The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน CODING-กมลรัตน์ 63

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kamonrat.12334, 2021-10-28 00:16:14

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน CODING-กมลรัตน์ 63

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน CODING-กมลรัตน์ 63

1

2

วิจัยในชัน้ เรยี น

การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น CODING ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5
ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรียนวัดศรีสาราญราษฎร์บารงุ (แช่มประชาอทุ ศิ )
ด้วยบทเรียนออนไลนผ์ า่ นเว็บไซต์ CODE.ORG

โดย

นางสาวกมลรัตน์ บรุ าณรมย์

ครู ผู้สอนรายวชิ าวทิ ยาการคานวณ

โรงเรียนวัดศรีสาราญราษฎร์บารุง (แช่มประชาอุทิศ)
อาเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร

สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร

3

โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) อนุมัติวิจัยในชั้นเรียนเร่ือง กำรพัฒนำ
ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน ชน้ั ประถมศกึ ษำปที ี่ 5 ปีกำรศกึ ษำ 2563 โรงเรยี นวัด
ศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG ผู้วิจัย
นำงสำวกมลรัตน์ บุรำณรมย์ เพ่ือพัฒนำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน CODING วิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหน่ึง
ของกำรพฒั นำกำรเรยี นร้ขู องนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษำปีท่ี 5 ประจำภำคเรียนที่ 2 ปกี ำรศกึ ษำ 2563

ลงชือ่ ...................................................................
(นำงสำวศรพี ระจนั ทร์ สถำพรวนิ จิ งำม)

หวั หนำ้ วิชำกำรโรงเรียนวดั ศรสี ำรำญรำษฎร์บำรุง (แชม่ ประชำอทุ ศิ )

ลงชอ่ื ...................................................................
(นำงธนภรณ์ วำรนิ รักษ์)

รองผ้อู ำนวยกำรโรงเรยี นกล่มุ บรหิ ำรงำนวชิ ำกำร
โรงเรียนวดั ศรีสำรำญรำษฎรบ์ ำรงุ (แช่มประชำอทุ ศิ )

ลงชอื่ ...................................................................
(นำยชัชวำล เปลีย่ นขำ)

ผอู้ ำนวยกำรโรงเรยี นวดั ศรีสำรำญรำษฎร์บำรงุ (แชม่ ประชำอทุ ศิ )

4

สารบัญ หน้า

เรือ่ ง 1
กิตตกิ รรมประกาศ 2
บทคัดยอ่ 2
บทที่ 1 บทนา 2
3
- ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ 3
- วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย
- สมมติฐำน 4
- ขอบเขตของวิจยั 6
- นยิ ำมศัพท์เฉพำะ 9
- ประโยชน์ทีค่ ำดว่ำจะได้รับ 10
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง 10
- สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 12
- แนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 12
- เอกสำรทเี่ กย่ี วขอ้ งกับส่อื กำรเรียนกำรสอนออนไลนด์ ้วยเว็บไซต์
- ควำมสำคัญและควำมจำเป็นของกำรจัดกำรสอนแบบ E-Learning 16
- ประโยชน์ของกำรเรียนกำรสอนแบบ E-Learning 16
- ขอ้ พงึ ระวงั ในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบ E-Learning 16
- งำนวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ ง 16
บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการวจิ ยั
- ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
- เครอ่ื งมือที่ใช้ในกำรวิจยั
- กำรรวบรวมขอ้ มลู ในกำรวิจัย
- กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติทใ่ี ช้ในกำรวิจัย

5

สารบญั (ตอ่ )

หน้ำ

บทท่ี 4 ผลการวิจยั

- ผลกำรวจิ ยั กำรพฒั นำผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี น CODING ของนักเรียน 17

ชนั้ ประถมศกึ ษำปที ่ี 5 ปกี ำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวดั ศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง

(แช่มประชำอุทศิ ) ดว้ ยบทเรยี นออนไลนผ์ ำ่ นเวบ็ ไซต์ CODE.ORG

บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

- สรปุ ผล 18

- อภปิ รำยผล 18

- ข้อเสนอแนะ 18

บรรณานกุ รม 19

ภาคผนวก 20

6

กิตติกรรมประกาศ
รำยงำนกำรวิจัยในช้ันเรียน เร่ือง กำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษำปีท่ี 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วย
บทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยได้รับควำมอนุเครำะห์จำก
นำยชัชวำล เปล่ียนขำ ผู้อำนวยกำรโรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) คณะครู
กลมุ่ สำระวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี คุณครูฝำ่ ยงำนวชิ ำกำรทุกท่ำนที่ให้คำปรึกษำข้อชแ้ี นะ ในกำร
แกไ้ ขข้อบกพร่องต่ำง ๆ ของงำนวิจยั ครง้ั นี้
ขอขอบคุณ คุณครูประจำช้ัน นักเรียนชั้นประถมศึกษำบีท่ี 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวดั
ศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ที่ให้ควำมร่วมมือในกำรเก็บข้อมูล คณะผู้บริหำร โรงเรียน
วัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ท่ีให้กำรสนับสนุนกำรพัฒนำงำนวิจัยของครูผู้สอนทุก
รำยวชิ ำ จนทำให้ข้ำพเจ้ำดำเนนิ กำรวิจยั สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

กมลรตั น์ บรุ ำณรมย์

7

ชือ่ เร่ือง กำรพฒั นำผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี น CODING ของนักเรียนชั้นประถมศึกษำปที ี่ 5
ปกี ำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวดั ศรสี ำรำญรำษฎรบ์ ำรงุ (แชม่ ประชำอุทศิ )
ดว้ ยบทเรยี นออนไลนผ์ ำ่ นเวบ็ ไซต์ CODE.ORG

ผ้วู ิจัย นำงสำวกมลรตั น์ บุรำณรมย์

ปที ่ีทาการศึกษา 2563

บทคัดยอ่

กำรพัฒนำผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียน CODING ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษำปีท่ี 5
ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรยี นวดั ศรสี ำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอทุ ิศ) ดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ผำ่ น
เว็บไซต์ CODE.ORG มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือ1) ศกึ ษำผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน ทเ่ี รยี นด้วยบทเรียนออนไลน์
ผ่ำนเวบ็ ไซต์ CODE.ORG ของนักเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษำปีที่ 5 ปกี ำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวดั ศรี
สำรำญรำษฎร์บำรุง(แชม่ ประชำอทุ ศิ ) เทียบเกณฑร์ ้อยล่ะ 80 เครื่องมือท่ใี ชม้ ี 2 ประเภท คือ 1)
บทเรียนออนไลนผ์ ำ่ นเวบ็ ไซต์ CODE.ORG ของนกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ 5 2) แบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน เปน็ แบบทดสอบทผี่ วู้ ิจัยสรำ้ งข้ึน สถติ ิท่ีใช้ในกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู คือ สถิติ
พืน้ ฐำน ได้แก่ ค่ำเฉลย่ี รอ้ ยละ และส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน สถติ ิทใ่ี ช้ในกำรวิจัยคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ สถิติ
พืน้ ฐำน คำ่ เฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบนมำตรฐำน

ผลการศึกษาพบวา่

นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษำปที ่ี 5/4 ทไ่ี ด้ฝึกทักษะกำรเขยี นโปรแกรมเบอื้ งตน้ ดว้ ย
บทเรยี นออนไลน์ผำ่ นเว็บไซต์ CODE.ORG มผี ลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนสูงกวำ่ เกณฑร์ ้อยละ 80 ตำม
สมมติฐำนงำนวจิ ัยท่ีตงั้ ไว้

