The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สื่อของวิภาวดี บำรุงชื่อ (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Film_ Channel, 2020-02-20 00:24:54

สื่อของวิภาวดี บำรุงชื่อ (1)

สื่อของวิภาวดี บำรุงชื่อ (1)

เขวาสนิ รนิ ทร ์

คำนำ

คำนำ

มรดกและภมู ปิ ัญญาของอาเภอเขวาสนิ รนิ ทรเ์ป็ นสงิ่ ทคี่
วรอนุรกั ษเ์ อาไวซ้ งึ่ มรดกและภมู ปิ ัญญาเป็ นสงิ่ ทง่ี ดงาม
มาก
แตค่ นในปัจจบุ นั กลบั ไม่เห็นคณุ คา่ ของมรดกและภมู ปิ ั
ญญาของบรรพบุรษุ ไดส้ รา้ งและรกั ษา
ทง้ั นีย้ งั ไมส่ นใจทจ่ี ะเรยี นรสู ้ งิ่ ทมี่ อี ยู่
มรดกและภมู ปัญญาน้ันเป็ นสง่ิ ทค่ี วรอนุรกั ษไ์ วเ้ ป็ นอยา่
งมาก

สาเหตทุ ไ่ี ดจ้ ดั ทาเรอ่ื งนีเ้ พราะวา่ สามารถนาขอ้ มลู ทศ่ี กึ
ษาน้ันมาเผยแพรใ่ หผ้ ูค้ นไดอ้ ่านและไดร้ ถู ้ งึ มรดกและภู
มปิ ัญญาอนั เกา่ แกท่ บี่ รรพบรุ ษุ ไดส้ บื ทอดรนุ่ สรู่ นุ่
ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ และอนุรกั ษส์ บื ทอดตอ่ ไป

สำรบญั 1-3

ประวตั อิ ำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์ 4
คำขวญั อำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์ 5-19
มรดกอนั ลำ้ คำ่ ของอำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์
ภมู ปิ ญั ญำของอำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์ 20-30
แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วของอำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์ 31-41
ภำษำทอ้ งถนิ่ ของอำเภอเขวำสนิ รนิ ทร์ 42-56
ผู้ใหข้ ้อมลู

57-61

ประวตั คิ วามเป็ นมาอาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์

อาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์ เดมิ อยู่ในเขตการปกครองของอาเภอเ

มืองสุรนิ ทร ์ ต่อมาสภาตาบลเขวาสนิ รนิ ทร ์ ตาบลปราสาทท

อง สภาตาบลตากกู สภาตาบลบงึ และสภาตาบลบา้ นแร่ ได ้
ประชมุ และขอแยกการปกครองออกจากอาเภอเมอื งสรุ นิ ทรเ์ พื่
อจดั ตง้ั กงิ่ อาเภอ และกระทรวงมหาดไทยไดป้ ระกาศจดั ตงั้ เป็ น
กงิ่ อาเภอเขวา-
สิ น ริ น ท ร ์ เ มื่ อ วั น ที่ 15 ก ร ก ฏ า ค ม 2539
เป็ นตน้ ไป ต่อมาไดเ้ ป็ นเปลยี่ นเป็ นอาเภอ
เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์ เ มื่ อ ปี พ . ศ . 2550
ทอ้ งทอี่ าเภอเขวาสนิ รนิ ทรเ์ดมิ เป็ นสว่ นหนึ่งของอาเภอเมืองสุริ
นทรท์ างราชการไดแ้ บง่ พนื้ ทกี่ ารปกครองออกมาตง้ั เป็ นกงิ่ อาเ

ภอ-
เขวาสินรนิ ทร ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวนั ที่ 26
มถิ นุ ายน พ.ศ. 2539 โดยมผี ลบงั คบั ตง้ั แตว่ นั ที่ 15 กรกฎาคม
ปี เ ดี ย ว กั น ต่ อ ม า ใ น วั น ที่ 24 สิ ง ห า ค ม
2550ไดม้ พี ระราชกฤษฎกี ายกฐานะขนึ้ เป็ น อาเภอเขวาสนิ รนิ
ทร ์โดยมผี ลบงั คบั ตงั้ แต่ วนั ที่ 8 กนั ยายน ปี เดยี วกนั

ค า ว่ า "สิ น ริ น ท ร ์ " เ ป็ น ชื่ อ ข อ ง
"ขนุ สนิ รนิ ทรบ์ ารงุ " ซงึ่ เป็ นกานันคนแรกของตาบลเขวาสนิ ริ
น ท ร ์ จึ ง ไ ด ้ ร ว ม ชื่ อ เ ป็ น
"เขวาสนิ รนิ ทร"์ ชุมชนโบรำณสมยั ขอมเรอื งอานาจ ซงึ่

ทางหลักฐานโบราณคดี สามารถสืบยอ้ นไปถึง 2,000
ปี และเมื่อมีการตงั้ เมืองสุรนิ ทรแ์ ลว้ อาเภอเขวาสินรนิ ทร ์
ขนึ้ อยู่กบั การปกครองของอาเภอเมอื งสรุ นิ ทรเ์ รอื่ ยมา จนกระ
ทั้ ง วั น ที่ 15 ก ร ก ฎ า ค ม
2539 กระทรวงมหาดไทยไดแ้ บ่งพืน้ ทีก่ ารปกครองเป็ น 5

ตาบล ประกอบดว้ ย ตาบลเขวาสนิ รนิ ทร ์ ตาบลบงึ ตาบลป

ราสาททอง ต.ตากกู และตาบลบา้ นแร่ อาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์

ร ว ม พื้ น ที่ 191.135

ตร.กม. ตงั้ เป็ นกงิ่ อ.เขวาสนิ รนิ ทร ์ ต่อมามีพระราชกฤษฎกี า

จดั ตง้ั จากกิง่ อาเภอ เป็ น อาเภอเขวาสินรนิ ทร ์ เมื่อวนั ที่ 8

กนั ยายน 2550 โดยแบ่งการปกครอง 5 ตาบล 55 หมู่บา้ น 5
อบต. มีประชากรทง้ั สนิ้ 35,129 คน เป็ นชาย17, 434 คน
ห ญิ ง 17,695 ค น ค ร ั ว เ รื อ น ทั้ ง สิ้ น 8,403
ค รั ว เ รื อ น โ ด ย มี น า ย รั ง ส ฤ ษ ดิ์ จิ ต ดี

ด า ร ง ต า แ ห น่ ง น า ย อ า เ ภ อ เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์
คนปัจจบุ นั คาวา่ เขวา นั้นมาจาก เดมิ พนื้ ทแี่ ห่งนีเ้ ป็ นป่ าต ้

น เ ข ว า ค า ว่ า สิ น ริ น ท ร ์ ม า จ า ก
ขนุ สนิ รนิ ทรบ์ ารุง ผูซ้ งึ่ ดารงกานันคนแรก จงึ ไดน้ าเอาทง้ั สอ
งคามารวมตง้ั เป็ นชอื่ อาเภออาชพี หลกั ของชาวอาเภอเขวาสนิ

