The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือออนไลน์ E-book หน่วยที่ 5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by noonja2308, 2019-01-17 10:33:37

หนังสือออนไลน์ E-book หน่วยที่ 5

หนังสือออนไลน์ E-book หน่วยที่ 5



คำนำ

หนงั สือออนไลน์(e-book)คณะผูจ้ ดั ทำ จดั ทำข้ึนเพ่ือเป็ นส่วนหน่ึงของกำรศึกษำหำควำมรู้ในเรื่อง
ต่ำงๆ ของ ทฤษฎีกำรผลิต ตน้ ทุน รำยรับและกำไรจำกกำรผลิต และไดศ้ ึกษำอยำ่ งเขำ้ ใจ เพ่ือเป็ นประโยชน์
กบั กำรเรียน

คณะผจู้ ดั ทำหวงั วำ่ หนงั สือออนไลน์ (e-book) จะเป็นประโยชนก์ บั ผูอ้ ำ่ น หรือนกั เรียน นกั ศึกษำ ที่
กำลงั หำขอ้ มูลเรื่องน้ีอยู่ หำกมีขอ้ แนะนำหรือขอ้ ผดิ พลำดประกำรใด คณะผจู้ ดั ทำขอนอ้ มรับไว้ และขออภยั
มำ ณ ท่ีน้ีดว้ ย

คณะผจู้ ดั ทำ

สารบญั ข

เร่อื ง หน้า

คำนำ ก
สำรบญั ข
บทนำ 1
ควำมหมำยและลกั ษณะของกำรผลติ 2
ฟังก์ชันกำรผลติ 3
ควำมหมำยของกำรผลิตในระยะสนั้ และในระยะยำว 3
กำรผลิตในระยะสัน้ โดยใช้ปจั จยั ผันแปรชนิดเดียว : กฎวำ่ ดว้ ยผลตอบแทนไมไ่ ดส้ ัดสว่ นกัน 4
กำรแบ่งชว่ งกำรผลติ 7
กำรผลิตในระยะส้ันโดยใชป้ จั จยั ผันแปรสองชนดิ ในเวลำเดียวกนั 8
เส้นผลผลติ เท่ำกัน 8
อัตรำหนว่ ยสดุ ท้ำยของกำรใช้แทนกันทั้งเทคนิคระหวำ่ งปัจจัยกำรผลติ 9
เส้นตน้ ทนุ เท่ำกัน 9
กำรผสมสว่ นปัจจยั ทีเ่ สยี ตน้ ทุนตำ่ สดุ 10
กำรผลติ ในระยะยำว : กฎวำ่ ดว้ ยผลตอบแทนในกำรขยำยขนำดกำรผลิต 10
กำรประหยัดต่อขนำดและกำรไมป่ ระหยัดตอ่ ขนำด 11
ควำมหมำยของต้นทุนทำงเศรษฐศำสตร์ 12
ต้นทนุ กำรผลติ ในระยะส้นั 13
ตำรำงตน้ ทนุ กำรผลิตและต้นทนุ กำรผลติ ในระยะสัน้ 15
ลกั ษณะของเส้นตน้ ทนุ แบบต่ำงๆ 16
ต้นทุนกำรผลิตในระยะยำว 16
กำรหำเส้นต้นทนุ กำรผลติ ในระยะยำว 17
ลกั ษณะของเส้นตน้ ทนุ เฉล่ยี ในระยะยำว 17
รำยรบั จำกกำรผลิต 17
ลักษณะของเสน้ รำยรับแบบต่ำงๆ
เงือ่ นไขกำรไดร้ ับกำไรสงู สดุ 18

19

1

บทนำ

การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์แตกต่างจากการผลิตในทางวิศวกรรม ซ่ึงทาโดยช่างฝี มือ
และคนงานท่ีเน้นการออกแบบรูปทรงของสินคา้ แต่การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จะเป็ นการ
บริหารการผลิตว่าควรจะผลิตสินคา้ อะไร ผลิตโดยใชป้ ัจจยั การผลิตในสัดส่วนเท่าใด จึงจะมี
ประสิทธิภาพสูงสุด คือ ตน้ ทุนการผลิตต่าสุด และสนองความตอ้ งการของประชาชนไดม้ าก
ที่สุด

ในการผลิตสินคา้ และบริการใดๆก็ตาม ผูผ้ ลิตหรือผูป้ ระกอบการจะตอ้ งรวบรวมปัจจยั
ต่างๆ (Inputs) มาผสมผสานกนั ให้ไดส้ ัดส่วนเพ่ือให้เกิดเป็ นผลผลิต (Outputs) คือสินคา้ และ
บริการ และในการที่จะไดม้ าซ่ึงปัจจยั การผลิตต่างๆเหล่าน้ัน ผูผ้ ลิตก็จะตอ้ งจ่ายผลตอบแทน
ให้แก่เจา้ ของปัจจยั การผลิตในรูปต่างๆกนั ไดแ้ ก่ จ่ายค่าเช่า (Rent) ให้แก่เจา้ ของที่ดิน (Land)
จ่ายค่าจา้ ง (Wages) ให้แก่เจา้ ของแรงงาน (Labour) จ่ายดอกเบ้ีย (Interest) ให้แก่เจา้ ของทุน
(Capital) ส่วนผูป้ ระกอบการน้นั จะไดร้ ับกาไร (Profit) หรือขาดทุน (Loss) เป็ นการตอบแทน
ผลตอบแทนที่ผูผ้ ลิตจ่ายใหก้ บั เจา้ ของปัจจยั การผลิต กค็ ือ ตน้ ทุน (Cost) ของผผู้ ลิต ตน้ ทุนการ
ผลิตเป็ นตวั กาหนดอุปทานของสินคา้ กล่าวคือ ถา้ ตน้ ทุนการผลิตต่าลงผูผ้ ลิตก็จะผลิตเป็ น
จานวนมากข้ึน เพราะจะไดก้ าไรมาก และถา้ ตน้ ทุนการผลิตสูงข้ึนโดยที่ราคาสินคา้ ยงั คงเดิม
กาไรจะน้อยลง ผูผ้ ลิตก็จะผลิตเป็ นจานวนน้อย การศึกษาเรื่องตน้ ทุนการผลิตจึงตอ้ งอาศัย
ความรู้เร่ืองทฤษฎีการผลิตเป็นพ้นื ฐานดว้ ย

2

5.1 ควำมหมำยและลกั ษณะของกำรผลติ

การผลิต (Production) หมายถึงกระบวนการที่จะเปล่ียนแปลงหรือแปรรูปปัจจยั การผลิต
ใหเ้ ป็นผลผลิต (สินคา้ และบริการ) กล่าวไดว้ า่ การผลิตเป็นส่ิงสาคญั ท่ีก่อใหเ้ กิดการใชป้ ัจจยั การ
ผลิตและก่อให้เกิดสินคา้ และบริการ ระบบเศรษฐกิจใดไม่มีการผลิต เศรษฐกิจน้ันก็จะไม่มี
สินคา้ และบริการบริโภค (ถา้ ไม่สั่งซ้ือจากแหล่งอื่น) หน่วยเศรษฐกิจที่ทาหนา้ ที่ท่ีตดั สินใจผลิต
และจาหน่ายสินคา้ และบริการ คือ ผผู้ ลิตหรือธุรกิจ (Firm) ซ่ึงมีอยหู่ ลายประเภท ไดแ้ ก่ ผผู้ ลิตท่ี
เป็ นเจา้ ของคนเดียว (Single Proprietorship) เช่น แม่คา้ หาบเร่ ร้านขายของชา เกษตรกร ห้าง
หุน้ ส่วน และบริษทั ผผู้ ลิตหรือธุรกิจท่ีผลิตสินคา้ ประเภทเดียวกนั หรือใกลเ้ คียงกนั รวมกนั เป็น
อุตสาหกรรม ตวั อย่าง อุตสาหกรรมทอผา้ ในประเทศไทยจะประกอบดว้ ยห้างหุ้นส่วนหรือ
บริษทั ต่างๆที่ทอผา้ เช่น บริษทั ลคั ก้ีเทก็ ซไ์ ทล์ จากดั บริษทั กรุงเทพการทอ จากดั

