The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by siriwankhangean, 2022-03-09 03:26:55

pdf_20220309_152633_0000

pdf_20220309_152633_0000

ความหมายของสถิติศาสตร์

จัดทำโดย

นางสาวศิริวรรณ ขันเงิน
ชั้น ม.6/3 เลขที่ 24


เสนอ
คุณครูพรจีรา สายนุ้ย



โรงเรียนเทศบาล 2 (คลองจิหลาด)

สารบัญ หน้า

เรื่อง 1

ความหมายและประโยชน์ของสถิติศาสตร์ 2-4
คำสำคัญในสถิติศาสตร์
ประเภทของข้อมูล 5-6
สถิติศาสตร์เชิงพรรณนา 7
และสถิติศาสตร์เชิงอนุมาน

1

ความหมายและประโยชน์ของสถิติศาสตร์

สถิติ (statistics) มีความหมายใน 2 ลักษณะดังต่อไปนี้

1) สถิติ หมายถึง ข้อมูลที่แสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น จํานวน
นักศึกษาของคณะบริหารธุรกิจจําแนกตามชั้นปีรูปภาพที่แสดงในหอศิลปะ หัวข้อ
ข่าวในหนังสือพิมพ์

2) สถิติ หมายถึง ศาสตร์หรือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับข้อมูล การเก็บ
รวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลความหมายข้อมูล และการนําเสนอข้อมูล

วิชาทางสถิติสามารถจําแนกออกได้ 2 ประเภท คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิง
อนุมาน

ประโยชน์ของสถิติ
1) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
2) ด้านวิศวกรรมศาสตร์
3) ด้านการบริหารธุรกิจ
4) ด้านการศึกษา
5) ด้านการเกษตร
6) ด้านอื่นๆ

2

คำสำคัญในสถิติศาสตร์

• สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) หมายถึงสถิติที่ว่าด้วยการเก็บ
รวบรวมการนำเสนอ การวิเคราะห์ และการตีความหมายของข้อมูล ซึ่งสถิติที่จะ
ได้จะแสดงลักษณะของข้อมูลนั้น ไม่ได้ใช้การทำนายหรือคาดคะเนลักษณะ
ประชากร
ตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การวัดแนวโน้มสู่ส่วนกลาง (ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ฐานนิยม มัธยฐาน) และการวัดการกระจาย (พิสัย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฯลฯ)
• สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) หมายถึง สถิติที่ว่าด้วยกระบวนการ
ทั้ง 4 อย่างดังกล่าว แต่มีการนำค่าสถิติที่ได้ไปดำเนินการตามวิธีการทบสถิติ
เพื่อทำนายหรือคาดคะเนเกี่ยวกับประชากรต่อไป
- คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 5 จำนวน 4 ห้อง นำคะแนนมาหา
คะแนนเฉลี่ย ครูไม่ได้นำมาดำเนินการต่อไป เรียกกระบวนการที่ครูวิเคราะห์ว่า
สถิติเชิงพรรณนา
- แต่ถ้าครูนำคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนชั้น ม. 5/4 ไปดำเนินการทางสถิติบาง
อย่างแล้วนำผลที่ได้มาทำนายคะแนนของนักเรียนชั้น ม.5 จำนวน 4 ห้อง เรียก
กระบวนการวิเคราะห์ของครูว่า สถิติเชิงอนุมาน
• ประชากร (Population)
ประชากร หมายถึง จำนวนทั้งหมดของคน สัตว์ หรือสิ่งของที่เราหาข้อมูล
• ตัวอย่าง (Sample)
ตัวอย่าง คือ ประชากรส่วนหนึ่งที่เราเลือกเก็บข้อมูลมาศึกษาจากประชากรทั้งหมด
ตัวอย่างเป็นตัวแทนของประชากร
• ค่าสถิติ (Statistics)
ค่าสถิติ หมายถึง ตัวเลขที่อธิบายลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งคำนวณหรืวิเคราะห์
มาจากกลุ่มตัวอย่าง
• พารามิเตอร์ (Parameter)
พารามิเตอร์ หมายถึง ตัวเลขที่อธิบายลักษณะของประชากร ซึ่งคำนวณหรือ
วิเคราะห์ประชากรในทางปฏิบัติการคำนวณหาพารามิเตอร์โดยตรงจะกระทำได้
ยาก เพราะประชากรมีจำนวนมากจนยากแก่การวิเคราะห์ จึงต้องมีการคัดเลือก
ตัวอย่างจากประชากร อย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อให้ได้ตัวอย่างที่แท้จริงของประชากร

