ความจำระยะสั้น
จิตวิทยาการรู้คิด
นักศึกษาชั้นปีที่2
สาขาจิตวิทยาองค์การ
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็ นส่วนหนึ่งของ PG 2114 ความจำ
ระยะสั้นโดยมีจุดประสงค์ เพื่ อการศึกษาความรู้เกี่ยวกับ
ความจำและความจำระยะสั้น รวมถึงทฤษฎีที่เกี่ยวกับ
ความจำ ในรายวิชา จิตวิทยาการรู้คิด โดยผู้จัดทำได้
เลือก หัวข้อ เนื่องมาจากเป็ นเรื่องที่น่าสนใจ สามารถนำ
ไปต่อยอดหรือใช้ประโชน์ได้ผู้จัดทำต้องขอขอบคุณ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทัศนีย์ บุญแรง อาจารย์ประจำ
วิชา ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษามาโดยตลอด ผู้
จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็ น
ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
นักศึกษาจิตวิทยาองค์การปี 63
ผู้จัดทำ
สารบัญ
คำนำ ก
ข
สารบัญ 1
2
ความหมายของความจำ 2
3
กระบวนการจำของมนุษย์
4
10
ความจำเพื่ อใช้ปฎิบัติงาน 11
การเพิ่ มประสิทธิภาพความจำระยะสั้น 13
วิธีการเสริมสร้างความจำ 16
แบบจำลองความจำ 18
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถของความจำ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ
ของความจำ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบ
ความจำในประเทศ
บรรณานุกรม
PAGE 1
ความหมายของความจำ
ความจำ
คือกระบวนการเก็บรักษา การทบทวน การค้นคืน และการระลึกข้อมูล
จากประสบการณ์ในอดีตและข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนั้นเพื่ อนำมาใช้ในปั จจุบัน
ความจำระยะสั้น (Short-Term Memory หรือ STM)
คือหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลได้จำกัด ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ความจำชนิดนี้มักจะถูกรบกวนได้ง่ายและสามารถถูกลืมได้ภายในไม่กี่วินาที
เราใช้ความจำระยะสั้นในการจำชั่วคราว เพื่ อใช้ในการทำงาน เช่น การ
พยายามจดจำหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อได้ฟั งหรือเห็นหมายเลข ข้อมูลนั้นก็จะ
เข้าไปในอยู่ความจำระยะสั้นของเราเพื่ อจะจดลงไป ระยะเวลาความคงทน
ประมาณ30วินาทีเราอาจจำไม่ได้อีกเลยว่าหมายเลขที่เพิ่ งจดไปนั้นคืออะไร
หากต้องการจะจดใหม่ เราอาจต้องทวนหมายเลขอีกครั้ง ปั จจัยที่ทำให้เรา
สามารถจดจําได้นานขึ้นนั้นคือ การจดบันทึก (Recording) และการทบทวน
(Rehearsal)
(1) ความจำกัดของ STM STM เป็ นความจำชั่วคราวต้องเอาใจจดจ่ออยู่
ตลอดเวลา มิฉะนั้นสิ่งที่อยู่ใน STM ก็จะสูญหายไป เนื่องจากความสามารถ
ในการเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ของคนเรามีจำกัดมีความจุข้อมูล 7บวก
ลบ 2หน่วย( 5-9 ) ในขณะหนึ่งๆ หากมีสิ่งต่างๆ อยู่ใน STM มากเกินไป เรา
ย่อมไม่อาจจะเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างทั่วถึง และสิ่งที่ไม่ได้รับการ
ใส่ใจนี้ก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
(2) การสับสนเสียงใน STM การจำใน STM มีลักษณะเป็ นการพู ดทบทวนใน
ใจ เช่น ขณะที่กำลังกรอกตัวเลขลงบัญชี ใจต้องจดจ่ออยู่กับจำนวนตัวเลข
ที่จำอยู่ใน STM การจดจ่อนี้มักอยู่ในรูปการพู ดทบทวนในใจ เช่น “สาม สี่
เจ็ด ห้า จุด ห้า ศูนย์” จึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ จำอยู่
ใน STM นั้นมีลักษณะเป็ นเสียงพู ดในใจ ดังนั้น การสับสนเสียง ใน STM จึง
เป็ นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ
PAGE 2
กระบวนการจำของมนุษย์ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
1. กระบวนการใส่รหัสข้อมูล (Encoding) เป็ นกระบวนการประมวล และให้ความ
หมายกับสิ่งที่รับรู้ เพื่ อที่จะสร้างตัวแทนของสิ่งนั้น ขึ้นมาเก็บไว้ใน ระบบความ
จำ
2. กระบวนการเก็บจำ (Storage) เป็ นกระบวนการเก็บรักษาตัวแทนของ ข้อมูล
ที่ได้รับมาให้อยู่ในหน่วยความจำ
3. กระบวนการนำข้อมูลออกมาจากระบบการจำ (Retrieval) เป็ นการดึงข้อมูล
