The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชีววิทยา ม.5 เรื่อง ระบบย่อยอาหาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Natcha Jettanathammajit, 2024-02-22 06:42:07

ระบบย่อยอาหาร

ชีววิทยา ม.5 เรื่อง ระบบย่อยอาหาร

Keywords: Digestive system,Biology

Digestive system นายณัฐดนัย พลฤทธิ์ เลขที่ 1 ม.6/4 นางสาวนัชชา เจตนาธรรมจิต เลขที่ 8 ม.6/4 ระบบย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหาร นางสาวบุญยานุช ตรงมะตัง เลขที่ 14 ม.6/4 นางสาวณัฐณิชา จันทร์เลื่อนเลขที่ 15 ม.6/4


การสลายโมเลกุลอาหารให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ร่างกายดูดซึม จากนั้นจะลำ เลียงผ่านกระแสเลือด และระบบต่อ ต่ มน้ำ เหลืองไปยังเซลล์ต่างๆทั่ว ทั่ ร่างกาย โดยเกลือแร่ วิตามิน และน้ำ สามารถดูดซึมเข้าเซลล์ได้เลย โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ส่วนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ตี และไขมัน ต้องผ่านกระบวนการย่อยทางเคมี ให้กลายเป็นหน่วยย่อยก่อน ดังนี้ ระบบย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหาร สารอาหาร (Nutrient) หน่วยย่อย(Monomer) ที่ร่างกายดูดซึม คาร์โบไฮเดรต น้ำ ตาลโมเลกุลเดี่ย ดี่ ว เช่น ช่ กลูโคส โปรตีน ตี กรดอะมิโมิ น ไขมัน มั กรดไขมัน มั และ กลีเ ลี ซอรอล


พบเฉพาะในไฟลัม ลั Porifera (ฟองน้ำ ) และ Cnidaria (ไฮดรา) นำ อาหารเข้าสู่เซลล์โดยวิธี วิ เ ธี อนโดไซโทซิส แล้ว Lysosome จะมาย่อยสลายให้อนุภาคเล็ก ล็ กากอาหารที่ย่อยอาหารไม่ได้ จะถูกส่งออกไปนอกเซลล์ การย่อยอาหารภายในเซลล์ (Intraccellular Digestion) รูรูรูรู ปแบบการย่ย่ ย่ย่ อยอาหารของสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์


พบในสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ ที่มีร มี ะบบทางเดิน ดิ อาหาร ตั้ง ตั้ แต่ไฟลัม ลั Cnidaria ไปจนถึง ถึไฟลัม ลั สัต สั ว์ชั้น ชั้ สูง Chorodata สัต สั ว์จะปล่อยน้ำ ย่อยหรือ รื เอนไซม์ไปย่อยอาหารภายนอกเซลล์ แล้วค่อยดูดซึมอนุภาค ขนาดเล็ก ล็ กลับ ลั สู่เซลล์ ส่วนที่ย่อยไม่ได้ เป็นกากอาหารจะไม่มีก มี ารดูดซึม พบในพวกผู้ย่อยสลายอิน อิ ทรีย รี สาร (Decomposer) เช่น ช่ เห็ด ร ห็ า และแบคทีเ ที รีย รี บางชนิด การย่อยอาหารภายนอกเซลล์ (Extracellular Digestion)


การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารในสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์ ขั้ขั้ ขั้ขั้นสูสู สูสู ง การย่อยเชิงกล (MACHANICAL DIGESTION) การย่อยเชิงเคมี (CHEMICAL GIGESTION) เป็นการเปลี่ เป็นการเปลี่ย ลี่ ย ลี่ ลี่ นแปลงทางเคมีมีทำ มี ทำให้ อาหารมีมีโมี มเลกุลเล็ก ล็ ลง โดยอาศัย ศั โมี มเลกุลเล็ก ล็ ลง โดยอาศัย ศั เอนไซม์ม์ ม์ม์ มาช่วยในการย่ มาช่ อย ถือ ถื ช่ วยในการย่อย ถือ ถื เป็ป็ป็ น ป็ นกระบวนการ Hydrolysis ของ อาหารโดยใช้น้ำ ช้ น้ำ ย่ อาหารโดยใช้น้ำ ช้ น้ำ ย่อย เป็นการเปลี่ เป็นการเปลี่ย ลี่ ย ลี่ ลี่ นแปลงทางกายภาพที่ทำ ให้ ที่ทำ ให้ อาหารมีขมี นาดเล็ก ล็ ลง เพื่อ พื่ ทำ ให้ อาหารมีขมี นาดเล็ก ล็ ลง เพื่อ พื่ ทำ ให้กระเพาะอาหาร ห้ กระเพาะอาหาร มีพื้ มี น พื้ ที่ผิวมากขึ้น ขึ้ ช่วยให้การย่ มี อยเชิง ชิ เคมีเ มี กิด กิ พื้ มี น พื้ ที่ผิวมากขึ้น ขึ้ ช่วยให้การย่อยเชิง ชิ เคมีเ มี กิด กิ ง่ายขึ้น ขึ้ เช่น ช่ การใช้ฟัช้ ง่ น ฟั บดเคี้ย คี้ วอาหาร , การ ง่ ายขึ้น ขึ้ เช่น ช่ การใช้ฟัช้ น ฟั บดเคี้ย คี้ วอาหาร , การ บีบีบ บี บี คลายตัตัว ตั ตั ยองกระเพาะอาหาร (Peristalsis) เช่น ช่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และการใช้ เช่น ช่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และการใช้ น้ำ ดี(ดี ช่วยทำ ให้ น้ำ ดี(ดี ช่ ไขมีน มี แตกตัว ตั ) ช่ วยทำ ให้ไขมีน มี แตกตัว ตั )


