The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลเนื้อหาของอารยธรรมอินเดีย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by gusji555, 2022-08-03 11:58:03

อารยธรรมอินเดีย

ข้อมูลเนื้อหาของอารยธรรมอินเดีย

ปปรระะววััตติิศศาาสสตตร์ร์
ออิินนเเดดีียย



สารบัญ หน้ า

เรื่ อง 2
สารบัญ 10
ปั จจัยทางภูมิศาสตร์กับการตั้งถิ่นฐาน 22
อารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 32
อารยธรรมอินเดียสมัยประวัติศาสตร์ 44
สังคมและวัฒนธรรมอินเดีย 54
ศิลปกรรมอินเดีย
ความก้าวหน้ าทางวิทยาการของอินเดีย 59
บรรณานุกรม

1

อารยธรรมอินเดียได้ก่อกำเนิดขึ้นบริเวรลุ่ม
แม่น้ำสินธุซึ่งปัจจุบันบริเวณส่วนใหญ่อยู่

ประเทศปากีสถาน บางที
เรียกว่า แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

2

ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กับ
การตั้งถิ่นฐาน

3

อารยธรรมอินเดียกำเนิดขึ้น
บริเวณลุ่มน้ำสินธุ เป็นเขตที่ราบ
กว้างใหญ่ มีสาขาจำนวนมากไหล
ลงสู่ทะเลอาหรับ ทำให้ดินแดนนี้มี
ความอุดมสมบูรณ์ และสามารถ
เดินทางติดต่อกับดินแดนเมโสโปเต
เมียซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโลกอีก
แห่งหนึ่งได้ สภาพภูมิประเทศดัง
กล่าวทำให้ลุ่มน้ำสินธุเป็นแหล่ง

กำเนิดของอารยธรรมอินเดีย
โบราณ

4

ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ มีทรัพยากร
อุดมสมบูรณ์พวกแร่โลหะและโลหะที่ผสมเป็น

สำริด

ลักษณะภูมิอากาศ
เป็นแบบมรสุม ในฤดูร้อนจะมีลมพัดตาม
มหาสมุทรอินเดียทำให้เกิดฝนตกทางตอน
เหนือ ในฤดูหนาวจะมีลมมรสุมพัดผ่าน
มหาสมุทรอินเดียทำให้บริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา
ฝนตก ชุก ส่วนบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ
และที่ราบสูงภาคกลางภูมิอากาศแห้งแล้ง น้ำ
ที่ใช้ในการเกษตรได้จากแม่น้ำเป็นหลัก

5

สักษณะที่ตั้ง

ที่ตั้งของประเทศอินเดียมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมมีฐานของ
สามเหลี่ยมอยู่ทาง ด้านเหนือซึ่งเป็นแนวเทือกเขาหิมาลัย
ส่วนยอดของสามเหลี่ยมนั้นเป็นสามเหลี่ยมหัวกลับคือมียอด
อยู่ทางใต้พุ่งตรงมา ยังมหาสมุทรอินเดีย มีแหลมคอมอริน
(Cape Comorin) อยู่สุดท้ายตรงบริเวณที่อยู่ใกล้กับเกาะ
ลังกา ประเทศอินเดียตั้งอยู่ในระหว่างเส้นแลติจูดที่ 8° เหนือ
จนถึงเส้นแลติจูดที่ 37° เหนือ จึงมีภูมิอากาศที่แบ่งออกเป็น
แบบใหญ่ได้สองแบบคือเขตร้อนในทางใต้และ เขตอบอุ่นใน

ทางเหนือ
สภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลายและความที่ติดต่อกับโลก
ภาย นอกได้ยากมีผลต่อประวัติศาสตร์และอารยธรรมของ
อินเดีย เทือกเขาหิมาลัยเป็นแนวขวางกั้นอย่างสำคัญไม่ให้
อินเดียติดต่อกับประเทศที่ อยู่ทางเหนือขึ้นไปอันได้แก่ทิเบต

และจีน
ในด้านเหนือแนวทางที่ติดต่อกับภายนอกที่เป็นแนวทาง
สำคัญที่ผู้คนจากทางทิศ ตะวันตกจะเข้ามาในอินเดียได้คือ
โดยอาศัยช่องเขา เช่นช่องเขาไคเบอร์ (Kyber) และช่องเขา
โบลัน (Bolan) ช่องเขาเหล่านี้มีความสำคัญในทางการยุทธ์