1

บทที่ 1
บทนา
1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
เทคโนโลยีด้ำนคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเครือข่ำย และเทคโนโลยีด้ำนกำรส่ือสำรได้เข้ำมำมี
บทบำทในด้ำนกำรศึกษำเป็นอย่ำงมำก โดยกำรนำเอำเทคโนโลยีดังกล่ำวมำช่วยในกำรจัดกำรเรียน
กำรสอน เรียกว่ำ e - Learning ซ่ึง e - Leaning เป็นเคร่ืองมือในกำรสร้ำงสรรค์และส่งผ่ำนองค์
ควำมรู้ ในรูปแบบต่ำงๆ ไปยังผู้เรียนที่อยู่ในสถำนที่ที่แตกต่ำงกันให้ได้รับควำมรู้ ทักษะและ
ประสบกำรณ์ ร่วมกันกระบวนกำรเรียนรู้จะถูกสร้ำงสรรค์ข้ึนมำอย่ำงเหมำะสม โดยที่ผู้เรียนสำมำรถ
เรยี นรู้ไดต้ ำม ควำมถนัดและควำมสำมำรถของตนเอง e - Leaning เป็นกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนผ่ำน
ระบบ เครือข่ำยคอมพิวเตอร์ที่มีปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่ำจะเป็นกำรปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงผู้เรียนกับบทเรียน
ผู้เรียนกับผู้สอน หรือระหว่ำงผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเอง จึงทำให้ผู้เรียนมีควำมกระตือรือร้นในกำร
เรียนรู้ และทำให้กำรจัดกำรเรียนกำรสอนมีลักษณะคล้ำยกับกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในชันเรียนที่มี
กำร ปฏสิ มั พันธ์กนั ของผสู้ อนและผู้เรียนรูปแบบของ e - Learning ไมว่ ำ่ จะเป็น บทเรยี นคอมพวิ เตอร์
ชว่ ยสอน บทเรียนออนไลน์ผ่ำนเวบ็ ไซต์
ควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศในปัจจุบัน ทำให้เยำวชนยุคใหม่มีสื่อและ
แหล่งเรียนรู้มำกมำย และมีเครื่องมือที่สำมำรถเข้ำถึงส่ือต่ำงๆ ได้ทุกที่ทุกเวลำ โดยเฉพำะ อย่ำงยิ่ง
ระบบอนิ เทอรเ์ น็ต ทีช่ ว่ ยใหก้ ำรส่อื สำรเปน็ ไปได้อย่ำงรวดเร็ว สบื คั้นขอ้ มลู ตำ่ งๆ ไดภ้ ำยใน ระยะเวลำ
อันสั้น ซ่ึงเทคโนโลยีเหล่ำนี่หำกนักเรียนนำมำใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกำรศึกษำ ก็จะเป็นส่ิงที่ จะทำให้
นักเรียนเกิดกำรเรียนรู้ได้อย่ำงรอบด้ำน และเรียนรู้ได้ทุกทีทุกเวลำ จำกสถิติกำรใช้งำนอินเตอร์เน็ต
พบว่ำนกั เรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษำตอนตน้ และมธั ยมศึกษำตอนปลำย มกี ำรใชบ้ รกิ ำรอินเทอร์เน็ตใน
กำรเล่น Social Network 82.78 อ่ำนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 52.2% ดูโทรทัศน์,ภำพยนตร์,ฟังวิทยุ
ออนไลน์ 42.3% (สำนักงำนพฒั นำธุรกรรมทำงอิเล็กทรอนิกส์ 2558) ซงึ่ พบว่ำมนี กั เรยี นจำนวนมำกท่ี
มีกำรใช้บริกำร Social Network ไม่ว่ำจะเป็น Facebook Twitter Line instar gram หลำยคนท่ี
ใช้เวลำส่วนใหญ่ในกำรใช้บริกำรส่ือสังคมออนไลน์เหล่ำนี้ เพื่อเข้ำไปพบปะพูดคุยกับเพื่อน หรือเล่น
เกม ซึ่งอำจจะส่งผลทำให้ไม่มีเวลำทำกำรบ้ำนหรือทบทวนบทเรียน และเป็นผลให้ผลกำร เรียนของ
นกั เรยี นตกตำ่ ลงได้ แตถ่ ำ้ หำกนักเรียนสำมำรถเปล่ียนพฤติกรรมกำรใช้งำนอนิ เทอร์เนต็ และ ส่อื สังคม
ออนไลน์ โดยใชง้ ำนในเชิงท่สี ร้ำงสรรคแ์ ละเกิดประโยชน์ เชน่ ใช้ในกำรปรึกษำ สอบถำม ขอ้ สงสัยกับ
ครูผู้สอนหรือผู้รู้หรือแนะนำเกี่ยวกับกำรเรียนและแหล่งเรียนรู้ที่ได้ค้นพบมำให้กับ เพ่ือน หรือใช้เป็น
แหล่งในกำรบันทึกเก็บรวบรวมควำมรู้ ข้อมูลท่ีนักเรียนได้ศึกษำเรียนรู้ท้ังใน ห้องเรียนและนอก
ห้องเรียน โดยสรุปเป็นใจควำมหรือเนื้อหำสำคัญไว้ เพ่ือใช้เป็นแหล่งทบทวน บทเรียนและเผยแพร่
ควำมรู้ให้เพ่ือนหรือผู้ที่สนใจได้เข้ำมำศึกษำ เคร่ืองมือเหล่ำน้ีก็จะเป็นเคร่ืองมือที่ มีประโยชน์มำกต่อ

2

กำรเรียนรู้ของนักเรียนเอง และจะช่วยให้นักเรียนสำมำรถร่วมกันเรียนรู้ร่วมกัน ปรึกษำ แก้ปัญหำ
และหำคำตอบได้เป็นอย่ำงดี อีกทั้งยังเป็นกำรใช้งำนอินเทอร์เน็ตและนำสื่อสังคม ออนไลน์มำใช้
ในทำงทีเ่ กิดประโยชน์ต่อกำรเรยี นของตนเอง

ปัทมำ นพรัตน์ (2548) ให้ควำมหมำยของ กำรเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ E - Learning ว่ำ
เป็นกำรศึกษำเรียนรู้ผ่ำนเครือข่ำยคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทรำเน็ต(Intranet)
เป็นกำรเรียนรู้ด้วยตวั เอง ผู้เรียนจะได้เรียนตำมควำมสำมำรถและควำมสนใจของตน โดยเนื้อหำของ
บทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อควำม รูปภำพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอ่ืน ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่ำน
Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สำมำรถติดต่อ ปรึกษำ แลกเปลี่ยน
ควำมคดิ เห็นระหว่ำงกนั ไดเ้ ช่นเดยี วกับกำรเรียนในขั้นเรียนปกติ โดยอำศัยเครอ่ื งมอื กำรติดต่อ สื่อสำร
ที่ทนั สมยั ( E-Mail , Web-Board , Chat ) จงึ เปน็ กำรเรียนสำหรบั ทุกคนเรียนไดท้ กุ เวลำ
และทกุ สถำนที่ ดว้ ยเหตุผลทีก่ ลำ่ วไว้ขำ้ งตน้

ข้ำพเจ้ำจึงมีควำมสนใจที่จะศึกษำและวิจัยเร่ือง “กำรพัฒนำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน
CODING ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปีที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง
(แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG” โดยกำรใช้ นวัตกรรมและส่ือตำ่ ง
ๆ มำสร้ำงเป็นเว็บไซต์ (E -learning) เพื่อใช้ในกำรเรียนกำรสอน CODING ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมำยเพ่ือให้
นักเรียนท่ีได้เรียนผ่ำนสื่อกำรเรียนรู้น้ีสำมำรถพัฒนำทักษะควำมรู รู้จักเทคโนโลยีสำรสนเทศ
นอกจำกน้ีระบบ (e-Leaning) จะทำให้นักเรียนทุกคนยังสำมำรถเข้ำไปเรียนรู้ได้ตลอดเวลำและ
สำมำรถใชศ้ ึกษำเรียนรู้ทไี่ ดก้ ็ไดห้ ำกทนี่ ัน้ สำมำรถเช่อื มต่ออินเตอรเ์ น็ตได้

2. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั
เพ่ือศึกษำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปีท่ี 5 ปีกำรศึกษำ

2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์
CODE.ORG

3. สมมตฐิ าน
ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียนชั้นประถมศึกษำปีท่ี 5 ปีกำรศึกษำ 2563

โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) หลังเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์
CODE.ORG สงู กวำ่ หรอื เท่ำกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 80

4. ขอบเขตของวิจยั
4.1 ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง

3

ประชำกร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษำปีท่ี 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรี
สำรำญรำษฎรบ์ ำรุง (แชม่ ประชำอทุ ิศ) จำนวน 171 คน

กลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษำปที ี่ 5/4 ปกี ำรศกึ ษำ 2563 โรงเรียนวดั
ศรสี ำรำญรำษฎรบ์ ำรุง (แชม่ ประชำอทุ ศิ ) จำนวน 37 คน

4.2 ตัวแปรทใี่ ช้ในกำรศึกษำ
ตัวแปรต้น ได้แก่ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำน

เว็บไซต์ CODE.ORG
ตัวแปรตำม ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน CODING ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษำ

ปที ี่ 5 ปกี ำรศึกษำ 2563 โรงเรยี นวดั ศรีสำรำญรำษฎรบ์ ำรงุ (แชม่ ประชำอุทิศ)
4.3 ดำ้ นเนอ้ื หำ

เน้อื หำที่ใช้เกย่ี วกับกำรเรียน CODING ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี 5
4.4 ดำ้ นเวลำ

ภำคเรยี นที่ 2 ปกี ำรศกึ ษำ 2563

5. นยิ ามศัพท์เฉพาะ
บทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ หมำยถึง รูปแบบกำรเรียนกำรสอนออนไลน์กระทำผ่ำน

เวบ็ ไซต์ CODE.ORG
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน หมำยถึง คะแนนที่ผู้เรียนได้จำกกำรทำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์

ทำงกำรเรยี นด้วยบทเรยี นออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG ไดค้ ะแนนเฉลีย่ ไมน่ ้อยกวำ่ ร้อยละ 80

6. ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั
6.1 นกั เรียนสำมำรถศกึ ษำโดยใช้บทเรยี นออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ได้
6.2 นักเรียนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเก่ยี วกับ CODING
6.3 ได้แนวทำงในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรูปแบบออนไลน์ ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ

ทำงกำรเรียนสูงขึน้

4

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง

กำรวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยไดศึกษำทฤษฎีและงำนวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้เข้ำใจแนวทำงหลักกำร
และทฤษฎีที่มสี ว่ นเกยี่ วข้องกบั งำนวิจยั โดยแยกเป็นหัวขอ้ ดังน้ี