01 ทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ ( INCOMPLE DIGESTION ) Dorsal surface Eyespot Gastrovascular cavity Protonephridia Brain Pharynx Mouth Ventral nerve cord Ventral surface มีช่ มี ช่ องทางเดิน ดิ อาหารช่องเดีย ดี ว ซึ่งทำ หน้าที่เป็นทั้ง ทั้ ปากและทวารหนัก นั ด้วยกัน กั พบในสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ เช่น ช่ ไฮดรา, พลานาเรีย รี เป็นต้น ต้ ระบบทางเดิดิ ดิ น ดิ นอาหาร ของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ต


ทางเดินอาหารสมบูรณ์ 02 ( COMPLE DIGESTION ) มีปมี ากเป็นทางเข้าของอาหาร มีท มี วารหนัก นั เป็นทางออกของอาหาร โดยระบบการย่อยอาหาร ที่จะกล่าวต่อไป เป็นทางเดิน ดิ อาหารของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์มีท มี างเดิน ดิ สมบูรณ์ ดัง ดั ระบบทางเดิดิ ดิ น ดิ นอาหาร ของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ต ปาก คอหอย ลำ ไส้ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เล็ก ล็ ลำ ไส้ ทวารหนัก นั ส้ ใหญ่


01 โพรโทซัซั ซัซัว (อาณาจัจั จัจักรโปรติติ ติติสตา) เป็นสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ เซลล์เดีย ดี ว ไม่มีอ มี วัย วั วะที่ทำ หน้าที่สะสมและย่อยอาหาร โมเลกุลอาหาร ขนาดเล็ก ล็ สามารถแพร่เข้าออกระหว่างเยื่อ ยื่ หุ้มเซลล์และสิ่งแวดล้อมได้โดยตรง ส่วน อาหารขนาดใหญ่ โพรโทซัว ซั แต่ละชนิด จะมีวิ มี ธี วิ ก ธี ารนำ อาหารสู่เซลล์ด้วยวิธี วิ ที่ ธี ที่ แตกต่างกัน กั พารามีมี มี เมี เซีซี ซี ยซี ยม พารามีเ มี ซียม (Paramecium) : ใช้ข ช้ น (Cilia) โบก ให้อาหารเข้าสู่ร่องปาก (Oral groove) ซึ่งเว้า เข้าไปภายในเซลล์ เรีย รี กว่า Pinocytosis ส่วน อาหารที่เข้าไปในเซลล์จะอยู่ใน Food vaculoe และถูกย่อยด้วยเอนไซม์Lysosome จนได้สาร อาหารที่มีโมี มเลกุลเล็ก ล็ จนเซลล์สามารถนำ ไปใช้ ในกระบวนการหายใจได้ เช่น ช่ เดีย ดี วกับ กั อะมีบ มี า การย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหารของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ตที่ที่ ที่ไที่ ม่ม่ ม่ใม่ ช่ช่ ช่ สั ช่ สั สั ตสั ตว์ว์ ว์ว์


นำ อาหารเข้าสู่เซลล์ด้วยวิธี วิ ธีPhagocytosis โดย การยื่น ยื่ ส่วนของเท้าเทีย ที ม (Pseudopodium) ออกไปโอบล้อมอาหาร ทำ ให้อาหารตกเข้าไปอยู่ภายในเซลล์ และอาหารที่ถูกนำ เข้าไปภายใน เซลล์จะอยู่ในฤงอาหาร (Food vacuole) ซึ่งจะถูกย่อยด้วยเอนไซม์จาก ไลโซโซม (Lysosome) ให้กลายเป็นโมเลกุลอาหารขนาดเล็ก ล็ และส่วนที่ เหลือ ลื จากการย่อยจะถูกขับ ขั ออกจากเซลล์ในรูปของกากอาหารต่อไป อะมีมี มี บ มี บา (Amoeba) การย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหารของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ตที่ที่ ที่ไที่ ม่ม่ ม่ใม่ ช่ช่ ช่ สั ช่ สั สั ตสั ตว์ว์ ว์ว์


ปกติดำ ติ ดำรงชีพ ชี แบบ Autotroph เพราะมีร มี งควัต วั ถุ Chromatophore จึง จึ สัง สั เคราะห์แสงได้ แต่ถ้าในสภาวะไม่เหมาะสม จะดำ รงชีพ ชี แบบ Heterotroph นอกจากนี้ ยัง ยั ดำ รงชีพ ชี ด้วยการย่อยสารอาหารที่อยู่รอบๆตัว ตั แล้วส่งเข้าร่องปาก โดยจะรับ รั อาหารจาก สิ่งแวดล้อมที่มีอิ มี น อิ ทรีย์ รี ย์ สารละลายอยู่ในปริม ริ าณสูง ได้ 2 วิธี วิ ธี ดัง ดั นี้ ดูดเอาอิน อิ ทรีย รี สารผ่านเยื่อ ยื่ หุ้มเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์โดยตรง ใช้ช่องบริเ ริ วณรอบๆ โคนเฟลเจลลัม ลั (GulletCytopharynx) ซึ่งที่ปลายบนของช่องนี้จ นี้ ะมี ปากเปิดอยู่ โดยอาหารที่ลอยอยู่ในน้ำ จะผ่านเข้าสูช่องนี้ แล้วส่งเข้าสู่ภายในเซลล์ การย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหารของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ตที่ที่ ที่ไที่ ม่ม่ ม่ใม่ ช่ช่ ช่ สั ช่ สั สั ตสั ตว์ว์ ว์ว์ ยูยู ยู ก ยู กลีลี ลี นลี นา (Euglena)


