The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนปฏิบัติราชการ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี ๒๕๖๖

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนปฏิบัติราชการ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี ๒๕๖๖

แผนปฏิบัติราชการ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี ๒๕๖๖

PAGE \* MERGEFORMAT ๑๘๕

สารบัญ ๑

ส่วนท่ี ๑ สภาพบริบทท่ัวไปของจังหวัด หน้า
❖ ประวตั จิ งั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน
❖ ท่ตี งั้ พืน้ ที่ และอาณาเขต 1
❖ ลักษณะภูมิอากาศ 2
❖ การแบง่ เขตปกครองของจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2-3
❖ ประชากร/การคมนาคม 3-4
❖ การศึกษา / การสาธารณสุข 4-5
❖ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ 6-7
❖ ขอ้ มลู แหลง่ เรียนรู้ของจงั หวดั 7-8
❖ ขอ้ มูลด้านศาสนา 8
❖ ขอ้ มลู สถานประกอบกจิ การตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวดี ิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ 9 - 10
❖ ประชากร/กลุ่มชาติพนั ธ์ุ และขนบธรรมเนียมประเพณสี าคัญของจังหวัด 11
❖ เอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมท่ีสาคญั และมีช่ือเสยี งของจงั หวดั 11 - 18
18 - 49
สว่ นท่ี 2 กรอบแนวคิดและนโยบายที่เก่ียวข้อง
❖ วิสยั ทัศน์ พนั ธกิจ ยทุ ธศาสตร์ และคา่ นิยมองค์กร 50
❖ เครอื ข่ายทางวฒั นธรรมสภาวฒั นธรรมอาเภอ 51
❖ เครือขา่ ยทางวัฒนธรรมทจ่ี ดแจ้งระดับตาบล 52 - 54
❖ การวิเคราะห์ SWOT สานักงานวฒั นธรรมจังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน 55
❖ งานวฒั นธรรมกบั นโยบายและยทุ ธศาสตร์ในระดบั ชาติ 56 - 60
❖ วิสยั ทัศน์/พนั ธกิจ/ยทุ ธศาสตร/์ เป้าหมายกระทรวง/ตัวช้ีวัด/กลยุทธ/์ มาตรการ 66 - 61
/แนวทางการ ดาเนนิ งานของกระทรวงวฒั นธรรม ปี ๒๕๖6-๒๕70
❖ กรอบนโยบายการขับเคล่ือนงานของกระทรวงวฒั นธรรมการดาเนินงานของ 61 - 63
กระทรวงวฒั นธรรม ในปงบประมาณรายจายประจาป พ.ศ. ๒๕๖6
❖ นโยบายรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงวฒั นธรรม 63 - 67
❖ วสิ ยั ทศั น์และยทุ ธศาสตร์ จังหวดั แมฮ่ ่องสอน 67 - 68
❖ ตัวชีว้ ัดความสาเร็จ 68 - 69
❖ การตดิ ตามและประเมินผล 69 - 70
❖ ผลสัมฤทธปิ์ ระโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ 70 - 71

สว่ นที่ ๓ แผนปฏิบตั ิการสานักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 73 - 75
❖ สานักงานปลดั กระทรวงวัฒนธรรม 76 -110
❖ กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม 111 - 114
❖ กรมการศาสนา 149 -151
❖ ศนู ยม์ านุษยวทิ ยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน) 152 - 161
❖ งบ CEO 162 - 187

ส่วนที่ 4 ตารางวเิ คราะห์ความสอดคล้องนโยบายและยุทธศาสตร์



สว่ นท่ี ๑
สภาพบริบททั่วไปของจงั หวัด

ประวัตจิ ังหวัดแมฮ่ ่องสอน

จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน มีประวัตคิ วามเป็นมายาวนานมากต้ังแตย่ ุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่ไมม่ เี อกสารทาง
ประวัติศาสตร์ให้ศึกษาค้นคว้า ได้แต่คาดคะเนจากหลักฐานทางโบราณคดีท่ีขุดค้นในบริเวณนี้ ซ่ึงระบุว่าใน
ภูมิภาคแถบนี้ได้มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาต้ังแต่ยุคหินเก่า การตั้งถ่ินฐานและลาดับพัฒนาการทาง
ประวัติศาสตร์ของแต่ละอาเภอมักจะคาบเกี่ยวกันหลายอาเภอ คือ กลุ่มอาเภอปาย อาเภอปางมะผ้า
อาเภอ เมืองแม่ฮ่องสอน และอาเภอขุนยวม กับกลุ่มอาเภอแม่สะเรียง อาเภอแม่ลาน้อย และอาเภอสบเมย
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ช่วงก่อนปี พ.ศ.1800 คาดคะเนความเป็นไปในทางประวัติศาสตร์จากหลักฐาน
ทางโบราณคดที ขี่ ุดคน้ ได้จากที่ต่าง ๆ ในอาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อาเภอปางมะผ้า และอาเภอขนุ ยวม ที่บง่ บอก
วา่ มกี ารต้ังถิน่ ฐานคนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตรต์ ้ังแต่ยคุ หินเก่าตอนปลาย (32,000 ปมี าแล้ว) ถึงยุคโลหะ-
เหล็ก (ประมาณ 1,100 ปีมาแล้ว) ในพ้ืนท่ีบริเวณน้ี หลังจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ผ่านไป เร่ิมมีหลักฐานท่ี
เป็น บนั ทึกเร่อื งราว พงศาวดาร ตานาน และคาบอกเล่าสบื ต่อกันมา ประกอบหลักฐานท่เี ป็นโบราณสถานและ
โบราณวตั ถทุ ่คี ้นพบในพ้ืนที่ สรุปได้ว่าการตั้งถน่ิ ฐานในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนได้ 3 ประเด็นหลัก คือ

1) คนไต (ไทใหญ่) อพยพมาจากรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เข้ามาต้ังหลักแหล่ง
ทาการเกษตรในพ้ืนท่ี ต่าง ๆ เมื่อการประกอบอาชีพม่ันคงเป็นหลักฐานก็ต้ังเป็นหมู่บ้าน โดยบางแห่งยังตั้งชื่อ
หมู่บ้านตรงกันกับ หมู่บ้านรัฐฉาน เช่น บ้านเมืองปอน ซ่ึงคนไตเรียกว่า “เมิงป๋อน” ในรัฐฉานก็มี “เมิงป๋อน”
เช่นเดียวกัน และ คนเฒ่าคนแก่ของบ้านเมืองปอนเคยเล่าเร่ืองในอดีตให้ฟังว่าครอบครัวของตนสืบเช้ือสายมา
จากเมิงป๋อนในรัฐฉานหรือที่อาเภอแม่ลาน้อยเดิมเป็นที่อยู่ของชนเผ่าลัวะ ต่อมาชาวไตได้อพยพเข้ามาแทนที่
ชาวลวั ะซงึ่ ถอย ข้นึ ไปอาศยั อย่ตู ามภเู ขาสูง

2) การขยายตัวของหมู่บ้านต่าง ๆ ที่เป็นหมู่บ้านใหญ่มีผู้คนมากขึ้น ท่ีทากินไม่เพียงพอ จาเป็นต้อง
แสวงหา ที่ทา กินใหม่ เริ่มแรกจะออกไปทาไร่ทาสวนก่อน นานเข้าเม่ือมีเพื่อนฝูงไปทาไร่ทาสวน รวมกันมาก
ขึ้นจะอพยพไป ตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันจนกลายเป็นหมู่บ้าน การต้ังถ่ินฐานในลักษณะน้ีเป็นเรื่องปกติของชาว
แม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะชาวเขา ซ่ึงเป็นชาวพ้ืนเมืองท่ีต้ังถ่ินฐานกระจายตัวอยู่ตามท่ีราบระหว่างหุบเขาและ
พนื้ ที่สงู มชี วี ติ ความเป็นอยผู่ ูกพนั กับป่าเขาแม่น้า เมอ่ื บริเวณใดมสี มาชิกหนาแน่นขึ้นกจ็ ะออกแสวงหาทาเลใหม่
ให้ทามาหากินได้โดยสะดวก หรือ ชาวเขาบางเผ่าปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็จะอพยพเข้าป่าลึก
และเขาสูงเพื่อทามาหากินกับป่าตามท่ีถนัดมาแต่เดิม เช่น ชนเผ่าลัวะ ท่ีสันนิษฐานว่าเคยเป็นชนเผ่าที่มีความ
เจริญในภมู ิภาคแถบนี้ แต่เพราะการสบื ทอดมรดกทางวฒั นธรรมไม่ดี ปรับตัวใหก้ ลมกลืนกบั ความเปลี่ยนแปลง
ไม่ได้ ชนเผ่านีจ้ งึ กระจัดกระจายหาถิ่นฐานทาเลใหม่สว่ นใหญจ่ ะเป็นบนภเู ขาสงู

3) คนเมืองอพยพมาจากจังหวัดใกล้เคียงโดยจังหวัดที่มีการอพยพเข้ามามากที่สุด คือ เชียงใหม่
รองลงไป คือ จังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย สาเหตุท่ีอพยพคือต้องการแสวงหาทาเลที่ทากิน ต่อมาเมื่อมี
การต้ังถิ่นฐานได้ม่ันคงแล้ว ผู้คนค่อนข้างจะมีถ่ินฐานท่ีอยู่เป็นหลักแหล่งถาวร การอพยพ เคล่ือนย้ายของผู้คน
จึงมีน้อย ผู้ปกครองเมืองจึงจัดระบบการบ้านเมืองให้เป็นรูปแบบเมืองหน้าด่าน โดยยก แม่ฮ่องสอนเป็นเมือง
หน้าด่านใน ปีพ.ศ. 2417 มีขุนยวม เมืองปาย เป็นเขตแดน เมืองยวมเป็นเมืองรอง ให้มี เจ้าฟ้าปกครองเมือง
และจดั ในรูปเป็นสว่ นหนึง่ ของเชยี งใหม่ เรียกวา่ “บริเวณเชียงใหม่ตะวนั ตก” ตอ่ มา เปล่ียนเปน็ “บริเวณพายัพ
เหนือ” และสดุ ท้ายเปล่ียนเปน็ “จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน” ดงั เช่นปัจจุบัน



แหล่งขอ้ มูล : 1) สานกั งานวัฒนธรรมจังหวดั แมฮ่ ่องสอน, เดอื นตุลาคม 2554 2) “ประวัติศาสตรว์ ฒั นธรรมจังหวดั
แม่ฮอ่ งสอน”, สานักงานวฒั นธรรมจังหวดั แม่ฮ่องสอน, พ.ศ. 2549 3) “การสบื ค้นและจัดการมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยัง่ ยนื
ในอาเภอปาย-ปางมะผ้า-ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน”, รศ.ดร. รัศมีชูทรงเดช, พ.ศ. 2552 เรียบเรียง : กลุ่มงานข้อมูล
สารสนเทศและการส่อื สาร สานกั งานจงั หวัดแม่ฮ่องสอน, เดอื นตุลาคม 2554

ท่ตี ง้ั พ้ืนที่ และอาณาเขต

จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัด
ชายแดน ที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย
อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ๙๒๘ กิโลเมตร
มีพ้ืนที่ประมาณ ๑๒,๖๘๑.๒๕๙ ตาราง
กิโลเมตร หรือประมาณ ๗,๙๒๕,๗๘๗ ไร่
เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ ๓ ของ
ภาคเหนือ และเป็นอันดับ ๘ ของประเทศ
พ้ื น ที่ มี รู ป ร่ า ง เ รี ย ว ย า ว จ า ก ทิ ศ เ ห นื อ จ ร ด
ทิศใต้ มีความยาวประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตร
และความกว้างประมาณ ๙๕ กิโลเมตร พื้นท่ี
ส่วนใหญ่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็น ทิวเขา
สูงสลับซับซ้อน และเป็นป่าไม้ ตามธรรมชาติ
ท่ีอุดมสมบูรณ์ มีพื้นท่ีป่าไม้ ประมาณ
๑๑,๒๖๗.๗ ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ
๘๗.๗๕ ของพ้ืนที่จังหวัด เน้ือที่ถือครองทาง
การเกษตร ร้อยละ ๓.๒๑ และเน้ือที่นอก
การเกษตร ร้อยละ ๙.๐๔

ภาพแสดง แผนทจ่ี ังหวัดแม่ฮอ่ งสอน

อาณาเขตตดิ ตอ่ กบั จงั หวัดใกลเ้ คียง และประเทศเพอื่ นบา้ น เปน็ ดงั น้ี

ทศิ เหนือและทศิ ตะวันตก ติดต่อกับรัฐฉาน รฐั คะยา และรัฐคอทเู ล ประเทศสหภาพพมา่

โดยมเี ทอื กเขา ถนนธงชัยตะวนั ตก แมน่ ้าสาละวนิ และแม่น้าเมย

เป็นแนวพรมแดนกั้นระหว่างประเทศ

ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กับอาเภอทา่ สองยาง จังหวัดตาก โดยมีแม่น้ายวม และแมน่ ้าเงา

เปน็ แนวเขตจังหวดั

ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกับ อาเภอเวยี งแหง อาเภอเชยี งดาว อาเภอแม่แตง

อาเภอสะเมิง อาเภอแม่แจม่ อาเภอฮอด และอาเภออมก๋อย

จังหวดั เชียงใหม่ โดยมเี ทอื กเขา ถนนธงชัยกลาง

และเทือกเขาถนนธงชยั ตะวันออกเปน็ แนวเขตระหว่างจังหวัดทกุ อาเภอ

ในจงั หวดั แมฮ่ ่องสอนมเี ขตตดิ ต่อกบั ประเทศพม่า รวมระยะทางประมาณ

๔๘๓ กิโลเมตร โดยเปน็ พนื้ ดนิ ประมาณ ๓๒๖ กโิ ลเมตร เปน็ แมน่ า้

ประมาณ ๑๕๗ กโิ ลเมตร แบ่งเป็นแม่น้าสาละวิน ๑๒๗ กโิ ลเมตร

และแม่น้าเมย ๓๐ กิโลเมตร



ลกั ษณะภมู ิประเทศ
ลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ทวิ เขาสงู สลบั ซบั ซ้อนและเปน็ พ้ืนทป่ี ่าไมต้ ามธรรมชาตทิ ่ีอดุ มสมบูรณ์ มีทิวเขา

เรียงตามแนวทิศเหนือ - ใต้ ขนานกัน ทิวเขาท่ีสาคัญ คือ ทิวเขาแดนลาว อยู่ทางตอนเหนือสุดของจังหวัด
เป็นแนวแบ่งเขตแดนประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า และ ทิวเขาถนนธงชัย ประกอบด้วยทิวเขาเรียง
ขนานกัน ๓ แนว คือ ทิวเขาถนนธงชัยตะวันตก เป็นแนวเขตแดนประเทศไทยและประเทศสหภาพพม่า
ทิวเขาถนนธงชัยกลาง

อยู่ระหว่างแม่น้ายวมและแม่น้าแม่แจ่ม และทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก เป็นแนวแบ่งเขตระหว่าง
จังหวัดแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงท่ีสุด คือ ยอดเขาแม่ยะ อยู่ในเขตพ้ืนท่ี
อาเภอปายมคี วามสงู จากระดบั นา้ ทะเลประมาณ ๒,๐๐๕ เมตร

แหล่งน้าธรรมชาติท่ีสาคัญ คือ แม่น้าปาย ซ่ึงมีต้นกาเนิดจากทิวเขาถนนธงชัย ไหลผ่านจังหวัด
แม่ฮ่องสอน ไปบรรจบกับแม่น้าสาละวิน มีความยาว ๑๓๕ กิโลเมตร แม่น้ายวม ซ่ึงมีต้นกาเนินจากภูเขา
ด้านตะวันออกของอาเภอขุนยวม ไหลผ่านอาเภอแม่ลาน้อยและอาเภอแม่สะเรียง ไปบรรจบกับแม่น้าเมย มี
ความยาว ๑๖๐ กิโลเมตร และ แม่น้าสะมาด ซ่ึงมีต้นกาเนิดจากดอยแม่สะมาด ไหลผ่านอาเภอเมืองลงสู่
แมน่ ้าปาย

ลักษณะภูมิอากาศ
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยในฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนจัด อากาศ

หนาวจัดในฤดูหนาว และฝนจะตกชุกในฤดูฝน นอกจากนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีหมอกปกคลุมตลอดท้ังปี ท้ังน้ี
มีสาเหตุเน่ืองจากลักษณะภมู ิประเทศที่เปน็ หบุ เขาสูง มีพ้ืนท่ีอยู่บนที่สูงเหนือระดับน้าทะเล ทาให้มีอุณหภูมิสูง
ในตอนกลางวันเน่ืองจากถูกแสงแดด ส่วนในตอนกลางคืนจะได้รับอิทธิพลจากลมภูเขา ทาให้อากาศเย็นลง
อย่างรวดเร็ว ซ่ึงเม่ือความร้อนในตอนกลางวันลอยตัวขึ้นปะทะกับความช้ืนของอากาศ จึงทาให้เกิดหมอกปก
คลมุ โดยทั่วไปในตอนกลางคนื สภาพภูมอิ ากาศจะมีความแตกต่างกันอยา่ งชัดเจนทงั้ ๓ ฤดูกาล

ฤดูร้อน เรม่ิ ตัง้ แตช่ ว่ งระหว่างกลางเดือนกุมภาพันธ์-กลางเดอื นพฤษภาคม จะมอี ากาศร้อนอบอ้าว

ฤดฝู น เร่ิม ตงั้ แตช่ ว่ งกลางเดือนพฤษภาคม - เดือนตลุ าคม จะได้รบั อิทธิพลจากลมมรสุม
ตะวนั ตกเฉยี งใต้ ทาให้อากาศชุ่มชื้นฝนจะตกชกุ มาก ซ่งึ จะมีปริมาณมากทส่ี ดุ
ในเดือนสิงหาคม

ฤดหู นาว เริม่ ตง้ั แต่ชว่ งเดอื นตุลาคม - กลางเดือนกมุ ภาพนั ธ์ โดยได้รบั อิทธิพลจากลมมรสมุ
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ และความกดอากาศสูงจากประเทศจีน อากาศจะหนาวเยน็ มาก

การแบง่ เขตปกครองของจังหวัดแม่ฮอ่ งสอน
จังหวัดแม่ฮ่องสอน แบ่งเขตการการปกครองออกเป็น 7 อาเภอ คือ อาเภอเมือง อาเภอแม่สะเรียง

อาเภอปาย อาเภอขุนยวม อาเภอแม่ลาน้อย อาเภอสบเมยและอาเภอปางมะผ้า มี 45 ตาบล
(รวมตาบลจองคา ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน) มี 415 หมู่บ้าน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
50 แหง่ ประกอบด้วย



- องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง - เทศบาลเมือง 1 แหง่ - เทศบาลตาบล 6 แหง่

- องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล 42 แหง่

ท่ี จังหวดั / อาเภอ พ้ืนท่ี (ตร.กม.) ตาบล หมบู่ า้ น อบจ. ทม. ทต. อบต.
๔๒
จ.แม่ฮอ่ งสอน ๑๓,๒๒๑.๙๒ ๔๕ ๔๑๕ ๑ ๑ ๖
-
1 อาเภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน 2,483.115 2 7* 68 - 1

2 อาเภอขนุ ยวม 1,698.312 67 6 43 - - 1

3 อาเภอปาย 2,244.700 111 7 62 - - 1

4 อาเภอแมส่ ะเรยี ง 2,587.425 164 7 77 - - 3

5 อาเภอแมล่ านอ้ ย 1,456.645 134 8 69 - - 1

6 อาเภอสบเมย 1,412.687 192 6 58 - - -

7 อาเภอปางมะผา้ 798.375 64 4 38 - - -

หมายเหตุ * อาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน มี 7 ตาบล เน่ืองจากรวมตาบลจองคาดว้ ย
เว็บไซต์ (http://www.maehongson.go.th/th/province-info/general-info/administrative-region-in-
brife.html)

จานวนองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ 50 แห่ง องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั 1 แห่ง เทศบาลเมือง (ทม.) 1 แหง่

เทศบาลตาบล (ทต.) 6 แห่ง องค์การบริหารสว่ นตาบล (อบต.) 42 แห่ง

ที่ จังหวัด / อาเภอ อบจ. ทม. ทต. อบต.

จ.แม่ฮอ่ งสอน ๑ ๑ ๖ ๔๒

๑ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน ๑๑- ๖

๒ อ.ขุนยวม - -๑๖

๓ อ.ปางมะผ้า - -- ๔

๔ อ.ปาย - -๑๗

๕ อ.แม่ลาน้อย - -๑๘

๖ อ.แม่สะเรยี ง - -๓๕

๗ อ.สบเมย - -- ๖

(สานักงานส่งเสริมการปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน, ก.ค. ๒๕63)

ประชากร
จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มปี ระชากรทงั้ สน้ิ ๒๘๔,270 คน เปน็ ชาย 14๔, 130 คน เปน็ หญิง 140,140 คน

(ข้อมลู : ศูนย์บริการขอ้ มูลงานทะเบียน ระบบคอมพิวเตอร์ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน ๙ ธันวาคม ๒๕๖๒)



การคมนาคม
จงั หวดั แม่ฮ่องสอนมีการคมนาคม ๒ เสน้ ทาง คือ ทางบก และทางอากาศ
๑. การคมนาคมทางบก เส้นทางถนนระหว่างจังหวดั แม่ฮ่องสอนกับจังหวัดใกล้เคียงมีหลายเส้นทาง

ท้ังทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงจังหวัด และทางของ รพช. (ปัจจุบัน ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
ส่วนใหญเ่ ป็นถนนความกว้างสองช่องจราจร ตัดผ่านพืน้ ทีป่ ่าไม้ ทิวเขา และภเู ขา เปน็ เส้นทางขึ้นเขา–ลงเขา
ท่ีมีความคดโค้งและลาดชัน มีทางโค้งต่อเนื่องเป็นระยะ ถนนมีสภาพหมดอายุการใช้งานหรือชารุดเป็นช่วง
มักพบสิ่งกีดขวางช่องทางการจราจร ผู้ขับข่ีจึงต้องขับข่ีด้วยความระมัดระวัง ใช้ความเร็วพอประมาณ ทาให้ใช้
ระยะเวลา ในการเดนิ ทางนานกว่าการขบั ขี่บนทางราบ

- ทางรถยนต์
แม่ฮ่องสอน ในอดีตเป็นเมืองที่เร้นลับ และทุรกันดารในสายตาของนักท่องเท่ียว และประชาชน
ท่ัวไป เน่ืองจากเดิมนั้นการเดินทางเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีถนนเพียงสายเดียว คือทางหลวงหมายเลข ๑๐๘
ตัดจากจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านอาเภอหางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด แม่สะเรียง แม่ลาน้อย และขุนยวม ถึง
อาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน รวมระยะทางประมาณ ๓๕๔ กิโลเมตร เส้นทางสายน้ีเป็นทางตัดขึ้นเขาสูง มีความ
สวยงาม และคดเคี้ยวนับได้มากถึง ๑,๘๖๔ โค้ง ปัจจุบันมีถนนจากจังหวัดเชียงใหม่ถึงแม่ฮ่องสอนเพ่ิมข้ึนอีก
หนึ่งสาย คือทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๕ หรือท่ีเรียกโดยท่ัวไปว่า เส้นทางสายแม่มาลัย – ปาย ตัดจากอาเภอ
แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงอาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เหลือระยะทางเพียง ๒๔๖ กิโลเมตรหาก
นักท่องเท่ียวสนใจเดินทางจากจังหวัดตากไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยไม่แวะจังหวัดเชียงใหม่ ก็สามารถเดินทาง
ได้ตามทางหลวงหมายเลข ๑๐๘ ผ่านอาเภอแม่สอด – แม่ระมาด – ท่าทางยาง ถึงอาเภอแม่สะเรียง มี
ระยะทางประมาณ ๓๐๐ กโิ ลเมตร
- ทางรถโดยสารประจาทาง
จากกรงุ เทพฯ มรี ถโดยสารประจาทางปรับอากาศ ของบริษัท สมบัตทิ วั ร์ ออกจากสถานีขนส่งสาย
เหนือหมอชิต ๒ ถนนกาแพงเพชร ๒ สอบถามรายละเอียด โทร. ๑๔๙๐ www.transport.co.th หรือบริษัท
สมบัติทัวร์ สานักงานกรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๙๓๖-๒๔๙๕-๙ www.sombattour.com สานักงานแม่ฮ่องสอน
โทร. ๐-๕๓๖๘-๔๒๒๒
- ทางรถประจาทาง เชยี งใหม่ - แมฮ่ ่องสอน
จากเชียงใหม่มรี ถโดยสารประจาทางทั้งธรรมดาและปรับอากาศ วิง่ บริการ ๒ เสน้ ทาง คอื
๑. สายเชียงใหม่ – แม่สะเรียง – แม่ฮ่องสอน (ทางหลวงหมายเลข ๑๐๘) บริการทุกวัน ต้งั แต่
เวลา๐๖.๓๐ – ๒๑.๐๐ น. ใชเ้ วลาเดนิ ทางถงึ อาเภอแมส่ ะเรยี ง ๔ ชั่วโมง ถึงตัวเมอื งแม่ฮ่องสอน ๘ ชวั่ โมง
๒. สายเชียงใหม่ – ปาย – แม่ฮอ่ งสอน (ทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๕) บรกิ ารทุกวัน ตงั้ แต่เวลา
๐๗.๐๐ – ๑๒.๓๐ น. ใช้เวลาการเดนิ ทางประมาณ ๖ ช่ัวโมง
รายละเอียดตดิ ต่อ บริษัท เปรมประชาขนส่ง จากดั สานกั งานเชยี งใหม่ โทร. ๐-๕๓๒๔-๔๗๓๗
หรอื สานักงานในสถานีขนสง่ อาเขต โทร. ๐-๕๓๓๐-๔๗๔๘ สานักงานแม่ฮอ่ งสอน โทร. ๐-๕๓๖๘-๔๑๐๐ หรอื
สถานขี นสง่ ปาย โทร. ๐๘-๑๐๒๖-๘๘๕๒



การคมนาคมทางบกระหวา่ งจงั หวดั แม่ฮอ่ งสอนกบั จังหวัดใกลเ้ คียง

ที่ เส้นทาง ระยะทาง (กม.) ระยะเวลา (ชม.)

