเส้นแนวตั้งที่แข็งแรงของอาคาร แต่เส้นที่ใช้ในการวาดภาพ ซึ่งเกิดจากการเขียน ด้วยดินสอ พู่กัน ฯลฯ เส้นเหล่านี้ย่อมแสดงถึงอารมณ์ คำจำกัดของเส้น 1. เส้นเกิดจากจุลที่ต่อกันในทางยาวหรือเกิดจากร่องรอยของจุดที่ถูกแรงแรงหนึ่ง ผลักดันให้เคลื่อนที่ไป เส้นขั้นต้นที่เป็นพื้นฐานจริงๆ มี 2 ลักษณะ คือ เส้นตรง กับเส้นโค้ง เส้นทุก


11 ชนิดเราสามารถจะแยกออกเป็นเส้นตรงกันเส้นโค้งได้ทั้งสิ้น เส้นลักษณะอื่น ๆ ที่เราเรียกว่า เส้นชั้นที่ 2 ล้วนเกิดจากการประกอบกันข้าวของเส้นตรงและเส้นโค้ง เช่น เส้นตรงแล้วเส้นโค้งสลับกัน 2. เส้นเป็นขอบเขตของที่ว่าง ขอบเขตของสิ่งของ ขอบเขตของรูปทรง ขอบเขตของ น้ำหนักแบะขอบเขตของสี 3. เส้นเป็นขอบเขตของกลุ่ม สิ่งของ หรือรูปทรงที่รวมกันอยู่เป็นเส้นโครงสร้างที่เห็น ได้ด้วยจินตนาการ 5.3.3 พื้นผิว พื้นผิว หมายถึง ส่งที่ตาเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยมือระนาบผิวตอนหน้าหรือรอบๆวัตถุ ซึ่งมีลักษณะต่างๆกัน เช่น หยาบ ละเอียด ขรุขระ ด้าน มัน เรียบ เนียน เป็นต้น นอกจากจะหมายถึง พื้นผิวของวัตถุสิ่งของแล้วยังหมายถึงความรู้สึกของการสัมผัส แม้จะไม่ได้จับต้องสิ่งของนั้น ๆ แต่ ความจำของคนทำให้เกิดปฏิกิริยาทางความรู้สึก หรือเกิดความรู้สึกในการสัมผัสเมื่อมองเห็นสิ่งที่มี ความแตกต่างของความมืดและความสว่างจะทำให้รู้สึกถึงพื้นผิวไปพร้อมๆกัน 5.3.4 สี มีคุณสมบัติที่สำคัญเป็นพิเศษ คือ ดึงดูดสายตาและทำให้เกิดอารมณ์ร่วม จาก การศึกษาความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าคนเราให้ความสนใจกับภาพสีมากกว่าภาพ ขาวดำแต่ศิลปะบางอย่างไม่มีสี ศิลปินบางคนปฏิเสธที่จะใช้ลักษณะพิเศษของสี อย่างไรก็ดีการใช้สี เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากของศิลปะในสมัยนี้ อันที่จริงโลกในปัจจุบันมีการใช้สีกันอย่างกว้างขวาง แทบ จะกล่าวได้ว่าอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติของสีทีเดียว สมัยก่อนเห็นว่าห้องครัวสเหลืองไม่เหมาะสมเพราะ สีเหลืองไม่ควรเกี่ยวกับอาหาร แต่สมัยนี้กลับมความเห็นว่าสีเหลืองช่วยกระตุ้นน้ำย่อยและทำให้อยาก รับประทานอาหาร การใช้สี การใช้สีมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ การใช้สีกลมกลืนกับการใช้สีตัดกันแต่จะใช้ให้กลมกลืน หรือตัดกันเพียงไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับจุดหมายของศิลปินแต่ละคนในงานแต่ละงาน การใช้สีก็ เช่นเดียวกับการใช้ทัศฯธาตุอื่น ๆ ถ้ากลมกลืนจนเดินไปก็จะจืดชืดและน่าเบื่อ ถ้าตัดกันมากเกินไปก็ เกิดความขัดแย้งสับสนจนทนไม่ได้ การใช้สี 2 วิธีนี้ยังพอแยกออกได้ 7 แบบ คือ 1. สีเอกรงค์ (Monochrome) ได้แก่ การใช้สีสีเดียวที่มีน้ำหนักอ่อนแก่หลายลำดับ เป็นการใช้สีกลมกลืนแบบสีเดียว 2. สีข้างเคียง เป็นการใช้สีกลมกลืนแบบ 2 สี หรือ 3 สี 3. สีตรงข้าม เป็นการใช้สีตัดกันอย่างแท้จริง 4. สีเกือบตรงข้ามเป็นการตัดกันของสีไม่ใช่คู่สี