ลกั ษณะการผลิตในสมยั ปัจจุบนั แตกต่างจากลกั ษณะการผลิตในสมยั ก่อนๆ กล่าวคือ
การผลิตในสมยั ก่อนเป็นการผลิตสินคา้ ข้ึนมาโดยตรง เช่น ครัวเรือนที่ปลูกฝ้ายจะทาการปั่นดา้ ย
เอง ยอ้ มสีเอง ตลอดจนพอเป็นผา้ แลว้ ตดั เป็นเส้ือผา้ เอง โดยใชเ้ ครื่องมือง่ายๆท่ีผลิตข้ึนเอง ส่วน
การผลิตในสมยั ปัจจุบนั เป็นการผลิตสินคา้ วตั ถุดิบท่ีจะนามาใชส้ ินคา้ อุปโภคบริโภคข้ึนมาก่อน
แลว้ จึงทาการผลิตสินคา้ อุปโภคบริโภคภายหลงั นน่ั คือ มีลาดบั ข้นั การผลิตมากข้ึน

เราสามารถแบ่งการผลิตในปัจจุบนั ได้ 3 ข้นั ดงั น้ี
5.1.1 การผลิตสินค้าข้ันปฐม (Primary Products) เช่น การปลูกฝ้าย การทาสวนยาง
ผลผลิตที่ไดค้ ือ ปุยฝ้ายและน้ายาง ซ่ึงเป็นวตั ถุดิบ
5.1.2 การผลิตสินคา้ ข้นั กลาง (intermediate products) หรือการผลิตสินคา้ ประเภททุน
สินค้าประเภทน้ีต้องใช้ในช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลงวตั ถุดิบให้เป็ นสินคา้ สาเร็จรูปเพ่ือการ
บริโภค เช่น การผลิตเครื่องจกั รในการทอผา้ เครื่องจกั รสาหรับผลิตยางรถยนต์
5.1.3 การผลิตสินคา้ ข้นั สุดทา้ ย (Final products) สินคา้ ที่ผลิตไดใ้ นข้นั น้ีจะเป็ นสินคา้
สาเร็จรูปพร้อมที่จะบริโภคไดท้ นั ที เช่น ผา้ โต๊ะ สมุด กระเป๋ า ยางรถยนต์

3

5.2 ฟังก์ชันกำรผลติ

ฟังกช์ นั การผลิต หมายถึง ความสัมพนั ธ์ระหว่างจานวนปัจจยั การผลิตต่างๆ (Inputs) ท่ี
ใส่เข้าไปในการผลิตกับจานวนผลผลิต (Outputs) ที่ได้รับจากการใช้ปัจจัยการผลิตน้ันใน
ช่วงเวลาหน่ึง ความสมั พนั ธ์ดงั กล่าวเราสามารถเขียนเป็นสญั ลกั ษณ์ทางคณิตศาสตร์ไดด้ งั น้ี

Y = f( 1 , 2 , 3 , … , )
หมายความวา่ จานวนผลผลิต (Outputs) ที่ไดร้ ับจะมีจานวนมากหรือนอ้ ยแค่ไหนข้ึนอยู่
กับปัจจยั การผลิต 1 2 และ 3 … ที่ใส่เข้าไปในการผลิต ผูผ้ ลิตหรือหน่วยธุรกิจ
สามารถเพิ่มหรือลดจานวนผลผลิตไดด้ ว้ ยการเพ่ิมหรือลดจานวนของปัจจยั การผลิตชนิดใดชนิด
หน่ึงหรือหลายชนิดท่ีใชอ้ ยใู่ นขณะน้นั เช่น ในการทอผา้ จานวนผา้ ท่ีผลิตข้ึนไดจ้ ะมากหรือนอ้ ย
แค่ไหนข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั การผลิตต่างๆที่ใช้ เช่น จานวนคนงาน จานวนวตั ถุดิบ จานวนเครื่องจกั ร
และอ่ืนๆ หากเราตอ้ งการเพ่ิมจานวนผลผลิตกท็ าไดโ้ ดยใชแ้ รงงานวตั ถุดิบ เครื่องจกั รอยา่ งใด
อย่างหน่ึงหรือท้งั 3 อย่างเพ่ิมข้ึน ในทางตรงขา้ ม ถา้ ตอ้ งการลดการผลิตก็ใช้ปัจจยั การผลิต
นอ้ ยลง

5.3 ควำมหมำยของกำรผลติ ในระยะส้ันและในระยะยำว

ในกรณีที่ความตอ้ งการสินคา้ ในตลาดเปลี่ยนแปลงไปมากข้ึนหรือนอ้ ยลง ผูผ้ ลิตจะตอ้ ง
ตดั สินใจเปลี่ยนแปลงจานวนผลผลิตเพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการท่ีเปล่ียนแปลงไป โดยการเพ่ิม
หรือลดปัจจยั การผลิต ซ่ึงการตดั สินใจกระทาดงั กล่าวของผผู้ ลิตสามารถแบ่งออกได้ ดงั น้ี

5.3.1 การผลิตในระยะส้นั (Short-Run Production)
หมายถึง ระยะการผลิตที่ปัจจยั การผลิตบางประเภทไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะ
การซ้ือขายไม่อาจกระทาไดใ้ นระยะเวลาอนั รวดเร็ว ปัจจยั การผลิตน้ีเรียกว่า ปัจจยั คงที่ (Fixed
Factor) เช่น ท่ีดิน ขนาดของโรงงาน เคร่ืองจกั รขนาดใหญ่ ในขณะที่ปัจจยั การผลิตอีกหลายชนิด
เปล่ียนแปลงไดต้ ามจานวนท่ีตอ้ งการ เมื่อจะผลิตมากข้ึนกใ็ ชป้ ัจจยั ชนิดน้ีมากข้ึน ปัจจยั ประเภท
น้ี เรียกวา่ ปัจจยั ผนั แปร (Variable Factor) ตวั อยา่ ง เช่น ในการทานา หากเป็นระยะส้ันแลว้ ท่ีดิน
ถือเป็นปัจจยั คงท่ี ในขณะท่ีป๋ ุย เมลด็ พนั ธุ์ ชาวนาอาจใชม้ ากข้ึนไดเ้ ม่ือตอ้ งการปลูกขา้ วมากหรือ
ใชน้ อ้ ยลงเม่ือตอ้ งการปลูกนอ้ ย ดงั น้นั ป๋ ุย เมลด็ พนั ธุ์ จึงเป็นปัจจยั ผนั แปร