๑ จ.แมฮ่ ่องสอน – จ.เชยี งใหม่ (ทางหลวงแผ่นดนิ หมายเลข ๑๐๘) : ๓๕๔ ๗

อ.เมือง อ.ขุนยวม อ.แมล่ าน้อย อ.แม่สะเรยี ง จ.แม่ฮ่องสอน –

อ.ฮอด อ.จอมทอง อ.สนั ปา่ ตอง อ.หางดง อ.เมือง จ.เชยี งใหม่

๒ จ.แม่ฮ่องสอน – จ.เชยี งใหม่ (ทางหลวงจงั หวัด หมายเลข ๑๐๙๕) ๒๔๖ ๕

: อ.เมอื ง อ.ปางมะผ้า อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน – อ.แม่แตง อ.แม่รมิ

อ.เมอื ง จ.เชียงใหม่

๓ อ.แมแ่ จม่ จ.เชยี งใหม่ – อ.ขนุ ยวม จ.แม่ฮ่องสอน ๙๐ ๕

๔ อ.กัลยาณิวฒั นา (ต.วดั จนั ทร์ อ.แมแ่ จม่ เดิม) จ.เชียงใหม่ – ๘๗ ๑๐

ต.หว้ ยปลู งิ อ.เมอื ง จ.แมฮ่ ่องสอน

๕ จ.แมฮ่ อ่ งสอน – จ.ตาก : อ.เมือง อ.ขนุ ยวม อ.แมล่ าน้อย ๓๙๔ ๗

อ.แมส่ ะเรยี ง จ.แม่ฮ่องสอน – อ.ท่าสองยาง อ.แมล่ ะมาด

อ.แม่สอด อ.เมอื ง จ.ตาก

การคมนาคมทางอากาศ

แม่ฮ่องสอนมีท่าอากาศยาน 1 แห่ง คือ ท่าอากาศยานอาเภอเมือง มีสายการบินนกแอร์ ให้บริการ

เที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ - แม่ฮ่องสอน ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที สอบถามข้อมูล

การเดนิ ทางและสารองทน่ี ั่งไดท้ ี่สายการบินนกแอร์ โทร. 1318 www.nokair.com

๑๐. ข้อมูลระยะทางระหวา่ งอาเภอเมอื งแมฮ่ ่องสอน และอาเภอตา่ งๆ ภายในจงั หวดั

ที่ อาเภอ เส้นทาง ระยะทาง (กม.) ระยะเวลา
๑ ขุนยวม เมอื ง – ขุนยวม (ทล.๑๐๘) ๖๗ ๑.๐๐ ชม.
๒ ปางมะผา้ เมือง – ปางมะผ้า (ทล.๑๐๙๕) ๖๔ ๑.๓๐ ชม.
๓ ปาย เมือง – ปางมะผา้ – ปาย (ทล.๑๐๙๕) ๑๑๑ ๒.๓๐ ชม.
๔ แมล่ าน้อย เมอื ง – ขนุ ยวม – แม่ลาน้อย (ทล.๑๐๘) ๑๓๔ ๒.๓๐ ชม.
๕ แมส่ ะเรียง เมอื ง – ขุนยวม – แม่ลาน้อย – แมส่ ะเรยี ง (ทล. ๑๖๔ ๓.๐๐ ชม.
๑๐๘)
๖ สบเมย เมอื ง – ขุนยวม – แมล่ าน้อย – แม่สะเรียง – ๑๙๒ ๓.๓๐ ชม.
สบเมย (ทล.๑๐๘ และ ทล.๑๐๕)

(สานกั งานขนสง่ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน, ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๙)

การศึกษา
จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 1 รับผิดชอบพื้นที่

อาเภอเมือง อาเภอปาย อาเภอปางมะผ้า และอาเภอขุนยวม และสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา
แม่ฮ่องสอน เขต ๒ รับผิดชอบพื้นท่ีอาเภอแม่สะเรียง อาเภอแม่ลาน้อย และอาเภอสบเมย และโรงเรียนมัธยม
ในจังหวดั แม่ฮ่องสอน อยใู่ นสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต ๓๔ เชยี งใหม่ แมฮ่ อ่ งสอน

การศึกษานอกระบบ ดาเนินการโดยศูนย์การศึกษานอกระบบและศึกษาตามอัธยาศัย ให้บริการ
ศึกษา ในรูปแบบการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จข้ันพ้ืนฐาน การศึกษาต่อเน่ืองประเภททางไกล การศึกษา
ผู้ใหญส่ ายอาชพี ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ (ปวช.ทางไกล) ประกาศนยี บัตรอาชีพ และการศกึ ษาเพื่อชุมชนบน
พืน้ ท่ี



สถาบันการศึกษาท่ีเปิดสอนในระดับอนุปริญญา ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีแม่ฮ่องสอน
วิทยาลัยการอาชีพแม่สะเรียง วิทยาลัยชุมชน และสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในระดับอุดมศึกษา ได้แก่
วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, ศูนย์การศึกษาสัญจร วิทยาลัยบริหารศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยแม่โจ้ อาเภอแมส่ ะเรยี ง, ศูนย์การศึกษาแมฮ่ อ่ งสอน และมหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช

การสาธารณสุข
๑. สถานบริการสาธารณสขุ

๑.๑ โรงพยาบาล
โรงพยาบาลทั่วไปขนาด ๑๕๐ เตียง จานวน ๑ แห่ง โรงพยาบาลชุมชนขนาด ๙๐ เตียง

จานวน ๑ แห่ง โรงพยาบาลชุมชนขนาด ๖๐ เตียง จานวน ๑ แห่ง โรงพยาบาลชุมชนขนาด ๓๐ เตียง
จานวน ๔ แห่ง

๑.๒ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) มีจานวน ๗๑ แหง่ กระจายอย่ใู นพน้ื ท่ี ๗ อาเภอ
๑.๓ สถานบริการสาธารณสขุ ชุมชน (สสช.) มสี ถานบรกิ ารสาธารณสขุ ชุมชน (สสช.) ทงั้ หมด ๔๑ แห่ง
๑.๔ สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ในสังกัดกรมการแพทย์

มีโรงพยาบาลธัญญารักษ์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จานวน ๑ แห่ง ขนาด ๗๕ เตียง เปิดให้บริการ
บาบัดรกั ษาผปู้ ่วยท่ตี ิดยาเสพติดท้ังในลักษณะการบาบัดแบบผ้ปู ่วยนอก ผปู้ ว่ ยใน และบาบัดในชมุ ชน

๑.๕ สถานบริการสาธารณสขุ ในสังกัดของกรมควบคุมโรค
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนาโดยแมลง (ศตม.ที่๑๐.๑ แม่ฮ่องสอน) เป็นหน่วยงานระดับจังหวัด และ

มีหนว่ ยงานระดับอาเภอ คอื หน่วยควบคุมโรคติดต่อทนี่ าโดยแมลง (นคม.) จานวน ๑๑ แห่ง และมาลาเรียคลินิก
จานวน ๑๕ แหง่

๑.๖ ศูนยส์ ง่ เสริมสขุ ภาพและป้องกันโรคแนวชายแดน (ศส.ปช.)
เป็นหน่วยบริการระดับชุมชนที่ต้ังอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับสหภาพพม่าซ่ึงได้รับ

ความร่วมมือจากองค์กรต่างประเทศ คือ องค์กร ไอ อาร์ ซี (Internationa Rescue Committee) โครงการ
ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแนวชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน (IOM) ๑๓ แห่ง PROJECT FOR LOCAL
EMPOWERMENT (PLE) ๕ แหง่ โครงการสาธารณสุขชายแดน NCCM ๑ แห่ง

๑.๗ ศูนยม์ าลาเรียชุมชน
เป็นหน่วยบริการระดับชุมชนท่ีตั้งอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับสหภาพพม่า ซ่ึงได้รับ

ความร่วมมือจากกองทุนโลก ( GLOBAL FUND) เพ่ือดาเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้มาลาเรียในพ้ืนที่ตามแนว
ชายแดนท่ีมีการแพร่เชื้อสูง มีการคมนาคมที่ยากลาบากและไม่มีสถานท่ีตรวจรักษามาลาเรียด้วยกล้อง
จุลทรรศน์ ดาเนินการในพ้นื ท่ที กุ อาเภอ รวมจานวน ๕๐ แห่ง

จานวนสถานบริการสาธารณสขุ แตล่ ะประเภทในจงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน

โรงพยาบาล ศนู ย์สง่ เสรมิ ศูนย์
มาลาเรยี
อาเภอ จานวน จานวน รพ.สต. สสช. นคม. สุขภาพและ มาลาเรยี ชุมชน
(แหง่ ) (เตียง) (แหง่ ) (แหง่ ) (แหง่ ) ปอ้ งกันโรค คลินิก (แหง่ )
แนวชายแดน (แหง่ )

(แห่ง)

เมือง ๑ ๑๕๐ ๑๖ ๘ ๒ ๕ ๔๘

แมส่ ะเรียง ๑ ๙๐ ๑๑ ๑๑ ๒ ๔ ๒ ๑๓

ขนุ ยวม ๑ ๓๐ ๑๐ ๓ ๑ ๓ ๒๖

ปาย ๑ ๖๐ ๑๑ ๖ ๑ ๑ ๑๑



โรงพยาบาล ศนู ยส์ ง่ เสริม ศูนย์
มาลาเรีย
อาเภอ จานวน จานวน รพ.สต. สสช. นคม. สุขภาพและ มาลาเรีย ชมุ ชน
(แห่ง) (เตยี ง) (แหง่ ) (แหง่ ) (แหง่ ) ป้องกนั โรค คลินกิ (แห่ง)
แนวชายแดน (แห่ง)

(แห่ง)

แม่ลานอ้ ย ๑ ๓๐ ๑๐ ๕ ๑ ๑ ๒๓

สบเมย ๑ ๓๐ ๘ ๙ ๒ ๑ ๓ ๑๕

ปางมะผา้ ๑ ๓๐ ๕ ๕ ๑ ๔ ๑๔

รวม ๗ ๔๒๐ ๗๑ ๔๑ ๑๐ ๑๙ ๑๕ ๕๐

สาธารณูปโภคและสาธารณปู การ

การไฟฟ้า
การจ่ายกระแสไฟฟ้าในพืน้ ท่จี งั หวัดแม่ฮ่องสอน ได้แบ่งออกเป็น ๓ กลมุ่ พน้ื ท่ี ไดแ้ ก่
๑. อาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน รับไฟจากระบบผลิตไฟฟ้า (โรงจักรดีเซล โรงไฟฟ้าพลังน้าแม่สะงา
โรงไฟฟ้าพลังน้าผาบ่อง และโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ผาบ่อง) และระบบจาหน่าย ๒๒ KV จากสถานีไฟฟ้า
จอมทอง จ.เชยี งใหม่
๒. อาเภอแม่สะเรียง อาเภอขุนยวม อาเภอแม่ลาน้อย และอาเภอสบเมย รับไฟจากระบบผลิตไฟฟ้า
(โรงไฟฟ้าพลังน้าแม่สะเรียง โรงไฟฟ้าดีเซลแม่สะเรียง (ใช้สารองกรณีไฟดับ) โรงไฟฟ้าพลังน้าแม่เทย)
และระบบจาหน่าย ๒๒ KV จากสถานไี ฟฟา้ ฮอด จังหวดั เชียงใหม่
๓. อาเภอปาย และ อาเภอปางมะผ้า รับไฟจากระบบผลิตไฟฟ้า (โรงไฟฟ้าพลังน้าแม่ปาย
จ.แม่ฮอ่ งสอน) และระบบจาหนา่ ย ๒๒ KV จากสถานีไฟฟ้าแม่แตง

การประปา
จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีสานกั งานการประปาอยู่ในพืน้ ที่ จานวน ๒ สานักงานประปา คือ
๑. การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วยหน่วยบริการ จานวน ๒ แห่ง คือแม่ข่าย
แม่ฮ่องสอน และหน่วยบริการปางมะผ้า มีกาลังการผลิตรวม ๔๙๐ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง แหล่งน้าดิบ
จากแม่น้าปาย อ่างเก็บน้าแม่ฮ่องสอนและลาน้าลาง ให้บริการในพื้นที่อาเภอเมืองและอาเภอปางมะผ้า
(ตวั เมอื งและพืน้ ท่ีใกลเ้ คยี ง)
๒. การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สะเรียง ประกอบด้วยหน่วยบริการ จานวน ๒ แห่ง คือ
แมข่ ่าย แม่สะเรยี ง และหนว่ ยบรกิ ารแมล่ านอ้ ย มกี าลังการผลติ รวม ๓๓๐ ลกู บาศกเ์ มตรต่อชัว่ โมง แหลง่ นา้ ดิบ
จากแม่นา้ ยวม ใหบ้ รกิ ารในพื้นทีอ่ าเภอแมส่ ะเรียงและอาเภอแม่ลาน้อย (ตวั เมืองและพื้นทใ่ี กล้เคียง)

การชลประทาน
แม่ฮ่องสอน เป็นต้นกาเนิดของแหล่งน้าหลายสาย ได้แก่ แม่น้าปาย แม่น้ายวม แม่น้าแม่สะงา
แม่น้าลาง แม่น้าของ แม่น้าแม่สะมาด และแม่น้าแม่สุริน ซึ่งแม่น้าทุกสายไหลไปบรรจบกับแม่น้าสาละวินใน
เขตสาธารณรัฐ เมียนมาร์ แหล่งน้าท่ีมีความสาคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวแม่ฮ่องสอน
จึงมอี ยู่เพียง ๒ แหลง่ ใหญ่ ได้แก่

๑๐

แม่น้าปาย ต้นน้าอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างทิวเขาถนนธงชัยและทิวเขาแดนลาว ในเขตอาเภอปาย
สายน้าไหลเข้าสู่เขตอาเภอปาย ทางทิศใต้แล้วจึงหักเหไปทางทิศตะวันตก ผ่านอาเภอเมือง มีความยาว
๑๓๕ กิโลเมตร มีปริมาณน้าไหลเฉลี่ยตลอดปี ๑,๕๗๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณน้าสูงสุดท่ีเคยปรากฏ
๘๗๗ ลูกบาศกเ์ มตรต่อวินาที ปรมิ าณนา้ น้อยสดุ ทเ่ี คยปรากฏ ๒.๐๘ ลกู บาศก์เมตรต่อวินาที

แม่น้ายวม ตน้ นา้ เกิดจากทวิ เขาทางตอนใต้ของช่องปากเกยี๊ ะในอาเภอขนุ ยวมไหลผา่ นอาเภอขุนยวม
อาเภอแม่ลา-น้อย อาเภอแม่สะเรียง และอาเภอสบเมย มีความยาว ๒๑๕ กิโลเมตร มีปริมาณน้าเฉล่ียตลอดปี
๕๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้าสูงสุดท่ีเคยปรากฏ ๗๗๒.๗ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และปริมาณน้าน้อย
ทส่ี ุดท่เี คยปรากฏ ๑.๙๗ ลกู บาศกเ์ มตรตอ่ วนิ าที

การดาเนนิ งานดา้ นการชลประทานในจงั หวดั แม่ฮ่องสอน มีการแบง่ พน้ื ทคี่ วามรับผดิ ชอบ ดงั นี้
- ฝา่ ยส่งน้าและบารงุ รักษาที่ ๑ รบั ผิดชอบพ้นื ท่ี ๓ อาเภอ คือ อาเภอเมือง อาเภอปาย และ
อาเภอปางมะผ้า
- ฝา่ ยส่งน้าและบารงุ รักษาที่ ๒ รบั ผดิ ชอบพื้นท่ี ๒ อาเภอ คอื อาเภอแมส่ ะเรยี ง อาเภอสบเมย
- ฝ่ายสง่ นา้ และบารุงรักษาท่ี ๓ รบั ผดิ ชอบพ้ืนที่ ๒ อาเภอ คอื อาเภอขุนยวม และ อาเภอแมล่ าน้อย

ข้อมูลแหล่งเรยี นรขู้ องจังหวัด

ท่ี แหล่งเรียนรู้ จานวน (แห่ง)

๑ ศูนยว์ ัฒนธรรมจังหวดั -
๒ ศูนยว์ ฒั นธรรมอาเภอ -
๓ ศูนย์วฒั นธรรมตาบล (ศนู ย์วฒั นธรรมเฉลมิ ราช ตาบลผาบ่อง, ตาบลปางหมู) ๒
๔ พพิ ิธภณั ฑ์ชมุ ชน (วดั จองกลาง, วัดพระนอน, วัดตอ่ แพ, วดั หลวง,อนุสรณ์สถาน 7

มิตรภาพไทย-ญ่ีปนุ่ ขนุ ยวม เทศบาลตาบลขนุ ยวม, พิพธิ ภณั ฑแ์ ม่ฮ่องสอนรวมใจ

ตารวจภูธรจังหวัดแมฮ่ ่องสอน, พิพิธภณั ฑม์ ีชีวิต เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน)

๕ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ -
๖ อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์ -
๗ หอสมุดแห่งชาติ -
๘ หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ -
๙ ศูนยเ์ ฝา้ ระวงั ทางวัฒนธรรมในสถานศึกษา 12
๑๐ ศนู ย์วฒั นธรรมในสถานศึกษา ๑
๑๑ วัด (ธรรมยุต วัด 8 แห่ง ท่ีพักสงฆ์ ๑6 แห่ง, มหานิกาย วัด 137 แห่ง ท่ีพัก ๒86

สงฆ์ 125 แหง่ ) ๔๕๕
๑๒ โบสถ,์ สถานประกาศ ๓
๑๓ มัสยดิ -
๑๔ สุเหร่า ๘
๑๕ อ่ืน ๆ (ระบุ) บ้านกะเกรย่ี งคอยาว หว้ ยเสอื เฒ่า,บ้านละอูบ, หมูบ่ า้ นชาวจีนยูนนาน

บา้ นรักไทย , บา้ นสนั ตชิ ล , หมูบ่ ้านห้วยห้อม

๑๑

ข้อมูลด้านศาสนา
(๑) ศาสนาพทุ ธ
ข้อมลู วดั

จานวนวดั (รวม)...286......แห่ง แบ่งเปน็ วัดหลวง.....๑.....แหง่ วัดราษฎร์.....285.....แหง่

รายนามคณะสงฆ์

(ระดบั จงั หวดั )

ที่ รายนามเจา้ คณะ วัด/อาเภอ รายนามรองเจ้าคณะระดบั วัด/อาเภอ
ระดับจงั หวดั /นกิ าย จงั หวัด/นิกาย

๑ พระสมุ ณฑศ์ าสนกติ ต์ิ (อนันต์ จนฺ วดั พระธาตดุ อยกองมู/เมือง ๑. พระมหาสมศกั ดิ์ สภุ เมธี เจา้ อาวาสวัด

ทาโภ ป.ธ.๔ ,ดร.)/มหานิกาย เจ้า ป.ธ.๗ ทรายขาว

คณะจังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน รองเจา้ คณะจังหวดั แมฮ่ ่องสอน

(ระดับอาเภอ)

ที่ รายนามเจา้ คณะ วัด/อาเภอ รายนามรองเจ้าคณะระดับ วัด/อาเภอ
ระดบั อาเภอ/นกิ าย อาเภอ/นกิ าย

๑ พระครูอนสุ รณ์ชัยสทิ ธิ์ (ชยั พร ปพพฺ เจา้ อาวาสวดั จองคา --

ชิโต ป.ธ.๔)/มหานกิ าย รองเจา้ คณะ พระอารามหลวง/เมอื ง

อาเภอเมอื งแมฮ่ ่องสอน (รักษาการ

เจ้าคณะอาเภอเมือง) เจา้ อาวาสวดั

จองคา พระอารามหลวง

๒ พระครอุ นุศาสน์โกศล/มหานิกาย เจ้าอาวาสวดั โพธาราม/ --
--
ขนุ ยวม

๓ พระครูอนุศาสนโ์ สภณ (อนรุ ตั น์) เจา้ อาวาสวัดม่วยตอ่

เจา้ คณะอาเภอปางมะผา้ / /ปางมะผา้

มหานกิ าย

๔ พระครูอนสุ ารปญุ ญาคม เจา้ อาวาส --

เจา้ คณะอาเภอปาย /มหานกิ าย วัดแมน่ าเติงใน/ปาย

๕ พระครอู นุกลู บญุ กจิ เจ้าอาวาสวดั ชัยลาภ พระครอู นโุ ชตสิ ุวรรณวิศาล เจา้ อาวาสวัด
(ไพศาล) สพุ รรณรังษ/ี
เจ้าคณะอาเภอแมส่ ะเรยี ง / /แม่สะเรยี ง รองเจา้ คณะอาเภอแม่สะเรยี ง อาเภอแม่สะ
/มหานกิ าย เรียง
มหานกิ าย
- -
๖ พระครูอนรุ ักษพ์ ฒั นคณุ (ปภสสฺ โร) เจ้าอาวาสวัดผาผา่

เจา้ คณะอาเภอสบเมย /มหานกิ าย /สบเมย

๗ พระครญู าณสัมปยุต เจา้ อาวาสวดั แมล่ านอ้ ย --

เจ้าคณะอาเภอแม่ลานอ้ ย /แมล่ าน้อย

/มหานกิ าย

๑๒

(๒) ศาสนาอสิ ลาม
สานักงานคณะกรรมการอสิ ลามประจาจังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน
ที่ต้ัง มสั ยดิ ญามีอาตลุ อสิ ลาม ตาบลแมส่ ะเรยี ง อาเภอแม่สะเรยี ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

