จะรับมืออย่างไร กับความสัมพันธ์ที่แตกร้าว What Do You Do With A Broken Relationship? โดย เจมส์พิทแมน ฉบับแก้ไขใหม่ เจมส์ พิทแมน เขียน ศราวดี วีรเธียร แปล ตรูจิตต์ บัณฑุกุล เรียบเรียง วารินทร์ ควรทรงธรรม
ฉบับแก้ไขใหม่ กรกฎาคม 2014 จำนวน 1,000 เล่ม ฉบับภาษาไทย บรรณาธิการผู้พิมพ์: นิติเชษฐ์สดุดีวงศ์ บรรณาธิการบริหาร : วรรณีธนาวัฒนเจริญ ผู้เขียน : เจมส์พิทแมน ผู้แปล : ศราวดีวีรเธียร เรียบเรียง : ตรูจิตต์บัณฑุกุล วารินทร์ควรทรงธรรม จัดรูปเล่ม : นริศ ภูษิตประภา พิสูจน์อักษร : สุพรทิพย์ทองสุวรรณ พิมพ์ที่ : www.actsco.org พันธกิจมานาประจำวัน ตู้ ปณ. 35 ปณฝ.หัวหมาก กรุงเทพฯ 10243 โทร 0-2718-5166-7 โทรสาร 0-2718-6016 E-mail: [email protected] หนังสือนี้สงวนลิขสิทธิ์และได้รับอนุญาตจากพันธกิจอาร์บีซี เมืองแกรนด์แรพพิดส์สหรัฐอเมริกา ภาษาไทยใช้พระคัมภีร์ฉบับเรียงพิมพ์ใหม่ 1998 บรรณาธิการ: เดวิด สเปอร์ ภาพปก: เทอรี่บิดกู๊ด ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้อ้างอิงมาจากพระคัมภีร์ฉบับคิงส์เจมส์ใหม่ ปี1979, 1987, 1999 พันธกิจอาร์บีซีเมืองแกรนด์แรพพิดส์, มิชิแกน
จะรับมืออย่างไร กับความสัมพันธ์ที่แตกร้าว เราต้องยอมรับความจริงว่า ในทุกความสัมพันธ์จะต้อง พบเจอกับวิกฤตการณ์ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อคนเราเกิด ความขุ่นเคืองแล้ว ก็จะเริ่มห่างเหิน ทัศนคติเปลี่ยนไปอย่าง รวดเร็ว ไม่ช้าคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็ตามมา ความสัมพันธ์นั้นก็จะตึงเครียด และหลายคราก็ถึงกับขาด สะบั้นลงก็มีคุณมีประสบการณ์อย่างนี้หรือไม่ ถ้ามีเราขอให้ หนังสือเล่มนี้ซึ่งเขียนโดย เจมส์พิทแมน ช่วยให้คุณมีวิธีการ อันเหมาะสมที่จะแก้ปัญหาร้ายแรงนี้ มาร์ติน อาร์.ดีฮาน ที่สอง
อยากจะบอกว่าผมคิดอย่างไร ไม่ทราบว่าคุณเคยเป็นเหมือนผมบ้างหรือไม่? บางครั้ง มีความสงสัย ไม่เข้าใจพระเจ้าในบางเรื่อง และอยากรู้คำตอบ จริงๆ แต่ไม่รู้จะไปถามใคร ครั้นจะไปค้นคว้าหาอ่านดูในหนังสือ ก็ไม่รู้ว่าจะหาอ่านได้ที่ไหน เห็นตำราแต่ละเล่มหนาเป็นฟุต อีกทั้งเป็นภาษาอังกฤษก็หมดแรงหมดกำลังใจที่จะอ่าน อยาก จะได้จริงๆหนังสือที่ว่านี้เล่มบางๆเล็กๆ เนื้อหาตรงประเด็น ชัดเจน สามารถอ่านเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น ถ้าคุณกำลังหาหนังสือเช่นที่ว่านี้“ก็หนังสือเล่มที่คุณ กำลังถืออยู่ในมือนี่ไงครับ!” หัวข้อน่าสนใจ...แปลเป็นไทย ...เข้าใจง่าย...เล่มเล็กบาง...พกสะดวก...รูปเล่มสวยงาม... ใช้เวลาอ่านไม่นาน
หนังสือในชุด Discovery Series (หนังสือเพื่อการเรียนรู้) ของพันธกิจมานาประจำวัน (RBC Ministries) มีหัวข้อที่น่า สนใจในแง่มุมต่างๆ มากกว่า 200 เรื่อง เช่น พระเจ้า มนุษย์ สังคม ความสัมพันธ์การประกาศ ฯลฯ พันธกิจมานาฯ จะได้ ทยอยจัดพิมพ์หนังสือชุดนี้ออกมาตามลำดับ ผมหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะสามารถสร้างเสริมชีวิตของ คุณให้เติบโตในพระเจ้า สู่ความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ ต้องอยู่ในเงามืดแห่งความสงสัยอีกต่อไป นิติเชษฐ์สดุดีวงศ์
อาการเป็นอย่างไร 7 ทำให้ยิ่งเลวร้าย 10 แบบแผนที่ถูกต้อง 12 วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง 17 ขั้นที่1: รัก 17 ขั้นที่2: ถ่อมใจ 21 ขั้นที่3: เต็มใจที่จะทนทุกข์ 24 ขั้นที่4:ชวนมาคืนดีกัน 27 ขั้นที่5: ให้อภัย 30 แล้วถ้ายังไม่ได้ผลเล่า 34 การดูแลทะนุถนอมความสัมพันธ์ 41 กรณีศึกษา : คนที่เคยลองมาแล้ว 45 ก้าวแรก 47 สารบัญ
อาการเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้อยู่ตามลำพังบนเกาะอันห่างไกล คุณจะ ต้องรู้จักความเจ็บปวดของความสัมพันธ์อันแตกร้าวเป็นอย่าง ดีแน่ แม้แต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้นที่สุดก็อาจแปรเปลี่ยนเป็น ความขุ่นเคืองได้การแต่งงานก็มีวันขมขื่นได้เพื่อนร่วมงานก็ อาจเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นสนามรบได้เช่นกัน คริสตจักรแตก ร้าวเพราะสมาชิกผิดใจกัน ครอบครัวแตกแยกเพราะคำพูดที่ ไม่รักษาน้ำใจ เพื่อนบ้านเถียงกันเพราะสุนัขเห่าไม่หยุด ปัญหานี้เป็นเหมือนโรคระบาด เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง ต่อชีวิตอันสงบสุขของเรายิ่งกว่าโรคหวัด โรคมะเร็งหรือโรค หัวใจเสียอีก ผมรักมนุษยชาติ แต่คนต่างหากที่ผมทนไม่ได้ - Linus เช่นเดียวกับโรคทางกาย เราสังเกตเห็นได้ถึงอาการที่ ปรากฏอันอาจพาไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงได้เหมือนไฟสีแดงที่ กระพริบเตือน อาการเหล่านี้บอกเราว่ามีบางอย่างร้ายแรงเกิด ขึ้น คุณอาจนึกอาการเหล่านี้ออกจากประสบการณ์ของคุณ เอง “ ”
หลบลี้หนีหน้า จู่ๆ คนที่เป็นเพื่อนกันมานานปีก็เกิด หลบหน้ากันหลังจากมีเหตุขัดเคืองกัน แม้ว่าที่ผ่านมาจะชอบ สังสรรค์กัน แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเจอกันต่างฝ่ายต่างพยายามไม่เฉียด ใกล้กัน โกรธง่าย“เธอว่าอะไรนะ?” “อย่ามายุ่งกับฉันได้ไหม!” “เธอทำให้ฉันเอือมระอาเต็มทนแล้วนะ! อย่ามาสอดเรื่องคน อื่นเลย” “แล้วไงล่ะ?” “ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่สิ!” “ฉันสุดจะทนแล้ว นะ!” “เลิกเกาะฉันซะทีได้ไหม ขอทีเถอะ!” คุณพอจะจำคำพูดที่ร้ายๆเหล่านี้ได้ไหม ผมแน่ใจว่า คุณจำได้เราเคยได้ยินทุกคำที่กล่าวมา และส่วนใหญ่เราก็ ต้องยอมรับว่าเราได้พูดคำเหล่านี้บ้าง เหมือนไฟสีแดงที่กระพริบเตือน อาการเหล่านี้บอกเราว่ามีบางสิ่งร้ายแรงเกิดขึ้น เล่นลูกเงียบ การตอบสนองเบื้องต้นเมื่อเจ็บช้ำคือ “การเยียวยาด้วยการเงียบ” เราก็แค่ไม่อยากคุยกับคนอื่น นี่ เป็นสัญญาณเงียบที่สื่อว่า “ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับเธอ อย่า มายุ่งกับฉัน” บางคนใช้วิธีนี้เพื่อจะไม่ให้ตัวเองเจ็บช้ำไปมาก กว่านี้ส่วนบางคนอาจใช้เป็นวิธีแก้แค้น หวังจะทำให้อีกฝ่าย “ ”
ต้องเป็นทุกข์โดยการไม่ยอมพูดด้วย หาพวก ไม่ดีเลย แต่บางคนตอบสนองต่อความ สัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นราวกับเป็นประเทศที่เพิ่งจะประกาศ สงคราม พวกเขาเรียกหาพวกสนับสนุน โดยเล่าความเห็นของ ตนฝ่ายเดียวและใช้การชวนเชื่อนี่เอง เป็นกระสุนในสงคราม ครั้งนี้พฤติกรรมอย่างนี้เผยให้เห็นความไม่มั่นคงและความ อ่อนแอ บุคคลนั้นขาดความมั่นใจที่จะรับมือกับปัญหาอย่าง จริงจังด้วยตัวเอง คิดไม่ซื่อ เช่นเดียวกับการวางระเบิดและการจี้เครื่อง บิน ความรุนแรงในตัวบุคคลรูปแบบนี้ค่อนข้างจะมีเล่ห์เหลี่ยม และเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ด้วยวิธีทางอ้อมและ ลับๆซึ่งมักจะทำลายคนอื่นซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ไปพร้อมกับศัตรู ด้วย มีแววตาและคำพูดที่แฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวและมีแม้ กระทั่งการทำร้ายร่างกายกัน มีหลายครั้งที่อาจรวมไปถึงการ เข้าทำร้ายจนถึงตาย ซึ่งเป็นการทำลายอิทธิพลในแง่บวกหรือ ชื่อเสียงอันดีของบุคคล หากคุณพบอาการใดๆเหล่านี้แสดงว่าความสัมพันธ์ ของคุณอาจกำลังถดถอยลง และถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญาหา แล้ว