1. สำระและมำตรฐำนกำรเรียนร้วู ทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี
1.1 วิทยำศำสตร์
1.2 สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้

2. แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ยี วขอ้ ง
2.1 ทฤษฎกี ำรเรียนรูก้ ลุม่ พฤตกิ รรมนิยม
2.2 ทฤษฎีกำรเรียนรูก้ ลมุ่ คอนสตรัคตวิ สิ ต์
2.3 ทฤษฎี ADDIE model

3. เอกสำรท่ีเก่ียวข้องกับสื่อกำรเรียนกำรสอนออนไลน์ด้วยเว็บไซด์ ( Web Based
Instruction)

3.1 ควำมหมำยของสือ่ กำรเรยี นกำรสอนออนไลนด์ ้วยเว็บไซด์
(Web Based Instruction)
3.2 ประเภทของสือ่ กำรเรียนกำรสอนออนไลนด์ ้วยเวบ็ ไซด์
(Web Based Instruction)
3.3 องค์ประกอบสือ่ กำรเรยี นกำรสอนออนไลน์ดว้ ยเวบ็ ไซด์
(Web Based Instruction)
3.4 หลกั กำรออกแบบสือ่ กำรเรียนกำรสอนออนไลนด์ ้วยเว็บไซด์
(Web Based Instruction)
4. ควำมสำคญั และควำมจำเป็นของกำรจัดกำรสอนแบบ E - Learning
5. ประโยชนข์ องกำรเรียนกำรสอนแบบ E - Learning
6. ข้อพงึ ระวังในกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนแบบ E - Learning
7. งำนวจิ ยั ที่เกีย่ วข้อง
1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1.1 วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยำศำสตร์ ที่เน้นกำรเช่ือมโยง
ควำมรู้กับกระบวนกำร มีทักษะสำคัญในกำรค้นคว้ำและสร้ำงองค์ควำมรู้ โดยใช้กระบวนกำรในกำร

5

สืบเสำะหำควำมรู้ และแก้ปัญหำที่หลำกหลำย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกำรเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีกำรทำ
กจิ กรรมดว้ ยกำรลงมอื ปฏิบัติจริงอย่ำงหลำกหลำย เหมำะสมกับระดับชน้ั โดยกำหนดสำระสำคัญ ดังน้ี

1.1.1 วิทยำศำสตร์ชีวภำพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิตกำรดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ กำรดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ควำมหลำกหลำยทำง
ชีวภำพและวิวฒั นำกำรของสิ่งมีชวี ิต

1.1.2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ เรยี นรูเ้ กี่ยวกบั ธรรมชำติของสำร กำรเปลย่ี นแปลงของ
สำรกำรเคลอ่ื นที่ พลงั งำน และคล่นื

1.1.3 วิทยำศำสตร์โลกและอวกำศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ
ปฏิสัมพันธ์ภำยในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกำศ ระบบโลก กำรเปล่ียนแปลงทำงธรณีวิทยำ
กระบวนกำรเปลยี่ นแปลงลมฟำ้ อำกำศ และผลต่อสิ่งมชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม

1.1.4 เทคโนโลยี
1.1.4.1 กำรออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เก่ียวกับเทคโนโลยีเพื่อกำร

ดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว ใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศ ำสตร์
คณิตศำสตร์และศำสตร์อ่ืน ๆ เพ่ือแก้ปัญหำหรือพัฒนำงำนอย่ำงมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ด้วย
กระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่ำงเหมำะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต
สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม

1.1.4.2 วิทยำกำรคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับกำรคิดเชิงคำนวณ กำรคิด
วิเครำะห์ แก้ปัญหำเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ควำมรู้ด้ำนวิทยำกำรคอมพิวเตอร์และ
เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสอ่ื สำร ในกำรแก้ปัญหำท่พี บในชวี ติ จรงิ ได้อยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ

1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ (สาระที่ 4)

สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มำตรฐำน ว 4.1 เข้ำใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือกำรดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีกำร

เปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว ใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และศำสตร์อื่น ๆ
เพ่ือแก้ปัญหำหรือพัฒนำงำนอย่ำงมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่ำงเหมำะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสิง่ แวดล้อม

มำตรฐำน ว 4.2 เข้ำใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในกำรแก้ปัญหำท่ีพบในชีวิตจริง
อย่ำงเปน็ ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรส่อื สำรในกำรเรียนรู้กำรทำงำน และ
กำรแกป้ ัญหำได้อย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ รเู้ ทำ่ ทัน และมีจริยธรรม

6

2. แนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้อง

2.1 ทฤษฎีกำรเรยี นรู้กลุม่ พฤตกิ รรมนิยม
โนซีลำ สุไลมัน (2555) ทฤษฎีกำรเรียนรู้แบบกำรวำงเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant
Conditioning Theory) หรือ ทฤษฎีกำรวำงเง่ือนไขแบบกำรกระทำซ่ึงมี สกินเนอร์ (B.F. Skinner)
เป็นเจ้ำของทฤษฎี สกินเนอร์ เกิดเม่ือปี ค.ศ. 1904 เขำเป็นนักกำรศึกษำและนักจิตวิทยำที่มีช่ือเสียง
มำก เขำไดท้ ดลองเกย่ี วกบั กำรวำงเงื่อนไขแบบอำกำรกระทำ (Operant Conditioning) จนได้รับกำร
ยอมรบั อย่ำงกว้ำงขวำงตั้งแตป่ ี ค.ศ. 1935 เปน็ ต้น
สกินเนอร์ได้ทดลองกำรวำงเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์กับหนูและนกในห้องทดลองจนกระท้ัง
ไดห้ ลกั กำรต่ำง ๆ มำเป็นแนวทำงกำรศกึ ษำกำรเรียนรู้ของมนุษย์
สกินเนอร์มีแนวคิดว่ำ กำรเรียนรู้เกิดขึ้นภำยใต้เง่ือนไขและสภำวะแวดล้อมท่ีเหมำะสม
เพรำะทฤษฎีน้ีต้องกำรเน้นเร่ืองส่ิงแวดล้อม ส่ิงสนับสนุนและกำรลงโทษ โดยพัฒนำจำกทฤษฎีของ
พำฟลอฟและธอร์นไดค์ โดยสกินเนอร์มองว่ำพฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อ
ส่ิงแวดล้อมของตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องมีกำรเสริมแรง ซ่ึงกำร
เสริมแรงน้ีมีทั้งกำรเสริมแรงทำงบวก (Positive Reinforcement) และกำรเสริมแรงทำงลบ
(Negative Reinforcement)
กำรเสรมิ แรง หมำยถึง ผลของพฤตกิ รรมใด ๆ ท่ที ำให้พฤติกรรมน้นั เข้มแขง็ ขน้ึ
กำรเสริมแรงทำงบวก หมำยถึง สภำพกำรณ์ที่ช่วยให้พฤติกรรมโอเปอแรนท์เกิดขึ้นในด้ำน
ควำมที่น่ำจะเป็นไปได้ ส่วนกำรเสริมแรงทำงลบเป็นกำรเปล่ียนแปลงสภำพกำรณ์อำจจะทำให้
พฤตกิ รรมโอเปอแรนท์เกดิ ขน้ึ ได้
ในด้ำนกำรเสริมแรงนั้น สกินเนอร์ให้ควำมสำคัญเป็นอย่ำงยิ่ง โดยได้แยกวิธีกำรเสริมแรง
ออกเป็น 2 วิธี คอื
1. กำรให้กำรเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous Reinforcement) เป็นกำรให้กำรเสริมแรงทุก
ครัง้ ทผี่ ู้เรียนแสดงพฤติกรรมท่พี งึ ประสงค์ตำมทีก่ ำหนดไว้
2. กำรใหก้ ำรเสรมิ แรงเปน็ ครั้งครำว (Partial Reinforcement) เป็นกำรให้กำรเสริมแรงเป็น
ครั้งครำว โดยไม่ให้ทุกคร้ังที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พ่ึงประสงค์ โดยแยกกำรเสริมแรงเป็นครั้งครำว
ได้ดงั น้ี

2.1 เสรมิ แรงตำมอัตรำสว่ นท่ีแน่นอน
2.2 เสรมิ แรงตำมอัตรำสว่ นที่ไม่แนน่ อน
2.3 เสรมิ แรงตำมชว่ งเวลำที่แนน่ อน
2.4 เสริมแรงตำมช่วงเวลำท่ไี มแ่ นน่ อน

7

กำรเสริมแรงแต่ละวิธีให้ผลต่อกำรแสดงพฤติกรรมที่ต่ำงกัน และพบว่ำ กำรเสริมแรงตำม
อตั รำส่วนทไ่ี ม่แนน่ อนจะใหผ้ ลดีในดำ้ นท่ีพฤตกิ รรมท่ีพึงประสงค์จะเกิดขนึ้ ในอัตรำสูงมำก และเกิดข้ึน
ต่อไปอกี เปน็ เวลำนำนหลงั จำกทไี่ มไ่ ด้รับกำรเสริมแรง