ที่ถูกใส่รหัสและเก็บอยู่ในหน่วยความจำออกมาใช้
ความจำเพื่ อใช้ปฎิบัติงานหรือ Working Memory
คือความจำเพื่ อใช้ปฎิบัติงาน หรือความจำที่ใช้ในการทำงาน คือทักษะความ
จำที่เก็บข้อมูลที่ได้เห็นหรือได้ยินในระยะเวลาสั้นๆ เพื่ อนำมาแปลผลและปฏิบัติ
การต่อ ใช้ประมวลผลกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะซับซ้อน เช่น ความเข้าใจทางภาษา,
การคิด (Thinking), การอ่าน (Reading), การเรียน(Learning), หรือการใช้
เหตุผล โดย Working Memory จัดเป็ นความจำระยะสั้นประเภทหนึ่ง
ลักษณะของ Working Memory
สามารถจดจำข้อมูลได้เพี ยง 5-9 หน่วย และมักถูกรบกวนได้ง่ายนอกเหนือ
จากการเก็บข้อมูลแล้ว ยังสามารถจัดการและแปลงข้อมูลได้ เนื้อหาของข้อมูล
จะถูกปรับปรุงอย่างถาวร สั่งการโดยสมองส่วน Dorsolateral frontal
cortex หรือสมองส่วนหน้าบริเวณหน้าผา
PAGE 3
การเพิ่ มประสิทธิภาพความจำระยะสั้น
การเพิ่ มประสิทธิภาพความจำระยะสั้นสามารถทำได้หลายวิธี
1. การรวมข้อมูลเป็ นหน่วยและช่วงความจำ (chunking and memory span)
Chunk คือ การจัดกลุ่ม รวมเป็ นหน่วย/เรื่อง และ Memory spen คือ จำนวน
หน่วยของข้อมูล ที่มีจำนวนมากที่สุดที่สามารถบรรจุในการจำช่วงเวลาหนึ่ๆ
เราสามารถจัดเก็บข้อมูลมากขึ้นในความจำระยะสั้นโดยการลงรหัสข้อมูลอย่าง
มีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Chunking หรือการจัดกลุ่ม
2. การฝึ กซ้ำ (Rehearsal)
ถ้าจำนวนครั้งของการฝึ กซ้ำและทวนซ้ำมากขึ้น การระลึกได้ก็อาจจะมีมากขึ้น
ในขณะเดียวกันบุคคลมักจะเลือกจำในสิ่งที่นำเสนอเป็ นสิ่งแรก กับสิ่งที่นำเสนอ
หลังสุด ได้ดีกว่าช่วงกลางๆ
PAGE 4
วิธีการ เสริมสร้างความจำ
ใช้เทคนิคเชื่อมโยงความจำ.
การเชื่อมโยงความจำก็คือการใช้ภาพบางอย่างเพื่ อเชื่อมโยงไปยังรายละ
เอียดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็ นข้อความหรือภาพอื่นๆ
หากคุณมักลืมประวัติศาสตร์ว่า
ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใด
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการบุกยึดอ่าวหมู
(Bay of Pigs Invasion)
ก็แค่จำภาพประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
(JFK) กำลังดำน้ำพร้อมกับมีหมูรายล้อมอยู่
ซึ่งอาจดูเหมือนตลก แต่มันจะช่วยให้คุณนึกออกทันที เวลาที่เจอข้อสอบ
คำถามดังกล่าว
1. สมองของคุณจะจดจำข้อมูลให้แม่นยำได้ ด้วยการสร้างภาพในหัวสักอย่าง
ซึ่งพอนึกถึงมันปุ๊บ รายละเอียดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับภาพนั้น จะหลั่งไหลพรั่ง
พรูออกมาทันที เช่น คุณผู้หญิงที่ชอบพกกระเป๋ าหลายใบ หากคุณชอบลืมว่า
เก็บกุญแจรถไว้ในใบไหน ก็ลองหมั่นนึกภาพว่า กระเป๋ าใบนั้นมีล้อรถงอกออก
มาแล้ววิ่งฉิวออกไป ฝึ กการจินตนาการภาพแปลกๆ เช่นนี้เพี ยงไม่นาน ทุก
ครั้งที่คุณจะหยิบกุญแจรถ ก็จะนึกถึงเจ้ากระเป๋ าใบดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
2. ยิ่งภาพมีความเป็ นเอกลักษณ์และแปลกมากเท่าไร สมองคุณก็จะจำได้ดียิ่ง
ขึ้น
PAGE 5
3. ใช้เทคนิคเชื่อมโยงความจำในการจดจำตัวเลข.
สมมุติว่า คุณต้องกรอกเลขประจำตัวนักเรียน หรือเลขประจำตัว พนักงา
นบ่อยๆ ด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่คุณก็จำไม่ได้เสียที คุณก็แค่แตกย่อยตัวเลข
ออกเป็ นกลุ่มๆ เช่น ตัวเลข 12-7575-23คุณก็หาความหมายมาเติมให้ตัวเลขแต่
และกลุ่ม สมมุติว่า 12 เป็ นเลขที่บ้านคุณ และ 75 เป็ นอายุของคุณยาย ส่วน 23
เป็ นหมายเลขข้างหลังเสื้อนักกีฬาคนโปรดของคุณ เช่น ไมเคิลจอร์แดน คุณก็
อาจใช้จินตภาพดังนี้ช่วยจำตัวเลขทั้งหมด: 1 นึกภาพบ้านของคุณ
โดยมีคุณยาย สอง คนยืนอยู่ด้านขวาของบ้าน
และถัดจากคุณยายคือไมเคิล จอร์แดน
ตามลำดับ แค่นี้คุณก็จะได้ตัวเลขทั้งหมด
คือ 12 (บ้าน) 7575(ยายสองคน)
23 (ไมเคิลจอร์แดน) โดยจำภาพแค่ภาพเดียว
4. ใช้เทคนิคจับแยก.