รนิ ทร ์ เป็ นอาชพี เกษตรกรรม โดยเฉพาะการทานาขา้ วหอม

ม ะ ลิ มี พื้ น ที่ ป ลู ก ข ้า ว ห อ ม ม ะ ลิ ท้ั ง สิ้น 105,098
ไร่ และจากการทาเกษตร ตามวถิ เี กษตรอนิ ทรยี ์ ทาใหผ้ ลผ
ลิตขา้ วอยู่ระหว่าง 480 กก /ไร่ ในฤดูกาลผลิต 2551 /
2552 มี ผ ล ผ ลิ ต ข ้ า ว ห อ ม ม ะ ลิ ร ว ม 49.565 ตั น
ขา้ วเปลือกและในฤดูก าลผลิต ปี 2552 / 2553 คาดว่า
จ ะ มี ผ ลิ ต ป ร ะ ม า ณ 50,447
ตนั ขา้ วเปลอื ก นอกจากการทาการเกษตรตามวถิ เี กษตรอนิ ท
รยี แ์ ลว้

คำขวญั อำเภอเขวำสนิ รนิ ทร ์

เขวาสนิ รนิ ทร ์ ดนิ แดนหตั ถกรรม

เลศิ ลา้ ภมู ปิ ัญญา ตระการตาผา้ ไหม

ระบอื ไกลประคาสวย รา่ รวยประเพณี

มปี ราสาทโบราณ สบื สานเพลงกนั ตรมึ

มรดกอนั ลำ้ คำ่ ของอำเภอเขวำสนิ รนิ ท
ร์

อ า เ ภ อ เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์
ถอื เป็ นอาเภอโบราณทางประวตั ศิ าสตรใ์ นสมยั อา
ณ า จั ก ร ข อ ม เ รื อ ง อ า น า จ
และถือเป็ นชมุ ชนบรวิ ารของเมืองประทายสมนั ต ์
หรอื เมืองสุรนิ ทร ์ มาจนปัจจุบนั เห็นไดจ้ าก 2
สถานที่ แห่งนี้ ไดแ้ ก่

1)ประสาททอง ทตี่ ง้ั อยู่ ณ บา้ นแสรออ ต.เขวาฯ
อ.เขวาฯ

2)ประสาทแกว้ ทตี่ ง้ั อยู่ ณ บา้ นพระปื ด ต.บา้ นแร่
อ.เขวาฯ

มรดกทางวฒั นธรรมประเพณีทชี่ มุ ชนอาเภอ
เขวาสนิ รนิ ทรไ์ ดส้ บื ทอดตอ่ กนั มาไดแ้ ก่
แซนโฎนตา

,แซนแสร,เรอื มตรด,เรอื มเบรนิ ,เรอื มอนั เร,กั
นตรมึ , ลเิ กเขมร เป็ นตน้

และยงั มีหมู่บา้ นทอผา้ ไหมทสี่ บื ต่อกนั มาตงั้ แ
ต่ บ ร ร พ บุ รุ ษ ซึ่ง ท อ เ ป็ น ล ว ด ล า ย ต่ า ง ๆ
และทสี่ าคญั ผา้ ไหมของอาเภอเขวาสนิ รทิ รเ์ป็
น ที่ เ ลื่ อ ง ลื อ
ผา้ ไหมมผี ลวดลายทสี่ วยงามเป็ นเอกลกั ษณเ์
ฉพาะที่สืบทอดกนั มาเป็ นเวลาหลายรอ้ ยปี
จนกลายเป็ นผา้ ไหมทลี่ า้ ค่าทางภมู ปิ ัญญาระ

ดั บ ช า ติ
และเป็ นแหล่งรายไดท้ สี่ าคญั ของประชาชนใ
น พื้ น ที่ อ า เ ภ อ เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์

จากประวตั ิความเป็ นมาพบว่านางนุ่ม บวั วนั
เป็ นคนรเิ รมิ่ ทอผา้ โฮลในหมู่บา้ นระงอลเป็ นค

น แรกไดส้ ืบทอ ดผ่าน น าง การ จัยสีดา

และถ่ายทอดผ่านชา่ งทอผา้ โฮล บา้ นนาตงั

ตาบลเขวาสินรนิ ทร ์ ต่อมาหลานนางการ

จั น สี ด า คื อ คุ ณ พ ฤ หั ส ต า ม เ จ ริญ

สื บ ท อ ด ม า ส า ม ร ถ ส ร ้า ง ร า ย ไ ด้

แ ล ะ ท า ชื่ อ เ สี ย ง ใ ห ้ แ ก ห มู่ บ ้ า น
และอาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์



ผา้ โฮล

ผา้ โฮลเป็ นผา้ ไหมมดั หมขี่ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ ์ ทยเชอื้ สา
ยเขมรในจงั หวดั สรุ นิ ทร ์ ผา้ มดั หมโ่ี ฮลถอื เป็ นลายเอก
ลกั ษณข์ องลายผา้ ไหมมดั หม่ีจงั หวดั สุรนิ ทร ์ “โฮล”
เ ป็ น ค า ใ น ภ า ษ า เ ข ม ร เ ป็ น ชื่ อ เ รี ย ก
กรรมวธิ กี ารผลติ ผา้ ไหมประเภทหนึ่งทส่ี รา้ งลวดลายขึ้

นมาจากกระบวนการมดั ยอ้ มเสน้ ไหมใหเ้ กดิ สสี นั และลว

ด ล า ย ต่ า ง ๆ ก่ อ น แ ล ้ว น า ม า ท อ เ ป็ น ผื น ผ ้ า
ซึ่ ง ต ร ง กั บ ค า ว่ า “ ผ ้ า ปู ม ” ใ น ภ า ษ า ไ ท ย
“ มัด ห มี่ ” ใ น ภ า ษ า ล า ว แ ล ะ ค า ว่ า IKAT (อิ - กัด )
ซ่ึ ง เ ป็ น ล า ดั บ ที่ ภ า ษ า อิ น โ ด นี เ ซี ย - ม า ล า ยู
แ ต่ ช า ว ต ะ วัน ต ก มัก รู จ้ ัก ผ ้า มัด ห ม่ี ข อ ง ม า เ ล ย ์-

อิ น โ ด นี เ ซี ย แ ล ะ เ รี ย ก IKAT ต า ม ไ ป ด ้ว ย

ค า ว่ า “โฮล”

ในภาษาเขมรสุรนิ ทรส์ มยั หลงั คาจากดั ความของคาวา่

“ โ ฮ ล ” ไ ด ้ มี ค ว า ม ห ม า ย แ ค บ ล ง ม า อี ก

ใ ช ้ เ รี ย ก เ ฉ พ า ะ เ จ า ะ จ ง ถึ ง
ผ ้า นุ่ ง ที่ ส ร า้ ง จ า ก ก ร ะ บ ว น ก า ร มัด ย ้อ ม เ ส ้น พุ่ ง

แ ล ้ ว น า ม า ท อ ใ ห ้ เ กิ ด ล ว ด ล า ย ต่ า ง ๆ

แ บ บ ผ ้า ปู ม ข อ ง ขุ น น า ง ใ ร ร า ช ส า นั ก ส ย า ม

มี ก ร อ บ มี เ ชิ ง ส า ห ร ั บ บุ รุ ษ ใ ห ้ นุ่ ง เ รี ย ก ว่ า
“โฮลเปราะห”์ และสตรใี ชน้ ุ่งทอเปลงเป็ นลายรวิ้ เรยี กวา่

“ โ ฮ ล แ ส ร็ ย ”