สรุปแนวคิดตำมทฤษฎนี ้ีไดว้ ่ำ กำรกระทำใดๆ ถ้ำได้รับกำรเสริมแรงจะมีแนวโน้มท่ีจะเกิดขึ้น
อีก กำรเสริมแรงท่ีแปรเปล่ียนทำให้กำรตอบสนองคงทนกว่ำกำรเสริมแรงท่ีตำยตัว กำรจัดกำรเรียน
กำรสอนตำมทฤษฎนี ี้จึงเนน้ ทกี่ ำรเสนอสง่ิ เร้ำในกำรเรยี นกำรสอน กำรจดั กจิ กรรมอยำ่ งตอ่ เนือ่ ง มีกำร
แสริมแรงหรือให้รำงวัลเพื่อใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ควำมพึงพอใจท่จี ะเรียนรู้

2.2 ทฤษฎกี ำรเรียนรกู้ ลุม่ คอนสตรคั ตวิ ิสต์
อนุขำ โสมำบตุ ร (2556 ไดก้ ลำ่ วถึงทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ิสต์ (Constructivist Theory) ว่ำเป็น
ทฤษฎีสร้ำงควำมรู้ของผู้เรียน ซ่ึงถ้ำพิจำรณำจำกรำกศัพท์ "Construct" แปลว่ำ "สร้ำง " โดยในท่ีน้ี
หมำยถึงกำรสร้ำงควำมรู้โดยผู้เรียนนั่นเอง ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เช่ือว่ำ กำรเรียนรู้ หรือกำรสร้ำง
ควำมรู้ เป็นกระบวนกำรท่ีเกิดขึ้นภำยในของผู้เรียน โดยท่ีผู้เรียนเป็นผู้สร้ำงควำมรู้ โดยกำรนำ
ประสบกำรณ์หรือส่ิงท่ีพบเห็นในส่ิงแวดล้อมหรือสำรสนเทศใหม่ที่ได้รับมำเชื่อมโยงกับ ควำมรู้ควำม
เข้ำใจที่มีอยู่เดิม มำสร้ำงเป็น ควำมเข้ำใจของตนเอง หรือ เรียกว่ำ โครงสร้ำงทำงปัญญำ (Cognitive
structure หรือที่เรียกว่ำ สกีมำ (Schema) ซึ่งนั่นคือ ควำมรู้ น่ันเอง ซ่ึงอำจมิใช่เป็นเพียงกำรจดจำ
สำรสนเทศมำเท่ำน้ัน แต่จะประกอบด้วย โดยท่ีแต่ละบุคคลนำประสบกำรณ์เดิม หรือควำมรู้ควำม
เข้ำใจเดิมท่ีตนเองมีมำก่อน มำสร้ำงเป็นควำมรู้ควำมเข้ำใจท่ีมีควำมหมำยของตนเองเก่ียวกับส่ิงน้นั ๆ
ซ่ึงแต่บุคคลอำจสร้ำงควำมหมำยที่แตกต่ำงกัน เพรำะมีประสบกำรณ์ หรือ ควำมรู้ควำมเข้ำใจเดิมที่
แตกตำ่ งกัน
กนิษฐ์กำนต์ ปันแก้ว (2556) ได้กล่ำวว่ำทฤษฎีกำรสร้ำงควำมรู้ใหม่ด้วยตนเอง
(Constructivism) มีรำกฐำนมำจำกทฤษฎีพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของเพียเจต์ (Piaget) ซ่ึงเน้น
เกย่ี วกับสร้ำงควำมรู้นิยมเชงิ ปัญญำ (Cognitive Constructivism) และไวก็อตสกี้ (Vygotsky) ซง่ึ เนน้
เกี่ยวกับสร้ำงควำมรู้นิยมเชิงสังคม (Social Constructivism) แนวคิดของทฤษฎีน้ีมุ่งเน้นกำรสร้ำง
มำกกว่ำกำรรับรู้ โดยเช่ือว่ำกำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรท่ีเกิดข้ึนภำยในของผู้เรียน โดยมีผู้เรียนเป็น
ผู้สร้ำง(Construct) ควำมรู้จำกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงส่ิงท่ีพบเห็นกับควำมรู้ควำมเข้ำใจ ที่มีมำก่อน
โดยพยำยำมนำควำมเข้ำใจเกี่ยว กับเหตุกำรณ์และปรำกฏกำรณ์ที่ตนพบเห็นมำสร้ำงเป็นโครงสร้ำง
ทำงปัญญำหรือท่ีเรียกว่ำสกีมำ (Schema) โครงสร้ำงทำงปัญญำของบุคคลจะมีกำรพัฒนำโดยผ่ำน
กระบวนกำรดูดซึม (Assimilation) ซ่ึงเป็นกำรนำส่ิงแวดล้อมภำยนอกหรือควำมรู้ใหม่เข้ำมำ และ
ปรับโครงสร้ำงทำงปัญญำ (Accommodation) เป็นกำรปรับโครงสร้ำงทำงปัญญำของตนเองในกำร
รับสงิ่ แวดลอ้ มภำยนอกหรือควำมรใู้ หม่ โดยเชอ่ื มโยงกับประสบกำรณ์เดิมหรือสกมี ำของตนเองเพื่อให้
เกิดกำรเรยี นรู้

8

ทฤษฎีกำรเรียนรู้เพ่ือสร้ำงสรรค์ด้วยปัญญำ (Constructivism) เป็นกำรเรียนกำรสอนท่ี
ผูเ้ รยี นเรียนรู้จำกกำรสร้ำงงำน ผูเ้ รียนได้ดำเนินกิจกรรมกำรเรียนด้วยตนเองโดยกำรลงมือปฏิบัติหรือ
สรำ้ งงำนทีต่ นเองสนใจ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกำสใหส้ ัมผสั และแลกเปลีย่ นควำมรู้กบั สมำชิกในกลุ่ม
ผู้เรียนจะสร้ำงองค์ควำมรู้ข้ึนด้วยตนเองจำกกำรปฏิบัติงำนที่มีควำมหมำยต่อตนเอง ครูผู้สอนจะต้อง
สร้ำงให้เกิดองค์ประกอบครบทั้ง 3 ประกำร คือ 1 ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติกิจกรรมต่ำงๆ ด้วยตนเอง
(ได้สรำ้ งงำน)ตำมควำมสนใจ ตำมควำมชอบหรือตำมควำมถนดั ของแตล่ ะบุคคล 2) ใหผ้ ู้เรียนได้เรียนรู้
ภำยใตบ้ รรยำกำศและสภำพแวดล้อมในกำรเรียนรทู้ ีด่ ี และ 3) มเี ครือ่ งมอื และอปุ กรณใ์ นกำรประกอบ
กจิ กรรมกำรเรียนรู้ท่เี หมำะสม

สำยสวำท ปั้นแก้ว (2553) ได้กล่ำวไว้ว่ำกำรทำให้นักเรียนเกิดกำรเรียนรู้ตำมแนวคิดคอน
สตรัคติวิสต์ (Constructivist) จะต้องทำให้นักเรียนอยู่ในสถำนกำรณ์ท่ีนักเรียนได้เป็นผู้ลงมือปฏิบัติ
ไดเ้ ป็นผูค้ ิดเอง หรือไดเ้ ป็นผู้จดั กระทำต่อสิ่งน้นั มีขอ้ สงสัยเกดิ ขน้ึ และนกั เรยี น คนั คว้ำหำคำตอบด้วย
ตนเองเปรียบเทยี บผลของตนเองกับผอู้ ่ืน ให้ควำมสำคัญกับวัฒนธรรมและสงั คม

2.3 ทฤษฎี ADDIE model
อภิชำติ อนุกูลเวช (2553 : ออนไลน)์ หลกั กำรออกแบบของ ADDIE model มขี น้ั ตอนดงั นี้
1. ข้ันกำรวิเครำะห์ (Analysis)
2. ขัน้ กำรออกแบบ (Design)
3. ขัน้ กำรพัฒนำ (Development)
4. ขน้ั กำรนำไปใช้ (Implementation)
5. ขน้ั กำรประเมนิ ผล (Evaluation)

ขัน้ ตอนการพฒั นา ADDIE model
1. ขั้นตอนกำรวเิ ครำะห์ (Analysis) ประกอบด้วยรำยละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1.1 กำรกำหนดหวั เร่ืองและวัตถปุ ระสงค์ทัว่ ไป
1.2 กำรวเิ ครำะหผ์ เู้ รยี น
1.3 กำรวเิ ครำะห์วตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
1.4 กำรวเิ ครำะห์เนอื้ หำ
2. ขน้ั ตอนกำรออกแบบ (Design) ประกอบดว้ ยรำยละเอยี ดแตล่ ะสว่ น ดงั นี้
2.1 ก ำ ร อ อ ก แ บ บ Courseware (ก ำ ร อ อ ก แ บ บ บ ท เ รี ย น ) ซ่ึ ง จ ะ

ประกอบด้วยส่วนต่ำงๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหำ แบบทดสอบก่อนบทเรียน ( Pre-
test) สอื่ กิจกรรมวิธีกำรนำเสนอ และแบบทดสอบหลังบทเรยี น (Post-test)

9

2.2 กำรออกแบบผังงำน (Flowchart) และกำรออกแบบบทดำเนินเรื่อง
(Storyboard) (ขน้ั ตอนกำรเขียนผังงำนและสตอรี่บอรด์ ของ อลำสซ่)ี