เทคนิคดังกล่าวคือ การจัดกลุ่มสิ่งที่คุณต้องการจะจำ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่
กระจัดกระจายกัน เช่น รายการสิ่งที่ต้องซื้อเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งคุณจะจำได้ง่าย
ขึ้น โดยจัดกลุ่มแบ่งตามประเภทเป็ น ผัก ผลไม้ เครื่องดื่ม ขนม ฯลฯ หรือคุณอาจแบ่ง
ตามตัวอักษรนำหน้า เช่น หากต้องซื้อกาแฟ ไข่ ขนมปั ง เบคอน คุณก็จำแค่ 1ก, 2ข,
1บ ซึ่งเชื่อเถอะว่าแค่คุณคิดถึงตัวเลขและตัวย่อ สมองคุณก็จะนึกออกเองว่าตัว
อักษรแต่ละตัวแทนรายการสินค้าใด ซึ่งจะช่วยให้คุณจ่ายตลาดได้เร็วขึ้น
1. หากคุณจำเป็ นต้องซื้อผัก 4 ชนิด ก็จะยิ่งจำง่ายเข้าไปใหญ่ เมื่อใช้เทคนิคดังกล่าว
PAGE 6
2. เทคนิคจับแยกเป็ นวิธีการเดียวกัน กับการที่เรามักขีดคั่นหมายเลขโทรศัพท์ เพื่ อให้จำ
ง่าย คุณว่าแบบไหนจำง่ายกว่ากันล่ะระหว่าง 832657782 กับ 083-265-7782
3. คุณอาจคิดว่าไม่มีทางจำเลขพวกนี้ 17761812184818651898 แต่หากคุณลองแบ่งสี่
และเติมความหมายเลขทั้ง 5 กลุ่มเป็ นปี คริสตศักราช จากนั้น ก็ลองกูเกิ้ลดูว่าในตัวเลข
แต่ละปี นั้น มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งในกรณีนี้ คุณก็อาจจะจดจำให้เป็ น
เหตุการณ์หรือชื่อสงครามทั้งหมด มาร้อยเรียงกันคือ สงครามประกาศอิสรภาพ –
สงครามปี 1812 – สงครามเม็กซิกัน อเมริกัน – สงครามกลางเมือง – สงครามสแปนิช
อเมริกัน
5. เทคนิคคำคล้องจอง.
โดยคุณอาจจะใช้คำตามแบบของคุณเอง ไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกไวยากรณ์หรือไม่
หรือฟั งดูตลกเพี ยงใด เพราะจุดประสงค์คือ คุณจำได้ก็พอแล้ว เช่น หากจะจำว่า
เดือนไหนมี 30 หรือ 31 วัน ก็แต่งกลอนแบบง่ายๆ เช่น "สามสิบลงท้ายด้วยยน
เดือนไหนคมก็มีสามเอ็ด" นอกจากนี้ คุณอาจดูตัวอย่างต่อไปนี้เพิ่ มเติม:[4]
1. ลองกูเกิ้ลหาเพลงของอัสนี – วสันต์ ชื่อเพลง “กรุงเทพมหานคร” มาฟั งกันดู
เพราะนั่นเป็ นเพลงที่ช่วยให้คนทั้งประเทศ สามารถจำชื่อเต็มๆ ของกรุงเทพมหานคร
ด้วยการนำชื่อดั้งเดิมมาใส่ทำนอง และแบ่งวรรคแบบใหม่ เพื่ อให้เราจำได้อย่าง
คล้องจองลงตัว: กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรา- ยุธยามหาดิลก –
ภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ – อุดมราชนิเวศน์ - มหาสถาน อมรพิ มานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
เพลงกล่อมเด็กอันเป็ นที่นิยมไปทั่วโลกอย่างเพลง ทวิงเกิล ทวิงเกิล ลิตเติ้ล สตาร์
(Twinkle, Twinkle, Little Star) ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ ซึ่งได้ผลดีทีเดียวล่ะ
PAGE 7
6. เทคนิคอักษรย่อ.
การใช้อักษรย่อช่วยจำ มีประโยชน์และเป็ นวิธีที่สร้างสรรค์มากวิธีหนึ่ง คล้ายๆ
กับวิธีที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างการทำแผนธุรกิจโดยใช้หลัก SWOT (Strength-
Weakness-Opportunity-Threat) โดยหากคุณต้องการจดจำสิ่งของที่
ต้องซื้อ คุณก็สามารถกำหนดตัวย่อให้เป็ นคำอะไรก็ได้ เช่น ไข่ มาม่า และนม
สด คุณก็เอาตัวย่อมาเรียงสลับกันนิดหน่อยเป็ น ข.น.ม. หรือขนมนั่นเอง และ
เรายังมีตัวอย่างอีกมากมาย:
1. HOMES. คำว่าโฮมส์ เป็ นคำที่คนอเมริกันใช้จำชื่อแม่น้ำหลักทั้ง 5 สายคือ:
Huron, Ontario, Michigan, Erie และ Superior.
2. อุอีบูอาทักหอปะพา คำดังกล่าวอาจฟั งดูแปลก แต่มันเป็ นเทคนิคที่คนไทย
เราในสมัยก่อน ใช้จดจำทิศทั้ง 8 ของไทย ได้แก่ อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์
ทักษิณ หรดี ปั จฉิม และพายัพ
3. นอกจากนี้ ยังมีคำที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอย่าง คตินักปราชญ์ “สุจิปุลิ” ซึ่งย่อ
มาจาก สุตะ จินตะ ปุจฉา และลิขิต (ฟั ง คิด ถาม เขียน) นั่นเอง
PAGE 8
7. เทคนิคสร้างประโยค.