12 5. สีตรงข้าม 2 คู่เคียงกัน เป็นการใช้สีที่ตัดกันน้อยกว่าวิธีที่ 3 เพราะมีสีข้างเคียงที่ กลมกลืนกันอยู่ด้วย 6. สี 3 เส้า เป็นการใช้สีที่ตัดกันด้วยความเป็นแม่สี มีความเด่นอยู่ในตัวของทุกสี 7. สี 4 เส้า เป็นการใช้สีตัดกันอย่างแท้จริงถึง 2 คู่ แต่ยังตัดกันน้อยกว่าวิธีที่ 3 เพราะยังมสีข้างเคียงที่พอจะเป็นตัวกลางให้เข้ากันได้บ้าง เช่น เหลืองสมกับแดง หรือเหลืองส้มกับ เขียว แดงกับม่วง หรือแดงกับเหลืองส้ม 5.3.5 รูปทรง รูปทรงเป็นปัจจัยที่สำคัญในงานออกแบบ รูปทรงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในความคิดหรือ ในใจของนักออกแบบ มีลักษณะเป็นนามธรรมโดยการคาดการณ์สำหรับนำไปใช้ในอนาคต จนเมื่อ ความคิดนี้ถูกจัดขึ้นโดยวิธีการจัดเรียง สับเปลี่ยนและโยกย้ายวัสดุต่าง ๆ จงเกิดเป็นตัวตนรูปทรงที่ เป็นรูปธรรมขึ้น แหล่งที่มีของความคิดเกี่ยวกับรูปทรงนี้มีพัฒนาการมาได้จากหลายตำแหน่งตั้งแต่การ เกิดพลุ่มขึ้นเองในจินตนาการความคิดขงนักออกแบบ อันเป็นผลจากได้รับรู้ข้อมูล หรือมีประสบการณ์ โดยตรงสะสมอยู่ในส่วนลึกของจิตสำนึกมาเป็นเวลานาน รอโอกาสอันเหมาะสมที่จะเปิดเผบขึ้นมา นอกจากนี้รูปทรงที่เกิดขึ้นในความนึกคิดยังอาจมีที่มาจากความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถูก ปลูกฝังมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ความเชื่อเหล่านี้ทำหน้าที่ให้ขอบเขตทางความคิดเกี่ยวกับรูปทรง ทำให้ นักออกแบบเลือกใช้ลักษณะรูปทรงที่มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนมา เช่น ช่างทอผ้าชาว อีสานจะทอธงเพื่อถวายวัดในงานบุญผเวศด้วยการทอชิดลวดลายที่มีรูปทรงตามเรื่องราวในพระ เวสสันดรชาดก ลักษณะรูปทรงต่าง ๆ ที่มีปรากฏอยู่ทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. รูปทรงเรขาคณิต เป็นรูปทรงที่เกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ มีลักษณะง่ายต่อการจดจำ ปรากฎให้เห็นสิ่งที่ของมนุษย์สร้างขึ้น เช่น อาคาร เครื่องเรือน เครื่องจักร ของใช้นานาชนิดรูปทรง เรขาคณิตไม่เพียงแต่จะเป็นผลงานประดิษฐ์ของมนุษย์เท่านั้นในธรรมชาติก็จะพบเห็นได้เช่นกัน เช่น ผลึกรูปเหลี่ยมของแร่ต่าง ๆ ใบไม้รูปสามเหลี่ยม เปลือกหอยรูปกลมหรือกรวยแหลม และรังผึ้งรูปหก เหลี่ยม เป็นต้น 2. รูปทรงธรรมชาติ คือ รูปทรงที่เลียนแบบสิ่งที่เกิดขึ้งเองในธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งสิ่งมีชีวิตได้แก่ มนุษย์ สัตว์ และพืช ตลอดจนสิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่องค์ประกอบแระปรากฎการณ์ทางภูมิศาสตร์ เช่น ภูเขา แม่น้ำ พระอาทิตย์ขึ้น และฝนตก เป็นต้น ดังนั้นรูปธรรมชาติจึงมีได้กว้างขวางหมากหลายลักษณะรูปทรง ธรรมชาติสร้างความรู้สึกกลมกลืนใกล้ชิดมนุษย์ได้ดีกว่ารูปทรงชนิดอื่นๆ แต่จะพบงานออกแบบที่ใช้ รูปทรงธรรมชาติได้น้อยกว่า เนื่องจากมีความยุ่งยากต่อการผลิตด้วยเครื่องจักร เครื่องมือ Art