2.3 กำรออกแบบหน้ำจอภำพ (Screen Design) กำรออกแบบหน้ำจอภำพ
หมำยถึง กำรจัดพ้ืนท่ีของจอภำพเพื่อใช้ในกำรนำเสนอเนื้อหำ ภำพ และส่วนประกอบอื่นๆ ส่ิงท่ีต้อง
พจิ ำรณำมดี ังน้ี

2.3.1 กำรกำหนดควำมละเอียดภำพ (Resolution)
2.3.2 กำรจดั พนื้ ที่แตล่ ะหนำ้ จอภำพในกำรนำเสนอ
2.3.3 กำรเลือกรูปแบบและขนำดของตัวอักษรทั้งภำษำไทยและ
ภำษำอังกฤษ
2.3.4 กำรกำหนดสี ได้แก่ สีของตัวอักษร (Font Color), สีของฉำกหลัง
(Background), สขี องสว่ นอนื่ ๆ
2.3.5 กำรกำหนดสว่ นอนื่ ๆ ที่เปน็ สิ่งอำนวยควำมสะดวกในกำรใช้บทเรียน

3. เอกสารทเี่ ก่ียวข้องกับส่ือการเรยี นการสอนออนไลนด์ ว้ ยเว็บไซด์ (Web Based Instruction)
ปัจจุบันมีผู้ใหค้ วำมสำคัญและมีกำรนำเอำเว็บมำใช้ประโยชน์เพื่อกำรศึกษำ กำรจัดกำรเรียน

กำรสอนผ่ำนเว็บ(Web-Based Instruction) นอกจำกจะเรียกว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนผ่ำนเว็บ
(Web-Based Learning) แล้วยังมี เว็บฝึกอบรม(Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม
(Inter-Based Training) และเวิล์ดไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) ท้ังนี้ได้มีผู้นิยำม
และให้ควำมหมำยของกำรเรียนกำรสอนผ่ำนเวบ็ (Web-Based Instruction) เอำไว้ดังนี้

ภำสกร เรืองรอง (2544) ได้ให้ควำมหมำย WBI (Web-based Instruction) คือกำรเรียน
กำรสอนผำ่ นเว็บ หรอื กำรดำเนนิ กำรจัดสภำวะกำรณ์กำรเรียนกำรสอน ผ่ำนทำงระบบเครือข่ำยโดยมี
กำรกำหนดเงือ่ นไขและกจิ กรรม

ถนอมพร เลำจรสั แสง (2544) ให้ควำมหมำยวำ่ กำรสอนบนเวบ็ (Web-Based Instruction)
เป็นกำรผสมผสำนกันระหว่ำงเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนกำรออกแบบกำรเรียนกำรสอนเพ่ือเพ่ิม
ประสิทธิภำพทำงกำรเรียนรู้และแก้ปัญหำในเรื่องข้อจำกัดทำงด้ำนสถำนท่ีและเวลำ โดยกำรสอนบน
เวบ็ จะประยุกตใ์ ช้คุณสมบตั ิและทรัพยำกรของ เวลิ ด์ ไวด์ เว็บ ในกำรจัดสภำพแวดล้อมท่สี ่งเสริมและ
สนับสนุนกำรเรียนกำรสอนซึ่งกำรเรียนกำรสอนที่จัดขึ้นผ่ำนเว็บนี้อำจเป็นบำงส่วนหรือท้ังห มดของ
กระบวนกำรเรยี นกำรสอนก็ได้

จำกนยิ ำมและควำมคิดเหน็ ของนักวชิ ำกำรและนักกำรศึกษำ ทั้งในตำ่ งประเทศและภำยใน
ประเทศไทยดังท่ีกล่ำวมำแล้วน้ันสำมำรถสรุปได้ว่ำ สื่อกำรเรียนกำรสอนผ่ำนเครือข่ำย
อนิ เทอร์เน็ตเปน็ กำรจัดสภำพกำรเรียนกำรสอนที่ไดร้ ับกำรออกแบบอย่ำงมีระบบ โดยอำศัยคณุ สมบัติ
และทรัพยำกรของเวิลด์ไวด์เว็บ มำเป็นสื่อกลำงในกำรถ่ำยทอดเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกำรเรียนกำร

10

สอนให้มีประสิทธิภำพโดยอำจจัด เป็นกำรเรียนกำรสอนท้ังกระบวนกำรหรือนำมำใช้เป็นเพียงส่วน
หน่ึงของกระบวนกำรท้ังหมดและช่วยขจัดปัญหำอุปสรรคของกำรเรียนกำรสอนทำงด้ำ นสถำนที่และ
เวลำอกี ดว้ ย ซึง่ แบง่ ออกเปน็ หลำยประเภท

4. ความสาคัญและความจาเป็นของการจัดการสอนแบบ E – Learning
ในโลกยุคปัจจุบัน - Learning เริ่มมีควำมสำคัญมำกข้ึน จนสำมำรถทำให้เกิดกำรเรียนรู้ได้

ทุกเวลำ ทุกสถำนท่ี ไมจ่ ำกดั อยแู่ ตใ่ นห้องเรียน หรอื ในโรงเรยี นเท่ำนัน้ นอกจำกนี้ ยงั เป็นกำรสง่ เสริม
ควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้เป็นรำยบุคคล และกำรเรียนรู้ด้วยตนเองอย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิต
ตอบสนองคุณลักษณะใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และพัฒนำทักษะกำรคิด กำรสืบค้นของผู้เรียน โดยส่วนใหญแ่ ล้ว
E - Learning จะถูกใช้ประโยชนใ์ นกรณีตอ่ ไปน้ี คือ

1. เป็นแหลง่ ควำมรู้ของผ้เู รียน (Knowledge Based)
2. เปน็ หอ้ งปฏิบัตกิ ำรของผเู้ รียน (Virtual Lab)
3. เปน็ ส่วนของหอ้ งปฏิบตั ิกำรจำลองสภำพตำ่ ง ๆ (Sim Lab)
4. นำผูเ้ รยี นออกไปสโู่ ลกว้ำง (Reaching Out)
5. นำโลกกวำ้ งมำสหู่ ้องเรยี น (Reaching within)
6. เป็นเวทีกำรแสดงออก (Performance)

5. ประโยชนข์ องการเรยี นการสอนแบบ E – Learning
ปรัชญนันท์ นิลสุข ( 2543 ) ได้กล่ำวถึงคุณลักษณะสำคัญ ของเว็บซ่ึงเอ้ือประโยชน์ต่อกำร

จัดกำรเรียนกำรสอน มีอยู่ 8 ประกำร ได้แก่
1. กำรที่เว็บเปิดโอกำสให้เกิดกำรปฏิสัมพันธ์ ( Interactive ระหว่ำงผู้เรียนกับผู้สอนและ

ผูเ้ รยี นกบั ผ้เู รยี นหรือผู้เรียนกับเนื้อหำบทเรียน
2. กำรที่เวบ็ สำมำรถนำเสนอเนือ้ หำในรูปแบบของสื่อประสม ( Multimedia )
3. กำรที่เวบ็ เปน็ ระบบเปดิ ( Open System ซ่ึงอนญุ ำตให้ผู้ใชม้ ีอิสระในกำรเข้ำถึงขอ้ มลู

ไดท้ ่วั โลก
4. กำรท่ีเวบ็ อุดมไปด้วยทรัพยำกร เพือ่ กำรสบื คน้ ออนไลน์ ( Online Search/Resource )
5. ควำมไม่มีข้อจำกัดทำงสถำนที่และเวลำของกำรสอนบนเว็บ ( Device, Distance and

Time Independent ) ผู้เรียนที่มีคอมพิวเตอร์ในระบบใดก็ได้ ซึ่งต่อเข้ำกับอินเทอร์เน็ตจะสำมำรถ
เขำ้ เรียนจำกท่ีใดกไ็ ด้ในเวลำใดก็ได้

6. กำรท่ีเว็บอนุญำตใหผ้ ู้เรียนเป็นผคู้ วบคมุ (Learner Controlled) ผเู้ รียนสำมำรถเรียนตำม
ควำมพร้อม ควำมถนดั และควำมสนใจของตน

11

7. กำรที่เว็บมีควำมสมบูรณ์ในตนเอง (Self- contained) ทำให้เรำสำมำรถจัดกระบวนกำร
เรียนกำรสอนทั้งหมดผ่ำนเว็บได้ กำรท่ีเว็บอนุญำตให้มีกำรติดต่อส่ือสำรทั้งแบบเวลำเดียว
(Synchronous Communication) เชน่ Chat และต่ำงเวลำกัน (Asynchronous Communication)
เชน่ Web Board เปน็ ตน้

สรุปได้ว่ำ กำรเรียนกำรสอน E - Learning มีประโยชนม์ ำกมำยหลำยประกำร ทั้งนี้ขึน้ อยู่กับ
จดุ ประสงค์ของกำรนำไปใช้ในกำรจดั กำรเรียนกำรสอน ซึ่งพอสรปุ ไดด้ ังนี้