การสร้างประโยคจะคล้ายคลึงกับการใช้ตัวย่อ ต่างกันตรงที่เราจะเอาอักษร
แรกมาเปลี่ยนเป็ นคำใหม่ และเมื่อนำแต่ละคำมาเรียบเรียง ก็จะเป็ นประโยคๆ
หนึ่ง ให้จำได้ง่ายๆ เช่น เวลาที่ชาวตะวันตกเขาจะจำชื่อดาวนพเคราะห์ทั้ง 9
ดวง ซึ่งก็คือ Mercury, Venus, Earth, Mars, Jupiter, Saturn, Uranus
และ Neptune
พวกเขาก็มักจะจำว่าเป็ นประโยคว่า "My very eager mother just sent
us noodles." หรือ “
คุณแม่ผู้ทุ่มเทของฉัน เพิ่ งส่งบะหมี่มาให้”
มาดูตัวอย่างกันอีกสักนิด
1. Every Good Boy Does Fine (เด็กดีทุกคนทำได้ดี)
ประโยคนี้ ฝรั่งเขาเอาไว้จำตัวโน้ตบนบรรทัด 5 เส้น
ซึ่งก็คือ EGBDF นั่นเอง
2. ส่วนของไทยเรา ก็มีตัวอย่างการสร้างประโยค
ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณย่า เช่นประโยคที่ว่า
“ชิดชัยมิลังเล เพี ยงพบอนงค์” ซึ่งใช้จำจังหวัดทางภาคเหนือของไทยทั้ง 9
จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพู น ลำปาง แพร่ พะเยา
อุตรดิตถ์ และน่าน
3. นอกจากนี้ ยังมีการจำหมวดอักษรในภาษาไทยเรา เช่นที่เราได้ยินกันบ่อย
ที่สุด คือ อักษรกลาง ด้วยประโยคที่ว่า “ไก่จิกเด็ก(ฎ)ตาย(ฏ)บนปากโอ่ง”
4. ส่วนอักษรหมวดที่เหลือ ซึ่งอาจได้ยินกันไม่บ่อยนัก คือ อักษรสูง “ผีฝาก
ถุง(ฐ)ข้าว(ฃ)สาร(ษ ศ)ให้ฉัน” และอักษรต่ำคู่ “พ่ อ(ภ)ค้า(ฅ ฆ)ฟั น ทอง(ธ ฐ
ฒ)ซื้อช้าง(ฌ)ฮ่อ และสุดท้ายคือ อักษรต่ำเดียว “งูใหญ่นอนอยู่ ณ วัดโมรี
โลก(ฬ)” เป็ นต้น
PAGE 9
8. เทคนิคโลซาย (Loci).
เทคนิคนี้เป็ นวิธีที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โดยใช้สถานที่ในการเชื่อม
โยงข้อมูลในความทรงจำ โดยเริ่มจากการจินตภาพสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่
คุณรู้สึกคุ้นเคย ให้แจ่มชัดอยู่ในใจ จากนั้น หากคุณต้องการจดจำสิ่งใด ก็ให้
นึกภาพว่า มีสิ่งของเหล่านั้นอยู่ตามจุดต่างๆ ในสถานที่ดังกล่าว
1. สมมุติว่า คุณต้องจำหมวดอักษรสูง กลาง และต่ำ ในคราวเดียวกัน หาก
คุณต้องการให้ง่ายขึ้นไปอีก คุณก็สามารถใช้วิธีโลซายนี้ ด้วยการจินตภาพ
เป็ นภาพวัดเอาไว้ในใจ โดยสมมุติเอาว่าเป็ น วัดโมรีโลกฯ โดยมีงูใหญ่นอนอยู่
และมีผีฝากถุงข้าวสารกำลังยื่นให้คุณ ส่วนอีกมุมหนึ่ง ก็มีภาพไก่กำลังจิก
เด็กตายบนปากโอ่ง ซึ่งภาพทั้งหมดนี้อาจดูเหลวไหล แต่จุดประสงค์ก็เพื่ อ
จดจำข้อมูลจำนวนมาก ด้วยการนึกภาพเพี ยงภาพเดียวเท่านั้น ซึ่งคุณ
สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้ ตามแบบของตัวเอง
2. บางครั้งเวลาที่คุณจัดเรียงข้อมูลบางอย่าง โดยเอ่ยว่า “ลำดับหนึ่ง” และ
“ลำดับสอง” ไปตามลำดับนั้น ก็เป็ นวิธีการที่มีรากฐานคล้ายคลึงกับเทคนิคโล
ซายนี้เหมือนกัน
PAGE 10
แบบจำลองความจำ
1.การจัดการส่วนกลาง เป็ นส่วนที่ควบคุมระบบทั้งหมด ทำหน้าที่ในการเก็บ
ความจำ แก้ปั ญหา และความใส่ใจ รวมถึงการควบคุมระบบผู้รับใช้ ประกอบ
ด้วย ภาพร่างเหตุการณ์ ส่วนรับเหตุการณ์ วงจรเสียง การจัดการส่วนกลาง
ทำให้ภาพร่างช่วงที่เห็นกับวงจรเสียงทำงารประสานกัน
2.ภาพร่างช่วงที่เห็น เป็ นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น มิติสัมพันธ์
โดยแบ่งออกเป็ น2ชนิด คือ การรับภาพที่เป็ นลักษณะรูปร่างและสี การ
เคลื่อนไหว
3.ส่วนรับเหตุการณ์ เป็ นองค์ประกอบที่สำคัญในการลำดับเหตุการณ์เรื่องราว
ทำหน้าที่เชื่อมข้อมูลเพื่ อนำเข้าสู่ความจำระยะยาวและการแปลงความหมาย
ข้อมูล
4. วงจรเสียง เกี่ยวข้องกับการพู ดและการได้ยินเป็ นกระบวนการรับข้อมูลทาง
เสียง 2ส่วน คือ การเก็บจำเสียง และกลไกในการทบทวบซ้ำข้อแตกต่างของ
ความจำระยะสั้นแลพความจำขณะทำงานคล้ายกันความจุของความจำที่มี
จำกัดต่างกัน ความจำขณะทำงานจะดึงข้อมูลจากความจำระยะยาวออกมาใช้
เป็ นความจำที่นำมาใช้ในกระบวนการคิดจะคงข้อมูลที่พึ่ งได้รับไว้มาใช้ใน
กระบวนการคิด
PAGE 11
งานวิจัย
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านความจํา
