The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ji-chat.sa, 2020-12-24 23:00:28

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

กลอนดอกสรอ้ ยรำพงึ ในป่ ำช้ำ

ความเปน็ มา

ตน้ เร่ืองมาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Writen
in a Country Churchyard ของ ทอมัส เกรย์
(Thormas Gray)กวีอังกฤษ ซงึ่ ประพนั ธ์หลงั จากญาติ
และเพ่ือนของผู้ประพนั ธ์เสยี ชีวิตลงในเวลาใกลเ้ คยี งกนั

เสฐียรโกเศศ แปลเป็นภาษาไทย พระยาอุปกิต
ศิลปสาร เป็นผู้ประพันธ์กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า
นาคะประทปี เป็นผ้เู ขียนบทกถามุขหรือบทนาเรื่อง

สรปุ ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง

ผ้แู ตง่ ตน้ ฉบับ ผู้แปล ผู้แตง่ กลอนดอกสร้อย ผูแ้ ต่งบทกถามขุ
ราพังในป่าชา้

ทอมัส เกรย์ เสฐียรโกเศศ พระยาอปุ กติ ศิลปสาร ตรี นาคะประทปี
(น่ิม กาญจนาชีวะ)

จุดประสงค์ในการแตง่

๑. ช้ใี หเ้ ห็นความเป็นอนจิ จงั ของชีวิตสอดคล้องกับ
หลักธรรมในพระพุทธศาสนาท่วี า่ ดว้ ยความไมเ่ ทย่ี ง
แทข้ องชีวติ

๒. คุณคา่ ด้านเนอ้ื หาอยทู่ ่กี ารมงุ่ แสดงความจริงเกีย่ วกบั
ชีวติ มนุษย์วา่ “ไม่มผี ้ใู ดหลกี หนคี วามตายได้”

๓. แสดงความรู้สกึ ยกย่องชีวิตอันสงบ เรียบงา่ ยและ
ความสขุ อันเกดิ จากความสนั โดษ เปน็ การใหค้ ติ
ธรรมอันทรงคณุ ค่าแกก่ ารดาเนินชีวติ

ลกั ษณะคาประพนั ธ์

เนอ้ื หา

เนื้อเร่ืองของกลอนดอกสร้อย
ราพึงในป่าช้า เริ่มจากบทนาเร่ือง
หรือบทกถามุข ต่อด้วยกลอน
ดอกสร้อยท่ีคัดมาให้นักเรียนศึกษา
๒๑ บท จากทงั้ หมด ๓๓ บท

เนอ้ื เร่ืองย่อ

ในเวลาเย็นใกล้ค่าชายผู้หนึ่งเข้าไปน่ังอยู่ในวัดชนบท
แห่งหน่ึงท่ีมีแต่ความเงียบสงบ เมื่อได้ยินเสียงระฆังย่าบอก
เวลาใกล้ค่า เขาเห็นชาวนาพากันจูงวัวควายเดินทางกลับบ้าน
เม่ือสิ้นแสงตะวันได้ยินเสียงหรีดหร่ิงเรไรและเสียงเกราะใน
คอกสัตว์ นาแสกที่จับอยู่บนหอระฆังก็ส่งเสียงร้อง ณ บริเวณ
โคนต้นโพธ์ิ ต้นไทรนั้นเอง มีหลุมฝังศพต่าง ๆ อยู่มากมาย
ความเงียบสงบและความวิเวกก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใน
สัจธรรมของชีวิต ท่านผนู้ ้ันจึงราพึงราพันออกมาเป็นบทกวีว่า
แม้ผู้ดีมีจน นาย ไพร่ นักรบ กษัตริย์ ต่างก็มีจุดจบคือความ
ตายเหมือนกนั

กถามขุ

ดังได้ยินมา สมัยหนึ่ง ผูม้ ีช่ือต้องการความวิเวก, เข้าไป
นงั่ อยู่ ณ ทส่ี งดั ในวดั ชนบท เวลาตะวนั รอนๆ จนเสยี งระฆงั ย่า
บอกสิ้นเวลาวัน ฝงู โคกระบือ และ พวกชาวนาพากันกลับท่ีอยู่
เป็นหมู่ๆ เม่ือสิ้นแสงตะวันแล้ว ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรกับ
เสียงเกราะในคอกสัตว์ นกแสกจับอยู่บนหอระฆังก็ร้องส่ง
สาเนียง ณ ที่นั้นมีต้นไทรต้นโพธิ์สูงใหญ่ ใต้ต้นล้วนมีเนินหญ้า
กล่าวคือทฝ่ี ังศพต่างๆ อันแลเห็นด้วยเดือนฉาย ศพในท่ีเช่นน้ัน
ก็เป็นศพชาวไร่ชาวนาน่ันเอง ผู้น้ันมีความรู้รู้สึกเยือเย็น แล้ว
ราพึงในหมู่ศพ จงึ เขียนความในใจออกมากันดังนี้