ผ ้ า โ ฮ ล เ ป็ น ผ ้ า ที่ มี คุ ณ ภ า พ ดี ม า ก
เพราะการทอผา้ ชนิดนีใ้ ชเ้ สน้ ไหมนอ้ ย(ส่วนในสุดของเสน้ ไห

ม)
ในการทอทาใหเ้ ป็ นผา้ ไหมมดั หมเี่ นือ้ แน่นเสน้ ไหมเล็กละเอยี ด
เ นื้ อ ผ ้ า จ ะ บ า ง เ บ า เ นื้ น แ น่ น เ นี ย น อ่ อ น นุ่ ม

ล ว ด ล า ย สี สั น เ ป็ น แ บ บ ฉ บั บ ข อ ง ช า ว สุ ริ น ท ร ์
ซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมจากศลิ ปะของเขมร

ผา้ โฮลเปราะห ์

ผา้ โฮลเปราะห ์ (ลายโฮลผชู ้ าย)
เป็ นผา้ มดั หมขี่ องกลมุ่ คนไทยเชอื้ สายเขมรบรเิ วณอสี านใต ้
มลี วดลายและสสี นั ตา่ ง ๆ กนั
ใชเ้ ป็ นผา้ นุ่งโจงกระเบนของผชู ้ าย ในสมยั โบราณเรยี ก
“ผา้ ปมู เขมร”
ราชสานักใชเ้ ป็ นผา้ พระราชทานใหข้ า้ ราชบรพิ ารตามตาแหน่
ง เป็ นผา้ ขนาดใหญ่ กวา้ งยาวมาก มกั มเี ชงิ
คลา้ ยผา้ ปาโตลาของอนิ เดยี บางทเี รยี ก ผา้ สมปัก หรอื
ผา้ สองปัก ภาษาเขมรหมายถงึ ผา้ นุ่ง
ซงึ่ จะพระราชทานใหต้ ามยศ เชน่ สมปักปมู สมปักกรวยเชงิ
สาหรบั ขา้ ราชการชนั้ สูง ผา้ สมปักรวิ้ ผา้ สมปักลาย
สาหรบั ขา้ ราชการระดบั เจา้ กรมและปลดั กรม
ผา้ สมปักล่องจวนทมี่ พี นื้ สขี าวสาหรบั พราหมณน์ ุ่ง
ไดย้ กเลกิ ไปในสมยั ราชการที่ 5

ผา้ โฮลสะไรย ์

ลายโฮลผหู ้ ญงิ (โฮลสะไรย)์
เป็ นผา้ มดั หมที่ เี่ กดิ จากการมดั หมลี่ วดลายเดยี วกนั กบั

ผา้ โฮลเปราะห ์
แต่เมอื่ นามาทอจะใชว้ ธิ กี ารดงึ ลายใหเ้ กดิ ลวดลาย
อกี แบบหนึ่ง และเพมิ่ องคป์ ระกอบของลวดลายเพมิ่ เขา้ ไป

คอื มลี ายสายฝน
หางกระรอกและคน่ั ดว้ ยเสน้ พนื้ สแี ดงครง่ั เป็ นตน้
ซงึ่ แตกต่างจากลายโฮลเปราะห ์ เอกลกั ษณอ์ ย่างหนึ่งของผา้
คอื บรเิ วณรมิ ผา้ จะมเี สน้ สนั นูนขนานไปกนั ทงั้ สองดา้ น
ในทศิ ของแนวเสน้ พุ่งอนั เนื่องจากการจดั ลวดลายแลว้
มว้ นเสน้ ไหม ทเี่ หลอื สอดเขา้ ในชอ่ งวา่ งของเสน้ ยนื
จากนั้นทอทบั
ทาใหร้ มิ ผา้ ของผา้ มดั หมสี่ ุรนิ ทรม์ คี วามหนาและแขง็ แรง



สี ข อ ง ผ้ า โ ฮ ล
ส่วนใหญ่จะเป็ นสที ีไ่ ดจ้ ากธรรมชาติ
เชน่
สแี ดง ไดม้ าจาก ครง้ั

สเี หลอื ง ไดม้ าจาก ประโหด ( มะหูด
) และเข

สคี ราม หรอื สฟี ้ า ไดม้ าจาก คราม

ใ บ เ ห มื อ ด ใ บ ม ะ ข า ม ใ บ ช ง โ ค
ใบสม้ ลม สารสม้ ใชเ่ ป็ นสารใหส้ ีติด
ชว่ ยกนั สไี ม่ตก



สแี ดง

ครง่ั (องั กฤษ: En:Lac)
คอื แมลงจาพวกเพลยี้ หลายชนิดทอี่ ยูใ่ นวงศ ์ Kerridae อาทิ Laccifer
lacca[1] ถอื ว่าเป็ นแมลงทเ่ี ป็ นศตั รูต่อพชื ตามธรรมชาติ
ทจ่ี ะใชง้ วงปากเจาะเพอ่ื ดดู นา้ เลยี้ งของตน้ ไม้ ประเภทไมเ้ นือ้ แข็ง
แตว่ า่ กลบั เป็ นแมลงทม่ี ีประโยชนต์ อ่ มนุษยเ์ ป็ นอยา่ งมากนับจากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั

ครง่ั จะขบั สารชนิดหน่ึงซง่ึ มลี กั ษณะเป็ นเหมือนผยางหรอื ชนั ออกมาไวป้ ้ องกนั ตวั เองจา
กศตั รู ซง่ึ สารทขี่ บั ถา่ ยออกมานีเ้ รยี กวา่ "ครง่ั ดบิ " ตามชอื่ เรยี ก
สารนีม้ สี แี ดงม่วง ลกั ษณะคลา้ ยขีผ้ งึ้ สเี หลอื งแก่
หรอื ยางสสี ม้ ซงึ่ มนุษยไ์ ดน้ ามาใชป้ ระโยชนก์ นั มานานกวา่ 4,000 ปี แลว้ ในหลายอารยธรรม

โดยใชเ้ ป็ นสมุนไพร เป็ นยารกั ษาโรคโลหติ จาง, โรคลมขดั ขอ้ เป็ นตน้
นอกจากนีย้ งั นาไปใชใ้ นอตุ สาหกรรมการทาเชลแล็ก, แลกเกอร,์ เครอื่ งใช,้ เครอ่ื งประดบั ตา่ ง

ๆ, ยอ้ มสผี า้ สโี ลหะ หรอื ผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ

ตลอดจนใชป้ ระทบั ในการไปรษณียข์ นส่งหรอื ตราประทบั เอกสารทางราชการใด
ๆ[2] ปจั จบุ นั ครง่ั เป็ นสนิ คา้ ออกทสี่ าคญั ของหลาย ๆ ประเทศ
อาทิ อนิ เดยี , ไทย[3] ซง่ึ มกี ารเลยี้ งในเชงิ เกษตร มรี าคาขายทแี่ พงมาก [4]