ในทางจิตวิทยา ได้มีการกล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการจําและการลืมไว้หลาย
ทฤษฎี แต่ที่สําคัญสรุปได้มี 4 ทฤษฎี คือ
ทฤษฎีความจําสองกระบวนการ (Two – Process Theory of Memory)
ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย แอตคินสัน และชิฟฟริน (Atkinson and Shiffrin)
ในปี ค.ศ. 1968 กล่าวถึงความจําระยะสั้นหรือความจําทันทีทันใดและความจํา
ระยะยาวว่า ความจําระยะสั้นเป็ น ความจําชั่วคราว สิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในความจํา
ระยะสั้นจะต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอดเวลามิ ฉะนั้นความจําสิ่งนั้นจะสลาย
ตัวไปอย่างรวดเร็ว ในการทบทวนนั้นเราจะไม่สามารถทบทวนทุก สิ่งที่เข้ามาอยู่
ในระบบความจําระยะสั้น ดังนั้นจํานวนที่เราจําได้ในความจําระยะสั้นจึงมีจํากัด
การทบทวนป้ องกันไม่ให้ความจําสลายตัวไปจากความจําระยะสั้น และถ้าสิ่งใด
อยู่ในความจํา ระยะสั้นเป็ นระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝั งตัวในความจํา
ระยะยาว ถ้าเราจําสิ่งใดได้ในความจําระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝั งตัวใน
ความจําระยะยาว ถ้าเราจําสิ่งใดไว้ในความ จําระยะยาวสิ่งนั้นก็จะติดอยู่ใน
ความทรงจําตลอดไป (ชัยพร วิชชาวุธ, 2520 : 71)
ทฤษฎีการสลายตัว (Decay Theory)
เป็ นทฤษฎีการลืม กล่าวว่า การลืมเกิด ขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวน
หรือไม่นําสิ่งที่จะจําไว้ออกมาใช้เป็ นประจํา การละเลยจะ ทําให้ความจําค่อย ๆ
สลายตัวไปเองในที่สุด ทฤษฎีการสลายตัวนี้น่าจะเป็ นจริงในความจํา ระยะสั้น
เพราะในความจําระยะสั้นหากเรามิได้จดจ่อหรือสนใจทบทวนในสิ่งที่ต้องการ
จะจํา เพี ยงชั่วครู่สิ่งนั้นจะหายไปจากความทรงจําทันที (Adams, 1967 : 23 -
25)
PAGE 12
ทฤษฎีการรบกวน (Interference Theory)
เป็ นทฤษฎีเกี่ยวกับการลืมที่ยอมรับ กันในปั จจุบันทฤษฎีหนึ่ง ทฤษฎีนี้ขัด
แย้งกับทฤษฎีการสลายตัว โดยกล่าวว่าเวลาเพี ยงอย่าง เดียวไม่สามา
รถทําให้เกิดการลืมได้แต่สิ่งที่เกิดในช่วงดังกล่าวจะเป็ นสิ่งคอยรบกวนสิ่ง
อื่น ๆ ในการจํา การรบกวนนี้แยกออกเป็ น 2 แบบ คือ การตามรบกวน
(Proactive Interference) หรือการรบกวนตามเวลา หมายถึง สิ่งเก่า ๆ ที่
เคยประสบมาแล้วหรือจําได้อยู่แล้วมารบกวน สิ่งที่จะจําใหม่ ทําให้จําสิ่งเร้า
ใหม่ไม่ค่อยได้อีกแบบของการรบกวนก็คือ การย้อนรบกวน (Retroactive
Interference) หรือการรบกวนย้อนเวลา หมายถึงการพยายามจําสิ่งใหม่
ทําให้ลืม สิ่งเก่าที่จําได้มาก่อน (Adams, 1980 : 299 - 307) จึงกล่าวได้ว่า
ทฤษฎีการลืมนี้เกิดขึ้นโดย ความรู้ใหม่ไปรบกวนความรู้เก่า ทําให้ ลืมความรู้
เก่าและความรู้เก่าก็สามารถไปรบกวนความรู้ใหม่ได้ด้วย
ทฤษฎีการจัดกระบวนการตามระดับความลึก (Depth – of – Processing
Theory)
ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย เครก และลอกฮาร์ท (Craik and Lockhart) ในปี
1972 ซึ่ง ขัดแย้งกับความคิดของ แอตคินสัน และชิฟฟริน ที่กล่าวว่า ความ
จํามีโครงสร้างและตัวแปรสําคัญของความจําในความจําระยะยาวก็คือ
ความยาวนานของเวลาที่ทบทวนสิ่งที่จะจําใน ความจําระยะสั้น แต่เครก และ
ลอกฮาร์ท มีความคิดว่า ความจําไม่มีโครงสร้างและความจําที่ เพิ่ มขึ้นไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะมีเวลาทบทวนในความจําระยะสั้นนาน แต่เกิดขึ้นเพราะความซับ
ซ้อนของการเข้ารหัสที่ซับซ้อนหรือการโยงความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้อ
งการจํา ย่อมอาศัยเวลา แต่เวลาดังกล่าวไม่ใช่เพื่ อการทบทวน แต่เพื่ อการ
ระลึกหรือซับซ้อนของการกระทํากับสารที่เข้า ไป (การเข้ารหัส) ถ้ายิ่งลึก
(ซับซ้อน) ก็จะยิ่งจําได้มาก นั่นคือต้องใช้เวลามากด้วย (ไสว เลี่ยม แก้ว,
2528 : 20 - 23)
PAGE 12
ในด้านเชาวน์ปั ญญาและความถนัดนั้น ทฤษฎีความถนัดด้านความจํายังไม่มีผู้