02 ราและแบคทีที ทีทีเรีรี รีรีย ดำ รงชีพ ชี โดยเป็นผู้ย่อยสลายอิน อิ ทรีย รี สารในระบบนิเวศ (Decomposer) มีค มี วามสัม สั พัน พั ธ์แบบ Saprophyism คือ คื เป็นความสัม สั พัน พั ธ์ที่เกิด กิ จากการอยู่ร่วมกัน กั ระหว่างสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ ที่ยัง ยั คงมีชี มี วิ ชี ต วิ อยู่ กับ กั สิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ ที่ตายแล้ว จะได้ประโยชน์จากการย่อยสลายสาร อาหารที่มีอ มี ยู่ในซากสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ โดยเซลล์จะหลั่งเอนไซม์ออกมาย่อยอาหาร ภายนอกเซลล์ เช่น ช่ อะไมเลส (Amylase), โปรทิเอส (Proiase) และ ไลเพส (Lipase) เป็นต้น ต้ แล้วดูดซึมอาหารที่ย่อย แล้วเข้าสู่เซลล์ ตัว ตั อย่าง เช่น ช่ เห็ด ห็ ราที่ขึ้น ขึ้ ตามขอนไม้ (เห็ด ห็ ได้อาหารมาจากการย่อยขอนไม้) การย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหารของสิ่สิ่ สิ่ งสิ่ งมีมี มี ชีมี ชี ชี วิชี วิ วิ ตวิ ตที่ที่ ที่ไที่ ม่ม่ ม่ใม่ ช่ช่ ช่ สั ช่ สั สั ตสั ตว์ว์ ว์ว์


01 การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารของสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์ ที่ที่ ที่ที่ยัยั ยัยังไม่ม่ ม่ม่ มีมี มีมีทางเดิดิ ดิดิ นอาหาร และมีมี มีมีทางเดิดิ ดิดิ นอาหารไม่ม่ ม่ม่ สมบูบู บูบู รณ์ณ์ ณ์ณ์ ฟองน้ำ (P. Porifera) : ใช้ Colar Cells (หรือ รื choanocyte ที่ผนัง นั ลำ ตัว ตั โบกพัด พั ดัก ดั จับ จั อาหารเข้าสู่เซลล์ และใช้เซลล์ Amoebocyte ทำ หน้าที่ย่อยอาหาร และขนส่ง อาหารภายในเซลล์ อาหารเข้าสู่ร่างกายทางออสเทีย ที เซลล์โคเอโนไซต์ใช้เฟลเจลลัมลัพัดพั โบกอาหารเข้าสู่เซลล์ และสร้างเป็นฟูลแวคิว คิ โอล ฟูลแวคิว คิ โอนถูกย่อยโดยเอนไซม์จากไลโซโซม อาหารที่ย่อยสมบูรณ์ส่งไปยังยัส่วนต่างๆ กากอาหารถูกลำ เลีย ลี งออกจากเซลล์ด้วยวิธี วิ เ ธี อกโซไซโทซิส โคเอโนไซต์ ฟูดแวคิวคิ โอล ออสเทียที ออสคูลัมลั อะมีโมีบไซต์ อาหาร แฟลเจลลัมลั


การย่ ย่อยอาหารของสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์ ที่ที่ ที่ที่ยัยั ยัยังไม่ม่ ม่ม่ มีมี มีมีทางเดิดิ ดิดิ นอาหาร และมีมี มีมีทางเดิดิ ดิดิ นอาหารไม่ม่ ม่ม่ สมบูบู บูบู รณ์ณ์ ณ์ณ์ 02 ย่อยอาหารภายนอกเซลล์ เกิด กิ จากภายในช่อง Gastrovascular Cavity มี เซลล์ต่อม (Gland Cell) ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดเล็ก ล็ ทำ หน้าที่สร้างน้ำ ย่อย ส่องออกไปย่อยอาหาร ส่วนกากอาหารที่ย่อยไม่ได้จะถูกขับ ขั ออกมาทาง ปาก ย่อยอาหารภายในเซลล์ เป็นแบบ Phagocytosis เกิด กิ จากเซลล์ย่อย อาหาร (Nutritive) ที่ส่วนปลายมีแ มี ฟลกเจลลัม ลั ทำ หน้าที่จับ จั อาหารที่มี ขนาดเล็ก ล็ เข้าสู่เซลล์ และสมารถสร้าง food vacuole ได้เช่น ช่ เดีย ดี วกับ กั อะมีบ มี า ไฮดรา (P. Cnidaria ) : มีก มี ารย่อยทั้ง ทั้ ภายในเซลล์และ ภายนอกเซลล์ โดยจะใช้เข็ม ข็ พิษ พิ (Nematocyst) ที่อยู่บริเ ริ วณหนวด (Tentacle) ปล่อยพิษ พิ ทำ ร้ายเหยื่อ ยื่ แล้วจับ จั เหยื่อ ยื่ เข้าสู่ปากผ่านเข้าสู่ช่องกลางลำ ตัว ตั (Gastrovasculas cavity ) ซึ่งเป็นส่วนของทางเดิน ดิ อาหาร ไม่สมบูรณ์ มีเ มี ซลล์ Gastrodermis อยู่ที่ผนัง นั ลำ ตัว ตั ทำ หน้าที่ย่อยอาหาร ดัง ดั นี้ เทนทาเคิลคิ เอนไซม์ อาหาร เข็ม ข็ พิษพิ เซลล์ย่อยอาหาร ฟูลแวคิวคิ โอล เซลล์ต่อม ไนโดเซต์


03 พลานาเรีย รี : ทางเดิน ดิ อาหารแยกเป็นแฉก และแต่ละแฉกจะมีแ มี ขนงแตกย่อยออกไปอีก อี เรีย รี กว่า Diverticulum มีปมี ากอยู่กลางลำ ตัว ตั และต่อจากปากเป็นคอหอย (Pharynx) เป็นงวงที่ยื่น ยื่ ออกมา เรีย รี กว่า Proboscis ซึ่งมีก มี ล้ามเนื้อแข็ง ข็ แรง มีห มี น้าที่จับ จั อาหาร เข้าสู่ปาก โดยกากอาหารที่เหลือ ลื จากการย่อยและดูดซึมแล้วจะถูกรับ รั ออกทางช่องปาก พยาธิใธิ บไม้ : มีท มี างเดิน ดิ อาหารคล้ายพลานาเรีย รี แต่ทางเดิน ดิ อาหารส่วนลำ ไส้ไม่แตก กิ่งก้านสาขา มีลั มี ก ลั ษณะคล้ายอัก อั ษรรูปตัว ตั วาย (Y-shape) ทางเดิน ดิ อาหารประกอบด้วย ปากปุ่มดูด (Oral sucker) โดยปากจะดูดกิน กิ อาหารจาก Host ส่วนที่ต่อจากปากเป็น คอหอย (Pharynx) ต่อจากคอหอยเป็นหลอดอาหารสั้น สั้ ๆ ซึ่งจะต่อกับ กั ลำ ไส้ (Intestine) พยาธิตั ธิ ว ตั ตืด ตื : ไม่มีท มี างเดิน ดิ อาหาร แต่สามารถดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วของ Host โดยตรง ผ่านวิธี วิ ก ธี ารแพร่ หนอนตัว ตั แบน (P.Platyheminthes) : ส่วนใหญ่มีท มี าง เดิน ดิ อาหารแบบไม่สมบูรณ์ที่พัฒ พั นากว่า P.Cnidaria