4

5.3.2 การผลิตในระยะยาว (Long-Run Production)
หมายถึง ระยะการผลิตที่ผูผ้ ลิตสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจยั การผลิตทุกอยา่ งให้มีจานวน
ตามที่ตอ้ งการได้ ดงั น้นั การผลิตในระยะยาวจึงมีแต่ปัจจยั ผนั แปรเพียงอยา่ งเดียว กล่าวอีกนยั
หน่ึงกค็ ือ ระยะยาวเป็นระยะการผลิตที่เกิดจากการวางแผนเพ่อื ขยายขนาดของการผลิตนนั่ เอง
อน่ึง การแบ่งระยะส้นั และระยะยาว ถือเอาความสามารถท่ีจะเปล่ียนแปลงปัจจยั การผลิต
ทุกชนิดใหเ้ ป็นปัจจยั ผนั แปรได้ มิไดห้ มายถึงการกาหนดจานวนเดือน จานวนปี เป็นเท่าน้นั เท่าน้ี
ให้แต่ข้ึนอยู่กบั ลกั ษณะของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมน้ัน เช่น คาว่า “ระยะส้ัน” ของร้านขาย
ของขวญั ยอ่ มส้นั กวา่ “ระยะส้นั ” ของโรงงานกลนั่ น้ามนั เพราะในโรงงานกลน่ั น้ามนั เครื่องจกั ร
และเคร่ืองมือแต่ละชิ้นตอ้ งเสียเวลาและตอ้ งลงทุนมากกว่าที่จะเปล่ียนแปลงปัจจยั การผลิต
เหล่าน้นั ได้ ซ่ึงอาจใชเ้ วลาเป็นปี

5.4 กำรผลิตในระยะส้ันโดยใช้ปัจจัยผันแปรเพียงชนิดเดียว : กฎว่ำด้วยผลตอบแทน

ไม่ได้สัดส่วนเกนิ (Law of Non Proportional Returns)

กฎน้ีกล่าวว่า “ เมื่อเพ่ิมปัจจยั ผนั แปรใดๆทีละหน่วยเขา้ กบั ปัจจยั คงท่ีซ่ึงมีอยเู่ ป็นจานวน
จากดั แลว้ ในระยะแรกผลิตผลเพ่ิมซ่ึงไดจ้ ากการเพ่ิมปัจจยั ผนั แปรเขา้ ไปน้นั จะเพ่ิมข้ึน แต่เมื่อ
เพ่ิมปัจจยั ผนั แปรเขา้ ไปมากๆ จนเกินระดบั หน่ึงแลว้ ผลผลิตเพิ่ม จะลดนอ้ ยลงเรื่อยๆ” กฎน้ีมีขอ้
สมมติวา่ ปัจจยั อ่ืนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาในการผลิตและปัจจยั ผนั แปรท่ีใชม้ ีลกั ษณะ
เหมือนกนั ทุกประการ

กฎน้ีจะนาไปใชไ้ ดเ้ ฉพาะการผลิตในระยะส้นั เท่าน้นั เพราะเป็นการใชป้ ัจจยั ผนั แปรรวม
กบั ปัจจยั คงที่ ตดั สินใจเปล่ียนแปลงจานวนผลิตโดยการเพิ่มหรือลดปัจจยั ผนั แปรใหเ้ หมาะกบั
ปัจจยั คงท่ี เพื่อใหเ้ สียตน้ ทุนต่าที่สุดหรือกาไรสูงสุดอนั เป็นเป้าหมายของผผู้ ลิต

5
ตารางที่ 5.1 แสดงการเปล่ียนแปลงของจานวนผลผลิต เม่ือเพม่ิ ปัจจยั ผนั แปรเพยี งชนิดเดียว ทีละ
หน่วยเขา้ กบั ปัจจยั คงท่ี

จากตารางที่ 5.1 เป็นตวั อยา่ งฟังกช์ นั การผลิตขา้ วในระยะส้ันของฟาร์มแห่งหน่ึง โดยมีที่ดินเป็น
ปัจจยั คงที่เท่ากบั 1 ไร่ ป๋ ุย (X) เป็นปัจจยั ผนั แปรซ่ึงเพิ่มข้ึนคร้ังละ 1 กิโลกรัม ผลผลิตขา้ วท่ีไดร้ ับ
เป็นดงั ตาราง

5.4.1 ผลผลิตรวม (Total Product : TP) คือ ผลผลิตรวมที่ไดจ้ ากการใช้ปัจจยั การผลิต
จานวนหน่ึง จานวนผลผลิตรวมจะเพ่ิมข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ในระยะแรกๆ เม่ือเพ่ิมปัจจยั ผนั แปรเขา้
กบั ปัจจยั คงที่เพราะสัดส่วนของปัจจยั ท้งั สองในระยะแรกเป็ นไปอย่างพอเหมาะ แต่เมื่อเพ่ิม
ปัจจยั ผนั แปรเขา้ ไปเร่ืองๆ จนถึงระดบั หน่ึงผลผลิตรวมจะคงท่ีและเม่ือยงั เพิ่มต่อไปอีกผลผลิต
รวมกจ็ ะลดลงเส้นผลผลิตรวมจะมีลกั ษณะเป็นเสน้ โคง้

AP =



6
5.4.2 ผลผลิตเฉล่ีย (Average Product : AP) คือ ผลผลิตท่ีไดร้ ับต่อหน่ึงหน่วยของปัจจยั
ผนั แปร ซ่ึงหาไดโ้ ดยนาจานวนผลผลิตท้งั หมด (TP) หารจานวนปัจจยั การผลิตที่ใช้ (X) นน่ั คือ
ผลผลิตเฉลี่ย (AP) จะเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ ตราบเท่าท่ีผลผลิตรวมยงั เพิ่มข้ึนเร็วกวา่ การเพิม่ ข้ึน
ของปัจจยั ผนั แปร และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อผลผลิตรวมเพิม่ ข้ึนในอตั ราท่ีชา้ ลงกวา่ การเพม่ิ ข้ึนของ
ปัจจยั ผนั แปร
จากตารางผลผลิต สามารถนาตวั เลขมาเขียนเสน้ ผลผลิตประเภทต่างๆ ไดด้ งั รูป

5.4.3 ผลผลิตเพมิ่ (Marginal Product : MP) คือ ผลผลิตท่ีไดร้ ับเพ่มิ ข้ึนจากการเพิ่มปัจจยั
ผนั แปรเขา้ ไป 1 หน่วย โดยใหป้ ัจจยั การผลิตอื่นๆ คงที่ นน่ั คือ

MP = ∆



การเพ่ิมข้ึนของปัจจยั ผนั แปรทีละหน่วยในตอนแรกๆ จะทาใหผ้ ลผลิตเพม่ิ (MP) เพ่มิ ข้ึน
ตามลาดบั เม่ือไดเ้ พมิ่ ปัจจยั ผนั แปรจนถึงระดบั หน่ึงแลว้ ถา้ ยงั เพิ่มปัจจยั ผนั แปรต่อไปอีก
ผลผลิตเพม่ิ (MP) จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงศูนยแ์ ละติดลบในท่ีสุด

7

5.5 กำรแบ่งช่วงกำรผลติ (Stage of Production)

ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผลผลิตรวม (TP) ผลผลิตเฉล่ีย (AP) และผลผลิตเพ่มิ (MP) กบั
ปัจจยั ผนั แปรท่ีเปล่ียนแปลงไป แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ช่วง คือ

5.5.1 ช่วงที่ผลไดเ้ พ่ิมข้ึน (Stage of Increasing Returns) ในระยะน้ีผลผลิตเฉล่ีย (AP) จะ
สูงข้ึนเรื่อยๆ จนไปตดั เส้นผลผลิตเพิ่ม (MP) ที่จุดซ่ึงผลผลิตเฉล่ีย (AP) อยรู่ ะดบั สูงสุด และ เส้น
ผลผลิตรวม (TP) จะสูงข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ดูจากตารางท่ี 5.1 ช่วงน้ีจะเริ่มจากการใชป้ ัจจยั หน่วยท่ี
1 จนถึงปัจจยั ผนั แปรหน่วยท่ี 3 ระยะน้ีเกิดข้ึนไดเ้ น่ืองจากเรายงั สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากปัจจยั
คงที่ไดม้ ากข้ึน