คณะกรรมการอสิ ลามประจาจังหวดั รองประธานกรรมการ เลขานกุ าร
ท่ี ประธานกรรมการ
๑ นายสุริยา อร่ามวงศ์ นายชาติชาย นอ้ ยสกุล นายอรุณ จิตสว่าง

ข้อมูลมสั ยดิ /สุเหรา่ จานวน (รวม).......๓........แห่ง แยกเป็นรายอาเภอ

ที่ อาเภอ จานวน/แหง่
๑ เมืองแม่ฮ่องสอน ๑
๒ แมส่ ะเรยี ง ๑
๓ ปาย ๑

(๓) ศาสนาครสิ ต์
นิกาย โปรเตสแตนท์ จานวน (รวม) ๔26 แห่ง
นกิ าย โรมันคาทอลิก ๑๒ เขตปกครอง จานวน (รวม) 167 แห่ง

ที่ อาเภอ นิกาย (ระบจุ านวนแห่ง) รวม (แหง่ )
โรมันคาทอลิก โปรเตสแตนท์ อน่ื ๆ (ถ้ามี)
๑ เมอื งแมฮ่ ่องสอน 91
๒ ขนุ ยวม 8 ๘3 - 52
๓ แมล่ าน้อย 27 ๒5 - 159
๔ แมส่ ะเรยี ง 72 87 - 127
๕ สบเมย 45 ๘2 - 88
๖ ปางมะผา้ 12 ๗๖ - 30
๗ ปาย - 30 - ๔๖
3 ๔3 - 593
รวม 167 426

(๔) อ่นื ๆ เช่น (ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกส์ ฯลฯ) จานวน (รวม) .....1.....แหง่ แยกรายเป็น
อาเภอ

ท่ี อาเภอ จานวน/แห่ง
๑ เมืองแมฮ่ ่องสอน 1 ครอบครัว

ฯลฯ

๑๓

สถาบันอดุ มศกึ ษา

ที่ มหาวิทยาลัย ทตี่ ัง้ โทรศัพท์ โทรสาร
๐๕๓ – ๖๑๓๒๖๓ ๐๕๓ – ๖๑๓๒๖๔
๑ วิทยาลัยแมฮ่ ่องสอน ๒๓๖/๓ ตาบลปางหมู
มหาวิทยาลัยราชภฎั เชยี งใหม่ อาเภอเมือง จังหวัด
แม่ฮ่องสอน ๕๘๐๐๐

ข้อมูลศูนยเ์ ฝา้ ระวังในสถานศึกษา/วัด จานวน (รวม)......๑2......แห่ง จานวน 6 แห่ง
แยกเปน็ รายอาเภอ ๑. อาเภอเมอื งแม่ฮอ่ งสอน จานวน ๑ แห่ง
๒. อาเภอขุนยวม จานวน 1 แห่ง
๓. อาเภอแม่ลาน้อย จานวน 1 แห่ง
๔. อาเภอแมส่ ะเรยี ง จานวน 1 แห่ง
๕. อาเภอสบเมย จานวน 1 แห่ง
๖. อาเภอปางมะผ้า จานวน 1 แห่ง
๗. อาเภอปาย

ที่ สถานที่ ตาบล อาเภอ

๑ ศูนยเ์ ฝา้ ระวงั ทางวัฒนธรรม วิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินแี ม่ฮ่องสอน จองคา เมืองฯ
๒ ศนู ย์เฝ้าระวงั ทางวฒั นธรรม โรงเรยี นองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั (บา้ นจองคา) จองคา เมืองฯ
๓ ศนู ยเ์ ฝา้ ระวังทางวัฒนธรรม โรงเรยี นหอ้ งสอนศกึ ษา ในพระอุปถมั ภ์ จองคา เมอื งฯ
๔ ศนู ย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม โรงเรยี นเทศบาลเมืองแมฮ่ อ่ งสอน จองคา เมืองฯ
๕ ศนู ย์เฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม โรงเรียนบา้ นในสอย ปางหมู เมืองฯ
๖ ศูนย์เฝ้าระวงั ทางวฒั นธรรม โรงเรียนบ้านผาบ่อง ผาบอ่ ง เมืองฯ
๗ ศูนยเ์ ฝา้ ระวังทางวฒั นธรรม โรงเรยี นปางมะผ้าพิทยาสรรพ์ สบป่อง ปางมะผ้า
๘ ศูนย์เฝา้ ระวังทางวฒั นธรรม โรงเรยี นปายวทิ ยาคาร เวียงใต้ ปาย
๙ ศนู ย์เฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม โรงเรียนแมส่ ะเรยี ง (บรพิ ัตรศึกษา) บา้ นกาศ แมส่ ะเรียง
๑๐ ศนู ยเ์ ฝา้ ระวังทางวัฒนธรรม โรงเรยี นแมล่ าน้อยดรณุ สิกข์ สนั ติครี ี แมล่ านอ้ ย
๑๑ ศูนย์เฝ้าระวังทางวฒั นธรรม โรงเรยี นสบเมยวทิ ยาคม แมค่ ะตวน สบเมย
๑๒ ศนู ย์เฝ้าระวังทางวฒั นธรรม โรงเรียนขนุ ยวมวิทยา ขุนยวม ขุนยวม

ข้อมูลสถานประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดทิ ัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หมายเหตุ

(ข้อมูล ณ วันที่ 22 กันยายน ๒๕๖3)

ท่ี อาเภอ ร้านเกม/เนต็ คาราโอเกะ เชา่ จาหนา่ ย โรงภาพยนตร์ รวม

๑ เมอื งแม่ฮอ่ งสอน 2 -- - 2
๒ แมส่ ะเรยี ง 3 1- - 4
๓ ปาย 3 21 - 6
๔ แม่ลานอ้ ย - -- - -
๕ ขนุ ยวม - -- - -
๖ ปางมะผา้ 1 -- - 1
๗ สบเมย - -- - -
9 31 - 13
รวม

๑๔
ประชากร/กลุ่มชาติพันธุ์ และขนบธรรมเนยี มประเพณสี าคัญของจังหวดั

ประชากรในจงั หวัดแม่ฮ่องสอน จาแนกไดเ้ ป็น ๒ กล่มุ ใหญๆ่ คือ
๑. คนไทยเช้ือสายไทใหญ่ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นชาวไทยใหญ่ท่ีมาจากรัฐฉาน
ซ่ึงเป็นบ้านเมืองเดิมในสหภาพพม่า ชาวไทยใหญ่เป็นกลุ่มประชากรผู้มีความโดดเด่นในทางปฏิบัติท่ีแสดงถึง
ความเลอ่ื มใส ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา

๒. ชาวไทยภูเขา จาแนกได้ ๗ กล่มุ ชาตพิ ันธุ์
๑) กะเหร่ียง ปกาเกอญอ เป็นชาติพันธุ์ที่มีประชากรมากท่ีสุดของชาวไทยภูเขา คือ ประมาณ
ร้อยละ ๗๙.๓ จะตั้งถ่ินฐานอยู่ทุกอาเภอ กะยัน หรือกะเหร่ียงคอยาว ปัจจุบันมีอยู่ที่บ้านในสอย บ้านน้าเพียงดิน
บ้านหว้ ยปูแกงและบ้านห้วยเสือเฒ่า ในเขตอาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน นอกจากน้ียังมีกะเหรี่ยงกลุ่มย่อย ทอ่ี พยพเข้า
มาจากประเทศพม่า คอื กะเหรีย่ งแดง, กะยอ อาศยั อยู่ในบา้ นในสอย บา้ นหว้ ยเสือเฒา่ อาเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

๒) ลาหู่ หรอื มเู ซอ แบ่งออกเป็น ๒ กลุม่ คือ ลาหแู่ ดง และลาหูด่ า ต้ังถนิ่ ฐานอยใู่ นพื้นที่อาเภอ
ปางมะผา้ , อาเภอปาย และอาเภอเมอื งแม่ฮ่องสอน

๑๕
๓) ลีซู หรือ ลีซอ พบได้ในพ้ืนที่เขตอาเภอปาย และ อาเภอปางมะผ้า อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแนว
ภูเขา หุบเขา มเี อกลักษณ์ประเพณีที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่บรรพบรุ ุษ ได้แก่ ประเพณีกนิ วอ มกี ารละเล่น การเต้น
จะคึ ในชว่ งเฉลมิ ฉลองในเทศกาลปีใหมข่ องชาติพันธ์ุ

๔) ละวา้ หรอื เลอเวอื ะ ลัวะ เปน็ กลมุ่ ชนท่อี าศัยในดินแดนลา้ นนา รวมถงึ แมฮ่ ่องสอนมาต้ังแตโ่ บราณ
ปัจจุบันชาวลัวะอพยพขึ้นไปอยู่บนพ้ืนท่ีภูเขาสูง ตั้งชุมชนเป็นแนวยาวไปตามสันเขา พบได้มากที่เขตรอยต่อ
อาเภอแมล่ านอ้ ยกบั อาเภอแมแ่ จม่ จังหวดั เชยี งใหม่

๕) ม้ง เป็นกลมุ่ ชาวเขาทม่ี ีประชากรนอ้ ยท่ีสดุ ในแม่ฮ่องสอน แต่กระจายอยู่ทุกอาเภอแบ่งออกเป็น
๒ กล่มุ คือ มง้ ขาวและมง้ ลาย ซึง่ เรียกจากสีกระโปรงของผู้หญงิ ชาวมง้

๑๖
๖) จีนยูนนาน (จีนฮ่อ) เป็นกลุ่มชาวจีนที่เป็นอดีตทหารกองพล ๙๓ ที่หนีภัยทางการเมืองเข้ามาใน
ประเทศไทย อยู่ท่ีอาเภอปาย อาเภอปางมะผา้ และ อาเภอเมอื ง บางแหง่ ต้ังเป็นชุมชนถาวรมีเฉพาะชาวจีนฮ่อ
เท่าน้นั เช่น หมูบ่ ้านสันตชิ ล อาเภอปาย และหมู่บ้านรกั ไทย อาเภอเมือง เป็นตน้

๗) ปะโอ อพยพเขา้ มาจากรฐั ฉาน ปัจจุบันมถี น่ิ อาศยั อยูบ่ ้านหว้ ยมะเขือสม้ ตาบลหมอกจาแป่ อาเภอ
เมืองแม่ฮ่องสอน

สาหรับส่วนภูมภิ าคระดับจงั หวัด จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน ซง่ึ มีจุดแข็งทางดา้ นวัฒนธรรมที่มเี อกลักษณ์
เฉพาะ มกี ลุม่ ประชากร/กลุม่ ชาติพันธุ์ ๑๓ กลุ่ม ประกอบด้วย

๑. กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ไทใหญห่ รือคนไต

๑๗

๒. กลุ่มชาติพนั ธุ์ปกาเกอญอ หรอื กะเหร่ยี ง สกอร์ หรอื โพล้ง
๓. ละว้า หรอื เลอเวอื ะ ลัวะ

๔. ลซี ู หรอื ลีซอ

๕. ม้ง หรอื ชาวเมียว (Miao)

๑๘

๖. ลาหู่ หรอื มูเซอ
7. โปว์ หรือ กะเหรย่ี งมอญ
8. กะเหร่ียงแดง หรือ แบร่ว หรอื ยางแดง

9. กะยอ หรือ กะเหรียงหใู หญ่
10.กะยนั หรอื กะเหร่ียงคอยาว

๑๙

11.จนี ยนู นาน (จนี ฮอ่ )

12.ปะโอ หรอื ปะโอ่ หรอื ปะโอแดง หรือ ต่องสู่
๑๓. คนเมอื งเหนือ หรือ คนเมือง หรือ คนเมืองล้านนา เป็นต้น

จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีสภาพส่ิงแวดล้อมทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย ท่ีได้รับอิทธิพลจากศาสนา
ต่างๆ มีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาที่ดีงามและทรงคุณค่า ซ่ึงประชาชนแต่ละชนชาติพันธุ์ยังคง
อนุรักษ์ ปฏิบัติ สืบทอดต่อๆ กันมา แม้จะมีวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาตามความเจริญท่ีเข้าไปถึงก็ตาม ทุก
ภาคส่วนมีความต่ืนตัวในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาที่ดีงาม และด้านคุณธรรม
จริยธรรม มากขึ้น เน่ืองจากเล็งเห็นผลกระทบท่ีก่อให้เกิดความเสียหายทั้งการดารงชีวิต และประเพณี
วัฒนธรรมอันดีงาม เป็นจุดแข็งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน แม้ยังมีจุดอ่อนในการขาดการประสานความร่วมมือ
เนื่องจากสภาพแวดล้อมพื้นท่ีเป็นภูเขามีความเอื้อต่อการติดต่อประสานงาน การดาเนินการกิจกรรมต่างๆ
อยู่บ้าง ซึ่งอาจใช้แนวทางแก้ไขโดยใชเ้ ทคโนโลยีส่ือสารที่ทันสมัยให้ง่ายต่อการเข้าถึงการบูรณาการร่วมกันท้ัง
ภาครัฐ ภาคธรุ กจิ เอกชน ภาคประชาชน ในรปู แบบ

ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความเช่ือด้านศาสนา ศาสนกิ ชนส่วนใหญ่ในจังหวดั แมฮ่ ่องสอน คือประมาณ
ร้อยละ ๗๗.๕๐ นบั ถอื ศาสนาพทุ ธ รองลงมาคือ ศาสนาคริสต์ ประมาณร้อยละ ๒๐.๙๐ นับถอื ศาสนาอสิ ลาม
ประมาณร้อยละ ๐.๕๐ และทเี่ หลอื อีกประมาณร้อยละ ๑.๑๐ นบั ถอื ผแี ละศาสนาอน่ื ๆ

๒๐

วัฒนธรรมทางภาษา
ชาวไทยใหญ่จะมีภาษาพูดเป็นของตนเองเรียกว่า "กาไต" เวลาพูดภาษาไต เรียกว่า"อุบไต" คล้ายคลึง

กับภาษาไทย แต่เมื่อพูดต่อกันเป็นประโยคอาจฟังไม่รู้เร่ือง แต่หากแยกเป็นคาเดี่ยว ๆ จะเข้าใจได้ง่าย ส่วน
ภาษาเขียนตัวอักษรไทยเรียกว่า "ลีกไต" มีใช้กันมาต้ังแต่สมัยโบราณลักษณะของตัวอักษรกลมคล้ายตัวอักษร
มอญและพม่า

ชาวกะเหร่ียง,ชาวจีนฮ่อ มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ส่วนชนเผ่า ลาหู่ ลีซู ลัวะ ใน
ปัจจุบัน มภี าษาพูด สว่ นภาษาเขยี นนาอักษรอังกฤษมาใช้

ขนบธรรมเนียมประเพณีสาคญั ของจังหวัด

เดือน กิจกรรม / สถานที่จดั งาน ตาบล อาเภอ
มกราคม
กุมภาพันธ์ ๑. ประเพณี “ลองกา” (เขา้ ปริวาสกรรม)/วดั ตา่ งๆ ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน
๒. ปีใหมช่ าวดอย (ลาหู่, กะเหรี่ยง,เลอเวอื ะ) /หมูบ่ ้านชาวลาหู่อาเภอปายปางมะผา้ และหมูบ่ ้าน
มนี าคม ชาวกะเหรี่ยงท้ัง ๗ อาเภอ, หม่บู ้านชาวเลอเวือะในอาเภอแมล่ านอ้ ยและแมส่ ะเรยี ง
เมษายน ๑. ประเพณตี านขา้ วหยา่ กู๊ (ทาบญุ ข้าวทพิ ย์) /วดั ต่างๆ ทกุ แห่ง
พฤษภาคม ๒. ประเพณีปอยหลูก่ องโหล (ประเพณีบชู ากองฟืนเปน็ พทุ ธบูชาในวันเพ็ญเดอื นสาม)/วดั ในอาเภอ
มถิ ุนายน ปาย
๓. กนิ วอ (ปีใหม่ลีซู) /หมู่บ้านชาวลีซู ตรษุ จนี /บ้านรักไทย,รวมไทย
กรกฎาคม ๑. ปอยส่างลอง(บรรพชาสามเณร) /วัดต่างๆ ทุกอาเภอ, วัดในเขตเทศบาลเมืองแมฮ่ อ่ งสอน
๑. ประเพณีปอยเหลนิ ห้า หรอื ปอยซอนนา้ ข้ึนจองปใี หม่ (ประเพณสี งกรานต์) /วัดตา่ งๆ ทุกอาเภอ
สิงหาคม ๒. ประเพณกี ารกน่ั ตอ (ขอขมาพระสงฆ์และญาติผูใ้ หญ่) /บา้ นของชาวไทใหญ่ทกุ แหง่
๑. ประเพณีปอยจ่าตี่ (งานประเพณบี ูชาเจดยี ์ทราย ในวันวิสาขบูชา) /วดั พระนอน อ.เมืองแมฮ่ ่องสอน
และวดั ตา่ งๆ ทุกอาเภอ
๑. ประเพณี “วานปะลีก” หรอื การเลย้ี งเมอื ง หรอื การบวงสรวงหอเสือ้ บ้าน เสื้อเมอื ง ประจา
หม่บู ้านชุมชน
/ศาลเจ้าพอ่ ข้อมอื เหลก็ , ศาลเจา้ พ่อเมืองแข่ เทศบาลเมืองแมฮ่ อ่ งสอน และชมุ ชนชาวไทยใหญท่ ุก
อาเภอ
๒. ประเพณเี ล้ียงผีเจา้ ท่ี ผีนา้ ผีฟ้า ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ ชาวไทยภเู ขา/ทุกอาเภอ
๑. ประเพณี”เข้าหว่า”(เขา้ พรรษา)/วดั ต่างๆ ทกุ อาเภอ
๒. ประเพณฮี อมลีก/ถอ่ มลีก (อ่านหนังสือธมั ม์ คมั ภรี ์แบบไทใหญ)่ /วดั ตา่ งๆ ทุกอาเภอ และ
ตามบ้านของผทู้ ี่จะจัดพิธีฯ
๓. ประเพณี “ต่างซอมตอ่ โหลง” หรือถวายข้าวมธปุ ายาสแดพ่ ระพทุ ธเจ้า ตลอดเทศกาลเขา้ พรรษา
/วัดต่างๆ ในเขตเทศบาลเมอื งแมฮ่ ่องสอน และทุกอาเภอ
๑. ประเพณฮี อมลกี /ถ่อมลีก (อา่ นหนงั สอื ธมั ม์ คมั ภรี แ์ บบไทใหญ่) /วัดตา่ งๆ ทุกอาเภอ
และตามบ้านของผู้ที่จะจดั พิธฯี
๒. ประเพณี”ตา่ งซอมต่อโหลง” หรือถวายขา้ วมธุปายาสแดพ่ ระพทุ ธเจ้า ตลอดเทศกาลเข้าพรรษา
/วดั ต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองแมฮ่ อ่ งสอน และทุกอาเภอ

๒๑

เดอื น กิจกรรม / สถานท่ีจัดงาน ตาบล อาเภอ
กันยายน
ตลุ าคม ๑. ประเพณีเลย้ี งผีเจ้าเมือง/หมบู่ า้ นทกุ แห่งทมี่ ีหอผเี จ้าเมอื ง
๒. ประเพณี “ตานก๋วยสลาก” หรือทาบุญสลากภัตร/วัดโพธาราม อาเภอขุนยวม, วัดชาวไทยวน
พฤศจิกายน อาเภอปาย,อาเภอแม่สะเรียง
๑. ปอยเหลนิ สิบเอ็ด (ปอยเดอื นสบิ เอ็ด ประเพณอี อกพรรษา) ตักบาตรเทโวรหณะ, แหจ่ องพารา
ธนั วาคม (ปราสาทรบั พระพทุ ธเจา้ ,การฟอ้ นรูปสตั ว์ (กงิ กะหรา่ , นก,โต), แหต่ น้ เกี๊ยะ(แหต่ น้ เทยี นท่ที าดว้ ยไม้
สน) /วัดตา่ งๆ ทุกอาเภอ และวดั ในเขตเทศบาลเมอื งแมฮ่ ่องสอน
๒. ประเพณี”แฮนซอมโกจ่ า่ ”(ทาบญุ อุทิศส่วนกศุ ลไปใหผ้ ู้ทลี่ ่วงลับ) /วดั ต่างๆ ทกุ อาเภอ
๓. ประเพณอี อกหวา่ (เทศกาลออกกพรรษา) / กาดหลูป่ าย, แมส่ ะเรียง
๑. ประเพณีสิบสองมนล่องผ่องไต (ลอยกระทง)/ริมน้าปาย ตาบลปางหมู และเทศบาลเมือง
แม่ฮ่องสอน
๒. งานนมัสการพระธาตดุ อยกองมู ลอยกระทงสวรรค์ “ปอยปา๋ ยหลอย”/ วัดพระธาตุดอยกองมู
๓. ประเพณีนมสั การเขาวงกต/ วดั ผาอ่าง, วัดดอนเจดีย์ เทศบาลเมอื งแมฮ่ ่องสอน และวัดใน
อาเภอขนุ ยวม อาเภอแม่ลานอ้ ย อาเภอแม่สะเรยี ง
๔. ประเพณหี ลู่สา่ งกานคา (ทาบญุ ถวายผ้าหม่ พระพุทธรปู ) / โหย่งกาด (ปอ๊ กกาดเก่า) ตาบลจองคา
อาเภอเมือง
๑. ประเพณี “กาบซอมอ”ู ทาบญุ ถวายข้าวใหม่ / ทุกวดั ทกุ หม่บู า้ นในจังหวดั แม่ฮ่องสอน
๒. ประเพณปี ใี หมช่ าวดอย (ลาหู่, กะเหร่ียง) /หมบู่ ้านชาวลาห่อู าเภอปาย, ปางมะผ้า หมบู่ ้านชาว
กะเหรีย่ ง ทง้ั ๗ อาเภอ (ต่อเนอื่ งไปจนถึงเดือนมกราคมแลว้ แต่แตล่ ะชนเผา่ /หม่บู า้ นกาหนด)

เอกลักษณท์ างวัฒนธรรมท่สี าคัญและมชี ่ือเสียงของจังหวัด

๑. ดา้ นหตั ถกรรม/ชา่ งฝีมือ

ลาดับที่ รายการ ตาบล อาเภอ

๑ กุ๊บไต ผาบอ่ ง/เมืองปอน เมือง/ขุนยวม
๒ ผา้ ทอเลอเวือะ ปา่ แป/๋ ห้วยหอ้ ม แม่สะเรียง/แม่ลานอ้ ย
๓ ผ้าทอกะเหร่ยี ง ผาบ่อง/บา้ นกาศ
๔ เสอ้ื ไตหญิงฉลลุ าย เมือง/แมส่ ะเรียง
๕ งานฉลุโลหะ (ต้องลาย) เมอื งปอน ขนุ ยวม
ปางหม/ู ผาบอ่ ง/แมเ่ งา
เมือง/ขุนยวม

๑. ก๊บุ ไต
“กุ๊บไต” เป็นภาษาท้องถิ่นของชาวไทใหญ่เรียกกันท่ัวไป
หรือเรียกอีกช่ือหนึ่ง คือ หมวกจักสานซึ่งมีประโยชน์ใช้สอย คือใช้
สวมศีรษะเพ่ือกันแดดหรือกันฝน และสวมในการประกอบกิจกรรม
ต่างๆ เช่นการเดินขบวนกิจกรรมงานประเพณีต่าง ๆ เพ่ือแสดง
เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง ท้ อ ง ถ่ิ น แ ล ะ บ า ง แ ห่ ง ก็ ใ ช้ ใ น ก า ร ต ก แ ต่ ง ร้ า น ค้ า
บ้านเรือนและสถานที่ท่ีมีการแสดงนิทรรศการต่างๆเพื่อความ
สวยงามหรอื เพื่อแสดงถึงเอกลกั ษณแ์ ละประโยชน์ใชส้ อย
กุ๊บไตเป็นหมวกพื้นบ้านไทยใหญ่ มีลักษณะคล้ายงอบของภาคกลาง กุ๊บไตสานจากไม้ไผ่ชนิดที่ใช้ทา
ข้าวหลามและเรยี กชื่อวา่ “ไมข้ า้ วหลาม” ไมไ้ ผ่ชนดิ นี้มลี ักษณะพเิ ศษ คอื เนอื้ เยื่อข้างในจะเหนียวมากกว่าไม้ไผ่
ชนิดอื่นๆ เนื้อไม้มีความเหนียวและทนทานมาก เหมาะกับการนามาทาตอกและใช้สานเป็นเครื่องใช้ต่างๆไม้

