The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธ์ุ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Piyanuth Nganmun, 2023-02-24 05:39:47

โปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธ์ุ

โปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธ์ุ

โปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ความส าคัญและที่มาของหัวข้อวิจัย สุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์หรืออนามัยการเจริญพันธุ์ แปลมาจากค าว่า “reproductive health” ซึ่งหมายถึง “ภาวะ ที่บุคคลควรมีชีวิตทางเพศที่รับผิดชอบพึงใจและปลอดภัย มีความสามารถที่จะมีบุตรรวมทั้งการเลือกว่าจะมี บุตรเมื่อไร ถี่ห่างเท่าไร มีสิทธิที่จะรับรู้และเลือกวิธีคุมก าเนิดที่ปลอดภัยมีประสิทธิภาพราคาถูกรวมทั้งสิทธิที่ จะได้รับบริการทางการแพทย์ที่ท าให้สตรีมีความปลอดภัยในการตั้งครรภ์ คลอดบุตรและให้ก าเนิดบุตรที่ แข็งแรงใน พ.ศ. 2540 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบายอนามัยการเจริญพันธุ์ โดยให้ค านิยามใหม่ให้ เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า “ภาวะความสมบูรณ์ แข็งแรงของร่างกายและจิตใจที่เป็นผลสัมฤทธิ์อันเกิดจาก กระบวนการและหน้าที่ของการเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ของทั้งชายและหญิง ทุกช่วงอายุของชีวิตซึ่งท าให้เขา เหล่านั้นสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขจะเห็นได้ว่าค านิยามของอนามัยการเจริญพันธุ์นั้น เหมือนกับของสุขภาพอนามัย แต่เป็นเรื่องของระบบสืบพันธุ์ทั้งในด้านหน้าที่กระบวนการเจริญพันธุ์ และ พฤติกรรมทางเพศที่รับผิดชอบซึ่งจะประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐาน 3 อย่าง (1) คือ - มีความสามารถ (ability) ในการจะมีบุตรและควบคุมการเจริญพันธุ์ของตนเอง มีเสรีภาพที่จะเลือก ว่าจะมีบุตรเมื่อไร ถี่ห่างเท่าไร ตลอดจนมีความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ - ประสบผลส าเร็จ (success) โดยมีอัตราตายของมารดาและทารกต่ า ลูกเกิดรอดแม่ปลอดภัย ลูกที่ เกิดมาได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ - ปลอดภัย (safety) มีโอกาสเลือกวิธีคุมก าเนิดที่ปลอดภัยมีประสิทธิภาพ ราคาถูก รวมทั้งมีสิทธิที่จะ ได้รับบริการทางการแพทย์ที่ท าให้สตรีมีความปลอดภัยในด้านการตั้งครรภ์การคลอดบุตรและบุตรที่เกิดมามี ความแข็งแรงสมบูรณ์ รวมทั้งมีชีวิตทางเพศที่ปลอดภัย ค าว่า “สุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์”หรือ “อนามัยการเจริญพันธุ์”ไม่ใช่เป็นค าใหม่หรือเรื่องใหม่ แต่ เป็นค าที่มีใช้ในวงการแพทย์และสาธารณสุขอยู่นานแล้ว และในปี พ.ศ. 2537 มีการประชุมนานาชาติ ว่าด้วย เรื่องประชากรและการพัฒนา (International Conference on Population and Development หรือ ICPD) ซึ่งเป็นการประชุมประชากรโลกครั้งล่าสุด ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ได้มีการหยิบยกเอาเรื่องอนามัย การเจริญพันธุ์ขึ้นมาเป็นหัวข้อส าคัญที่ทุกประเทศทั่วโลกให้น าไปพิจารณาด าเนินการตามมติของที่ประชุม เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเพื่อการพัฒนาประชากร โดยรัฐบาลไทยส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมและตกลงที่จะพัฒนา คุณภาพประชากรให้มีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี โดยประกาศนโยบายอนามัยการเจริญพันธุ์ ความว่า “คนไทย ทุกคนทั้งหญิงและชายทุกกลุ่มอายุต้องมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี สถานการณ์อนามัยการเจริญพันธุ์ในประเทศไทยหลังจากที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขได้ ประกาศนโยบายอนามัยการเจริญพันธุ์โดยได้ก าหนดขอบเขตของงานอนามัยการเจริญพันธุ์ไว้ 10 เรื่อง คือ อนามัยแม่และเด็ก วางแผนครอบครัว เอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภาวะการมีบุตรยาก การแท้งและ


ภาวะแทรกซ้อนมะเร็งระบบสืบพันธุ์ เพศศึกษา อนามัยวัยรุ่น และภาวะหลังวัยเจริญพันธุ์และสูงอายุ ทั้งหมด นี้ที่ต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับการท าให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ด้วย ดังมีขอบเขต และสถานการณ์อนามัยการเจริญพันธุ์ในประเทศไทย ดังนี้ 1.การวางแผนครอบครัว เพื่อสนับสนุนให้คนไทย มีขนาดครอบครัวที่เหมาะสมตามความต้องการหรือ ศักยภาพของแต่ละครอบครัว ปัจจุบันประเทศไทยประสบความส าเร็จในการวางแผนครอบครัว โดยอัตราการ คุมก าเนิด ในหญิงที่สมรส อายุ 15-49 ปี ได้เพิ่มขึ้นเป็นล าดับ จากร้อยละ 70ในปี 2537 เป็น ร้อยละ 79.6 ใน ปี 2552 (7) ซึ่งส่งผลให้ภาวะเจริญพันธุ์ในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอายุเฉลี่ย ของการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกลดลง จึงเป็นเรื่องส าคัญและเร่งด่วนที่ต้องด าเนินการให้วัยรุ่นและเยาวชนทั้ง หญิงชายตระหนัก และเข้าถึงบริการคุมก าเนิดที่มีคุณภาพเหมาะสม โดยความสมัครใจ 2. งานอนามัยแม่และเด็ก เพื่อดูแลสุขภาพของสตรีทั้งก่อน ระหว่าง และหลังตั้งครรภ์ให้มีการ ตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งมีบุตรที่สมบูรณ์แข็งแรงและได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพตามเป้าหมายการ พัฒนาสหัสวรรษของประเทศไทยที่เป็นไปตามข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ เพื่อพัฒนาสุขภาพสตรีมีครรภ์ โดย ลดอัตราการตายของมารดาลง 3 ใน 4 ในช่วงปี 2533-2558(8) จากข้อมูลรายงานการตายของมารดาใน ประเทศไทย ในปี 2551 เท่ากับ 23.1 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน (9)จึงจ าเป็นต้องเน้นให้การพัฒนา คุณภาพการดูแลสตรีมีครรภ์ให้สามารถค้นหาความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทั้งมารดาและทารกในครรภ์ให้ เร็วที่สุด ทั้งการดูแลครรภ์คุณภาพ การควบคุมและป้องกันโรคทางพันธุกรรม การควบคุมและป้องกัน โรคติดต่อ การส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ ส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และการส่งเสริมพัฒนาการ เด็ก เพื่อให้มารดามีสุขภาพดีและทารกที่เกิดมาไม่เพียงแต่รอดชีวิตและปลอดภัยเท่านั้น แต่ต้องเป็นประชากร ที่มีคุณภาพด้วย 3. เอดส์ จากรายงานสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อที่มีอาการในประเทศไทย โดย ส านักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 รายงานจ านวนผู้ป่วยเอดส์ทั้งสิ้น 372,874 รายเสียชีวิตแล้ว 98,153 ราย แนวโน้มของผู้ป่วยและผู้ที่เสียชีวิตด้วยเอดส์ ลดลงกว่าในอดีตที่ผ่าน มาเนื่องจากมีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสท าให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้ป่วยเอดส์ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงานและวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-59 ปี) รวมกันถึงร้อยละ 93.4โดยพบมากที่สุด ในกลุ่มอายุ 30-34 ปี ร้อยละ 25.0 รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 25-29 ปี คิดเป็นร้อยละ 22.0 4. มะเร็งระบบสืบพันธุ์ ถ้าจะลดอัตราการเกิดมะเร็งระบบสืบพันธุ์ ก็ต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงและ หาทางให้มีการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรอง เพื่อให้ได้รับการรักษาเร็วที่สุด มะเร็งระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิงที่พบ มากที่สุดคือมะเร็งเต้านม ซึ่งหากผู้หญิงไทยตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจ าและได้รับการตรวจเต้านมโดย แพทย์หรืบุคลากรสาธารณสุขที่มีความช านาญ ก็จะพบความผิดปกติได้เร็วจากการส ารวจ ผู้หญิงอายุ 15-59 ปี ร้อยละ 60.7 เคยตรวจคล าเต้านมด้วยตนเอง ส าหรับมะเร็งในผู้หญิงที่พบรองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งมี สาเหตุส าคัญจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2552 หญิงไทยอายุ