01 02 ปาก คอหอย หลอดอาหาร กึ๋นกึ๋ ลำ ไส้ กระเพาะอาหาร กระเพาะพักพัอาหาร หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปาก ทวาร ไส้ตรง กึ๋นกึ๋ ลำ ไส้ แมลง (P. Arthropoda) : มีท มี างเดิน ดิ : มีท มี างเดิน ดิ อาหารที่ อาหารที่ ที่ สมบูรณ์ ดัง ดั นี้ ที่ สมบูรณ์ ดัง ดั นี้ การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารของสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์ ที่ที่ ที่ที่มีมี มีมี ทางเดิดิ ดิดิ นอาหารสมบูบู บูบู รณ์ณ์ ณ์ณ์ ไส้ส้เดือ ดื นดิน ดิ (P. Annelida) : มีท มี าง ส้ เดือ ดื นดิน ดิ (P. Annelida) : มีท มี าง เดิน ดิ อาหารที่ เดิน ดิ อาหารที่ ที่ สมบูรณ์ ดัง ดั นี้ ที่ สมบูรณ์ ดัง ดั นี้ ข้อควรจำ : กี๋น กี๋ (Gizzard) คือ คื อวัย วั วะในระบบทางเดิน ดิ อาหารที่พบได้ในสัต สั ว์หลายชนิด เช่น ช่ ไก่ แมลงสาบ สัต สั ว์เลื้อ ลื้ อยคลานบางชนิด กึ๋น กึ๋ ป็นส่วนที่มีก มี ล้ามเนื้อหนาและเนีย นี ว มีโมี ครงสร้างแตกต่างกัน กั ไปในแต่ละสิ่งมีชี มี วิ ชี ต วิ ธรรมชาติส ติ ร้างไว้เพื่อ พื่ จะได้ช่วยบดอาหารให้ละเขีย ขี ดมากขึ้น ขึ้ เพราะสัต สั ว์เหล่านี้ไนี้ ม่มีฟัมี น ฟั น้ำ ย่อยในกระเพาะจริง ริ ย่อยอาหาร แข็ง ข็ ๆอย่างปกติไติ ม่ได้ กี๋น กี๋ เปรีย รี บเหมือ มื นโรงบด สัต สั รปีกที่กิน กิ อาหารค่อนข้างหยาบมากจะมีกึ๋ มี กึ๋ น กึ๋ ที่แข็ง ข็ แรง และมีขมี นาดโต


สัต สั ว์เคี้ย คี้ วเอื้อ อื้ ง (P. Chordata) : เช่น ช่ วัว วั ควาย มีส่ มี ส่ วนทางเดิน ดิ อาหารที่แตกต่างจากคน ตรงที่ต้องมีบ มี ริเ ริ วณพัก พั อาหาร เพื่อ พื่ ให้จุลิน ลิ ทรีย์ รี ย์ ย่อยเซลลูโลส การเคี่ย คี่ วเเอื้อ อื้ งและการสำ รอกทำ ให้ขึ้น ขึ้ อาหารมีขมี นาดเล็ก ล็ ลง เพื่อ พื่ เป็นการเพิ่ม พิ่ พื้น พื้ ที่ผิวในการสัม สั ผัส ผั กับ กั เอนไซม์ ทำ ให้การหมัก มั ของจุลิน ลิ ทรีย์ รี ย์ และย่อยสลายมีปมี ระสิทธิภ ธิ าพ โดยกระเพาะอาหารของวัว วั แบ่งเป็น 4 ส่วน แต่แท้ที่ ท้ ที่ จริง ริ แล้ว คือ คื หลอดอาหารที่ขยายใหญ่ 3 ส่วน และกระเพาะจริง ริ 1 ส่วน ดัง ดั นี้ 03 รูเมน (ผ้าขี้ริ้ ขี้ ว ริ้ ) : เป็นส่วนของหลอดอาหารที่ขยายตัว ตั ส่วนนี้มี นี้ แ มี บคทีเ ที รีย รี และโพรโทชัว ชั ช่วยย่อยสลายเซลลูโลส และมีจุ มี จุ ลิน ลิ ทรีย์ รี ย์ อาศัย ศั อยู่ทำ ให้เกิด กิ กระบวนการหมัก มั เรติคิ ติ ว คิ ลัม ลั (รัง รั ผึ้ง ผึ้ ) : เป็นส่วนของหลอดอาหารที่ขยายตัว ตั ทำ หน้าที่บดและผสมอาหาร โอมาซัม ซั (สามสิบกลีบ ลี ) : เป็นส่วนของหลอดอาหารที่ ขยายตัว ตั ทำ หน้าที่บดและผสมอาหาร อะโบมาซัม ซั : เป็นส่วนกระเพาะที่แท้จริง ริ เพราะมีก มี รสร้าง เอนไซม์และการหลั่งเอนไซม์เพื่อ พื่ ย่อยอาหาร