มาก

6

นอกจากเทือกเขาหิมาลัยทางเหนือแล้ว ทะเล
อาหรับทางทิศตะวันตก และอ่าวเบงกอลทางทิศ
ตะวันออกก็มีส่วนปิดกั้นไม่ให้อินเดียติดต่อกับโลก
ภาย นอก เพราะชายฝั่ งทะเลทั้งทางทิศตะวันตก
และทางทิศตะวันออกของอินเดียเป็นชายฝั่ ง ที่ดู
เหมือนเป็นเส้นตรง ไม่มีอ่าวใหญ่น้อยที่เหมาะ
สำหรับการจอดเรือ อีกทั้งคลื่นลมในมหาสมุทร
อินเดียก็รุนแรง ในสมัยโบราณจึงไม่ใคร่มีประเทศ

ใดจะติดต่อทางทะเลกับอินเดียนัก

7



ลักษณะภูมิประเทศของอินเดียที่แบ่งอย่าง

เคร่าๆ ได้เป็นสามภาคคือ



1.) เขตเทือกเขาหิมาลัยและบริเวณใกล้เคียง
เทือกเขาหิมาลัยเป็นเทือกเขาใหญ่ที่สูงที่สุดใน

โลกและเป็นที่รู้จักกันดี เทือกเขานี้ยาวถึง
1,500 ไมล์ติดกับเขตแดนของประเทศ
ปากีสถานทางทิศตะวันออกติดกับประเทศ
ทิเบตและแม่ น้ำพรหมบุตรในอัสสัม มีช่องเขา
ที่ใช้เป็นเส้นทางคาราวาน ทำการค้า ในสมัย
โบราณเดินทางติดต่อระหว่างแคว้นปัญจาบใน
อินเดียกับมณฑลซินเกียงในจีน และทิเบต

8

คงคา

2) เขตลุ่มแม่น้ำสายใหญ่ๆ

อินเดียมีแม่น้ำสายสำคัญทางภาคเหนืออยู่สามสาย

เรียงจากตะวันตกไปหาตะวันออกคือแม่น้ำสินธุ แม่น้ำ

คงคา และแม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำทั้งสามนี้รับน้ำที่ได้

จากลมมรสุมมาปะทะเทือกเขาหิมาลัยและรับน้ำที่ เป็น

หิมะละลายในฤดูร้อนจากเทือกเขาหิมาลัย




ลุ่มแม่น้ำสินธุและลุ่มแม่น้ำคงคาเป็นแหล่ง

อารยธรรมที่สำคัญของอินเดียมา ตั้งแต่สมัยโบราณ

สำหรับแม่น้ำสินธุนั้นชื่อของแม่น้ำสินธุได้กลายเป็นชื่อ

ของประเทศอินเดีย ดินแดนลุ่มแม่น้ำโดยเฉพาะอย่าง

ยิ่งลุ่มแม่น้ำสินธุและลุ่มแม่น้ำคงคาเป็นดิน แดนที่

อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศและเป็นบริเวณที่มี

ประชากรหนาแน่นที่สุด


พรหมบุตร

สินธุ

9

3) เขตที่ราบสูงทางตอนใต้
เขตที่ราบสูงทางตอนใต้คือบริเวณที่เป็นคาบสมุทรของ
อินเดีย มีเทือกเขาสามเทือกเป็นผนังกั้นทำให้ที่ราบนี้มี
ลักษณะเป็นที่ราบสูง บริเวณนี้ได้แก่แคว้นมัธยประเทศ
มัทราฐ บอมเบย์ ไฮเดราบัด ไมซอร์และแคว้นเล็กน้อย
อื่นๆ บริเวณเขตที่ราบสูงทางตอนใต้นี้มีชื่อเรียกว่าที่ราบ

สูงเดคข่าน (The Deccan Plateau)
ทางตอนเหนือของที่ราบสูงเดคข่านมีเทือกเขาวินธัย
(Vindhyas) ซึ่งเป็นแนวเทือกเขาแล่นจากทิศตะวันออก
มาทิศตะวันตก เทือกเขาวินธัยในสมัยโบราณเป็นเครื่อง
กีดขวางทางคมนาคมและเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประเทศ
อินเดียแบ่งแยกเป็นภูมิภาคไม่รวมเป็นอันหนึ่งอัน

