CNOUMRMSUINNGIT2Y
WANIDA BAIYA ID 6231901049
หน้าลิขสิทธิ์
ชื่อหนังสือ Community Nursing2
จัดทำโดย Wnd
พิมพ์ครั้งที่ 1 1 ธ.ค 2564
ห้ามมิให้ผู้ใดนำส่วนใดส่วนหนึ่ งหรือทั้งหมดของ
หนั งสือเล่มนี้ ไปคัดลอกโดยขอสงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย
คำ นำ
รายงานเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่ งของวิชา
Community Nursing2 รหัสวิชา 1901321 เพื่อให้ได้
ศึกษาหาความรู้ในเรื่องพัฒนาการครอบครัวและ
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การดูแลสุขภาพครอบครัว
ตามระยะพัฒนาการ หลักการเยี่ยมและส่งเสริมสุข
ภาพครอบครัวและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็น
ประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้
จะเป็นประโยชน์ กับผู้อ่านที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้ อยู่
หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ
ขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
วนิดา ใบยา
ผู้จัดทำ
สารบัญ
หัวข้อที่ 4 พัฒนาการครอบครัวและแนวคิด
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
หัวข้อที่ 5 การดูแลสุขภาพครอบครัวตามระยะ
พัฒนาการ
หัวข้อที่ 6 หลักการเยี่ยมและส่งเสริมสุขภาพ
ครอบครัว
Community Nursing2
4-5
พัฒนาการครอบครัวและ
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีการพยาบาลครอบครัว
การพยาบาลครอบครัว เป็นการดูแลครอบครัวโดยการบูรณาการทฤษฎีที่
เกี่ยวข้อง 3 กลุ่มทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีครอบครัวตามมุมมองสังคมศาสตร์(Family
Social Science Theories) ทฤษฎีครอบครัวบ าบัด(Family Therapy Theories)
และทฤษฎีทางการพยาบาล (Nursing Conceptual Frameworks) มาเป็น
แนวทางในการดูแลครอบครัว ทฤษฎีครอบครัวบ าบัดมุ่งเน้นที่การปัญหาหรือ
ความผิดปกติของของครอบครัวเป็นหลักโดยอธิบายครอบครัวตามพลวัตของ
ครอบครัว ในขณะที่ทฤษฎีครอบครัวตามมุมมองสังคมศาสตร์เป็นทฤษฎีที่ให้
ข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของครอบครัวได้ดีที่สุด ตัวอย่างของทฤษฎี
ครอบครัวตามมุมมองสังคมศาสตร์ ได้แก่ ทฤษฎีระยะพัฒนาการครอบครัวหรือ
วงจรชีวิต (Family Development Theory หรือLife Cycle Theory) ทฤษฎีระบบ
ครอบครัว (Family Systems Theory) ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (Structural
Functional Theory) ทฤษฎีระบบชีวนิเวศวิทยา (Bioecological Systems
Theory) และทฤษฎีวิกฤติหรือรูปแบบ ABCX (ABCX Model of Family Stress
and Coping)
ทฤษฎีครอบครัวตามมุมมองสั งคมศาสตร์
ทฤษฎีครอบครัวตามมุมมองสังคมศาสตร์เป็นทฤษฎีที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์
ของครอบครัวได้ดีที่สุด ช่วยในการอธิบายครอบครัวตามการทำหน้าที่และพลวัตของ
ครอบครัว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการให้การพยาบาลทั้งครอบครัวปกติและครอบครัวที่
มีปัญหาสุขภาพ ทฤษฎีครอบครัวตามมุมมองสังคมศาสตร์ได้แก่ ทฤษฎีระยะพัฒนาการ
ครอบครัวหรือวงจรชีวิต (Family Development Theory หรือ Life CycleTheory) ทฤษฎีระบบ
ครอบครัว (Family Systems Theory) ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (StructuralFunctional Theory)
ทฤษฎีระบบชีวนิเวศวิทยา (Bioecological Systems Theory) และทฤษฎีวิกฤติหรือรูปแบบ
ABCX (ABCX Model of Family Stress and Coping)
I. ทฤษฎีระยะพัฒนํากํารครอบครัวหรือวงจรชีวิต (Family Development Theory หรือ
Life CycleTheory)
ทฤษฎีระยะพัฒนาการครอบครัวหรือวงจรชีวิต พัฒนาโดย ดูวาลล์ (Duvall) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.
1957สาระสำคัญของทฤษฎีนี้คือ ครอบครัวเป็นระบบกึ่งปิดที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของบุคคล ซึ่ง
หมายถึง ระบบครอบครัวมิได้แยกออกจากสังคมโดยเด็ดขาด ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่ง
แวดล้อมภายนอกระบบตลอดเวลา
แต่ปฏิสัมพันธ์มิได้เป็นไปอย่างมีอิสระ สมาชิกภายนอกครอบครัวมิได้รับการยอมรับให้เข้า-
ออกในระบบครอบครัวได้เท่ากับสมาชิกในครอบครัว ที่เริ่มจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งตาม
ระยะเวลาที่เหมาะสม สิ่งที่ตามมาคือครอบครัวถูกคาดหวังจากสังคมให้ปฏิบัติภาระตามระยะ
ต่าง ๆ ของครอบครัว ภารกิจนี้เรียกว่า พัฒนกิจ (developmental tasks)
ระยะพัฒนาการครอบครัว
ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้นชีวิตครอบครัว (beginning families / marital stage) หรือเริ่มชีวิตคู่
นับแต่เริ่มสมรสจนกระทั่งตั้งครรภ์บุตรคนแรก ในระยะนี้เป็นการร่วมกันสร้างฐานะและ
ปรับตัว
ระยะที่ 2 ระยะเริ่มเลี้ยงดูบุตร (early childbearing families) เริ่มตั้งแต่มีบุตรคนแรกจนบุตร
อายุ30 เดือน หรือ 2 ขวบครึ่ง ระยะนี้ครอบครัวมีภาระในการดูแลบุตรวัยทารก และปรับตัว
ต่อบทบาทบิดา มารดา
ระยะที่ 3 ระยะมีบุตรวัยก่อนเรียน (families with preschool children) ระยะนี้เป็นช่วงบุตร
คนแรกอายุ 30 เดือน หรือ 2 ขวบครึ่ง ถึง 6 ปี ระยะนี้ครอบครัวมีภาระในการดูแลบุตรวัย
ก่อน 4 เรียน เตรียมความพร้อมทางสังคมให้บุตรก่อนเข้าโรงเรียน ขณะเดียวกันอาจต้อง
เริ่มดูแลบุตรคนต่อไป