10 11 ทำให้ยิ่งเลวร้าย พิษของเถาต้นหมามุ่ยทำให้ต้องทนทรมาน ผื่นแดงที่ เกิดขึ้นก็สุดจะทนแล้ว แต่อาการคันยิบๆนั้นทรมานยิ่งกว่า ถ้า อดใจไม่ไหวลงมือเกาก็มีแต่จะทำให้ยิ่งเลวร้าย พิษร้ายยิ่งแพร่ กระจายและยิ่งเจ็บปวดทรมานมากขึ้น การรักษาที่ถูกต้องก็ คือ การทาครีมแก้คันและอดใจไม่เกา ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวก็สามารถทำให้ทนทุกข์ทรมาน ได้เหมือนกันและเช่นเดียวกับพิษของเถาต้นหมามุ่ย ถ้าเรา ตอบสนองตามใจอยากก็มีแต่จะทำให้ยิ่งแย่ลง หลายครั้งที่เรา พยายามแก้ไขปัญหา แต่กลับไม่ได้ผลเอาเสียเลย เพื่อไม่ให้ เกิดความผิดพลาดเช่นนั้น ลองมาพิจารณากลวิธีต่างๆที่ใช้ไม่ ได้ผลและมีแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำกันเถอะ เพิกเฉย แม้ว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้านกกระจอก เทศซึ่งเป็นนกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็มีชื่อเสียงด้านนี้เพราะมัน ตอบสนองต่ออันตรายที่จู่โจมมันกะทันหัน โดยการเอาหัวมุด ทราย การทำเช่นนี้ช่างดูโง่เขลา แต่กระนั้นหลายๆคนก็ตอบ สนองต่อความสัมพันธ์ที่แตกร้าวด้วยวิธีคล้ายๆกันนี้ทำเป็น เพิกเฉย ปล่อยให้ลุกลามไปเหมือนมะเร็ง กัดกินความสัมพันธ์ จนไม่เหลือชิ้นดี โจมตีตัวบุคล แทนที่จะตีประเด็นปัญหาให้แตก เรา กลับพลาดไปโจมตีตัวบุคคล บ่อยครั้งที่ต้นเหตุของความขัด
10 11 แย้งถูกลืมไป มีการตั้งฉายาให้กันอย่างเสียๆหายๆ และจ้อง จับผิดกันจนกลายเป็นกำแพงมาบดบังประเด็นที่แท้จริงเสีย เจ้ากี้เจ้าการ บางครั้งเราสนใจแต่การบรรลุเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด เราอาจคิดว่าเรา รอบรู้ไปเสียหมดและพยายามทำให้คนอื่นเห็นตามด้วย ความ จริงแล้ว นี่เป็นความหยิ่งและความเห็นแก่ตัวรูปแบบหนึ่ง ไปคบคนผิด เราอาจจะหลงผิดไปข้องเกี่ยวกับคนบาง พวกที่ชอบนินทาลับหลัง แทนที่จะมาช่วยฟื้นความสัมพันธ์ให้ ดีขึ้น (สภษ.16:28) คำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริง ๆ - สุภาษิต 15:23 พูดมากเกินไป เราเป็นผู้ฟังที่ดีหรือเปล่า เราตั้งใจฟัง และพยายามทำความเข้าใจหรือเปล่า การเอาแต่พูดเรื่องของ ตัวเองฝ่ายเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ไม่ใส่ใจเวล่ำเวลาและกาลเทศะ เราอาจทำและพูดสิ่งที่ ถูกต้อง แต่กลับไม่ได้ผลดังคาด หากความพยายามของเราไม่ ถูกเวลา และ กาลเทศะ เราก็เพียงแค่ชะลอปัญหาเท่านั้น กลบไว้ “โธ่ ลืมซะเถอะ” “ทิ้งไปซะ แล้วมาเริ่มต้นกัน “ ”
12 13 ใหม่เถิด” คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหากแสดงถึงการกลับมา คืนดีกันจริงๆ แต่คำพูดเหล่านี้ย่อมไม่เพียงพอ หากเราใช้มัน เป็นเหมือนแค่พลาสเตอร์ติดแขนที่หัก บาดแผลที่ก่อเกิดใน จิตใจต้องการมากกว่าคำพูดเพียงผิวเผิน ตัดขาด บางครั้งเราก็ปฏิบัติต่อความสัมพันธ์นั้นราวกับ ของใช้แล้วทิ้ง ถ้าความสัมพันธ์ไปได้ไม่ดีก็ดูเหมือนจะยุ่งยาก เกินกว่าจะไปซ่อมแซมเยียวยา บางคนอาจเสนอด้วยซ้ำว่า ทางแก้ที่ดีก็คือการยุติความสัมพันธ์นั้นเสีย ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวอาจแย่ลงไปอีกแทนที่ จะดีขึ้น หากเราจัดการรับมือกับมันผิดวิธีการฟื้นฟูความ สัมพันธ์อย่างจริงจังจะสำเร็จได้เมื่อเราเต็มใจที่จะทำตาม แบบแผนที่พระเจ้าทรงประทานให้ แบบแผนที่ถูกต้อง ลองจินตนาการว่าคุณเป็นทหารผู้โดดเดี่ยวได้รับคำสั่ง ให้ยึดเมืองของข้าศึก คุณค่อยๆเคลื่อนเข้าไปใกล้และในที่สุด คุณก็เริ่มเห็นเมืองนั้น เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ กำแพงที่ล้อม รอบเมืองแข็งแกร่ง มีทหารยืนเป็นทิวแถว ประตูบานใหญ่ยาก ที่จะทะลวงผ่าน คุณได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น คิดว่าจะทำ อย่างไรดี
12 13 ฟังดูน่าขันใช่ไหม แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า การรื้อฟื้น มิตรภาพกับคนที่ผิดใจกันนั้น ก็เหมือนการพยายามตีเมืองที่ม การคุ้มกันอย่างดีกล่าวกันว่า ความโกรธเป็นดั่งประตูเมืองที่ ลงดาลไว้แน่นหนา ยากที่จะฝ่าเข้าไปได้ พี่น้องที่ได้รับความช่วยเหลือก็เหมือนเมืองที่เข้มแข็ง และการทะเลาะวิวาทเหมือนดาลที่ป้อมปราการ (สภษ.18:19) การซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกสลายแล้วให้กลับฟื้น คืนดีอีกนั้น นับเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ ได้ เช่นเดียวกับทหารนายนั้นที่ยืนเผชิญหน้ากับเมืองที่ ป้องกันแน่นหนา คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร ในพระ คัมภีร์มีแบบปฏิบัติที่พระเจ้าทรงวางไว้ด้วยพระองค์เอง ในชีวิตของพระเยซูคริสต์นั้น เราได้เห็นลำดับขั้นที่ พระเจ้าทรงใช้ซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำนั้น ในความเป็นจริงก็ คือพระราชกิจที่พระเจ้าทำ เพื่อจะนำโลกที่ขาดจากพระองค์ ให้กลับมาหาพระองค์อีกครั้ง เปาโลเขียนว่า คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ (2 คร.5:19) ในแบบอย่างของพระองค์เราเห็นลำดับขั้นตอน ที่เรา ต้องทำตามเพื่อสร้างสันติกับผู้อื่น พระเจ้าทรงทำอะไร พระองค์ทรงทำตามลำดับขั้นตอน ใดบ้างเพื่อนำเรากลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อีก พระ
14 15 คัมภีร์ให้คำตอบเราว่า พระองค์ทรงรัก พระองค์ ทรงถ่อมพระองค์ลง พระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ ทรงเชื้อเชิญและพระองค์ทรงยกโทษ พระองค์ทรงรัก “โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้า ก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตร องค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรา รักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเราและทรงใช้พระบุตรของ พระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้ง หลายเพราะบาปของเรา” (1 ยน.4:9-10) พระเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการคืนดีพระองค์ไม่ได้รอ ให้เราเริ่มก่อน แม้เราจะเป็นฝ่ายผิดเองและไม่ได้แสดงความ ปรารถนาที่จะคืนดีกับพระองค์ก็ตามโดยทรงส่งพระบุตรของ พระองค์ลงมา พระองค์เริ่มก้าวแรก ขณะที่เรายังเป็นคนบาป พระองค์ทรงพิสูจน์รักของพระองค์ที่มีต่อเรา (รม.5:8) พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง “และเมื่อทรงปรากฏพระ องค์ในสภาพมนุษย์แล้วพระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึง ความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟป.2:8) เป็นความจริงที่ล้ำลึกมาก พระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ลง พระเจ้าพระบุตรทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือ พระเยซูคริสต์ซึ่ง มิได้เห็นแก่พระราชศักดิ์และสิทธิ์ทั้งปวง พระคริสต์ทรงไม่ถือ สิทธิ์และทรงห่วงใยเรายิ่งกว่าตัวพระองค์เอง การถ่อมลงเป็น พระเจ้า ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ การ เชิญชวน การ ให้อภัย คุณ