๑ วังเอ๋ยวังเวง หงา่ งเหง่ง! ย่าคา่ ระฆังขาน
ฝงู ววั ควายผ้ายลาทิวากาล คอ่ ยค่อยผา่ นทอ้ งท่งุ มุง่ ถ่ินตน
ชาวนาเหน่ือยออ่ นต่างจรกลับ ตะวันลบั อบั แสงทุกแห่งหน
ท้งิ ทุง่ ให้มดื มัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลยี่ วอยเู่ ดยี วเอย

เสียงระฆังตียา่ ดังหง่างเหงง่ มาทาใหเ้ กิดความวังเวงใจยิ่งนัก
ในขณะที่ฝูงควายก็เคลื่อนจากท้องทงุ่ ลาเวลากลางวัน
เพ่ือม่งุ กลับยังถน่ิ ท่ีอย่ขู องมนั ฝ่ายพวกชาวนาทัง้ หลาย
รูส้ กึ เหนื่อยออ่ นจากการทางานตา่ งกพ็ ากันกลับถ่นิ พานัก
ของตนเมื่อตะวันลบั ขอบฟา้ ก็ไมม่ แี สงสวา่ ง
ทาใหท้ อ้ งทุง่ มดื ไปทัว่ บริเวณและ
ทิ้งใหข้ า้ พเจ้าเปลา่ เปลย่ี วอยูแ่ ตเ่ พยี งผเู้ ดียว