ระยะที่ 4 ระยะมีบุตรวัยเรียน (families with school children) ระยะนี้บุตรคนแรกอายุ 6-13
ปีครอบครัวมีภาระในการจัดหาสิ่งเอื้ออ านวยต่อการเรียนรู้ของบุตร ดูแลให้มีการพัฒนา
ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และเป็นบุคคลที่มีเหตุผล ขณะเดียวกันอาจต้องดูแลบุตร
คนต่อไป
ระยะที่ 5 ระยะมีบุตรวัยรุ่น (families with teenage) บุตรคนแรกอายุ 13-20 ปี ระยะนี้เน้น
การดูแล เพื่อชี้แนะการวางตัว ค่านิยมของสังคม และการด าเนินชีวิตประจ าวัน
ระยะที่ 6 ระยะที่บุตรแยกออกไปสร้ํางครอบครัวใหม่ (families launching young adults)
ตั้งแต่บุตรคนแรกจนถึงบุตรคนสุดท้ายแยกจากพ่อแม่ครอบครัวไป อาจไปทำงาน ไปศึกษา
หรือแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่จนกระทั่งเกิด “รังร้าง” (emptynest)
ระยะที่ 7 ระยะครอบครัววัยกลํางคน (middle aged parents/ families of middle years)
บุตรแยกครอบครัวออกไปหมดแล้ว เป็นระยะครอบครัวที่เป็น “รังร้าง” มีเพียงสามีภรรยา
อยู่ด้วยกันเพียงสองคน
ระยะที่ 8 ระยะครอบครัววัยสูงอํายุ (middle in retirement and old age/ aging families)
เริ่มจากระยะเกษียณจนถึงการสูญเสียชีวิตของคู่สามีภรรยา นับเป็นจุดสุดท้ายของ
ครอบครัว
พัฒนกิจของครอบครัวในแต่ละระยะพัฒนาการตามทฤษฎีของ Duvall
ระยะเริ่มต้นชีวิตครอบครัว (beginning families /marital stage)
- การสร้างความพึงพอใจ รักใครซึ่งกันและกันระหว่างคู่สมรส
- การสร้างสัมพันธภาพกับเครือญาติทั้งสองฝ่าย
- การวางแผนครอบครัว การก าหนดระยะเวลาที่จะมีบุตร และการเตรียมเป็นบิดา มารดา
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- รับฟังคำบอกเล่าของสมาชิกภายในครอบครัวด้วยความเห็นอกเห็นใจและจริงใจ
- ร่วมกับครอบครัวค้นหาปัญหา พิจารณาหาสาเหตุและหาทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
- แนะนำให้รับบริการด้านการปรึกษาหารือแก่คู่สมรส
ระยะเริ่มเลี้ยงดูบุตร(early childbearingfamilies)
- การปรับบทบาท การเตรียมตัวเป็นบิดามารดา
- การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบิดามารดาและบุตร บิดามารดา
- จำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมการแสดงออกของบุตร
- ดำรงไว้ซึ่งการสื่อสารและสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคู่สามีภรรยา
- จัดแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกในครอบครัวเพื่อให้สามารถเลี้ยงดูบุตร
และตอบสนองความต้องการของบุตร
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
-ให้ความรู้แก่ครอบครัวเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของมารดาและการเลี้ยงดูทารก
- จัดให้มีบริการดูแลสุขภาพอนามัยแก่มารดาและทารกรวมทั้งการวางแผน
ครอบครัวในชุมชน
- ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการให้นม อาหารเสริม
ระยะมีบุตรวัยก่อนเรียน (families with preschool children)
- อบรมสั่งสอนบุตร ให้บุตรได้มีการเรียนรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบ
สังคมสิ่งแวดล้อมภายนอกครอบครัว ตลอดจนเป็นแบบอย่างทางเพศทั้งชายและหญิงให้กับบุตร
- กรณีที่มีบุตรคนที่สองในระยะนี้ ครอบครัวจะต้องปรับระบบแบบแผนการดำเนินชีวิต ต้องสามารถ
ตอบสนองความต้องการของบุตรคนแรกและเตรียมตัวบุตรคนแรกไม่ให้เกิดปฏิกิริยาอิจฉาน้ อง
(sibling rivalry)
- บิดามารดาควรเตรียมบุตรให้พร้อมก่อนเข้าโรงเรียน โดยค่อย ๆสร้างความคุ้นเคยต่อสิ่งแวดล้อม
ใหม่ๆ ให้กับเด็ก รวมทั้งการสอนระเบียบวินัย
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดเชื้อและการพยาบาลดูแล
- แนะนำเรื่องอาหารและการรับภูมิคุ้มกันตามวัย
- ให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวและแนะน าให้ไปรับบริการที่
เหมาะสม
ระยะมีบุตรวัยเรียน (families with school children)
- การอบรมสั่งสอนบุตร และส่งเสริมบุตรในการศึกษา การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน
- คงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคู่สมรส (บิดามารดา)
- ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- แนะนำและให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรค การปฏิบัติตัวเมื่อเจ็บป่วยโภชนาการ
- แนะนำให้บิดามารดาเตรียมตัวบุตรให้พร้อมส าหรับการเข้าเรียนทั้งร่างกายและจิตใจ
- แนะนำให้บิดามารดาให้ความสนใจช่วยเหลือเรื่องการเรียนของบุตรและส่งเสริมในสิ่งที่
บุตรมีความถนั ด
ระยะมีบุตรวัยรุ่น (families with teenage)
- การสร้างดุลยภาพหรือความสมดุลระหว่างความเป็นอิสระและความรับผิดชอบของวัยรุ่นเพื่อ
เตรียมเป็นผู้ใหญ่ตอนต้น
- อบรมบทบาทที่เหมาะสมในสังคม ถ่ายทอดแนวทางในการด าเนิน
ชีวิตและจริยธรรมแก่บุตรวัยรุ่น
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- การให้ความรู้แก่เด็กวัยรุ่นเกี่ยวกับเพศศึกษา และการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
- จัดบริการตรวจสุขภาพเพื่อให้มีการรักษาแต่เริ่มแรก
- จัดบริการให้ค าปรึกษาแก่ครอบครัวและบุคคลวัยรุ่น
ระยะที่บุตรแยกออกไปสร้างครอบครัวใหม่ (families launching young adults)
- การปรับตัวของบิดามารดาเมื่อบุตรเริ่มแยกครอบครัวใหม่
- คงไว้ซึ่งสัมพันธภาพและการสื่อสารที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว
ถึงแม้จะมีการแยกไปมีครอบครัวใหม่
ระยะครอบครัววัยกลางคน(middle aged parents/families of middle years)
- การส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง รวมทั้งการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
- คงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะ
ระหว่างบิดา มารดาที่สูงวัยกับบุตรที่แยกไปมีครอบครัวใหม่
- วางแผนการดำเนินชีวิตหลังเกษียณอายุการทำงาน
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- การดูแลสุขภาพโดยการจัดบริการตรวจสุขภาพหรือส่งต่อให้ครอบครัวได้รับ
บริการตรวจสุขภาพในสถานบริการอื่น
- แนะนำครอบครัวเกี่ยวกับการพักผ่อน การออกก าลังกาย การรับประทาน
อาหารที่มีประโยชน์ และการใช้เวลาว่าง
- จัดบริการให้คำปรึกษาหรือเพื่อรับฟังปัญหาและร่วมหาทางแก้ไข
ระยะครอบครัววัยสูงอายุ(middle in retirementand old age/ agingfamilies)
- ปรับความพึงพอใจต่อสภาพที่อยู่และสิ่งแวดล้อม
- ปรับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่ลดลง
- คงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีกับคู่สมรส
- การปรับตัวเผชิญการสูญเสียได้อย่างเหมาะสม กรณีคู่สมรสเสียชีวิต
- คงไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีกับสมาชิกครอบครัวหลายรุ่น
แนวทางการดูแลครอบครัวตามระยะพัฒนาการ
- จัดบริการดูแลสุขภาพแก่ผู้สูงอายุทั้งในสถานบริการและที่บ้าน
- ให้ค าแนะน าในการจัดสภาพบ้านเรือนให้ถูกสุขลักษณะ ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและโจรกรรม
- ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร การพักผ่อน และการออกกำลังกายที่เหมาะสมกัสภาพร่างกาย
- แนะนำให้บุตรหลานให้การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุตามความสามารถ
- จัดบริการให้คำปรึกษาเพื่อรับฟังปัญหาและร่วมหาทางแก้ไข
II. เทพิฤ่ษมฎีหรัะวบบเรื(่Sอysงteยm่อThยeory)
ทฤษฎีระบบเป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากในการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคม
สามารถใช้ในการประเมินครอบครัวและให้ข้อเสนอแนะว่าจะระบุแจกแจงปัญหาครอบครัวได้
อย่างไร ทฤษฎีนี้นำเสนอโดย von Bertalanffy นักชีววิทยา ในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเสนอแนวคิด
เกี่ยวกับกฎสากลที่จะเป็นโครงสร้างร่วมสำหรับระบบต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ศาสตร์ต่าง ๆ
องค์ประกอบของระบบ
สิ่ งนำเข้า (Input) หมายถึง วัตถุดิบที่ให้พลังงาน หรือช่วยใน
การทำงานของระบบ เช่น เงิน แรงงาน
กระบวนการ (Process) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเปลี่ยน
วัตถุดิบหรือสิ่งนำเข้าอย่างเป็นรูปธรรม
โดยระบบของครอบครัวเองหรือโดยสิ่งแวดล้อม เช่น
กิจกรรมของครอบครัวและสมาชิกครอบครัว และภาวะที่เผชิญ
ปัญหาต่าง ๆ
ผลผลิต (Output) เป็นผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งนำเข้าและ
กระบวนการ เช่น ผลการตรวจคัดกรองโรค
ภาวะสุขภาพของสมาชิกครอบครัว ค่าคะแนนที่ได้จากแบบวัด
ต่าง ๆ
การประเมินผล (Evaluation) เป็นการให้ความหมาย การวัด
ความสำเร็จหรือล้มเหลวของผลผลิตจาก
กระบวนการ สามารถประเมินได้หลายแบบ เช่น ผลการ
ประเมินเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของแบบวัดต่าง ๆ ผลการประเมิน
ภาวะโภชนาการ
การส่งข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เป็นกระบวนการในการ
ควบคุมและประเมินการทำงานของระบบ
ช่วยตรวจสอบความผิดพลาด ปรับปรุงสิ่งนำเข้าและ
กระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ชนิ ดของระบบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ระบบเปิด หมายถึงระบบที่มีการแลกเปลี่ยน
สสาร พลังงาน หรือข่าวสาร กับสิ่งแวดล้อม
ตลอดเวลา
2. ระบบปิด เป็นระบบที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่
จำเป็นต้องพึ่งพาหรือแลกเปลี่ยนสสาร
พลังงาน ข่าวสารกับสิ่งแวดล้อม
ระบบครอบครัว
1. ระบบคู่ครอง (spouse system) เริ่มเมื่อชายหญิง แต่งงานกันมีความสัมพันธ์ต่อกันฉันท์สามีภรรยา
และเป็นบิดามารดาของบุตร
2. ระบบบิดามารดา - บุตร (parent child system) ประกอบด้วย บิดา มารดา และบุตร ในระบบย่อย
บิดา มารดาจะทำหน้าที่อบรมเลี้ยงดูบุตร จึงต้องมีบทบาทของบิดามารดาและบุตรอยู่ในระบบย่อย
3. ระบบพี่น้อง (sibling system) ระบบย่อยนี้มีลักษณะความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกัน
4. ระบบย่อยอื่น ๆ (other subsystem) ได้แก่ระบบย่อยอื่นที่อยู่ในครอบครัว ได้แก่ ระบบเครือญาติ
ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้า หลาน
คุณสมบัติของระบบครอบครัว
1. ครอบครัวเป็นระบบเปิดทางสังคม
วัฒนธรรม มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ติดต่อสื่อสาร
2. ครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงและมีการ
พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านวงจรชีวิตแต่ละช่วง
3. สมาชิกครอบครัว มีความต้องการพึ่งพาซึ่ง
กันและกันในระดับใดระดับหนึ่ ง
4. ครอบครัวมีขอบเขตที่มีลักษณะเปิดหรือปิด
มีการแยกครอบครัวออกมาเป็นหน่ วยเฉพาะ
ขอบเขต
5. ครอบครัวเป็นกลุ่มสมาชิกที่มีภารกิจร่วมกัน
เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกและ
สังคมภายนอก
6. ระบบครอบครัวมีความสามารถที่จะ
เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีสิ่งเร้าเกิดขึ้นทั้งจาก
ภายในและภายนอกครอบครัว และการ
เปลี่ยนแปลงในครอบครัวมีผลกระทบต่อระบบ
ครอบครัวทั้งหมด
แนวคิดที่ 1 ระบบครอบครัวเป็นส่วนหนึ่ งของระบบใหญ่ (supra system) และประกอบด้วย
หลํายระบบย่อย ครอบครัวประกอบด้วยระบบย่อยหลายระบบ เช่น บิดามารดา-บุตร สามี-ภรรยา
และระบบย่อยพี่น้อง สมาชิกในครอบครัวเป็นองค์ประกอบของระบบย่อยต่าง ๆ
แนวคิดที่ 2 ครอบครัวทั้งระบบเป็นมากกว่าผลรวมของระบบย่อย
การศึกษาสมาชิกแต่ละคนไม่ใช่การศึกษาครอบครัวโดยรวม การสังเกตปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สมาชิกในครอบครัวจะช่วยให้เข้าใจหน้ าที่ของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน
แนวคิดที่ 3 กํารเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสมาชิกคนใดคนหนึ่ งจะมีผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่น
แนวคิดนี้ทำให้เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดในระบบครอบครัว มีประโยชน์สำหรับพยาบาลที่พิจารณา
ถึงผลกระทบของความเจ็บป่วยต่อครอบครัว
แนวคิดที่ 4 ครอบครัวสํามํารถสร้างความสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงและความมั่นคง
Bertalanffy ได้เสนอแนวคิดว่า ครอบครัวสามารถคงไว้ซึ่งความสมดุลเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิด
ขึ้น
แนวคิดที่ 5 พฤติกรรมของสมําชิกจะเข้ําใจได้ดีที่สุดในแนวคิดควํามเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน
พฤติกรรมของแต่ละบุคคลจะมีผลและมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
เพิ่มหัวเรื่องIII. ทฤษฎีโครงสร้ํางและหน้ําที่
(Structural Functional Theory)
ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่เป็นทฤษฎีหนึ่งที่นิยมใช้ในการศึกษาครอบครัว โดยให้ความ
สำคัญต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกครอบครัว ทฤษฎี
นี้มีพื้นฐานมาจากสังคมวิทยา จิตวิทยา และมานุษยวิทยา
แนวคิดของโครงสร้ําง (Concept of structure)
มิติที่ 1 โครงสร้ํางบทบาท (role structure)
บทบาทเป็นพฤติกรรมที่บุคคลประพฤติตามสถานภาพที่ตนดำรงอยู่ หรือมีบทบาทตาม
ตำแหน่งหน้าที่ (role position) เช่น สามี-บิดา ภรรยา-มารดา บุตรชาย-พี่ชาย อย่างไรก็ดี
ตำแหน่ งหน้ าที่และบทบาทในครอบครัวจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
มิติที่ 2 ระบบค่ํานิ ยม (value systems) เป็นระบบความคิดความเชื่อที่เกิดจากการเรียนรู้ใน
ครอบครัว อาจมีอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกครอบครัว ครอบครัวในฐานะหน่วยของ
สังคมจะพัฒนาระบบค่านิยม ความเชื่อและทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ
มิติที่ 3 กระบวนการสื่อสําร (communication patterns processes) แสดงถึงความสามารถ
ในการแสดงออกของสมาชิกแต่ละคนที่จะสื่อสารให้ผู้อื่นในครอบครัวรับรู้ถึงความรู้สึก ความ
ต้องการ ความปรารถนา ความคิดเห็น ค่านิยม อารมณ์
มิติที่ 4 โครงสร้ํางอ าํ นํ าจ (power systems) หมายถึงการที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งสามารถที่
จะควบคุมพฤติกรรมสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว
แนวคิดของหน้ําที่ (Concept of function)
ประการที่ 1 หน้ าที่ด้ํานความรักความเอาใจใส่แก่ครอบครัว (affective function)
เป็นการตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจ แสดงออกโดยการให้ความรัก
ความอบอุ่น เอาใจใส่ต่อสมาชิกในครอบครัว
ประการที่ 2 หน้ าที่ในการอบรมเลี้ยงดู (socialization function) หมายถึง
กระบวนการพัฒนาแบบแผนที่ต่อเนื่ องตลอดชีวิตของสมาชิก
ประการที่ 3 หน้ าที่ในกํารผลิตสมําชิกใหม่ (reproductive function) ถือว่าเป็น
หน้าที่การสืบเผ่าพันธุ์เชื้อสายของมนุษยชาติ เพื่อความอยู่รอดหรือดำรงอยู่ของสังคม
ประการที่ 4 หน้ าที่ในด้ํานเศรษฐกิจ (economic function) เป็นหน้าที่จำเป็นที่ทุก
ครอบครัวต้องปฏิบัติเพราะต้องมีการจัดหารายได้ที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่าย หาสิ่งจำเป็น
ทางกายภาพให้แก่ครอบครัว
ประการที่ 5 หน้ าที่ในกํารดูแลสุขภําพ (health care function) และจัดหาสิ่งจำเป็น
พื้นฐานทางกายภาพสำหรับสมาชิก คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
IV. ทฤษฎีวิกฤติหรือ รูปแบบ ABCX (ABCX
Model of Family Stress)
สาเหตุของภาวะวิกฤติของครอบครัว เกิดจาก 2 สาเหตุ ดังนี้
1. ภาวะวิกฤติจากการเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีการ
เปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
2. ภาวะวิกฤตจํากเหตุกํารณ์เป็นภาวะวิกฤติที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า
สามารถแบ่งสาเหตุของภาวะวิกฤติจากเหตุการณ์ได้ 3 ประเภทคือ
1) เกิดจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ เช่น บุคคลในครอบครัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง
2) เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น อุบัติภัย อุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัย เป็นต้น