3

• ทฤษฎีตัวอย่าง (Sampling Thery)
ทฤษฎีตัวอย่าง คือ ทฤษฎีคัดเลือกตัวอย่าง ซึ่งค่าสถิติที่ได้มาสามารถใช้ประมาณ
ค่าพารามิเตอร์ได้
• ตัวแปร (Variable)
ตัวแปร หมายถึง ลักษณะหรือคุณสมบัติบางอย่างของประชากรที่เราสนใจศึกษา
ซึ่งเปลี่ยนค่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเชิงคุณภาพหรือปริมาณ
เช่น การศึกษาชนิดของโรคที่เป็นกันมาในภาคอีสาน
การศึกษาน้ำหนักของเด็กแรกเกิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ตัวแปรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. ตัวแปรต่อเนื่อง คือ ตัวแปรที่สามารถวัดค่าออกมาบนช่องที่กำหนด เช่น
อายุของแบตเตอรี่ รายได้

2. ตัวแปรไม่ต่อเนื่อง คือ ตัวแปรที่มีค่าออกเป็นจำนวนนับหรือจำนวนเต็ม
เช่น จำนวนคนงาน จำนวนสินค้าค่าที่เป็นไปได้ หมายถึง ค่าที่ข้อมูลอาจมีค่าที่เป็น
ไปได้ทั้งหมดที่สามารถแทนตัวแปรได้ เช่น คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเต็ม
10 คะแนน - ค่าที่เป็นไปได้ คือ 0,1,2,……,10
ค่าจากการสังเกต หมายถึง ค่าที่เกิดขึ้นจริงๆ ของตัวแปร ค่าที่ได้มาจริงๆ จากการ
เก็บรวบรวมข้อมูล เช่น คะแนนสอบของนักเรียนจำนวน 8 คน คือ
6,5,7,9,4,5,8,7
• พิสัย = คะแนนสูงสุด – คะแนนต่ำสุด
• อันตรภาคชั้น = ช่วงแต่ละช่วงที่เราแบ่งค่าที่เป็นไปได้
• ขีดจำกัดล่างของอันตรภาคชั้น (Lower limit) = ค่าที่เป็นไปได้น้อยที่สุดใน
อันตรภาคชั้นนั้น
• ขีดจำกัดบนของอันตรภาคชั้น (Upper limit) = ค่าที่เป็นไปได้มากที่สุดใน
อันตรภาคชั้นนั้น
• ขอบล่างของอันตรภาคชั้น (Lower boundary) = ค่ากึ่งกลางระหว่างขีดจำกัด
ล่างของอันตรภาคชั้นนั้นกับขีดจำกัดบนของอันตรภาคชั้นที่อยู่ติดกัน และเป็น
ค่าที่เป็นไปได้ที่น้อยกว่า
• ขอบบนของอันตรภาคชั้น (Upper boundary) = ค่ากึ่งกลางระหว่างขีดจำกัด
บนของอันตรภาคชั้นนั้นกับขีดจำกัดล่างของอันตรภาคชั้นที่อยู่ติดกัน
• ความกว้างของอันตรภาคชั้น (Width) = หาได้จากผลต่างระหว่างขอบบนและ
ขอบล่าง

4

• จุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้น (Midpoint) = ค่ากึ่งกลางระหว่างขีดจำกัดล่างและ
ขีดจำกัดบน
• จำนวนชั้นของอันตรภาคชั้น = อัตราส่วนระหว่างพิสัยกับความกว้างของ
อันตรภาคชั้น
•ความกว้างของอันตรภาคชั้น = อัตราส่วนระหว่างพิสัยกับจำนวนชั้นของ
อันตรภาคชั้น
• ความถี่สะสม = ผลรวมของความถี่ในอันตรภาคชั้นนั้นกัHบความถี่ในชั้นที่อยู่ต่ำ
กว่า
• ความถี่สัมพัทธ์ = อัตราส่วนระหว่างความถี่ในชั้นนั้นกับผลรวมความถี่ทั้งหมด
• ความถี่สะสมสัมพัทธ์ = อัตราส่วนระหว่างความถี่สะสมในชั้นนั้นกับผลรวมของ
ความถี่ทั้งหมด