15-59 ปี ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพียงร้อยละ 42.5 และหญิงไทยที่ไม่ได้ตรวจคัดกรองมะเร็ง ปากมดลูกนานกว่า 2 ปีที่มีอายุระหว่าง 30-44 ปี มีถึงร้อยละ 20.9 (12) ส าหรับมะเร็งระบบสืบพันธุ์ในผู้ชาย คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก การศึกษา แนวทางการค้นหาความผิดปกติและภาวะเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากในชายไทยในปี 2551 พบความชุกของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 4.27 ต่อประชากร 100,000 คน (13) แต่ที่น่าค านึงถึง คือการเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ ที่จะต้องมีจ านวนผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นตามจ านวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงควร เน้นเรื่องการคัดกรองความผิดปกติเรื่องต่อมลูกหมากในชายไทยด้วย 5. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย ท าให้อุบัติการณ์ของโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ลดลง แต่ส าหรับในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-24 ปี อัตราการป่วยด้วยโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ ยังเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวดังรายงานของส านักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคที่พบว่ามีอัตราป่วย 41.5 ต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2548 และเพิ่มขึ้นเป็น 79.8 ต่อประชากร100,000 คน ในปี 2553 6. การแท้งและภาวะแทรกซ้อน การสิ้นสุดการตั้งครรภ์ด้วยการแท้งบุตรเกิดขึ้นได้หลายกรณีทั้งการ แท้งเองตามธรรมชาติ การยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายอาญามาตรา 305 และการตัดสินใจท าแท้งด้วยวิธีการ ต่างๆ เรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม จากการส ารวจสถานการณ์การแท้งในประเทศไทย ปี 2542โดยกองอนามัย การเจริญพันธุ์ กรมอนามัย พบว่าร้อยละ 28.5 ของการแท้งทั้งหมดเกิดจากการท าแท้งร้อยละ 60 ของผู้ท า แท้งมีอายุต่ ากว่า 25 ปี และร้อยละ 30 เป็นวัยรุ่นที่มีอายุต่ ากว่า 20 ปี ร้อยละ 40ของผู้หญิงหลังแท้งต้องเข้า รับการรักษาด้วยภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (15) การส ารวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 เรื่องการแท้งบุตรใน 5 ปีที่ผ่านมา พบประวัติการแท้งบุตรในสตรีอายุ 15-59 ปี ร้อยละ 4.4 วัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ร้อยละ 15.2 ส าหรับสาเหตุการแท้งบุตรในครั้งสุดท้าย ของสตรีอายุ 15-29 ปี พบว่าร้อย ละ 65.4 เป็นการแท้งตามธรรมชาติร้อยละ 22.8 เป็นการแท้งโดยเหตุผลทางการแพทย์ และร้อยละ 10.7 เป็นการท าแท้งเพราะไม่พร้อม ที่จะมีบุตร จากข้อมูลรายงานการเฝ้าระวังการแท้งในประเทศไทย ปี 2554 ได้รับรายงานจาก โรงพยาบาลทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จ านวน 134 แห่ง ใน 13 จังหวัด โดยผู้ป่วยแท้งที่ ยินยอมในการตอบแบบสอบถามและสามารถน ามาวิเคราะห์ข้อมูล จ านวน 1,425 ราย พบว่าร้อยละ 32.7 ของการแท้งทั้งหมดเกิดจากการท าแท้ง ร้อยละ 53.0 ของผู้ท าแท้งมีอายุต่ ากว่า 25 ปีร้อยละ 28.0 เป็นวัยรุ่น ที่มีอายุต่ ากว่า 20 ปี และร้อยละ 30.2 ของผู้ท าแท้งมีสถานภาพเป็นนักเรียน/นักศึกษา 7. เพศศึกษา ด้วยเหตุที่ภาวะการเจริญพันธุ์ของวัยรุ่นและเยาวชนไทยเปลี่ยนแปลง เช่น การเข้าสู่วัย เจริญพันธุ์เร็วขึ้น ปี 2551-2552 พบว่าอายุเฉลี่ยของการมีประจ าเดือนครั้งแรกในกลุ่มอายุ 15-29 ปี เท่ากับ 13.2 ปี อายุ 30-44 ปี เท่ากับ 14.4 ปี และอายุ 45-55 ปี เท่ากับ 15.2 ปี จากพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ วัยรุ่น ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพิ่มสูงขึ้น อัตราการคลอดของหญิงอายุ 15-19 ปี มีแนวโน้ม สูงขึ้น จาก 50.3 ต่อประชากรหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คนในปี 2548 เพิ่มขึ้นเป็น 54.9 ต่อประชากรหญิง


อายุ 15-19 ปี 1,000 คน ในปี 2554 (16) วัยรุ่นเป็นวัยที่ควรอยู่ในระบบการศึกษา และควรได้รับการพัฒนา ศักยภาพให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพ แต่มาตั้งครรภ์ในขณะที่ยังไม่พร้อม จึงเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข วิธีหนึ่งคือ การเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาโดยเฉพาะเพศศึกษารอบด้าน เป็นสิ่งจ าเป็นที่ต้องมีการ เตรียมพร้อมและพัฒนาทักษะชีวิต มีเป้าหมายชีวิต มีทักษะการเจรจาต่อรอง พร้อมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ ดีในครอบครัวตั้งแต่วัยเด็กและเยาวชน ทั้งในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งต้องสอดแทรกและเสริมการเรียนรู้เรื่องเพศ ให้มีทักษะในการ ในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีสุขภาวะทางเพศ ปัจจุบันองค์การแพธ (PATH) ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงศึกษาธิการ พัฒนานโยบายและการด าเนินงานด้านเพศศึกษา สู่การจัดหลักสูตรและกระบวนการ เรียนรู้เรื่องเพศศึกษาในสถานศึกษา ซึ่งควรเร่งพัฒนาทักษะการถ่ายทอดความรู้ให้เหมาะสมกับวัยและวุฒิ ภาวะของนักเรียน 8.อนามัยวัยรุ่น เป็นภาพรวมของการดูแลวัยรุ่นให้มีความรู้ เข้าใจและได้รับค าปรึกษาในด้านสุขภาพ ทั่วไป ในที่นี้จะเน้นเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ของวัยรุ่นเรื่องเพศศึกษารวมทั้งได้รับบริการคุมก าเนิด การมี เพศสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบและปลอดภัย เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ปรารถนาและป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์และเอดส์ ซึ่งได้ด าเนินงานจัดบริการที่เป็นมิตรกับวัยรุ่น (17)ในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย ดังนั้น ผู้ให้บริการควรพัฒนาทักษะผู้ให้ค าปรึกษาเข้าใจวิถีวัยรุ่น และท างานที่ตอบสนองความต้องการวัยรุ่นได้ดีใน สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ โดยมีเป้าหมายให้มีการด าเนินงานครอบคลุม 77 จังหวัด ภายในปี พ.ศ. 2555 9.การมีบุตรยาก ปัจจุบันผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ส่วนหนึ่งจะอยู่ในระบบการศึกษานานขึ้นท าให้อายุ แรกสมรสสูงขึ้น ภาวะการเจริญพันธุ์จะลดลง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อ ความสามารถในการเลี้ยงดูบุตร จึงส่งผลถึงการตัดสินใจมีบุตรเมื่ออายุมากขึ้นสถานการณ์การมีบุตรยากใน ประเทศไทยปี 2540 พบหญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-49 ปี มีบุตรยาก ขั้นปฐมภูมิ ร้อยละ 2.5 และมีบุตรยาก ขั้นทุติยภูมิ ร้อยละ 9.9 (18) และการส ารวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551- 2552 ในคู่สมรส (15-59 ปี) พบมีปัญหาเรื่องมีบุตรยากร้อยละ 11 (12) ส าหรับผู้ที่ต้องการมีบุตรบุคลากรทาง การแพทย์ควรแนะน าการดูแลเบื้องต้น เพื่อค้นหาภาวะการมีบุตรยาก เพื่อการดูแลและรักษาแต่แรกเริ่มและ พิจารณาส่งต่อ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ได้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก 10. ภาวะหลังวัยเจริญพันธุ์และผู้สูงอายุ ผู้หญิงช่วงอายุ 45-59 ปี เป็นผู้ที่อยู่ในภาวะหลังวัยเจริญ พันธุ์ หรือเรียกว่าผู้ที่อยู่ในวัยทอง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ความหมายว่า เป็นวัยที่ระดูสิ้นสุดอย่าง ถาวร เนื่องจากรังไข่หยุดท างานระดับฮอร์โมนเพศลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพต่างๆเช่น กลุ่มอาการ หมดระดู กระดูกพรุน เป็นต้น ส าหรับผู้ชายการเข้าสู่วัยทองเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงร่างกายหลายๆ อย่างที่ส่งผล ต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น โรคกระดูกพรุน อ้วน เบาหวาน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น การส ารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจสุขภาพ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 พบว่าอายุเฉลี่ยของผู้หญิง


เมื่อหมดประจ าเดือน (สิ้นสุดการมีระดู) ที่อายุ 47.5 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ส าคัญต่อการสร้างรายได้ ประสบการณ์ และมีประสิทธิภาพในการท างาน จ าเป็นต้องดูแลสุขภาพผู้ที่อยู่ในภาวะหลังวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงและชาย เพื่อ ป้องกันและลดภาวะความเจ็บป่วยก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุในอนาคต การเจริญเติบโตของเด็กในยุคปัจจุบันที่มีความสมบูรณ์ของร่างกายและมีสิ่งที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนที่ เกี่ยวกับการเจริญเติบโต (Growth hormone) ให้มีการหลั่งมากขึ้นท าให้เด็กเข้าสู่วัยรุ่นเร็วขึ้น อายุเฉลี่ยของ การเข้าสู่วัยรุ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเด็กเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นตั้งแต่อายุ 10 ปี ซึ่งการที่เด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่น ท าให้มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างชัดเจน เช่น การที่เด็กผู้ชายเริ่มขนขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ เสียงแตก ห้าว เป็นต้น เด็กผู้หญิงเริ่มมีประจ าเดือน รูปร่างมีสัดส่วนที่ชัดเจน เต้านมและหน้าอกใหญ่ขึ้น เป็นต้น รวมทั้ง อารมณ์ทางเพศที่ท าให้มีความต้องการมีเพศสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงของร่างที่เกิดขึ้นนั้นโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เป็นสิ่งบ่งบอกว่าสามารถตั้งครรภ์ได้ หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ปัจจุบันพบว่ามีเด็กอายุต่ าว่า 14 ปี ตั้ง ครรภจ านวนมาก ซึ่งอายุต่ าสุดที่พบคืออายุ 10 ปี ดังนั้นเพื่อเป็นการลดอัตราการตั้งครรภ์ในเด็กอายุต่ ากว่า 14 ปี จึงจ าเป็นต้องให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดความตระหนักถึงผลเสียของการตั้งครรภ์ที่ไม่พึง ประสงค์ ทีเด็กยังไม่มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และการยอมรับจากสังคม เขตสุขภาพที่ 7 เป็นเขตที่มีอัตราการคลอดของเด็กอายุต่ ากว่า 14 ปี น้อยที่สุด จังหวัด กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีการคลอดของเด็กกลุ่มดังกล่าวมากที่สุดของเขต 7 อีกทั้งอ าเภอยางตลาดเป็นอ าเภอที่ พบเด็กอายุน้อยที่สุดที่มาคลอด คือ อายุ 11 ปี จึงท าให้สนใจในการที่จะหาแนวทางในการให้ความรู้เกี่ยวกับ อนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นให้กับเด็กวัยรุ่นตอนต้นที่เพิ่งเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นให้มีความรู้ ความเข้าใจและสร้างความ ตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ 3.วัตถุประสงค์ของหัวข้อวิจัย (ระบุสิ่งที่โครงการต้องการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาหรือให้บรรลุผลตาม เป้าหมายและให้มีความสอดคล้องกับแผนงาน 1.เพื่อศึกษาระดับความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอยางตลาด จังหวัด กาฬสินธุ์ 2.เพื่อหาโปรแกรมในการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอ ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 4.วิธีด าเนินการวิจัย (ระบุถึงวิธีการว่าจะท าอย่างไร, ใช้เครื่องมืออะไร, ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ ใคร, ท าในพื้นที่ใด, ท าในช่วงเวลาใด และใช้ระยะเวลานานเพียงใด) 1.รูปแบบการวิจัย


เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ที่มีการศึกษาในประชากร 2 กลุ่ม แล้วน า ผลการทดสอบโปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นมาเปรียบกัน ทั้งก่อนหลัง การทดลองและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.ประชากร -วัยรุ่นตอนต้น ที่มีอายุ 10 – 13 ปี (ก าลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6) ที่อาศัยอยู่ในเขต รับผิดชอบของโรงพยาบาลยางตลาด อ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ -กลุ่มตัวอย่าง ค านวณกลุ่มตัวอย่าง ด้วยโปรแกรม G*power โดย ก าหนดค่า Effect size จากงานวิจัยที่ผ่านมา, ค่า α เท่ากับ 0.05, ค่าPower = 0.95 สุ่มตัวอย่าง - สุ่มหาโรงเรียนที่เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยการสุ่มอย่างง่าย - สุ่มหากลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบระบบ (Systemic random sampling) ด้วยการน าเอา รายชื่อของเด็กชั้นประถมศึกษามาเรียงตามเลขที่ แล้วหาช่วงชั้นด้วยการค านวณตามสูตรN/n ก าหนดคุณสมบัติกลุ่มตัวอย่าง 1.อายุ 10 – 13 ปี (ก าลังศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4 – 6) 2.ก าลังศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลยางตลาด 3.ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองหรือครูประจ าชั้น พื้นที่วิจัย โรงเรียนประถมศึกษาในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลยางตลาด เนื่องจากเขต 7 เป็นเขตที่มีแม่ อายุต่ ากว่า 14 ปี น้อยที่สุด จังหวัดกาฬสินธุ์มีแม่อายุ 14 ปี มากที่สุด และอ าเภอยางตลาดมีแม่อายุน้อยที่สุด คือ 11 ปี ท าในช่วงเวลา วันที่ 1 พ.ค.2566-ก.ย.2566 เป็นเวลา 5เดือน


เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถามความเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นวัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้น ในอ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของกลุ่มวัยรุ่นวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ซึ่ง ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง มีจ านวนทั้งหมด 7 ข้อ ประกอบไปด้วยแบบสอบถามที่เป็นแบบเลือกตอบหรือตรวจสอบ รายการ (Check List)และแบบเติมค าประกอบด้วย เพศ อายุและจ านวนสมาชิกในครอบครัว ส่วนที่ 2 แบบสอบถามระดับความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นโดยได้ผ่านการ ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา(Content Validity)และความเหมาะสมของภาษาของแบบสอบถามจาก ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่านและได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญได้ค่า IOC มีค่าเท่ากับ 0.99 และน าไปทดลองใช้วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้วิธีหาความคงที่ภายใน KR-20 มีค่า ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 ส่วนที่ 3 แบบสอบถามโปรแกรมในการให้ความรู้ความเข้าใจ เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่น ตอนต้นในอ าเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยผู้วิจัยสร้างขึ้นเองได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา และความเหมาะสมของภาษาของแบบสอบถามโดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 3 ท่าน CVI = 0.96และได้น าไป ทดลองใช้ (Try Out) กับกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีช่วงอายุระหว่าง 10-13ปีในอ าเภอยาง ตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มตัวอย่างจากนั้นน าผลที่ได้มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามโดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แอลฟา (Alpha-coefficient) ของครอนบาค (Cronbach’s Coefficiency)มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองภายหลังได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ พิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และเริ่มด าเนินการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยชี้แจงข้อมูลเหตุผล ความเป็นมาวิธีการเก็บข้อมูลและขออนุญาตเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยให้กลุ่มตัวอย่างลงนามให้ความ ยินยอมให้ข้อมูลในแบบสอบถามก่อนด าเนินการเก็บข้อมูลซึ่งกลุ่มตัวอย่างจะใช้เวลาในการตอบแบบสอบถาม การวิจัยประมาณ 10 –15 นาที การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน น าเสนอข้อมูลในรูปแบบของตารางเปรียบเทียบ Pre-Post test และ เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วย สถิติ t test 2.ศึกษาระดับความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอยางตลาด จังหวัด กาฬสินธุ์ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ โดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


3.โปรแกรมในการให้ความรู้ ความเข้าใจ เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นของวัยรุ่นตอนต้นในอ าเภอยาง ตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ โดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5. กรอบแนวคิดการวิจัย (ระบุผลงานหลักของโครงการในเชิงปริมาณและ/หรือคุณภาพที่วัดได้ระบุผู้ ได้ประโยชน์หรือผู้น าผลงานไปใช้ หากผลงานเป็นไปตามที่คาดหมาย) กรอบแนวคิด V – SHAPE การมีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เพียงพอเปรียบได้กับการมีเกาะป้องกันอันตรายต่างๆ ในทุก สถานการณ์ สามารถจัดการสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ปัจจัยสิ่งแวดล้อมจ าเป็นต้องเอื้อให้สามารถ ปฏิบัติตาม แบบจ าลอง V-Shape 6 องค์ประกอบได้ คือ การเข้าถึง การเข้าใจ การตอบโต้ซักถามและ แลกเปลี่ยนการตัดสินใจการเปลี่ยนพฤติกรรมและการบอกต่อการเสริมสร้างและพัฒนาพฤติกรรมความรอบรู้ ด้านสุขภาพจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะและศักยภาพ ท าให้สามารถควบคุมและปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้ซึ่งมีประโยชน์ทั้งต่อบุคคล ชุมชนและสังคม ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ 1.การเข้าถึงข้อมูล (Access skill) หมายถึง การใช้ความสามารถในเลือกแหล่งข้อมูล การค้นหาข้อมูล หน่วยงานบริบทกรมอนามัย ภารกิจ และตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งจนข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้ เกิดการ “รู้เขา รู้เรา” 2.ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive skill) หมายถึงความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องน าเข้าสู่กระบวนการ คิดวิเคราะห์แยกแยะ เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ ส่งผลให้เกิด“ภูมิคุ้มกันที่ดี” 3.ทักษะการสื่อสาร (Communication skill) หมายถึง ความสามารถในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อปรับใช้ พัฒนาตนและพัฒนางานอย่างมีคุณภาพ 4.ทักษะการตัดสินใจ (Decision skill) หมายถึงความสามารถในการก าหนดทางเลือกหรือเลือก วิธีการปฏิบัติโดยมีการใช้เหตุผลหรือวิเคราะห์ ผลดี – ผลเสีย เพื่อการตัดสินใจพร้อมแสดงทางเลือกปฏิบัติที่ ถูกต้อง 5.ทักษะการจัดการตนเอง (Self-management skill) หมายถึง ความสามารถในการก าหนด เป้าหมาย วางแผนและปฏิบัติพร้อมทั้งมีการทบทวนวิธีการปฏิบัติตามเป้าหมายเพื่อน ามาปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ ตนให้ถูกต้อง 6.การรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy skill) หมายถึงความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้อง ความ น่าเชื่อถือของข้อมูล และสามารถเปรียบเทียบวิธีการเลือกรับสื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับ


ตนเองและผู้อื่นรวมทั้งมีการประเมินการเริ่มตนจากตัวเอง ท าให้เกิด“ความรู้ที่คงทน”สามารถชี้แนะแนวทาง ให้กับผู้อื่นได้ 1.โปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้ (Learning development program) คือ รูปแบบการให้ความรู้เรื่อง อนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่น เพื่อสร้างความเข้าใจและเกิดความตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ 2.อนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่น (Adolescence reproductive health) คือ ความรู้ที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ การเป็นวัยรุ่นที่ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นกับร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ที่ครอบคลุมถึงการมี อารมณ์ทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ 3.วัยรุ่นตอนต้น (Early adolescence) คือ ผู้ที่มีอายุ 10 – 1 3 ปี ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ที่ก าลัง เข้าสู่วัยรุ่น การทบทวนวรรณกรรม 1.วัยรุ่นตอนต้น 2.อนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่น 3.ความรอบรู้ด้านสุขภาพ 4.การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ 5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (ระบุผลงานหลักของโครงการในเชิงปริมาณและ/หรือคุณภาพที่วัดได้ ระบุผู้ได้ประโยชน์หรือผู้น าผลงานไปใช้ หากผลงานเป็นไปตามที่คาดหมาย และมีความสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์การท าวิจัย) 1.มีแนวทางในการให้ความรู้เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่นให้แก่วัยรุ่นตอนต้น 2.ลดอัตราการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในวัยรุ่นตอนต้น