14 15 ขั้นตอนอันน่าทึ่ง ซึ่งจำเป็นอย่างขาดไม่ได้หากจะซ่อมแซม ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างเรากับพระเจ้า พระองค์ทรงทนทุกข์ “ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์ จึงสิ้นพระชนม์แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์(1ปต.3:18) ความบาปได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ พระเจ้าและมีแต่การเสียสละอันเจ็บปวดเท่านั้นที่จะสามารถ ทำให้ทุกอย่างดีดังเดิม การที่พระองค์ทรงยอมให้พระบุตรมา สละพระชนม์นั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเสียสละเพื่อ เรา ช่างเป็นวิธีที่สุดยอดจริงๆ พระเจ้าทรงเลือกที่จะทน ทุกข์พระองค์ทรงเลือกที่จะให้พระบุตรต้องมารับทุกข์ทรมาน และแม้ว่าจะต้องตายก็ตาม เพื่อให้เราได้มีชีวิต พระองค์ทรงเชื้อเชิญ “และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศ สันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติแก่คนที่อยู่ใกล้เพราะว่า พระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา โดยพระ วิญญาณองค์เดียวกัน” (อฟ.2:17-18) โดยผ่านทางพระคริสต์พระเจ้าได้ทรงกระทำขั้นต่อไป คือ พระองค์ทรงเชื้อเชิญทั้งชาวยิวและชนต่างชาตินี่เป็นข้อ เสนอแห่งสันติสุขที่เกิดขึ้น เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของ พระบุตรของพระองค์เป็นโอกาสดีที่จะกลับมาหาพระองค์
16 17 และเผชิญหน้ากับความจริงว่าเราตัดขาดจากพระองค์มานาน แล้ว นี่เป็นคำเชิญชวนให้เราสนใจเรื่องนี้และรับข้อเสนอที่จะ กลับคืนดีกับพระองค์ประตูที่เปิดไปถึงพระเจ้านั้นได้เปิดออก แล้ว พระองค์ทรงยกโทษ “ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระ กรุณาอันอุดมของพระองค์” (อฟ.1:7) แม้ว่าเราจะดื้อดึง แต่พระเจ้าก็ยังทรงพระกรุณาเรา เราสมควรถูกลงโทษ แต่พระองค์ยังทรงมีพระประสงค์จะสำ แดงพระกรุณา แทนที่พระเจ้าจะทรงถือโทษเรา พระองค์ ปรารถนาจะยกโทษให้เราผ่านพระบุตรของพระองค์คนทั่วไป ที่ใช้ชีวิตด้วยคติพจน์ว่า “ฉันไม่โกรธหรอก แต่ฉันจะเอาคืน!” จึงยากที่จะเข้าใจพระกรุณาที่เราไม่สมควรได้รับนี้พระเจ้าไม่ ประสงค์จะเอาคืน พระองค์ปรารถนาจะนำเราให้กลับมาสู่ ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์การให้อภัยที่ไม่สมควรกับ เรา จึงย่อมเป็นเหตุผลที่เราจะสามารถสรรเสริญพระองค์ได้ เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้าทรงยอมรับเราไว้ในพระองค์อย่างเต็มที่ ก็เพราะพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน หาก เราเต็มใจที่จะรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อใด พระองค์ก็ทรงเต็ม พระทัยที่จะอภัยให้เราอย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อนั้น ถูกต้อง พระเจ้าได้ทรงออกแบบลำดับขั้นตอนที่จำเป็น ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ชอกช้ำและแตกหักไว้แบบอย่าง