ใด กล่าวไว้โดยตรง แต่จะรวมอยู่เป็ นองค์ประกอบหนึ่งในทฤษฎีต่าง ๆ เช่น
1. ทฤษฎีหลายองค์ประกอบ (Multiple Factor Theory) ของเทอร์สโตนซึ่ง
วิเคราะห์องค์ประกอบในปี 1958 พบว่าความสามารถปฐมภูมิของสมอง
(Primary MentalAbility) ของมนุษย์ที่เห็นและสําคัญมีอยู่ 7 ประการ คือ
องค์ประกอบด้านภาษา (Verbal Factor) องค์ประกอบด้านความคล่องแคล่ว
ในการใช้คํา (Word Fluency Factor) องค์ประกอบด้านจํานวน (Number
Factor) องค์ประกอบด้านมิติสัมพันธ์(Space Factor) องค์ประกอบด้าน
ความจํา (Memory Factor) องค์ประกอบด้านการรับรู้ (Perception
Factor) และ องค์ประกอบด้านเหตุผล (Relation Factor) สําหรับองค์
ประกอบด้านความจํานั้นเป็ นความสามารถด้านความทรงจําเรื่องราวและมีสติ
ระลึกรู้จนสามารถ่ายทอดได้ (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2527 : 29 -
30)
2. โครงสร้างทางสมอง (The Structure of Intellect Theory) ของกิลฟ
อร์ด (Guilford) เสนอว่า โครงสร้างทางสมองมองได้ในลักษณะ 3 มิติ ผล
ของการคิด หมายถึง ผลของกระบวนการจัดกระทําของความคิดกับข้อมูล
จากเนื้อหา นับองค์ประกอบรวมกันได้ 120 องค์ประกอบ (Guilford, 1971 : 61 -
63) ต่อมาได้พบว่าในส่วนของภาพ (Figural) แบ่ง เป็ นสิ่งที่มองเห็น
(Visual) และสิ่งที่ได้ยิน (Auditory) ส่วนที่เป็ นความจํา (Memory) นั้น แบ่ง
ออกเป็ นการบันทึกความจํา (Memory Recording) และการเก็บรักษาความ
จํา (Memory Retention) นับองค์ประกอบรวมขึ้นเป็ น 180 องค์ประกอบ
(Guilford, 1988 : 1 - 4)
3. ทฤษฎีความสามารถทางสมองสองระดับ (Two – Level Theory of
Mental Ability) กล่าวว่า ความสามารถทางสมองมีอยู่ 2 ระดับ ระดับที่ 1
(Level I) เป็ นความ สามารถด้านการเรียนรู้และจําอย่างนกแก้ว นั่นคือ เป็ น
ความสามารถที่จะสั่งสมหรือสะสมข้อมูล ไว้ได้และพร้อมที่จะระลึกออกได้
ระดับนี้ไม่ได้รวมการแปลงรูปหรือการกระทําทางสมองแต่ประการใด เป็ นวิธี
การที่ไม่ใช่ความคิดเลย ระดับที่ 2 (Level II) เป็ นระดับที่สมองสร้างมโน ภาพ
เหตุผล และแก้ปั ญหา (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2527 : 34)
PAGE 13
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านความจำ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านความจําได้มีผู้วิจัยทําการศึกษาโดยใช้
แบบทดสอบความจําที่มีลักษณะต่าง ๆ กันในการวัดความสามารถด้านความจํา
เช่น สมิธ (Smith, 1966 : 1671) ได้ศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อผลการเรียนวิชาเคมี
พบว่า มีองค์ ประกอบด้านความจํารวมอยู่ด้วย และได้มีผู้วิจัยหลายท่านได้แสดงให้
เห็นว่า รูปภาพและ คําเป็ นสิ่งเร้าที่ทําให้การเรียนรู้แตกต่างกัน เช่น เฮอร์แมนและคน
อื่น ได้ทําการศึกษาพบว่ารูปภาพช่วย ให้เรียนรู้ได้เร็วกว่าคํา ลัมส์พบว่า เมื่อใช้
รูปภาพเป็ นสิ่งเร้าในคู่สัมพันธ์จะเรียนรู้ได้เร็วกว่าเมื่อใช้คําเป็ นสิ่งเร้า และดูชาร์มและ
ฟราอิสส์ ได้สร้าง แบบทดสอบระลึกคําและรูปภาพ พบว่าเด็กมี แนวโน้มที่จะระลึก
คําได้มากกว่ารูปภาพ แต่ สําหรับผู้ใหญ่จะระลึกรูปภาพได้มากกว่าคําอินเกอร์ซอลล์
และปี เตอร ได้ใช้แบบ ทดสอบ GATB สําหรับการแนะแนวทางด้านการเรียนในรัฐ
ไอโอวา พบว่าความสามารถทาง ด้านความจํากับความสามารถทางด้านการเรียน
วิทยาศาสตร์ทั่วไปมีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ .636
เจนกินส์ และคนอื่น ๆ (Jenkins and others,1967 : 303 - 307) ได้ทดลองความ
แตกต่างของความจําเมื่อใช้สิ่งเร้าประกอบด้วยภาพและคํา โดยทดลองกับนิสิตชั้น
ที่ 2 แห่ง
มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า สหรัฐอเมริกา จำนวน 120 คน โดยแบ่งการทดลองเป็ น 4
ตอน ดังนี้
ดูภาพ จำภาพ (ภ ภ)
ดูคํา จำคำ (ค ค)
ดูภาพ จำคำ (ภ ค)
ดูคํา จำภาพ (ค ภ)
PAGE 14
จากการทดลองผลปรากฏว่า กลุ่ม ภ ภ จําได้ดีกว่ากลุ่ม ค ค (p < .01) ส่วน