อาหาร ปาก เคี้ย คี้ วเอื้อ อื้ ง กลืน ลื หลอดอาหาร กระเพาะอาหารส่วนรูเมน มีแ มี บคทีเ ที รีย รี และโรโตซัว ซั ช่วย ย่อยเซลลูโลส และมีจุ มี จุ ลิน ลิ ทรีย์ รี ย์ สัง สั เคราะห์กรดอะมิโมิ นจากยูเรีย รี สร้างกรดไขมัน มั และวิต วิ ามิน มิ B12 กระเพาะอาหารส่วนโอมาซัม ซั บดและผสมอาหาร กระเพาะอาหารส่วนเรติคิ ติ ว คิ ลัม ลั บดและผสมอาหาร กระเพาะอาหารส่วนอะโบมาซัม ซั เป็นกระเพาะจริง ริ หลั่งเอนไซม์ ย่อยอาหาร ลำ ไส้เล็ก ล็ ย่อยและดูดซึมอาหาร ลำ ไส้ใหญ่ ทวารหนัก นั สำ รอก การบีบ บี ตัวตัย้อ ย้ นกลับลั แผนภาพทางเดิดิ ดิดิ นอาหารของสัสั สัสัตว์ว์ ว์ว์ เคี้คี้ คี้คี้ยวเอื้อื้ อื้อื้ ง


การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารของคน 1) อวัยวะที่เป็นทางเดินอาหาร เรียงลำ ดับดังนี้ คนมีท มี างเดิน ดิ อาหารที่สมบูรณ์ อวัย วั วะในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คื 2) อวัยวะที่ช่วยย่อยอาหาร แต่ไม่ใช่ทางเดินอาหาร ต่อมน้ำ ลาย ถุงน้ำ ดี ตับ ตั ตับ ตั อ่อน ปาก คอหอย ลำ ไส้ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เล็ก ล็ ลำ ไส้ ทวารหนัก นั ส้ ใหญ่


ลิ้น (TONGUE) การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารในปาก เป็นทางเดิน ดิ อาหารเริ่ม ริ่ แรก มีทั้ มี ทั้ ง ทั้ การย่อยเชิง ชิ กลและเคมี เริ่ม ริ่ มีก มี ารย่อยคารโบไฮเดรต ภายในปาก ประกอบด้วยอวัย วั วะที่เกี่ยวกับ กั การย่อยอาหาร ซึ่งประกอบด้วย ลิ้น ลิ้ ฟัน ฟั ต่อมน้ำ ลาย น้ำ เมือ มื ก : พื้น พื้ ผิวด้านบนของลิ้น ลิ้ จะมีปุ่มี ปุ่ มเล็ก ล็ ๆจำ นวนมาก เรีย รี กว่า แพพิล พิ ลี (Papilae) ทำ หน้าที่รับ รั รสอาหาร เพราะมีต่ มี ต่ อมรับ รั รส (Taste Budd) และยัง ยั ช่วยคลุก เคล้าอาหารให้ผสมกับ กั น้ำ ลาย ช่วยตะล่อมให้อาหาร เป็นก้อน ช่วยหน่วงเหนี่ยวอาหารไม่ให้ไหลผ่าน คอหอยเร็ว ร็ เกิน กิ ไป ช่วยในการกลืน ลื อาหาร โดยการ ดัน ดั อาหารให้เคลื่อ ลื่ นที่จากปากเข้าสู่คอหอย และ ช่วยทำ ให้การพูดชัด ชั เจน


ฟัน (TEETH) การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารในปาก : ทำ หน้าที่ ตัค ตั ฉีก ฉี เคี้ย คี้ ว และบดอาหารให้มีขมี นาด เล็ก ล็ ฟัน ฟั คนเรามี 2 ชุด ชุ คือ คื ฟัน ฟั น้ำ นม (Deciduous Teeth) : มี 2มี 0 ซี่ เริ่ม ริ่ ขึ้น ขึ้ เมื่อ มื่ อายุประมาณ 6 เดือ ดื น จะขึ้น ขึ้ ครบเมื่อ มื่ อายุ 2 ปี ฟัน ฟั แท้ (Permanent Teeth) : มี 3มี 2 ซี่ เริ่ม ริ่ ขึ้น ขึ้ เมื่อ มื่ ฟัน ฟั น้ำ นมซี่แรกหัก หั หลุดไป และจะขึ้น ขึ้ ครบหรือ รื เมื่อ มื่ ประมาณเกือ กื บครบ 21 ปี แต่บางคนอาจมีเ มี พีย พี ง 28 ซี่ เท่านั้น นั้ ฟัน ฟั แท้ประกอบด้วยฟัน ฟั ชนิดต่างๆ 4 ประเภท คือ คื ฟัน ฟั ตัด ตั ฉีก ฉี หรือ รื ฟัน ฟั เขี้ย ขี้ ว, ฟัน ฟั กรามเล็ก ล็ หรือ รื ฟัน ฟั บด, ฟัน ฟั กรามหน้า และ ฟัน ฟั กรามหลัง ลั


น้ำ ลาย (SALIVA) การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารในปาก : มีลั มี ก ลั ษณะเป็นของเหลวแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ คื ชนิดใส (Serous) : มีน้ำ มี น้ำ ย่อยอะไมเลสหรือ รื ไทยาลิน ลิ (Amylase or Ptyalin) ทำ หน้าที่ย่อยแป้งให้เป็น เดกซ์ตริน ริ (Dextrin) ซึ่ง เป็นแป้งที่มีโมี มเลกุลขนาดเล็ก ล็ ลง ชนิดเหนีย นี ว (Mucous) : ช่วยให้การคลุกเคล้าอาหารผสมกับ กั น้ำ ย่อยเกิด กิ ได้ดี และสะดวกต่อการกลืน ลื อาหาร ในน้ำ ลายจะมีเ มี อน ไซม์อะไมเลส (Amyase) หรือ รื ไทยาลิน ลิ (Pyain) ย่อยแป้งและ ไกลโคเจนให้เป็นสารเดกซ์ตริน ริ (Dextin) และมอลโทส (Maltose) น้ำ เมือก : มีห มี น้าที่หล่อลื่น ลื่ อาหารเพื่อ พื่ ให้กลืน ลื ได้สะดวก