แมว้ า่ ในระยะน้ีจะเป็นช่วง AP สูงสุด ผผู้ ลิตไม่ควรดาเนินการผลิตในช่วงน้ี เพราะการ
ขยายการผลิตโดยการเพิม่ ปัจจยั ผนั แปรเขา้ ไปเรื่อยๆ ผลผลิตเพมิ่ ยงั มีค่าเป็นบวก ซ่ึงจะทาให้
ผลผลิตรวมเพมิ่ ข้ึนอีก

5.5.2 ช่วงท่ีผลไดล้ ดนอ้ ยถอยลง (Stage of Diminishing Returns) ในระยะน้ีผลผลิตเฉล่ีย
(AP) และผลผลิตเพม่ิ (MP) ลดลงเร่ือยๆ ผลผลิตรวม (TP) ยงั คงเพมิ่ ข้ึน แต่เพมิ่ ข้ึนในอตั รา
ลดลง ดงั น้นั เสน้ TP ในระยะน้ีค่อนขา้ งลาด ผผู้ ลิตยงั คงเพิม่ ปัจจยั ผนั แปรไดเ้ ร่ือยๆ จนกระทง่ั
ผลผลิตเพ่ิมของปัจจยั ผนั แปรมีค่าเท่ากบั ศนู ย์ ผลผลิตรวม (TP) จะมีค่าสูงสุด

โดยปกติผผู้ ลิตจะทาการผลิต ณ ระดบั ใดระดบั หน่ึงในช่วงที่ 2 น้ี แต่ไม่สามารถบอกได้
วา่ ระดบั ใดแน่นอนจนกว่าจะไดท้ ราบตน้ ทุนการผลิตและรายรับจากการผลิต

5.5.3 ช่วงท่ีผลไดล้ ดลง (Stage of Decreasing Returns) ในระยะน้ีผลผลิตเพิ่ม (MP) จะ
ติดลบ ซ่ึงจะดึงใหผ้ ลผลิตรวมลดต่าลงมาทนั ที ที่เป็นเช่นน้ีเพราะวา่ การเพ่มิ ปัจจยั ผนั แปรท่ีใช้
ร่วมกบั ปัจจยั คงท่ีน้นั มากเกินไป

กฎว่ำด้วยผลตอบแทนไม่ได้สัดส่วนกนั นี้ พฒั นาข้นึ มาจาก “กฎวา่ ดว้ ยผลไดล้ ดนอ้ ยถอย
ลง” (Law of Diminishing Returns) ซ่ึงกล่าวถึง “เม่ือเพิ่มปัจจยั ผนั แปรใดๆ เขา้ กบั ปัจจยั คงท่ี
เร่ือยๆ ไปน้นั ผลผลิตเพิ่มท่ีไดร้ ับจากปัจจยั ผนั แปรหน่วยหลงั ๆ จะลดลงตามลาดบั ซ่ึงทาใหผ้ ล
ผลิตเฉล่ียลดลงดว้ ย

8

5.6 กำรผลติ ในระยะส้ันโดยใช้ปัจจยั ผนั แปรสองชนิดในเวลำเดยี วกนั

ในหัวขอ้ น้ีเป็ นกรณีที่ผูผ้ ลิตผลิตสินคา้ โดยใชป้ ัจจยั ผนั แปร 2 ชนิด สามารถใชท้ ดแทน
กนั ได้ ผผู้ ลิตจะตอ้ งตดั สินใจเลือกใชป้ ัจจยั ผนั แปรเหล่าน้นั ในส่วนผสมท่ีเหมาะสมท่ีสุด ซ่ึงจะ
ทาให้เขาเสียตน้ ทุนต่าท่ีสุด การอธิบายถึงการผลิตในกรณีน้ีตอ้ งอาศยั แนวความคิดของเส้น
ผลผลิตเท่ากนั (Isoquant Curve) และเสน้ ตน้ ทุนเท่ากนั (Isocost Curve)

5.7 เส้นผสมผลติ เท่ำกนั (Isoquant Curve)

คือ เส้นท่ีแสดงถึงส่วนผสมของปัจจยั การผลิต 2 ชนิด ในอตั ราต่างๆกนั ท่ีจะทาให้
ไดร้ ับผลผลิตจานวนเท่ากนั

ตารางที่ 5.2 แสดงส่วนผสมของปัจจยั การผลิต 2 ชนิด คือ K และ L ซ่ึงใชร้ ่วมกนั เพื่อ
ผลิตสินคา้ A จานวน 100 หน่วย จากตารางจะเห็นไดว้ า่ ไม่วา่ จะเลือกแผนการใชป้ ัจจยั แบบใดก็
ตาม (a,b,c,d,e,f หรือ g) จานวนผลผลิต A กย็ งั คงเท่ากบั 100 หน่วย

เมื่อนาตวั เลขในตารางที่ 5.2 มาเขียนกราฟจะไดเ้ สน้ ผลผลิตเท่ากนั (Isoquant)

9

จากรูปที่ 5.2 ทุกๆจุดบนเส้นผลผลิตเท่ากันแสดงถึงส่วนผสมของปัจจัย K และ L
เพ่ือท่ีจะใหไ้ ดผ้ ลผลิตออกมาจานวน 100 หน่วย เช่น การผลิตสินคา้ A 100 หน่วย ตอ้ งใชเ้ ฉพาะ
แรงงาน (L) 60 คน (จุดa) หรือ เครื่องจกั ร (K) 1 เคร่ือง แรงงาน (L) 38 คน (จุด b) หรือ K 5
เครื่อง L 2 คน (จุด f) หรือเฉพาะเครื่องจกั รอยา่ งเดียว K 6 เครื่อง (จุด g)

คุณสมบตั ขิ องเส้นผลผลติ เท่ำกนั มี 3 ประการ คือ

5.7.1 เป็นเสน้ ลาดลงจากซา้ ยไปขวา ท้งั น้ี เพราะถา้ ลดจานวนปัจจยั อยา่ งหน่ึงลงจะตอ้ ง
เพิ่มปัจจยั อยา่ งหน่ึงข้ึนทดแทน เพื่อใหไ้ ดร้ ับผลผลิตจานวนเท่ากนั

5.7.2 เป็นเส้นโคง้ เวา้ เขา้ หาจุด (Origin) เพราะปัจจยั การผลิตท้งั สองชนิดทดแทนกนั ได้
อย่างไม่สมบูรณ์และอตั ราสุดทา้ ยของการใช้แทนกนั ทางเทคนิคระหว่างปัจจยั ท้งั สองชนิด
(Marginal Rate of Technical Substitution : MRTS) จะลดลงเร่ือยๆ

5.7.3 เส้นผลผลิตเท่ากนั ท่ีอยเู่ หนือกวา่ ทางดา้ นขวามือ จะแสดงถึงผลผลิตจานวน
มากกวา่ เส้นผลผลิตเท่ากนั ที่อยทู่ างดา้ นซา้ ยมือ เส้นผลผลิตเท่ากนั หลายเส้นท่ีแสดงบนแผนภาพ
เดียว เรียกวา่ แผนผงั เส้นผลผลิตเท่ากนั (Isoquant Map)