3) เกิดจากภาวะด้านจิตใจและสังคม เช่น ผู้มีรายได้หลักของครอบครัวต้องตกงาน การสูญเสีย
บุคคลในครอบครัว หรือการหย่าร้าง เป็นต้น
ทฤษฎีวิกฤติหรือ รูปแบบ ABCX
ทฤษฎีวิกฤติหรือ รูปแบบ ABCX พัฒนาจากแนวคิดของฮิลล์ (Hill, 1949) เป็น
ทฤษฎีที่มุ่งเน้ นความสัมพันธ์ของปัจจัยในครอบครัวที่เกิดภาวะวิกฤติมอง
ครอบครัวเป็นระบบ โดยมีแนวคิดว่าทุกครอบครัวต่างประสบปัญหาที่แตก
ต่างกัน ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกครอบครัวจนสามารถ
ปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ด้วยการประสานแหล่งประโยชน์ การประเมิน
ปัญหา กลยุทธ์การรับมือปัญหา และการแก้ไขปัญหาของครอบครัว (Hanson,
Gedaly-Duff, & Kaakinen, 2005)
1. ระยะการรับมือชั่วคราว (Adjustment phase)
เมื่อครอบครัวเผชิญกับการเสียสมดุลจากสถานการณ์วิกฤติใด ๆ
(stressor; A) เช่น การเจ็บป่วยรุนแรงของสมาชิกครอบครัว การหย่า
ร้าง หรือการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว การปรับตัวหรือการ
ปฏิกิริยาสนองตอบต่อสถานการณ์วิกฤติดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับทุนทาง
สังคมหรือแหล่งประโยชน์ของครอบครัว (resources; B)
2. ระยะการปรับตัวถาวร (Adaptation phase)
ครอบครัวที่เผชิญกับเหตุการณ์วิกฤติและผ่านระยะการรับมือชั่วคราว
ไปแล้ว แต่ครอบครัวยังไม่
สามารถแก้ไขเหตุการณ์ วิกฤตินั้ นได้หรือแก้ไขได้ไม่ดีหรือเหตุการณ์
นั้นก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น (aA) ส่งผลให้ครอบครัวเกิดภาวะ
วิกฤติต่อเนื่อง แหล่งประโยชน์และแหล่งสนับสนุนใหม่ (bB) ของ
ครอบครัวจะมีผลต่อ
ระดับความรุนแรงของภาวะวิกฤติและระดับความรุนแรงของผลกระทบ
ที่จะเกิดขึ้นทำให้ครอบครัวเกิดการรับรู้ใหม่และมีผลต่อระบบความเชื่อ
ของครอบครัว (cC) ต่อความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งช่วยเหลือกับปัจจัย
ความต้องทั้งหมดของครอบครัวที่เกิดขึ้นต่อสถานการณ์ วิกฤตินั้ น
V. ทฤษฎีชีวนิเวศวิทยา (Bioecological Systems theory)
องค์ประกอบของทฤษฎีชีวนิ เวศวิทยา
1. กระบวนการ (Process) คือ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นศูนย์กลางของระบบกับ
บริบทแวดล้อมรอบตัว กระบวนการนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาหรือปรับ
ตัวของบุคคลในอนาคต โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิดโดยตรงซึ่งเป็นกลไกหลักที่มี
อิทธิพลมากที่สุดต่อการพัฒนาหรือปรับตัวของแต่ละบุคคล
2. บุคคล (Person)
1) ด้านความต้องการ (demand characteristics) โรคข้อจำกัด หรือการพึ่งพิง
2) ทรัพยากรภายใน (bioecological resources) ประสบการณ์การเจ็บป่วย
ความรู้เกี่ยวกับโรค หรือทักษะการดูแลสุขภาพ
3) ด้านการแสดงออก (dispositions) คือพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกและสะท้อนว่า
บุคคลจะสร้างและคงไว้ซึ่งปฏิสัมพันธ์กับบริบทแวดล้อมอย่างไร
4) ด้านลักษณะทางประชากร (demographic characteristics) ซึ่งมีอิทธิพลต่อ พัฒนาการ
หรือการปรับตัวของบุคคล เช่น อายุ เพศ และเชื้อชาติเป็นต้น
3. บริบทแวดล้อม (Context)
1) ระบบเล็ก (micro-systems) เครอบครัว พี่น้อง เพื่อน โรงเรียน
2) ระบบกลาง (meso-systems) เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมในระบบเล็กด้วยกันเอง
3) ระบบภายนอก (exo-systems) เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอกหรือสถานที่ที่มีอิทธิพลต่อระบบ
กลางและระบบเล็ก แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับบุคคล
4) ระบบใหญ่ (macro-systems) สังคม เศรษฐกิจ เชื้อชาติศาสนา และวัฒนธรรม เป็นต้น
4. เวลา (Time) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ลักษณะ
บุคคล หรือบริบทสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมเอาช่วงเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมี 2 แบบดังนี้
1) การเปลี่ยนแปลงตามวิถีชีวิตปกติ เช่น การเข้าโรงเรียน การแต่งงาน และการเกษียณอายุ
2) การเปลี่ยนแปลงนอกเหนือวิถีชีวิตปกติหรือสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น การหย่าร้าง เจ็บป่วย
กะทันหัน หรือตาย
ทฤษฎีครอบครัวบำบัด (Family Therapy Theory)
ทฤษฎีการบำบัดครอบครัวเชิงโครงสร้าง
(Structural Family Therapy Theory)
- มองครอบครัวว่าเป็นระบบเปิด
-จุดเน้ นของทฤษฎีอยู่ที่ระบบครอบครัวทั้งหมด
ที่คำนึ งถึงระบบย่อยใน
ครอบครัว ขอบเขตของแต่ละบุคคล
การรวมกลุ่ม
ทฤษฎีการบำบัดครอบครัวเชิงระบบ
(Family SystemsTherapy Theory)
- มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
จากสมาชิกในครอบครัว
- สมาชิกในครอบครัวจะได้รับการสนับสนุนให้ทบทวน
ตนเองและครอบครัวเพื่อให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกและได้
ทำความเข้าใจตนเองและครอบครัวทั้งในอดีตและปัจจุบัน
- การบำบัดตามแนวคิดนี้ต้องการใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน
ทฤษฎีการให้คำปรึกษาครอบครัวเชิงการสื่ อสาร
(CommunicationFamily Therapy Theory)
- มองว่าครอบครัวเป็นระบบที่มีพฤติกรรมแบบโต้ตอบหรือเชื่อมโยงกัน และมี
กระบวนการสื่อสารกันภายในสมาชิกครอบครัว
- มุ่งเน้นปัจจุบันมากกว่าอดีต