เดียวกัน

10

อารายธรรม
อินเดียสมัย
ก่อนประวัติศาสตร์

11

หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด คือ ขวานกำปั้ น ทำด้วย
หิน อายุประมาณ 400,000 ปี อยู่ในยุคหินเก่า ซึ่ง
ผู้คนในสมัยนั้นยังเร่ร่อนเก็บหาอาหารและล่าสัตว์

อยู่
และพึ่งจะรู้จักนำสุนัขมาเลี้ยง และทำเครื่องมือ

หินให้ดีขึ้นเมื่อยุคหินกลาง
ครั้นเมื่อถึงยุคหินใหม่ ผู้คนเริ่มรู้จักการเพาะปลูก
เลี้ยงสัตว์ ปั้ นหม้อและภาชนะมาใส่อาหาร สร้าง

บ้านด้วยอิฐ นับถือพระแม่ธรณีเพื่อความอุดม
สมบูรณ์ในการเพาะปลูก

12

อารยธรรมในยุคโลหะหรือลุ่มแม่น้ำสินธุ

เริ่มจากการที่เป็นอารยธรรมของชาวอินเดีย
ดั้งเดิม ที่เรียกว่าเผ่าทราวิเดียน หรือทมิฬ ซึ่ง
อาศัยอยู่กันตั้งแต่ช่วงก่อนชาวอินโด-ยูโรเปียน
(พวกอารยัน)เข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยที่ชาวทมิฬจะ
มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ แหล่งอารยธรรมแม่น้ำสินธุ

อยู่ที่เมืองโมเฮนโจ-ดาโรและเมืองฮารัปปา
[ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน]

เมืองโมเฮนโจดาโร

เมืองฮารัปปา

13

วีดีโอเพิ่มเติมอารยธรรมโบราณ
แห่งลุ่มแม่น้ำสินธุ

สกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดู

วีดีโอเพิ่มเติม

14

หลักฐานที่พบ คือ ซากเมืองฮารัปปากับเมืองโม
เฮนโจดาโร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสินธุ

เมืองโมเฮนโจดาโร

เมืองฮารัปปา

หน้าตาพวก
ชาวดราวิเดียน

15

เมืองโบราณโมเฮนโจดาโรและฮารัปปาก่อสร้าง
โดยชางดราวิเดียน หลักฐานที่ค้นพบบอกถึงอา
รายธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุได้แก่ ด้านการปกครองที่
มีลักษณะรวมอำนาจ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบ
เกษตรกรรมมีการเพาะปลูกพืชเกษตร เช่น ฝ้าย

ข้าวสาลี ถั่ว งา ข้าวโพดมียุ้งฉางสำหรับเก็บ
ผลผลิตทางการเกษตร ป้อมปราการขนาดใหญ่
หลักฐานการติดต่อค้าขายกับดินแดนเมโสโปเต
เมีย มีระบบชลประทาน สังคมวัฒนธรรม การ
วางผังเมืองที่มีระเบียบ งดงาม มีถนนตัดกัน
แบ่งเมืองเป็นตารางแยกพื้นที่ใช้สอยออกจากกัน
เช่นที่อยู่อาศัย อาคารสาธารณะ ที่อยู่ช่างฝีมือ ยุ้ง
ข้าว ป่าช้า ท่าเรือ พื้นที่ทางศาสนา บ้านเรือนสร้าง

ด้วยอิฐ

16

พบโบราณวัตถุรูปแกะสลักหินชายมีเครา มี
แถบผ้าคาด มีตราประทับตรงหน้าผาก รูป
สำริดหญิงสาว รูปแกะสลักบนหินเนื้ออ่อน
เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด

และสภาพชีวิตของประชากร

รูปปั้ นที่ค้นพบที่ค้นพบในสมัยก่อน
ประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นชนชั้นสูง

หรือนักบวช

17

อารธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุสลายไปประมาณ
1,500 ปีก่อนคริศต์ศักราช อาจเพราะภัย
ธรรมชาติ โรคระบาดหรือถูกพวกอินโด-ยูโร
เปียน (พวกอารยัน) อพยพและรุกรานเข้ามา
ในอินเดียผ่านทางช่องเขาไคเบอร์คาดว่าพวก
อารยันคงใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าที่จะพิชิต