สเี หลือง

มะพูด หรอื ปะโหด เป็ นพรรณไมท้ นี่ าเปลอื กตน้ มาใชย้ อ้ มสเี สน้ ไหมมานานแลว้ ในจงั หวดั สรุ นิ ทรแ์ ละกมั พชู า
เนื่องจากมะพูดใหส้ เี หลอื งคลา้ ยสเี หลอื งดอกบวบ หรอื สเี หลอื งดอกคณู จงึ มกี ารใชใ้ นการทาเป็ นแม่สี เชน่
เม่ือตอ้ งการเสน้ ไหมสเี ขยี ว นาเสน้ ไหมมายอ้ มดว้ ยเปลอื กมะพดู กอ่ นจงึ ยอ้ มทบั ดว้ ยคราม
ในการเตรยี มนา้ สสี าหรบั การยอ้ มเสน้ ไหม 1 กโิ ลกรมั ใชเ้ปลอื กมะพดู แหง้ 3 กโิ ลกรมั ตม้ กบั นา้ ในอตั ราสว่ น 1 :
10 นาน 1 ชว่ั โมง กรองใชเ้ฉพาะนา้ แลว้ นามายอ้ มเสน้ ไหมดว้ ยกรรมวธิ ยี อ้ มรอ้ นนาน 1 ชว่ั โมง

เสรจ็ แลว้ นามาแชใ่ นสารละลายสารสม้ นาน 10-15 นาที ไดเ้ สน้ ไหมสเี หลอื งสด
ในสว่ นของใบทน่ี ามาใชย้ อ้ มสเี สน้ ไหมโดยใชอ้ ตั ราสว่ น ใบสด 15 กโิ ลกรมั ตอ่ เสน้ ไหม 1 กโิ ลกรมั
สกดั นา้ สดี ว้ ยวธิ กี ารตม้ กบั น้า อตั ราส่วน 1 : 2 นาน 1 ชว่ั โมง กรองใชเ้ฉพาะนา้

ใชก้ รรมวธิ กี ารยอ้ มรอ้ นและแชใ่ นสารละลายชว่ ยตดิ สสี ารสม้ หลงั ยอ้ มเชน่ เดยี วกบั เปลอื ก พบวา่ ใหเ้ สน้ ไหมสเี หลอื ง
แตส่ ที ไ่ี ดจ้ ะออ่ นกว่าสที ผ่ี า่ นการยอ้ มดว้ ยเปลอื ก แตถ่ า้ ใชใ้ นสารละลายสารชว่ ยตดิ สจี นุ สี ไดเ้ สน้ ไหมสนี า้ ตาล

สคี ราม

ตน้ ครามทกี่ ลา่ วถงึ ในบทความนีเ้ ป็ นพรรณไมค้ นละชนิดกนั กบั ตน้ ครำม หรอื
ต้น ฮ่ อ ม ที่ มี ชื่อ วิ ท ย า ศ า ส ต ร ว์ ่ า Baphicacanthus cusia (Nees)
Bremek. ซึ่ ง จั ด อ ยู่ ใ น ว ง ศ ์เ ห งื อ ก ป ล า ห ม อ ( ACANTHACEAE)
เหตุที่มีชือ่ เรยี กในทอ้ งถิ่นที่เหมือนกนั จึงอา จทาใหเ้ กิดความสับ สนไ ด้
เพราะตน้ ฮ่อม (ครามดอย หอ้ ม หอ้ มหลวง หอ้ มนอ้ ย) ก็มีชอื่ เรยี กท่วั ไปว่า

"ครำม" เชน่ กนั

ต้น ค ร ำ ม จัด เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้พุ่ ม ข น า ด เ ล็ ก แ ต ก กิ่ง ก ้า น ส า ข า ม า ก
บา้ งวา่ แตกกงิ่ กา้ นนอ้ ย มคี วามสูงของตน้ ประมาณ 4-6 ฟุต หรอื สูงประมาณ 1-
2 เมตร ลาตน้ มีลกั ษณะกลมสีเขยี ว มกั พาดเกาะตามสิง่ ที่อยู่ใกลก้ บั ลาตน้
ข ย า ย พัน ธุ ด์ ้ว ย วิธีกา ร เ พ า ะ เ ม ล็ ด โ ด ย เ ป็ น พ ร ร ณ ไ ม้ที่ช อ บ แ สงแดด

ท น ท า น ต่ อ อ า ก า ศ ร ้ อ น ฝ น แ ล ะ ดิ น เ ค็ ม ไ ด้ ดี
พบขนึ้ ไดต้ ามป่ าโปรง่ ทางภาคอสี านและทางภาคเหนือจะนิยมปลูกตน้ ครามไวเ้
พอื่ ใชส้ าหรบั ทาสยี อ้ มผา้ และมกั ขนึ้ เป็ นวชั พืชท่วั ไปตามสวน

ภูมปิ ัญญำของอำเภอเขวำสนิ ริ
นทร ์

ภูมปิ ัญญำของอำเภอเขวำสนิ รนิ
ท ร์
คอื อำชพี กำรเกษตรกรรมโดยเฉ
พำะกำรทำนำปลูกขำ้ วหอมมะลิ
ป ลู ก ผั ก ผ ล ไ ม้

ร ว ม ไ ป ถึ ง ก ำ ร เ ลี้ ย ง สั ต ว ์
กำรผลติ เครอื่ งเงินโบรำณโดยช่
ำ ง ฝี มื อ ช ้ั น ย อ ด
ทเี่ ป็ นเอกลกั ษณแ์ ละเป็ นทรี่ ูจ้ กั ข

องชำวไทย และชำวตำ่ งชำติ



ควำมเป็ นมำของเครอื่ งประดบั เงินเขวำสนิ ริ

นทร ์

จากการทจี่ งั หวดั สุรนิ ทร ์

มพี รมแดนตดิ กบั ประเทศกมั พูชา

จงึ ทาใหข้ นบธรรมเนียมประเพณีและรูปแบบศลิ ปวฒั นธรรมจา
กกมั พูชาถกู ส่งผา่ นมายงั ดนิ แดนแหง่ นี้
ยอ้ นกลบั ไปเมอื่ ประมาณ 270 ปี เศษ (ราว พ.ศ. 2262)
เมอื่ ครงั้ ทรี่ าษฎรกมั พูชาไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นจากภยั สงคราม

จนตอ้ งอพยพเขา้ มายงั ผนื แผน่ ดนิ ไทย
และตงั้ รกรากอยู่ในบรเิ วณพนื้ ทอี่ าเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์
ซงึ่ ผูอ้ พยพกลุ่มนีไ้ ม่ไดเ้ ป็ นเพยี งชาวบา้ นทปี่ ระกอบอาชพี เกษ
ตรกรรมทว่ั ไป
หากแต่มวี ชิ าความรใู ้ นการตที องรปู พรรณและทาเครอื่ งประดั

บตดิ ตวั มาดว้ ย
มกี ารถา่ ยทอดองคค์ วามรจู ้ ากรนุ่ สู่รนุ่ สบื มาจนกระทง่ั ถงึ ชว่ งป

ระมาณ พ.ศ. 2521
เมอื่ ทองรูปพรรณมรี าคาแพงจนไม่เป็ นทนี่ ิยมในทอ้ งถนิ่ ชา่ งเห
ล่านีจ้ งึ เปลยี่ นจากการทาทองมาเป็ นเครอื่ งเงนิ โบราณแทน

เพราะมรี าคาถกู กวา่ คอ่ นขา้ งมาก
การทาเครอื่ งเงนิ โบราณเขวาสนิ รนิ ทรจ์ ดั เป็ นงานหตั กรรมทมี่ ี
การสบื ทอดกนั มาตงั้ แตร่ นุ่ บรรพบรุ ุษ
และถอื เป็ นส่วนหนึ่งของวถิ ชี วี ติ คนในทอ้ งถนิ่
เครอื่ งเงนิ ทผี่ ลติ นอกจากจะมลี วดลายทสี่ วยงาม