1. ควำมรวดเร็วและผลกระทบที่มีต่อกำรพัฒนำตำมเป้ำหมำยและวัตถุประสงค์ของกำร
เรียนรู้ เพรำะ E - Learning ใหบ้ ริกำรผำ่ นสอื่ ท่ีใชเ้ ทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เปน็ หลักจึงมีขอ้ ได้เปรียบที่
สำมำรถนำผู้เรียนเข้ำสู่บทเรียนได้อย่ำงรวดเร็วโดยผู้เรยี น ไม่ต้องเสียเวลำในกำรรอเพื่อเข้ำสู่บทเรยี น
น้นั ๆ เลยนอกจำกน้ัน ผู้เรยี นสำมำรถเลอื กท่จี ะเข้ำเรียนในบทเรยี นใดกอ่ นหรือหลงั ได้ด้วยตวั เองโดยที่
ไม่ต้องเรยี นตำมลำดบั ของบทเรยี นในรำยวิชำน้ัน ซ่ึงนบั เป็น จดุ เด่นของกำรเรียนแบบ E – Learning

2. ควำมทันสมัยอยู่เสมอของหลกั สูตรกำรอบรมที่ผ้เู รียนสำมำรถเลือกบทเรียนและจัดลำดับ
ของกำรเรียนดว้ ยตนเอง ในบริกำรแบบ E - Learning ทำให้สำมำรถ สนองตอบพฤตกิ รรมกำรเรียนรู้
ของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่ำงดี เพรำะผู้เรียนบำงคนมีพฤติกรรมท่ีจะเลือกเรียนในหัวข้อหรือ บทเรียน
ท่ีตนคิดว่ำมีประโยชน์หรือสำมำรถตอบปัญหำท่ีตนสงสัย ในขณะน้ันก่อนแล้วจึงเรียนบทเรียนอ่ืน ๆ
ภำยหลัง นอกจำกนั้น กำรที่ผู้เรียนสำมำรถเลือกสถำนที่ เวลำ และช่วงเวลำที่ผู้เรียน รู้สึกว่ำ
สะดวกสบำย หรือเหมำะสมต่อกำรเรียนรู้ของตนมำกท่ีสุด กำรเรียนย่อมเกิดจำกควำมเต็มใจและมี
ควำมกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทำให้เกิดสัมฤทธิผลของกำรเรียนรู้และกำรที่ผู้พัฒนำระบบ E -
Learning มีกำรปรับปรุงข้อมูลในบทเรียนของตนให้ทันสมัยอยู่เสมอจะส่งผลให้ผู้เรียนได้รับควำมรู้ท่ี
เหมำะสมกบั สถำนกำรณป์ ัจจุบนั

3. เป็นกำรศึกษำท่ีเสียตันทุนตำ่ ทั้งน้ีเพรำะผู้เรียนสำมำรถ เรียนจำกแหล่งที่มีกำรเชื่อมโยง
เครือชำยท่ีใกล้กับท่ีพักอำศัยหรือ แหล่งท่ีผู้เรียนสะดวกที่สุด และส่วนใหญ่ผู้เรียนเสียค่ำสมัครคร้ัง
เดยี ว แตส่ ำมำรถเรยี นบทเรยี นนนั้ ๆ ไดห้ ลำยครั้งไมม่ ีกำรจำกัดจำนวนครั้งท่เี รียน กำรสอบเพอ่ื วัดผล
ก็สำมำรถทำได้ จำกสถำนที่เดียวกับท่ีเรียน ดังน้ัน เมื่อมองในแง่ของกำรเปรียบเทียบต้นทุนแห่งค่ำ
เสียโอกำส (Opportunity cost) แล้ว E - Leaning มีต้นทุนต่อหน่วยสำหรับผู้เรียนต่ำกว่ำกำรเรียน
โดยปกติเพรำะไม่มีค่ำเดินทำง ค่ำท่ีพัก (ในกรณีท่ีผู้เรียนอยู่ไกลสถำนศึกษำ) และสำมำรถเรียนใน
ขณะที่กำลังทำงำนอยู่ในที่ทำงำนด้วยในช่วงท่ีมีเวลำว่ำง หรือนำยจ้ำงอนุญำต โดยไม่ต้องท้ิงงำนเพ่ือ
เดินทำงไปเรียนในส่วนของผู้พัฒนำบทเรียนเองกเ็ สยี ต้นทนุ ต่ำเพรำะเสยี ต้นทนุ ในกำรพฒั นำคร้ังเดียว
ก็สำมรถนำไปใช้งำนได้หลำยต่อหลำยคร้ัง โดยจะเสียค่ำใช้จ่ำยเพ่ิมเป็นครั้งครำว เฉพำะเพ่ือกำร
บำรุงรักษำขอ้ มลู อปุ กรณ์ทีใ่ หบ้ ริกำรและค่ำใชจ้ ่ำยในกำรปรับปรุงข้อมลู เท่ำนน้ั ซ่งึ จะต่ำกวำ่ ทจ่ี ะต้อง
บำรุงรักษำข้อมูล อปุ กรณท์ ใ่ี ห้บรกิ ำรและค่ำใช้จ่ำยในกำรปรับปรุงข้อมลู เท่ำน้นั ซึ่งจะตำ่ กวำ่ ทีจ่ ะต้อง

12

พัฒนำบทเรยี นใหมท่ ุกคร้ังท่ีจะให้บริกำรอย่ำงเหน็ ได้ชัด ดังนน้ั ผู้ให้บริกำรสำมำรถคิดค่ำบริกำรในกำร
เรยี นในรำคำไมแ่ พงนกั เพ่อื แขง่ ขันกับผปู้ ระกอบกำรรำยอ่นื

6. ข้อพึงระวงั ในการจัดการเรยี นการสอนแบบ E – Learning
กำรไม่ทำควำมเขำ้ ใจให้ถ่องแท้ถึงควำมหมำย วธิ ีกำร รวมไปถงึ รปู แบบ ระดบั กำรใช้งำนและ

เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ E-learning และนำไปใช้ ( Implement ) ตำมกระแสควำมนิยม ก็อำจจะ
ส่งผลในทำงลบตำ่ งๆ แทนทข่ี ้อได้เปรยี บทัง้ หมด เช่น

6.1 ผสู้ อนทนี่ ำ E-learning ไปใช้ในลกั ษณะของส่ือเสริม โดยไม่มกี ำรปรับเปล่ียนวธิ ีกำรสอน
เลย กล่ำวคือ ผู้สอนก็ยังคงใช้แต่วิธีกำรบรรยำยในทุกเน้ือหำและสั่งให้ผู้เรียนไปทบทวนจำก E -
Learning หำก E - Leaningไมไ่ ด้ออกแบบให้จงู ใจผู้เรยี นแลว้ ผ้เู รยี นกค็ งใชอ้ ยู่พักเดียวก็เลกิ ไปเพรำะ
ไม่มีแรงจงู ใจใด ๆ ในกำรไปใช้ E - Learning ก็จะกลำยเปน็ กำรลงทุนที่ไมค่ มุ้ คำ่ แตอ่ ย่ำงใด

6.2 กำรลงทุนในด้ำนของ E - Learning จะต้องครอบคลุมถึงกำรจัดกำรให้ผ้สู อนและผเู้ รียน
สำมำรถเขำ้ ถึงเนื้อหำหรือกำรติดต่อส่ือสำรออนไลน์ ไดโ้ ดยสะดวก สำหรบั E - Learning แลว้ ผสู้ อน
และผู้เรียนที่ใช้รูปแบบกำรเรียนในลักษณะน้ีจะต้องมีสิ่งอำนวยควำมสะดวก (Facilities) ต่ำง ๆ ใน
กำรเรยี นท่พี ร้อมเพรียงและมีประสิทธภิ ำพ เช่น ผสู้ อนและผเู้ รยี นสำมำรถติดตอ่ ส่อื สำรกบั ผอู้ น่ื ได้และ
สำมำรถเรียกดูเนื้อหำโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในลักษณะมัลติมีเดีย ได้อย่ำงครบถ้วนด้วยควำมเร็ว
พอสมควรเพรำะหำกปรำศจำกข้อได้เปรียบในกำรติดต่อสื่อสำรและกำรเข้ำถึงแหล่งเน้ือหำได้สะดวก
รวมทั้งข้อได้เปรียบสื่ออ่ืนๆ ในด้ำนลักษณะของกำรนำเสนอเนื้อหำ เช่น มัสติมีเดีย แล้วนั้น ผู้เรียน
และผู้สอนก็อำจไม่เห็นควำมจำเป็นใด ๆ ท่ีจะต้องใช้ E - Learning กำรออกแบบ E - Learning ที่ไม่
เหมำะสมกับลักษณะของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนระดับอุดมศึกษำในบ้ำนเรำ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น E-
Learning จะต้องไดร้ ับกำรออกแบบตำมหลกั จติ วิทยำกำรศึกษำ กลำ่ วคือ จะต้องเนน้ กำรออกแบบให้
มีกิจกรรมกำรโต้ตอบอยู่ตลอดเวลำ ไม่ว่ำจะเป็นกับเน้ือหำเอง กับผู้เรียนอื่น ๆหรือกับผู้สอนก็ตำม
นอกจำกน้ันแล้วกำรออกแบบ กำรนำเสนอเนื้อหำทำงคอมพิวเตอร์ นอกจำกจะต้องเน้นให้เนื้อหำมี
ควำมถูกต้องและชัดเจน ยังคงต้องเน้นให้มีควำมน่ำสนใจ สำมำรถดึงดูดควำมสนใจของผู้เรียนได้
ตวั อย่ำงเช่นกำรออกแบบกำรนำเสนอโดยใชม้ สั ติมีเดยี

7. งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง
สทิ ธิชยั พลำยแดง (2557) บทเรยี นออนไลน์ เรือ่ ง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HTML โดยใช้

เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับช้ัน
มัธยมศึกษำปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) บทเรียนออนไลน์ เร่ือง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HTML
โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชำ ง3120 1 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับข้ัน
มัธยมศึกษำปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภำพตำมเกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน

13

ก่อนและหลังกำรเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่อง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HTML โดยใช้เทคนิค
Problem Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 4
และ3) เพื่อศึกษำควำมพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกำรเรียนบทเรยี นออนไลน์ เรื่อง กำรสร้ำงเว็บไซต์
ด้วยภำษำ HTMLโดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์
(เพ่มิ เตมิ ) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษำปีที่ 4ประชำกรที่ใช้ในกำรศึกษำ เปน็ นักเรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี
4 โรงเรียนบำ้ นแหลมวิทยำ อำเภอบ้ำนแหลม จงั หวัดเพชรบุรี ปีกำรศกึ ษำ 2558 จำนวน 2 ห้องเรยี น
รวมทั้งส้ิน 46 คนกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศึกษำเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 4 โรงเรียนบำ้ น
แหลมวิทยำ อำเภอบ้ำนแหลม จังหวัดเพชรบุรี ปีกำรศึกษำ 2558 ได้มำโดยกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำง
แบบเจำะจง 1 ห้องเรียน จำนวน 24 คนเครื่องมือท่ีใช้ในกำรศึกษำประกอบด้วย 1) แผนกำรจัดกำร
เรียนรู้ 2) บทเรียนออนไลน์ เรือ่ ง กำรสร้ำงเวบ็ ไซต์ด้วยภำษำ HTML โดยใช้เทคนคิ Problem Based
Learning : PBL วิซำง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม) ระดับช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 4 จำนวน 8 เร่ือง 3)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนแบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ 4) แบบ
ประเมินผลกำรปฏิบัติงำน และ 5)แบบสอบถำมควำมพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกำรเรียนด้วย
เอกสำรประกอบกำรเรียนสถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ได้แก่ คู่ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน
มำตรฐำน และทดสอบควำมแตกต่ำง โดยใชค้ ำ่ ท่ี (t - testแบบ dependent)

ผลกำรศึกษำพบว่ำ

1. บทเรียนออนไลน์ เร่ือง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HTML โดยใช้เทคนิค Problem
Based Learning : PBL วิซำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 4 ที่ผู้ศึกษำ
พฒั นำขน้ึ มีประสิทธิภำพ เทำ่ กบั 92.33/85.54 ซึ่งสงู กวำ่ เกณฑท์ ่ีกำหนด คือ 80/80 แสดงวำ่ บทเรยี น
ออนไลน์ เร่ือง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL
วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเดิม) ระดับช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 4 มีประสิทธิภำพเป็นไปตำมเกณฑ์ท่ี
กำหนดไว้

2. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น บทเรยี นออนไลน์ เรือ่ ง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HIML โดยใช้
เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับชั้น
มัธยมศึกษำปที ี่ 4 โรงเรยี นบ้ำนแหลมวทิ ยำ ทเี่ รียนโดยใช้บทเรยี นออนไลน์ กอ่ นเรยี นและหลังเรียน มี
ควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ี ระดับ .05 และคะแนนหลังเรียนมีค่สูงกว่ำคะแนนก่อน
เรียน แสดงว่ำบทเรียนออนไลน์ เรื่อง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ HIML โดยใช้เทคนิค Problem
Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 4 มี
ประสิทธิผล ซึง่ ช่วยให้ผเู้ รยี นเกิดกำรเรยี นรไู้ ด้จริง

14

3.ควำมพึงพอใจของนักเรียน หลังใช้บทเรียนออนไลน์ เร่ือง กำรสร้ำงเว็บไซต์ด้วยภำษำ
HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชำ ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม)
ระดับชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 4 โดยภำพรวม นักเรียนมีควำมพึงพอใจอยู่ในระดับมำกท่ีสุด ( = 4.53) ซ่ึง
ประเด็นที่นักเรียนมีควำมพึงพอใจมำกเป็นลำดับแรก คือ ด้ำนสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง( =
4.87) รองลงมำ มี 3 ประเด็นท่ีเท่ำกัน ได้แก่ 1) นักเรยี นชอบเรียนด้วยวิธสี อนโดยใช้บทเรยี นออนไลน์
นี้ 2)นกั เรียนมีสว่ นร่วมในกำรทำกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน และ 3 นักเรยี นต้องกำรเรียนดว้ ยวิธีสอน
นีอ้ ีกในโอกำสต่อ ๆ ไป ( = 4.83)

ชนิดำพร พลนำมอินทร์ (2558) กำรพัฒนำบทเรียนบทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และ
กระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช มีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) พัฒนำบทเรียนบทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์
และกระบวนกำรดำรงชวี ิตของพืช ใหม้ ีประสิทธิภำพตำมเกณฑ์ 80/80 2) หำคำ่ ดัชนปี ระสิทธผิ ลของ
บทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และกระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำร
เรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 1 ก่อนและหลังกำรเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ และ4) ศึกษำ
ควำมพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 1 ต่อกำรเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่องเซลล์และ
กระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช โดยกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวจิ ัยคร้ังนี้ คือ นักเรียน ช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี
1/2 ภำคเรียนท่ี 1 ปีกำรศึกษำ 2558 โรงเรียนเมืองพลพิทยำคม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สังกัด
องค์กำรบริหำรส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 35 คน ได้มำโดยกำรสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster
Random Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัยประกอบด้วย 1 บทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และ
กระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช 2) แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีจัดกระบวนกำรเรียนรู้ด้วยออนไลน์ เร่ือง
เซลล์และกระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน และ 4)
แบบสอบถำมควำมพึงพอใจท่ีมีต่อกำรเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่อง เซลล์และกระบวนกำร
ดำรงชีวติ ของพชื เวลำทใี่ ชใ้ นกำรทดลองจำนวน 20 ช่วั โมง สถติ ิทใี่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู ได้แก่ รอ้ ย
ละ ค่ำเฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมำตรฐำน และกำรทดสอบค่ำที่ (t-test dependent)

ผลกำรวิจยั พบวำ่
1. ประสิทธิภำพบทเรียนออนไลน์ เรื่อง เซลล์และกระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช สำหรับ

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 1 มีประสิทธิภำพเท่ำกับ 81.88/82.08 ซึ่งสูงกว่ำเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ คือ
80/80

2. ค่ำดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และกระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช
สำหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ 1 มคี ำ่ เทำ่ กบั 0.6512 แสดงวำ่ ผู้เรียนมคี วำมกำ้ วหนำ้ ทำงกำรเรียน
เพ่ิมขึน้ รอ้ ยละ 65.12

3. ผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรียนหลงั เรียนสูงกว่ำก่อนเรยี นอยำ่ งมีนยั สำคัญทำงสถติ ทิ ่ีระดับ .05

15

4. ควำมพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกำรเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และ
กระบวนกำรดำรงชีวิตของพืช พบว่ำโดยรวมมีควำมพึงพอใจอยู่ในระดับมำก โดยเรียงลำดับจำกมำก
ไปหำน้อยดังน้ี 1) ด้ำนกำรออกแบบกำรสอน 2) ด้ำนกำรเก็บบันทึกข้อมูลและกำรจัดกำร 3) ด้ำน
เนื้อหำบทเรียน และ 4) ด้ำนคำแนะนำในกำรใช้บทเรียน และเมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อพบว่ำ มีควำม
พงึ พอใจในระดับมำกทส่ี ุด 3 ขอ้ คอื บทเรียนชว่ ยแก้ปัญหำกำรเรียนไม่ทันเพ่ือนได้มำกท่ีสดุ รองลงมำ
คือ ช่วยให้นักเรียนมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ มำกข้ึน และกำรใช้ภำพกรำฟิกในบทเรียนมีควำมเหมำะสม
ตำมลำดบั และมคี วำมพงึ พอใจในระดบั มำก 17 ขอ้

16

บทท่ี 3
วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย
กำรวิจัยคร้ังนี้เป็นกำรวิจัยเร่ืองกำรพัฒนำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษำปีที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วย
บทเรียนออนไลนผ์ ำ่ นเว็บไซต์ CODE.ORG โดยข้ันตอนกำรวจิ ัยประกอบดว้ ย
1. ประชำกรและกล่มุ ตัวอย่ำง
2. เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในกำรวิจัย
3. กำรรวบรวมขอ้ มูลในกำรวิจยั
4. กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถติ ิทใ่ี ช้ในกำรวิจยั

1. ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง
1.1 ประชำกรที่ใช้ในกำรศึกษำครั้งน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษำปีที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563

โรงเรยี นวัดศรสี ำรำญรำษฎรบ์ ำรุง (แชม่ ประชำอทุ ศิ ) จำนวน 171 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศึกษำครั้งน้ี คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษำปีท่ี 5/4 ปีกำรศึกษำ