เจ้าของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุลงได้

18

พวกอารยะหรืออารยันมีผิวขาว จมูกโด่ง รูปร่างสูง
ซึ่งแตกต่างจากชาวพื้นเมืองเดิม ชาวอารยันได้ยึด
บ้านช่อง ทรัพย์สินของพวกทมิฬ ให้ชาวทมิฬเป็น
ผู้รับใช้ และถูกเรียกว่า ทาส ซึ่งเป็นที่มาของการ

เกิด ‘วรรณะ’ (แปลว่าสีหรือสีผิว) เป็นการแยก
ชนชั้นโดยดูสีผิว

19

อารยธรรมของพวกอารยันที่สำคัญ คือ การ
แต่งบทสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในพิธีบูชายัญ
โดยนักบวช และบทสรรเสริญนี้ถ่ายทอดต่อ

กันมาโดยการท่องจำ ครั้นถึงประมาณ
1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการรวบรวม
และจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่มีการจดบันทึก จน
กระทั่งราวศตวรรษที่ 8 หรือศตวรรษที่ 7

ก่อนคริสต์ศักราช อินเดียจึงเริ่มมีการ
ประดิษฐ์ตัวอักษร และมีการจดบันทึกคัมภีร์

ทั้งหลาย

20

ประวัติศาสตร์อินเดียในช่วงนี้ เรียกว่า

ยุคพระเวท (ประมาณ 1,500-900 ปีก่อน

คริสต์ศักราช) ตามชื่อพระเวทที่ศักดิ์สิทธิ์ของ

ชาวอารยัน คือ

1. ฤคเวท เป็นบทส
วดอ้อนวอนให้เทพเจ้า

ประทานชัยชนะแก่พว
กตนเป็นบทสวดที่แต่ง

ขึ้นในเวลาที่ยาวนาน

2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์อธิบายวิธีประกอบพิธี

บวงสรวง แต่ง ทีหลังคัมภีร์ ฤคเวท พิธีที่

สำคัญ เช่น การบูชายันต์มนุษย์ การบูชา

บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เทพองค์สำคัญที่

บูชายังเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มขึ้นมา คือ รุท.มหา

เทวะ (คือพระศิวะในเวลาต่อมา)

ยุชรเวท
ฤคเวท

21

3. สามเวท เป็นบทสวดสำหรับหรับการทำพิธี
บูชาด้วยน้ำโสมในพิธีของบ้านเมืองหรือของ

กษัตริย์
คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท เรียกรวม
กันว่า ตรีเวทหรือไตรเพท และคัมภีร์อถรรพ
เวทเกิดขึ้นภายหลัง เรียกรวมกันว่า จตุรเวท
4. อถรรพเวท เป็นคัมภีร์ขึ้นที่หลัง มีลักษณะ
คล้ายฤคเวทในส่วนนับถือเทพที่เป็นคุณต่อ
มนุษย์ แต่อถรรพเวทนับถือเทพและไม่ใช่เทพ
และไม่ใช่เทพทั้งที่ให้โทษแก่มนุษย์ เช่น ภูตผี

ปีศาจ ดังนั้นจึงต้องมีการบูชา

สามเวท

คัมภีร์หน้าหนึ่งจาก
อาถรรพเวท

22

อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์




แบ่งเป็น 3 สมัย

1.สมัยมหากาพย์
2.สมัยจักวรรดิ
3.สมัยมุสลิม

23

1.สมัยมหากาพย์

เป็นสมัยที่มีการใช้ตัวหนังสือบันทึกเรื่องราว การ
ปกครองเริ่มแรกปกครองแบบชนเผ่าอารยัน มี

ราชาเป็นผู้ปกครองอำนาจสูงสุดเด็ดขาด
ในสมัยนี้มีมหากาพย์ดัง 2 เรื่องคือ รามายณะ
ของฤษีวาลมิกิ และมหาภารตะฤษีวยา(เก่าแก่

สุด)ที่สะท้อนเกี่ยวกับการปกครองสังคม
เศรษฐกิจ ของชาวอารยันสมัยนั้น

มีความเชื่อในเรื่องการบูชายัน ภูตผีปีศาจ และ
อำนาจต่างๆทางธรรมชาติ ซึ่งต่อมาได้มีการบูชา
รูปปั้ นของเทวะและเทวี ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบ

ของศาสนาฮินดู เทพเจ้าสูงสุดคือ พระอินทร์
ปลายสมัย ชนเผ่าอารยันขยายตัวออกไป มีการ
ดำเนินการปกครองแบบราชาธิปไตยจากราชา