16 17 ของพระองค์ควรเป็นพื้นฐานแก่เราที่จะลงมือทลายปราการที่ ขวางกั้นระหว่างผู้คน วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับที่เด็กเลียนแบบพ่อแม่ คริสตชนทุกคน ควรจะเอาอย่างพระเจ้าพระบิดา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้อง เผชิญหน้ากับการซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แตกร้าว พระบิดา พระเจ้าทรงให้เรารู้จักการคืนดีอันสมบูรณ์ดังนั้น เราจึงควรทำ ตามลำดับขั้นแบบเดียวกันนั้นคือ ความรัก ความถ่อมใจ การ ทนทุกข์การเชื้อเชิญ และการให้อภัยเช่นเดียวกับพระบิดา ของเรา ขั้นที่ 1 : รัก “เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และ จงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย” (อฟ.5:1-2) การรักคนที่เราผิดใจด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ หากจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้สำเร็จแล้วล่ะก็เราต้องเริ่มที่จะ ยอมรักเขา เนื่องจากขั้นตอนนี้สำคัญมาก จึงจำเป็นที่เราจะ คุณ ความรัก ผู้อื่น
18 19 ต้องเข้าใจความหมายของความรัก อันดับแรก เรามาดูกันว่า สิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่ความรัก ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก เมื่อสัมพันธ์แตกร้าว อารมณ์แง่บวกมักถูกแทนที่ด้วยอารมณ์แง่ลบ ความจริงแล้ว ในแง่ของความรู้สึก อาจต้องใช้เวลานานพอดูกว่าที่เราจะ ยอมรับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ความรักไม่ใช่การเสแสร้ง การฝืนยิ้มหรือการแสดง ความเอื้ออารีอันไม่จริงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงสิ่งผิวเผินและ เสแสร้ง ไม่มีทั้งความจริงใจและความยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ที่แตกหัก การแสร้งรักผู้อื่น ไม่ได้ผล แต่ต้องรักด้วยใจจริง เปาโลเขียนไว้ว่า “จงรักด้วยใจ จริงจงเกลียดชังสิ่งที่ชั่วจงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” ความรักไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ความรักไม่ได้กำเนิด มาจากมนุษย์หรือเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ความรักของ พระเจ้าก็อยู่เหนือความสามารถที่เราจะสร้างขึ้นได้ในเมื่อเรา ไม่อาจสร้างความรักได้แล้วใครล่ะที่สร้างความรัก บุคคลนั้นก็ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งสถิตอยู่ในคริสตชนทั้งปวง (1คร.6:19) โดยการทรงนำของพระเจ้า เราจึงสามารถรักบุคคล ซึ่งเราอยากให้เขายอมรับอีกครั้งได้อย่างแท้จริง (กท.5:22) ความรักไม่ใช่การแก้เผ็ด เมื่อคนอื่นทำไม่ดีต่อเรา เรา ต้องเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง พระเยซูตรัสว่า “แต่เราบอกท่านทั้ง หลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้เกลียด
18 19 ชังท่าน จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่ เคี่ยวเข็ญท่าน”(ลก.6:27-28) พระองค์กำลังบอกเราว่าเราต้อง มีความเมตตาแทนความเกลียดชัง เราควรพูดจาอ่อนหวาน กับผู้ที่พูดถึงเราในทางไม่ดีเราควรจะแสดงความห่วงใยอย่าง สม่ำเสมอต่อผู้ที่ปฏิบัติต่อเราอย่างต่ำทราม โดยสรุปก็คือเรา ควรเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องต่อผู้อื่น โดยไม่คำนึงว่าเขาจะตอบโต้ เราอย่างไร ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่าสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่ความรัก คราว นี้มาดูด้านบวกกันบ้าง ความรักเป็นใหญ่เหนือความรู้สึกส่วนตัว