13 Nouveau เป็นสไตล์ที่นำรูปทรงธรรมชาติมาใช้ในงานออกแบบตั้งแต่ลวดลายประดับจนถึงงาน ตกแต่งภายใน 5.4 กระบวนการออกแบบ พัฒนาการของกระบวนการออกแบบ มีคำจำกัดความของการออกแบบอันหนึ่งที่กล่าวว่า การออกแบบ คือ กิจกรรมการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ (Design is a goal-directed problem-solving activity Archer , 1965) จากคำจำกัดความแสดงให้เห็นว่าใน การออกแบบ จะเริ่มจากการมีปัญหา มีการตั้งเป้าหมายที่มาจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกิจกรรมการ ทำงานเพื่อแก้ปัญหาจากงานออกแบบและรวบรวมผสมผสานให้บรรลุตวามความประสงค์ที่กำหนดไว้ ในอดีตผู้ที่ทำหน้ที่ออกแบบแลผลิตผลงานการออกแบบของตนมักอยู่ในตัวคนเดียว และผลิตสนอง ความต้องการให้ได้ครบถ้วน จึงทำให้เกิดเป็นอาชีพนักออกแบบขึ้น ผู้ที่ทำหน้าที่นี้มักเป็นผู้ที่ได้รับ การศึกษาและฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิธีการทำงานออกแบบในอดีตที่ผ่านมาจึง จำ แยกออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. วิธีการของช่างฝีมือ เป็นวิธีการงานโดยการลองผิด-ลองถูกของช่างฝีมือด้วยความคุ้นเคย กับปัญหาในงานชองตน ช่างฝีมือจะจัดการแก้ไขปัญหาอย่างได้ผลตรงจุดนั้น โดยการค่อยปรับเปลี่ยน ช่างฝีมือได้รับการฝึกฝนขณะทำงานเป็นลูกมือมาก่น จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการ วัสดุและ กรรมวิธีการผลิตสะสมไว้อยู่ในความทรงจำ เนื่องจากไม่มีการบันทึกแลพการวาดภาพเก็บไว้เป็น หลักฐาน ดังนั้น การพัฒนาในงานออกแบบจึงกินเวลาเนื่องจากไม่มีการบันทึกและวาดภาพเก็บไว้เป็น หลักฐาน ดังนั้น การพัฒนาในงานออกแบบจึงกินเวลานาน 2. วิธีการของช่างเขียนแบบ เป็นวีการทำงานที่ใช้แบบเป็นศูนย์กลางในการคิด การปรับปรุงและการพัฒนาแบบ เนื่องจาก ในการทำงานที่มีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การออกแบบอาคารหรือเดินสมุทร เป็น ต้น จำเป็นต้องการแบ่งงานออกเป็นแผนกตามความถนัดของแรงงาน ลักษณะสำคัญของการเขียนแบบ กระบวนการออกแบบอย่างเป็นระบบเป็นวิธีการออกแบบที่ช่วยลดความผิดพลาดในการ ทำงาน และมีความเหมาะสมกับการแก้ปัญหาในงานออกแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะปัญหาที่มีข้อมูล เป็นปริมาณมากเป็นโจทย์ที่ต้องการผู้ร่วมงานจากต่างสาขา และเป็นงานออกแบบที่ต้องการความ ริเริ่มสร้างสร้างสรรค์ในระดับสูง กระบวนการออกแบบอย่างเป็นระบบมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1. การพยายามทำให้การออกแบบเป็นวิธีการีที่เปิดเผยมีการทำงานอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำงานเกิดความเข้าใจและสามารถมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลคำแนะนำและ เสนอแนะวิธีแก้ไขปัญหาแทนที่จะเป็นการทำงานของนักออกแบบตามลำพัง