การทบทวนวรรณกรรม 1.วัยรุ่น คืออะไร วัยรุ่น คือ คนที่อยู่ในช่วงอายุ 10-21 ปี ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ คนวัยนี้มีการเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา และจิตใจ ส่วนใหญ่มักเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง สามารถมอง สิ่งต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งมากขึ้น เริ่มสนใจรูปลักษณ์ของตัวเองและพยายามมองหาอัตลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะตัว มี อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย รู้สึกอยากมีอิสระจากครอบครัว เริ่มมีความสนใจเรื่องเพศมากขึ้น และมักต้องการ การยอมรับจากกลุ่มเพื่อนและสังคมที่ตัวเองอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหม่บางประการขณะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอาจท าให้ลูกรู้สึกสับสนและรับมือไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่จึง ควรให้เวลาในการปรับตัวและเข้าใจธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น พร้อมทั้งมอบความรักและความ เข้าใจให้กับลูกอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและผ่าน พ้นวัยที่สับสนนี้ไปได้ด้วยดี วัยรุ่นแบ่งออกเป็นกี่ช่วง วัยรุ่น สามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ วัยรุ่นตอนต้น วัยรุ่นตอนกลาง และวัยรุ่นตอนปลาย วัยรุ่นตอนต้น อายุ 10-13 ปี ในช่วงนี้ วัยรุ่นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายได้ อย่างชัดเจน เช่น สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เริ่มมีขนขึ้นตามแขน ขา และบริเวณอวัยวะเพศ ผู้หญิงอาจเริ่มมี หน้าอก ผู้ชายอาจเริ่มเสียงแตกหนุ่ม มีสิว วัยรุ่นตอนต้นจึงจะเริ่มรู้สึกอ่อนไหวและกังวลเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงของตัวเอง อาจรู้สึกไม่มั่นใจและมักเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนที่อยู่ในวัยเดียวกัน หากวัยรุ่นบาง คนเติบโตได้เร็วหรือช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เช่น เด็กผู้ชายบางคนสูงช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากความเร็วในการเจริญเติบโตของแต่ละคนแตกต่างกัน วัยรุ่นตอนต้นเริ่มมีความคิดความอ่านที่เป็น รูปธรรม มองสิ่งต่าง ๆ แบบขาวและด า ไม่มีตรงกลาง และยังให้ความส าคัญกับตัวเองเป็นหลัก มักยึดติดอยู่กับ ความคิดของตัวเอง ท าให้บางครั้งหากมีความคิดเห็นไม่ตรงกับผู้อื่น อาจต่อต้านและแสดงออกอย่างก้าวร้าว นอกจากนี้ วัยรุ่นตอนต้นจะเริ่มต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้นและอาจเริ่มถอยห่างจากครอบครัว จึงเป็นสิ่ง ส าคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเคารพความเป็นส่วนตัวและให้ระยะห่างที่เหมาะสมกับลูก วัยรุ่นตอนกลาง อายุ 14-17 ปี การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายในช่วงวัยรุ่นตอนต้นยังด าเนินต่อไปในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง ระดับ ฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจท าให้วัยรุ่นบางคนมีสิว วัยรุ่นชายตอนกลางส่วนใหญ่จะมีการเจริญเติบโตที่ก้าว กระโดด เสียงค่อย ๆ ทุ้มต่ าลง และสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนวัยรุ่นหญิงตอนกลางจะมีการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพเกือบสมบูรณ์ ส่วนใหญ่จะมีประจ าเดือนแล้วแม้สมองและความคิดจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่วัยรุ่น


ตอนกลางก็ยังมีวิธีคิดที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ เนื่องจากสมองกลีบหน้าที่ท าหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจที่ซับซ้อน และควบคุมอารมณ์ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ส่วนใหญ่จะพัฒนาจนสมบูรณ์เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป วัยรุ่นตอนกลางจึง อาจมองภาพรวมได้แล้ว แต่ยังไม่เข้าใจมากนัก มักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งและอาจยังตัดสินใจผิดพลาดอยู่ เนื่องจากยังคิดอะไรได้ไม่ถี่ถ้วนและยังตัดสินใจได้ไม่ดีพอวัยรุ่นตอนกลางอาจเริ่มสนใจเรื่องความรัก เริ่มมีความ ต้องการทางเพศและอาจเริ่มช่วยตัวเอง รู้จักตั้งค าถามและส ารวจอัตลักษณ์ของตัวเอง และมักสนใจว่าเพื่อนจะ คิดยังไงกับตัวเอง ทั้งยังอาจเริ่มมีปากเสียงกับคนในครอบครัว เนื่องจากต้องการเป็นอิสระมากขึ้น และเริ่มใช้ เวลากับเพื่อนมากกว่าครอบครัว วัยรุ่นตอนปลาย อายุ 18-21 ปี วัยรุ่นตอนปลายจะมีพัฒนาการทางกายภาพที่สมบูรณ์และเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตได้สูงสุดแล้ว ส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้น ตัดสินใจได้รอบคอบและถี่ถ้วนขึ้น มีความคิดเป็นของ ตัวเอง รู้ถึงคุณค่าและศักยภาพของตัวเองเป็นอย่างดี หลายคนเริ่มให้ความส าคัญกับอนาคตของตัวเอง มีความ มั่นคงในเรื่องของความสัมพันธ์และมิตรภาพมากขึ้น บางคนอาจแยกตัวเองออกมาจากครอบครัวแล้วและ พึ่งพิงครอบครัวน้อยลงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ วัยรุ่นตอนปลายเริ่มมองว่าตัวเองเท่าเทียมกับสมาชิก ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในครอบครัว ไม่ได้เป็นเด็กที่ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่เช่นที่ผ่านมา การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่นในแต่ละช่วง อาจแบ่งได้ดังนี้ พัฒนาการด้านร่างกาย วัยรุ่นตอนต้น เริ่มมีขนขึ้นตามร่างกาย แขน ขา ใต้วงแขน และอวัยวะเพศเริ่มมีสิวและกลิ่นตัว ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ของฮอร์โมน ผู้หญิงมีเสียงแหลมเล็กลง หน้าอกขยายตัว สะโพกผายออก เอวคอดขึ้น และเริ่มมีประจ าเดือน ผู้ชายจะเริ่มเสียงแตกและค่อย ๆ ทุ้มลง มีหนวดขึ้นบนใบหน้า และอวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น วัยรุ่นตอนกลาง ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีประจ าเดือนแล้ว และเริ่มหยุดสูงผู้ชายส่วนใหญ่จะมีอวัยวะเพศที่มีขนาดและรูปร่าง สมบูรณ์ตอนอาประมาณ 17-18 ปี ส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และหยุดสูงช้ากว่าผู้หญิงเมื่ออายุ ประมาณ 18 ปี วัยรุ่นตอนปลาย ร่างกายเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ส่วนสูงมักไม่เพิ่มขึ้นแล้วอยู่ในวัยที่สามารถสืบพันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์ (Sexual maturity)


พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม วัยรุ่นตอนต้น กังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของตัวเองมากขึ้นให้ความสนใจกับตัวเองเป็นหลักอารมณ์ แปรปรวนสูง หงุดหงิดง่ายสนใจความเห็นของเพื่อนในวัยเดียวกันแสดงความรักต่อพ่อแม่น้อยลง อาจใช้ อารมณ์หรือแสดงท่าทีรุนแรงกับที่บ้านมากขึ้น มักเครียดเรื่องภาระที่ต้องความรับผิดชอบที่โรงเรียน วัยรุ่นตอนกลาง สนใจเรื่องเพศและความสัมพันธ์มากขึ้นขัดแย้งกับที่บ้านน้อยลงแสดงออกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวและเป็น อิสระจากที่บ้านมากขึ้นรู้จักแสดงความใส่ใจและแบ่งปันมากขึ้น และสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ คนรอบข้างได้ดีขึ้นใช้เวลากับพ่อแม่น้อยลง และใช้เวลากับเพื่อนมากขึ้น วัยรุ่นตอนปลาย แสดงความเห็นของตัวเองได้โดยที่ไม่ไหลตามความเห็นของคนอื่นสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ใน ลักษณะที่เหมาะสมขึ้น ก้าวร้าวน้อยลงสามารถรับผิดชอบหน้าที่แบบผู้ใหญ่ได้แล้วให้ความส าคัญกับ ความสัมพันธ์และมิตรภาพพูดคุยกับคนที่อายุมากกว่าได้สะดวกใจมากขึ้นสนใจกับความเปลี่ยนแปลงของ ร่างกายตัวเองน้อยลงดูแลสุขอนามัยและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น 2.อนามัยเจริญพันธุ์วัยรุ่น อนามัยเจริญพันธุ์เดิมใช้ค าว่า “สุขวิทยาการเจริญพันธุ์” โดยใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ คือReproductive Health เป็นภาวะความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายและจิตใจที่เป็นผลสัมฤทธิ์อันเกิดจากกระบวนการและ หน้าที่ของการเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์ทั้งชายและหญิงทุกช่วงอายุของชีวิต ซึ่งท าให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุขอนามัยการเจริญพันธุ์ครอบคลุมสิทธิของชายและหญิงทุกช่วงอายุในการตัดสินใจ รวมถึง สิทธิที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถ ที่จะเข้าถึงบริการด้านอนามัยเจริญพันธ์ ความหมายของอนามัยเจริญพันธุ์ อนามัยเจริญพันธุ์ คือ สภาวะที่สมบรูณ์พร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจของเพศชายและเพศหญิงส าหรับการสืบทอดเผ่าพันธุ์ อันส่งผลให้มีความสุขทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ตลอดจนจิตวิญญาณโดยกระบวนการนี้ยังครอบคลุมนับตั้งแต่การมีพัฒนาการทาง เพศการมีความพึงพอใจทางเพศ ตลอดจนการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การได้รับการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และเหมาะสมในระหว่างการตั้งครรภ์ การมีอิสระที่จะตัดสินใจในการให้ก าเนิดบุตร และให้ก าเนิดได้อย่าง ปลอดภัย รวมไปถึงได้รับข้อมูลข่าวสารและการบริการสุขภาพอย่างปลอดภัยมีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งเพศชาย และเพศหญิง องค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์ องค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์แต่ละองค์ประกอบมี