และมคี วามประณีตแลว้

สงิ่ ทเี่ ป็ นเอกลกั ษณข์ องเครอื่ งเงนิ โบราณเขวาสนิ รนิ ทรก์ ็คอื
“ลูกประเกอื ม” ซงึ่ บรเิ วณบา้ นโชค ตาบลเขวาสนิ รนิ ทร ์
ถอื เป็ นหมู่บา้ นแห่งแรกทมี่ กี ารทาลกู ประเกอื มจนมชี อื่ เสยี ง
และต่อมาเมอื่ ความตอ้ งการของผูบ้ รโิ ภคเพมิ่ ขนึ้
การผลติ จงึ ขยายตวั ไปทว่ั ทงั้ ตาบล
ปัจจบุ นั พบวา่ ตาบลเขวาสนิ รนิ ทรน์ ัน้ เป็ นพนื้ ทแี่ ห่งเดยี วในโล
กทมี่ กี ารผลติ ลกู ประเกอื ม

เอกลกั ษณข์ องเครอื่ งเงินโบรำณเขวำสนิ ริ
นทร ์

การผลติ เครอื่ งเงนิ โบราณเขวาสนิ รนิ ทรม์ กั จะชเู อกลั
กษณป์ ระจาทอ้ งถนิ่ ออกมาในลกั ษณะทมี่ ี “ลกู ประเกอื ม”
เป็ นส่วนประกอบ
โดยประเกอื มไดร้ บั อทิ ธพิ ลทางศลิ ปวฒั นธรรมมาจากกมั พูชา
โดยมลี กั ษณะเป็ นเม็ดกลมคลา้ ย “ลกู ประคา” ของไทย
เพยี งแตล่ ูกประเกอื มมกั ทามาจากเม็ดเงนิ มรี ปู ทรงกลม
และมหี ลายขนาด
ในการผลติ เครอื่ งประดบั เงนิ มกั จะนิยมนาประเกอื มมารอ้ ยเป็ น

ส่วนหนึ่งของเครอื่ งประดบั อาทิ สรอ้ ยคอ

ความโดดเดน่ ของประเกอื มถกู นาเสนอผา่ นลวดลายตา่ งๆ
ทแี่ กะสลกั อยโู่ ดยรอบเม็ด อาทิ ลายถงุ เงนิ หมอน หกเหลยี่ ม

กรวย กระดมุ ตะโพน ดอกบวั ตาราง
และดอกพกิ ลุ ซงึ่ การแกะสลกั ลูกประเกอื ม
ถอื เป็ นภมู ปิ ัญญาทผี่ ่านการคดิ คน้ กรรมวธิ นี าเอาแผ่นเงนิ บาง

ๆ มาตเี ป็ นรูปตา่ งๆ
พรอ้ มกบั อดั ครง่ั ไวภ้ ายในเพอื่ ทาใหส้ ามารถแกะลายไดต้ งั้ แต่อ
ดตี มาจนถงึ ปัจจบุ นั ไดม้ กี ารนาเอาประเกอื มมาทาเป็ นเครอื่ งป

ระดบั ของสุภาพสตรี อาทิ กาไลขอ้ มอื สรอ้ ยประคา ต่างหู
แหวน และเพมิ่ ความหลากหลายดว้ ยการผสมกบั วสั ดุชนิดอนื่

อาทิ มุก นิล ลกู ปัดหนิ

จนกลายเป็ นสนิ คา้ หลกั ของเขวาสนิ รนิ ทร ์

โดยเอกลกั ษณอ์ นั โดดเด่นและความสวยงามของประเกอื มนอ

กเหนือไปจากลวดลายอนั งดงามและประณีตแลว้
ประเกอื มส่วนใหญจ่ ะมกี ารรมดาเพอื่ ขบั ใหล้ วดลายมคี วามเด่
นชดั เพมิ่ ขนึ้
และทาใหส้ งั เกตเห็นความเงาวาวของเนือ้ โลหะเงนิ ไดช้ ดั เจนยงิ่
ขนึ้ ดว้ ย

สาหรบั กรรมวธิ เี บอื้ งตน้ ในการทาลกู ประเกอื มจะเรมิ่ จากการ
นาเม็ดเงนิ บรสิ ทุ ธชิ ์ ง่ั น้าหนักและนาไปหลอมละลาย
แลว้ จงึ เทใสใ่ นรางเพอื่ หลอ่ เป็ นแท่ง
นาเขา้ เครอื่ งรดี ใหแ้ บนจนมคี วามบางประมาณ 4 มลิ ลเิ มตร
จากน้ันนามาตดั ตามขนาดทตี่ อ้ งการ
และนาไปมว้ นเชอื่ มเป็ นเม็ด

ตกแต่งรมิ ขอบดว้ ยการปิดฝาดว้ ยแผน่ เงนิ เล็กๆ

ลกั ษณะโคง้ นูน และปิ ดขอบดว้ ยเสน้ ลวดเงนิ ใหเ้ รยี บรอ้ ย

อดั ชนั ใหแ้ น่นจนผวิ เงนิ ดา้ นนอกตงึ เรยี บ

แลว้ แกะลายใหง้ ดงาม

เสรจ็ แลว้ ใชเ้ หล็กแหลมเผาไฟใหร้ อ้ นแทงทะลุชนั ใหเ้ ป็ นรู

ขดั ลา้ งใหส้ ะอาด
รวมถงึ รมดาเพอื่ ใหเ้ ห็นลวดลายชดั เจนยงิ่ ขนึ้
แลว้ จงึ นาไปรอ้ ยต่อกนั เป็ นเครอื่ งประดบั

นอกเหนือจากการทาลูกประเกอื มแลว้ ชา่ งเงนิ เขวาสนิ รนิ ทร ์
ยงั มกี ารทาตา่ งหทู เี่ รยี กวา่ “ตะเกา” ทาจากเงนิ เสน้ เล็กๆ

ขดเป็ นรปู ทรงและลวดลายต่างๆ อาทิ แบบทรงกลม
ทรงตะโพน แบบโอง่ แบบสเี่ หลยี่ ม เป็ นตน้

การทาเครอ่ื งเงนิ โบราณเขวาสนิ รนิ ทร ์
นอกเหนือจากเพอื่ หารายได ้
และอนุรกั ษภ์ มู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ แลว้
เครอ่ื งเงนิ ทท่ี าออกมายงั มคี ณุ คา่ ทางจติ ใจ
สะทอ้ นถงึ ความเชอ่ื ดา้ นโชคลางวา่ เครอื่ งประดบั สามาร

ถปกป้ องผสู ้ วมใสจ่ ากอนั ตรายตา่ งๆ
ได ้ และมพี ลงั คมุ ้ ครองจากความเจ็บป่ วยหรอื สงิ่ ชว่ั รา้ ย

ดงั จะเห็นวา่
ชาวเขวาสนิ รนิ ทรใ์ นปัจจบุ นั ยงั คงนิยมหอ้ ยเครอ่ื งประดั
บประจาทอ้ งถนิ่ ตดิ ตวั ตง้ั แตเ่ ด็ก