- การบำบัดมุ่งเน้นไปที่การสร้างการสื่อสารที่ชัดเจน สอดคล้องกัน และการ
เปลี่ยนแปลงกฎของครอบครัว
ทฤษฎีการให้คำปรึกษาครอบครัวเชิงการสื่ อสาร
(Communication Family Therapy Theory):
แนวคิดซาเทียร์โมเดล (Satir model)
เป้าหมาย ของการให้คำปรึกษาครอบครัวเชิงการสื่อสารมุ่งหวังให้
บุคคลมีการเห็นคุณค่าในตนเองสูงขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงระบบ
ความสัมพันธ์ของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว
องค์ประกอบของซาเทียร์โมเดล
1. บุคคล Virginia Satir เชื่อว่า บุคคลมีธรรมชาติที่เหมือนกัน ทั้งนี้ความแตกต่าง
เกิดขึ้นจาก
การพัฒนาและเติบโของแต่ละบุคคล บุคคลต้องค้นพบข้อดีและการมองมุมบวก
ด้วยตนเอง
2. การปรับตัว บุคคลมีศักยภาพในการปรับตัวและพัฒนาตนเอง ปัญหาจะไม่ใช่
ปัญหา หากบุคคล
สามารถปรับตัวและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ การปรับตัวที่เกิดขึ้นแสดงถึงระดับ
การมีคุณค่าในตนเอง
3. ความเชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
- การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
- ความหวังเป็นสิ่งสำคัญที่จะน าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- การมองปัญหาของบุคคลให้เน้นมุมมองด้านบวกและมองความเป็นไปได้ในการ
- เปลี่ยนแปลงอย่างมีเป้าหมาย แทนการมองปัญหาหรือพยาธิสภาพ
- การเปลี่ยนแปลงและดูแลครอบครัวให้เริ่มที่บุคคลเข้าใจตัวตน (self) ซึ่งเป็นวิธี
การที่ดีที่สุด
ทฤษฎีการพยาบาลและรู ปแบบการสร้างเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้ อง
(Nursing theories and Health Promotion models)
ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม รู ปแบบจำลองข้ ามทฤษฎีหรือ
(Orem’s Self-Care Deficit ระยะการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม
Theory )
(Transtheoretical model)
1. บุคคล เป็นองค์รวมที่เป็นระบบเปิด และเป็น
พลวัตร มีศักยภาพในการ โดยแบ่งองค์ประกอบที่สำคัญของแบบ
กระทeอย่างจงใจและมีเป้าหมาย มีความ จำลอง
สามารถในการเรียนรู้เกี่ยวกับ ออกเป็น 4 องค์ประกอบ คือ
ตนเองและสามารถวางแผนระบบระเบียบ 1) ระยะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2. สิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่ไม่สามารถแยกจาก 2) กระบวนการเปลี่ยนแปลง
บุคคลได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล 3) ดุลยภาพในการตัดสินใจ
ตลอดเวลา สิ่งแวดล้อมอาจมีผลกระทบทั้งทาง 4) สมรรถนะของตนเอง
บวกและทางลบต่อชีวิต
สุขภาพ ของบุคคล ครอบครัว ชุมชน
3. สุขภาพ เป็นภาวะที่มีความสมบูรณ์ของโครง
สร้างการทeหน้ าที่ของกาย
และจิตสำหรับความผาสุก (well being)
4. การพยาบาล เป็นการสนับสนุนให้บุคคลมี
ความสามารถในการดูแล
ตนเอง เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ใน
การดำรงไว้ซึ่งการมีสุขภาพ
และความเป็นอยู่ที่ดี
รู ปแบบความเชื่อด้านสุขภาพ
(Health Belief
Model: HBM)
1. การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค
(Perceived susceptibility)
2. การรับรู้ความรุนแรงของโรค
(Perceived severity)
3. การรับรู้ถึงประโยชน์ของการปฏิบัติเพื่อ
ป้องกันโรค (Perceived
benefits of taking the health action)
4. การรับรู้ต่ออุปสรรคของการปฏิบัติ
พฤติกรรมสุขภาพ (Perceived
barriers to perform health action)
5. สิ่งชักน าให้เกิดการปฏิบัติ(Cues to
action)
6. การรับรู้สมรรถนะของตนเอง
(Perceived self-efficacy)
ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถ
ตนเองหรือการรับรู้สมรรถนะ
แห่งตน
(Self-Efficacy theory)
1. การมีประสบการณ์ความส าเร็จของ
ตนเอง (enactive mastery
experience)
2. การสังเกตประสบการณ์ของผู้อื่น
(vicarious experience)
3. การได้รับค าพูดชักจูงในขอบเขตของ
ความเป็นจริงเพื่อให้เกิดความเชื่อ
ในความสามารถของตนเอง (verbal
persuasion)
4) การส่งเสริมสภาวะทางสรีระและอารมณ์
(physiological and
affective states)
Community Nursing2
6
หลักการเยี่ยมและ
ส่ งเสริมสุขภาพครอบครัว
ความหมายและวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมครอบครัว
การพยาบาลครอบครัวหรือการเยี่ยมครอบครัวจึงหมายถึง
การให้บริการด้านสุขภาพเชิงรุกใน
การดูแลสุขภาพของบุคคลและครอบครัวในทุกกลุ่มอายุและ
สถานะสุขภาพ โดยการทํางานร่วมกันระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพ
เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถดูแลตนเองได้เมื่อเกิดการเจ็บป่วย
ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาได้อย่างถูกต้อง และดํารงไว้ซึ่งภาวะ
สุขภาพดีตามสภาพของแต่ละบุคคลและครอบครัว
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมครอบครัว
- เพื่อศึ กษาและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
แล้วนํ ามาพิจารณาวางแผนช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมกับสภาพปัญหา
- เพื่อพัฒนาศั กยภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชนในการดูแล
ตนเอง จากการได้รับความรู้คําแนะนํา และการปฏิบัติตัวเมื่อเจ็บป่วย
โดยบุคลากรทีมสุขภาพ
- เพื่อลดอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายของประชากรในชุมชน
จากการให้การดูแลอย่างต่อเนื่ องและการให้คําแนะนํ าประชาชนให้
สามารถพึ่งตนเองเมื่อเกิดปัญหาสุขภาพได้
-. เพื่อปรับปรุงสิ่ งแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของ
สมาชิกในครอบครัว
- เพื่พัฒนาบริการสาธารณสุขที่มุ่งเน้นให้บริการเชิงรุกไปสู่ครอบครัว
และชุมชนอย่างมีระบบ
การแบ่งกลุ่มภาวะสุขภาพครอบครัว
1) กลุ่มภาวะสุขภาพดี (Wellness condition) คือ
ภาวะที่บุคคลหรือครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง มี
พฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม
2) กลุ่มภาวะสุขภาพคุกคาม (Health threat) คือภาวะที่
บุคคลหรือครอบครัวเสี่ ยงต่อการเกิดปัญหา
สุขภาพหรือความเจ็บป่วยต่าง ๆ
3) กลุ่มภาวะสุขภาพบกพร่อง (Health deficit) คือ
ภาวะที่ไม่ปกติทั้งทางร่างกาย และจิตใจของบุคคล
หรือครอบครัว
4) กลุ่มภาวะวิกฤต (Crisis situation) คือภาวะที่บุคคล
หรือครอบครัวเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ
ต้องการปรับตัว
หลักการจัดลําดับการเยี่ยมครอบครัว
หลักความเร่งด่วน หมายถึง ความต้องการหรือความจําเป็นที่
ต้องให้การช่วยเหลือโดยเร็วมิฉะนั้ นจะเกิดผลเสียแก่ผู้รับ
บริการหรือครอบครัว
หลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หมายถึง การป้องกัน
การแพร่กระจายเชื้อจากบุคคลหนึ่ งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ ง หรือ
จากครอบครัวหนึ่ งไปสู่อีกครอบครัวหนึ่ ง
การแบ่งระยะการเยี่ยมครอบครัว ในการเยี่ยม
ครอบครัวสามารถแบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะก่อนเยี่ยมครอบครัว
การเตรียมข้อมูล สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม ขนบธรรมเนี ยม
ประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
ข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย ข้อมูลด้านประชากรของสมาชิกภายใน
ครอบครัว ประเภทของครอบครัว
การเตรียมตัวผู้เยี่ยม
- การเตรียมความรู้ จากการศึ กษาข้อมูลต่าง ๆ ของครอบ
ครัวจะทําให้ทราบปัญหาเบื้องต้นและการ
วางแผนให้การพยาบาล
- การเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย ได้แก่ การแต่งกายที่
เหมาะสมและสุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ
การวางตัวที่ดี
การเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่จําเป็นสําหรับ
รายเยี่ยมหรือครอบครัวแต่ละครอบครัว
และสมุดบันทึกเพื่อทําการบันทึกข้อมูลของครอบครัวโดย
ย่อ แล้วจึงนํามาบันทึกในแฟ้มครอบครัวภายหลัง
การจัดลําดับการเยี่ยม
การติดต่อนัดหมายกับครอบครัวที่จะเข้าเยี่ยม รวมถึง
ประสานงานกับผู้นํ าชุมชนและหน่ วยงานที่
ระยะเยี่ยมครอบครัว
สร้างสัมพันธภาพกับครอบครัว การสร้าง
สั มพันธภาพจะทําให้ครอบครัวเกิดความไว้
วางใจและให้
ความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ โดยการแนะนํ าตัว
แจ้งวัตถุประสงค์ของการเยี่ยม รวมถึงการแสดง
กิริยาต่าง ๆ
ด้วยความอ่อนน้ อมและยอมรับถึงความแตกต่าง
ของแต่ละครอบครัว
เก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เนื่ องจากข้อมูลของ
ครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
พยาบาลจึง
ต้องทําการเก็บรวบรวมข้อมูลของครอบครัวทุก
ครั้งที่เยี่ยม โดยใช้การสังเกต การซักถาม และการ
ประเมิน
สุขภาพตามความเหมาะสม
การร่วมกับครอบครัวในการระบุข้อวินิ จฉัย
ทางการพยาบาล วางแผนการพยาบาล และ
ลงมือการ
ปฏิบัติการพยาบาล
ระยะหลังเยี่ยมครอบครัว
ทําความสะอาดอุปกรณ์
และตรวจเช็คความ
เรียบร้อยของกระเป๋า
เยี่ยม เพื่อความสะดวก
พร้อมใช้
สํ าหรับการเยี่ยมครั้งต่อไป
บันทึกรายงานการ
เยี่ยมครอบครัว
เครื่องมือและอุปกรณ์ การเยี่ยมครอบครัว
กระเป๋าเยี่ยมบ้าน ในกระเป๋าเยี่ยมบ้านประกอบด้วย
อุปกรณ์ ดังต่อไปนี้ อุปกรณ์ สําหรับล้างมือ
อาจเป็นสบู่หรือน้ํายาทําความสะอาดมือ 75% Alcohol
ผ้าเช็ดมือ ชามรูปไต อุปกรณ์สําหรับทําแผล และ
อุปกรณ์สําหรับตรวจร่างกายเบื้องต้น
เครื่องมือที่ต้องเตรียมเฉพาะรายเยี่ยม อุปกรณ์และ
แบบบันทึกการประเมินพัฒนาการเด็ก (Denver
Developmental Screening test record) แบบประเมิน
การเจริญเติบโต แบบประเมินความสามารถในการ
ดําเนินชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุ (Barthel ADL index)
แบบประเมินความเครียด แบบประเมินความเสี่ยง
ต่อการหกล้ม
อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องชั่งน้ํ าหนั ก หรือสื่อการสอนต่าง
ๆ เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวเข้าใจ
และสามารถปฏิบัติตามคําแนะนํ าในการดูแลสุขภาพได้ถูก
ต้อง เช่น แบบจําลองฟัน โปสเตอร์หรือคลิปวิดีโอ
สาธิตวิธีการออกกําลังกาย
กระบวนการพยาบาลในการเยี่ยมครอบครัว
การประเมินครอบครัว
ข้อมูลทั่วไปหรือข้อมูลพื้นฐานของครอบครัว เช่น ประเภทของครอบครัว อายุ ระดับ
การศึกษา อาชีพ การนั บถือศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม และภาวะสุขภาพของ
สมาชิกในครอบครัว
ข้อมูลทางด้านสังคมวัฒนธรรม ได้แก่ ค่านิ ยมและความเชื่อของครอบครัว (Family
values andbeliefs) หรือการรับรู้ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ความเจ็บป่วย หรือพฤติกรรม
แสวงหาความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพ
ข้อมูลสภาพแวดล้อม เป็นการประเมินสภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพ จิตสังคมและ
เศรษฐกิจสภาพแวดล้อมทางด้านกายภาพของบ้าน จะรวมความปลอดภัยภายในบ้าน
จากปัจจัยอันตราย
โครงสร้างบทบาทของสมาชิก ระบบค่านิ ยมความเชื่อของครอบครัว แบบแผนการ
สื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งโครงสร้างอํานาจบุคคลที่มีบทบาทมาก
ที่สุดในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของครอบครัว
สั มพันธภาพภายในและภายนอกครอบครัว
ระยะพัฒนาการของครอบครัว ให้ระบุระยะพัฒนาการตามแนวทฤษฎีพัฒนาการ
ครอบครัวของDuvall รวมทั้งประเมินพัฒนกิจในแต่ละระยะที่ครอบครัวต้องทําให้
สําเร็จ ความสามารถของครอบครัวในการทําหน้ าที่ตามระยะพัฒนาการและการตอบ
สนองความต้องการของสมาชิก
ประวัติสุขภาพของสมาชิกครอบครัว สถานะสุขภาพในปัจจุบันของสมาชิกแต่ละคน
การใช้บริการสุขภาพและความเชื่อด้านสุขภาพ
การวินิ จฉั ยปัญหาสุขภาพครอบครัว
1) การวินิ จฉัยการพยาบาลในระดับบุคคล (Individual nursing diagnoses) เป็นการให้
ความสําคัญเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ งที่ประเมินแล้วว่าเป็นเป้าหมายของการดูแล โดย
วินิ จฉัยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ
2) การวินิ จฉัยการพยาบาลปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal nursing diagnoses)
เป็นการค้นหาความต้องการหรือประสิ ทธิภาพของปฏิสั มพันธ์ระหว่างบุคคล
3) การวินิ จฉัยการพยาบาลครอบครัว (Family nursing diagnossis) มี 5 ด้าน คือ
- ความต้องการในการจัดการกับพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมาชิก
- ความต้องการในการแก้ปัญหากับการเจ็บป่วยหรือการสูญเสีย เช่น ความเครียดที่เกิดจาก
สถานะทางเศรษฐกิจ
- ความต้องการในการจัดการกับความเครียดที่เกิดจากสาเหตุภายนอก เช่น ความเครียด
จากสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้ า เป็นต้น
- ความต้องการในการจัดการกับความขาดแคลนทรัพยากรและการสนั บสนุนที่ไม่เพียงพอ
เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เงินทอง เป็นต้น
- ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขาดประสิทธิภาพ เช่น การใช้อํานาจ หน้ าที่ การตัดสินใจ
ภายในครอบครัวไม่เหมาะสม เป็นต้น
การวางแผนดูแลสุขภาพครอบครัว
การจัดลําดับความสํ าคัญของปัญหา
การกําหนดวัตถุประสงค์และเกณฑ์การประเมินผลการกําหนดเกณฑ์การ
ประเมินผลแบ่งเป็น 2 ระยะคือ
- เกณฑ์การประเมินผลระยะยาวหรือเป้าหมายขั้นสูงสุด คือความมีสุขภาพดี
ที่สุด เท่าที่ความสามารถ
ของบุคคลและครอบครัวจะอํานวย และอย่างน้ อยที่สุดควรให้ถึงเกณฑ์มาตร
ฐานขั้นต่ําทางด้านสาธารณสุขเช่น เกณฑ์สาธารณสุขมูลฐาน
- เกณฑ์การประเมินผลระยะสั้นตั้งไว้เพื่อชี้ให้เห็นความก้าวหน้ าของการ
พยาบาลที่วางไว้
การกําหนดกิจกรรมการพยาบาล ควรมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
และเหมาะสมกับบริบทของครอบครัว
การปฏิบัติการพยาบาลครอบครัว
เป็นการนํ าแผนการพยาบาลที่วางไว้ไปปฏิบัติ ซึ่งพยาบาล
ควรตระหนั กถึงการมีส่วนร่วมของครอบครัว โดยเปิดโอกาสให้ผู้
ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (caregiver) ได้
แสดงความรู้สึก หรือความต้องการการช่วยเหลือ และพยาบาล
ควรคํานึ งถึงการเสริมสร้างพลังอํานาจ ให้
สมาชิกในครอบครัวเกิดความมั่นใจและสามารถปฏิบัติการดูแล
ตนเองและผู้ป่วยในครอบครัวได้
การประเมินผล
การประเมินรายครั้ง (Formative evaluation)
เป็นการประเมินขณะเยี่ยมครอบครัว ผลจากการ
ประเมินรายครั้งจะนํ ามาใช้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายการ
พยาบาล วัตถุประสงค์ วิธีการปฏิบัติการพยาบาลและ
ลําดับความสํ าคัญของการพยาบาล
การประเมินสุดท้าย (Summative evaluation)
เป็นการประเมินเมื่อต้องการสิ้ นสุดการเยี่ยม
ครอบครัวและใช้สรุปผลของการประเมินที่เกิดขึ้นว่าบรรลุ
เป้าหมายตามที่วางไว้หรือไม่และยังมีสิ่ งที่ครอบครัว
ต้องการความช่วยเหลืออีกหรือไม่เพื่อการส่ งต่อที่ถูกต้อง
การบันทึกรายงานการเยี่ยมครอบครัว
เก็บไว้เป็นหลักฐาน
เพื่อความต่อเนื่องของงาน พยาบาลชุมชนต้องดูแลหลาย
ครอบครัวในเวลาเดียวกัน การบันทึกรายงานจะช่วยให้การทํา
งานของพยาบาลมีความต่อเนื่ อง
เพื่อรายงานความก้าวหน้า การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นไปช้า ๆ
ต้องใช้การสั งเกตอย่างถี่ถ้วนการบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสั งเกต
ไว้เป็นระยะ ๆ จะเป็นหลักฐานเพื่อเปรียบเทียบความ
เปลี่ยนแปลงนั้ น
เพื่อประเมินคุณภาพของการพยาบาล
เพื่อประโยชน์ในการศึ กษาวิจัย
หลักการบันทึกรายงานการเยี่ยมครอบครัว
ความถูกต้อง (Correct) การบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับบริการ
หรือครอบครัวมีความถูกต้องเป็นจริง เชื่อถือได้ตามสภาพที่เป็น
จริงของผู้รับบริการ และถูกต้องตามเกณฑ์การบันทึก
ความครบถ้วน (Complete) การบันทึกข้อมูลครบถ้วนลงในเวช
ระเบียน ครอบคุลมหัวข้อตามแบบตรวจสอบการบันทึกเวช
ระเบียน
ความชัดเจน (Clear) การบันทึกข้อมูลด้วยตัวอักษร ตัวเลข
ชัดเจน อ่านง่าย ใช้ตัวย่อที่เป็นสากล
การได้ใจความ (Concise) ข้อความที่บันทึกมีความกระทัดรัด
สั้น ตรงประเด็นตามสภาพที่เป็นจริงของผู้ใช้บริการ อ่านแล้ว
ได้ใจความ