ผลต่อสุขภาพของบุคคลการตระหนักถึงความส าคัญของอนามัยเจริญพันธุ์ และท าความเข้าใจในองค์ประกอบ แต่ละด้านที่เกี่ยวข้องจะช่วยเป็นแนวทางให้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง ซึ่งองค์ประกอบของอนามัยเจริญพันธุ์มี 10 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การวางแผนครอบครัว เป็นการวางแผนการด าเนินชีวิตครอบครัวของสามีภรรยาคู่หนึ่ง เพื่อให้มีบุตร และเพศของบุตร ตลอดจนการเว้นระยะในการมีบุตรตามที่ทั้งคู่ต้องการ โดยอาศัยการพิจารณาจากสุขภาพ อนามัยทั้งร่างกายและจิตใจของมารดา ผนวกกับภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว 2. การอนามัยแม่และเด็ก เป็นการดูแลสุขภาพของมารดาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์และเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จน คลอดออกมาเป็นวัยแรกเกิด วัยทารก และวัยเด็ก 3. เพศศึกษา มีหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่า “เพศศึกษา” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศ ระหว่างชายและหญิงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเพศศึกษา หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศทั้งที่ เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ 4. อนามัยวัยรุ่น วัยรุ่นมีความจ าเป็นต้องรักษาอนามัยของร่างกายหลายประการ เช่นการรักษาอนามัย ของผิวหนัง เส้นผม เล็บ ตา หู จมูก ฟัน ช่องปาก นอกจากนี้จะต้องรักษาสุขวิทยาทางเพศด้วย เพราะวัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น เด็กหญิงเริ่มมีประจ าเดือน เด็กชายมีการหลั่งน้ าอสุจิ 5. โรคเอดส์ เป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าโรคอื่นๆ เพราะยังไม่มียาที่สามารถรักษาให้หายได้ผู้ป่วยโรคเอดส์ มักจะมีสุขภาพจิตไม่ดี หมดก าลังใจ เพราะอนาคตต้องเสียชีวิตแน่นอน ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการรักษาและการ ปฏิบัติตนของผู้ป่วย 6. โรคติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่มีอัตราการเกิดโรคมาก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลายชนิด เช่น โรคหนองใน โรคซิฟิลิส โรคแผลริมอ่อน โรคฝีมะม่วง โรคแผล เรื้อรัง แต่ละโรคเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการทางเพศ หรือเป็น คนที่ส าส่อนทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์จึงต้องมีการป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัย การเกิดโรคติดเชื้อใน ระบบอวัยวะสืบพันธุ์จะท าให้มีผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งท าให้การด ารงชีวิตขาดความสุข 7. มะเร็งในระบบสืบพันธุ์ มักเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง หากเป็นในระยะที่ 3 หรือระยะที่ 4 จะไม่ สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าเป็นระยะที่ 1 หรือระยะที่ 2 จะสามารถรักษาให้หายได้ ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบ มักจะเกิดระยะที่ 2 แล้ว เนื่องจากระยะแรกไม่ปรากฏอาการที่ชัดเจน ยกเว้นคนที่ไปตรวจสุขภาพหรือตรวจ มะเร็งทุกปี ก็สามารถทราบในระยะแรกของการเป็นโรคมะเร็ง 8. การแท้งและภาวะแทรกซ้อน การแท้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ครรภ์ที่ได้รับการกระทบกระเทือนที่ เกิดขึ้นเอง เนื่องจากสภาพของมดลูกที่ไม่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์การท าแท้งซึ่งในการท าแท้งอาจเกิด


ภาวะแทรกซ้อนได้ บางรายถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากการเสียเลือดหรือการติดเชื้อ ดังนั้นขณะตั้งครรภ์จะต้อง ระมัดระวังเป็นพิเศษ หากไม่พร้อมที่จะมีบุตรควรใช้วิธีการคุมก าเนิด 9. ภาวะการมีบุตรยาก กรณีคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากต้องปรึกษากับสูตินรีแพทย์ปัจจุบันพบว่าคู่สามี ภรรยาเป็นจ านวนมากที่มีปัญหาการมีบุตรยาก และอยากมีบุตร การไปให้แพทย์ตรวจจะต้องตรวจทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง ท าให้ทราบสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก แพทย์จะได้ช่วยเหลือให้มีบุตรได้ตามที่ต้องการแต่อาจไม่ ได้ผลตามที่ต้องการเสมอไป และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง 10. ภาวะหลังวัยเจริญพันธุ์และวัยสูงอายุผู้หญิงหลังวัยเจริญพันธุคือ ผู้หญิงที่มีอายุประมาณ 45-50 ปีขึ้น ไป เป็นวัยที่ผู้หญิงเริ่มหมดประจ าเดือน มีอารมณ์แปรปรวนไปบ้าง เรียกว่า“วัยทอง” ซึ่งผู้ชายก็มีวัยทอง เช่นเดียวกันปัจจุบันโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลจะมีคลินิกวัยทองเพื่อบริการในการให้ค าปรึกษาและรักษา ให้กับบุคคลที่เข้าสู่วัยทอง 3.ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความหมายของความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) หมายถึง ทักษะต่างๆ ทางการรับรู้และทางสังคม ซึ่งเป็น ตัวก าหนดแรงจูงใจและความสามารถของปัจเจกบุคคลในการที่จะเข้าถึง เข้าใจ และใช้วิธีการต่างๆ เพื่อ ส่งเสริมและบ ารุงรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอยู่เสมอ (ขวัญเมือง แก้วด าเกิง, 2558) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิผลของกระบวนงานสุขศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยและญาติซึ่งจะส่งผลถึงผลลัพธ์ของการรักษาและสถานะสุขภาพ (ชะนวนทอง ธนสุ กาญจน์, 2557) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นระดับของบุคคล ประชาชน ที่ได้รับหรือ เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร สุขภาพ และสามารถเข้าใจข้อมูลพื้นฐานด้านสุขภาพ และบริการสุขภาพที่จ าเป็น เพื่อน าไปสู่การ วิเคราะห์และตัดสินใจด้านสุขภาพที่เหมาะสม (ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์, 2557) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) หมายถึง ความสามารถและทักษะในการ เข้าถึงข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อวิเคราะห์ ประเมินการปฏิบัติและการจัดการตนเอง รวมทั้งสามารถชี้แนะ เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล ครอบครัว และชุมชนเพื่อสุขภาพที่ดี(กองสุขศึกษา, 2561) ดังนั้น ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) หมายถึง ความสามารถและทักษะในการเข้าถึงข้อมูลและ บริการสุขภาพ มีความรู้ความเข้าใจ กล้าซักถาม ตัดสินใจเลือกปฏิบัติเพื่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง และสามารถชี้แนะเรื่องสุขภาพต่อบุคคล ครอบครัว และชุมชนน าไปปฏิบัติ


ตามเพื่อการมีสุขภาพที่ดี 3.1 ความส าคัญความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นประสิทธิผลของการท างานสุขศึกษากล่าวคือ การ พัฒนาและเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จะเป็นการสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถ ระดับบุคคลในการธ ารงรักษาสุขภาพตนเองอย่างยั่งยืน มีการชี้น าระบบสุขภาพ ที่สอดคล้องกับปัญหาและ ความต้องการของประชาชน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพของตนเองร่วมกับผู้ให้บริการ และสามารถ คาดการณ์ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้ง ก าหนดเป้าประสงค์ใน การดูแลสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการโรคเรื้อรัง ที่ก าลังเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้นองค์การ อนามัยโลก ระบุว่า หากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพต่ าย่อมจะส่งผลต่อ สภาวะสุขภาพในภาพรวม กล่าวคือ ประชาชนขาดความสามารถในการดูแลสุขภาพของตนเอง จ านวนผู้ป่วย ด้วยโรคเรื้อรังจะเพิ่มขึ้น ท าให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น ต้องพึ่งพาบริการทางการแพทย์ และ ยารักษาโรคที่มีราคาแพง โรงพยาบาล และหน่วยบริการสุขภาพจะต้องมีภาระหนักในด้านการรักษาพยาบาล จนท าให้เกิดข้อจ ากัดในการท างานส่งเสริมสุขภาพ และไม่อาจสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการอย่าง สมบูรณ์ได้ (อ้างใน กองสุขศึกษา, 2561) 3.2 องค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ คุณลักษณะส าคัญที่จ าเป็นต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ หลัก ดังนี้ 1) การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ (Access skill) หมายถึง การใช้ความสามารถในเลือก แหล่งข้อมูล รู้วิธีการในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตน และตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งจนข้อมูลมี ความน่าเชื่อถือ 2) ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive skill) หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ 3) ทักษะการสื่อสาร (Communication skill) หมายถึง ความสามารถในการสื่อสารโดยการพูด อ่าน เขียน รวมทั้งสามารถสื่อสารและโน้มน้าวให้บุคคลอื่นเข้าใจและยอมรับข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตน ๔) ทักษะการจัดการตนเอง (Self-management skill) หมายถึง ความสามารถในการก าหนดเป้าหมาย วางแผน และปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติพร้อมทั้งมีการทบทวนวิธีการปฏิบัติตามเป้าหมายเพื่อน ามา ปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ๕) ทักษะการตัดสินใจ (Decision skill) หมายถึง ความสามารถในการก าหนดทางเลือกและปฏิเสธหลีกเลี่ยง หรือเลือกวิธีการปฏิบัติ โดยมีการใช้เหตุผลหรือวิเคราะห์ผลดี-ผลเสียเพื่อการปฏิเสธ/หลีกเลี่ยงพร้อมแสดง ทางเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง


6) การรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy skill) หมายถึง ความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้อง ความ น่าเชื่อถือของข้อมูลที่สื่อน าเสนอ และสามารถเปรียบเทียบวิธีการเลือกรับสื่อเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจ เกิดขึ้นกับสุขภาพของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งมีการประเมินข้อความสื่อเพื่อชี้แนะแนวทางให้กับชุมชนและ สังคมการเสริมสร้างและพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ทั้ง 6 องค์ประกอบ และพฤติกรรมสุขภาพจะมีผลต่อ การพัฒนาทักษะและศักยภาพที่ท าให้บุคคลมีการควบคุมสุขภาพและปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพได้ ซึ่งมี ประโยชน์ทั้งต่อบุคคล ชุมชน สังคมที่ส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้นดังตาราง 2.1 1.การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ 1. เลือกแหล่งข้อมูลด้านสุขภาพ รู้วิธีการค้นหาและการใช้ อุปกรณ์ในการค้นหา 2. ค้นหาข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพที่ถูกต้อง 3. สามารถตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งได้เพื่อยืน 2. ความรู้ความเข้าใจ 1. มีความรู้และจ าในเนื้อหาสาระส าคัญด้านสุขภาพ 2. สามารถอธิบายถึงความเข้าใจในประเด็นเนื้อหาสาระด้าน สุขภาพในการที่จะน าไปปฏิบัติ 3. สามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบเนื้อหา/แนวทางการปฏิบัติ ด้านสุขภาพได้อย่างมีเหตุผล 3. ทักษะการสื่อสาร 1. สามารถสื่อสารข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพด้วยวิธีการพูด อ่าน เขียนให้บุคคลอื่นเข้าใจ 2. สามารถโน้มน้าวให้บุคคลอื่นยอมรับข้อมูลด้านสุขภาพ 4. ทักษะการจัดการตนเอง 1. สามารถก าหนดเป้าหมายและวางแผนการปฏิบัติ 2. สามารถปฏิบัติตามแผนที่ก าหนดได้ 3. มีการทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตน เพื่อให้มี พฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง 5. ทักษะการตัดสินใจ 1. ก าหนดทางเลือกและปฏิเสธ/หลีกเลี่ยงหรือเลือกวิธีการ ปฏิบัติเพื่อให้มีสุขภาพดี 2. ใช้เหตุผลหรือวิเคราะห์ผลดี-ผลเสียเพื่อการปฏิเสธ/ หลีกเลี่ยง/เลือกวิธีการปฏิบัติ 3. สามารถแสดงทางเลือกที่เกิดผลกระทบน้อยต่อตนเองและ ผู้อื่นหรือแสดงข้อมูลที่หักล้างความเข้าใจผิดได้อย่าง เหมาะสม 6. การรู้เท่าทันสื่อ 1. ตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลสุขภาพที่ สื่อน าเสนอ 2. เปรียบเทียบวิธีการเลือกรับสื่อเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ๓. ประเมินข้อความสื่อเพื่อชี้แนะแนวทางให้กับชุมชนหรือ สังคม