๒๒

ข้าวหลามสาหรับสานกุบ๊ จะใช้ไม้ท่มี ีอายปุ ระมาณ ๑-๒ปี ลวดลายของกบุ๊ ไต มีถงึ ๑๓ ลาย ไดแ้ ก่ ลายพื้นฐาน
ลายสามไม่มีดอก, ลายดอกโป๊ยเซียน, ลายพิกุลดอกสี่รวม, ลายพิกุลดอกใหญ่, ลายพิกุลดอกเล็ก, ลายดอกรูป
หวั ใจ, ลายพวงกญุ แจ, ลายไม้ขีดไฟ, ลายซิกแซกใหญ่, ลายซกิ แซกเล็ก, ลายแก้วชงิ ดวง, ลายดอกชบาและลาย
กังหนั ลม

ในอดีต กุ๊บไตใช้สวมใส่เวลาทางานกลางแจ้งในเรือกสวนไร่นา ใส่เดินทาง ใช้บังแดด กันฝน กุ๊บไต
สามารถใส่กันฝนได้ เพราะเขาจะทาด้วยน้ามันที่เรียกว่า น้ามันเหม็น ซ่ึงสามารถกันร่ัวซึมได้ บางครั้งข้างในกุ๊
บจะกรุด้วยผ้าพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง แต่ในปัจจุบันกุ๊บไตกลายเป็นของที่ระลึกสาหรับนักท่องเที่ยว คนรุ่นใหม่ไม่
นิยมสวมใส่ จะมีแต่คนรุ่นเก่าท่ีอยู่ตามหมู่บ้านชนบทท่ียังสวมใส่อยู่บ้างในปัจจุบันนิยมซ้ือเป็นของฝากของ
ชารว่ ยของนักทอ่ งเที่ยว ที่เข้ามาเที่ยวในจงั หวดั แม่ฮ่องสอน

๒. ผา้ ทอเลอเวอื ะ
ชาวเขาเผ่าละว้าหรือเลอเวือะเป็นชนเผ่าท่ีมี

วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตท่ีน่าสนใจ และเป็น
เอกลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะชุมชนชาวละว้าในพ้ืนท่ี
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่ลาน้อย อาเภอแม่ลาน้อย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะเป็นชุมชน ท่ีมีความโดนเด่นท้ัง
ในด้านสภาพแวดล้อมที่สวยงาม วัฒนธรรมและวิถีชีวิต มี
งานหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือที่ภูมิปัญญาของชนเผ่า และ
ชุมชนได้มีการรวมกลุ่มท่ีเข้มแข็งในการอนุรักษ์และพัฒนา
จนเป็นอาชีพนอกภาคการเกษตรท่ีสาคัญและสร้างรายได้
เสริมให้กบั ชมุ ชน

๒๓

เลอเวือะ (ลั๊วะ) คือ ชาติพันธ์ุกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณภาคเหนือของไทย
โดยเฉพาะจงั หวดั แมฮ่ ่องสอน และเชยี งใหม่ บุคคลท่ัวไปรจู้ กั กลมุ่ ชาติพันธ์ุนี้
ผ่านช่ือ “ละว้า” สาหรับ “เลอเวือะ” เป็นคาที่ใช้เรียกภายในกลุ่ม ปัจจุบัน
ชาติพันธ์ุเลอเวือะ บ้านป่าแป๋ ยังคงดารงวิถีชีวิตด้านสังคมวัฒนธรรมตาม
ความเชือ่ ด้ังเดมิ

ชาวเลอเวือะ หรือ ชาวลวะ เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธ์ุหนึ่งที่ตั้งถ่ินฐาน
อยูท่ บ่ี า้ นปา่ แป๋ อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน ปจั จุบนั ในชุมชนมกี าร
นับถือศาสนาอยู่ ๒ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ ซ่ึงจะนับถือผีควบคู่ไปด้วย และ
ศาสนาคริสต์ ซึ่งแยกเป็น ๒ นิกาย คอื โรมันคาทอลิก และโปรแตสแตนท์

ชาวเลอเวือะ บ้านป่าแป๋ ยังคงดารงวิถีชีวิตตามแบบอย่างทางด้าน
สังคมและวัฒนธรรมความเช่ือทป่ี ฏิบัติกันมาแตใ่ นอดตี วิถีการดารงชวี ิตและ
วัฒนธรรมประเพณีของชุมชนชาวละเวือะน้ันมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ชาติพันธ์ุ อาทิเช่น ระบบการทาการเกษตร ระบบการจัดการทรัพยากรดิน น้า ป่า (การดูแลรักษาและและใช้
ประโยชน์อยา่ งเหมาะสม) พิธกี รรม ความเช่ือ การแต่งกาย และภาษาพดู ของตนเอง
ที่ยังคงใช้ในชีวิตประจาวันสาหรับการติดต่อสื่อสารทุกรุ่นทุกวัย นอกจากน้ันยังมี
วรรณกรรมหรือบทกวีที่มีคุณค่า ซ่ึงบ่งบอกถึง ความเจริญ
ทางภาษาของชาวเลอเวือะ เช่น เพลงซอเชิงจารีตประเพณี
เพลงซอเชิงเกี้ยวสาว เพลงซอท่ีบ่งบอกถึงธรรมชาติการ
ดาเนินชีวิต เพลงซอสอนการครองเรือนสาหรับคนท่ีแต่งงาน
มีครอบครวั เพลงกลอ่ มเดก็ และในปัจจุบนั มีการทอผ้าฝา้ ย
ทอเมือจากการรวมกลุ่มชาวเลอเวือะ ซ่ึงถือเป็นภูมิปัญญามี
การเยบ็ ผา้ ทอมือแบบคละสี คละลาย เป็นต้น

๓. ผ้าทอกะเหรี่ยง
กะเหร่ียงหรือชาวปกากะญอ นิยมใส่เส้ือผ้าฝ้ายทอมือมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งแต่เดิมชาวกะเหร่ียงจะ
ปลูกฝ้ายเอง นาฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย ย้อมด้วยสีธรรมชาติ
สร้างลวดลายด้วยการทอ การปักด้วย เส้นไหม และลูกเดือย
สตรีชาวกะเหร่ียง จะถ่ายทอด ภูมิปัญญากระบวนการผลิตผ้า
ทอ แก่บตุ รสาวอายุ ๑๒ – ๑๕ ปี
เริ่มจากแบบง่ายๆ ฝึกฝนจนมีความชานาญ และ
สามารถออกแบบลวดลายด้วยตนเองได้ สาหรับลวดลายผ้าทอ
ของชาวกะเหร่ียงน้ัน มีเรื่องราว เล่าสืบมาว่า ได้มาจากลาย
หนังงูใหญ่ ซึ่งเป็นคู่รักในอดีตของหญิงสาวชาวกะเหรี่ยง โดยงูจะเปล่ียนลายทุกวัน และหญิงสาวก็ทอผ้าตาม
ลายท่ีปรากฏ จนครบ ๗ วัน ทอได้ ๗ ลาย แต่ลายที่นิยมนามาทอ และปัก มี ๔ ลาย คือ โยห่อกือเกอเป่เผลอ
ฉุ่ยข่อลออีกลายหน่ึง คือ ลายทีข่า ปัจจุบันยังมีลายที่นิยมทอ คือ เกอแนเดอ หรือลายรังผ้ึง และเซอกอพอ
หรือ ลายดอกมะเขือ

๒๔

การย้อมผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ ใช้เปลือกไม้ เรียกว่า ซาโก่แระ จะได้
เป็นสีแดงแกมน้าตาล ใบฮ่อม เซอ หย่า เหล่า ให้สีน้าเงินแกมกรมท่า ผล
สมอ ให้สีน้าตาล และผลมะขามป้อมให้สีเทา เป็นต้น ชาวกะเหรี่ยง
สรา้ งสรรค์ลวดลาย สีสนั ของผ้าทอจากธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ มใกลต้ วั จงึ
มีความสวยงาม และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวกะเหร่ียง มีการนา
เมล็ดเดือยซึ่งเป็นวัชพืชป่า ปักบนผืนผ้า สร้างเป็นลวดลายลักษณะเฉพาะ
เป็นท่ีสะดุดตาแก่บคุ คลภายนอก ซ่ึงสนใจซื้อหาไปสวมใส่ และเป็น ของฝาก
ทาให้สตรชี าวกะเหรยี่ งสรา้ งสรรค์ผลิตภัณฑ์ผา้ ทอเพ่อื การจาหนา่ ย
นอกเหนือจากการทอผ้าไว้ใช้ในครัวเรือน เป็นการสร้างรายได้เพ่ิมอีกทางหน่ึง ผ้าทอกะเหร่ียง
ตามโครงการหนึ่งตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ ได้รับการพัฒนาคุณภาพ รูปแบบให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากข้ึน
สร้างงาน สร้างรายได้แก่ผู้ผลิต อย่างยั่งยืน ตลอดจนสืบสานภูมิปัญญาชาวกะเหล่ียง เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมี
เอกลกั ษณข์ องจังหวดั แม่ฮอ่ งสอน

๔. เส้ือไตหญิงฉลุลาย
เสื้อไตสภุ าพสตรี เปน็ เส้อื ที่มคี วามยาวระดับเอว เปน็ เสอื้ ป้ายด้านหนา้ แขนต่อไหล่และแขนไม่ต่อไหล่
อาจมีการปกั ทึบหรือปักฉลุบริเวณ รอบผ้า เชน่ รอบคอ ปลายแขน ชายเสือ้ และอาจตกแตง่ ดว้ ยวัสดุอืน่ ๆ เชน่
ลกู ปัดมุก เลื่อม ส่วนเสื้อไตสุภาพบรุ ษุ ตอ้ งมีการเย็บตะเข็บดา้ นในของตวั เสอื้ ท่เี รยี กวา่ “เข้าถ้า” ไมต่ ่อไหล่ อาจ
เย็บแยกชายเส้ือทั้งสองด้าน กรณีเส้ือแขนยาวอาจเย็บตะเข็บเป็นรอยต่อบริเวณข้อศอกหรือปลายแขน เย็บ
ตะเข็บคหู่ รือตะเข็บเด่ียว ตัง้ แตร่ อบคอเส้ือลงมาเป็นเสน้ ตรงขนานกับสาบเสื้อจนถึงชายเส้ือ ตรงกลางดา้ นหลัง
เย็บตะเข็บเป็น เส้นตรงต้ังแต่คอจนถึงชายเส้ือ กระดุมทาด้วยผ้าชนิดเดียวกับตัวเสื้อ มีกระเป๋าปะที่ชายเสื้อ
ด้านซ้าย ด้านขวา และที่หน้าอกด้านซ้าย ซ่ึงจะเจาะเป็นช่องเล็กๆ ตามแนวยาวด้านข้างขวามือของกระเป๋า
การปัก ลวดลายที่ปักต้องเด่นชัด ประณีต สวยงาม ความตึงหย่อนจากเส้นด้ายท่ีใช้ปักต้องสม่าเสมอ และ
ถูกต้อง ตามลักษณะลายพ้ืนฐาน เชน่ ปักไขว้ ปกั ทึบ ปักฉลุ ปกั ลกู โซ่ เปน็ ต้น สาหรับการเย็บ ระยะฝีจกั รหรือ
ฝีเข็มไม่ห่างหรือถ่ีเกินไปหรือข้ามกระโดด ตะเข็บเส้ือด้านในต้องไม่หลุดลุ่ย มีรอยแยกหรือขาด การสอยต้อง
ประณีต ไม่ปรากฏเส้นด้ายบนผ้าด้านถูกอย่างชัดเจน และการเย็บซับใน สีของผ้าซับใน ต้องสีเดียวกันหรือ
กลมกลืนกบั ผ้าตวั นอก และไม่ตึงรง้ั จนทาให้เส้อื เสยี รปู ทรง

๒๕

๕. งานฉลโุ ลหะ (ต้องลาย)
งานฉลุโลหะ หรือ ต้องลายเป็นส่วนหนึ่งของของส่ิงประดับตกแตงชายคาและโครงสรางของหลังคา

อาคารโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญของวัดไทใหญ่ใหดูมีความออนชอยสวยงามมากข้ึน มีลักษณะเปนแผนโล
หะฉลุปดทับ แผนไมเชิงชายคา เช่นเดียวกันกับ “แปนน้ายอย” ซ่ึงใชประดับโครงสรางในงานสถาปตยกรรม
ทางภาคเหนือของไทย เพื่อใหมีค่ามากกวาการท่ีจะเปนแผนไมธรรมดาเรียบ ๆ ดังนั้นลวดลายฉลุโลหะจงถือ
กาเนิดขึ้นมาเพ่ือรองรับวัตถุประสงคนี้ โดยถือวาเปนการตอบสนองทางดานความงามเสียมากกวา ท่ีจะมี
ความสาคัญกับสวนของสถาปตยกรรมในดานการใชสอย

๒. ดา้ นอาหาร

ลาดับท่ี รายการ ตาบล อาเภอ

๑ กาแฟห้วยห้อม หว้ ยหอ้ ม แมล่ าน้อย
๒ ขนมไทยใหญ่ อาละหวา่ สว่ ยทะมนิ ขนมสาระพู ขนุ ยวม ขุนยวม

(นางมณี เอ่ียมกระสินธ)์ุ ผาบอ่ ง เมอื งแมฮ่ ่องสอน
๓ อาหารไทยใหญ่ , ถัว่ ลายเสอื เวียงใต้ ปาย
๔ นา้ พริกคั่วทราย บ้านกาศ
๕ แกงฮงั เล เวียงเหนือ แม่สะเรยี ง
๖ ผักกาดจอน้าอ้อย จองคา ปาย
๗ ขนมงาโหย่ว
เมอื งแมฮ่ ่องสอน

๒๖

๑. กาแฟห้วยหอ้ ม
ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหร่ียงบ้านห้วยห้อม ต.ห้วยห้อม อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน มีอาชีพปลูกกาแฟ
พันธ์ุอราบิก้า จาหน่าย โดยจาหน่ายใหแ้ ก่บริษัทที่สง่ ผลผลติ กาแฟดังกล่าวไปยงั ต่างประเทศ ที่ได้เข้ามารับซอ้ื
ผลผลิตกาแฟของชาวไทยภูเขาในพ้ืนท่ีบ้านห้วยห้อมเป็นประจา นอกจากน้ียังมีผลิตภัณฑ์จากกลุ่มแม่บ้าน
เกษตรกรในโครงการพระราชดาริ ชุมชนบ้านหว้ ยห้อม อาเภอแมล่ าน้อย จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน โดยปลกู ในระบบ
ออร์กานิคฟารม์ (ใช้ปุ๋ยอนิ ทรีย์ ไมใ่ ชส้ ารเคมีกาจดั ศัตรูพชื ) ปลูกในระดบั ความสูง ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ เมตร จาก
ระดับน้าทะเล และเติบโตภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ดังนั้นจึงใช้เวลาตั้งแต่ติดผลจนกระทั่งสุกเก็บเก่ียวได้เป็นเวลา
ถึง ๘ เดือน ทาให้ได้สารกาแฟท่ีมีคุณภาพติดระดับโลก (ส่งออกให้สตาร์บัค ในรูปของสารกาแฟกว่า ๓๐ ตัน)
ส่วนที่เกินนามาแปรรูปเปน็ ผลติ ภัณฑ์ ชุมชนไดร้ ับรางวัลผลติ ภณั ฑ์ OTOP ระดบั ๕ ดาวของอาเภอแม่ลาน้อย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมล็ดกาแฟค่ัวอราบิก้า (Arabica) ๑๐๐% ชุมชนชนบ้านห้วยห้อมผ่านการค่ัวไฟปานกลาง
ทาให้ได้รสชาติกลมกลอ่ ม ไมม่ ีกลน่ิ ควนั ไฟ สามารถชงไดท้ ง้ั เมนรู อ้ นและเยน็

๒. ขนมไทยใหญ่ อาละหวา่ สว่ ยทะมิน

ขนมเป็งม้ง หรือเค้กไทยใหญ่ ทามาจากเเป้งข้าวจ้าว
น้าอ้อย เเล้วนาไปอบ ราดหน้าด้วยกะทิเคี่ยวกับน้าตาล สมัยก่อน
จะนิยมทาเฉพาะในงานบุญของชาวไทยใหญ่เท่าน้นั

อ า ล ะ ห ว่ า
เป็นชื่อขนมพ้ืนเมือง
ไทยใหญ่ชนิดหนึ่งท่ี
ท า ม า จ า ก แ ป้ ง ข้ า ว
เจ้าผ ส มกะทิและ
น้าตาลอ้อย มีรสชาติหวาน ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง เป็น
ขนมที่มีความข้ึนชื่อเร่ืองความอร่อย ถือเป็นขนมพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ
ของจังหวดั แม่ฮอ่ งสอน

๒๗

ขนมส่วยทะมิน ขนมทาด้วยข้าวเหนียวสุกกวนกับกะทิ
น้าตาลอ้อย แล้วก็เทใส่ถาด เผาหน้าด้วยไฟให้หน้าขนมเกรียม มี
รสชาติหวานๆและมัน รับประทานเป็นอาหารว่างและนาไปเป็น
ของฝาก

ขนมสาระพู เป็นชื่อขนมมงคลของชาวไทยใหญ่ ซ่ึงเป็นขนม
พ้ืนเมืองที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนกาลังฟื้นฟู ขนมสาระพู ท่ีพบในจังหวัด
แม่ฮ่องสอน ชาวพ้ืนบ้านภาคเหนือเรียกว่าขนมกาบเกียง ส่วนภาค
กลางมีขนมลักษณะคล้ายกันนี้เรียกว่า ละอองลาเจียก ลักษณะ
เป็นแป้งข้าวเหนียวใส้มะพร้าวกวน โดยจะนาแป้งข้าวเหนียวมาร่อน
พรมน้าหมาด ๆ ใส่ลงบนกะทะเตาถ่านร้อน ๆ และใส่ไส้มะพร้าว
ทึนทึกกวนด้วยน้าอ้อย หรือน้าตาลปีป ปัจจุบันหารับประทานได้ยาก
เน่อื งจากมีความย่งุ ยากในการปรงุ คาวา่ พูในภาษาไทยใหญ่ แปลว่ามากข้ึน หรอื ใหญข่ ึ้น ขนมสาระพจู ะนิยมทา
ในงานมงคล เชน่ ขึน้ บ้านใหม่ หรอื แตง่ งาน เชอ่ื วา่ ถา้ ได้กินแล้วจะมีความเจรญิ ขึ้น จงึ จะพบขนมสาระพูเฉพาะ
ในงานมงคลใหญ่ ๆ เท่าน้นั

๓. อาหารไทยใหญ่ , ถ่วั ลายเสือ
ร้านอาหารไทยใหญ่ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนใกล้กับตลาดสายหยุดซ่ึงเป็นตลาดเช้าชื่อดังของเมือง

สามหมอก เดินทะลุตลาดจากด้าน ถ.พาณิชย์วัฒนามายังด้าน ถนนสิงหนาทบารุงเล้ียวซ้ายตรงสุดพ้ืนที่ตลาด
สายหยุด เดินไปอีกไม่เกิน ๑๐๐ เมตร ก็จะได้พบกับร้านอาหารธงฟ้าราคาประหยัดและอร่อย ขายอาหารพื้นเมือง
ของคนไตมานานหลายสิบปีจนคนในพ้ืนท่ีรู้จักกันดี เร่ิมเปิดขายตั้งแต่เช้าประมาณ ๐๗.๓๐ น. และปิดเวลา
๑๕.๐๐ น. ถึงช่วงสายๆ กับข้าวบางอย่างท่ีขายดีๆก็จะหมดต้องทาเพ่ิมรอบสอง เช่น จิ้นลุง ซ่ึงเป็นหมูสับหยาบๆ
ปั้นเป็นก้อนกลมๆ สีเหลืองๆ ใส่เคร่ืองเทศจาพวกขม้ิน ตะไคร้ และมะเขือเทศเล็กน้อยผัดกับน้ามัน รสชาติ
กลมกล่อม จ๊ินลุงน้ีเป็นเมนูขายดีประจาร้าน ท่ีมักจะขาดแคลน อยู่เสมอ หากมาที่ร้านนี้สาย แกงฮังเล เมนูยอด
นิยมของจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งใช้หมูสามชั้นปนผสมเน้ือหมูสันนอก (บางแห่งอาจใช้แค่หมูสามชั้นอย่างเดียว)
คลุกเครื่องแกงผสมผงกระหรี่ผัดแล้วเติมน้าแกงเคี่ยวจนข้นแล้วปรุงรสด้วย น้ามะขามเปียกออกรสเปร้ียว เค็ม เผ็ด
นอกจากน้ียังมีเมนูช่ือแปลกๆแต่อร่อยอีกเป็นต้นว่า อุ๊บไก่ อุ๊บไข่ (อุ๊บ แปลว่า แกงแบบขลุกขลิก จะบอกว่าน้าก็
ไมใ่ ชแ่ ห้งกไ็ ม่เชิงคลา้ ยฉฉู่ ี่ของภาคกลาง) รสชาตคิ ล้ายๆกับน้าพริกอ่อง
ผดั ผสมกบั เครือ่ ง (ไก่หรอื ไข่) ตามแต่ชนดิ ของอุ๊บ ทานกบั ขา้ วสวยร้อนๆอร่อยมาก

๒๘

ถ่ัวลายเสือ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

เริ่มมกี ารเพาะปลูกแพร่หลายข้นึ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนช่วง

พ.ศ. 2559 จุดเด่นถ่ัวลายเสือ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

แตกตา่ งจาก ถว่ั ลายเสือ ของจังหวัดอ่ืนๆ คอื รสชาติ และ

เมล็ดใหญ่ เพราะด้วยพื้นท่ี เป็นหุบเขา มีอากาศเหมาะสม

เอ้ือในการเจริญเติบโต ทาให้ถ่ัวลายเสือ เจริญเติบโตได้ดี

และให้ถ่ัวที่มีรสชาติอร่อย กว่า ถั่วท่ีปลูกอยู่บนพื้นราบ

เดิม ถ่ัวลายเสือปลูกอยู่ในพ้ืนที่แถบภาคอีสาน ถ่ัวลายเสือ

หรือ ถ่ัวลิสงพันธุ์กาฬสินธุ์ 2 ในท้องถิ่นปลูกกันมานาน

เรียกกันหลายช่ือ เช่น ถ่ัวราชินี ถ่ัวพระราชทาน ถั่วจัมโบ้

๔. น้าพริกคว่ั ทราย ลาย และถ่ัวลายเสือ ลักษณะเด่นคือ เมื่อแกะฝักถั่วออก

น้าพริกคั่วทราย เป็นอาหารชาวไทยใหญเม่ชลน็ดิดขหอนงถ่ึงั่วถลือาเปยเ็นสภือูมจิปะมัญีเญยื่อาหดุ้้มานเมอลา็ดหคาลร้าแยลกะับโภลชายนหากนาังร
โดยเฉพาะของป้าแหลง ตาบลเวียงใต้ อาเภอเมืองเสือจโังคหรว่งัดแมมีรู่ฮป่อรง่าสงฝอักนสวทยี่มีรสูปชฝาักตยิโาดวดมเดีจ่นานวโดนย2กา-4รนเามพลร็ดิก