5.8 อตั รำหน่วยสุดท้ำยของกำรใช้แทนกนั ทำงเทคนิคระหว่ำงปัจจยั กำรผลติ
(Marginal Rate of Techincal Subshitution : MRTS)

อัตราหน่วยสุดท้ายของการใช้แทนกันทางเทคนิคระหว่างปัจจัยการผลิต (MRTS)
หมายถึง จานวนปัจจยั การผลิตชนิดหน่ึงท่ีลดลง ในขณะท่ีปัจจยั การผลิตอีกชนิดหน่ึงเพ่ิมข้ึน 1
หน่วย เพือ่ ใหไ้ ดร้ ับผลผลิตเท่าเดิม

5.9 เส้นต้นทุนเท่ำเดมิ (Isocost Curve)

คือ เส้นแสดงถึงส่วนผสมของปัจจยั การผลิต 2 ชนิด ท่ีสามารถซ้ือไดด้ ว้ ยจานวนเงิน
เท่ากนั เงินที่จ่ายไปเพ่ือซ้ือปัจจัยการผลิตเหล่าน้ันคือ ต้นทุนการผลิตนั่นเอง เส้นที่แสดง
ส่วนประกอบต่างๆ ของปัจจยั การผลิตสองชนิด (K,L) ที่ให้ผลผลิต (Q) จานวนเท่ากนั นน่ั คือ
ทุกๆ จุดบนเสน้ ผลผลิตเท่ากนั จะใหไ้ ดผ้ ลผลิตในจานวนเดียวกนั

10

ลกั ษณะของเส้นผลผลติ เท่ำกนั

- เป็นเสน้ ท่ีมีลกั ษณะต่อเนื่องลาดลงจากซา้ ยไปขวา อนั เป็นผลมาจากการทดแทน
กนั ของปัจจยั การผลิต 2 ชนิด

- เสน้ ผลผลิตเท่ากนั จะเป็นเสน้ โคง้ เวา้ เขา้ หาจุดกาเนิด
- เสน้ ผลผลิตเท่ากนั จะไม่ตดั กนั
- เส้นท่ีอยสู่ ูงกวา่ จะแสดงผลผลิตจานวนมากกวา่

5.10 กำรผสมส่วนปัจจยั ทีจ่ ะเสียต้นทุนตำ่ สุด (Least Cost Combination)

ในการผลิตสินคา้ จานวนหน่ึงน้นั ผูผ้ ลิตสามารถใชส้ ่วนผสมของปัจจยั การผลิตต่างๆ
กนั แสดงในเส้นผลผลิตเท่ากนั แต่จะเลือกผลิตอยู่ตรงจุดไหนของผลผลิตเท่ากนั ข้ึนอยู่กบั
ตน้ ทุนที่ใชใ้ นการผลิต ณ ระดบั การผลิตหน่ึงๆ ส่วนผสมของปัจจยั การผลิตใชต้ น้ ทุนต่าท่ีสุดจะ
อยู่ ณ จุดที่เสน้ ผลผลิตเท่ากนั สมั ผสั กบั เสน้ ตน้ ทุนเท่ากนั

5.11 กำรผลติ ในระยะยำว : กฎว่ำด้วยผลตอบแทนในกำรขยำยขนำดกำรผลติ (Law
of Returns to Scale)

กฎกล่าววา่ “ เมื่อขยายขนาดการผลิตโดยเพ่มิ ปัจจยั การผลิตทุกชนิด ในระยะแรกผลผลิต
ท่ีไดร้ ับจะเพิ่มข้ึนในอตั ราสูงกว่าอตั ราการเพิ่มของปัจจยั ท้งั หมดที่เพิ่มข้ึน แต่ในระยะต่อไป
ผลผลิตที่ไดร้ ับจะเพิม่ ข้ึนในอตั ราคงที่และอตั ราลดลงเป็นลาดบั ”

เราสามารถแบ่งผลตอบแทนจากการขยายขนาดการผลิตได้ 3 ระยะ คือ

5.11.1 ระยะผลตอบแทนเพม่ิ ขนึ้ (Increasing Returns)

ในระยะน้ีการเพิ่มของปัจจยั การผลิตทุกชนิดจะทาให้ผลผลิตเพ่ิมข้ึนในอตั ราสูงกว่า
อตั ราการเพ่ิมของปัจจยั การผลิตท่ีใช้ เช่น ปัจจยั การผลิตเพ่ิมข้ึนทุกตวั ๆ ละ 10 เปอร์เซ็นต์
ผลผลิตจะเพม่ิ ข้ึนมากกวา่ 10 เปอร์เซ็นต์

11

5.11.2 ระยะผลตอบแทนคงท่ี (Constant Returns)

เมื่อผูผ้ ลิตขยายขนาดการผลิตข้ึนไปจนถึงระดบั ท่ีเตม็ แลว้ ผลผลิตกจ็ ะเพ่ิมข้ึนในอตั รา
เดียวกบั ปัจจยั การผลิตที่เพ่ิมข้ึน เช่น ปัจจยั การผลิตเพ่ิมข้ึนทุกตวั ตวั ละ 10 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิต
จะเพิ่มเท่ากบั 10 เปอร์เซ็นตด์ ว้ ย ระยะน้ีจึงเป็นระยะท่ีเหมาะสมที่สุด

5.11.3 ระยะผลตอบแทนลดลง (Decreasing Returns)

เม่ือผผู้ ลิตขยายขนาดการผลิตไปจนถึงระดบั เตม็ ที่แลว้ แต่ขยายการผลิตออกไปอีกเรื่อยๆ
ผลผลิตจะตอ้ งลดนอ้ ยลง เช่น ปัจจยั การผลิตเพิ่มข้ึนทุกตวั ตวั ละ 10 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตจะเพิ่ม
นอ้ ยกวา่ 10 เปอร์เซ็นต์

5.12 กำรประหยดั ต่อขนำด (Economies of Scale) และกำรไม่ประหยดั ต่อขนำด
(Diseconomies of Scale)

สาเหตุที่ผลตอบแทนต่อการขยายขนาดการผลิตแบ่งเป็น 3 ระยะ เป็นเพราะผลจากการ
การประหยดั ต่อขนาด และการไม่ประหยดั ต่อการขยายขนาดการผลิต

กำรไม่ประหยดั ต่อขนำด หมายถึง ตน้ ทุนต่อหน่วย (ตน้ ทุนเฉล่ีย) เพ่ิมข้ึน จากการท่ี
ธุรกิจขยายขนาดการผลิต นน่ั คือ ขยายขนาดการผลิตมากเกินไป

กำรประหยดั ทำงด้ำนแรงงำน

- เกิดการแบ่งงานกนั ทา มีความชานาญเฉพาะอยา่ ง ทาใหป้ ระสิทธิภาพการผลิต
สูงข้ึน

กำรประหยดั ทำงด้ำนเทคนิค

- เกิดข้ึนเมื่อหน่วยธุรกิจมีขนาดใหญ่ และมีความสามารถท่ีจะนาเอาเครื่องจกั รท่ีมี
ประสิทธิภาพสูงมาใช้

กำรประหยดั ทำงด้ำนกำรจัดกำร

- เป็นผลจากการกระจายตน้ ทุนคงที่ เช่น เงินเดือนผจู้ ดั การ ค่าเช่าสถานท่ี ค่าเบ้ีย
ประกนั เป็นตน้ หากหน่วยธุรกิจสามารถขยายการผลิตไดม้ ากข้ึน ตน้ ทุนคงท่ีต่อหน่วยจะลดลง