5

ประเภทของข้อมูล

ประเภทของข้อมูลทางสถิติแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
แบ่งออกกเป็น 2 ลักษณะ คือ

· ข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) เป็นข้อมูลที่สามารถวัดค่าเป็นตัวเลข
ได้และสามารถบอกค่าความแตกต่างได้ว่ามีค่ามากน้อยเพียงใด เป็นข้อมูลที่
สามารถหาค่าให้อยู่ในรูอัตราส่วนได้ ตัวอย่างเช่น รายได้ คะแนน ยอดขายสินค้า
อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ถ้าค่าของข้อมูลที่วัดได้เป็นจำนวนเต็ม จะเรียกข้อมูลนี้ว่า
“ข้อมูลเชิงปริมาณวิยุตหรือข้อมูลเชิงปริมาณแบบไม่ต่อเนื่อง (quantitative
discrete data)” ตัวอย่างเช่น รถยนต์จำนวน 153 คัน เสื้อจำนวน 10 ชิ้น และถ้า
ค่าของข้อมูลที่วัดได้เป็นจำนวนจริง จะเรียกข้อมูลนี้ว่า “ข้อมูลเชิงปริมาณแบบต่อ
เนื่อง (quantitative continuous data)” ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก 58.56 กิโลกรัม
ส่วนสูง 165.87 เซนติเมตร เป็นต้น

· ข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data) เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถวัดค่าตัวเลข
ได้และไม่สามารถบอกค่าความแตกต่างได้ว่ามีค่ามากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น
ความชอบ ความพึงพอใจ ทัศนคติ เป็นต้น แต่สามารถกำหนดตัวเลขให้กับข้อมูล
เชิงคุณภาพได้เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณต่อไป ตัวอย่างเช่น 5=ชอบมากที่สุด
4=ชอบมาก 3=ชอบปานกลาง 2=ชอบน้อย 1=ชอบน้อยที่สุด เป็นต้น

2. แบ่งตามแหล่งที่เกิดของข้อมูล
· ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมจาก

แหล่งที่เกิดข้อมูลโดยตรง เป็นได้ทั้งข้อมูลที่เกิดขึ้นเองและข้อมูลที่ได้จากการ
ทดลอง ตัวอย่างเช่น ความพึงพอใจต่อการสอนของอาจารย์ในรายวิชาสถิติ ราย
จ่ายต่อเดือนของนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ เป็นต้น การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจทำได้
จากการชั่ง ตวง วัด ทอลอง สัมภาษณ์ สังเกต หรือเก็บจากแบบสอบถาม

· ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากข้อมูล
ปฐมภูมิจึงเป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันที่ได้
ทำการเก็บรวบรวมเอาไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อหัวของ
ประชากรที่มีรายได้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้จาก
สำนักงานสถิติแห่งชาติที่ได้ทำการเก็บรวบรวมเอาไว้แล้ว เป็นต้น

6

3. แบ่งตามมาตราของข้อมูล
มาตรา (scale) ของข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ

· มาตรานามบัญญัติ (nominal scale) เป็นมาตรการวัดที่จำแนกข้อมูลออก
เป็นกลุ่ม โดยข้อมูลที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีลักษณะเหมือนกัน และไม่สามารถ
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มได้ว่ามีค่ามากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น
เพศ อาชีพ วิชา เป็นต้น การกำหนดตัวเลขให้กับข้อมูลแต่ละกลุ่มนั้นสามารถ
ทำได้ อาทิเช่น 1=เพศชาย 2=เพศหญิง เป็นต้น