ก ำ ร ค้ ำ เ ค รื่ อ ง เ งิ น เ ข ว ำ สิ น ริ น ท ร ์

ปัจจบุ นั แมว้ า่ การผลติ เครอ่ื งเงินเขวาสนิ รนิ ทรจ์ ะมอี ปุ ส
ร ร ค อ ยู่ ห ล า ย ป ร ะ ก า ร อ า ทิ
จ า น ว น ช่ า ง ฝี มื อ ที่ มี อ ยู่ อ ย่ า ง จ า กั ด
และตน้ ทนุ ของสนิ คา้ ทเ่ี พิ่มขนึ้ อนั เน่ืองมาจากวตั ถุดิบเงิ
น ท่ี ส่ัง ซื้อ ม า จ า ก ซัพ พ ล า ย เ อ อ ร ใ์ น ก รุ ง เ ท พ ฯ
มี ร า ค า สู ง ขึ้ น ต า ม ร า ค า ท อ ง
แตด่ ว้ ยใจรกั ในภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ม่ตอ้ งการใหส้ ญู ห

ายไป
ชาวเขวาสนิ รนิ ทรจ์ งึ ยงั คงผลติ และพฒั นาเครอ่ื งประดบั
จากภูมิปัญญาของพวกเขาต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ ง
โดยไดม้ คี วามพยายามทจ่ี ะคดิ สรา้ งสรรคผ์ ลงานรปู แบ

บ ใ ห ม่ ๆ
และลวดลายทแ่ี ปลกใหม่ขนึ้ มาใหต้ รงกบั ตามความตอ้ ง
ก า ร ข อ ง ลู ก ค ้ า ม า ก ท่ี สุ ด อ า ทิ
ก า ร เ พิ่ ม ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ข อ ง ช นิ ด สิ น ค ้า

และปรบั รปู แบบสนิ คา้ ใหม้ ีความแปลกใหม่น่าดงึ ดูดมา

ก ขึ้ น อ า ทิ

การเพมิ่ สสี นั ใหล้ กู ประเกอื มโดยการรอ้ ยสลบั กบั วสั ดชุ

นิ ด อื่ น ทั้ง ไ ข่ มุ ก หิ น ห รือ ลู ก ปั ด แ ต่ ถึ ง ก ร ะ นั้ น

การสรา้ งสรรคผ์ ลงานยงั คงรกั ษาเอกลกั ษณด์ งั้ เดมิ เอาไ

วอ้ ย่างเหมาะสม เพื่อไม่ใหเ้ สียคุณค่าทางวฒั นธรรม

ดา้ นชอ่ งทางจดั จาหน่ายเครอ่ื งเงนิ โบราณเขวาสนิ รนิ ท
รใ์ นปัจจบุ นั

นอกจากจะมผี ซู ้ อื้ เดนิ ทางมาซอื้ ถงึ ในหมู่บา้ นแลว้
ยงั มกี ารจาหน่ายผ่านตวั แทนทร่ี บั ไปขายตามรา้ นจวิ เว
ลร่ี รา้ นขายของทรี่ ะลกึ

ตลอดจนการจดั แสดงรปู แบบสนิ คา้ ผ่านทางหนา้ เว็บไซ
ตเ์ พอื่ ใหเ้ ขา้ ถงึ ผบู ้ รโิ ภคไดม้ ากทสี่ ดุ นอกจากนี้
สนิ คา้ ยงั เรมิ่ เป็ นทร่ี จู ้ กั และไดร้ บั การยอมรบั จากตา่ งประ
เทศ อาทิ ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด ์ ญป่ี ่ นุ เป็ นตน้

ควำมเป็ นมำของหตั กรรมเครอื่ งจ ั

กรสำน

หตั ถกรรมเครอ่ื งจกั สำนเป็ นภูมปิ ัญญำทอ้
งถน่ิ ของชมุ ชนทส่ี ำคญั ยงิ่ ต่อกำรดำรงชวี ติ ตงั้ แตอ่
ดตี ตง้ั แต่สมยั อยุธยำจนถงึ ปัจจบุ นั หตั ถกรรมเครอ่ื
งจกั สำนเป็ นตวั อยำ่ งหนึ่งทแี่ สดงใหเ้ ห็นภูมปิ ัญญำอ ั
นเฉลยี วฉลำดของคนในทอ้ งถนิ่ ทใี่ ชภ้ ูมปิ ัญญำสำ
มำรถนำสงิ่ ทม่ี อี ยูใ่ นชมุ ชนมำประยกุ ตท์ ำเป็ นเครอื่ ง
มอื เครอ่ื งใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ซงึ่ มปี ระโยชนใ์ นกำร

ดำรงชวี ติ
จะเหน็ ไดว้ ำ่ หตั ถกรรมเครอ่ื งจกั สำนมมี ำ

นำนแลว้ และไดม้ กี ำรพฒั นำมำตลอดเวลำโดยอำศ ั
ยกำรถ่ำยทอดควำมรูจ้ ำกคนรุน่ หนึ่งไปสูค่ นอกี รุน่ ห
นึ่ง กำรดำรงชวี ติ ประจำวนั ของชำวบำ้ นสว่ นใหญไ่
มไ่ ดเ้ อำกำรรูห้ นงั สอื มำเกยี่ วขอ้ ง กำรเรยี นรูต้ ำ่ งๆ
อำศยั วธิ กี ำรฝึ กหดั และบอกเลำ่ ซง่ึ ไมเ่ ป็ นระบบในกำ

รบนั ทกึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ กำรเรยี นรู ้
ควำมรูท้ ส่ี ะสมทส่ี บื ทอดกนั มำจำกอดตี มำถงึ ปัจจุบนั
หรอื ทเ่ี รยี กกนั วำ่ ภูมปิ ัญญำทอ้ งถน่ิ
ดงั นน้ั กระบวนถำ่ ยทอดควำมรูจ้ งึ มคี วำมสำคญั อยำ่
งยงิ่ ทที่ ำภูมปิ ัญญำทอ้ งถน่ิ นน้ั คงอยูต่ อ่ เนื่องและยง่ั ยื



ทง้ั นี้อาเภอเขวาสินรนิ ทรไ์ ดจ้ ดั เทศกาล “ นุ่ งผา้ ไหม

ใ ส่ ป ร ะ เ กื อ ม เ รื อ ม กั น ต รึ ม ”
เพื่อสบื สานมรดกภมู ิปัญญาบรรพบุรุษทีม่ มี านานกว่า

500 ปี โดยเฉพาะงานชา่ งทอและช่างทาประเกือม
เ ค ร่ื อ ง ป ร ะ ดั บ ท่ี ท า ม า จ า ก เ งิ น
อนั เป็ นเอกลกั ษณท์ โี่ ดดเดน่ ระดบั ชาติ

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่ าสนใจ เช่น ขบวนแห่
ก า ร เ ดิ น แ บ บ ผ้ า ไ ห ม
การประกวดผลผลติ ทางการเกษตร การประกวดของดี
5 ตาบล การประกวดธิดาประเกือม ประกวดสินคา้
OTOP
การแสดงศิลปวัฒนธรมื้นบา้ นของแต่ล่ะหมู่บา้ น
การจดั จาหน่ายสนิ คา้ OTOPภายในงาน



แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วในอาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์