12

กำรประหยดั ทำงด้ำนกำรตลำด

- ซ้ือวตั ถุดิบ : การซ้ือเป็นจานวนมากๆ จะไดร้ ับส่วนลด ทาใหต้ น้ ทุนลดลง
- ขายสินคา้ : ตน้ ทุนค่าขนส่งลดลง ค่าโฆษณาลดลง คือ หน่วยธุรกิจท่ีมีขนาดใหญ่
แมจ้ ะมีตน้ ทุนในการขายสูง แต่กจ็ ะสามารถทาใหข้ ายไดม้ ากข้ึน ตน้ ทุนเฉลี่ยจะลดลง

กำรประหยดั ทำงด้ำนกำรเงิน

- เน่ืองจากกิจการขนาดใหญ่ จะเป็นที่เช่ือถือในวงการธุรกิจ ไดร้ ับเครดิตในการ
ซ้ือสินคา้ และสามารถกเู้ งินไดง้ ่าย เสียดอกเบ้ียต่า

- ความยงุ่ ยากในการบริหารงาน ปัญหาการดูแลไม่ทว่ั ถึง ปัญหาการติดต่อ
ประสานงาน ปัญหาทางดา้ นการจดั การแรงงาน

- การขาดแคลนปัจจยั การผลิต

5.13 ควำมหมำยของต้นทุนทำงเศรษฐศำสตร์

ตน้ ทุนการผลิตแบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนิด คือ

5.13.1 ตน้ ทุนทางบญั ชี (Business Cost) จะคิดเฉพาะตน้ ทุนที่ผผู้ ลิตไดจ้ ่ายออกไปเป็นตวั
เงินจริงๆ และรวมค่าเสท่อมราคาของทรัพยส์ ินต่างๆ ที่ใชใ้ นการผลิตดว้ ย

5.13.2 ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Cost) เป็นตน้ ทุนซ่ึงนอกจากจะคิดตน้ ทุนที่
ผผู้ ลิตจ่ายออกไปเป็นตวั เงินจริงๆ แลว้ ยงั รวมตน้ ทุนท่ียงั ไม่ไดจ้ ่ายออกไปเป็นตวั เงินจริงๆ หรือ
ตน้ ทุนโดยปริยายเขา้ ไวด้ ว้ ย ตน้ ทุนโดยปริยายจะเกิดข้ึน เม่ือผูผ้ ลิตนาปัจจยั การผลิตท่ีตนเป็ น
เจา้ ของโดยตรงมาใชใ้ นการผลิต เนื่องจากปัจจยั การผลิตทุกชนิดมีตน้ ทุนแห่ง่าเสียโอกาส นนั่
คือ เม่ือผผู้ ลิตนาปัจจยั การผลิตไปใชใ้ นการผลิตสินคา้ อยา่ งหน่ึงกห็ มดโอกาสที่จะนาไปใชอ้ ย่าง
อื่น ผผู้ ลิตท่ีนาปัจจยั การผลิตของตนเองมาใชต้ อ้ งคิดค่าชดเชยใหก้ บั ปัจจยั น้นั ๆ ดว้ ย ค่าชดเชยที่
คานวณใหน้ ้นั จะมากนอ้ ยแค่ไหนกข็ ้ึนอยกู่ บั ค่าเสียโอกาสของปัจจยั

ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์

= ตน้ ทุนทางบญั ชี + ตน้ ทุนค่าเสียโอกาส

13

5.14 ต้นทุนในกำรผลติ ระยะส้ัน (Short Run Cost)

เนื่องจากการผลิตระยะส้ันจะมีปัจจยั การผลิต 2 ชนิด คือ ปัจจยั คงที่ (Fixed Factor) และ
ปัจจยั ผนั แปร (Variable Factor) ดงั น้นั ตน้ ทุนในการผลิตระยะส้ันจะมีอยู่ 2 ชนิด เช่นกนั คือ
ต้นทุนคงท่ี (Fixed Cost) และต้นทุนผันแปร (Variable Cost) จากต้นทุนท้ังสองชนิดน้ีเรา
สามารถคานวณหาตน้ ทุนท้งั หมด ตน้ ทุนเฉลี่ยและตน้ ทุนเพิ่มได้ โดยที่คาจากดั ความของตน้ ทุน
ประเภทต่างๆ จะมีความสมั พนั ธก์ บั คาจากดั ความของประเภทผลผลิตดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้

5.14.1 ต้นทุนท้ังหมด (Total Cost : TC) หมายถึง ต้นทุนท้งั หมดในการผลิตผลผลิต
จานวนใดจานวนหน่ึง ตน้ ทุนท้งั หมดจึงประกอบไปดว้ ยตน้ ทุนสองชนิด คือ ตน้ ทุนคงที่ท้งั หมด
(Total Fixed Cost : TVC)

1) ตน้ ทุนคงที่ท้งั หมด (Total Fixed Cost : TFC) คือ ตน้ ทุนต่างๆ ท่ีมีจานวนคงท่ี
ตลอดไป ไม่ว่าปริมาณการผลิตจะเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งไร หรือแมแ้ ต่จะยงั ไม่ทาการผลิตเลยก็
จะตอ้ งเสียตน้ ทุนคงท่ีจานวนน้ี ตน้ ทุนประเภทน้ีบางคร้ังเรียกวา่ รายจ่ายประจา (Overhead Cost)
เช่น ค่าเชาท่ีดิน ค่าก่อสร้าง ค่าเบ้ียประกนั อคั คีภยั โรงงาน

2) ตน้ ทุนผนั แปรท้งั หมด (Total Variable Cost : TVC) คือ ตน้ ทุนที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามปริมาณผลผลิต ถา้ ผลิตมากต็ อ้ งเสียตน้ ทุนชนิดน้ีมาก ถา้ ผลิตนอ้ ยกเ็ สียนอ้ ย ตน้ ทุนประเภท
น้ีบางคร้ังเรียกว่า ตน้ ทุนโดยตรง (Direct Cost) เช่น ค่าจา้ งแรงงานในการผลิต ค่าวตั ถุดิบ ค่า
น้ามนั เช้ือเพลิงและหล่อล่ืน

เราอาจเขียนสมการดงั น้ี

TC = TFC + TVC

5.14.2 ต้นทุนท้ังหมดเฉล่ียต่อหน่วย (Average Total Cost : ATC) หรือเรียกส้ันๆว่า
ตน้ ทุนเฉลี่ย (Average Cost : AC) หมายถึง ตน้ ทุนท้งั หมดในการผลิตสินคา้ จานวนใดจานวน
หน่ึงคิดเฉลี่ยต่อผลผลิต 1 หน่วย ซ่ึงคานวณหาไดโ้ ยหารตน้ ทุนท้งั หมดดว้ ยจานวนสินคา้ ท่ีผลิต
นนั่ คือ

AC =TC (Q คือ จานวน

Q

ผลผลิต)

14

ตน้ ทุนเฉลี่ยแบ่งออกได้ 2 อยา่ ง เช่นเดียวกบั ตน้ ทุนท้งั หมด คือ ตน้ ทุนคงท่ีเฉลี่ย
(Average Fixed Cost : AFC) และตน้ ทุนผนั แปรเฉลี่ย

1. ตน้ ทุนคงที่เฉล่ีย (Average Fixed Cost : AFC) คือตน้ ทุนคงท่ีท้งั หมด (TFC) คิดเฉลี่ย
ต่อผลผลิต 1 หน่วย ซ่ึงคานวณหาไดโ้ ดยหารตน้ ทุนคงท่ีท้งั หมดดว้ ยจานวนผลผลิต นน่ั คือ