มาโขลกรวมกับ ถ่ัวเน่าท่ีย่างไฟแล้ว นามาคั่วรตวอ่ มฝกักันกับกระเทียมเจียว ถั่วลิสงและกุ้งแห้ง และ เติม
เคร่อื งปรุง จะได้ความกลมกล่อมของน้าพริก รับประทานเป็นอาหาร ถือเปน็ อาหารท่ีมปี ระโยชนอ์ ีกอย่างหนึ่ง

๕. แกงฮังเล
แกงฮังเล เป็นอาหารพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ภูมิปัญญาด้านการปรุงอาหารพ้ืนเมือง และอาหารไทย

ใหญ่ทุกประเภทอยู่ในตาบลบ้านกาศ อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่ีมีรสชาติกลมกล่อม เป็นการ
นาเอาวัตถุดิบซ่ึงประกอบด้วย หมูสามช้ัน กระเทียม หอมแดง ขิง น้าอ้อย มะขามเปียก น้ามันพืช ผง
ฮังเล กะปิ พริกแห้ง ซีอิ๊วดา หลังจากน้ันนามาปรุงรส รับประทาน เป็นอาหาร ถือเป็นอาหารท่ีมาก
คุณค่าอย่างหนึง่

๒๙

๖. ผกั กาดจอน้าอ้อย
ผักกาดจอน้าอ้อย เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ท่ีมีรสชาติหวานกลมกลอ่ ม โดยเฉพาะของ

นางพรทิพย์ แสงเข่ิง ตาบลเวียงเหนือ อาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่ีมีความรู้ความสามารถของภูมิ
ปญั ญา การประกอบอาหารพื้นบา้ นของชนชาวไทยใหญ่เปน็ การนาเอาผกั กาดเขียวยอดท่เี ปน็ วตั ถดุ บิ ที่หาง่าย
ในทอ้ งถ่นิ มาต้มพอเปียก แล้วสะเดด็ น้าพอประมาณ ใสเ่ กลือ นา้ อ้อย มะขามเปยี ก ปรงุ รสให้พอดี แลว้ โรย
ดว้ ยกระเทยี มเจียว ตน้ หอม ผกั ชี รับประทานเป็นอาหาร ถอื เป็นอาหารทีม่ ากคุณคา่ อย่างหนง่ึ

๗. ขนมงาโหยว่
“งาโหย่ว” หรือ “สูตรโหย่ว” คือคาว่า โหย่ว ใน

ภาษาไทยใหญ่เดิมแปลว่า คลุกหรือผสมเข้าด้วย เช่น งา
โหย่วน้าผ้ึงคือ การนางาที่ค่ัวแล้วมาผสมคลุกกับน้าผึ้ง เป็น
ต้น เม่ือประมาณปี ๒๕๐๙ พ่อเฒ่าซาปีแหย รณะบุตรและ
พ่อเฒ่ามอง รณะบุตร ชาวไทยใหญ่ดั้งเดิมของจังหวัด
แม่ฮ่องสอนคือบุคคลสาคัญท่ีคิดค้นและสร้างสรรค์ขนมงาใน
ยุคโดยเริ่มแรกแต่เดิมท่านท้ังสองได้เร่ิมทาขนมงาโหย่วขาย
ซงึ่ มีเพียงรสชาติเดยี วคือ รสนา้ อ้อย ได้นาเพียงงาคว่ั มาผสม
คลุกกับน้าอ้อยเค่ียวในกระทะ และเม่ือได้ที่แล้วจึงเทลงถาด
ไม้ ตัดทาเป็นชิ้นขายราคาประมาณ ๒ สลึง ท่านท้ังสองก็ได้ทาขายต่อเรื่อยมาและในทาแต่ละครั้งก็จะมี
ลูกหลานของท่านคือ พ่อจายแหลง รณะบุตรและคุณแม่วิภา รณะบุตรมาช่วยเป็นลูกมืออยู่เสมอ ซึ่งต่อมาทั้ง
สองกไ็ ด้เปน็ ผู้สืบทอดขนมงาโหย่ว รุ่นต่อไปท่านได้ถา่ ยทอด การทาขนมงาโหยว่ ให้แกล่ ูกหลานของทา่ น คอื นาง
พันธิพา ปิติวุฒิ (รณะบุตร) และนางดาริณี รณะบุตร ซึ่งท่านยังสอนลูกหลานของท่านอีกว่า“ต่างคนก็ต่าง
ความคิด ชอบอะไรไม่เหมือนกัน คนหน่ึงชอบหวาน คนหนึ่งชอบจืด แต่มีอย่างหนึ่งที่ทุกคนมักจะชอบ
เหมือนกนั ก็คือ คณุ ภาพที่ดี ใชข้ องดีทาให้ขนมดีมีคุณภาพ” ทาใหน้ างพนั ธิพา ปิติวฒุ ิ (รณะบุตร) และนางดา
รณิ ี รณะบตุ ร เรียนรแู้ ละยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิต่อกันมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นางพันธิพา ปิติวุฒิ(รณะบุตร) และนางดาริณี รณะบุตร ผู้สืบทอดรุ่นที่ ๓ ได้
ร่วมกันสร้างสรรผลิตภัณฑ์ในชื่อแบรนด์ “งาเมืองสามหมอก” โดยได้เพ่ิมรสชาติให้มีความหลากหลายและ
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น งา
โหย่วน้าผ้ึง งาโหย่วขิง งาโหย่วตะไคร้ ข้าวแต๋น
งามน เป็นต้น ขนมงาทุกชนิดต่างทาด้วยสูตรที่
บรรพบุรุษถ่ายทอดไว้ให้ รวมถึงหลักท่ียึดถือ
คุณภาพของขนมงาโหย่ว ให้คงความอร่อยไม่
เปลี่ยนแปลงจากเดิม และขนมงาโหย่วยังได้
ผา่ นการรบั รองคุณภาพจากองค์การอาหารและ
ยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.)

๓๐

และยังส่งเข้าคัดสรรสุดยอดสินค้าหน่ึงตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) และในปีแรกได้ผ่านการคัดเลือกให้อยู่ใน
ระดับ ๓ ดาว ปีท่ีสองได้อยู่ในระดับ ๔ ดาว ต่อมานางพันธิพา ปิติวุฒิ(รณะบุตร) และนางดาริณี รณะบุตรได้
พยายามพัฒนาขนมงาโหย่วและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้ดีข้ึน จึงทาให้ในปีท่ีสามผ่านการคัดเลือกให้อยู่ใน
ระดับ OTOP ๕ ดาวและงาเมืองสามหมอกจะยังคงพัฒนาสินค้าขนมงา เพื่อตอบสนองความต้องการของ
ผ้บู รโิ ภคต่อไป

๓. ด้านขนบธรรมเนยี มประเพณี

ลาดับท่ี รายการ ตาบล อาเภอ
๑ ปอยสา่ งลอง เมือง
เทศบาลเมือง
๒ ปอยเหลินสบิ เอด็ (แห่จองพารา) แม่ฮ่องสอน เมือง
เทศบาลเมือง
๓ สบิ สองมนล่องผ่องไต (ลอยกระทงไทยใหญ่) แมฮ่ ่องสอน เมอื ง
๔ กนิ วอชาวดอย (ปใี หม่ลีซู, ปีใหม่ลาห)ู่ ปางมะผา้
๕ ปอยหมง่ั กะป่า หรือประเพณีเขาวงกต ปางหมู แม่ลาน้อย
๖ ปอยออกหวา่ (ประเพณีออกพรรษา แมส่ ะเรียง) ปางมะผา้ แม่สะเรียง
๗ ปอยต้นที (ห้วยเสือเฒ่า, ห้วยปูแกง) แมล่ าน้อย
แม่สะเรยี ง เมือง
ผาบ่อง

๑. ประเพณีปอยส่างลอง (บรรพชาสามเณร)
ประเพณีปอยส่างลอง หรือ งานบวชลูกแก้ว เพื่อทาการบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา
โดยจะพบเห็นการจัดปอยส่างลองกันมากท่ีจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอาเภอเมือง อาเภอขุนยวม
และอาเภอปาย คนส่วนใหญ่ท่ีเข้าร่วมประเพณีนี้ก็สืบเช้ือสายมาจากไทใหญ่ ซ่ึงก็ได้ร่วมกันสืบทอดงาน
ประเพณนี ม้ี าเป็นเวลาช้านาน ดงั ปรากฏว่าหลกั ฐานว่าประเพณีนม้ี ีมาตั้งแต่มีการสร้างเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งก็ได้
มีการจดั งานอยา่ งย่ิงใหญ่ทุกๆปี เน่อื งจากเปน็ ประเพณที ่สี าคัญทางศาสนา และเป็นเอกลกั ษณ์ของจงั หวัด

ความเปน็ มาของกิจกรรม
ประเพณีปอยส่างลองเป็นงานประเพณีบรรพชาสามเณรของชาวไต หรือไทใหญ่เป็นประเพณี

การสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เด็กชายอายุประมาณ ๑๐ ขวบขึ้นไปได้บวชเรียนรู้พระธรรม คาส่ังสอนของ
พระพุทธเจ้า โดยมีความเช่ือว่า ถ้าได้บรรพชาให้บุตรของตนเป็นสามเณร จะได้อานิสงส์ ๘ กัลป์ เป็นเจ้าภาพ
บรรพชาให้บุตรคนอ่ืนเปน็ สามเณรได้อานสิ งส์ ๔ กัลป์ และหากได้อุปสมบทบุตรของตนเปน็ พระภิกษุสงฆ์จะได้
อานิสงส์ ๑๒ กัลป์ และได้เป็นเจ้าภาพอุปสมบทบุตรคนอ่ืนจะได้อานิสงส์ ๘ กัลป์ “ส่าง” เป็นคาเรียกสามเณร
“ลอง” มาจาก”อลองพญา” มีความหมายว่าเป็นเจ้าชาย หรือหน่อพุทธางกูร โดยอิงเอาพุทธประวัติท่ีเจ้าชาย
สิทธัตถะเสด็จออกบวช โดยจะแต่งตัวส่างลองด้วยเคร่ืองแต่งกายแบบเจ้าชายไทใหญ่ โดยจะจัดในช่วงเดือน
มีนาคมถงึ เดอื นเมษายนของทุกปี

คณุ ค่าและความสาคัญของกิจกรรม
๑. ผู้ที่ผ่านการบรรพชาเปน็ สามเณรจะได้รับการยกย่องเรยี กคาว่า “ส่าง” นาหนา้ ชื่อตลอดไป
๒. ผทู้ ีผ่ า่ นการอปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุสงฆจ์ ะไดร้ บั ยกยอ่ งเรียกคาว่า“จาง”หรือ “หนาน”นาหน้าช่ือ
๓. บดิ าท่ีจดั บรรพชาใหล้ ูกเป็นสามเณร จะไดร้ ับยกย่องเรยี กคาวา่ “พ่อส่าง” นาหนา้ ช่ือ

๓๑

๔. มารดาท่ีได้จดั บรรพชาใหล้ ูกเปน็ สามเณรจะไดร้ บั ยกย่องเรยี กคาว่า “แมส่ า่ ง” นาหน้าช่ือ
๕. บดิ าท่ีจดั บรรพชาลูกเปน็ พระภิกษุ (จางลอง) จะได้รับยกยอ่ งเรียกคาวา่ “พ่อจาง” นาหน้าช่ือ
๖. มารดาทจ่ี ดั บรรพชาลูกเป็นพระภกิ ษุ จะไดร้ บั ยกย่องเรียกคาว่า “แมจ่ าง”นาหนา้ ช่ือ
๗. การจดั งานปอยสา่ งลอง เป็นการสบื ทอดพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดความสามัคคใี นหมู่คณะ

ในการบรรพชาเป็นสามเณรน้ันก็เพ่ือศึกษาพุทธธรรมและเพื่อเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา เหมือน
อย่างท่ีพระราหุลซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า)กับพระนางยโสธรา(พิมพา) บวชเป็น
สามเณรองค์แรก ในพุทธศาสนา เพ่ือดาเนินรอยตามคาสั่งสอนของพระบิดา พระราหุลท่านเป็นผู้ใคร่ใน
การศึกษาธรรมวินัย จึงไดร้ ับ ยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลาย

ก่อนที่จะถึงวันประเพณีปอยส่างลองหนึ่งวัน เด็กชายผู้ชายทุกคนท่ีเข้าร่วมประเพณีน้ีจะต้องปลงผม
และอาบนา้ ให้สะอาดทสี่ ดุ และเจมิ ด้วยน้าหอมเพือ่ ใหม้ กี ลิ่นหอม แตง่ กายด้วยชดุ เส้ือผา้ เคร่อื งประดับตา่ งๆ แต่
ส่วนใหญจ่ ะไม่ใส่เครื่องประดับทเี่ ป็นของจรงิ โดยมากจะเปน็ เพชร พลอย และทองทท่ี าขึ้นมาเหมือนจริงเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะ กลัวของมีค่าสูญหายระหว่างการแห่ส่างลอง แต่ก็มีบางคนท่ีมีฐานะให้ลูกหลานใส่ของจริง
นอกจากนน้ั ยงั มี การแต่งหน้าแต่งตาดว้ ยสีสนั ที่จดั จ้านให้ส่างลอง(ลกู แกว้ ) ดูสวยงามมีสง่าราศีเหนือคนทัว่ ไป

วันแรกของปอยส่างลอง หรือชาวบ้านจะเรียกกันว่า "วันเอาส่างลอง" จะเร่ิมด้วยขบวนแห่ลูกแก้วซ่ึง
ลูกแก้วก็จะมีการแต่งกายอย่างสวยงามเปรียบเหมือนกับเทวดาตัวน้อยๆ แห่ไปรอบๆเมืองตามถนนหนทาง
ต่างๆ ซ่ึงในขบวนแห่ก็จะประกอบไปด้วยเสียงดนตรีอันแสดงถึงความสนุกสนานร่ืนเริงจากเครื่องดนตรีของไท
ใหญ่ ได้แก่ มองเซิง (ฆ้องชุด) ฉาบ และกลองมองเซงิ (กลองสองหน้า)

ในอดีตน้ันการแห่ลูกแก้วไปรอบๆเมือง จะให้ลูกแก้วขี่ม้าแต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนไป เพราะม้านั้นไม่ได้หา
กันงา่ ยๆเหมือนดังเช่นสมัยก่อน ในสมยั ปจั จุบนั กจ็ ึงแห่ลูกแก้วโดยการให้นั่งเก้าอ้ีแล้วนาไปใส่หลังรถยนต์แห่ไป
รอบเมืองแทน ในขบวนแห่ลูกแก้ว ลูกแก้วแต่ละคนจะมีผู้ติดตามซึ่งอาจเป็นพ่อ หรือญาติพ่ีน้องที่เป็นผู้ชาย
เพราะลูกแกว้ น่ันเขาเปรยี บเสมือนเป็นเทวดา ตอ้ งใส่ถงุ เท้าสขี าวตลอดทั้ง ๓ วนั ท่ีจัดงาน และห้ามไมใ่ หล้ ูกแก้ว
ได้เหยียบพื้น ดังนั้นเวลา จะไปท่ีใดก็ต้องมีคนคอยแบก(ม้าขี่) หรือนาข่ีคอไปยังท่ีต่างๆ และก็ต้องมีอีกคนหน่ึง
ทาหน้าท่ีกางร่มที่มียอดสูงประดับทองกันแดดให้ไม่ให้ลูกแก้วต้องโดนแดดเผา นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องดูแล
เพชรพลอยของมีค่าต่าง ๆ ที่ลูกแก้วสวมใส่อยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการตกหล่นหรือโดนลักขโมยจากน้ันเม่ือ
ขบวนแห่รอบเมืองเสร็จส้ิน ก็จะเป็นขบวนแห่ลูกแก้วเหล่านั้นไปเย่ียมญาติ ๆท่ีบ้าน หรือบางทีอาจเป็น
ผู้สูงอายุ ผู้อาวุโส และบุคคลสาคัญๆในชุมชน เพ่ือไปแสดงความเคารพนับถือ และรับศีลรับพร จากน้ันญาติ ๆ
และผสู้ ูงอายกุ จ็ ะใช้ดา้ ยสขี าวผกู ข้อมอื ใหล้ ูกแกว้ ทุกคน เพ่ือปอ้ งกันวิญญาณชว่ั ร้ายตา่ ง ๆ และบางทีก็จะให้ของ
กานัลแกล่ ูกแกว้ บางคนอาจใหเ้ ปน็ เงนิ บางคนใหข้ นม เป็นต้น

วันท่ีสอง หรือ "วันรับแขก" ก็จะมีขบวนแห่คล้ายๆกันกับวันแรกแต่ในวันท่ีสองน้ีในขบวนแห่จะ
ประกอบด้วยเคร่ืองสักการะ ธูปเทียนต่างๆ เพ่ือถวายพระพุทธ และเครื่องจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์ ในช่วงเย็น
หลังจากท่ีลูกแก้วรับประทานอาหารแล้วเสร็จ ก็จะมีพิธีทาขวัญและการสวดคาขวัญ เพ่ือเตรียมตัวให้ลูกแก้ว
ซ่ึงจะเข้ารับการบรรพชาในวันรุ่งขึ้น โดยผู้นาท่ีประกอบพิธีจะเป็นผู้อาวุโสท่ีศรัทธาวัดทุกคนให้ความเคารพ
นับถอื

วันสดุ ท้าย คือ "วนั บวช" พธิ ีของวนั น้ีจะเร่ิมด้วยการนาลูกแกว้ ไปยังวัด พอถึงวดั ลกู แก้วทั้งหมดก็จะ
กล่าวขออนุญาตเพ่ือทาการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ เม่ือท่านได้อนุญาต ลูกแก้วก็จะพร้อมกันกล่าวคาปฏิญาณ
ตน และอาราธนาศีล แล้วจึงเปลีย่ นเครอ่ื งแตง่ กายจากชดุ เสือ้ ผ้าส่างลองที่สวยงามมาเป็นผ้ากาสาวพัตร์สเี หลือง
และเปน็ สามเณรอยา่ งสมบรู ณ์ โดยอาจจะอยู่หลายเดือนเพราะว่าเป็นชว่ งปดิ เทอมหรืออยู่ ๒ – ๓ สปั ดาหก์ ็ได้

๓๒

การแตง่ กายของปอยสา่ งลอง

๒. ปอยเหลนิ สิบเอด็ (ประเพณอี อกพรรษา)

๓๓

ปอยเหลินสิบเอ็ด ตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า“ตู่หย่าสี่”ภาษาพม่า
เรียกวา่ “สะตางกยอด” เปน็ เดอื นทพี่ ทุ ธบรษิ ัทชาวไตพากันถวายจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(จองพรา หมายถึง ซ้มุ รับ
เสด็จพระพุทธเจ้า) จุดธูปเทียน ถวายภัตตาหาร ขนม นมเนย ผลไม้ในฤดูกาล มีเร่ืองราวกล่าวถึงบ่อเกิด
ประเพณีไว้ว่าพระโคดมสมณเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา ๗ พรรษา ทรงแสดงยมก
ปาฏิหารย์ ในเมืองสาวัตถีที่อุทยานสวนมะม่วง เสด็จข้ึนไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับน่ังเหนือปัณทุกัมพล
ศิลาอาสน์ ทรงเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดาพร้อมท้ังเหล่าเทพยดาและพระพรหมตลอด
ระยะเวลาในพรรษา ๓ เดอื น และเสด็จนวิ ตั มิ นุษยโลกในวันเพ็ญเดอื น ๑๑ ณ เมืองสั่งกะนะโก่ (สงั กัสนคร) ใน
การเสด็จลงมานั้น พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว พาดตรงประตูสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ด้านทิศใต้ลงสู่ประตูเมืองสังกัสนครด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน ก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑ พระพุทธองค์ทรงมี
กระแสรบั สง่ั ถงึ พระมหาโมคคลั ลานะวา่ พระองค์จะเสดจ็ นิวตั ิมนุษยโลกในวนั เพญ็ เดือน ๑๑ พระมหาโมคคัลลา
นะ ได้บอกข่าวการเสด็จนิวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนท่ัวทุกหนทุกแห่ง บรรดามนุษย์และสัตว์ท่ี
สามารถมาได้ก็มารับเสด็จที่สังกัสนคร ท่ีมาไม่ได้ก็จัดทา “จองเข่งต่าง ส่างปุ๊ด” (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ) ที่
บ้านเรือนของตน พอถึงเช้าวันเพ็ญเดือน ๑๑ ก็ได้จัดภัตตาหารและขนมนมเนยไวถ้ วายพระพุทธเจา้ ที่เสด็จมา
ประทับยืนอยู่ท่ีหัวบันไดแก้วแล้ว เปล่งรัศมี ๖ ประการ ชาวเมืองต่างแสดงความชื่นชมบุญบารมีและเดชานุ
ภาพแห่งองค์พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า

ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีน้ัน รัศมีแสงแห่งฉัพพรรณรังสีกระจายสาดส่องไปถึงจอง
เข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ) ของทุกบ้านเรือน บรรดาพุทธบริษัทท่ีอยู่ในบ้านเรือนรู้สึกช่ืนชมโสมนัส
เป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมกันถวายภัตตาหารและจุดธูปเทียนบูชาเป็นเวลา ๗ วัน ด้วยเหตุที่มีบ่อเกิดประเพณีตาม
แนวพทุ ธประวัติตัง้ แต่สมยั พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมช์ ีพอยู่ดังกล่าวนี้ พอถงึ วันเพญ็ เดือน ๑๑ คร้งั ใด ชาวไต
จึงพากันทาจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ) หรือจองพรา รับเสด็จพระพุทธองค์ทุกบ้านเรือนเป็น
ประเพณีสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันน้ี และได้จัดเป็นประเพณี “ปอยเหลินสิบเอ็ด” หรือประเพณีออก
พรรษา ซ่ึงประเพณีน้ีถอื วา่ มีความสาคัญมากสาหรับชาวไตหรอื ไทใหญใ่ นจงั หวดั แม่ฮ่องสอน

จุดเด่นของงานประเพณีคือการประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม จัดทาจองเข่งต่างส่างปุ้ด
(ปราสาทรับพระพุทธเจ้า) ไว้ที่บ้านเรือนของตน และร่วมกันประดิษฐ์ิตกแต่งจองพรา หรือปราสาทรับเสด็จ
พระพุทธเจ้าขนาดใหญ่ของคณะศรัทธาวัดหรือหน่วยงาน สถานศึกษา เข้าร่วมขบวนอย่างสวยงามแห่จองพรา
ประกวดประขันกนั ในช่วงกลางคนื มกี ารประดบั ไฟในจองพราและในขบวนแห่อย่างสวยงามเป็นทปี่ ระทบั ใจแก่
นักทอ่ งเทย่ี ว นอกจากนี้ ในวันตักบาตรเทโวโรหณะ กจ็ ะจดั ณ วดั พระธาตดุ อยกองมู พระสงฆ์นับร้อยรูป

๓๔

ออกรับบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชนหลายพันคน ต้ังแต่วัดพระธาตุดอยกองมูเดินเท้าลงมาจากยอดดอยลัด
เลาะลงมาจนถงึ เชงิ ดอยกองมู เปน็ ภาพที่งดงามตื่นตาตืน่ ใจเป็นอยา่ งยิง่