3.3 ปัจจัยที่เกี่ยวของกับความรอบรูด้านสุขภาพ (กองสุขศึกษา, 2558) จากการทบทวนวรรณกรรมพบวา มีปัจจัยที่เกี่ยวของกับความฉลาดทางสุขภาพ แบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ปัจจัยระดับบุคคล ระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และระดับสังคม มีรายละเอียดดังนี้ 1) ปัจจัยระดับบุคคล 1.1 ความรู้ประกอบไปด้วยความรู้ทั่วไป (General Literacy) เช่น การอ่านตัวเลข ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การรู้เท่าทันเรื่องรูอื่นๆ เชน วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วัฒนธรรม สื่อ สิทธิและความรูเกี่ยวกับโรค และการดูแลตนเอง 1.2 คุณลักษณะสวนบุคคล การศึกษา เพศ อายุ อาชีพ รายได วัฒนธรรมภาษา ปัจจัยทางกายภาพ 1.3 ความเชื่อ และทัศนคติ (Beliefs & attitude) 1.4 พฤติกรรมความเสี่ยงทางสุขภาพ (Health risk behavior) 1.5 ทักษะและความสามารถสวนบุคคล ไดแก ทักษะในการตอรอง (Skills innegotiation) ทักษะในการ จัดการตนเอง (Skills in self- management) ความสามารถในการประเมินสื่อทางสุขภาพความสามารถใน การตัดสินใจเลือกปฏิบัติ ความสามารถในการสืบคนขอมูลสุขภาพ 1.6 พฤติกรรมสุขภาพ ประกอบไปด้วย การปฏิบัติตามค าสั่งแพทย์การตรวจสุขภาพเป็นประจ าความรวมมือใน การใช้ยาตามค าสั่งแพทย์ (Compliance with medications) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค (Changed patterns of consumption) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ (Changed health behaviors and practices) การดูแลสุขภาพตนเอง (self-care) 1.7 รูปแบบการใช้ชีวิต (Life style) 1.8 การจัดการสุขภาพและความเจ็บป่วย (Manage of health & illness) 1.9 ระดับความเครียด (Stress level) 1.10 สถานทางสุขภาพ (Health status) 1.11 คุณภาพชีวิต (Quality of life) 1.12การปรับปรุงโอกาส ทางเลือกของสุขภาพ (Improved health outcomes, healthy choices and opportunities) 2.ปัจจัยระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล


2.1. ทักษะสวนบุคคล ประกอบด้วยทักษะทางปัญญา (Cognitive skills)ความสามารถในการวิเคราะห์ สถานการณ์และใช้ความรูความเขาใจ ทักษะการสื่อสารและทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะทางสังคม และทักษะการพิทักษ์สิทธิตนเอง (Self-advocacy) 2.2สิ่งแวดลอม (Environment) 2.3 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้บริการ(Patient provider interaction) 3.ปัจจัยระดับสังคม 3.1การก าหนดเป้าหมายจัดล าดับความส าคัญ 3.2 ความเท่าเทียมทางสังคม สุขภาพ และโครงสร้างทางการเมือง 3.3 การกระท าทางสังคมเพื่อการมีสวนรวมในประชาธิปไตยทางสุขภาพ 3.4 การพัฒนาประกอบไปด้วยการพัฒนาความรู้การพัฒนาชุมชนโดยให้ชุมชนสามารถดูแลตนเอง การพัฒนา ศักยภาพ (Capacity development) การจัดโปรแกรมให้สุขศึกษาและการอบรม การพัฒนาองค์กร (Organization development) ที่อยู่อาศัยสถานที่ท างาน การพัฒนานโยบาย (Policy development) การ ใช้กฎหมาย นโยบาย ขอบังคับให้เกิดการบังคับใช้ 3.5 การเขาถึงและใช้บริการทางสุขภาพ (Access and used health care )ที่รวมถึงการเขาถึงข้อมูลสุขภาพ เขาถึงการรักษาและการดูแลสุขภาพ 3.6การมีสวนรวมในการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานของสังคมและการปฏิบัติ(Participation in changing social norms and practices) 3.7. การปรับปรุงโอกาสทางเลือกของสุขภาพ (Improved health outcomes, healthy choices and opportunities) 3.8 ความทุมเทในการด าเนินการทางสังคมเพื่อสุขภาพ (Engagement insocial action for health) 3.9 ค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ (Health care cost) 3.4พฤติกรรมสุขภาพ ความหมายพฤติกรรมสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) หมายถึง การปฏิบัติ หรือการแสดงออกของบุคคลในการกระท า หรือ งดเว้นการกระท าในสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพของตนเอง โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และการปฏิบัติ


ทางด้านสุขภาพต่างๆ คือ สุขภาพกาย จิตใจ/อารมณ์ และสังคม ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างมีสมดุล พฤติกรรมสุขภาพเกิดขึ้นทั้งภายใน (Covert Behavior) และพฤติกรรมสุขภาพภายนอก (Overt Behavior) และรวมถึงการปฏิบัติที่สังเกตได้และการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตไม่ได้ แต่สามารถวัดได้ว่าเกิดขึ้นพฤติกรรม สุขภาพภายใน (Covert Behavior) เป็นปฏิกิริยาภายในตัวบุคคลมีทั้งเป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่เป็น รูปธรรมซึ่งสามารถใช้เครื่องมือบางอย่างเข้าวัดหรือสัมผัสได้ เช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของล าไส้ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่มีอยู่ตามสภาพของร่างกาย ส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ความคิด ความรู้สึก เจตคติ ค่านิยม เป็นต้น พฤติกรรมภายในนี้ไม่สามารถสัมผัสหรือวัดได้ด้วยเครื่องมือต่างๆ เพราะไม่มีตัวตน จะ ทราบได้เมื่อแสดงพฤติกรรมออกมาพฤติกรรมสุขภาพภายนอก (Overt Behavior) เป็นปฏิกิริยาต่างๆ ของ บุคคลที่แสดงออกมาทั้งทางวาจาและการกระท าซึ่งปรากฏให้บุคคลอื่นเห็นหรือสังเกตได้ เช่น ท่าทางหรือ ค าพูดที่แสดงออกไม่ว่าจะเป็นน้ าเสียง สีหน้า (Good.1959: 44,58-60 อ้างในกองสุขศึกษา, 2561) พฤติกรรมสุขภาพ หมายถึง การกระท าที่มีผลต่อสุขภาพของบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน ไม่ว่าจะในลักษณะที่ ท าให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ท าให้ตนเอง บุคคลอื่นๆ ในครอบครัว หรือบุคคลอื่นในชุมชนเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต (กองสุขศึกษา, 2561)การพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ จะเกิดขึ้นโดยการพัฒนาปัจจัยที่ เกี่ยวข้องทั้งปัจจัยภายในตัวบุคคล และปัจจัยภายนอก (กองสุขศึกษา, 2561) ได้แก่ กลุ่ม 1 ปัจจัยน า (Predisposing factors) เป็นปัจจัยที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่ท าให้บุคคลมีความโน้มเอียงที่จะ กระทาพฤติกรรมสุขภาพหรือไม่เพียงใด ประกอบด้วย ความรู้ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม ความมั่นใจ รวมไปถึง คุณลักษณะของประชากร เช่น เพศ อายุ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น กลุ่ม 2 ปัจจัยเอื้อ (Enabling factors) เป็นกลุ่มปัจจัยที่จ าเป็นต้องมีอย่างเหมาะสมจึงจะท าให้บุคคลเกิดการ ปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพนั้น ได้แก่ ความสะดวก ความเพียงพอ เหมาะสมระยะทางใกล้/ไกล ในการไปใช้ บริการหรือเข้าร่วมกิจกรรม ตัวอย่างเช่น ความสะดวกในการเข้าร่วมกลุ่มออกก าลังกาย รูปแบบการออกก ก าลังกายเหมาะสมกับวัยและความชอบของบุคคล ถังขยะมีเพียงพอหาง่ายเมื่อต้องการทิ้งขยะ การมีร้านขาย สินค้าเพื่อสุขภาพในชุมชน กลุ่ม 3 ปัจจัยเสริม (Reinforcing factors) เป็นกลุ่มปัจจัยที่เกี่ยวกับบุคคลรอบข้างบุคคลในครอบครัว ซึ่งอาจ สนับสนุนจูงใจและขัดขวางการปฏิบัติตัวทางด้านสุขภาพ ได้แก่ ค าชมเชยจากคนในครอบครัว เพื่อน ญาติ การกระตุ้นเตือนจากครู/อาจารย์ กฎระเบียบของหน่วยงาน/องค์กรต่างๆ 2.3.2 พฤติกรรมสุขภาพที่พึง ประสงค์ของคนไทย (กองสุขศึกษา, 2558) ในการศึกษานี้จะกล่าวถึงพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกก าลังกายพฤติกรรมการสูบบุหรี่พฤติกรรมการป้องกันวัณโรค และพฤติกรรมการใช้ยาอย่าง สมเหตุสมผล ดังนี้ 1) พฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในการเสริมสร้างร่างกาย