เปลี่ยนเป็น กษัตริย์ เป็นสมมติเทพ

24

2.สมัยจัก
รวรรดิ

เป็นสมัยที่มีความสำคัญต่อการวางพื้น
ฐานของแบบแผนทางสังคม ศิลปะ

วัฒนธรรมอินเดีย ที่ยังคงสืบเนื่องต่อ
มาถึงปัจจุบัน

สมัยจักรวรรดิแบ่งเป็น 5 สมัยคือ
- จักรวรรดิมคธ
- จักรวรรดิเมารยะ

- สมัยแบ่งแยกและรุกรานจากภายนอก
- สมัยจักรวรรดิคุปตะ

- อินเดียหลังสมัยจักรวรรดิคุปตะ

25

จักรวรรดิมคธ
ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของลุ่มแม่น้ำคงคา
เป็นแคว้นที่มีอานุภาพมากที่สุดในศตวรรษที่6 ก่อน
คริสต์ศักราช กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงสองพระองค์คือ

พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าอชาตศัตรู
ระบอบการปกครองกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดมีขุนนาง

3 ฝ่าย คือ
ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายการทหาร รวมเรียก

ว่า “มหามาตระ”
พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ทั้ง

สองพระองค์ ทำให้จักรวรรดิมคธกลายเป็น
ศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันศาสนา
พราหมณ์เสื่อมลง เนื่องจากการตีความที่มุ่งเน้นไปที่
อิทธิปาฏิหารย์แห่งองค์เทพเจ้าเป็นหลัก แทนที่จะ
ศึกษาเพื่อการหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ตามหลักคำสอน

ในคัมภีร์



มหามาตระ

26

จักรวรรดิเมารยะ
จักรวรรดิเมารยะ ในกลางศตวรรษที่4ก่อนคริสต์
ศักราช ราชวงศ์นันทะที่ปกครองจักรวรรดิมคธ

เสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์เมารยะได้มีอำนาจขึ้น
ปกครอง ปัจจุบัน คือพื้นที่ทางภาคเหนือของ

อินเดีย
ระเบียบการปกครอง รวมอำนาจไว้ที่พระมหา
กษัตริย์และเมืองหลวง จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุด
ทางด้านบริหาร กฎหมาย การศาลและการทหาร
มีสภาเสนาบดีและสภาแห่งรัฐเป็นสภาปรึกษา
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์เมารยะคือ
พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงนำหลักพระพุทธ
ศาสนามาใช้ในการปกครอง และทำนุบำรุงพุทธ
ศาสนาอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังให้อิสรภาพใน
การเลือกนับถือศาสนา โดยเฉพาะศาสนา
พราหมณ์ ทรงยกเลิกการแบ่งชั้นวรรณะ

27

สมัยแบ่งแยกและการรุกรานจากภายนอก
จากความเสื่อมอำนาจของราชวงศ์เมารยะมี

ผลกระทบต่ออินเดีย 2 ประการ
- อาณาจักรใหญ่น้อยแบ่งแยกออกเป็นอิสระ
- เกิดการรุกรานจาก กรีก อิหร่าน เปอร์เชีย

ศกะ กุษาณะ
เมื่อมาตั้งถิ่นฐานก็ย่อมรับวัฒนธรรม
อินเดียไว้ด้วย และกรีกเปอร์เชียก็ได้
ถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนเองเช่น ด้าน
ศิลปกรรม ได้แก่ สถาปัตยกรรม และ
ประติมากรรมให้แก่อินเดียเช่นกัน

28

อารยธรรมสมัยคุปตะ
ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของอินเดีย
เนื่องจากพระเจ้าจันทรคุปต์มีความพยายามที่จะฟื้ นฟู

อาณาจักรมคธให้รุ่งเรือง
มีมหาวิทยาลัยต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยพาราณสี มีเมือง
หลายเมืองกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษา เช่น เมือง

สาญจี

การแพทย์ในสมัยนี้มีวิธีการผ่าตัด และเรียนรู้การทำ
สบู่และปูนซีเมนต์

ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาเป็นอย่างดีถึงแม้
พระองค์จะนับถือพราหมณ์ ทรงอนุญาติให้ชาวลังกา