14 2. ให้ความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ด้วยการแบ่งแยกการทำงานออกเป็นขั้นตอน เป็นการ กระจายงานออกจากัน เมื่อทำงานถึงแต่ละขั้นตอนก็สามารถพุ่งความสนใจจดจ่ออยู่เฉพาะขั้นตอนนั้น ได้ อย่างเป็นอิสระจากขั้นตอนอื่นๆ ลดความสับสนในการใช้ความคิดต่องานทั้งหมด 3. การทำงานแม้จะมีการแบ่งออกเป็นขั้นตอนแต่ในขณะปฏิบัตินั้นไม่สามารถแยกแต่ละ ขั้นตอนอย่างเด็ดขาดจากกัน ขั้นตอนต่าง ๆ มีความต่อเนื่องและคาบเกี่ยวกัน จนบางครั้งไม่สามารถ กำหนดจุดเริ่มต้น และจุดจบของแต่ละขั้นตอนได้อย่างชัดเจน 4. มีระบบกรจดบันทึกอย่างละเอียดในแต่ละขั้นตอนจึงมีหลักฐานบันทึกเก็บไว้ช่วยให้ง่ายต่อ การทบทวนหา ตรวจสอบ และแก้ไขเมื่อเกิดความผิดพลาด


15 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษา เรื่อง ผ้ามัดย้อมฝึกประสบการณ์รายได้ซึ่งมีวิธีการ ดำเนินการ ดังนี้ 3.1 วัสดุ อุปกรณ์ 3.2 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 3.3 ตัวแปร 3.4 สมมิตฐาน 3.5 เครื่องมือที่ใช้ 3.6 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 วัสดุ อุปกรณ์มีดังนี้ 1. โซเดียมซิลิเกต 1.5 ลิตร ภาพที่ 1 โซเดียมซิลิเกต 2. น้า 2 ขวด ( 1500 ) ภาพที่ 2 น้า 2 ขวด ( 1500 )


16 3. ผ้าคอตตอน 100% ภาพที่ 3 ผ้าคอตตอน 100% 4. กะละมัง ภาพที่ 4 กะละมัง 5. ตะแกรง ภาพที่ 5 ตะแกรง


17 6. ถุงมือยาง ภาพที่ 6. ถุงมือยาง 2. น้า ส้ มสายชู 3. น้า ยาซกัผา ้ 4. ไมแ ้ ขวนเส้ือ 5. ไม้พาย 6. หนังยาง 7. ตะเกียบ 8. ขวดใส่สี 9. สีย้อมเย็น 3.2 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 3.2.1 ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานี 3.2.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/8 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานี จำนวน 20 คน สุ่มตัวอย่าง 3.3 ตัวแปร 3.3.1 ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ ผ้ามัดย้อม 3.3.2 ตัวแปรตาม สามารถสร้างรายได้และสร้างประสบการณ์ความต้องการผู้ผลิต


18 3.3.3 ตัวแปรควบคุม โซเดียมซิลิเกต 1.5 ลิตร สีย้อมเย็น 100 กรัมต่อ 1 สี จำนวน 3 สี ผ้าคอตตอน (จำนวนตัวอย่าง) 6 ตัว 3.4 สมมติฐานการทดลอง 3.4.1 ผ้ามัดย้อมสามารถผลิตได้จริงจากสีที่ต้องการและใช้วิธีการย้อมเย็นและวิธีการหมักเกิด ลวดลายที่น่าสนใจต่อผู้ผลิต 3.4.2 ผู้ตอบแทนสำรวจมีความพึงพอใจต่อผ้ามัดย้อมในระดับดี 3.5 เครื่องมือที่ใช้ การศึกษานี้ใช้แบบสำรวจการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างการสร้างแบบสำรวจที่ได้จาก การศึกษาแนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 3.5.1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับแบบสำรวจ 3.5.2 ความพึงพอใจของผลิตภัณฑ์ 3.5.3 ข้อเสนอแนะ 3.6 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.6.1 กำหนดปัญหา สาเหตุ และการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผ้ามัดย้อมและวิธีการทำผ้ามัดย้อมและค้นหาข้อมูลศูนย์การเรียนรู้ สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับผ้ามัดได้ สถานที่เลือกคือ โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร สนามหลวง 2 ตลาดธนบุรีกำหนดกลุ่มเป้าหมาย นักเรียนกลุ่มที่ 40 ลงพื้นที่เพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำผ้า มัดย้อม ภาพที่ 7 ตลาดธนบุรี (ทางเข้าโรงเรียน)