๒ ยามเอ๋ยยามน้ี ปถพมี ืดมัวทวั่ สถาน

อากาศเย็นเยอื กหนาวคราววิกาล สงัดปานป่าใหญไ่ ร้สาเนียง

มีก็แตจ่ ังหรดี กระกรีดกรง่ิ ! เรไรหร่งิ ! ร้องขรมระงมเสียง

คอกควายววั รวั เกราะเปาะเปาะ!เพียง ร้วู า่ เสียงเกราะแว่วแผว่ แผ่วเอย

ยามน้ีแผน่ ดินมืดไปทว่ั อากาศเย็นยะเยือกหนาว

เพราะเปน็ เวลากลางคืน และป่าใหญแ่ ห่งนี้ก็เงียบสงดั

มแี ต่จ้งิ หรดี และเรไรร้องกันเซ็งแซ่ไปหมด

เจ้าของคอกววั ควายต่างก็รัวเกราะกนั เปน็ เสียงเปราะๆ

ทาใหร้ ู้วา่ เป็นเสียงเกราะดังแวว่ มาแต่ไกล

๓ นกเอ๋ยนกแสก จับจ้องร้องแจก๊ เพียงแถกขวญั

อยบู่ นยอกหอระฆงั บงั แสงจันทร์ มเี ถาวลั ย์รงุ รังถึงหลังคา

เหมอื นมันฟ้องดวงจนั ทร์ใหผ้ นั ดู คนมาสซู่ อ่ งพกั มันรกั ษา

ถือเป็นทรี่ โหฐานนมนานมา ให้เสอ่ื มผาสกุ สนั ต์ของมันเอย

นกแสกรอ้ งแจก๊ ๆ เพอ่ื ทาให้เสยี ขวัญ

มันจบั อยบู่ นหอระฆังทม่ี เี ถาวัลยพ์ ันรงุ รงั ถึงหลังคา

และบังแสงจันทร์อยู่ เหมือนมนั จะฟ้องดวงจันทร์

วา่ ใหห้ ันมาดผู ู้คนทม่ี าสู่ทอี่ ยู่มนั รักษาไว้

ซงึ่ ถือเป็นสว่ นที่เฉพาะส่วนตวั มานาน

ทาใหม้ นั ไมม่ ีความสุข

๔ ตน้ เอย๋ ตน้ ไทร สงู ใหญร่ ากยอ้ ยหอ้ ยระยา้

และต้นโพธ์ิพุ่มแจแ้ ผฉ่ ายา มเี นนิ หญา้ ใตต้ ้นเกล่อื นกลน่ ไป

ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้ ดษุ ณีนอนราย ณ ภายใต้

แหง่ หลมุ ลกึ ลานสลดระทดใจ เรายงิ่ ใกล้หลมุ นนั้ ทกุ วันเอย

มตี ้นไม้สงู ใหญ่รากยอ้ ยหอ้ ยระยา้

และตน้ โพธ์ทิ ่เี ปน็ พมุ่ แผร่ ม่ เงาออกไปโดยรอบ

ที่ใต้ต้นไม้มเี นินหญ้าเปน็ ท่ีฝังศพคนในระแวกแถวนี้

ซ่งึ นอนนิ่งอย่เู กลอื่ นไปหมดในหลมุ ลึก

ดแู ล้วนา่ สลดใจอยา่ งยง่ิ นกั และตวั ของข้าพเจา้ เองกใ็ กล้หลุมนีเ้ ข้าไปทกุ วัน

๕ หมดเอย๋ หมดหว่ ง หมดดวงวิญญาณลาญสลาย

ถงึ ลมเชา้ ชวยชืน่ รื่นสบาย เตอื นนกแอ่นลมผายแผดสาเนยี ง

อยู่ตามโรงมงุ ฟางขา้ งขา้ งนน้ั ทั้งไกข่ ันแขง่ ดเุ หว่าระเรา้ เสยี ง

โอเ้ หมือนปลกุ รา่ งกายนอนรายเรยี ง พน้ สาเนียงท่ีจะปลกุ ใหล้ กุ เอย

หมดหว่ งเนื่องจากดวงวิญญาณได้แตกสลายไปแลว้

ถงึ แมว้ า่ ลมยามเช้าจะชายพดั ใหส้ ดช้นิ

เปน็ การเตอื นนกแอน่ ลมใหเ้ คลื่อนออกจากที่

แผดร้องไปตามโรงนาท้ังไก่ก็ขันแข่งกับนกดเุ หว่า

เหมือนจะช่วยกันปลุกรา่ งของผนู้ อนรายเรียง

ท่ีอยใู่ ห้หลมุ ฝังศพใหต้ ่ืนขน้ึ แต่พวกเขาเหลา่ น้นั ไมไ่ ด้ยนิ เสียงปลุกเสยี แล้ว

๖ ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหนา้

ท้งิ เพอ่ื ยากแมเ่ หย้าหาข้าวปลา ทกุ เวลาเช้าเย็นเปน็ นิรนั ดร์

ท้ิงท้ังหนูน้อยนอ้ ยรอ่ ยร่อยรบั เหน็ พ่อกลับปลืม้ เปรมเกษมสันต์

เขา้ กอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ สารพันทอดทงิ้ ทุกสิง่ เอย

ยามหนาวเคยนงั่ ผึงไฟอยูพ่ รอ้ มหน้า

แตก่ ต็ อ้ งมาท้ิงเพ่อื นยากทง้ิ แม่เรือนท่คี อยหุงข้าว

หาอาหารใหร้ ับประทานทกุ เช้าเยน็

ท้ิงท้ังลกู น้อยทพี่ อเหน็ หน้าพอ่ ก็ดีใจกอดคอฉอเลาะ

นน้ั คอื ต้องทอดท้ิงทกุ สิง่ ทกุ อยา่ งไปอยา่ งแน่นอน

๗ กองเอ๋ยกองขา้ ว กองสงู ราวโรงนาย่งิ นา่ ใคร่

เกดิ เพราะการเก็บเก่ยี วด้วยเคียวใคร ใครเลา่ ไถคราดฟน้ื พืน้ แผ่นดิน

เช้ากข็ บั โคกระบือถอื คันไถ สาราญใจตามเขตประเทศถ่นิ

ยึดหางยามยกั ไปตามใจจนิ ต์ หางยามผินตามใจเพราะใครเอย

เหน็ กองข้าวสงู ราวกบั โรงนา ชา่ งนา่ ยินดนี ัก

กองข้าวน้ีเกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวของใคร

หรือใครเป็นคนไถคราดพลกิ ฟืน้ แผ่นดนิ น้ขี ้ึนมา

เช้ากถ็ ือคันไถพรอ้ มกบั ไลค่ วายอย่างสบายใจอยทู่ อ้ งนา

โดยจับหางไถไถนาตามใจของจน หางไถหนั ไปในทิศทางต่าง ๆ เพราะใครเลา่

๘ ตัวเอย๋ ตัวทะยาน อย่าบันดาลดลใจให้ใฝฝ่ นั

ดูถกู กจิ ชาวนาสารพนั และความครอบครองกันอันชน่ื บาน

เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด มปี วตั นเ์ ปน็ ไปไมว่ ิตถาร