วดั ปราสาททอง

เป็ นปราสาทกอ่ อฐิ ขนาดเลก็ เลยี นแบบการกอ่ สรา้ งปราสาทเขมรในยคุ ทร่ี ุ่งเรือ
ง มีลักษณะคลา้ ยปราสาทเมืองที ก่อดว้ ยอิฐถือปูน ตัวเรือนธาตุมี 3 ชัน้
ช่ อ ง ป ร ะ ตู ท า ง เ ข ้ า เ ป็ น ป ร ะ ตู ห ล อ ก อ ยู่ ทั้ ง 4 ด ้ า น
แต่ไ ม่สาม าร ถ เ ขา้ ไ ป ปร ะ ก อ บ พิธีก ร ร ม ภ าย ใ นไ ด ้ ส่วนบนช ารุ ด ม า ก
สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งราวพทุ ธศตวรรษที่ 24 รว่ มสมยั กับปราสาทเมอื งที

วดั กระพุม่ รตั น์

ชมพระธาตุเจดีย ์ วดั กระพุ่มรตั น์ บ.ตากูก ต.ตากูก
อ . เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์ จ . สุ ริ น ท ร ์
จ า ก มุ ม ม อ ง ด ้ า น ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก
ฝ่ั ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ลี ล า
จ า ล อ ง ม า จ า ก อ ง ค ์ พ ร ะ ป ฐ ม เ จ ดี ย ์

สว่ นองคพ์ ระธาตเุ จดยี เ์ ป็ นการสรา้ งโดยผสมผสานระห
วา่ งศลิ ปะแบบลา้ นนาและขอมโบราณ

วดั ปราสาทแกว้

คณุ ยายคลา วเิ ศษสทิ ธ์ิ อายุ 100 ปี
เป็ นผูเ้ ลา่ ใหฟ้ ังขณะทค่ี ณุ ยายยังมสี ตสิ มั ปชญั ญะดมี าก มคี วามจาดี เหตกุ

ารณท์ ค่ี ณุ ยายไดไ้ ปรว่ มในการสรงน้าสงกรานตท์ วี่ ดั บา้ นสดอ เมอ่ื ทา่ นอายุ

ได ้ 15 ปี ทา่ นยงั จดจารายละเอยี ด ตอ่ มาเมอื่ มกี ารสรา้ งวัดพระปืดขนึ้
คณุ ยายกไ็ ดไ้ ปรว่ มงานดว้ ย
วัดบา้ นพระปืดหรอื วดั ปราสาทแกว้ ตงั้ อยภู่ ายในกาแพงเมอื งชนั้่ ใน รมิ คเู มื
องดา้ นทศิ ตะวันออก ทต่ี งั้ ของวัดคอ่ นไปทางเหนือของหมบู่ า้ น เมอ่ื ประ
มาณปีพ.ศ. 2449 มพี ระภกิ ษุรปู หนง่ึ ชอ่ื "พระภกิ ษุปรลึ "
บา้ นเดมิ อยทู่ างเขตอาเภอสงัี ขะ
เป็ นโรคลมบา้ หมู ไดม้ าขอให ้
"อาจารยท์ ยุ " เจา้ อาวาสวดั บา้ นสดอ
ทาการรักษา เมอื่ หายดแี ลว้ กป็ รนนบิ ัตริ ับใชพ้ ระอาจารยท์ ยุ ตลอดมา

ชาวบา้ นพระปืด ซง่ึ อยหู่ า่ งจากบา้ นสดอไปทางทศิ ใตป้ ระมาณ 5 กโิ ลเมตร
เหน็ วา่ บา้ นพระปืดยังไมม่ วี ัด การทาบญุ ตอ้ งไปทว่ี ัดบา้ นสดอ
ซง่ึ เป็ นระยะทางไกล
และมคี วามยากลาบากในการเดนิ ทางไปมา เพราะทางไมส่ ะดวก จงึ ไดค้ ดิ
สรา้ งวดั ขนึ้ ในหมบู่ า้ นของตนเอง นายอกุ นางวัน
ซง่ึ เป็ นหวั เรยี่ วหัวแรงจงึ ไดน้ าชาวบา้ นไปปรกึ ษาหารอื กับทา่ นอาจารยท์ ยุ
และขอพระภกิ ษุปรลึ มาชว่ ยสรา้ งวัด และเป็ นเจา้ อาวาส เมอื่ พระอาจารย์

ทยุ อนุญาตแลว้ พระภกิ ษุปรลึ กบั ชาวบา้ นพระปืดไดป้ รกึ ษา
หมปีารรอืาสกาันทถโงึ บสถราาณนทตังท่ี้ อจ่ี ยะนู่สัน้ราเ้ ปง็วนัดทที่ี เ่ี แหลมว้ามะคีสวมาทมจ่ี เหะต็นงั้ พวอดั้ งขตนึ้ อ้ งกจันงึ วไา่ ดพ้ บากรเิันวถณาทก่ี
ถางวชั พชื และตดั ตน้ ไมซ้ งึ่ ขนึ้ รกรงุ รงั บรเิ วณปราสาทใหเ้ ป็ น
ลานกวา้ ง และพากนั สรา้ งกฏุ ชิ วั่ คราวใกลก้ ับองคป์ ราสาทใหเ้ ป็ นท่ีาำาพานั
กของพระภกิ ษุ

ปรลึ เมอ่ื ไดเ้ ตรยี มสถานทพี่ รอ้ มแลว้ ชาวบา้ นพระปืดก็ไดจ้ ัดขบวนแหไ่ ป
ตอ้ นรบั พระภกิ ษุปรลึ ลงมาจากวดั สดอ หลังจากนัน้ บตุ รหลานของชาวบา้ น
ก็พากนั บรรพชาเป็ นสามเณรและบวชเป็๋ นพระภกิ ษุ
กันหลายรปู ชาวบา้ นกช็ ว่ ยกันปรับปรงุ บรเิ วณวัดและสรา้ งกฏุ ถิ วายเพม่ิ ขนึ้

สาหรับองคป์ ราสาทนัน้ มพี ระพทุ ธรปู เกา่ แกอ่ ยู่ 1 องค์
มลี กั ษณะสวยงามมาก แตท่ น่ี ่าเสยี ดายทถี่ กู มารศาสนาลักลอบตดั เอาเศยี ร
ไปเมอื่ ปี พ.ศ.2523
ปัจจบุ นั ทา่ นเจา้ อาวาสไดใ้ หช้ า่ งทาเศยี รขน้ึ มาใหม่ เลา่ กนั วา่ เมอ่ื ไดท้ า

การถากถางบรเิ วณรอบๆปราสาทนัน้ มพี ระพทุ ธรปู เล็กๆ
ตงั้ อยเู่ รยี งรายอยรู่ อบปราสาทเป็ นจานวนมาก แตป่ ัจจบุ ันหายไปหมดแลว้

นอกจากพระพทุ ธรปู ในองคป์ ราสาท ยงั มพี ระำพุ ุทธรปู ทศี่ ักดสิ์ ทิ ธอ์ิ กี 1
องค์ ซงึ่ มขี นาดพอคนยกได ้ ความศักดสิ์ ทิ ธข์ิ องพระพทุ ธรปู องคน์ ้อี ยทู่ ก่ี า
รเสยี่ งทายยกองคท์ า่ น ผูเ้ สย่ี งทายตอ้ งอธษิ ฐานเสยี กอ่ น เชน่ จะประกอ