· มาตราเชิงอันดับ (ordinal scale) เป็นมาตรการวัดที่จำแนกข้อมูลออก
เป็นกลุ่ม โดยข้อมูลที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีลักษณะเหมือนกัน และสามารถ
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มได้ว่ามีค่ามากน้อยเพียงใด ทำให้สามารถ
จัดเรียงลำดับข้อมูลแต่ละกลุ่มได้ ตัวอย่างเช่น ส่วนสูง ระดับการศึกษา เป็นต้น
การกำหนดตัวเลขให้กับข้อมูลแต่ละกลุ่มสามารถทำได้ อาทิเช่น 1=ช่วงอายุแรก
เกิด – 10 ปี 2=ช่วงอายุ 11 – 20 ปี 3=ช่วงอายุ 21-30 ปี 4=ช่วงอายุ ตั้งแต่31 ปี
ขึ้นไป เป็นต้น จะเห็นได้ว่าสามารถจัดเรียงลำดับกลุ่มได้ทั้งจากน้อยไปมากได้แก่
1 2 3 4 หรือจากมากไปน้อยได้แก 4 3 2 1

· มาตราอันตรภาค (interval scale) เป็นมาตรการวัดของข้อมูลเชิงปริมาณ
นั่นคือสามารถวัดค่าของข้อมูลเป็นตัวเลขได้และสามารถบอกปริมาณของข้อมูล
ได้ว่าได้ว่ามีค่ามากน้อยเพียงใด ข้อมูลระดับมาตราอันตรภาคเป็นข้อมูลที่ไม่มี
ศูนย์แท้ (absolute zero) นั่นคือค่าของข้อมูลที่มีค่าเป็น ไม่มีความหมายว่าข้อมูล
ประเภทนั้นไม่มีค่าเลย ตัวอย่างเช่น น้ำอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ไม่ได้
หมายความว่าน้ำไม่มีอุณหภูมิเลย เป็นต้น

· มาตราอัตราส่วน (ratio scale) เป็นมาตรการวัดของข้อมูลเชิงปริมาณ
เหมือนมาตราอันตรภาค แต่ข้อมูลระดับมาตรอันตรภาคเป็นข้อมูลที่มีศูนย์แท้
(absolute zero) นั่นคือค่าของข้อมูลที่มีค่าเป็น 0 จะมีความหมายว่าข้อมูล
ประเภทนั้นไม่มีค่าเลย ตัวอย่างเช่น นาย ก มีเงินติดตัวอยู่ 0 บาท แสดงว่า ณ
ขณะนี้นาย ก ไม่มีเงินติดตัวเลย เป็นต้น

7

สถิติศาสตร์เชิงพรรณนาและ
สถิติศาสตร์เชิงอนุมาน

ความหมายของสถิติเชิงพรรณนา
สถิติเชิงพรรณนาหมายถึงระเบียบวินัยที่อธิบายลักษณะสำคัญของชุด

ข้อมูลในเชิงปริมาณ สำหรับวัตถุประสงค์ในการอธิบายคุณสมบัติจะใช้การวัด
แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางเช่นค่าเฉลี่ยค่ามัธยฐานโหมดและมาตรการการกระ
จายเช่นช่วงค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเบี่ยงเบนควอร์ไทล์และความแปรปรวน
เป็นต้น ข้อมูลถูกสรุปโดยนักวิจัยอย่างเป็นประโยชน์ด้วยความช่วยเหลือของ
เครื่องมือที่เป็นตัวเลขและกราฟิกเช่นแผนภูมิตารางและกราฟเพื่อแสดงข้อมูล
อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอข้อความเพื่อสนับสนุนแผนภาพเพื่อ
อธิบายสิ่งที่เป็นตัวแทน

ความหมายของสถิติเชิงอนุมาน
สถิติเชิงอนุมานเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการสรุปโดยทั่วไปตั้งแต่กลุ่มตัวอย่าง

ไปจนถึงประชากรนั่นคือผลของการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างสามารถอนุมานได้กับ
ประชากรกลุ่มใหญ่ซึ่งนำตัวอย่างมา เป็นวิธีที่สะดวกในการหาข้อสรุปเกี่ยวกับ
ประชากรเมื่อไม่สามารถสอบถามสมาชิกแต่ละคนในจักรวาลได้ กลุ่มตัวอย่างที่
เลือกเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด ดังนั้นจึงควรมีคุณลักษณะที่สำคัญของ
ประชากร


Click to View FlipBook Version