กลุ่ม ภ ค จําได้เท่ากับกลุ่ม ค ค แต่จะจําได้ดีกว่ากลุ่ม ค ภ มาก (p < .025) ซึ่ง
ผลการ ทดลองสอดคล้องกับสมมติฐานของเขาที่ว่า รูปภาพจําได้ดีกว่าคํา
คินส์(Kintsch, 1969 : 1) ได้ศึกษาถึงสถานการณ์เรียนรู้แบบต่าง ๆ พบว่าการ
เรียนรู้สิ่งที่คู่กันโดยเฉพาะการเรียนรู้ภาษานั้นผู้เรียนจะเรียนแบบคู่สัมพันธ์
(Paired -Associate) วิธีการเรียนแบบคู่สัมพันธ์คือ สิ่งที่เป็ นสัญลักษณ์ทาง
ภาษาสองอันนํามาคู่กัน เพื่ อ ใช้ทดลองเกี่ยวกับการเรียนและการจําโดยใช้ผู้
เรียนเรียนและจําว่าอันไหนคู่กับอันไหน สัญลักษณ์อันแรกเรียกว่าสิ่งเร้า อันที่
สองเรียกว่าการตอบสนอง
แซมมูลส์ ได้ศึกษาผลของคําสัมพันธ์ในการจํา Flashed Words พบว่าการ
จําคําคู่ที่มีความสัมพันธ์กัน จําได้ดีกว่าคําคู่ที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน วิลโกซ
(Wilgosh, 1975 : 375 - 379) ได้ศึกษาผลของความจําตราสําหรับ รูปภาพ
ในเด็กอายุ 4 ขวบ พบว่า ในการจําตรา 3 รูปแบบ คือ ตราที่เป็ นรูปภาพ ตราที่
เป็ นรูป ภาพและภาษา และตราที่เป็ นภาษา พบว่า เด็กจะจําตราที่เป็ นรูปภาพ
และภาษาได้ดี
เมสโตและควีน ได้ศึกษาความจําในวัย รุ่นตอนปลาย และวัยผูเใหญ่ตอนปลาย
เพื่ อเปรียบเทียบความจําที่เป็ นรูปภาพ คํา และรูป ภาพประกอบคํา ผลปรากฏ
ว่า เด็กวัยรุ่นตอนปลายมีความระลึกได้แตกต่างกับ วัยผู้ใหญ่ตอน ปลาย
อย่างมีนัยสําคัญ และกลุ่มตัวอย่างทั้งสองมีความจํารูปภาพ ไม่แตกต่างกัน
สําหรับงานวิจัยในเรื่องของความจําที่เกี่ยวข้องกับเวลา ได้มีผู้ทําการศึกษาไว้
หลาย ท่านเช่น พี เตอร์สัน และพี เตอร์สัน ทํา การทดลองเกี่ยวกับความจํา
ระยะสั้น โดยให้ผู้รับการทดลองจําพยัญชนะ 3 ตัว เช่น JLK หรือ QFZ โดย
ให้ดูพยัญชนะทั้งสามตัวพร้อมกันเพี ยงครั้งเดียวแล้วให้ผู้รับการทดลองนับ
เลข ถอยหลังทีละสามเพื่ อป้ องกันมิให้การทบทวนพยัญชนะสามตัวนั้นอีก
ปรากฏว่าความจําระยะ สั้นได้หายไปอย่างรวดเร็วในเวลา 6 วินาทีเท่านั้น
ความจําลดลงเหลือเพี ยง 60% และเหลือ เพี ยง 10% ในเวลา 18 วินาที
PAGE 15
เมอร์ดอก (Murdok, 1961 : 618 - 625) ได้ทดลองเกี่ยวกับความจําใน 2
สภาพ การณ์ คือ เมื่อสิ่งเร้าเป็ นคําเดี่ยว และสิ่งเร้าเป็ นคําสามคํา พบว่า
อัตราการลืมคําเดี่ยวใน ความจําระยะสั้นเมื่อเวลาผ่านไป 18 วินาที ความ
จําคําเดี่ยวยังอยู่ในระดับ สูงกว่า 80% จึง สรุปได้ว่าอัตราการลืมในความจํา
ระยะสั้นจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับจํานวนคํา นั่นคือ หากสิ่งเร้า ประกอบด้วยคํา
เดี่ยว ๆ หรือหน่วยเดี่ยว ความจําจะลดลงในอัตราที่ ช้ามาก แต่หากสิ่งเร้า
ประกอบด้วยหน่วยหลายหน่วย เช่น พยัญชนะ 3 ตัว หรือคํา 3 คํา ความจําจะ
ลดลงในอัตรา ที่เร็วขึ้น
สมอลล์ (Small, 1987 : 639 - 640) ได้ศึกษาอิทธิพลของอารมณ์ที่มีต่อการ
จําคํา แบบ Recognition การทดลองได้ให้คําที่ก่อให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า
และคําที่ เป็ นกลาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็ นนักเรียนที่ถูกทําให้อารมณ์ซึมเศร้า
กับนักเรียนในกลุ่มควบคุมให้อารมณ์ ปกติ ผลการทดลองพบว่า การจําคําที่
ก่อให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า กับนักเรียนที่ถูกทําให้มีอารมณ์ซึมเศร้า จําได้น้อย
กว่านักเรียนในกลุ่มควบคุม แต่การจําคําที่เป็ นกลางในนักเรียนทั้ง 2 กลุ่มไม่
แตกต่างกัน ผลการทดลองที่ได้สอดคล้องกับทฤษฎีเกี่ยวกับอารมณ์ในการ
เรียนรู้ที่ กล่าวว่า ภาษาหรือคําเกี่ยวข้องกับการเกิดอารมณ์
PAGE 16
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบความจําในประเทศ
สมบูรณ์ ชิตพงศ์ ได้ศึกษาสมรรถภาพทางสมองที่ส่งผลต่อความ สามารถ
ในการเขียนเรียงความ กลุ่มตัวอย่างเป็ นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 จํา
นวน 498 คน พบว่า ความจําเป็ นตัวพยากรณ์ในการเขียนเรียงความที่ดี