บการสง่ิ ใด หากสาเรจ็ ขอใหย้ กองคพ์ ระพุ ทธรปู
ได ้ ซงึ่ หากผเู ้ สยี่ งทายจะประกอบกจิ การนัน้ สาเร็จดงั สมปรารถนา ก็จะสา
มารถยกองคพ์ ระพทุ ธรปู ได ้ หากไมส่ าเรจ็ กไ็ มอ่ าจทจี่ ะยกใหพ้ น้ พน้ื ได ้ ซ่ึ
งทา่ นเจา้ อาวาสและชาวบา้ นกย็ นื ยนั เป็ นเสยี งเดยี วกันเชน่ นี้

ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกขององคป์ ราสาทไปประมาณ 10
เมตร จะมกี องหนิ ขนาดยอ่ มอยกู่ องหนง่ึ กวา้ งประมาณ 2
เมตร ยาวประมาณ 2
เมตร ซง่ึ สนั นษิ ฐานวา่ จะนามาสรา้ งปราสาท แตส่ รา้ งไมส่ าเรจ็ ก็กองไว ้ ก
องหนิ ดงั กลา่ วชาวบา้ นเรยี กวา่ "ตากรหึ ์ -
ตาคฤห"์ ซง่ึ ไดเ้ คยสรา้ งความศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ

ใหเ้ หน็ บอ่ ยครงั้ หากผใู ้ ดไปลว่ งเกนิ เขา้ จะมอี าการไมป่ กตติ า่ งๆนานา หา
กไปบนบานกบั ตาคฤห์ ก็จะหายเป็ นปกติ ทา่ นเจา้ อาวาสเลา่ ใหฟ้ ังวา่ ค

รไงั้วหใ้ ชนใง่ึ้ นวัดทา่ นเมไอ่ืดขใ้ หนเเ้ สดร็กจ็ วดั วไัวปตขวั อหยนมื งึี่ โไคดเขท้ น้ึยี ไมปเกกวนิ ยี หนญขาอ้ บงนชกาวอบงาห้ นนิ ไปเขกนดิ ฟตืนกมลาง
มาแลว้ มอี าการชกั กระตกุ คอบดิ เบย้ี วอยกู่ บั ที่ จนทา่ นเจา้ อาวาสตลอดจน

เณรทเี่ หน็ เหตกุ ารณต์ า่ งคดิ วา่ ไมร่ อด แตเ่ มอ่ื ไดบ้ วงสรวงและขอขมาตอ่ ตา
คฤหแ์ ลว้ วัวตัวนัน้ กห็ ายเป็ นปกตแิ ละลกุ ขนึ้ กนิ หญา้ ได ้

หมบู่ า้ นทอผา้ ไหม
บา้ นนาตงั

หมู่บา้ นประคา
บา้ นโชค หมู่ 3 บา้ นลงุ ป่ วน

แคมป์ ชา้ งของอาเภอเขวาสนิ รนิ ทร ์

เป็ นสถานทที่ สี่ ามารถเรยี นรวู ้ ถิ ชี วี ติ คนกล่มุ ชาตพิ นั ธเุ ์ ขมรเลยี้ งชา้ ง
โดยมชี า้ งทมี่ ชี อื่ เสยี ง คอื
“ชา้ งพลายป๋ อง” ชา้ งแสนรทู ้ มี่ งี านการแสดงภาพยนตรท์ งั้ ในและต่างประเทศ ชำ้ ง

พลำยป๋ อง
เป็ นชำ้ งพลำยทอี่ ยู่ในตระกูลเรยี งเงิน กลุ่มเขมรเลยี้ งชา้ งในอาเภอเขวาสนิ รนิ
ทร ์จงั หวดั สุรนิ ทร ์ดว้ ยวยั 23 ปีของพลายป๋ อง ซงึ่ เป็ นวยั เจรญิ พนั ธุ ์
มคี วาญชา้ งชอื่ คณุ เอกนรนิ ทร ์ เรยี งเงนิ ทคี่ ลุกคลกี บั พลายป๋ องมาตง้ั แต่เล็ก
พลายป๋ องเป็ นแสนรู ้ ทมี่ คี วามสงา่ งาม มลี กั ษณะงาทยี่ าวเรยี ว
สวยงามเป็ นลกั ษณะงาอมุ ้ บาตร ดว้ ยนิสยั ทเี่ ป็ นมติ ร นิ่ง

ไมด่ ุรา้ ย ยามว่างกร็ บั งานแหต่ า่ งๆ เชน่ แหน่ าค
ซงึ่ ถอื ไดว้ า่ เป็ นชา้ งทไี่ ดอ้ นิสงคใ์ นการทานุบารงุ พระพุทธศาสนาอกี ประการหนึ่งดว้



นอกจากนีย้ งั รบั นักท่องเทยี่ วทเี่ ดนิ ทางมาเทยี่ วชมในแคมป์ ชา้ ง
การแสดงความสามารถของพลายป๋ อง ทมี่ คี วามสามารถมากมาย
รวมถงึ การถ่ายแบบกบั นางแบบและนักทอ่ งเทยี่ วทเี่ ดนิ ทางมาเทยี่ วชม

สมั ผสั กบั ชา้ งพลายป๋ องดว้ ย พลายป๋ องยงั ไดร้ บั สมญาว่าเป็ นชา้ งคขู่ วญั กบั บวั ขาว
บญั ชาเมฆ นกั มวยชอื่ ดงั ของโลก ทรี่ ว่ มกจิ กรรมต่างๆกบั บวั ขาวเป็ นประจา

เกยี รตปิ ระวตั อิ นั สงู สดุ ของพลายป๋ อง ไดเ้ บนสู่เสน้ ทางนักแสดง โดยหนังไทย
สงิ คโปรเ์รอื่ งแรก จากภาพยนตรช์ อื่ “ป๊ อปอาย”
ทาใหเ้ ป็ นทรี่ จู ้ กั อกี ชอื่ หนึ่งของพลายป๋ อง และทสี่ าคญั หนงั ป๊ อปอาย

ยงั ไดร้ บั รางวลั The World Cinema Dramatic Special Jury Award "
ซงึ่ มอบใหก้ บั หนังทมี่ คี วามโดดเด่นดา้ นบท ภาพยนตร ์ ในเทศกาลหนังซนั แดนซ ์
(เทศกาลหนงั อสิ ระทยี่ งิ่ ใหญท่ สี่ ดุ ในอเมรกิ า)
และถอื เป็ นหนงั ไทยสงิ คโปรเ์รอื่ งแรกทชี่ นะรางวลั นี้

วดั สามโค บ.สามโค ต.ปราสาททอง

ชมวดั สามโค บ.สามโค ต.ปราสาททอง ชมศิลปะไมเ้ สมือนจริง
ล ว ด ล า ย ปู น ป้ั น
ภาพนูนตา่ ทบี่ อกเล่าเรอื่ งราวพุทธประวตั ใิ นอโุ บสถ #วดั สามโค ต.ปราส
า ท ท อ ง อ . เ ข ว า สิ น ริ น ท ร ์ จ . สุ ริ น ท ร ์
ความงามทลี่ งตวั บนศาสนสถานศูนยร์ วมจติ ใจของชมุ ชน

วั ด วิ วิ ต ว น า ร า ม

ชมสถาปัตยกรรมลายปนู ป้ันอโุ บสถวดั ววิ ติ วนาราม บา้ นบงึ ต.บงึ

อ.เขวาสนิ รนิ ทร ์


Click to View FlipBook Version