ขออยา่ ไดเ้ ยย้ เยาะพดู เราะราน ดูหมิน่ การเป็นอยูเ่ พอ่ื นตเู อย

ตวั ทะเยอะทะยานเอ๋ย ขออย่าดลบันดาลใจ

ให้มีการดูถูกการกระทาตา่ ง ๆ ขอชาวนา

และความเปน็ อยูอ่ ันชนื่ บานของเขา

เขาอยูก่ นั อย่างมคี วามสขุ อยา่ งเรยี บง่าย

โดยมคี วามเปน็ ไปไมเ่ กนิ วิสยั ปรกตขิ องมนุษย์

ขอจงอยา่ อยา่ ไปพูดจาเยาะเย้ยหรือดหู มิ่นการเป็นของเขาเลย

๙ สกลุ เอย๋ สกลุ สงู ชกั จงู จติ ฟูชูศักดิ์ศรี

อานาจนาความสง่าอา่ อนิ ทรยี ์ ความงามนาใหม้ ีไมตรีกนั

ความรา่ รวยอวยสุขให้ทุกอย่าง เหล่านต้ี า่ งรอตายทาลายขนั ธ์

วถิ ีแห่งเกียรตยิ ศทงั้ หมดนน้ั แตล่ ว้ นผนั มาประจบหลุมศพเอย

คนมีชาตติ ระกูลสงู ทาใหจ้ ติ ใจของจนพองโตข้ึน

โดยคิดว่าตนมีศกั ดิศ์ รีเหนือคนอนื่ คนมีอานาจ

นาความสงา่ งามมาให้แก่ชีวิต คนมีหนา้ ตางดงาม

ทาให้คนอื่นรกั ใคร่คนมีฐานะร่ารวยยอ่ มหา

ความสขุ ได้ทุกอย่าง แตท่ กุ คนตา่ งก็รอความแตกดบั

ของร่างกายโดยกันท้งั นัน้ วิถแี ห่งเกียรตยิ ศท้ังหมด ลว้ นมารวมกันท่ีหลมุ ฝังศพ

๑๐ ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง เจ้าอยา่ ชิงติซากว่ายากไร้

เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ ที่ระลึกส่ิงไรกไ็ ม่มี

ไมเ่ หมอื นอยา่ งบางศพญาติตบแต่ง เครอ่ื งแสดงเกยี รตเิ ลิศประเสรฐิ ศรี

สร้างสถานการบุญหนนุ พลี เปน็ อนุสาวรียส์ ง่าเอย

ผู้เยอ่ หย่ิงทง้ั หลายเอ๋ย ขออย่าชงิ ติซากศพ

ผยู้ ากไรเ้ หลา่ นเ้ี ลยแมเ้ หน็ จมดนิ หนา้ สลดใจ

ท่ีระลึกอะไรซักอยา่ งก็ไม่มีกต็ ามทเี ถดิ

ไม่เหมือนอย่างบา้ งศพที่ญาติตบแตง่ ด้วย

เครื่องแสดงเกยี รตยิ ศอยา่ งดี โดยมกี ารสรา้ งอนุสาวรยี ์

อนั สง่างามเพื่อเปน็ สถานทีบ่ วงสรวงบชู า

๑๑ ท่ีเอย๋ ที่ระลกึ ถึงอธึกงามลบในภพพน้ื

กไ็ มช่ วนชีพดบั ให้กลบั คืน เสยี งชมชน่ื เชดิ ชูคณุ ผู้ตาย

เสียงประกาศเกยี รตเิ อกิ เกริกกล่นั จะกระเทอื นถึงกรรณนัน้ อย่าหมาย

ลว้ นเป็นคุณแก่ผยู้ งั ไม่วางวาย ชเู กียรติญาตไิ ปภายภาคหนา้ เอย

ท่ีระลึกสร้างขึ้น ถึงแม้จะงามเลศิ สกั เพยี งใด

ก็ไมส่ ามารถทาให้ผูต้ ายฟืน้ คนื ชีวิตขนึ้ มาได้

เสยี งชื่นชมเชดิ ชูในคณุ ธรรมดขี องผตู้ าย

รวมทง้ั เสียงช่ืนชมในคุณงามความดีของผ้ตู าย

รวมท้ังเสียงประกาศถงึ เกียรติยศของผตู้ ายอย่างแพร่หลายรูก้ ันท่ัวไปจะไปเข้าหูผตู้ าย
น้ันก็หาไม่ ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นการเชิดชูเกียรติยศของ
ญาติพนี่ ้องทีม่ ีชวี ิตอยตู่ อ่ ไป

๑๒ ร่างเอ๋ยร่างกาย ยามตายจมพืน้ ดาษด่ืนหลาม

อยา่ ดถู กู ถน่ิ น้วี ่าท่ีทราม อาจขน้ึ ชื่อลือนามในก่อนไกล

อาจจะเป็นเจดยี ์มีพระศพ แห่งจอมภพจกั รพรรดกิ ษัตรยิ ์ใหญ่

ประเสรฐิ ดว้ ยสตั ตรตั น์จรสั ชยั ณ สมยั กอ่ นกาลบุราณเอย

ร่างกายของคนท้งั หลายเม่ือตาย

จะจมพ้นื ดนิ อย่เู ตม็ ไปหมด ขอจงอยา่ ดถู กู ถน่ิ นวี้ า่ ไม่ดี

เพราะอาจเป็นถ่นิ ทม่ี ชี ่ือเสยี งมาในสมยั ก่อนได้

คือ เปน็ สถานท่ีก่อสรา้ งพระเจดยี บ์ รรจพุ ระศพ

ของพระมหากษตั ริย์ อันประกอบดว้ ยแกว้ ๗ ประการ

ของจกั รพรรดิ ในสมัยโบราณนานมาแล้ว

๑๓ ความเอ๋ยความรู้ เป็นเครื่องชชู ท้ี างสว่างไสว

หมดโอกาสทจี่ ะช้ีตอ่ นี้ไป ละหว่ งใยอยากรลู้ งส่ดู ิน

อนั ความยากหากให้ไร้ศึกษา ยน่ ปญั ญาความรอู้ ยแู่ ค่ถ่ิน

หมดทุกข์ขลกุ แตก่ จิ คิดหากนิ กระแสวิญญาณงนั เพียงน้ันเอย

ความรเู้ ปน็ เครื่องชี้นาทางไปสู่ความกา้ วหน้า

แต่ตอนนี้หมดโอกาสทีจ่ ะชนี้ าทางตอ่ ไปแล้ว

จาตอ้ งละความหว่ งใยทัง้ หมดลงไปสู่ความตาย

อันความยากจนทาให้ไมไ่ ด้รับการศึกษา

ได้รับวชิ าความรอู้ ยเู่ ฉพาะในท้องถนิ่ ของตน ตอนน้ีหมดทุกข์หมดทุกข์ท่ีจะขลุกอยู่แต่
ในการทามาหากนิ เสยี ที เพราะวิญญาณของเราคงจะหยุดเพยี งเทา่ นี้

