The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้-เรื่องวิเคราะห์-วิจารณ์-และแสดงความรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Krittima May, 2021-02-14 11:59:47

ใบความรู้-เรื่องวิเคราะห์-วิจารณ์-และแสดงความรู้

ใบความรู้-เรื่องวิเคราะห์-วิจารณ์-และแสดงความรู้

ใบความรู้ เรองวเคราะห์ วจารณ์ และแสดงความรู้ความคิด
เห็น หรอโต้แย้งในเรองทอี ่านอยา่ งมีเหตผุ ล

มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนสอื สารเขียนเรยงความ ย่อความ และเขยี นเรองราวใน
รูปแบบตา่ งๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

ตวั ชีวัดที 7 เขยี นวเคราะหว์ จารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเหน็ หรอโตแ้ ย้งในเรองทีอา่ น
อย่างมเี หตผุ ล

การวเคราะห์
การวเคราะห์ คือ การพจิ ารณาสิงใดสงิ หนงึ ให้เขา้ ใจ โดยแยกแยะสิงนันออกเปน

สว่ น ๆ เพือทาํ ความเข้าใจแตล่ ะสว่ นให้แจ่มแจง้ จุดหมายปลายทางของการวเคราะห์คอื เพอื
ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ

การเขียนวจารณ์
การเขียนวจารณ์ คอื การชใี หเ้ ห็นสว่ นดีและไมด่ ขี องสิงหนงึ สงิ ใด แสดงเหตุผล

และเสนอแนะการแกไ้ ขส่วนทีไมด่ ีแล้วนาํ ไปประเมนิ ค่า เพอื นาํ ไปใชใ้ นชีวตจรงได้
การเขียนวจารณ์มหี ลักการดังนี
1. ศกึ ษาเรองอยา่ งละเอยี ดอย่างถ่องแท้
2. วเคราะหแ์ ยกแยะเนอื หาเปนสว่ นๆ วา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร
มคี วามสมั พนั ธ์กันหรอไม่
3. วเคราะห์เนือหาแล้วประเมินค่าวา่ มีขอ้ ดี ข้อเสยี จุดเดน่
จุดด้อย หรอข้อบกพร่องอย่างไร
4. วจารณ์ขอ้ มูลทวี เคราะห์แล้วไปประเมนิ ค่าใหเ้ ห็นวา่ มีคุณคา่ หรอมีขอ้ บกพร่องอยา่ งไร
5. วจารณ์ในทางสร้างสรรคแ์ ละเปนประโยชนต์ ่อตนเองและผู้อนื
6. เรยบเรยงความคิดทีวจารณ์เปนบทพดู
ใช้คําทีมคี วามหมายกระชับตรงประเด็น

การเขียนแสดงความคิดเหน็
การเขียนแสดงความคดิ คือ การเขยี นทปี ระกอบด้วยขอ้ มูลอันเปนข้อเท็จจรงกับการ

แสดงความคิดเหน็ ต่อเรองใดเรองหนงึ ความคิดเห็นควรจะมเี หตผุ ลและเปนไปในทาง
สร้างสรรค์ ผู้รับสารเรองเดียวกนั ไมจ่ ําเปนตอ้ งมีความคดิ เหน็ เหมือนกนั เปนการมองตา่ งมมุ
และเปนความคดิ เหน็ เฉพาะบุคคลการเขียนแสดงความคดิ เห็นมหี ลักการดงั นี

1. การเลือกเรอง
ผูเ้ ขียนควรเลอื กเรองทีเปนทสี นใจของสงั คมหรอเปนเรองทีทนั สมัยอาจเกียวกบั เหตุการณ์

ทางการเมือง เศรษฐกจิ สงั คม ศาสนา ศิลปะ วทยาศาสตร์หรอขา่ วเหตกุ ารณป์ ระจําวนั
ทังนผี ้เู ขยี นตอ้ งมคี วามรู้และเข้าใจเรองทตี นจะแสดงความคดิ เห็นเปนอยา่ งดี เพอื ทีจะแสดง
ความคิดเหน็ อย่างลึกซงึ
2. การใหข้ ้อเทจ็ จรง

ข้อมลู ทีเลือกมานนั จะตอ้ งมีรายละเอียดต่างๆ เช่น ทมี าของเรองความสาํ คญั และ
เหตุการณ์เปนต้น ดังนันจึงควรจะต้องศกึ ษาเรองทีจะเขยี นอย่างละเอยี ด จับใจความสาํ คญั
ของเรองให้ได้ และศกึ ษาเรองทเี กยี วข้องจากแหล่งความรู้อืน ๆ ประกอบ จากนนั จึงพิจารณา
ขอ้ เดน่ ขอ้ ด้อยพร้อมทงั ยกเหตผุ ลประกอบขอ้ คดิ เหน็
3. การแสดงความคดิ เห็น
ผเู้ ขียนอาจแสดงความคดิ เห็นตอ่ เรองได้ 4 ลักษณะดังนี คือ
- การแสดงความคิดเหน็ เพือตงั ข้อสงั เกต
เช่นการเตบิ โตของธรุ กจิ อินเทอร์เนต็ ความนิยมรับประทานอาหารเสรมสุขภาพ
- การแสดงความคดิ เหน็ เพือสนับสนุนข้อเทจ็ จรง
เช่น หวั ข้อเรองการจดั ระเบียบสงั คมของร้อยตํารวจเอกปรุ ะชัย เปยมสมบรู ณ์
การปราบปรามยาเสพติดขันเดด็ ขาดของรัฐบาล
- การแสดงความคิดเหน็ เพือโต้แย้งขอ้ เทจ็ จรง
เช่น หัวขอ้ เรอง การกินยาลดความอว้ นของวยั รุ่นการเปดเสรการค้านาํ เมาของภมู ิปญญาชาวบ้าน
- การแสดงความคิดเหน็ เพือประเมินคา่ เชน่
หัวข้อเรองการวจารณเ์ รองสันทีได้รับรางวลั วรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเยียมแห่งอาเซียนหรอ
รางวลั ซไี รต์