มาสร้างวัดพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทขึ้น
หลวงจีนฟาเหียนเดินทางมานำพระไตรปิฏกกลับไป
เป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้แพร่กระจายไปยัง

ดินแดนต่างๆ

29

หลังสมัยจักรวรรดิคุปตะ
ราชวงศ์คุปตะเริ่มเสื่อมอำนาจลงชนต่าง
ชาติได้รุกรานอินเดีย ภาคเหนือแบ่งแยก
เป็นแคว้นเล็กๆ มีราชวงศ์ต่างๆเข้ามายึด

ครอง หลังการสิ้นสุดจักรวรรดิคุปตะ
ชนชาติที่มารุกรานนับถือพราหมณ์ จึงได้
กวาดล้างชาวพุทธ และวัด ให้สิ้นซาก แต่
พระพุทธศาสนาในอินเดียยังคงรุ่งเรืองอยู่

30

3.สมัยมุสลิม
มุสลิมที่เข้ารุกรานอินเดีย คือมุสลิมเชื้อสาย
เติร์กจากเอเชียกลาง เข้าปกครองอินเดียภาค
เหนือ ตั้งเมืองเดลี เป็นเมืองหลวง เมื่อเข้า
มาปกครองมีการบีบบังคับให้ชาวอินเดียมา
นับถือศาสนาอิสลาม ราษฎรที่ไม่นับถือศาสนา
อิสลามจะถูกเก็บภาษี “จิซยา” ในอัตราสูง

หากหันมานับถือจะได้รับการยกเว้น
การกระทำของเติร์กส่งผลให้สังคมอินเดีย
เกิดความแตกแยกระหว่างพวกฮินดูและ

มุสลิมจนถึงปัจจุบัน
สังคมและวัฒนธรรมอินเดีย

31

วีดิโอสรุปประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดีย

แสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดู
วีดีโอเพิ่มเติม

32

สังคม
และวัฒนธรรมอินเดีย

33

ระบบวรรณะ
ในคัมภีร์ 4 วรรณะ ดังนี้

34

1. วรรณะพราหมณ์ เกิดจากโอษฐ์ของพระ
พรหม มีสีเครื่องแต่งกายประจำวรรณะคือ

สีขาวซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์มีหน้าที่
กล่าวมนต์ ให้คำปรึกษากับพระเจ้าแผ่นดิน
ตลอดจนสอนมนต์ให้แก่คนทั่วไป ส่วนพวก
ที่เป็นนักบวชก็ทำหน้าที่สอนไตรเภทและ

ประกอบพิธีทางศาสนา

35

2. วรรณะกษัตริย์ เกิดจากพระอุระของพระ
พรหม และถือว่าสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์

สีเครื่องแต่งกายประจำวรรณะคือสีแดงซึ่ง
หมายถึงนักรบ ทำหน้าที่รบเพื่อป้องกันหรือ
ขยายอาณาจักร รวมทั้งเป็นนักปกครอง เป็น

พระเจ้าแผ่นดินหรือคณะผู้ปกครองแบบ
สามัคคีธรรม

36

3.วรรณะแพศย์ เกิดจากโคนขา หรือ
สะโพกของพระพรหมของพระพรหมมีสี
เครื่องแต่งกายประจำวรรณะคือ สีเหลือง
เป็นพวกแสวงหาทรัพย์สมบัติ ได้แก่ พวก

พ่อค้า เศรษฐี และเกษตรกร

37

4. วรรณะศูทร เกิดจากพระบาท(เท้า)
ของพระพรหม มีสีเครื่องแต่งกายประจำ
วรรณะคือสีดำหรือสีอื่น ๆ ที่ไม่มีความ

สดใส มีหน้าที่เป็นกรรมกร ลูกจ้าง

ยังมีอีกวรรณะหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นพวกต่ำ
สุด คือ จัณฑาล ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ต่าง
วรรณะกัน ซึ่งจะถูกรังเกียจและเหยียด

หยาม

38

วีดีโอเพิ่มเติมการแต่งงานข้าม
ช้นชั้นวรรณะ




แสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดู
วีดีโอเพิ่มเติม

39

ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคม
อินเดีย

อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาสำคัญของโลก
ตะวันออก ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธ
ศาสนา และศาสนาเชน หลักคำสอนของพระพุทธ