สามารถ วีระสัมฤทธิ์ ได้สร้างแบบทดสอบความจําภาพอิสระชนิด เลือกตอบ
5 ตัวเลือก เพื่ อใช้ในการศึกษาความสัมพันธ่ระหว่างสมรรถภาพทางสมอง
กับ ความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 7 โดยให้
เวลาจําสิ่งเร้า 35 คู่5 นาที และ 10 นาทีสําหรับการตอบคําถาม 30 ข้อ ผล
ปรากฏว่าแบบทดสอบความจํามี ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8098 และได้ค่าสห
สัมพันธ์กับความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เท่ากับ .27
สถาพร ทัพพกุล ได้สร้างแบบทดสอบความจําสัญลักษณ์ชนิด เลือกตอบ 4
ตัวเลือก จํานวน 26 ข้อ และเติมคํา 10 ข้อ เพื่ อใช้ในการศึกษาความ สัมพันธ์
โดยให้เวลาในการจําสิ่งเร้า 30 วินาที และเวลาในการตอบ 12 นาที จะได้ค่า
ความเชื่อมั่นเท่ากับ .8547 และมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 7
สุทธิพงษ์สุขะจิระ ได้สร้างแบบทดสอบความจําภาพไร่ความ หมายสําหรับ
นักเรียน 3 ระดับ เพื่ อใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ พบว่า
ระดับประถมศึกษาปี ที่ 7 สร้างแบบทดสอบความจํา โดยให้เวลาจําสิ่งเร้า 24
คู่ 5 นาที และให้เวลา 10 นาที สําหรับการตอบคําถาม 20 ข้อ ได้ค่าความเชื่อ
มั่น .8108 ระดับมัธยมศึกษาปี ที่ 2 สร้างแบบทดสอบความจํา โดยให้เวลาจํา
สิ่งเร้า 32 คู่ 5 นาที และให้เวลา 10 นาที สําหรับการตอบคําถาม 30 ข้อ ได้ค่า
ความเชื่อมั่น .8916 ระดับอุดมศึกษา สร้างแบบทดสอบความจําโดยใช้เวลา
จําสิ่งเร้า 32 คู่ 5 นาที และใหเวลา 8 นาที สําหรับการตอบคําถาม 20 ข้อ ได้
ค่าความเชื่อมั่น .9150
PAGE 17
สุวพร เซ็มเฮง ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความถนัดทาง การ เรียนกับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนธุรกิจศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 พบว่า
แบบ ทดสอบความจําสัญลักษณ์สามารถเป็ นตัวพยากรณ์ที่ดีสําหรับวิชา
ธุรกิจศึกษา
อรุณี เพชรเจริญ ได้สร้างแบบทดสอบวัดความจําสัญลักษณ์อิสระ ชนิด
เลือกตอบ 5 ตัวเลือก เพื่ อใช้ในการศึกษาตัวพยากรณ์ ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์
ทางการ เรียนวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โดยให้เวลาจําสิ่งเร้า
46 คู่ 3 นาที และ ให้เวลา 10 นาทีในการตอบคําถาม 40 ข้อ พบว่าความ
สามารถด้านความจําเป็ นตัวพยากรณ์ที่ ดีในวิชาเคมี
กู้เกียรติ เอี่ยวเจริญ ได้ใช้แบบทดสอบความจําเกี่ยวกับสัญลักษณ์และ
ภาพ เพื่ อใช้ในการศึกษาตัวพยากรณ์ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
พลศึกษา พบว่าความ สามารถในการจําเป็ นตัวพยากรณ์ที่ดีอีกด้วย
จากงานวิจัยที่เกี่ยวกับแบบทดสอบความจําที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าแบบ
ทดสอบความจํามีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาต่าง ๆ แบบ
ทดสอบ ความจําที่ ใช้ภาพเป็ นสิ่งเร้าจะจําได้ดีกว่าคําหรือภาษาเป็ นสิ่งเร้า
และพบว่าเมื่อใช้ภาพสัมพันธ์เป็ นสิ่งเร้า จะทําให้จําดีกว่าภาพที่ไม่สัมพันธ์กัน
ส่วนด้านการสร้างแบบทดสอบความจํายังไม่มีผู้ใดศึกษา ว่าความจําแบบ
ต่าง ๆ แบบใดจะมีความสัมพันธ์กับวิชาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา เพื่ อ
เป็ น ประโยชน์ต่อการฝึ กความจํา และเพื่ อนําผลที่ได้ไป ปรับปรุงและพัฒนา
ผลการเรียนให้ดียิ่งขึ้น และพัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถ ด้านความ
จําต่อไป
PAGE 18
บรรณนุกรม
• หนังสือจิตวิทยาการรู้คิด ส.อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี, 2562
• วารสารการพยาบาลและการศึกษา ป ที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม-
มีนาคม 255716PAGEการเพิ่ มความจำขณะคิดในผู้สูงอายุอัญ
ชนา จุลศิริ พย.ม.* เสรี ชัดแชมปร
• งานวิจัย(Atkinson and Shiffrin)ทฤษฎีความจำสองกระบวน
การปณยา แพร่เจริญ วัฒนา, 2541 : 27 ,