19 3.6.2 ดำเนินการทดลอง ทำการลงทะเบียนผู้เรียนเพื่อเข้าศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำผ้ามัดย้อม ของกลุ่มผ้ามัดย้อม มีชื่อว่า “มัดย้อมบ้านครูเอ๋” และทำการปฐมนิเทศโดยครูผู้สอน (ครูเอ๋) ให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ การทำผ้ามัดย้อม และประโยชน์ของการทำผ้ามัดย้อมในครั้งนี้รวมถึงการสร้างรายได้จากการทำผ้า มัดย้อม ภาพที่ 8 ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการเรียนผ้ามัดย้อม ภาพที่ 9 ปฐมนิเทศก่อนเข้าสู่การเรียนผ้ามัดย้อม


20 ภาพที่ 10 นำเสื้อไปซักด้วยผงซักฟอกก่อนทำการย้อม ภาพที่ 11 นำเสื้อซักนำไปตากให้แห้งพอหมาด ภาพที่ 12 เตรียมอุปกรณ์ย้อมผ้า และ ชั่งตวงสัดส่วนขององค์ประกอบต่าง ๆ ในการย้อมผ้า


21 ภาพที่ 13 ผสมโซเดียมซิลิเกตกับน้ำ 1500 ลิตร คนให้เข้ากันแล้วนำเสื้อมาจุ่มพักไว้ 30 นาที (ซ้าย ขวา )ภาพที่ 14 ทำการผสมสี ผสมสี 30 กรัม ต่อน้า ร ้ อน 100 cc ต่อเส้ือหน่ึงตวั


22 ภาพที่ 15 นำเสื้อมามัดเป็นลวดลายหรือการจัดผ้าก่อนจะลงสี (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 16 การทำลายก้นหอยโดยใช้อุปกรณ์ในการทำ คือ ตะเกียบและยางมัดแกง


23 (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 17 น ำเสื้อมำจุ่มโซเดียมซิลเิกตแล้วพกัไว้30 นำที (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 18 บีบสีตำมใจชอบให้เกิดลวดลำยที่สวยงำม


24 (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 19 นำใส่ถุงแล้วหมักไว้ 7-8 ชั่วโมง หรือข้ามคืน (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 20 ซักด้วยน ้ำส้มสำยชูผสมน ้ำขยีห้้ำมแช่ถ้ำผ้ำหำยลื่น และน ำมำซักกับผงซักฝอกตำมปกติตำกในที่ร่มห้ำมโดนแดด


25 (ซ้าย ขวา) ภาพที่ 21 จะได้ผ้ามัดย้อมลวดลายจากลงสีของผู้จัดทำและลายก้นหอย 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของเทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงโดยการหาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ควรปรับปรุง คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ควรปรับปรุง คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ควรปรับปรุง คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ควรปรับปรุง คะแนนค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความพึงพอใจ ควรปรับปรุง