ต่อมน้ำ ลาย (SALIVARY GLAND) การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารในปาก : สร้างน้ำ ลาย (Saliva) ได้วัน วั ละ 1.5 ลิต ลิ ร ส่งออกทาง ท่อน้ำ ลายไปสู่ช่องปาก มี 3 คู่ ต่อมข้างกกหู (Parotid Gland) : อยู่บริเ ริ วณกกหูทั้ง ทั้ 2 ข้าง มี ขนาดใหญ่ที่สุด สร้างน้ำ ลายชนิดใสเพีย พี งอย่างเดีย ดี วประมาณ 25% ของน้ำ ลายทั้ง ทั้ หมด ถ้าหากมีเ มี ชื้อ ชื้ ไวรัส รั เข้าไปที่ต่อมนี้ จ นี้ ะ เกิด กิ การอัก อั เสบบวมแดง เรีย รี กว่า โรคคางทูม (Mump) หากเกิด กิ ในเด็ก ด็ ชาย เชื้อ ชื้ คางทูมจะไปสู่ถุงอัณ อั ฑะทำ ให้ไม่สามารถสร้าง ตัว ตั อสุจิไจิ ด้ ต่อมใต้ขากรรไกร (Submandibular Gland) : อยู่ด้านข้างของ ขากรรไกร สร้างน้ำ ลายทั้ง ทั้ ชนิดใสและเหนีย นี ว แต่มีช มี นิดใส มากกว่า ผลิต ลิ น้ำ ลายประมาณ 70% ของน้ำ ลายทั้ง ทั้ หมด ต่อมใต้ลิ้น ลิ้ (Sublingual Gland) : อยู่ที่ผิวด้านล่างของช่องปาก สร้างน้ำ ลายทั้ง ทั้ ชนิดใสและเหนีย นี ว แต่มีช มี นิดเหนีย นี วมากกว่า ผลิต ลิ น้ำ ลายประมาณ 5% ของน้ำ ลายทั้ง ทั้ หมด


เป็นบริเ ริ วณที่ติด ติ ต่อกับ กั รูจมูกด้านในท่อยูสเตเซียน (EUSTACHIAN TUBE) จากหูส่วน กลาง ปาก กล่องเสียง และหลอดอาหาร บริเ ริ วณคอหอยมีต่ มี ต่ อมน้ำ เหลือ ลื ง 3 คู่เรีย รี กว่า "ต่อมทอนซิล (TONSILS)" ทำ หน้าที่เป็นด่านสกัด กั กั้น กั้ ไม่ให้เชื้อ ชื้ โรคผ่านไปยัง ยั หลอดอาหารและกล่องเสียงได้ บริเ ริ วณคอหอยไม่มีก มี ารย่อยอาหาร แต่เป็นทางผ่านของ อาหารจากปากไปสู่หลอดอาหาร เป็นหลอดที่ต่อจากคอหอยจนถึง ถึ กระเพาะอาหาร อยู่ด้านหลัง ลั หลอดลม ยาวประมาณ 25 เซนติเ ติ มตร ไม่มีต่ มี ต่ อม สร้างน้ำ ย่อย จึง จึไม่มีก มี ารย่อยเชิง ชิ เคมี แต่มีก มี ารย่อยเชิง ชิ กล คือ คื การบีบ บี รัด รั ตัว ตั ของกล้ามเนื้อทางเดิน ดิ อาหารจากบน ลงล่าง ไม่พบการดูดซึมอาหารเพราะอาหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร็ เพิ่ม พิ่ เติม ติ : กลืน ลื (Swallowing) เป็นการทำ งานของกล้ามเนื้อหลายชุด ชุ ซึ่งมีขั้มี ขั้ น ขั้ ตอนดัง ดั นี้ กล้ามเนื้อโคนลิ้น ลิ้ จะเคลื่อ ลื่ นที่โค้งงอไปทางด้านหลัง ลั และช่วงบน เพื่อ พื่ ผลัก ลั อาหารเข้าสู่หลอดอาหาร เพดานอ่อน (Soft palate) จะไปปิดรูเปิดของช่องจมูกทั้ง ทั้ สอง (ขณะอาหารเข้าสู่ลำ คอ) เพื่อ พื่ ไม่ให้อาหารเข้าทางจมูก กล่องเสีย สี งจะเลื่อ ลื่ นขึ้น ขึ้ ไปอยู่ใต้ Epiglottis ซึ่ง Epiglotis จะปิดทางเข้าของหลอดลม ไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลม คอหอย (Pharynx) หลอดอาหาร (Esophagus)


การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารใน กระเพาะอาหาร เมื่อ มื่ ไม่มีอ มี าหาร กระเพาะจะมีปมี ริม ริ าตร 50 CM^3 แต่เมื่อ มื่ มีอ มี าหารเข้าไปจะขยายถึง ถึ 40 เท่า กล้ามเนื้อกระเพาะมี 3มี ชั้น ชั้ ชั้น ชั้ ในสุดสร้างน้ำ ย่อยและเมือ มื ก ผนัง นั กระเพาะอาหารมีลั มี ก ลั ษณะเป็นคลื่น ลื่ เรีย รี กว่า รูกี (RIGAE) มีก มี ารสร้างน้ำ ย่อย ประมาณ 35 ล้านต่อม เรีย รี กว่า GASTRIC GLAND สร้างเอนไซม์น้ำ ย่อยเรีย รี กว่า GASTRIC JUICE ซึ่งมีอ มี งค์ประกอบ ได้แก่ กรดHCL, KCL, น้ำ เมือ มื ก (MUCUS), เอนไซม์เปปซิน (PEPSIN), เอนไซม์เรนนิน (RENIN) และเอนไซม์ลิเ ลิ ปส (LIPASE) เมื่อ มื่ สารองค์ประกอบเหล่านี้ร นี้ วมตัว ตั กับ กั สารอาหารจนเหลวจะมีลั มี ก ลั ษณะคล้ายซุปข้น ข้ ๆ เรีย รี กว่า ไคม์ (CHYME) : เป็นส่วนของทางเดิน ดิ อาหารที่ต่อจากหลอดอาหารอยู่ทางด้านบน ซ้ายของช่องท้อง รูปร่างคล้านตัว ตั เจ มีก มี ล้ามเนื้อหูรูดอยู่ทั้ง ทั้ ตอนบน และตอนล่าง แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ 1)โครงสร้ 1)โครงสร้า ร้ งของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารส่วนต้น ต้ (Cardiac stomach) อยู่ใกล้หัว หั ใจ กระเพาะอาหารส่วนกลาง (Fundus) เป็นส่วนที่กระพุ้งใหญ่ที่สุด กระเพาะอาหารส่วนท้าย (Pyloric stomach) เป็นส่วนปลายสุด ของกระเพาะ