AFC = TCF

Q

2. ตน้ ทุนผนั แปรเฉล่ีย (Average Variable Cost : AVC) คือ ตน้ ทุนผนั แปรท้งั หมด
(TVC) คิดเฉล่ียต่อผลผลิต 1 หน่วย นน่ั คือ

AVC = TVC

Q

เราอาจเขียนสมการตน้ ทุนเฉลี่ยได้ ดงั น้ี

AC = AFC + AVC ซ่ึงที่มาจาก [ TC = TFC + TVC]

QQ Q

5.14.3 ต้นทุนเพิ่ม (Marginal Cost : MC) หรือบางคร้ังเรียกว่า ต้นทุนหน่วยสุดท้าย

หมายถึงตน้ ทุนท้งั หมด (TC) ที่เพิ่มข้ึน เม่ือผลิตสินคา้ เพ่ิมข้ึนจากเดิมอีก 1 หน่วย เน่ืองจาก

ตน้ ทุนคงทีท้งั หมดจะไม่เปล่ียนปลงเม่ือผลผลิตเปล่ียนแปลง ฉะน้ัน เมื่อผลิตสินคา้ เพ่ิมข้ึน 1

หน่วย ตน้ ทุนท้งั หมดเพิ่มข้ึนจะมีค่าเท่ากบั ตน้ ทุนผนั แปรท่ีเพม่ิ ข้ึนจากเดิม นนั่ คือ

MC = ∆TC

∆Q

= ∆TFC + ∆TVC

= ∆TFC + ∆TVC = O + ∆TVC
∆Q ∆Q ∆Q ∆Q

= ∆TVC

∆Q

โดยท่ี ∆TC คือ การเปลี่ยนแปลงในตน้ ทุนท้งั หมด

15

∆TFC คือ การเปล่ียนแปลงในตน้ ทุนคงท่ีท้งั หมดซ่ึงเท่ากบั 0

∆TVC คือ การเปล่ียนแปลงในตน้ ทุนผนั แปรท้งั หมด

∆Q คือ การเปล่ียนแปลงในปริมาณสินคา้

5.15 ตำรำงต้นทุนกำรผลติ และเส้นต้นทุนกำรผลติ ในระยะส้ัน (Cost Schedule and

Short-Run Cost)

ตน้ ทุนประเภทต่างๆ ในการผลิตระยะส้นั ท่ีกล่าวถึงขา้ งตน้ อาจแสดงเป็นตารางเพื่อให้

เห็นวา่ เม่ือมีการเปล่ียนแปลงปริมาณการผลิตสินคา้ ตน้ ทุนประเภทต่างๆเหล่าน้ี จะเปลี่ยนแปลง

ไปในลกั ษณะอยา่ งไร และมีความสัมพนั ธ์อยา่ งไร อน่ึง ตอ้ งเขา้ ใจก่อนว่าตารางตน้ ทุนการ

ผลิตท่ีเรากาลงั พิจารณาต่อไปน้ี เราสมมติใหเ้ ทคนิคท่ีใชใ้ นการผลิตคงที่ตลอดระยะเวลาในการ

ผลิต

ตารางท่ี 5.4 ตน้ ทุนการผลิตและจานวนผลผลิต

จำนวน ต้นทนุ ท้งั หมด ต้นทนุ เฉลยี่ ต้นทนุ

ผลผลติ คงที่ ผนั แปร ท้งั หมด คงท่ี ผนั แปร ท้งั หมด เพม่ิ

(Q) TFC TVC TC AFC AVC AC MC

0 50 0 50 - - - -

1 50 50 100 50.0 50 100 50

2 50 90 140 25.0 45 70 40

3 50 120 170 16.0 40 57 30

4 50 140 190 12.5 35 48 20

5 50 170 220 10.0 34 44 30

6 50 215 265 8.3 36 44 45

7 50 275 325 7.1 39 46 60

8 50 365 415 6.3 46 52 90

หมายเหตุ : ค่าของตวั เลขต่างๆ ที่ปรากฏในตารางไดม้ าจากการคานวณตามวิธีที่กล่าวมาใน

หวั ขอ้ ที่ 5.4

จากตารางตน้ ทุนการผลิตขา้ งตน้ เราสามารถเขียนเป็นเส้นตน้ ทุนการผลิตประเภทต่างๆ
ไดด้ งั รูปท่ี 5.6 (ก) และรูปที่ 5.6 (ข)

16

5.16 ลกั ษณะของเส้นต้นทุนแบบต่ำงๆ

5.16.1 เส้นตน้ ทุนท้งั หมด ประกอบดว้ ย เส้น TFC TVC และ TC [ดูรูปที่ 5.6 (ก)]
เนื่องจากตน้ ทุนคงท่ีท้งั หมด (TFC จะมีจานวนคงที่ตลอดไม่ว่าผลผลิตจะเป็ นเท่าใดก็ตาม
ดงั น้นั เส้น TFC จะเป็นเส้นตรงขนานกบั แกนนอนและมีระยะห่างจากแกนนอนเท่ากบั ตน้ ทุน
คงท่ีตลอดเส้นตน้ ทุนผนั แปรท้งั หมด (TVC) จะเป็ นเส้นโคง้ เร่ิมจากจุด Origin ท่ีเป็ นเช่นน้ี
เพราะว่าเม่ือไม่ผลิตสินคา้ เลยจะไม่มีตน้ ทุนผนั แปร และเมื่อผลิตสินคา้ มากข้ึน ตน้ ทุนผนั แปร
ท้งั หมดจะเพ่ิมข้ึน ส่วนเส้นตน้ ทุนท้งั หมด TC จะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั เส้นตน้ ทุนผนั แปร
ท้งั หมด และอยเู่ หนือจากเสน้ TVC วดั ตามแนวด่ิงเท่ากบั TFC เสมอ

5.16.2 เส้นตน้ ทุนท้งั หมดเฉล่ีย ไดแ้ ก่เส้น AFC AVC และ AC เส้น AFC จะลดลง
เร่ือยๆ เม่ือผลิตสินคา้ เพิ่มข้ึนเร่ือยๆ โดยจะลดลงเร็วในตอนแรกและลดลงชา้ ในตอนหลงั แต่จะ
ไม่แตะหรือตดั กบั แกนนอนเป็นอนั ขาดเพราะพิจารณาจากสูตร (AFC = = TFC ไม่



วา่ Q จะมีค่ามากแค่ไหน AFC จะมีค่าเขา้ ใกลศ้ นู ยแ์ ต่จะไม่เท่ากบั ศูนย์ เสน้ AFC จะมีลกั ษณะ
เป็ นพ้ืนท่ีภายใตเ้ ส้นโคง้ น้ีจะเท่ากนั โดยตลอดทุกๆ จุด เส้น AVC จะลดลงในตอนแรกและ
เพิ่มข้ึนในตอนหลงั เม่ือขยายการผลิตออกเป็นเสน้ AVC จะมีลกั ษณะเป็นตวั ยู

5.16.3 เส้นตน้ ทุนเพิ่ม คือ เส้น MC เส้น MC จะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั เส้น AVC และ
AC คือ เป็นรูปตวั ยู แต่จะชนั มากกวา่ แสดงวา่ การเพิม่ ผลผลิตในตอนแรก ทาให้ MC ลดลง
และเม่ือถึงระดบั หน่ึงแลว้ MC จะต่าสุด เมื่อเพิ่มผลผลิตต่อไปอีก MC จะกลบั สูงข้ึนตามเดิม
เส้น MC จะตดั จุดต่าสุดของเส้น AVC และ AC เสมอเพราะเม่ือ AC และAVC ยงั มีค่าลดลง
เม่ือเพ่มิ ปริมาณผลผลิต MC จะมีค่านอ้ ยกวา่ AVC และ AC และเมื่อ AVC และ AC สูงข้ึน
ตามลาดบั เม่ือเพิ่มปริมาณผลผลิต MC จะมีค่ามากกวา่ AVC และ AC