๑๔ ดวงเอ๋ยดวงมณี มกั จะล้ีลับอยู่ในภผู า

หรอื ใตท้ ้องห้องสมุทรสดุ สายตา ก็เสอื่ มซาสิน้ ชมนยิ มชน

บปุ ผชาตชิ สู แี ละมีกล่นิ อยใู่ นถน่ิ ทีไ่ กลเชน่ ไพรสณฑ์

ไมม่ ีใครไดเ้ ชยเลยสักคน ย่อมบานหลน่ เปล่าดายมากมายเอย

ดวงแกว้ หรือสง่ิ ที่มคี า่ มกั จะอยใู่ นทล่ี ล้ี ับ

เชน่ ในภเู ขาหรอื อยใู่ ตท้ ้องสมุทรซ่งึ สดุ สายตามนษุ ย์

ทาใหก้ ลายเปน็ สง่ิ ไร้ค่าไมมีผู้ใดชน้ิ ชม เปรยี บเสมือน

กบั ดอกไมท้ มี่ ีสีสวยงามละกลิ่นหอมทอ่ี ยไู่ กล

เชน่ ในปา่ ก็ไมม่ ใี ครไดเ้ ชยชมเลยสกั คน

ย่อมบานหล่นไปเปลา่ ๆ อย่างมากมายน่าเสยี ดายเป็นยิ่งนัก

๑๕ ซากเอย๋ ซากศพ อาจเป็นซากนกั รบผกู้ ลา้ หาญ

เช่นชาวบ้านบางระจันขนั ราบาญ กบั หมู่ม่านมาประทุษอยธุ ยา

ไมเ่ ช่นนน้ั ท่านกวเี ชน่ ศรปี ราชญ์ นอนอนาถเลห่ ใ์ บไ้ รภ้ าษา

หรอื ผ้กู ้บู า้ นเมอื งเรอื งปัญญา อาจจะมานอนจมถมดนิ เอย

ซากศพทั้งหลายเหลา่ นอี้ าจเปน็ ซากศพ

ของนักรบผู้กล้าหาญ เชน่ ชาวบา้ นบางระจัน

ที่อาสาจะสูร้ บกบั กองทัพพมา่ ท่ีมาทารา้ ยถงึ

กรงุ ศรีอยุธยา หรือศพท่านกวศี รปี ราชญ์

ท่ีนอนน่ิงไมพ่ ูดไมจ่ า หรือศพ

ผกู้ รู้ ู้บ้านเมืองเรืองปญั ญาอืน่ ๆ ซง่ึ อาจจะมานอนถมจมดนิ อยู่

๑๘ มักเอ๋ยมกั ใหญ่ กน่ แตใ่ ฝฝ่ นั ฟุ้งตามมงุ่ หมาย

อาพรางความจรงิ ใจไมแ่ พรง่ พราย ไมค่ วรอายกต็ อ้ งอายหมายปดิ บงั

มุ่งแตโ่ ปรยเคร่อื งปรงุ จรุงกล่ิน คือความฟูมฟายสนิ ลนิ้ โอหัง

ลงในเพลงิ เกยี รติศักดปิ์ ระจักษ์ดงั เปลวเพลิงปล่ังหอมกลบตลบเอย

พวกมักใหญ่ใฝส่ ูงจะทาแตส่ ่งิ ที่ตน

ใฝฝ่ นั ม่งุ หมายไวแ้ ละปิดปังความจรงิ บางอยา่ ง

โดยไมเ่ ปิดเผยให้ใครทราบ แมจ้ ะเป็นสงิ่ ที่ไม่มใี ครอับอาย

มงุ่ แตแ่ สดงใหเ้ หน็ รปู ลกั ษณ์ภายนอกว่าดี มกี ารใชจ้ า่ ยทรัพย์สนิ เกนิ ฐานะ พดู จาอวดดี
เพอื่ แสดงความมเี กียรติทสี่ ูงส่งของตนใหผ้ ูอ้ น่ื เหน็ อันเปน็ การปกปิดความเป็นจริงของ
ตนเองไว้