หลักการนี้ ปฏิบัติไม่ง่ายเลย เพราะหมายถึงการฝืนตัวเองมาก เมื่อเราทำ สิ่งที่ถูกต้องต่อผู้อื่น เราต้องอดทนไม่แสดงอารมณ์ในทางลบ ในความเป็นจริงเรากดความรู้สึกไม่ดีไว้เพื่อเห็นแก่คนอื่น แต่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธตัวเองซึ่งพระคริสต์เรียกร้องให้ เราทำ (มธ.16:24) การตอบสนองต่อผู้อื่นในทางที่ถูกต้องโดย ไม่เอาความรู้สึกของตนเป็นใหญ่ ย่อมเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดใน การฟื้นฟูความสัมพันธ์ ความรักช่วยส่องกระจก บางครั้งสิ่งที่ยากที่สุดในการรัก ผู้อื่น ก็คือ การสำรวจทัศนคติของตัวเราเอง แต่นั่นควรเป็นงาน หลักของเราเลย ก่อนที่เราจะพยายามแก้ไขคนอื่น เราควรจะ แน่ใจก่อนว่าเราควรบริสุทธิ์ใจ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ท่านคน น่าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อนแล้วท่าน
20 21 จะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่าน ได้”(มธ.7:5) แม้ว่าจะยากและมักจะเจ็บปวด แต่ก็เป็นจริงได้ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราพึ่งพาการงานของพระวิญญาณ บริสุทธิ์ในชีวิตของเรา พันธกิจของพระองค์คือการให้ดวงใจ และอุปนิสัยที่ฟื้นคืนขึ้นใหม่ (รม.12:2) ด้วยความช่วยเหลือ ของพระองค์เราจะสามารถแทนที่ความโกรธ ความขมขื่นและ การผูกพยาบาท ด้วยความเมตตา ดวงใจที่อ่อนสุภาพและการ ให้อภัย (อฟ.4:31-32) พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคน ราวกับว่ามีเราอยู่เพียงคนเดียว - ออกัสติน ความรักชิงลงมือก่อน โดยธรรมชาติแล้วเรามีแนวโน้ม ที่จะคอยหลีกเลี่ยงคนที่เราขัดแย้งด้วย แต่หากเราจะแก้ไข สถานการณ์นี้เราต้องเต็มใจเป็นคนเริ่มกระบวนการนี้ก่อน ก็ คือ การรักเขาก่อนนั่นเอง คือความเต็มอกเต็มใจที่จะเริ่มก้าว ไปหาเขาและเริ่มลงมือ(มธ.5:23-24;18:15) ใช่แล้ว ความ สัมพันธ์ที่แตกร้าวสามารถซ่อมแซมได้เมื่อเราเป็นฝ่ายเริ่ม กระบวนการให้ความรักก่อน “ ”
20 21 คิดทบทวน เมื่อไม่นานมานี้มีคนทำให้คุณเจ็บช้ำหรือ ไม่? คุณได้ตัดสินที่จะตัดอารมณ์ของคุณทิ้งแล้วทำสิ่งที่ถูก ต้องหรือเปล่า? คุณได้ขอพระเจ้าช่วยคุณให้รักคนคนนั้นแทน ที่จะเมินเขาหรือแก้แค้นเขาหรือไม่ ถ้าคุณได้ขอความช่วย เหลือจากพระเจ้า และลงมือทำขั้นแรกแล้ว มีหลักประกันหรือ ไม่ว่าคนคนนั้นจะยอมรับรักของคุณ? ความรักนี้ควรจะดำเนิน ไปอีกนานแค่ไหนเพื่อให้เกิดการคืนดีกัน? ขั้นที่ 2 : ถ่อมใจ “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าผู้ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน จงเพียรพยายามให้ คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติ ภาพและพันธนะ” (อฟ.4:1-3) อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิด การโต้เถียงกับคนอื่นก็คือ ความหยิ่งยโส ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ แต่อัตตาของเรามักเข้ามาขวาง บางครั้งผู้คนมักมองว่าการ ลงมือสร้างสันติสุขเป็นความอ่อนแอ และเพราะเราไม่ต้องการ ให้คนอื่นมองเราว่าอ่อนแอ เราจึงปกป้องศักดิ์ศรีของเราโดย การไม่เข้าหาคนเหล่านั้นก่อน หรือไม่ก็ปิดกั้นตัวเองไปเลย แต่ความเย็นชาที่เกิดขึ้นเพราะทิฐิแบบนี้ไม่ถูกต้องโดย ความรัก ความ ถ่อมใจ คุณ ผู้อื่น