ศาสนาและศาสนาเชน เป็นผลมาจากการคิด
ไตร่ตรองทางปรัชญา เพื่อแสวงหาสัจจะการ
ดำเนินชีวิต และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตาย
เกิด ส่วนหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
มีรากฐานมาจากคิดค้นสร้างระบบปรัชญา เพื่อ
สนับสนุนความเชื่อและความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีการทำพิธีกรรม
บวงสรวงพระเจ้า ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญในการ

ปฏิบัติศาสนกิจ

40

เทพเจ้าของอินเดีย

ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติ
ทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่อง
ราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่า

ชาติอื่น และกล่าวกันว่า ตั้งแต่สมัย
ดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่าน
ที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีการ
นับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวก

อริยกะ หรืออารยันนั้น แต่เดิมก็นับถือ
ธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า
ลม และไฟ ต่อมามีการกำหนดให้ปวงเทพเกิด
มีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชา

ตินั้นๆ แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่
ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ .

41

สมัยของพระเวท จึงมีผู้เชี่ยวชาญกล่าว
ว่า มีมาก่อนพุทธกาลราว 1,000 ปีและ
บางตำราบอกว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของ
พวกอริยกะนั้นมีพระอินทร์ พระสาวิตรี
พระวรุณ และพระยม (พระสาวิตรี คือ
ดวงอาทิตย์) ส่วนอีกตำราหนึ่งกล่าวว่า
เทพเจ้าที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระ
พฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม เทพที่
พราหมณ์ยกย่องนั้น มีเพียงไม่กี่องค์ที่
ปรากฏอยู่ในพระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์

ที่ถือว่ามีฤทธิ์อำนาจมาก

42

พวกพราหมณ์จะทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนาและติดต่อกับเทพเจ้า จึงเป็นฐานะที่ผู้คน

ยกย่องนับถือที่สุดในระบบวรรณะ

จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดิน
เหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่า
แผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบ
ที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซีย ใน
ตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4
องค์ นั่นก็คือ พระอินทร์ เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ
พระวรุณ และ นาสัตย์ คือ พระนาสัตย์อัศวิน นับ
เป็นชื่อเทพเจ้าที่เก่าที่สุดที่ถูกเอ่ยนาม แสดงว่า

ลัทธิพราหมณ์ มีมายาวนานยิ่งนัก

43

พระวิษณ :
เทพเจ้าทำลายสิ่งชั่วร้าย

พระพรหม :
เทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั่วโลก

พระวิษณุ :
เทพเจ้าแห่งสันติสุขและ
ปราบปรามความยุ่งยาก

44

ศิลปะกรรมอินเดีย

45

1. สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรม อินเดียได้รับอิทธิพลมาจาก
เปอร์เซีย โดยมีงานที่เด่นสุดคือ ทัชมาฮาลที่
ประกอบด้วยหินมีค่า บนยอดเป็นหินสีขาว ที่เข้า
กันได้อย่างงดงาม นับเป็นสถาปัตยกรรมที่

งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
นอกจากนี้ยังมีซากเมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดา

โร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมืองอย่างดี มี
สาธารณูปโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง
เช่นถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งจะเน้นประโยชน์ใช้สอย

มากกว่าสวยงาม

46

วิดีโอประวัติทัชมาฮาล

แสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดู
วีดีโอเพิ่มเติม

47

2. ประติมากรรม

เกี่ยวข้องกับศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูปแบบคัน
ธาระ พระพุทธรูปแบบมถุรา พระพุทธรูปแบบ
อมราวดี ภาพสลักนูนที่มหาพลิปุลัม ได้รับการ

ยกย่องว่ามหัศจรรย์






คันธาระ มถุรา อมราวดี

48

3. จิตรกรรม

จิตรกรรม อินเดียตามประวัติศาสตร์แล้ว
วิวัฒนาการมากจากการเขียนภาพบุคคลใน
ศาสนาและพระมหากษัตริย์ จิตรกรรมอินเดีย
เป็นคำที่มาจากตระกูลการเขียนหลายตระกูลที่
เกิดขึ้นในทวีปอินเดีย ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน
ไปมีตั้งแต่จิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ของถ้ำ
เอลเลรา (Ellora Caves) ไปจนถึงงานที่
ละเอียดลออของจุลจิตรกรรมของจิตรกรรมโม

กุล



จิตกรรมฝาผนังถ้ำอชันตา เอลเลรา


Click to View FlipBook Version