๑๙ หา่ งเอย๋ ห่างไกล หา่ งจากพวกมักใหญฝ่ กั ใฝห่ า

แต่ส่งิ ซง่ึ เหลวไหลใส่อาตมา ความมักน้อยชาวนาไม่นอ้ มไป

เพ่ือรกั ษาความสราญฐานวิเวก ร่มช้ือเฉกหุบเขาลาเนาไศล

สนั โดษดับฟุง้ ซา่ นทะยานใจ ตามวสิ ัยชาวนาเย็นกว่าเอย

ขอจงอย่หู า่ งไกลพวกมักใหญใ่ ฝ่สงู

ซึง่ ทาแต่สง่ิ เหลวไหลใส่ตัวเอง โดยไมด่ คู วามมกั น้อย

ของชาวนาเปน็ ตัวอย่าง ฉะนน้ั เพ่อื รักษาความสบายใจ

และความวิเวกรม่ เยน็ เฉกเช่นอยู่ในหุบเขาลาเนาไพร

ควรถอื สันโดษดับความฟงุ้ ซ่านใจ ตามแบบของชาวนาไว้จะเยือกเย็นกวา่

๒๐ศพเอ๋ยศพไพร่ ไมม่ ีใครขนึ้ ชื่อระบือขาน

ไมเ่ กรงใครนนิ ทาวา่ ประจาน มกี ารจารกึ บนั ทึกคณุ

ถงึ บางทีมบี า้ งเปน็ อยา่ งเลิศ ก็ไม่ฉูดฉาดเชดิ ประเสริฐสนุ ทร์

พอเตือนใจได้บ้างในทางบญุ เป็นเครอื่ งหนุนนาเหตสุ ังเวชเอย

ศพของคนธรรมดาสามัญ ไม่มีใครเขายกย่องหรือกล่าวถึงฉะนั้นจึงไม่ต้องไป
เกรงกลัวว่าใครจะนินทา เพราะไม่มีการเขียนจารึกบันทึกคุณความดีไว้ แม้บางคร้ัง
จะมีการยกย่องในคุณงามความดีบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเชิดชูกันอย่างเต็มท่ี ทาพอเป็น
เครื่องเตอื นใจในการทาความดี หรอื เป็นเครือ่ งหนนุ นาเพื่อใหเ้ กดิ สังเวชใจเทา่ นน้ั

๒๑ ศพเอ๋ยศพสูง เป็นเครอ่ื งจูงจิตให้เล่ือมใสศานต์

จารึกคาสานวนชวนสักการ ผดิ กับฐานชาวนาคนสามญั

ซึง่ อยา่ งดกี ม็ กี วีเถื่อน จารกึ ชื่อปีเดือนวนั ดบั ขนั ธ์

อทุ ิศส่ิงซึ่งสร้างตามทางธรรม์ ของผ้นู ้นั ผนู้ แ้ี กผ่ ีเอย

ศพของคนดี เป็นส่ิงท่ีจูงให้เล่ือมใส มีการจารึกค่าสักการะ ผิดกับศพของ
ชาวนาธรรมดา ซ่ึงอย่างดีท่ีสุดก็มแี ค่กวีสมัครเล่นซึ่งจะจารกึ เอาไว้เพียงแค่เดือน วัน
ปี ที่ลว่ งลบั อุทศิ สงิ่ ของทางธรรมให้แกผ่ ู้ตาย

๒๒หว่ งเอย๋ ห่วงอะไร ไมย่ ง่ิ ใหญ่เทา่ หว่ งดวงชีวิต

แมค้ นลืมสง่ิ ใดได้สนทิ ก็ยงั คดิ ขึ้นไดเ้ ม่ือใกลต้ าย

ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย

ใครจะยอมละแดนแสนสบาย โดยไม่ชายตาใฝ่อาลยั เอย

ห่วงอะไร ไมเ่ ท่าห่วงชวี ติ แม้นคนท่ลี ืมทุกสง่ิ

ก็ยงั คดิ ไดเ้ ม่อื ใกลต้ าย ใครจะยอมละทิ้งส่ิงท่ีทาให้มีความสุข

ถ้าผ้เู คยมคี วามทกุ ขก์ ็ยง่ิ ไม่เสียให้ง่ายๆ

ใครจะยอมจากทอ่ี ยูแ่ สนสบาย โดยไมห่ นั หลังอาลยั ไปมอง

๒๓ ดวงเอย๋ ดวงจิต ลมื สนทิ กิจการงานทง้ั หลาย

ย่อมละชีพเคยสุขสนกุ สบาย เคยเสยี ดายเคยวติ กเคยปกครอง

ละถิ่นทสี่ าราญเบิกบานจติ ซง่ึ เคยคดิ ใฝเ่ ฝ้าเปน็ เจ้าของ

หมดวิตกหมดเสยี ดายหมดหมายปอง ไมผ่ ินหลงั เหลียวมองดว้ ยซ้าเอย

ขอให้ดวงจิตของเราจงลมื กิจการงานทง้ั หลาย

ท่ีเคยสนกุ สุขสบาย เคยเสยี ดาย เคยวติ กและเคย

ปกครอง ตอ้ งละถ่ินเคยให้ความสขุ สาราญบานใจ

และฝนั ใฝ่อยากเปน็ เจ้าของ ขอจงหมดความวติ ก

หมดวามเสียดายหมดสิง่ ทปี่ รารถนา โดยไม่หันหลังเหลยี วไปมองมนั อีกเลย

ขอ้ คิดท่ีไดร้ บั

๑. ทกุ สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เท่ียง
๒. ความสงบคือสขุ ทแี่ ทจ้ ริง
๓. อยา่ ยึดติดกับวัตถุ


Click to View FlipBook Version