กิจกรรมในงาน จะมีงานตลาดนัดขายของกันทั้งวันทั้งคืน เรียกว่า “กาดหลู่” ประชาชน จะไปจับจ่าย
ซื้ออาหารและส่ิงของต่าง ๆ สาหรับไปทาบุญท่ีวัดใน วันข้ึน ๑๕ ค่า พอถึงรุ่งเช้าของวันข้ึน ๑๕ ค่า จะมีการ
ทาบุญตักบาตรเทโวโรหนะจากวัดพระธาตดุ อยกองมูซ่ึงต้ังอยู่บนดอยกองมูลงมาสวู่ ัดมว่ ยต่อที่อยู่บริเวณเชิงเขา
ทิวแถวของพระภิกษุสามเณรและประชาชนนับร้อยพัน ซึ่งเรียงรายสองข้างทางเดินลงจากวัดพระธาตุดอย
กองมู เพื่อทาบุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณร ท่ามกลางสายหมอกยามเช้าน้ันเป็นภาพที่งดงามบริสุทธิ์ ตัด
กับสีเขียวขจีของต้นไม้ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ตกตอนกลางคืนตามบ้านเรือนและวัดวาอารามต่าง ๆ
จะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสวและมีการแห่ “จองพรา” คาว่า จอง มาจากคาว่า พระหรือวระแปลว่า
ประเสริฐ หมายถึงพระพุทธเจ้า ส่วนคาว่า พรา หมายถึง เมือง เช่น กรุงพาราณสี เป็นต้น ฉะนั้นคาที่ถูกต้อง
คือ จองพรา หรอื ซุ้มประสาทรับเสด็จพระพทุ ธเจ้าซ่ึงตกแต่งประดบั ประดาอย่างสวยงาม นอกจากนใี้ นปอยเห
ลินสิบเอ็ด ยังมีการแสดงการละเล่นพ้ืนเมืองและมหรสพต่างๆ เช่น การฟ้อนนกกิ่งกะหร่า ก้าลาย (ฟ้อนเจิง)
ก้าโต ฟ้อนกาเบ้อคง (กาเบอ้ คอื ผีเสอื้ คง คอื แม่นา้ สาละวิน)

๓. สบิ สองมนล่องผ่องไต (ลอยกระทงไทยใหญ่)
ประเพณีลอยกระทงไทยใหญ่ เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวไตซ่ึงเป็นชุมชนด้ังเดิมของจังหวัด
แม่ฮอ่ งสอน โดยมีคตคิ วามเช่ือวา่ เป็นการจัดขึ้นเพ่ือเป็นพุทธบชู า และบูชาพระอุปคุต ๘ องค์ หรอื พระอรหันต์
ตามความเชื่อของชาวไตโบราณ ซึ่งเช่ือว่าพระอรหันต์ท้ัง ๘ องค์น้ี มี ๔ องค์ท่ีมรณภาพแล้ว ส่วนท่ีเหลือ
อกี ๔ องค์ ยังคงปฏิบัติธรรมอยู่ในกลางมหานพและทุกวันเพญ็ เดือน ๑๒ พระอรหนั ตท์ ้ัง ๔ จะเวยี นขนึ้ มาโปรด
สัตว์และเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยชาวไตจะถวายอัฐบริขารต่างๆอันเป็นประเพณีสืบต่อจากประเพณีจอง
พาราซึ่งทาถวายพระพุทธเจ้า โดยจะบูชาพระอุปคุตและลอยสิ่งของเคร่ืองใช้ต่างๆลงในลาน้าเพื่อเป็นการให้
ทานและถวายเป็นพุทธบูชาจัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง โดยชาวบ้านจะจัดทากระทงเลก็ ๆ ไปลอยตามแม่นา้
มีการประกวดกระทงใหญ่ท่ีหนองจองคา ซึ่งเป็นหนองน้าสาธารณะกลางเมือง มีการแสดงมหรสพรื่นเริง
ตามบ้านเรือนจะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว นอกจากน้ียังมีการลอยกระทงสวรรค์โดยนากระทงที่จุด
ประทีปโคมไฟแลว้ ผกู ตดิ กับลูกโปง่ ลอยข้ึนไปในอากาศ พธิ นี ้ีจดั ข้ึนทวี่ ัดพระธาตุดอยกองมู
นอกจากนี้ยังมีศิลปะที่น่าสนใจของชาวไตคือศิลปะการแสดงและดนตรีซึ่งแตกต่างจากของล้านนา
และมักจะนาเข้ามาร่วมในงานบุญงานแห่ต่างๆ อยู่เสมอ อาทิ "ฟ้อนก่ิงกะหล่า" หรือฟ้อนกินรี ซึ่งได้รับความ
นิยมที่สุด ผู้แสดงจะใส่ปีกใส่หางบินร่ายรา นอกจากนี้ยังมีการฟ้อนตัวสัตว์ต่างๆ ท่ีมีความเชื่อว่าอาศัยอยู่ที่ป่า
หมิ พานต์ เชน่ ฟ้อนนก ฟ้อนผเี สอ้ื ฟ้อนมา้ เปน็ ต้น
"ฟ้อนโต" เป็นการแสดงท่ีนิยมกันอีกชดุ หน่งึ ตัวโตน้ันเช่อื กันวา่ เป็นสตั ว์ป่าในหิมพานต์ชนิดหน่ึง มีเขา
คล้ายกวางและมีขนยาวคลา้ ยจามรี มลี ักษณะรา่ ยราคลา้ ยการเชดิ สิงโตของจีน
นอกจากน้ี ยังมีการแสดงอื่นๆ อีกหลายชุด ได้แก่ "ฟ้อนดาบ" หรือท่ีเรียกว่า ฟ้อนก้าแลว "ฟ้อนไต"
เป็นการฟ้อนต้อนรับผู้มาเยือน รา“หม่องส่วยยี" เป็นการราออกท่าทางคล้ายพม่า และ "มองเซิง" เป็นการรา
ประกอบเสยี งกลองมองเซงิ

๓๕

๔. กินวอชาวดอย (ปีใหม่ลซี ู, ปใี หม่ลาหู่)
ประเพณีกินวอ หรือประเพณีปีใหม่ของชาว
ลีซอ ซึ่งอาศัยอยู่ในพ้ืนที่อาเภอปาย อาเภอปางมะผ้า
ถือว่าเป็นงานสาคัญท่ีสุดในรอบปี มักจะจัดในช่วง
เดอื นมกราคม-กุมภาพันธ์ เวยี นกันไปตามหมู่บ้านชาว
ลีซอ เป็นงานใหญ่หลังจากการทางานหนักมา ใน
รอบปีนน้ั ได้สิ้นสุดลง ทุกครอบครวั ได้เก็บเกยี่ วข้าวเข้า
ยุ้งฉางเรียบร้อยแล้วหากพืชพันธ์ุได้ผลดีสัตว์เลี้ยงก็
เตบิ โตดี ชาวบ้านกจ็ ะมีอาหารเพียงพอสาหรับตลอดปี
ผู้หญิงก็เตรียมตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้สมาชิกใน
บ้าน ชาวบ้านก็จะช่วยกันฆ่าหมูเพื่อทาหมูเค็มแขวน
เก็บไว้กินในงานปีใหม่ ผักดอง ผักกาดแห้ง เต้าหู้ยี้ ก็
ทาเกบ็ ตุนไวพ้ รอ้ มกบั ต้มเหลา้ ไวด้ ้วย ทุกคนจะชว่ ยกัน
หาฟนื เก็บไว้ใช้ในยามงานเร่งด่วน ข้าวกต็ าไวล้ ่วงหน้า
พอถึงวันงานปีใหม่ก็จะไม่ทางานกันจะได้สนุกสนาน
กันเตม็ ท่ี
ปีใหม่ลีซูเป็นพิธีท่ีมีความสาคัญกับวิถีชีวิตชาวลีซอที่จะได้ทาการขอบคุณเทพเจ้า ส่ิงศั กด์ิสิทธ์ิ
บรรพบุรุษที่ช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรได้ผลดี ชาวบ้านมีความสุขไม่เจ็บป่วยหรือประสบเคราะห์ร้ายใดๆ
มีการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาปู่ย่าตายายและผู้มีพระคุณ มีน้าใจเผ่ือแผ่แก่เพ่ือนบ้านญาติมิตร
ในประเพณีน้ีหนุ่มสาวยังจะได้แต่งตัวสวยงาม หากพึงพอใจกันก็จะนาไปสู่การแต่งงานมีชีวิตครอบครัวต่อไป
อกี ดว้ ย
งานปีใหม่น้ีจะเร่ิมในวันสุดท้ายของปีเก่า โดยในตอนเช้าทุกบ้านก็จะยิงปืน เสียงปืนจะดังเป็นระยะ
เสมอ ๆ ตลอดปีใหม่ มีการตาข้าวปุกกันทุกบ้านเรียกกันว่า “ปาป๋า” เป็นข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วใส่ครกตากับงา
และเกลือ กินร้อน ๆ อร่อยมาก การเต้นรา เรียกว่า “เต้นจะคึ”จะเร่ิมข้ึนโดยทุกบ้านได้ปักต้นไม้ปีใหม่พร้อม
ด้วยเน้ือหมู ข้าวปุก ธูป เป็นเครื่องเซ่น เสร็จแล้วท้ังผู้ใหญ่และเด็กจะพากันเต้นรารอบต้นไม้ ปีใหม่ของทุก
บา้ นเป็นการอวยพรให้แกก่ ัน
เร่ิมวันปีใหม่วนั แรก ตอนเช้าสมาชกิ ผู้ชายลีซอแต่ละครอบครัวจะพากันไปดาหัว(ขอขมา)ท่ี “อาบาโหม่
ฮี” ในระหว่างงานช่วงน้ีห้ามคนอื่นเข้าไปในบ้านเด็ดขาดจนกว่าพวกผู้ชายจะทาพิธีเสร็จและกลับเข้าบ้านแล้ว
จากน้ันเจ้าของบ้านจะเชิญเด็กชาย ๒ คนเข้าไปดาหัว แล้วแขกอื่นจึงเข้าบ้านได้ พอประมาณ ๑๑ นาฬิกา
ชาวบ้านก็จะรวมกลุ่มกันไปดาหัว “หมอม้ือผะ” ท่ีบ้านหมอมื้อผะจะโปรยข้าวให้ศีลให้พร แล้วชาวบ้านก็จะ

๓๖

เต้นรารอบต้นไม้ ปีใหม่ที่หน้าบ้านหมอมื้อผะทุกคนจะแต่งกายเตม็ ยศสวยงามมาก บางคนเอาลูกหลานมัดตดิ
หลังเข้าร่วมวงเต้นราด้วย ผู้เล่นดนตรีจะอยู่กลางวงเคร่ืองดนตรีจะเป็นซึงที่ขึงด้วยหนังงูเรียกว่า “ซือบือ”
ผู้ชายจะอยู่วงใน ผู้หญิงอยู่วงนอกและผู้ชายบางคนอาจจะอยู่ข้างหน้าหญิงสาวท่ีเขาหมายปองก็ได้ หมอม้ือผะ
จะจดั ขา้ วปลาอาหารและสรุ าไวเ้ ลย้ี งแขกทุกคนจะเตน้ รากนั ถึงรุ่งเช้าแล้วแต่ความพอใจของสมาชิก อาจเตน้ แค่
ดึกก็ได้ พอวันท่ีสองหรือวันท่ีสามของงานชาวบ้านจะทาพิธีดาหัวผู้นาหมู่บ้าน “ชั่วทูผะ” และก็มีการเต้นรา
เหมือนสองวันแรก ธรรมดาปีใหม่จะมีการเต้นราที่บ้านหมอม้ือผะ ๑ วัน หลังจากนั้นคนที่อยากทาบุญเรียก
ขวญั ก็จะฆา่ หมูและกเ็ ชญิ ชาวบา้ นไปกนิ อาหารและเต้นรากันอกี

ส่วนปีใหม่ของชาวลาหู่สัญลักษณ์ปีใหม่ลาหู่ จะหมายถึง
กระดาษ หลากสีสันท่ีประดับประดาอยู่บนไม้ไผ่ลาสูง เป็น
ตน้ ไม้ที่ชาวลาห่ทู ุกหมูบ่ า้ นท่ีมี การนบั ถอื แบบดัง้ เดิมได้สร้างสรรค์
ขึน้ มา มีช่อื เรยี กว่า ต้นวอ ถอื เป็นต้นไมศ้ ักดส์ิ ิทธิ์ของชนเผ่าลาหู่ ที่
พวกเขาคิดประดิษฐ์ข้ึนมาต้อนรับ เทศกาลปีใหม่ลาหู่ หรือ
ประเพณีปีใหม่กินวอ ซึ่งจะจัดข้ึนหลังจากท่ีชาวลาหู่เสร็จส้ิน
ภารกิจในไร่ บนดอยสูง และเก็บเกี่ยวข้าวรวมถึงพืชพันธ์ุอ่ืน ๆ
ท่ีได้ทุ่มเทหยาดเหง่ือแรงกาย มาตลอดท้ังปี ปีใหม่กินวอของชาว
ลาหู่จะตรงกบั เทศกาลตรุษจีน แต่มีระยะเวลาถึง ๑๒ วนั ชว่ งเวลา
น้ีถือเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนใจ ทุกคนจะหยุดงานทุกชนิด
เพื่อร่วมฉลองในเทศกาลร่ืนเริงนี้ ต้นวอท่ีตั้งตระหง่านกลางลาน
ชมุ ชนของหม่บู า้ นลาหู่ คอื สญั ลกั ษณข์ องปใี หม่ เสมอื นเป็นตัวแทน
ของการเรม่ิ ตน้ ชีวิตท่ดี ใี นปีใหม่น้ี และตลอดปี

พิธีฉลองปีใหม่ ภาษาลาหู่ (มูเซอ) เรียกว่าประเพณี เขาะเจ๊าเว มีความหมายในภาษาไทยแปลว่า
ปีใหม่ การกินวอ พีธีฉลองปีใหม่ของลาหู่ ไม่มกี ารกาหนดการเฉพาะเจาะจงแน่นอน จะเลอื กเวลาทส่ี มาชิกส่วน
ใหญ่อยู่ และเสร็จสิ้นภาระกิจการทางานทาไร่ ทาสวน จากการเก็บเก่ียวพืชผลแล้ว อาจเป็นช่วงเดือน
กุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ของแต่ละปีก็ได้ อีกทั้งทุกหมู่บ้านก็ไม่จาเป็นต้องจัดฉลองปีใหม่พร้อมกัน
เพราะแต่ละหมู่บ้าน จะมีความพร้อมไม่ตรงกัน เม่ือถึงช่วงฉลองปีใหม่ สมาชิกของหมู่บ้านท่ีไปทางานอยู่
ห่างไกลจะเดินทางกลับมาร่วมงานฉลองปีใหม่ มีการฆ่าหมูดา เพื่อนาเน้ือหมู และหัวหมูสังเวยต่อเทพเจ้า
อื่อชา ลาหู่นับถือมาก ต่อจากนั้น ก็จะนาเน้ือหมูมาปรุงเป็นอาหารเล้ียงกันอย่างสมบูรณ์ ในเทศกาลปีใหม่นี้
ชาวลาหู่ (มูเซอ) จะนาข้าวเหนียวนึ่งมาตาเสร็จ แล้วจะป้ันเป็นก้อนกลม เรียกว่า “อ่อผุ” หรือข้าวปุ๊ก
จะนาไปใช้เปน็ เคร่อื งถวายตอ่ เทพเจ้าอ่ือซา

๓๗

พิธีฉลองปีใหม่ของชาวลา
หู่ (มูเซอ) มีเวลาปีใหม่ นานถึง
๑๒วัน โดยจะแบ่งการฉลองปี
ใหม่ออกเปน็ สองชว่ ง ชว่ งแรกเปน็
ก า ร ฉ ล อ ง ปี ใ ห ม่ ข อ ง ผู้ ห ญิ ง
เรียกว่า “เขาะหลวง” หรือ “ปี
ใหญ่” มีระยะเวลา ๖ วัน ช่วงท่ี
สอง เป็นการฉลองปีใหม่ของ
ผู้ชาย เรียกว่า “เขาะน้อย” หรือ
“ปี เ ล็ ก ” มี ร ะ ย ะ เ ว ล า ๖ วั น
ระหว่างช่วงแรกกับช่วงท่ีสองจะมี
หยุดพัก ๑ - ๒ วัน ในหลังจาก
สองวันนี้แล้วกลางคืนจะมีการเต้นรา ทุก ๆ คืน ลาหู่เรียกว่า “ก่าเคาะเว” ต้ังแต่หัวค่าไปจนกระท่ังรุ่งสางไก่
ขัน กลางวันชาย – หญิงลาหู่ (มูเซอ) จะมีการละเล่นท่ีแตกต่างกัน โดยผู้ชายจะเล่นขว้างลูกข่าง ส่วนผู้หญิงจะ
เล่นลูกสะบ้ากัน และการเล่นโยนลูกบอลกลมขนาดเท่ากาปั้นมือ ลูกบอลน้ี ทาโดยใช้ผ้าเย็บห่อข้างใน จะเป็น
แกลบ หรือราข้าว สาเหตุที่ต้องมีการฉลองปีใหม่แยกกันระหว่างชายและหญิงน้ัน มีผู้เฒ่าอธิบายว่าสมัยก่อน
นานมาแล้ว พวกผู้ชายชาวลาหู่ (มเู ซอ) ตอ้ งออกไปปฏบิ ตั ิภารกจิ นอกหมู่บา้ นเป็นเวลานาน เช่น ไปสงคราม ไป
ค้าขาย ไปล่าสัตว์ในป่า จึงทาให้กลับมาร่วมฉลองปีใหม่ไม่ทัน บรรดาผู้หญิงท่ีอยู่ในหมู่บ้าน จึงจัดงานฉลองปี
ใหมก่ ันกอ่ น เมอื่ พวกผูช้ ายกลบั มาถึงปีใหม่กเ็ สรจ็ พอดี เลยบรรดาผูช้ ายจัดงานฉลองปใี หม่กันอกี ทหี ลงั
เทศกาลฉลองปีใหม่น้ี จะมี
การจุดเทียนข้ีผ้ึงสวดอ้อนวอนเทพ
เจ้าท่ีนับถือ เพื่อให้เกิดความสงบสุข
พ ร้ อ ม ท้ั ง ค ว า ม อุ ด ม ส ม บู ร ณ์ แ ก่
สมาชิกในแต่ละครอบครัวของชุมชน
และถ้ามีลาหู่ (มูเซอ) หมู่บ้าน
ใกลเ้ คียงกนั จัดงานพร้อมกัน พวกลา
หู่ จ ะ มี พิ ธี ห นึ่ ง ท่ี เ รี ย ก ว่ า “อ่ อ ร้ี เ ต
ดะเว” คอื การเดินทางไปเยอื นหม่บู า้ นอื่นพรอ้ มกับห่อเนื้อหมู และเอาขา้ วปุ๊ก หรอื เรยี กออ่ ผุ (ข้าวเหนยี วนึง่ ตา
เป็นก้อน) ไปทาบุญเพ่ือนบ้าน รดน้าให้ผู้อาวุโส ทาการเต้นรารอบลานพิธีของหมู่บ้านน้ัน ก่อนกลับมา
หมู่บ้านตน และอีกไม่ก่ีวันเพื่อนบ้านจากมาหมู่บ้านเราน้ันก็จะยกขบวนกันมาประกอบพิธี“อ่อรี้เตดะเว”
เปน็ การตอบแทนเชน่ กัน

๕. ปอยหมั่งกะปา่ หรอื ประเพณีเขาวงกต
คาว่า หม่ังกะป่า แปลว่า เขาวงกต เป็นเร่ืองราวตอนหน่ึงในมหาเวสสันดรชาดก ตอนที่พระเวสสันดร
ได้ออกจากเมืองไปบาเพ็ญบารมีในป่าเขาวงกต ซ่ึงเส้นทางท่ีจะเข้าไปหาพระเวสสันดรในป่าเขาวงกตนั้น
สลบั ซบั ซ้อน มที างเขา้ มากมาย ถ้าผู้ใดจะเขา้ ไปหาหรือไปทาบญุ ก็ตามหากไม่มบี ุญแล้ว จะไมส่ ามารถเข้าไปถึง
อาศรมพระเวสสันดรได้ จะหลงทางไปมา อยู่ในป่าเขาวงกตน่ันเอง ในมหาเวสสันดรกล่าวได้วา่ ทิศทั้งสีข่ องเขา
วงกตนี้ จะมีหนองดอกบัวท้ัง ๔ด้าน ดังนั้นในการจัดทาหม่ังกะป่า หรือ เขาวงกตนั้น ศรัทธาชาวพุทธจะสร้าง
ประสาท ๔ หลงั แทนหนองดอกบัว สว่ นประสาทหลังกลาง ซึง่ เปน็ หลังที่ ๕และสงู กว่าหลงั อื่นๆนั้น สมมุตเิ ป็น
อาศรมของพระเวสสันดร สาหรับชาวบ้านเมืองปอน ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนชาวไตที่เก่าแก่และยึ ดม่ันใน

๓๘

ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาวไตอย่างเหนียวแน่นชุมชนหนึ่งนิยมสร้างประสาท ๙ หลัง
ตั้งไว้บริเวณเขาวงกตท่ีสร้างข้ึน ซ่ึงมีความหมายว่า ประสาทหลังใหญ่ ๑หลังท่ีต้ังไว้ตรงกลางแทนอาศรมของ
พระเวสสันดร สาหรับประสาทอีก ๘ หลัง สร้างจาลองตามประวัติและความเชื่อตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นการ
จาลองประสาทมหาวิหาร ๘ หลัง ทเี่ ศรษฐี ในสมัยน้นั สร้างถวายแด่พระพุทธเจ้า โดยจาลองเหตุการณ์ มาสร้าง
เป็นพุทธบูชา ซ่ึงตามพุทธประวัติได้กล่าวไว้ว่า หลังที่ ๑ชื่อ เชตวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงสาวัติถี ในครั้งท่ี
พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพาน ซึ่งเป็นวัดที่มหาเศรษฐีอนาถมีนฑิกะ เป็นผู้สร้างถวาย หลังที่ ๒ช่ือ บุพผารามมหา
วหิ าร ต้ังอยู่ในชนบทแหง่ กรุงพาราณสี โยนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นผู้สรา้ งถวาย หลงั ที่ ๓ ช่ือ เวฬวุ รรณ์มหา
วิหาร ต้ังอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นผู้สร้างถวาย หลังท่ี ๔ ช่ือ มหาวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุง
ปาตะลีบุตร จิตตะมหาเศรษฐี เป็นผู้สร้างถวาย หลังที่ ๕ ช่ือ เมกกะทายะวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในป่าติดกับ
ดนิ แดนแหง่ มนั นนั ฑิยะมหาเศรษฐี เป็นผสู้ รา้ งถวาย หลังที่ ๖ ชอ่ื กัณฑารมมหาวิหาร ตงั้ อยใู่ นกรงุ เวสาลี โชติ
กะมหาเศรษฐี เป็นผู้สรา้ งถวาย หลังที่ ๗ ชื่อ กสุ นิ ารามมหาวิหาร ตั้งอยใู่ นกรุงโกสมั พี กากะวรรณะมหาเศรษฐี
เป็นผู้สร้างถวาย หลังท่ี ๘ ชื่อ นิโครธารามมหาวิหาร ต้ังอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโทธนะ เป็นผู้สร้าง
ถวาย นอกจากน้ีประสาท ๗ใน ๘ หลังดังกล่าว ศรัทธาชาวเมืองปอน ยังได้อัญเชิญพระพุทธรูปปางต่างๆ
ซ่ึงเป็นพระประจาวันไว้ในซุ้มประสาท เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้นมัสการบูชาพระประจาวันเกิดของตนเพื่อให้เกิด
สิริมงคลแก่ตนเองอีกด้วย ปอยหมั่งกะป่า หรือ ประเพณีเขาวงกต นิยมจัดขึ้นในเดือน ๑๒ ระหว่างวันข้ึน ๑คา่
ถึง ๑๕ค่า แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจัดขึ้นในช่วงขึ้น ๑๓ค่า ถึง ๑๕ค่า เดือน ๑๒โดยถือเอาวันข้ึน ๑๕ค่าเป็นวัน
สุดท้ายของงาน ประเพณีต่างๆ ของชาวไต จะไม่สูญหายหากชุมชนตระหนักถึงคุณค่าการอนุรักษ์รักษาไว้ให้
อนชุ นรนุ่ หลงั ไดย้ ึดมั่นปฏิบัติ สง่ ผลต่อการปลกู ฝังคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ซึง่ จะทาสงั คมอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ตลอดไป