การย่ย่ ย่ย่ อยอาหารใน กระเพาะอาหาร 2)หน้าที่ 2)หน้าที่ ที่ ข ที่ ของกระเพาะอาหาร กัก กั เก็บ ก็ และคลุกเคล้าอาหารนาน 3-4 ชั่วโมง หลั่งสารเมือ มื กเคลือ ลื บผนัง นั กระเพาะป้องกัน กั การถูกย่อยโดยน้ำ ย่อยในกระเพาะ หลั่งน้ำ ย่อยหลายชนิด คือ คื ไลเปส โพรเรนนิน เปปซิโนเจน หลั่งกรดไฮโดรคลอริก ริ เมื่อ มื่ มีอ มี าหารโปรตีน ตี ลงไป เพื่อ พื่ นเปลี่ย ลี่ นสภาพในกระเพาะให้เป็นกรด ให้เหมาะสมกับ กั สภาพที่ น้ำ ย่อยจะทำ งานได้และยัง ยั เปลี่ย ลี่ นน้ำ ย่อยจากรูปที่ไม่ทำ งานให้ทำ งาน ดัง ดั นี้ ทำ การดูดซึมสารต่างๆเป็นแห่งแรก เช่น ช่ แอลกอฮอล์ 30-40%, วิต วิ ามิน มิ B12, แร่ธาตุ และยาบางชนิด 3.การย่ 3.การย่อยโปรตีน ตี ในกระเพาะอาหาร ย่ อยโปรตีน ตี ในกระเพาะอาหาร เพิ่ม พิ่ เติม ติ : ถึง ถึ แม้เอนไซม์ไลเสจะทำ น้าที่ย่อยไขมัน มั แต่ในกระเพาะอาหารมีไมี ลเปสอยู่น้อยมาก และ สภาวะไม่เหมาะกับ กั การทำ งานของเอนไซม์ไลเปสที่ทำ งานได้ดีใดี นสภาวะเบส ดัง ดั นั้น นั้ ไขมัน มั จึง จึไม่เกิด กิ การย่อยที่กระเพาะอาหาร


การย่อยอาหารอาหารและดูดซึมสารอาหารส่วนใหญ่เกิด กิ ขึ้น ขึ้ ที่นี่ เป็นการย่อยขั้น ขั้ สุดท้าย ซึ่งต้องอาศัย ศั เอนไซม์จากตับ ตั อ่อน ในการย่อยอาหารประเภทคาโบไฮเดรต ไขมัน มั และโปรตีน ตี นอกจากนี้ยั นี้ ง ยั มีน้ำ มี น้ำ ดีซึ่ ดี ซึ่ งสร้างน้ำ ย่อย อาหารที่ย่อยแล้วจะถูกดูดซึมเข้าไปโดยปุ่มเล็ก ล็ ๆ ที่ยื่น ยื่ ออกมามากมายในลำ ไส้เล็ก ล็ เรีย รี กว่า เข้าสู่ส้นเลือ ลื ด ฝอย หรือ รื ท่อน้ำ เหลือ ลื ง แล้วเข้าสู่ระบบไหลเวีย วี นโลหิต หิ ต่อไป เพื่อ พื่ เลี้ย ลี้ งส่วนต่างๆ ของ หารที่เหลือ ลื จากการถูกดูด ซึมจะเคลื่อ ลื่ นที่ลงสู่ลำ ไส้ใหญ่ เพื่อ พื่ ถ่ายออกจากร่างกายไปเป็นอุจจาระ การย่ย่ ย่ อ ย่ อยอาหารในลำลำลำลำไส้ส้ ส้ เ ส้ เล็ล็ ล็ กล็ ก ตอนต้น ต้ (ดูโอดีนั ดี ม นั /Duodenum) : ต่อจากกระเพาะอาหาร ลัก ลั ษณะเป็นรูปตัว ตั ยู (U) ยาวประมาณ 30 เซนติเ ติ มตร มีห มี น้าที่เป็นแหล่งย่อยอาหารที่สำ คัญ คั ที่สุด มีส มี ารช่วย ย่อยที่บริเ ริ วณนี้ม นี้ ากที่สุด ตอนกลาง (เจจูนัม นั /Jejunum) : ยาวประมาณ 2.5 เมตร เป็นบริเ ริ วณที่พบการดูดซึม อาหารที่ถูกย่อยแล้วมากที่สุด ตอนท้าย (ไอเลีย ลี ม/Ileum) : ยาวประมาณ 4-5 เมตร เป็นบริเ ริ วณที่มีก มี ารย่อยและ ดูดซึมอาหารที่เหลือ ลื อยู่ 1.โครงสร้างของลำ ไส้เล็ก : เป็นอวัยวะที่ยาวที่สุดในร่างกาย คือยาวประมาณ 7-8 เมตร แบ่งเป็น 3 ตอน


2.เอนไซม์ที่ลำ ไส้เล็กสร้าง : ส่วนใหญ่ทำ หน้าที่ได้ดีในสภาวะเป็นเบส เอนไซม์จากลำ ไส้เล็ก ล็ สารที่ย่อย ผลที่ได้ เปปติเ ติ ดส เปปไทด์ กรดอะมิโมิ น ไลเปส ไขมันมักรดไขมันมัและกลีเ ลี ซอรอล มอลเทส น้ำ ตาลมอลโทส กลูโคส 2 โมเลกุล ซูเครส น้ำ ตาลทรายแดง(ซูโครส) กลูโคส และ ฟรักรั โทส แลกเทส น้ำ ตาลแลกโทส กลูโคส และ กาแลกโทส เอนเทอโรไคเนส กระตุ้น ตุ้ Trypsinogen จากตับตัอ่อนให้เป็น Trypsin