2563 โรงเรียนวดั ศรสี ำรำญรำษฎร์บำรงุ (แชม่ ประชำอุทศิ ) จำนวน 37 คน

2. เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั
- แบบทดสอบก่อนเรียน CODING
- บทเรียนออนไลน์ผำ่ นเว็บไซต์ CODE.ORG จำนวน 3 บทเรยี น
- แบบทดสอบหลังเรยี น CODING
- ตำรำงบันทกึ คะแนน

3. การรวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ยั
3.1 ทำกำรทดสอบก่อนเรยี นของนกั เรยี นทั้งห้อง และบนั ทึกผลคะแนนกอ่ นเรยี น
3.2 นกั เรยี นเรยี น CODING โดยเรียนผำ่ นเวบ็ ไซต์ CODE.ORG จำนวน 3 บทเรียน
3.3 ทำกำรทดสอบหลังเรียนของนักเรยี นทงั้ หอ้ ง และบนั ทึกผลคะแนนกอ่ นเรียน
3.4 หำค่ำเฉลี่ยของคะแนนกำรทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เปรียบเทียบผลต่ำงของ

คะแนนทดสอบทีเ่ รียนผำ่ นบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG

4. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติท่ใี ชใ้ นการวิจยั
- คะแนนกอ่ นเรยี นและคะแนนหลังเรียน
- ค่ำเฉล่ียของคะแนนก่อนเรียน - หลงั เรียน

17

บทท่ี 4
ผลการวจิ ยั

กำรวิจัยเร่ือง กำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษำปี
ที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์
ผ่ำนเวบ็ ไซต์ CODE.ORG ไดผ้ ลกำรวจิ ยั ดงั นี้

ตารางแสดงผล กำรวิเครำะห์เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ผ่ำน
เว็บไซต์ CODE.ORG ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษำปีท่ี 5/4 จำนวน 37 คน

ประชากร ค่าเฉลี่ย คา่ เฉล่ีย ผลต่างของ ผลลพั ธ์
แบบทดสอบ แบบทดสอบ ค่าคะแนน
หลงั เรียน นกั เรยี นมีผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน
ก่อนเรยี น 32.03 สูงกวำ่ เกณฑร์ อ้ ยละ 80
91.49
ป.5/4 59.46
จำนวน

37 คน

จำกตำรำง กำรศึกษำและวิเครำะห์ตำรำงเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบ ก่อนเรียนและ
หลังเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG ผลปรำกฏว่ำ คะแนนกำรทดสอบหลังเรียน
ของนกั เรียนมคี ่ำเฉล่ียเพม่ิ ขึน้ ร้อยละ 32.03 และมผี ลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรียนอยทู่ ่ีรอ้ ยละ 91.49

18

บทที่ 5
สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

กำรวิจัยเร่ือง กำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษำปี
ที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์
ผำ่ นเวบ็ ไซต์ CODE.ORG ได้ผลสรปุ ผล อภปิ รำยผล และข้อเสนอแนะ ดงั นี้

ไดผ้ ลสรปุ ผล
ผลกำรวิจัยเรื่องกำรพัฒนำผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน CODING ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษำ

ปีที่ 5 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎรบ์ ำรุง (แช่มประชำอุทิศ) ด้วยบทเรียนออนไลน์
ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG ผลปรำกฏว่ำ นักเรียนมีค่ำเฉล่ียของคะแนนกำรทดสอบก่อนเรียนร้อยละ
59.46 และมีคำ่ เฉลี่ยของคะแนนกำรทดสอบก่อนเรยี นร้อยละ 91.49 ซึง่ คะแนนกำรทดสอบหลงั เรียน
ของนกั เรยี นมคี ำ่ เฉล่ยี เพ่มิ ขน้ึ รอ้ ยละ 32.03 และมีผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี นอยทู่ รี่ อ้ ยละ 91.49

อภปิ รายผล
จำกกำรทำกิจกรรมเรียนรู้ CODING จำกบทเรียนออนไลน์จำนวน 3 บทเรียน นักเรียน

สำมำรถทำกิจกรรมในแต่ละบทได้และมีควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจเก่ียวกบั CODING เพ่ิมมำกขนึ้ ทกุ คน
จำกกำรวจิ ัยในครั้งนี้ พบวำ่ ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น CODING ของนกั เรียน ชัน้ ประถมศึกษำ

ปีท่ี 5/4 ปีกำรศึกษำ 2563 โรงเรียนวัดศรีสำรำญรำษฎร์บำรุง (แช่มประชำอุทิศ) จำนวน 37 คนท่ี
เรียน CODING ด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่ำนเว็บไซต์ CODE.ORG นักเรียนมีค่ำเฉล่ียของแบบทดสอบ
หลังเรยี นสงู กวำ่ กอ่ นเรยี น รอ้ ยละ 32.03 และมีผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี นอยทู่ ี่ร้อยละ 91.49

ขอ้ เสนอแนะ
ในกำรวิจัยครั้งตอ่ ไปอำจจะมีกำรทำแบบทดสอบท้ำยบทเพื่อวัดผลกำรเรียนรู้ของนักเรยี นใน

แต่ละบทเรียนท่ีนักเรียนได้ศึกษำ เพื่อเป็นกำรเช็คควำมเข้ำใจของนักเรียนในแต่ละบท เพรำะหำก
นักเรียนยังไม่เข้ำใจ หรือผลกำรทดสอบในแต่ละบทได้คะแนนกำรทดสอบยังไม่ถึงเกณฑ์ ควรมีกำร
จดั หำหรือจดั ทำสื่อกำรสอนเพมิ่ เติมให้นกั เรยี น

19

บรรณานุกรม

กนษิ ฐ์กำนต์ ปันแกว้ . (2556. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการออกแบบส่ิงแวดล้อมทางการ
เรียนรตู้ ามแนวคอนตรคั ตวิ สิ ม์ แหล่งท่มี ำ : อดั สำเนำ. (สบื คน้ วนั ที่ 1 ธันวำคม 2559).

ชนิดำพร พลนำมอนิ ทร.์ (2558. การพัฒนาบทเรยี นบทเรยี นออนไลน์ เรอ่ื ง เซลล์และกระบวนการ
ดารงชีวิตของพชื . แหล่งที่มำ : http://www.kroobannok.com. (สืบค้นวันที่ 1 ธนั วำคม
2559).

ถนอมพร เลำหจรสั แสง. (2541). คอมพิวเตอร์. พิมพ์ครง้ั ท่ี 3. กรุงเทพฯ : ภำควชิ ำโสตทัศนศึกษำ
คณะครศุ ำสตร์ จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั .

ปทั มำ นพรตั น์. (2548). ความหมายของ E-lerning. (ออนไลน์). แหล่งทีม่ ำ :
http://www.snc.lib.su.ac.th/serindex/dublin.php?ID=13399444863

สำยสวำท ปั้นแก้ว. (2553). ทฤษฎคี อมสตรัคติวิสต์. (ออนไลน์). แหลง่ ท่มี ำ : http://phankaew.
blogspot.com/p/blog-page _8267.html. (สืบค้นวนั ที่ 1 ธนั วำคม 2559).

สิทธิชัย พลำยแดง. (2557). บทเรยี นออนไน์ เรอ่ื ง การสรา้ งเว็บไซตด์ ้วยภาษา HTML โดยใช้
เทคนิค Problem Based Learning. แหล่งทม่ี ำ : http://www.kroobannok.com.
(สบื คน้ วันท่ี 1 ธนั วำคม 2559).

อภชิ ำติ อนกุ ูลเวช. (2553). ADDIE model. (ออนไลน์). แหล่งทมี่ ำ : http://www.chontech.ac.
th/~abhichat/1/index.php?option=com_content&task=view&id=40. (สืบคั้นวันท่ี
1 ธันวำคม 2559).

20
ภาคผนวก

21

- ภาพตัวอย่างบทเรยี นออนไลนผ์ ่านเวบ็ ไซต์ CODE.ORG

เว็บไซต์ Code.org

คอรส์ กำรเรยี นทีแ่ บ่งตำมควำมเหมำะสมของช่วงอำยุ

22

เลือกคอรส์ 3 ซง่ึ เหมำะสำหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษำปี 5 เพรำะเป็นคอรส์ ท่เี หมำะสำหรบั นกั เรียน
ในชว่ งอำยุ 8-18 ปี

23

คัดเลือกบทเรียนจำนวน 3 บทเรียน โดยมบี ทท่ี 6, 8, และ 11
เพือ่ ให้นักเรียนไดศ้ ึกษำเรียนรู้ CODING ในรปู แบบท่หี ลำกหลำย

บทท่ี 6 : ผง้ึ : ฟังก์ชัน
บทท่ี 8 : เขำวงกต: เงอ่ื นไข

24

บทท่ี 11: ศลิ ปิน: ลปู ซอ้ นลปู

- ภาพกจิ กรรมการเรยี นออนไลนข์ องนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5/4

25
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

26
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

27
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

28
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

29
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

30
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

31
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

32
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

33
ภำพกิจกรรมกำรเรียนออนไลน์ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 5/4 (ตอ่ )

34


Click to View FlipBook Version