ปอยหม่ังกะป่า หรอื ประเพณเี ขาวงกต นับวนั จะสญู หายไปจากจงั หวัดแม่ฮ่องสอน เพราะขาดการสืบ
สานหรือยึดถือเป็นประเพณีประจาปี เช่นแต่ก่อน ปัจจุบันจะสามารถพบเห็นได้เฉพาะอาเภอแม่ลาน้อยและ
อาเภอขุนยวม

๓๙

๖. ปอยออกหวา่ (ประเพณีออกพรรษา แม่สะเรียง)
ประเพณีออกหวา่ เปน็ อีกหนึง่ ประเพณีสาคัญและยงั ถอื เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทใหญ่ในจังหวัด

แมฮ่ อ่ งสอน โดยในปีน้งี านประเพณอี อกหวา่ จะจัดขน้ึ ชว่ งเดอื นตลุ าคมของทุกปี
ประเพณีออกหว่าเปน็ ประเพณีออกพรรษาของชาวไทยใหญ่ทส่ี ืบทอดกันมากวา่ ๖๐๐ปี ซง่ึ ชาวบา้ นจะ

มีการประดิษฐ์จองพารา ซุ้มราชวตั ร และประดับตกแตง่ ตามบ้านเรือนด้วยโคมไฟ ถอื เป็นอีกหนึ่งประเพณีตาม
ความเช่ือของชาวไทใหญ่ในช่วงออกพรรษา ชาวบ้านมีความเช่ือว่า เป็นการรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงมา
จากสวรรคช์ ัน้ ดาวดึงส์ กลับมายงั โลกมนษุ ย์ สาหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนเี้ ป็นการสบื ทอดประเพณี
อันดีงามของชาวไทใหญ่ให้คงอยู่สืบไป อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเท่ียวของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วย
ทง้ั นภี้ ายในงานจะมีการจดั กิจกรรมหลากหลายกิจกรรม ไดแ้ ก่กิจกรรมขบวนแหจ่ องพารา การประกวดซุ้มราช
วตั ร, กิจกรรมตักบาตรตามวัดต่างๆ นอกจากน้ยี ังมกี จิ กรรมถนนคนเดนิ การแสดงศิลปวัฒนธรรม และยังมีการ
จาหน่ายสินค้าพ้ืนเมืองและสินค้าหน่ึงตาบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP), ชมขบวนแห่เทียนพันเล่ม (แห่เทียนเหง)
ไปตามถนนสายตา่ งๆ และพิธีตักบาตรตามวิถีไทใหญอ่ ีกดว้ ย

๔. ดา้ นศลิ ปะการแสดงและดนตรี

ลาดบั ท่ี รายการ ตาบล อาเภอ
เมือง
๑ การแสดงจ้าดไต (ลิเกไทยใหญ)่ หว้ ยผา
(บา้ นคาหาน) เมอื ง
จองคา เมอื ง
๒ วงดนตรพี ้ืนบา้ นไทยใหญ่ (ตอยอฮอร์น) จองคา ขนุ ยวม
๓ กลมุ่ การแสดงพนื้ เมืองคณะม่านคา เมอื งปอน ขุนยวม,เมือง
๔ เฮ็ดกวาม (การร้องเพลงพนื้ บ้าน) แม่เงา,ผาบอ่ ง,
๕ รานกกิง่ กะหร่า ราโต (บ้านต่อแพ,ผาบ่อง,ปางหมู) ปางหมู เมอื งแมฮ่ ่องสอน
จองคา,แม่เงา
๖ ก้าลาย, ก้าแลว, ,กา้ ปั่นก๋อง,ก้าลายไม้ค้อน, มอง
กาก,รากองกน้ ยาว

๔๐

๑. การแสดงจ้าดไต (ลิเกไทยใหญ่) (บา้ นคาหาน)
การจ้าดไตเป็นการแสดงที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ องค์ประกอบจ้าดไต คล้ายกับ
คณะลิเกของภาคกลาง ประกอบดว้ ยชุดนักแสดง ชดุ ดนตรี มีฉาก เวที มกี ารแตง่ กายตามท้องเรือ่ งท่แี สดง
การแสดงจะเรมิ่ ด้วยพธิ ีไหว้ครู มเี ครื่องเซ่นไหวต้ ามประเพณีไต (ไทใหญ)่ ประกอบดว้ ยกลว้ ย มะพร้าว
หมาก พลู บหุ ร่ี เม่ียง ผา้ ขาว เทียน ธูป บรรจุไว้ในสะตวง เม่ือหวั หนา้ คณะหรือผู้อาวโุ สในคณะทาพิธีไหว้ระลึก
ถึงครูสุระคติ (วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสดงเคารพนับถือ) เสร็จแล้วมีการร่ายราเป็นชุดเพื่อบูชาครู การแสดง
หลังจากน้ันจะมีการร้องเพลงโดยนักร้องของคณะสับเปล่ียนกันออกมาร้องเพลง สว่ นใหญ่จะเปน็ การร้องแสดง
ความชื่นชมต่องานท่ีจัด ขอบคุณผู้ชม ต่อจากน้ันก็จะเป็นการแสดงตามเน้ือเร่ือง เร่ืองที่ใช้แสดงส่วนใหญ่จะ
เป็นชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น เวสสันดรชาดก ทศชาติหรือเรื่องในวรรณคดี หรือ เร่ืองที่คิดขึ้นใหม่ให้ทัน
เหตุการณ์ปัจจุบัน มกั พูดเร่ืองใหม้ คี ตสิ อนใจ
การละเล่นจ้าดไต เริ่มแรกเป็นการละเล่นพ้ืนเมืองของชาวพม่า แต่ปัจจุบันไทใหญ่นามาประยุกต์เข้า
กับศิลปะของตนเอง ซึ่งเรียกว่า “ลิเกไต หรือลิเกไทใหญ่” ลิเกไทใหญ่ ๑ คณะมีผู้คนเล่นลิเกถึง ๔๐ คน
คนตีกลองมีท้ังหมด ๑๐ คน แต่ละคนจะแต่งชุด “อลอง” ไทใหญ่หรือบทบาทท่ีได้รับในงาน จะเหมือนการ
แสดงลิเกทั่วไปคือ พระเอก นางเอก ตัวผู้ร้าย คนดี ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับบทบาทและการเล่นจะเล่นเกี่ยวกับ
ละครจากตาราต่าง ๆ เช่นเร่ือง ผีดอยเงิน, แม่หมามีลูกเป็นคน เก่ียวกับพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ เป็นเร่ืองๆ
ไป ระยะเวลาในการฝึกจะใช้เวลาค่อนขา้ งนาน แตบ่ ทบาททไ่ี ด้รบั คนทเี่ คยแสดงบ่อย ๆ ไมต่ ้องฝกึ การร้อง การ
แสดงหรือรามาก สาหรบั คนท่ีไมเ่ คยแสดงต้องมกี ารฝกึ ในการร้องรามากกวา่ คนเคยฝึกเป็นประจา

๒. วงดนตรีพนื้ บ้านไทยใหญ่ (ตอยอ - ฮอรน์ )
วงดนตรีพ้ืนบ้านไทใหญ่เมืองแม่ฮ่องสอน (ตอยอ-ฮอร์น) คือเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้าน
ศิลปะการแสดงดนตรีของชาวไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องด้วยเป็นดนตรีที่อยู่คู่กับชาวไทใหญ่มาเป็น
ระยะเวลานาน ตลอดจนเปน็ ดนตรีท่ีมีประวตั ิความเป็นมา การบรรเลง รูปแบบทานอง จังหวะ เสยี งทโ่ี ดดเด่น
เพลงท่ีบรรเลงสว่ นใหญ่ เปน็ เพลงแบบพมา่ มีความเป็นเอกลักษณ์และปจั จบุ ันคงเหลือกลุ่มผูส้ ืบทอดวงดนตรีตอ
ยอ-ฮอร์นเพียงวงเดียว ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน คือ “วงดนตรีพื้นบ้านไทใหญ่ เมืองแม่ฮ่องสอน (วงตอยอ-
ฮอรน์ )”
ผู้ประดิษฐ์เคร่ืองดนตรีตอยอ-ฮอร์น คือ John Matthias Augustus Strohนักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน
เกิดที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต เม่ือ พ.ศ.๒๓๗๑ และเสียชีวิตท่ี กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เม่ือ พ.ศ.๒๔๕๗ โดย
ต่างชาติจะรู้จักกันในนาม “Stroh violin”หรือ “Hornviolin” มีการจดสิทธิบัตรในปี พ.ศ.๒๔๔๒ ซึ่ง
สันนิษฐานได้ว่าถูกนาเข้ามาในพม่าช่วงที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ หรือในช่วงท่ีอังกฤษเข้ามาทา
สมั ปทานปา่ ไมม้ กี ารค้าขายไม้สกั ระหว่างไทย พมา่ องั กฤษ

๔๑

การเข้ามาของเครื่องดนตรีตอยอ-ฮอร์นในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรี
ชาวพม่าชาวไทใหญ่ ที่อพยพมาจากเมืองต่างๆในเขต รัฐฉานของพม่า และชาวไทใหญ่ ท่ีต้ังรกรากประกอบ
อาชพี ในจังหวดั แม่ฮอ่ งสอน รวมตัวกนั บรรเลงเพลงเพื่อความสนกุ สนานรนื่ เริง ใครมเี คร่ืองดนตรชี นดิ ใดก็นา
มาร่วมบรรเลงกัน ลักษณะการสืบทอดวงดนตรีตอยอ-ฮอร์นในยุคน้ันจึงมีท้ังจากครอบครัวโดยมีบิดาเป็น
แบบอยา่ งและเหน็ การเลน่ มาตง้ั แตเ่ ดก็ ตลอดจนการสบื ทอดแบบ ครพู กั ลกั จาตามความสนใจของแตล่ ะบุคคล

การพัฒนาการของวง เร่ิมแรกไม่ปรากฏเด่นชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มนามาบรรเลงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ตลอดจนในยุคแรกๆ การบรรเลงตอยอ – ฮอร์นเป็นในลักษณะการประสมวงบรรเลงร่วมกับเคร่ืองดนตรีชนิด
อื่นๆด้วย การพัฒนาการของวงแบ่งเป็น ๓ รุ่น ได้แก่ รุ่นบุกเบิกก่อต้ังวง รุ่นสืบทอดและฟื้นฟูวง รุ่นสืบทอด
จนถึงปัจจุบัน รุ่นบุกเบิกก่อต้ังวง เร่ิมจาก พระอูพอก๊ะ อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวเวยี ง ซึ่งเป็นชาวไทใหญ่มาจาก
พม่าบอกใหป้ กู่ ยอง (คนเก็บป่นิ โตและช่วยงานวัด) คนหนึง่ ได้นาระนาดเกา่ และกลองเก่าหลายใบ ซึง่ ถกู เก็บไว้
ระหว่างองค์พระประธานที่ศาลาการเปรียญของวัดหัวเวียงออกมาซ่อมแซมจนใช้การได้ แล้วมีการนาเครื่อง
ดนตรีชนิดต่างๆ เช่น มองแคง (ฆ้องแผง) ป๊ัดตะยา (ระนาด) ป่าจ่า (หีบเพลงชักเล็ก) จี (กลุ่มเคร่ืองเคาะ
จงั หวะ) ประกอบดว้ ย ฉงิ่ ฉาบ กรบั และเกราะไม)้ แน (ป)ี่ บรรเลงในงานประเพณีตา่ งๆ ของวดั ต่อมาได้
นาเคร่ืองดนตรีตอยอ–ฮอร์น และเบนโจเข้ามาบรรเลงร่วมด้วยในภายหลัง โดยในยุคบุกเบิกก่อตั้งวงมีคา
เรียกช่ือวงกันเล่นๆ ในสมัยน้ันว่า “ป้าดแซงจีแวง” โดยมีสมาชิกในวงประกอบด้วยนักดนตรี ๑๑ คนนางรา ๒
คน (ชาย – หญิง) (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วทุกคน) ทาให้ช่วงหลังจึงเร่ิมจางหายไป จึงนาไปสู่การรวมวงดนตรีใน
รุ่นที่ ๒ รนุ่ สืบทอดและฟ้นื ฟูวง เปน็ รนุ่ ทมี่ ีสมาชกิ รนุ่ ต่อมาเพ่ิมขึ้น โดยการรวมวงอกี ครง้ั หนง่ึ ซึ่งมีทงั้ ดนตรีที่
ได้รับการสบื ทอดจากครอบครัวและนักดนตรีที่เข้ามาสมทบดว้ ยใจรักซงึ่ ในรุ่นน้นี าโดย นายเกษม อุดมพาณิชย์
อดีตข้าราชการครู โรงเรียนจองคา หัวหน้าวงโดยมี การเพ่ิมบทเพลงทบ่ี รรเลงมากข้ึนในร่นุ นนี้ ายอนนั ต์ วงศ์
วานิชย์นายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอน (พ.ศ. ๒๕๑๑ – พ.ศ. ๒๕๔๒)ได้เห็นความสาคัญของวงดนตรีพ้ืนบ้าน
จงึ ให้การสนับสนุนอย่างจริงจงั ทาให้ขนานนามวงว่า “วงดนตรีเทศบาล” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “วงดนตรี
เมืองสามหมอก” ด้วยการเล่นดนตรีของวงเป็นความชานาญเฉพาะตัว จึงไม่มีการบันทึกโน้ตเพลงเป็นลาย
ลักษณ์อักษรและสืบทอดการบรรเลงอย่างเป็นแบบแผน รุ่นหลังมา นักดนตรีมีจานวนลดลง ต่อมาจึงเกิด
การรวมกลุ่มวงดนตรีรุน่ ที่ ๓ ขนึ้

รนุ่ ที่ ๓ เป็นการวมตวั กันของกลุ่มนักดนตรีท่ีมีความรกั ในการบรรเลงดนตรีพนื้ บา้ นของชาวไทใหญ่ใน
เมืองแม่ฮ่องสอนอย่างแท้จริง ประกอบด้วยนักดนตรีท่ีมีทุกวัย ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของกลุ่มนักดนตรีท่ี
ยังคงต้องอนุรักษ์วงตอยอ – ฮอร์นไว้อยู่น้ัน ทาให้ “วงดนตรีเทศบาลและวงดนตรีเมืองสามหมอก”เป็นที่รู้จัก
แพร่หลายอีกครั้งหนึ่ง ในภายหลังได้เปล่ียนช่ือเป็น “วงดนตรีตอยอ – ฮอร์น” ตามเชื่อที่เรียกเคร่ืองดนตรีท่ี
ใชบ้ รรเลงนาในวงดงั กล่า

๔๒

๓. กลมุ่ การแสดงพ้นื เมืองคณะม่านคา
กลุ่มการแสดงพ้ืนเมืองคณะม่านคา เป็นกลุ่มการแสดงพ้ืนเมืองท่ีมีช่ือเสียงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

อาทเิ ช่นการแสดงฟ้อนมองเซิงเทียน , ฟอ้ นมว่ ยโล้วๆ หรอื การฟอ้ นอวยพรแบบไทยใหญ่, การแสดงฟ้อนนกก่ิง
กะหลา่ ,ฟอ้ นหม่องส่วยยี, หนุ่ กระบอก ,ฟอ้ นกุ๊บและ ราไตหรือฟอ้ นไต เป็นตน้

๔. เฮด็ กวาม (การรอ้ งเพลงพนื้ บ้าน)
กวามไต มีความหมายเป็นสองนัย นัยที่หน่ึงหมายถึง ภาษาไต อีกนัยหน่ึงหมายถึง เพลงไต สาหรับคา

ว่า “เฮ็ดกวามไต” แปลว่า ร้องเพลงไต เพลงไตเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านท่ีมีทั้งประเภท “ลีกโหลง” และ
“ลีกอ่อน” ผู้ประพันธ์เพลงจะประพันธ์ในลักษณะท่ีเป็นคาประพันธ์แบบฉบับ และคาประพันธ์ที่ไม่เป็น
แบบฉบบั แบ่งเป็นแนวเพลงได้ ๒ ประเภท ดังนี้

๑. แนวเพลงแบบไตเกา่ (เพลงพนื้ บา้ นดง้ั เดิม) มีทัง้ หมด ๑๔ ทานอง ซ่ึงมีทัง้ แนวการร้องทีใ่ ช้เครื่อง
ดนตรีประกอบ และแนวการร้องที่ไม่ใช้เคร่ืองดนตรปี ระกอบ มีความนยิ มในกลุม่ ผู้ใหญแ่ ละกลุ่มผสู้ ูงอายุ

๒. แนวเพลงแบบไตใหม่ (ไตสากล) คือการรอ้ งและบรรเลงตามแนวทานองเพลงสากลท่วั ๆไปมีความ
นิยมในกลุ่มเยาวชนสมัยใหม่แนวเพลงแบบไตเก่าจะบังคับทานองไว้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งบางทานองเพลงจะมี
กฎเกณฑ์ ทางสัมผัสท่ีแน่นอน แต่บางทานองเพลงก็ไม่แน่นอน หากแต่ในแต่ละเพลงน้ันผู้แต่งจะเน้นสุนทรี
ของการใช้คา โดยเฉพาะมักเน้นคาประพันธ์ที่เป็น คาคม สุภาษิตคาพังเพย คาเปรียบเทียบ บางบทเพลงใช้คา
ในหลายภาษาผสมกัน มีท้งั คาในภาษาไตภาษาพม่า และภาษาบาลีสนั สฤต ฯลฯ แสดงออกในคุณคา่ ทางภาษา
ได้อย่างลึกซึ้ง แนวเพลงแบบไตเก่ามีท้ังทานองหวาน ลลี ายืดยาว เนิบนาบออ้ ยอิง่ เปน็ จังหวะ บางแนวเนน้ เสียง
ธรรมชาติบางแนวจะเปน็ ไปในลักษณะสนกุ สนานครนื้ เครง

๔๓

แนวเพลงแบบไตเก่า แต่ละทานองมีความเป็นมาและระยะเวลาของการเกิดที่แตกต่างกัน มีท้ังที่เกิด
ข้ึนมาต้ังแต่สมัยโบราณ และท่ีเพ่ิงเกิดข้ึนใหม่เม่ือ ๗๐-๑๐๐ ปีมานี่เอง วิเคราะห์ได้จากการใช้เครื่องดนตรี
ประกอบการร้องหากเพลงใดใช้เครื่องดนตรีประกอบการร้องน่ันแสดงว่าเป็นเพลงท่ีเกิดขึ้นมาใหม่ เพราะตาม
ประวัติของการเกิด “จ้าดไต” คนไตเพ่ิงคิดค้นเครื่องดนตรีทั้ง “ตอยอฮอร์น”และ“ตอลอหมากพร้าว”
เมื่อประมาณ ๘๐ กว่าปีมานี่เอง แนวทานองใดท่ีร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบสันนิษฐานว่าคงเกิดขึ้นมา
กอ่ นบางทานอง เชน่ กวามเซกงุ หรือกวามโหลง เข้าใจวา่ เกิดขึ้นมาพร้อมๆกบั อารยะธรรมไต

เพลงไตแบบไตเก่า บางทานองมีความไพเราะเพราะพร้ิงมากสามารถตรึงผู้ฟังเสมือนถูกสะกดจิตเลย
ทีเดียว ประกอบกับผู้ร้องท่ีมีเสียงดี มีไหวพริบ ปฎิภาณ ใช้คาได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเพลงส่วนใหญ่เนื้อเพลงที่ใช้รอ้ ง
นอกจากร้องตามแบบฉบับเดิมของผู้แต่งแล้ว ผู้ร้องที่มีความสามารถสูงจะด้นเพลงแบบสดๆท่ีน่าฟังมาก
การแสดงมักจบลงด้วยเวลารงุ่ สางเสียเป็นสว่ นใหญ่ เพราะความซาบซงึ้ ตรงึ ใจทไี่ มร่ ู้ลมื นนั่ เอง

๕. รานกก่งิ กะหลา่ ราโต
ศลิ ปะการแสดงฟ้อนนก กง่ิ กะหลา่ คือราแบบสัตวส์ องเท้าเหมือนนางนก โดยเลยี นแบบลีลาคล้ายของ

จริง ในขณะท่ีมีการแสดงจะมีการหยอกล้อกัน ตามท่าราของแต่ละตัว ประสานกับจังหวะดนตรีอย่างพร้อม
เพรียงทาให้ดูสวยงามและเป็นธรรมชาติ โดยวิธีการแสดงก็จะเต้นท่าราตามจังหวะเสียงกลองและเครื่องดนตรี
ไปเร่ือยๆตามลีลา ของแต่ละคนจนกระทั่งคนเล่นดนตรีจะส่งสัญญาณตอนจบให้ การราก็จะสิ้นสุดลงอย่าง
พร้อมเพรยี งกันอยา่ งสวยงาม ซงึ่ ระยะเวลาในการร่ายราไมไ่ ดก้ าหนดเวลาแน่นอน

ส่วนสถานท่ีแสดงจะต้องมีพื้นที่เปน็ ลานกวา้ งพอสมควรเพ่ือให้นางนกได้แสดงวาดลวดลายศลิ ปะการ
ร่ายราอยา่ งสะดวก หรอื หากเปน็ เวทีทมี่ ีพน้ื ทีพ่ อสมควรซ่ึงขึ้นอยู่กับจานวนนางนก เพราะแตล่ ะคณะจะมี
จานวนไม่เท่ากัน ไม่ได้กาหนดตายตัว กอ่ นการแสดงทุกครั้ง จะตอ้ งมพี ธิ ีไหวค้ รูหรือบชู าครู

๔๔

กา้ โตหรอื ราโต เป็นการแสดงของชาวไทใหญท่ นี่ ิยมเล่นกันมาก เชื่อกันว่า “ โต ” เปน็ สัตวอ์ ยใู่ นป่าหิม
พานต์ มีลักษณะผสมระหว่างมังกร กับสิงโต มีส่วนหัวคล้ายมังกร มีเขาแตกกิ่งเหมือนกวาง ลาตัวคล้ายสิงโต
และมีขนยาวคล้ายจามรี บางทีก็ทาลาตัวโตเป็นผ้าหุ้มคล้ายกวางหรือเยือง (เลียงผา) หุ่นโตมี ๒ แบบ คือ
“ โตควบ ” คาว่าควบ ภาษาไตหมายถึง “ ครอบ ” ลาตัวโตทาด้วยหวาย หรือไม้ไผ่ ลักษณะโค้งมนคล้ายเปล
นอนของเดก็ หรือกระดองเต่า สมยั ก่อนจะนาใบตองสดมาหุ้มเป็นขน โตแบบน้จี ะกล้ิงไม่ได้ เพราะมีโครงลาตัว
ตายตัว ขยับได้เฉพาะลาคอและ ส่วนหัวเท่าน้ัน อีกแบบหน่ึงคือ “ โตกล้ิง ” แบบน้ีเคล่ือนไหวได้เหมือนมี
ชีวิต สามารถยืด หดตัว กล้ิงไปมาและ ทาท่าอ่ืน ๆ เหมือนสัตว์มีชีวิตจริง ท่าราของผู้แสดงโตหรือเชิดโต
จะสอดตัวเข้าไปอยู่ในช่วงตอนหน้าและท้ายของโต เยื้องย่าง เดิน เต้นไปมาตามจังหวะฆ้อง กลองก้นยาว
และฉาบ