3.อวัยวะช่วยย่อยอาหารโดยส่งสารมาที่ลำ ไส้เล็ก ตับ ตั (Liver) : สร้าง "น้ำ ดี'ดี ที่มีสี มี เ สี ขีย ขี ว และมีร มี สขม มีภ มี าวะเป็นเบส ช่วยลดความเป็นกรด ของอาหารที่ผ่านมาจาก กระเพาะ มีห มี น้าที่ทำ ให้ไขมัน มั แตกตัว ตั เป็นเม็ด ม็ เล็ก ล็ ๆ (fat emulsification) เพื่อ พื่ จะได้สัม สั ผัส ผั กับ กั น้ำ ย่อยได้มากขึ้น ขึ้ ทำ ให้ การย่อยไขมัน มั เกิด กิ ได้ดีขึ้ดี น ขึ้ ตับ ตั อ่อน (Pancrease) : หลั่งโซเดีย ดี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO.) ซึ่งมีฤ มี ทธิ์เป็นเบส ช่วยเปลี่ย ลี่ นอาหาร (Chyme) ที่มีฤ มี ทธ์เป็นกรดจากกระเพาะอาหารให้เป็นกลางหรือ รื เบส อ่อน นอกจากนี้ยั นี้ ง ยั หลั่งเอนไซม์ที่พร้อมใช้งาน สามารถย่อยสารต่างๆได้เลย กับ กั เอนไซม์ ที่ยัง ยั ไม่พร้อมใช้งานสำ หรับ รั ย่อยโปรตีน ตี เอนไซม์พร้อมใช้งานจากตับตัอ่อน สารที่ถูกย่อย ผลที่ได้ อะไมเลส แป้ง/ไกลโคเจน/เดกซ์ติน ติ น้ำ ตาลมอลโทส ไลเปส ไขมันมักรดไขมันมัและกลีเ ลี ซอรอล


เป็นท่อต่อจากลำ ไส้เล็ก ล็ ลัก ลั ษณะเป็นรูปตัว ตั U กลับ ลั หัว หั ความยาวประมาณ 1.5 เมตร แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ คื ซีกัม กั (Caecum) ยาวประมาณ 1 นิ้ว บริเ ริ วณนี้มี นี้ ไมี ส้ติ่ง ติ่ ตืด ตื อยู่ด้วย (Vemitorm appendix) และโคลอน (Colon) ซึ่งเป็นส่วน ที่ยาวที่สุดของลำ ไส้ใหญ่ ต่อมาคือ คื ส่วนของลำ ไส้ตรง (Rectum) ยาวประมาณ 5 นิ้ว และส่วนสุดท้าย คือ คื ทวาร หนัก นั (Anal cannal) ยาวประมาณ 1-1.5 นิ้ว ไม่เกิด กิ การย่อยอาหารแล้วเพราะการย่อยสิ้นสุดที่ลำ ไส้เล็ก ล็ เกิด กิ แต่การดูดซึมเท่านั้น นั้ ลำลำลำลำไส้ส้ ส้ใส้ หญ่ญ่ ญ่ญ่ (LARGE INTESTINES) เนื่องจากไม่มีต่ มี ต่ อมสร้างน้ำ ย่อยใดๆ จึง จึไม่มีก มี ารย่อยเชิง ชิ เคมีขมี องคน ไม่พบต่อมสร้างน้ำ ย่อย ไม่มีก มี ารย่อยเชิง ชิ เคมี ดูดซึมน้ำ วิต วิ ามิน มิ และแร่ธาตุต่างๆออกจากกากอาหาร ก่อนขับ ขั ถ่ายทิ้ง แบคทีเ ที รีย รี ชื่อ ชื่ E.coli ช่วยย่อยสลายกากอาหารให้เล็ก ล็ ลง ผ่านรูทวารได้ และยัง ยั ช่วยสร้างวิต วิ ามิน มิ B12 และวิต วิ ามิน มิ K รวมทั้ง ทั้ ได้กลูโคสด้วย


เป็นการนำ อาหารโมเลกุลเล็ก ล็ ๆ ที่ผ่านการย่อยแล้ว เช่น ช่ น้ำ ตาลกลูโคส กรดอะมิโมิ น กรดไข มัน มั กลีเ ลี ซอรอล ผ่านผนัง นั ทางเดิน ดิ อาหารเข้าสู่กระแสโลหิต หิ เพื่อ พื่ นำ ไปสู่เซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ปาก คอหอย และหลอดอาหาร มีน้ มี น้ อยมากแทบไม่ต้องคำ นึง นึ ถึง ถึ กระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่เป็นการดูคซึมแอลกอฮอล์ และยาต่างๆ ลำ ไส้เล็ก ล็ มีก มี ารดูดซึมอาหารทุกประเภทมากที่สุดโดยวิล วิ ลัส ลั (villus) ภายในร่างกายของ คนเราจะมีวิ มี ล วิ ลัส ลั ประมาณ 20-40 อัน อั ต่อพื้น พื้ ที่ 1 ตารางมิล มิ ลิเ ลิ มตร การดูดูดูดู ดซึซึ ซึซึมอาหาร


เริ่ม ริ่ รับ รั ประทนอาหารเข้าปากจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการลำ เลีย ลี งมาถึง ถึ กระเปาะลำ ไส้ใหญ่ อาหารจะอยู่ในลำ ไส้ใหญ่ส่วนโคลอนนาน 8-9 ชั่วโมง อาหารที่เหลือ ลื จะเคลื่อ ลื่ นที่มาถึง ถึ ส่วนลำ ไส้ตรงในชั่วโมงที่ 12 แล้วจึง จึ ขับ ขั ออกนอกร่างกาย ระยะเวลาในการย่ย่ ย่ย่ อยอาหาร


Click to View FlipBook Version