1.1 กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น หวานจัด ไขมันสูง เค็มจัด สี ฉูดฉาด 1.2 เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยค านึงถึงหลัก ๓ ป. คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด ปรุง อาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยค านึงถึงหลัก ๓ ส. คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาด ปลอดภัย 1.3 กินอาหารหลากหลาย ไม่ซ้ าซาก (จ าเจ) กินให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และกินให้ ถูกหลักโภชนาการทุกวัน 1.4 กินอาหารปรุงสุกใหม่ และใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือ อาหารรสจัด ของหมักดอง หรือ อาหารใส่สีฉูดฉาด 1.5 ดื่มน้ าสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 2) พฤติกรรมก ารออกก าลังกายเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายและสุขภาพ 2.1 ออกก าลังกายแบบแอโรบิคอย่างน้อย 1 ชนิด 2.2 ออกก าลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกลุ่มกล้ามเนื้อหลักทุกส่วนของร่างกายอย่างน้อย 1 ชนิด 2.3 ออกก าลังกายแบบฝึกความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ทุกส่วนของร่างกาย อย่างน้อย 1 ชนิด 3) พฤติกรรมการไม่สูบบุหรี่เพื่อสุขภาพ 3.1 หลีกเลี่ยงการทดลองสูบบุหรี่ (กลุ่มไม่เคยสูบ) 3.2 ลดและเลิกการสูบบุหรี่ (กลุ่มที่สูบเป็นประจ าและเป็นครั้งคราว) 3.3 ไม่สูบบุหรี่ในสถานที่ที่ก่อให้เกิดความร าคาญกับบุคคลรอบข้าง 3.4 หลีกเลี่ยงการทดลองดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (ในกลุ่มที่ไม่ดื่ม) 3.5 ลดและเลิกการดื่มสุรา (ในกลุ่มดื่มประจ าหรือกลุ่มดื่มเป็นครั้งคราว) 4) พฤติกรรมการป้องกันวัณโรค (ส านักวัณโรค, 2559) 4.1 เมื่อผู้ไอหรือจามให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง และทิ้งในถังขยะที่มีถุงรองรับ และมีฝาปิด 4.2 ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ 4.3 บ้วนเสมหะในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ท าลายโดยการเผาทุกวัน หรือบ้วนเสมหะในโถส้วมชักโครก


4.4 ดูแลตนเองให้แข็งแรง ออกก าลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 4.5 ใช้ช้อนกลาง เมื่อกินอาหารร่วมกับผู้อื่น งดสูบบุหรี่ เลิกดื่มสุรา 4.6 จัดที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมภายในบ้านหรือที่ท างาน โดยเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก 4.7 น าที่นอน หมอน มุ้ง ผึ่งแสงแดด เสมอ ๆ และรักษาบ้านเรือน/ที่ท างานให้สะอาด และพยายามให้ แสงแดดส่องถึง 5) พฤติกรรมการใช้อย่างสมเหตุสมผล (รุ่งทิวา หมื่นปา, 2557) การใช้ยาอย่างสมเหตุผล หมายถึง การใช้ยา โดยมีข้อบ่งชี้เป็นยาที่มีคุณภาพ มีประสิทธิผลจริง สนับสนุนด้วยหลักฐานที่เชื่อถือได้ ให้ประโยชน์ทางคลินิก เหนือกว่าความเสี่ยงจากการใช้ยาอย่างชัดเจน มีราคาเหมาะสม คุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ไม่ เป็นการใช้ยาอย่างซ้ าซ้อน ค านึงถึงปัญหาเชื้อดื้อยา เป็นการใช้ยาในกรอบบัญชียาอย่างเป็นขั้นตอนตาม แนวทางพิจารณาการใช้ยาโดยใช้ยาในขนาดที่พอเหมาะในแต่ละกรณีด้วยวิธีการให้ยาและความถี่ในการให้ยา ที่ถูกต้องตามหลักเภสัชวิทยาคลินิก ด้วยระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสม ผู้รับบริการให้การยอมรับและ สามารถใช้ยาดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง 2.3.3 แนวทางการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 1) กระบวนการจัดกิจกรรมทางการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน ใน การด าเนินงานให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ดีและพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องได้นั้น ต้องมีการ ด าเนินงานทั้งการจัดกิจกรรมให้เกิดการเรียนรู้ ควบคู่กับการจัดปัจจัยแวดล้อมในครอบครัว และชุมชนให้เอื้อ ต่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 1.1) สร้างโอกาสการเรียนรู้ด้านสุขภาพที่หลากหลายรูปแบบและเหมาะสมกับประชาชนกลุ่มวัยท างาน ซึ่งใน การด าเนินให้ประชาชนวัยท างานเกิดการเรียนรู้ด้านสุขภาพอย่างถูกต้องมีแนวทางการด าเนินงาน ดังนี้ 1.1.1) ด าเนินการสื่อสารความรู้ด้านสุขภาพที่สอดคล้องกับข้อมูลความต้องการของประชาชนกลุ่มวัยท างาน ผ่านช่องทางและสื่อท้องถิ่น ซึ่งมีการด าเนินการ ดังนี้ 1.1.2) ประเมินและวิเคราะห์การรับรู้ ความต้องการข้อมูลข่าวสารของประชาชน/แหล่งข้อมูลในชุมชนด้าน สุขภาพ 1.1.3 ด าเนินการสื่อสารความรู้ด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับข้อมูลความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สื่อบุคคลสื่อท้องถิ่น สื่อมวลชนประสานและสร้างความร่วมมือเครือข่ายสื่อมวลชน สื่อ ท้องถิ่นในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องให้กับประชาชน 1.1.4) รณรงค์สร้างกระแสการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง


1.2) ส่งเสริมพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านสุขภาพให้กับประชาชน การเสริมทักษะการสื่อสารด้านสุขภาพ เพื่อ เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชน ด้วยการจัดให้มีกิจกรรมสื่อสารสองทางในชุมชนโดยชุมชน เพื่อให้ ได้รับข้อมูลด้านสุขภาพ ผ่านวิธีการที่หลากหลาย เช่น ชุมชนนักปฏิบัติ ฐานเรียนรู้ 1.3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสุขภาพที่หลากหลายรูปแบบ เช่น 1.3.1) จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านสุขภาพในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การบรรยาย การ สาธิต การฝึกทักษะเป็นต้น 1.3.2) ส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ ความเข้าใจด้านสุขภาพ อย่างสม่ าเสมอ เช่น ชมรมสร้างสุขภาพ/กลุ่มต่างๆ 1.3.3) จัดโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้ฝึกปฏิบัติตนเองในการดูแลสุขภาพของ ตนเอง เช่น โปรแกรมลดพุง งดบุหรี่ สุรา ลดหวาน มัน เค็ม 1.3.4) ส่งเสริมการเรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลต้นแบบ หรือบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดีด้านสุขภาพ เช่น เรื่องเล่าจากประสบการณ์ การจัดเวทีประชาคม 1.4) ประเมินพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง จัดให้มีการประเมินพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง ทุกเดือนพร้อมทั้ง ให้ประเมินทางเลือกที่ต้องการในการปฏิบัติตนด้านสุขภาพที่ถูกต้อง 2) การจัดปัจจัยแวดล้อมในครอบครัว และชุมชนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ ซึ่งในการด าเนินการจัดปัจจัยแวดล้อม มีแนวทางการด าเนินงาน ดังนี้ 2.1) จัดปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง เช่น การ ปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเอง เมนูชูสุขภาพ มีร้านค้าขายผักปลอดสารพิษในชุมชน เป็นต้น 2.2) จัดหาสื่อ/ช่องทางการสื่อสารสุขภาพที่ทันสมัยเข้าถึงได้ง่ายตลอดเวลาโดยจะต้องประเมินความต้องการ และช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร จัดให้มีช่องทางการสื่อสารด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับชุมชน ได้แก่ สื่อมวลชน สื่อบุคคล หอกระจายข่าวหมู่บ้าน วิทยุชุมชน มุมนิทรรศการ/ประชาสัมพันธ์ให้เข้าร่วมกิจกรรม 2.3) มีแหล่งเรียนรู้และสถานที่ในการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แหล่งการเรียนรู้ เป็น แกนหลักเสริมการ เรียนรู้ และส่งผลต่อการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ซึ่งท าให้ประชาชนสนใจ ใฝ่รู้ รักการเรียนรู้แสวงหาความรู้ และสามารถน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติตนด้านสุขภาพได้ ดังนั้นจึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี การส่งเสริม สนับสนุนให้มีแหล่งเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพในชุมชนที่ประชาชน สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ฐานเรียนรู้สุขภาพชุมชน จัดให้มีสถานที่ให้ค าปรึกษาด้านสุขภาพ และสายด่วนปรึกษาปัญหา เป็นต้น


2.4) เฝ้าระวังสื่อสาธารณะเพื่อให้สามารถรู้เท่าทันสื่อโดยการจัดกิจกรรมเสริมทักษะให้ประชาชนได้ฝึก วิเคราะห์ ในประเด็นการเลือกใช้สื่อที่ถูกต้อง ประเมินเนื้อหาที่จ าเป็นและถูกต้อง ฝึกประเมินสื่อ/ข้อความ/ เนื้อหาสื่อด้วยตนเอง เฝ้าระวังข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพและเตือนภัยด้านสุขภาพโดยชุมชน 2.5) ก าหนดมาตรการทางสังคมหรือข้อตกลงร่วมเพื่อถือปฏิบัติร่วมกันส่งเสริม สนับสนุนให้มีการก าหนด มาตรการในการเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน เช่น กินผัก หลากหลายสีในปริมาณวันละอย่างน้อย 5 ขีด ลดอาหารหวานมัน เค็ม เป็นต้น 3) วิธีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพเสริมสร้างให้ประชาชนมีความ รอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นการสร้างและพัฒนาขีดความสามารถของบุคคลในการธ ารงรักษาสุขภาพตนเองอย่าง ยั่งยืน ซึ่งต้องก าหนดหรือออกแบบกิจกรรมในการเสริมสร้างและพัฒนาให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ 5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ มีดังนี้ กองสุขศึกษา (2561) ได้ศึกษาประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ในกลุ่มวัยท างาน ตามแนวทาง 3อ. 2ส. พบว่า ผลการประเมินมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) อยู่ในระดับดีร้อยละ 38.18 และมีระดับพฤติกรรมสุขภาพตามแนวทาง 3อ.2ส. อยู่ในระดับ ดีมาก ร้อยละ 49.51 ส าหรับปัจจัยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพตามแนวทาง 3 อ.2ส. ของ กลุ่มวัยท างาน พบว่า ปัจจัยด้านการจัดการตนเองตามแนวทาง 3อ.2ส. เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ มากที่สุด โดยถ้าประเมินปริมาณและคุณค่าอาหารที่กินในแต่ละมื้อพร้อมวางแผน ออกก าลังของตนเอง ประเมินสภาวะอารมณ์ของตนเอง การจัดสภาพแวดล้อมรอบตัวเองเพื่อให้ปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพตนเอง ตามแนวทาง 3อ.2ส. ก็จะส่งผลให้มีพฤติกรรมสุขภาพตามแนวทาง 3อ. 2ส. ที่ดี วรรณรัตน์ รัตนวรางค์และคณะ (2561) ได้ศึกษาความฉลาดทางสุขภาพด้านพฤติกรรมการดูแล ตนเองกับการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จังหวัดชัยนาท พบว่า กลุ่มตัวอย่างมี คะแนนความฉลาดทางสุขภาพโดยรวม อยู่ระหว่าง 17-92 คะแนน จากคะแนนเต็ม 96 คะแนน ซึ่งกลุ่ม ตัวอย่าง ร้อยละ 6.0 เท่านั้น ที่มีความฉลาดทางสุขภาพอยู่ในระดับเพียงพอ ร้อยละ 94.0 เป็นกลุ่มทีมี่ความ ฉลาดทางสุขภาพในระดับไม่เพียงพอและก่ ากึ่ง เมื่อพิจารณาความฉลาดทางสุขภาพจ าแนกตามองค์ประกอบ ของความฉลาดทางสุขภาพทั้ง 6 ด้าน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีทักษะด้านความรู้ความเข้าใจและการแปล ความหมาย อยู่ในระดับถูกต้องสูง ร้อยละ 66.9ในขณะที่ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการ อยู่ในระดับก่ ากึ่ง ร้อยละ 42.4 การสื่อสารเพื่อสร้างเสริม