๖. ก้าลาย, ก้าแลว, ,กา้ ปน่ั ก๋อง,กา้ ลายไม้ค้อน, มองกาก,รากองกน้ ยาว
การก้าลายน้ีเป็นการประยุกต์มาจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
หรือใช้ค้อนเป็นอาวุธมาใช้ในการร่ายราประกอบดนต รีเพื่อ
ความสวยงาม ในสมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่เขาเรียก การก้าลาย
ว่า “ก้าหมอกตีนหมอกมือ” ซึ่งท่านได้เล่าตานานที่เก่ียวกับ
การก้าลายว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงเสดจ็ กลับจากโปรด
พุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ เมื่อพระพุทธเจ้ากลับคืนสู่โลก
มนษุ ย์ประชาชนตา่ งชืน่ ชมยินดแี ละจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง
ต่าง ๆ และในงานเทศกาล ซึ่งมี การก้าลาย ก้าแลวก้าโต
ฟ้อนรานกกิ่งกะหล่า ใช้ดนตรีกลองมองเซิงและกองก้นยาว
การก้าลายส่วนมากจะแสดงในช่วงเทศกาลสาคัญ เช่น ปอยเหลินสิบเอ็ด ช่วงท่ีกาลังแห่จองพารา ซึ่งเป็นการ
ร่ายราท่อี ่อนช้อยสวยงาม สาหรับการก้าลายนี้สามารถก้า(ฟ้อน)ได้ทุกวยั ตง้ั แตเ่ ด็กไปจนถึงคนชรา การก้าลาย
เป็นการแสดงท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและเป็นเอกลักษณ์ ของชาวไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้มี
การประยกุ ตท์ า่ ทางของการต่อสมู้ าเป็นศิลปะการรา่ ยราทส่ี วยงามมาจนถึงปัจจุบัน

๔๕

ก้าแลว, กา้ ลายไม้ค้อน

ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของชาวไทใหญ่เรียกว่า “ลาย”

แปลว่า “ลีลา” หรือท่าทาง ซึ่งตรงกับคาล้านนาว่า “เชิง”

(ออกเสียงเป็นเจิง) คาว่าลายในวัฒนธรรมของคนไตมีหลาย

ประเภท ดังน้ี

๑. ลายฟัน หรือ ลายแลว (ดาบ) หมายถึงการต่อสู้

ปอ้ งกันตวั ท่ีใช้ดาบเปน็ อาวธุ

๒. ลายมือ หรือ ลายแซ้น (มวย) หมายถึงการต่อสู่

ป้องกันตัวท่ีใช้มือเปล่าเป็นอาวุธ บางคร้ัง เรียกว่า “ลายหัก

ลายก้า” หมายถึงการใช้มือจับส่วนข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกาย

แล้วกดเอาไวไ้ ม่ใหด้ ิ้นหลดุ ได้

๓. ลายค้อน (พลอง กระบอง) หมายถึงการต่อสู้ป้องกันตัวท่ีใช้กระบองเป็นอาวุธลายฟันหรือลาย

แลว เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีลักษณะลีลาการก้าวเท้ากระโดดไป-มาในลักษณะเป็นสามเหล่ียม และ

ขยายรูปสามเหลีย่ มออกไปเรือ่ ยดงั น้ี

เมื่อขยายต่อเน่ืองกันไปจนกลายเป็นรูป ๖เหลี่ยมแล้ว จะฝึกต่อไปเป็นท่าการบุกหรือถอยมาต้ังหลัก

ซง่ึ กจ็ ะกา้ วเทา้ กระโดดออกไปต้ังเปน็ รูปสามเหลย่ี มต่อ ๆ กันออกไป ดงั น้ี

การราดาบหรือกา้ แลวในอดีต ( ฟ้อนดาบ ) มีทา่ รา ๒๑ท่า ใช้เวลาประมาณ ๑๕ – ๒๐นาที ประกอบด้วย

ดังน้ี

๑) แซวหาบนา้ ๑๑) เสือลากหาง

๒) ปอดแหวน ๑๒) ถอื มือเดี่ยวกา้ นหนา้

๓) สอยดาว ๑๓) ถือมือเดย่ี วก้านหลัง

๔) กว้านยาวปืน ๑๔) ตอกดา้ ม

๕) กว้านยาวนั่ง ๑๕) แทงปลายดาบยืนฟนั ฮ้อย

๖) เหยียบเสน้ ๑๖) แทงข้าง

๗) ขา้ มคน ๑๗) สนปลายสอยดาว

๘) สไี คล ๑๘) แทงนัง่ นอนกลิ้ง

๙) สบก้าม ๑๙) แกว่งดาบหมุนรา

๑๐) สนปลาย ๒๐) เกล้ามวยผม

๒๑) แทงน่ังมอื ด้ามให้ ปลายดา้ มชีข้ ้ึนหมุนแขนเอาดาบมาหนีบไว้ท่ีรักแร้ สนั เปลีย่ นซา้ ยขวา

๔๖

มองกาก
มองกากเป่็นดนตรีจากเศษไม้ไผ่เหลือใช้จากการต่อแพ หรือจากการทากิจกรรมอื่น หลังจากล่องแพหรือหยุด
พักจากงานอื่น การทามองกาก จะตัดไม้ไผ่ยาวประมาณ ๑ ศอก ให้ด้านหนึ่งมีตา ตัดเว้าด้านกระบอกเหลือ
กระบอกไว้ประมาณ ๑ คืบ เคาะฟังเสียงดู ตกแต่ง การให้เสียงโดยวิธผี ่าปากกระบอก และความหนาของปาก
กระบอกให้สามารถทาเสยี งไดต้ ามต้องการ

วิธีเล่น ใช้มองกาก สองอัน เคาะเป็นจังหวะดนตรี พร้อมกับเต้นไปตามจังหวะด้วย จบแล้วสลับ
รายการโดยการเฮ็ดกวาม (ร้องเพลงพ้ืนบ้าน) จังหวะดนตรีมองกากมีสามจังหวะด้วยกันคือ จังหวะช้า เลียบ
เสยี งกลองมองเชงิ จังหวะเร็ว เลยี นเสียงกลองก้นยาว และจังหวะนกหมาป๊กุ เลียนเสยี งนกหมาปุ๊ก

แต่เดิมมองกากไม่ได้ใช้การแสดง แต่จะใช้สาหรับการละเล่นสนุกสนานยามพักผ่อนของกองคาราวาน
แพทีล่ ่องไปตามลานา้ ปาย น้ายวมและนา้ คง (สาละวิน) เพอื่ นาสินค้าไปขาย ตกตอนเย็นกนิ อาหารเยน็ แล้วก็จะ
ต้ังวงสนทนากัน ใครมีความรู้ด้านดนตรี ร้องเพลงก็แสดงออกมาสลับด้วยการเล่นนิทาน หรือเล่าเรื่องต่างบ้าน
ตา่ งเมอื งท่ีไดไ้ ปพบเหน็ มาแลว้ นามาเล่าสู่กนั ฟัง

๕. ดา้ นโบราณสถาน โบราณวัตถุ

ลาดบั ท่ี รายการ ตาบล อาเภอ

๑ พระธาตดุ อยกองมู จองคา เมือง
๒ วัดจองคา พระอารามหลวง จองคา เมือง
๓ พระเจา้ พาราระแข่ง (พระมหามัยมุน)ี วดั หวั เวยี ง จองคา เมือง
๔ พระเจ้าอ่นุ เมือง วัดนา้ ฮู เวียงใต้ ปาย
๕ พระสิงห์ปาย วัดศรีดอนชัย เวียงเหนอื ปาย
๖ พระธาตเุ จดยี ์เมอื งน้อย เวียงเหนอื ปาย
๗ พระเพชร วดั แม่ลาน้อย แม่ลานอ้ ย แมล่ าน้อย
๘ เจดียว์ ัดต่อแพ แม่เงา ขนุ ยวม

๑. พระธาตุดอยกองมู
พระธาตุดอยกองมูเป็นวัดศักด์ิสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาช้านาน ต้ังอยู่บน

ดอยกองมทู างทิศตะวนั ตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเพียง ๓ กิโลเมตร เดนิ ทางโดยแยกจากทางหลวงสาย ๑๐๘
ตรงบริเวณ อนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชาขึ้นไปทางซ้ายมือ เป็นทางลาดยางข้ึนภูเขาไปอีกประมาณ ๑.๕
กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณวัดพระธาตุดอยกองมูเดิมมีชื่อเรียกว่า วัดปลายดอย ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่
สวยงาม ๒ องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สรา้ งโดย จองต่องสู่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นท่ีบรรจพุ ระธาตุของพระโมคคัล
ลานะเถระ ซึ่งนามา จากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗โดย พระยาสิงหนาท
ราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน คนแรก จากวัดพระธาตุ ดอยกองมูนี้สามารถมองเหน็ ภมู ิประเทศและสภาพตวั เมือง
แม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจน และสวยงามมากวัดนี้มีงานเทศกาลประจาปีหลายงาน เช่น ในวันปีใหม่ วัน
สงกรานต์ โดยเฉพาะในวันออกพรรษา จะมีการตกั บาตรดาวดึงส์ เปน็ ต้น

๔๗

๒. วดั จองคา พระอารามหลวง
วัดจองคา พระอารามหลวงเป็นวัดท่ีสร้างขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๔๐เป็นวัดแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน
เป็นวัดเก่าแก่สร้างตามแบบอย่างศิลปไทยใหญ่ ส่ิงที่โดดเด่นหลังคา ทรงประสาท ๙ช้ัน และมีศาสนสถานที่
สาคัญคือ วิหารหลวงพ่อโต ซ่ึงเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของแม่ฮ่องสอนสร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๗
โดยชา่ งชาวพม่า

ในวิหารเป็นท่ีประดิษฐานของหลวงพ่อโตซึ่งเป็น
พระประธานมีขนาดหน้าตักกว้าง ๔.๘๕ เมตร สร้างเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยช่างฝีมือชาวพม่า และมีพระพุทธรูปขนาด
ใหญ่ซึ่งจาลองมาจากพระศรีศากยมุนีท่ีวิหารวัดสุทัศน์ เหตุท่ี
เรียกช่อื วัดจองคา เนอื่ งจากเสาวัดประดับด้วยทองคาเปลว

อีกสิ่งท่ีโดดเด่นชาวไทยใหญ่เรียกว่า "กองมู" เป็น
เจดยี ์ มลี กั ษณะคลา้ ยมณีทบ โดยช่างฝีมอื ชาวไทยใหญ่รูปทรง
จุฬามณี ความสูง ๓๒ ศอก ฐานส่ีเหลี่ยมมีมุข ๔ด้าน พร้อม
สงิ หด์ า้ นละหนงึ่ ตวั ประดิษฐานพระพุทธรปู น่ังด้านละหน่ึงองค์
และ เร่ิมสร้างเม่ือ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖สร้างแลว้ เสร็จในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘สร้างขึ้นโดยศรทั ธา
ขุนเพียร (พ่อเล้ียงจองนุ) พิรุญกิจและแม่จองเฮือนคหบดี ชาวแม่ฮ่องสอนและในองค์พระเจดีย์ได้บรรจุพระ
บรมสารรี กิ ธาตุ ไว้ เพอื่ เป็นศิรมิ งคลแก่ผทู้ ี่มานมัสการองค์พระเจดีย์

วัดจองคา และวัดจองกลางเป็นวัดท่ีมีพื้นที่ติดกัน อยู่ติดกับหนองจองคาซ่ึงเป็นหนองน้าสาธารณะ
กลางเมอื งแมฮ่ อ่ งสอนสองวัดนส้ี รา้ งดว้ ยศลิ ปะแบบไทยใหญท่ ี่มคี วามงดงามมากทัง้ คู่ โดยเฉพาะศลิ ปะการสร้าง
อาคารแบบหลังคาซ้อนชั้นท่ีเรียกว่า “จอง” นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเจดีย์ทรงเคร่ืองที่สวยงามวัดจองกลาง
มีจุดเด่นคือเจดีย์ท่ีประดับสวยงามตามรูปแบบของไทยใหญ่ ภายในวิหารมีแท่นบูชาตั้งพระพุทธสิหิงค์จาลอง
ปิดทองเหลืองอร่ามไปท้ังองค์ และภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงตุ๊กตาไม้ แกะสลักเป็นรูปคนและ
สัตว์ ฝีมอื แกะสลักของชา่ งชาวพม่า ซง่ึ นามาจากพม่าตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๐๐

นอกจากน้ียังมีภาพจิตรกรรมบนแผ่นกระจกเร่ืองพระเวสสันดรชาดกและภาพพุทธ ประวัติ ตลอดจน
ภาพแสดงชวี ติ ความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นหลายภาพ มีคาบรรยายใตภ้ าพเปน็ ภาษาพม่าและมีบนั ทึกบอกไว้ว่า
เป็นฝีมอื ของช่างไทยใหญ่ จากมณั ฑะเลย์

๓. พระเจา้ พลาละแข่ง (พระมหามัยมุนี) วดั หัวเวียง
พระเจ้าพลาละแข่ง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่อง ฝีมือช่างชาวเมืองมัณฑะเลย์
ประเทศพม่า องค์พระหล่อจากทองเหลือง แต่พระพักตร์มีสว่ นผสมของทองคาอยู่จานวนหนึ่ง ทาให้พระพักตร์
เงาแวววาวอยเู่ สมอ ชาวแมฮ่ อ่ งสอนถือว่าเป็นพระค่บู ้านคเู่ มือง

๔๘

“พระเจ้าพลาละแข่ง” น้ีจาลองมาจาก “พระมหามัยมุนี” ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
ซึ่งชาวพม่า นับถือกันมาก เน่ืองจากเช่ือว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทานลมหายใจให้แก่พระมหามุนี การ
หล่อพระเจา้ พลาละแขง่ ช่างไดห้ ล่อเปน็ ทอ่ นๆ จานวน ๙ ทอ่ น

ส่วนประวัติความเป็นมาของพระเจ้าพลาละแข่ง หรือพระมหามุนี พระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์
คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีตานานเล่าว่า ในสมัยเม่ือ ๙๐ ปีล่วงมาแล้ว ก่อนท่ีมีการจาลอง
พระพุทธรปู องค์น้ีมาไว้บูชาทีจ่ ังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน

มีประวัติเล่าว่า มีพ่อเฒ่าคนหนึ่งช่ือว่า “ลุงจองโพหย่า” เป็นพ่อค้าวัวในสมัยน้ันการคมนาคมลาบาก
เวลาจะไปทาการค้าขายในต่างอาเภอในระหว่างเดินทางนั้นต้องรอนแรมไปในป่าตลอดทาง วันหน่ึงพ่อลุงจอง
โพหย่ากินหมากเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้เก็บเชี่ยนหมาก และไม่ได้ปิดฝาด้วยแล้วก็เข้านอนพักผ่อนพอตื่นเช้า
ได้ทาธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็หาเชี่ยนหมากเพ่ือจะกินหมาก พอมองดูในเชี่ยนหมากก็พบว่า มีพระบรมธาตุ
๑ องค์ใหญ่ขนาดเมล็ดข้าวโพดอยู่ในเช่ียนหมาก พ่อลุงจองโพหย่า รู้ว่าเป็นพระบรมธาตุแน่นอน จึงได้บอก
กลา่ วแก่เพอ่ื นฝงู ท่ีเปน็ พ่อค้าด้วยกันทราบ แล้วก็บอกกับเพื่อนฝูงว่าเราจะเข้าไปในเมือง เพื่อจะเอาผอบทองมา
ใส่พระบรมธาตุน้ี เม่ือได้ผอบทองคามาแล้ว ได้นาไปใส่พระบรมธาตุมาไว้ท่ีบ้านปางหมูก่อน แล้วกลับเข้าไปใน
เมืองแม่ฮ่องสอนอีกคร้ังหน่ึง เพ่ือบอกข่าวให้แก่ประชาชนทั้งหลายที่มีจิตศรัทธาในเมืองแม่ฮ่องสอนโดยทั่ว
ถงึ กนั

ในขณะท่ีคณะศรัทธาบ้านปางหมู ได้เตรียมฆ้องกลอง พร้อมเคร่ืองสักการะร่วมกับคณะศรัทธาชาวใน
เมืองแม่ฮ่องสอนได้จัดขบวนอัญเชิญพระบรมธาตุแห่แหนเข้าไปยังตัวเมืองเพ่ือจะนาไปไว้ที่บ้านพ่อลุงจองโพ
หยา่ วันรงุ่ ขนึ้ ได้จดั ให้มกี ารถวายอาหารบณิ ฑบาต พร้อมบอกกล่าวเพ่ือนบ้านให้มารว่ มอนุโมทนาเป็นการใหญ่

เม่ือเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อลุงจองโพหย่าได้กลับไปทาหน้าท่ี
ขอตนเองทาการค้าขายกับเพ่ือนๆ เปน็ เวลานานแรมเดือน เมอื่ เก็บเงิน
เก็บทองได้พอประมาณ ได้กลับมายังบ้านของตนเอง เพื่อที่จะนา
พระบรมธาตุไปประดิษฐานบรรจุไว้ในพระธาตุดอยกองมู โดยพ่อลุง
จองโพหย่าได้ปรึกษาหารือกับเพื่อนบ้านและกลุ่มพ่อค้าด้วยกัน แต่ก็มี
เสียงคัดค้านจากชาวบ้านท่ีไม่เห็นด้วยที่จะนาเอาพระบรมธาตุไปบรรจุ
ไว้ในองค์พระเจดีย์ เนื่องจากเป็นองค์พระเจดีย์ที่เก่าแก่ ในท่ีประชุมได้
เสนอให้พ่อลุงจองโพหย่าและพ่อลุงจองหวุ่นนะ เดินทางไปยังเมือง
มัณฑะเลย์ประเทศพม่า เพื่อติดต่อขอจาลองพระมหามุนี หรือเจ้าพลา
ละแข่ง โดยฝีมือช่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า เป็นผู้จาลองขึน้
เม่ือ จ.ศ. ๑๒๗๙ ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๑๖ รวมน้าหนัก ๙๙๙ กิโลกรัม
พ่อลุงจองโพหย่าและพ่อลุงจองหวุ่นนะ ได้ทาการบูชาเพ่ือนามา
ประดิษฐานไว้ ณ วัดหัวเวียง ตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยได้อัญเชิญ
พระบรมธาตุขึน้ บรรจุไว้ในพระเศียรของเจา้ พลาละแข่ง

๔๙

พระเจ้าพลาละแข่ง มีความศักดิ์สิทธิ์ได้แสดง
ปาฏิหารยิ ใ์ ห้ปรากฏไว้หลายประการ อาทิ อัญเชญิ มาสู่
วัดหัวเวียงจะมีฝูงผึ้งบินอยู่รอบโดยไม่ได้ทาอันตราย
ผใู้ ด คร้นั ถงึ เวลาจัดงานสมโภชจะมีกระแสลมอยเู่ ฉพาะ
ภายในวิหาร ส่วนภายนอกไม่ปรากฏ สมยั เมื่อครงั้ ยังไม่
มีไฟฟ้า ในวันเพ็ญเดือน ๑๑ หรือ ๑๒ พระเจ้าพลาละ
แข่งจะเปล่งพระรัศมีทาให้วิหารสว่างไสวเ สมอ

ชาวเมืองแม่ฮ่องสอนจึงถือว่าพระเจ้าพลาละ
แข่ง เป็นพระพุทธรูปท่ีศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ใครที่
เดินทางไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน ควรไปสักการบูชา
กราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและ
ครอบครัว

๔. พระเจ้าอนุ่ เมือง วดั นา้ ฮู
วัดนา้ ฮูเปน็ วดั ที่เก่าแก่ทส่ี ุดแห่งหนง่ึ ของเมืองปาย หรือเมือง “ป้าย” ชอื่ เดมิ มาแตส่ มยั โบราณ ปัจจบุ นั
เรียกว่า “ปาย”หรือ “เมอื งปาย” เมืองปายเป็นเมอื งที่มีความสงบร่มเย็น วถิ ชี ีวิตชาวบ้านเรยี บง่าย สงบ รม่ เยน็
วฒั นธรรมท่ีมมี าแตย่ าวนานทาให้มีวดั ที่เกา่ แก่อย่หู ลายแห่ง แต่ละวดั กจ็ ะมปี ระวตั ิทแ่ี ตกต่างกนั ไป แต่เมอื งปาย
นี่เองทมี่ ีอยหู่ น่งึ วัดทมี่ ชี ่ืออยู่ในคาขวญั ดว้ ย น่ันก็คอื “วดั นา้ ฮ”ู
ประวตั ิศาสตรข์ อง วดั นา้ ฮู น้มี ีความเปน็ มาที่ยาวนานมาควบคู่กบั เมืองปาย หรอื เมืองปา้ ย จากตานาน
ที่มีผู้บันทึกเป็นหนังสือพ้ืนเมือง และพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของอาเภอปาย สันนิษฐานว่ามีการต้ัง
บา้ นเมืองมาประมาณสองพันกวา่ ปมี าแล้ว ซง่ึ ในสมยั นั้นมกี ารปกครองลักษณะเจา้ ผคู้ รองนคร
เมื่อประเทศไทยได้ประกาศแบ่งเขตการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้ประกาศให้เมืองปายขุนยวม
เมืองฮ่องสอนไปข้ึนกับมณฑลพายัพ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ทางการได้แต่งต้ังให้หลวงเจริญ เขตเขลางค์นคร
(สอน สขุ ุมินทร)์ มาเป็นนายอาเภอปายคนแรกจากหลักฐานทปี่ รากฏเปน็ โบราณวตั ถุตา่ ง ๆ ตามวดั ร้าง กาแพง
วัด ซากเจดีย์ปรักหักพัง พระพุทธรูปที่ก่อด้วยอิฐถือปูน ก้อนอิฐเก่าแผ่นใหญ่และหนามาก สันนิษฐานได้วา่ เป็น
ท่อี ย่ขู องพวกล๊วั ะ พวกขอม และลาธาร ลาหว้ ย หลายแห่งเป็นท่ีท่ีมีช้างปา่ จานวนมาก ต่อมามพี วกไทยใหญ่พา
กันอพยพมาจากเมืองปั่น เมืองพาย เมืองแสนหวี เชียงของ เชียงตุง หมอกใหม่ ลางเครือ ก้างยาม พม่า และ
มอญ มาด้วยบ้าง เมื่อมาถึงบ้านดอน (ปัจจุบันบ้านเวียงเหนือ) จึงตกลงใจกันอยู่ท่ีน่ัน และยกขุนส่างปายขึ้น
เป็นเจา้ เมอื งจากนัน้ ช่วยกันขุดครู อบเวียง เพือ่ ปอ้ งกนั สัตว์มารบกวน มีประตสู ามด้าน ทางทศิ ใตเ้ รียกว่า "ประตู
ดา" เป็นประตู ท่นี าศพออกไป ป่าช้า แลว้ สร้างวดั ในบ้านดอนทางทศิ ตะวันออก
ในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้ให้ "พะก่ากั่นนะ" มาเป็นเจ้าฟ้า
เมืองปาย และมีผู้ครองเมืองปายสืบต่อมาอีกคนหน่ึงคือ ขุนส่างเนิง จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ตรงกับ
ร.ศ.๑๒๙ "เมืองปาย" ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอาเภอจนถึงปัจจุบัน ปี ๒๕๔๘ รวมเป็นเวลาประมาณ ๙๔ ปี
มีผดู้ ารงตาแหน่งนายอาเภอปาย รวม ๒๙ คน
พระพ่ออุ่นเมืองท่ีอยู่คู่มากับวัดน้าฮูที่ทุกคนสักการะนับถือเป็นพระพุทธรูปสิงห์สาม ปางมารวิชัยหล่อ
ด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒๔ น้ิว สูง ๓๐ น้ิว ส่วนพระเศียรกลวงมีพระเมาฬีครอบ ไม่มีประวัติบันทึก
การสร้างอย่างชัดเจนสันนิษฐานวา่ สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมกับสถูปเจดีย์ซ่ึงอยู่หลังวิหาร


Click to View FlipBook Version