26 บทที่ 4 ผลการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้ดำเนินการวอเคราะห์ข้อมูลและเสนอผลการงวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการศึกษาพบว่าผลิตภัณฑ์การมัดย้อมผ้าของโรงเรียนฝึกอาชีพ กรุงเทพมหานคร สนามหลวง 2 “บ้านครูเอ๋” การทำผ้ามัดย้อม ได้แก่ เสื้อคอตตอนแล้วมัด การห่อแล้วมัด การขยำ แล้วมัด และการพับแล้วหนีบ เพื่อสร้างลวดลายของผ้า รวมทั้งออกแบบ และหลากหลายสีสัน สอดคล้องกับ ชุติมา งามพิพัฒน์ (2562) ที่ศึกษาการออกแบบลวดลายเทคนิคการมัดย้อม และย้อม ด้วยสีย้อมเย็น พบว่าการออกแบบลวดลายด้วยเทคนิคการมัดย้อม การมัด การพับ การม้วนโดยใช้ เทคนิคการมัดย้อมที่ทำให้เกิดลวดลายและการออกแบบลวดลายพื้นฐานด้วยเทคนิคการมัด เทคนิค การพับ เทคนิคการม้วน ซึ่งเทคนิคการมัดลวดลายที่มีลักษณะคล้ายกัน ส่วนที่ถูกมัดจะมีลักษณะสี ขาวสีจะซึมเข้าไปน้อยกว่า นำมาผสมผสานกันจนเกิดลวดลายใหม่ๆ ที่สวยงาม เทคนิคการพับ ผลที่ได้ จะได้ลวดลายที่มีลักษณะลวดลายที่คล้ายรูปสี่เหลี่ยมเทคนิคการม้วนผลที่ได้จะได้ลวดลายที่มีลักษณะ ลวดลายอิสระ ลวดลายนี้มีลักษณะพิเศษไม่สามารถควบคุม พริยะ แก่นทับทิม และประเทืองทิพย์ ปานบำรุง (2557) ได้ศึกษาทำการพัฒนาลวดลายผลิตภัณฑ์ต้นแบบผ้ามัดย้อมด้วยการย้อมจากสี ธรรมชาติเพื่อพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบผ้า มัดย้อมด้วยการย้อมการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และ ปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากผลการทดลองย้อมสีธรรมชาติที่ได้เลือกเฉดสีที่ นำไปออกแบบและพัฒนาลวดลายการมัดย้อมของผลิตภัณฑ์ต้นแบบผ้ามัดย้อม ในเชิงสร้างสรรค์ให้มี ความเป็นสากล และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านผลิตภัณฑ์ต้นแบบผ้ามัดย้อม ด้วยการย้อม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ย้อมสีผ้าจากภูมิปัญญาชุมชน ชุติมา งามพิพัฒน์ (2562). ได้ศึกษา พบว่าการย้อมสีธรรมชาติเป็นภูมิปัญญาของชาว บ้านที่เกือบจะสูญหายไป พร้อมกับการพัฒนา อุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งใช้สารเคมีในการย้อม แต่ในประเทศไทยยังมีผู้รู้สืบสาน และพัฒนาองค์ความรู้ ในการย้อม สีธรรมชาติให้เป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับบุคคลชุมชน โดยได้รับ การสนับสนุนทั้งจากหน่อยงานของรัฐและสถาบันการศึกษา ทั้งนี้การย้อมสีที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ ตามแบบ ภูมิปัญญาท้องถิ่นถึงแม้จะผ่านมาหลายปียังคงสภาพเดิมและในบางสีย้อมจาก วัตถุดิบ ธรรมชาติบางชนิด ผลการทดลองการทำผ้ามัดย้อมจากการเรียนรู้ทำให้ผ้าติดสีและเกิดลวดลายต่าง ๆ หรือลาย ก้นหอยเมื่อนำมาซํกล้างจะเห็นได้ชัดถึงลวดลายตามที่ต้องการหรือการทำลวดลายผ้าอย่างง่ายเกิด


27 ลวดลายที่ไม่ซ้ำใครเกิดจากการไล่สีของผู้จัดทำและสีที่ต้องการเป็นความชอบส่วนบุคคลและนำมา สามารถสร้างได้อีกหนึ่งข่องทาง


28 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการทดลอง จากการทำผ้ามัดย้อม พบว่าการทดลองนั้นประสบผลความสำเร็จจริงและสามารถนำเสื้อมา สร้างรายได้ และยังสามารถนำมาใช้ได้ตามกระบวนและขั้นตอน ส่วนผสมทั้งหมด ได้แก่ โซเดียม ซิ ลิเกต สีย้อมเย็น ผ้าคอตตอน จำนวน 6 ตัว เป็นต้นเป็นไปตามหลักของสมมติฐาน ผลการสำรวจพบว่า ผู้ตอบความสำรวจพึงพอใจนั้นอยู่ในระดับดีมากสามารถใช้งานได้จริง และดึงดูดความสนใจในระดับดีมาก อภิปรายผล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ย้อมสีผ้าจากภูมิปัญญาชุมชน ชุติมา งามพิพัฒน์ (2562). ได้ศึกษาพบว่า การย้อมสีธรรมชาติเป็นภูมิปัญญาของชาว บ้านที่เกือบจะสูญหายไป พร้อมกับการพัฒนา อุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งใช้สารเคมีในการย้อม แต่ในประเทศไทยยังมีผู้รู้สืบสาน และพัฒนาองค์ความรู้ ในการย้อม สีธรรมชาติให้เป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับบุคคลชุมชน โดยได้รับ การสนับสนุนทั้งจากหน่อยงานของรัฐและสถาบันการศึกษา รวมถึงการให้ความสนใจของบุคคลทั่วไปในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าน้อมเกล้า ปทุมธานีได้มีการใความรู้เรื่องผ้ามัดย้อมของกลุ่มที่ 40 ได้มีการให้ข้อมูลและเผยแพร่เนื้อหาให้กับ เพื่อนๆ น้องในชั้นเรียนได้รับฟัง โดยมีจำนวนผู้ให้ความรู้และประเมินจากแบบสอบถาม จำนวน 20 คน และมีค่าเฉลี่ยดังนี้ ภาพที่ 22 ระดับชั้นมัธยมศึกษา