สุขภาพและลดความเสี่ยง อยู่ในระดับก่ ากึ่ง ร้อยละ 60.6 การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพ อยู่ในระดับไม่ เพียงพอ ร้อยละ 44.5 การรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศ อยู่ในระดับไม่เพียงพอ ร้อยละ 62.0 และการตัดสินใจเลือก ปฏิบัติ อยู่ในระดับก่ ากึ่ง ร้อยละ 48.9 และผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ การประกอบอาชีพ การมีโรคร่วม และระยะเวลาที่เป็นเบาหวานกับความฉลาด ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า อายุ ระดับการศึกษา การประกอบอาชีพ รายได้และ ระยะเวลาที่เป็นเบาหวานมีความสัมพันธ์กับความฉลาดทางสุขภาพอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ชินต า เตชะวิจิตรจ ารุและคณะ (2561) ได้ศึกษาปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับความฉลาดทาง สุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความฉลาดทางสุขภาพโดยรวมมี คะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับพอใช้ ( = 49.95, S.D = 5.93) คิดเป็นร้อยละ 73.46 จากคะแนนเต็ม เมื่อจ าแนกราย ด้าน พบว่า ความฉลาดทางสุขภาพด้านความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ ร้อยละ 66.42 การเข้าถึงข้อมูลและ บริการสุขภาพ ร้อยละ 70.64 การสื่อสารสุขภาพ ร้อยละ 66.87 การจัดการตนเองและการรู้ ร้อยละ 73.58 เท่าทันสื่อและสารสนเทศ ร้อยละ 72.56 ทั้ง 5 ด้านดังกล่าวอยู่ในระดับพอใช้(= 3.99, S.D = 1.01; = 7.06, S.D = 1.58; = 10.03, S.D = 1.74; =11.04, S.D = 2.10; = 7.26, S.D= 2.04) และด้านการตัดสินใจเลือก ปฏิบัติที่ถูกต้องมีคะแนนรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก 88.16 ( = 10.58, S.D = 1.35) ปัจจัยเพศ อายุ ระดับ การศึกษา อาชีพ และสถานภาพสมรสไม่มีความสัมพันธ์กับความฉลาดทางสุขภาพโดยรวม เมื่อวิเคราะห์ราย ด้านพบว่า ปัจจัยเพศมีความสัมพันธ์กับความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับการ รู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศและอาชีพมีความสัมพันธ์กับการจัดการตนเองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ประภัสสร งาแสงใส และคณะ (2557) ได้ศึกษากรณีศึกษาความฉลาดทางสุขภาพของอาสาสมัคร ประจ าหมู่บ้าน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคะแนนความฉลาดทางสุขภาพด้านความรู้ความเข้าใจในระดับดี โดยกลุ่มตัวอย่างมากกว่า ร้อยละ 80 มีความรู้ความเข้าใจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในแบบทดสอบความฉลาดทาง สุขภาพจ านวน 11 เรื่อง จาก 20 เรื่อง และหากพิจารณาเพียงครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่าง มี ความรู้ความเข้าใจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้เพื่อประเมินความฉลาดทางสุขภาพมากถึง17 เรื่องจาก 20 เรื่องแต่บางส่วน ยังขาดทักษะในการอ่านและแปลความข้อมูลสาธารณสุขจากสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งศักยภาพของ อสม. ในการให้ ความรู้แก่ชุมชนอาจด้อยลง หากมีความฉลาดทางสุขภาพที่ไม่เพียงพ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังขาดความ มั่นใจในการแนะน าความรู้แก่เพื่อนบ้าน ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่าปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุและระดับ การศึกษา เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบด้วยในกระบวนการสรรหา อสม. เพราะมีความสัมพันธ์ต่อระดับ ความฉลาดทางสุขภาพด้านความรู้ความเข้าใจ ซึ่งมีความจ าเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ อสม กรรณิการ์ โค้วเจริญ และคณะ (2559) ได้ศึกษาพฤติกรรมสุขภาพและภาวะเสี่ยงทางสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจ าหมู่บ้าน พบว่า มีพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารอยู่ในระดับดีด้านจัดการอารมณ์และสุขอนามัยส่วน บุคคลอยู่ในระดับดีมาก ออกก าลังกาย ร้อยละ 68.5 ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ97.5 และ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ ร้อยละ 85.3 ความเสี่ยงด้านสุขภาพ พบว่าน้ าหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 51.3น้ าหนักเกิน และอ้วน ร้อยละ 44.8 รอบเอวเกินในเพศหญิงร้อยละ 56.3 ระดับความดันโลหิตปกติ ร้อยละ 69.5


ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมสุขภาพและภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ พบว่า พฤติกรรมด้านสุขภาพ 6 ด้าน ไม่มี ความสัมพันธ์กับค่าดัชนีมวลกาย และค่าเส้นรอบเอว พฤติกรรมด้านการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มที่มแอล กอฮอล์มีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปริมาณการดื่มสุรา มี ความสัมพันธ์กับค่าดัชนีมวลกายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จ านวนการสูบบุหรี่ ความถี่ในการดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การดื่มสุราและปริมาณการดื่มสุรา มีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นิยม จันทร์แนม และคณะ (2559) ศึกษาการพัฒนาความรู้เท่าทันสื่อโฆษณาเพื่อท าการตลาดของ ธุรกิจจ าหน่ายอาหารฟาสต์ฟู้ดและอาหารขยะในเด็กวัยเรียน จ านวน 192 ราย พบว่าปัจจัยจากร้านสะดวกซื้อ และการโฆษณาเพื่อท าตลาดของธุรกิจจ าหน่ายอาหารฟาสต์ฟู้ด และอาหารขยะ สามารถท านายพฤติกรรม การบริโภคอาหารของเด็กวัยเรียน ได้ถึงร้อยละ 37.9 การให้ข่าวสารตามช่องทางสื่อต่างๆ และการส่งเสริม การตลาด เป็นรูปแบบที่แต่ละธุรกิจทุ่มทุนมากที่สุด และหลังการพัฒนาความรู้เท่าทันสื่อ กลุ่มตัวอย่างมีทักษะ การรับรู้ และเข้าใจเนื้อหาสื่อ การวิเคราะห์สื่อ การประเมินสื่อ และปรับพฤติกรรมการใช้บริการร้านสะดวก ซื้อที่ดีขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (P<0.01) กรฐณธัช ปัญญาใส และคณะ (2558) ได้ศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัดการความรู้ส าหรับ กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ในกลุ่มตัวอย่าง 103 คน พบว่า กลุ่มเสี่ยงมีความรู้ความเข้าใจ ทางสุขภาพเกี่ยวกับการปฏิบัติตนระดับไม่ถูกต้องร้อยละ 94.2 การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพอยู่ในระดับ พอใช้ ร้อยละ 73.8 การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญทางสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดีพอ ร้อยละ 55.3 การ จัดการเงื่อนไขของตนเองเพื่อเสริมสร้างสุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ได้ ร้อยละ 46.6 การรู้เท่าทันสื่อและ สารสนเทศเพื่อเสริมสร้างสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดีพอ ร้อยละ49.5 การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องอยู่ในระดับ พอใช้ได้ ร้อยละ 61.2 การมีส่วนร่วมกิจกรรมทางสังคมอยู่ในระดับไม่ดีพอ ร้อยละ 99.0 และการคงดูแลรักษา สุขภาพตนเองอยู่ในระดับไม่ดีพอ ร้อยละ 65.0 ดังนั้น ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นคุณลักษณะส่วนบุคคล เป็นทักษะหรือความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ วิเคราะห์ ประเมินสื่อสาร เกี่ยวกับข้อมูลและบริการด้านสุขภาพ และน ามาใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับ สุขภาพได้อย่างเหมาะสม แต่ความรอบรู้ด้านสุขภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะของบุคคลแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ ที่ส่งผลหรือเป็นอุปสรรคต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ เช่น การไม่รู้หนังสือ ความแตกต่างด้านภาษาและวัฒนธรรม ความพิการ การไร้ความสามารถและอายุที่มากขึ้นซึ่งส่งผลต่อการ เรียนรู้และการจดจ าเป็นต้น จึงควรส่งเสริมให้อาสาสมัครประจ าหมู่บ้านมีความรู้ ปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อ น าไปสู่พฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม


อ้างอิง กองอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล/คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. การศึกษา แนวทางการค้นหาความผิดปกติและภาวะเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากในชายไทย. นนทบุรี: 2551. (เอกสารอัดส าเนา) ส านักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. 2553: (เอกสารอัดส าเนา) ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนา อนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗). ม.ป.ท., ม.ป.ป ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือบริการสุขภาพที่เป็นมิตรกับ วัยรุ่น. นนทบุรี: ส านักอนามัยการเจริญพันธุ์; 2553 กองวางแผนครอบครัวและประชากร กรมอนามัย. สถานการณ์การมีบุตรยากในประเทศไทย ปี 2540. กรุงเทพมหานคร: 2541. (เอกสารอัดส าเนา)


Click to View FlipBook Version