5.17 ต้นทุนกำรผลติ ในระยะยำว (Long-Run Cost)

ในการผลิตระยะยาว ปัจจยั ทุกชนิดสามารถเปล่ียนแปลงได้ ดงั น้นั ปัจจยั การผลิตใน
ระยะยาวจึงถือเป็ นปัจจยั ผนั แปรท้งั หมด (Variable Factor) ตน้ ทุนการผลิตจึงมีเฉพาะตน้ ทุน
ผนั แปร (Variable Cost) ดว้ ยเหตุน้ีตน้ ทุนผนั แปรเฉลี่ย (AVC) จึงเท่ากบั ตน้ ทุนเฉล่ีย (AC)
เสน้ ตน้ ทุนท้งั สองชนิดจะเป็นเสน้ เดียวกนั

17

5.18 กำรหำเส้นต้นทุนกำรผลติ ในระยะยำว

เน่ืองจากในระยะยาว ผูผ้ ลิตสามารถปรับปรุงขนาดของโรงงานใหม้ ีขนาดเหมาะสมกบั
การผลิตไดโ้ ดยผผู้ ลิตจะเลือกขนาดโรงงานที่จะเสียตน้ ทุนเฉล่ียต่าสุดสาหรับการผลิตในระดบั
น้นั ในการพิจารณาเลือกขนาดของโรงงานใหม่น้ีจะพิจารณาไดจ้ ากการนาโรงงานต่างๆใน
ระยะส้ัน ซ่ึงโรงงานแต่ละแห่งมีตน้ ทุนเฉล่ียแตกต่างกนั และเหมาะสาหรับการผลิตแต่ละระดบั
โดยเลือกโรงงานขนาดท่ีเสียตน้ ทุนเฉลี่ยต่าสุดสาหรับการผลิตระดบั น้นั ๆ เส้นตน้ ทุนเฉลี่ยกบั
เสน้ ตน้ ทุนเฉล่ียระยะส้ัน (SAC) ต่าสุดของโรงานต่างๆ

5.19 ลกั ษณะของเส้นต้นทุนเฉลยี่ ในระยะยำว (LAC)

เส้น LAC มีลกั ษณะเป็นรูปตวั ยู (U Shape) คือ ในตอนแรกเม่ือขยายการผลิตออกไป
ตน้ ทุนเฉล่ียจะลดลงจนถึงระดบั ต่าสุด และเม่ือมีการขยายการผลิตต่อไปตน้ ทุนเฉล่ียกลบั สูงข้ึน
อีก ท่ีเป็นเช่นน้ีเนื่องจากเกิดการประหยดั ต่อขนาด (Economies of Scale) และไม่ประหยดั ต่อ
ขนาด (Diseconomies of Scale)

5.20 รำยรับจำกกำรผลติ (Revenue)

ผผู้ ลิตจะไดก้ าไรมากหรือนอ้ ยแค่ไหนข้ึนอยกู่ บั ตน้ ทุนการผลิต และรายรับจากการผลิต
เพราะกาไรคือ ผลต่างระว่างรายรับกบั ตน้ ทุน รายรับท้งั หมด (Total Revenue : TR) ที่ผูข้ าย
หรือผผู้ ลิตไดร้ ับกค็ ือ ผลคูณของราคาสินคา้ ต่อหน่วย (P) กบั จานวนสินคา้ (Q) ที่ขายไป
TR = P x Q

รายรับจากการผลิตหรือจากการขายสามารถท่ีจะหาไดจ้ ากตารางอุปสงค์ของสินคา้
เพราะตารางอุปสงคจ์ ะแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างสินคา้ กบั ปริมาณสินคา้ ที่ผูซ้ ้ือตอ้ งการซ้ือ
เมื่อรู้ราคาและปริมาณซ้ือ ก็สามารถหารายรับท้งั หมดไดจ้ ากรายรับท้งั หมด สามารถหาค่า
รายรับเฉลี่ย (Average Revenue : AR)
และรายรับเพิม่ (Marginal Revenue : MR) ได้

รายรับเฉล่ีย (Average Revenue : AR) หมายถึง รายรับท้งั หมด (TR) คิดเฉลี่ยต่อสิคา้
(Q) ท่ีขายหน่ึงหน่วย ซ่ึงหาไดด้ งั น้ี

= (Q คือ ปริมาณสินคา้ ท่ีขาย)



18

รายรับเพิ่ม (Marginal Revenue : MR) หมายถึง รายรับท้ังหมดท่ีเพิ่มข้ึน (∆ )
เนื่องจากการขายสินคา้ เพิ่มข้ึนอีก 1 หน่วย ( ∆ )


= ∆

ตารางท่ี 5.5 ความสัมพนั ธ์ระหว่างรายรับท้งั หมด (TR) รายรับเฉลี่ย (AR) และรายรับเพ่ิม

(MR) ในกรณีท่ีราคาสินคา้ เปล่ียนแปลงได้

รำคำ ปริมำณ รำยรับท้งั หมด รำยรับเฉล่ยี รำยรับเพมิ่

(P) (Q) (TR = P x Q) ∆
( = ) ( = ∆ )

700- -

61666

5 2 10 5 4

4 3 12 4 2

3 4 12 3 0

2 5 10 2 -2

1 6 6 1 -4

5.21 ลกั ษณะของเส้นรำยรับแบบต่ำงๆ

จากตารางที่ 5.5 สามารถนาความสัมพนั ธ์ระหว่าง TR AR และ MR มาแสดงเป็ น
รายรับต่างๆ ไดด้ งั รูปท่ี 5.8

19

5.22 เง่ือนไขในกำรได้รับกำไรสูงสุด

หน่วยธุรกิจจะตอ้ งตดั สินใจเก่ียวกบั ปริมาณสินคา้ ที่จะผลิตเพ่อื ใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมาย คือ
ไดร้ ับกาไรสูงสุด (Maximize Profit) หน่วยธุรกิจจะตอ้ งพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างรายรับ
ท้งั หมด (TR) กบั ตน้ ทุนท้งั หมด (TC) โดยท่ีจะตอ้ งเลือกระดบั การผลิตท่ีทาใหร้ ายรับท้งั หมด
(TR) สูงกว่าตน้ ทุนท้งั หมด (TC) มากท่ีสุด นน่ั คือ TR-TC มีค่ามากท่ีสุด พิจารณาตารางท่ี
5.7 และรูปที่ 5.10

ตารางท่ี 5.7 รายได้ ตน้ ทุน และกาไรจากการผลิต

รำคำ ปริมำณ รำยรับ ต้นทนุ กำไร รำยรับเพม่ิ ต้นทนุ เพม่ิ

(P) (Q) ท้งั หมด TR ท้งั หมด TC π MR MC

14 0 0 15 -15 - -

13 1 13 23 -10 13 8

12 2 24 27 -3 11 4

11 3 33 30 3 9 3

10 4 40 32 8 7 2

9 5 45 33 12 5 1

8 6 48 36 12 3 3

7 7 49 40 9 1 4

6 8 48 45 3 -1 5

5 9 45 51 -6 -3 6


Click to View FlipBook Version