29 หัวข้อที่ 1 ระดับความพอใจต่อการให้บริการในด้านต่าง ๆ ภาพที่ 23 ความพึงพอใจต่อกระบวนการ/ขั้นตอนการบริหารจัดการ ขั้นตอนการประชาสัมพันธ์กิจกรรมผ้ามัดย้อม มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 1.68 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 2.1 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 0.63 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - ความเหมาะสม ในการจัดกิจกรรม ความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 1.47 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 0.63 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - ความชัดเจนของการจัดกิจกรรม ความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 1.89 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.21 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ -


30 ภาพที่ 23 ความพึงพอใจต่อนักเรียนให้ข้อมูลและสาระสำคัญ ความสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส กิริยามารยาทของผู้ให้ความรู้เรื่องผ้ามัดย้อม มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 1.68 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.42 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - ความเอาใจใส่ กระตือรือร้น และความพร้อมในการให้ข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับผ้ามัดย้อม มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 1.68 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.42 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ -


31 ภาพที่ 24 ความพึงพอใจต่อสิ่งอำนวยความสะดวกในการนำเสนอ ระบบของการระบายอากาศและแสงสว่าง มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 8 คิดเป็นร้อยละ 1.68 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 9 คิดเป็นร้อยละ 1.89 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 6 คิดเป็นร้อยละ 1.26 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - ความสะอาดของสถานที่ให้บริการ มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 13 คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 9 คิดเป็นร้อยละ 1.89 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 1 คิดเป็นร้อยละ 0.21 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - ความเพียงพอของสิ่งอำนวยความสะดวกอุปกรณ์ทำกิจกรรมต่าง ๆ มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 14 คิดเป็นร้อยละ 2.94 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 6 คิดเป็นร้อยละ 1.26 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 2 คิดเป็นร้อยละ 0.42 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน 1 คิดเป็นร้อยละ 0.21 มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ -


32 ภาพที่ 26 ความพึงพอใจต่อผลของการให้บริการ ได้ความรู้ตามกิจกรรมที่ตรงตามความต้องการ มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 11 คิดเป็นร้อยละ 2.31 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 9 คิดเป็นร้อยละ 1.89 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 3 คิดเป็นร้อยละ 0.63 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - กิจกรรมผ้ามัดย้อมมีประโยชน์ มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 11 คิดเป็นร้อยละ 2.31 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 11 คิดเป็นร้อยละ 2.31 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อย จำนวน 1 คิดเป็นร้อยละ 0.21 มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - ความพึงพอใจโดยภาพรวมที่ได้รับจากการทำกิจกรรมของกลุ่มผ้ามัดย้อม มีความพึงพอใจมากที่สุด จำนวน 13 คิดเป็นร้อยละ 2.73 มีความพึงพอใจมาก จำนวน 8 คิดเป็นร้อยละ 1.68 มีความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 2 คิดเป็นร้อยละ 0.42 มีความพึงพอใจน้อย จำนวน - คิดเป็นร้อยละ - มีความพึงพอใจน้อยสุด จำนวน - คิดเป็นร้อยละ -


33 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการออกแบบลวดลายใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำแบบเดิม และสร้างลวดลายเฉพาะให้เป็น เอกลักษณ์ของชุมชน โดยเทคนิควิธีการย้อมสีธรรมชาติจากพืชชนิดอื่นๆ ที่มีจำนวนมากในชุมชน เพื่อ เพิ่มมูลค่าของการมัดย้อม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 2. วิธีการผลิตผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจากใบต้นสักให้มีสีเข้มหรืออ่อน ขึ้นอยู่กับปริมาณเวลาใน การต้ม ถ้าจำนวนมากขึ้น หรือต้มโดยใช้เวลามากขึ้น จะทำให้ได้สีที่มีความเข้มมากขึ้น 3. การสร้างหรืออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะการย้อมสีผ้าจากธรรมชาติให้คงอยู่ อย่างยั่งยืนนั้น เทศบาลตำบลหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน ควรจัดกิจกรรมเพื่อปลุกจิตส านึกให้คน ในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ ส่งเสริมสนับสนุน การจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้น ๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นร่วมกัน รวมทั้งสนับสนุนให้มีการ เผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของการผลิตผ้าย้อมสี ธรรมชาติของชุมชนอันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย


34 เอกสารอ้างอิง ชนกนาถ มะยูโซ๊ะ. (2555). ศิลปะการออกแบบลวดลายผ้าด้วยการมัดย้อมสีจากธรรมชาติ: ศึกษา เฉพาะ ประเภท รูปแบบ เทคนิคและกระบวนการออกแบบลวดลายด้วยการมัดย้อมผ้า การสกัดสีย้อมจากธรรมชาติ. รายงานวิจัย. คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวน สุนันทา ชุติมา งามพิพัฒน์. (2562). การออกแบบลวดลายเทคนิคการมัดย้อม และย้อมด้วย สีจากธรรมชาติ กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนมัธยมปุรณาวาส เขต ทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร.วารสารศิลปกรรมศาสตร์วิชาการ วิจัย และงานสร้างสรรค์. 6(1). 246-265. นันทิพย์หาสิน และฉัตรดาว ไชยหล่อ. (2559). การศึกษากระบวนการสกัดสีธรรมชาติจากพืชเพื่องาน มัดย้อม. ใน การประชุมวิชาการระดับชาติ นอร์ทเทิร์นวิจัย ครั้งที่ 3 . 513-516. ตาก: วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น.http://www.northern.ac.th/north_research/p/document/file_ 14908366391.pdf นันทิยา ดอนเกิด (2560). การศึกษาภูมิปัญญาผ้ามัดย้อมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุมชนบ้านหัวชะ อำเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี. รายงานสืบเนื่องการประชุมสัมมนาวิชาการ (Proceedings) การนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ เครือข่ายบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ครั้งที่17 . 1385-1400. บทความทางวิชาการ (ย๎อนหลัง 5 ปี)ชญตว์ อินทร์ชา. พิ:พิมพ์ ศิลปะภาพพิมพ์ชิ้นเดียว เทคนิคแท่น พิมพ์เจลลาตินด๎วยสีเชื้อน้ำมัน Phi:Phim:The printmaking of monoprints techniques with gelatinplate to oilcolor. บทความการประชุมวิชาการด๎านศิลปวัฒนธรรม ระดับ นานาชาติครั้งที่ 1 "ความมั่นคงด๎านศิลปวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 21"มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงราย 2561


35 ภำคผนวก


36


37 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ ปาริวัลตา แซ่ลิ้ม 15 พฤษภาคม 2549 ภูมิลำเนา: 68หมู่1ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ปัจจุบัน : 68หมู่1ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประวัติการศึกษา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสามโคก องค์การบริหารส่วนจังหวัด ปทุมธานี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าปทุมธานี


38 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ จิรภัทร ปานดี 13 สิงหาคม 2549 ภูมิลำเนา : 112/2 หมู่ 6ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ที่อยู่ปัจจุบัน : 112/2 หมู่ 6ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ประวัติการศึกษา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5


39 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ วีรเนตร วิเศษศรี 25 มกราคม 2549 ภูมิลำเนา : 32 หมู่10 ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ที่อยู่ปัจจุบัน : 29/4หมู่3 ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ประวัติการศึกษา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสามโคกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปทุมธานี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าปทุมธานี


40 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ สมิตานันท์ หอมเดช 2 ธันวาคม 2549 ภูมิล าเนา : 62 หมู่ 5 ต.ไสหมาก อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ที่อยู่ปัจจุบัน : 58/529 หมู่13 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ประวัติการศึกษา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสามโคกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันก าลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าปทุมธานี


41 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ ศุภิศรา ยุทธภูมิโอฬาร 27 ธันวาคม 2549 ภูมิลำเนา : 605/73 หมู่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ. บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ปัจจุบัน : 605/73 หมู่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ. บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ประวัติการศึกษา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนพระหฤทัยนนทบุรี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าปทุมธานี


42 ประวัติผู้ศึกษา ชื่อ สุนิตตา ทิมเทพย์ 29 กันยายน 2550 ภูมิลำเนา: 126 หมู่1ต.สระกวรด อ.ศรีเทพจ.เพชรบูรณ์ ที่อยู่ปัจจุบัน: 70/108 ต.บางปรอก อ.เมืองปทุมธานีจ.ปทุมธานี ประวัติการศึกษา: ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนเทศบาลท่าโขลง1 ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าปทุมธานี


Click to View FlipBook Version