4. การเรยบเรยง มลี ําดับขนั ตอนดงั นี
- การตังชือ ควรตังชือเรองให้เร้าความสนใจผอู้ า่ นและสอดคลอ้ งกับเนือหาทีจะเขยี น

เพราะชือเรองเปนส่วนทีผอู้ ่านจะต้องอ่านเปนอันดับแรกและเปนการบอกขอบเขตของเรอง
ด้วย

- การเปดเรอง ใช้หลกั การเขียนเชน่ เดียวกนั กบั คํานําและควรเปดเรองใหน้ ่าสนใจ
ชวนใหผ้ ้อู า่ นติดตามเรองตอ่ ไป

- การลาํ ดบั ควรลาํ ดบั เรองให้มคี วามตอ่ เนืองสอดคล้องกนั ตังแต่ตน้ จนจบ ไมเ่ ขียน
วกไปวนมาเพราะผอู้ ่านอาจเกดิ ความสับสนจนไมส่ ามารถแยกแยะได้วา่ สว่ นใดเปนขอ้ เท็จจรง
และส่วนใดเปนการแสดงความคิดเหน็

- การปดเรอง ใช้หลักการเชน่ เดียวกบั การเขียนสรุปและควรปดเรองใหผ้ ูอ้ ่านประทบั ใจ
5. การใชภ้ าษา

ควรใช้ภาษาอยา่ งสละสลวย ชัดเจน ไม่เยินเย้อ มกี ารใช้สํานวนโวหารอย่างเหมาะสมกับ
เรอง นอกจากนนั ยงั ตอ้ งใชถ้ ้อยคาํ ทสี อื ความหมายได้ตรงตามอารมณ์ และความรู้สกึ ของ
ผ้เู ขยี น ทังนคี วรเขยี นอยา่ งเปนกลาง และหลกี เลียงการใชถ้ ้อยคาํ ทีแสดงอารมณ์รุนแรง
ซึงอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แย้งอยา่ งรุนแรงภายหลงั

การโตแ้ ย้ง
การโต้แย้ง คอื การแสดงทรรศนะทีแตกต่างกัน ระหวา่ งบุคคล 2 ฝาย โดยแตล่ ะฝาย

พยายามให้ขอ้ มลู สถติ ิ หลกั ฐานและเหตผุ ล รวมทังการอา้ งถงึ ทรรศนะของผู้รู้ เพอื สนับสนนุ
ทรรศนะของตนเองและคัดค้านทรรศนะของอกี ฝายหนงึ

การโต้แยง้ ยุติลงได้โดยการวนิจฉยั ของบคุ คลทโี ตแ้ ย้งกันเอง ใครมีเหตผุ ลดกี วา่ ทรรศนะ
นนั ก็เปนทยี อมรับหรอผ้อู ่านเปนผู้ตดั สินกไ็ ด้

โครงสร้างของการโตแ้ ย้งประกอบดว้ ยขอ้ สรุปและตวั เหตผุ ลกระบวนการในการโต้แย้ง
มี 4 ขอ้ ดังนี
1. ตังประเดน็ ในการโต้แยง้ คอื จดุ สาํ คัญต่าง ๆ ในการนํามาเปนขอ้ โต้แยง้ กัน ตอ้ งอยู่ใน
ลักษณะทีเปนรูปคาํ ถาม

1.1 การโต้แย้งเกียวกบั ข้อเสนอให้เปลยี นแปลง
1.2 การโตแ้ ยง้ เกยี วกับข้อเทจ็ จรง
1.3 การโตแ้ ย้งเกยี วกบั คณุ คา่
2. การนิยามคําสาํ คญั ทอี ยู่ในประเด็นการโต้แยง้ ถือวา่ มีความสาํ คัญมาก มิฉะนนั
การโต้แย้งอาจจะดาํ เนินไปคนละทิศทาง
3. การคน้ หาและเรยบเรยงขอ้ สนบั สนุนทรรศนะของตน
ทรรศนะทีควรแกก่ ารเชอื ถอื จะตอ้ งมขี อ้ สนบั สนุนเพยี งพอ ฉะนนั ตอ้ งมรี ายละเอยี ด
หลกั ฐาน ใหม้ ากพอพอเชือถอื ได้
4. การชใี ห้เห็นจุดออ่ นของทรรศนะของเรองทอี ่าน ผูโ้ ตแ้ ยง้ จะตอ้ งชีให้เหน็ จดุ อ่อนของเรอง
ทีอา่ นและตอ้ งชใี ห้เหน็ จดุ เดน่ ของทรรศนะของตน

การวนจิ ฉัยเพือการตดั สนิ ข้อโต้แยง้ ทาํ ได้ 2 แบบ
1.พจิ ารณาเฉพาะเนอื หาสาระ ไมค่ วรนาํ ประสบการณ์เข้ามาใช้เลย
2.วนจิ ฉยั โดยใชด้ ลุ ยพนิ จิ ของตนอยา่ งถีถ้วนกบั เหตุผลประกอบ

มารยาทในการโต้แยง้
1. ไมใ่ ช้อารมณใ์ นการโต้แยง้
วางจติ ใจใหเ้ ปนกลาง มองดูทีเหตผุ ลเปนหลกั สาํ คญั
2. มมี ารยาทในการใชภ้ าษา ใชภ้ าษาสุภาพ และถูกตอ้ ง


Click to View FlipBook Version