22 23 เฉพาะสำหรับคริสเตียน หากพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้ายังลด พระองค์ลงเพื่อสร้างสันติกับคนบาปได้เราก็ต้องลดตัวเองลง เพื่อสร้างสันติกับผู้อื่นได้เช่นกัน ความจริงแล้วนี่เป็นคำสั่งให้ เราดำเนินไปด้วย “ใจถ่อมลงทุกอย่าง” ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ เรามีปัญหากับผู้อื่น เราควรเข้าหาเขาด้วยความถ่อมใจ เมื่อ เราคิดเช่นนี้เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจว่าความถ่อมใจคืออะไร ความหมายของความถ่อมใจ พจนานุกรมอเมริกันเฮอริเทจ (The American Heritage Dictionary) จำกัดความ “ความถ่อม” ว่า เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า ความภูมิใจ แต่เป็นความภูมิใจ ชนิดไหนเล่า สิ่งที่ผู้เรียบเรียงพจนานุกรมคิดไว้ในใจ ต้องไม่ใช่ แบบที่น่ายอมรับ อย่างความภูมิใจที่เรามีต่องานของเรา ต่อ ครอบครัวของเราและต่อประเทศชาติแน่นอน คำที่ตรงกันข้าม กับคำว่าความถ่อม น่าจะเป็นคำว่า ความถือดีการเอาตัวเอง เป็นที่ตั้ง และความจองหองมากกว่า หากความถ่อมนั้นตรงข้ามกับความภูมิใจอย่างนี้ก็ หมายความว่าเราไม่ควรคิดถึงตัวเองมากเกินกว่าที่ควรเป็น (รม.12:3) หมายความว่าเราควรสนใจความต้องการและความ ทุกข์ของผู้อื่น (ฟป.2:4) และเมื่อเราคิดเช่นนี้เราก็จะมีความ ปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือ การเป็นผู้ที่ปรนนิบัติกันและกัน (อฟ.5:21) ความถ่อมที่เป็นรูปธรรม ความถ่อมใจมีบทบาทอย่างไร ในการฟื้นความสัมพันธ์ข้อแรก ถ้าเราไม่ใช่คนหยิ่งยโสเราก็
22 23 คงยอมทำทุกสิ่งแม้แต่สิ่งเล็กน้อยและสละได้แม้แต่สิ่งที่ใหญ่ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นราบรื่น ข้อที่สอง ถ้าเรา ใส่ใจในความเดือดร้อนของคนอื่นจริงๆแล้วล่ะก็เราคงเห็นว่า ความรู้สึกและความคิดเห็นของพวกเขาก็มีความสำคัญไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่าความรู้สึกและความคิดเห็นของเราเอง และ แม้ว่าจะทำยาก แต่เราก็จะพยายามเข้าใจ ความถ่อมใจคือความสามารถที่จะมองตัวเอง อย่างที่พระเจ้าได้ทรงบรรยายถึงเราเอาไว้ - เฮนรี่ เจคอบเซ่น สุดท้ายถ้าเราถ่อมใจลงเราจะยังคงนับถือคนอื่นอยู่ แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับคนอื่นก็ตาม เราจะพยายามส่ง เสริมเขาในทางที่เป็นประโยชน์แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคุณค่า ความพยายามของเราก็ตาม ความสัมพันธ์สามารถซ่อมแซมได้หากเรามีหัวใจของ พระคริสต์และถ่อมอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ (ฟป.2:5) แล้ว เราก็พร้อมที่จะรับการทนทุกข์ได้ด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปที่ สำคัญ คิดทบทวน พระคริสต์ทรงยอมสละสิทธิ์ใดบ้าง เพื่อจะ นำเรากลับมาหาพระองค์อีกครั้ง ถ้าพระองค์ทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อเราแล้ว ทำไมเราจึงมีปัญหามากนักในการยอมสละสิทธิ์ “ ”
24 25 ของเราบ้าง ครั้งสุดท้ายที่คุณ “เป็นฝ่ายถูก” แต่คุณกลับยอม ถ่อมใจลง และเป็นฝ่ายขอโทษคนอื่นก่อนคือเมื่อไหร่ หากคุณ รู้ว่า คุณเป็นฝ่ายผิดคุณจะแสดงความถ่อมใจของคุณอย่างไร ขั้นที่ 3 : เต็มใจที่จะทนทุกข์ “ฉะนั้นโดยเหตุที่พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานทางพระกายแล้ว ท่าน ทั้งหลายก็จงมีความคิดอย่างเดียวกันไว้เป็นเครื่องอาวุธด้วย” (1ปต.4:1) พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์ที่ตายเพื่อความบาปของโลก นี้การทนทุกข์ของคริสเตียนย่อมไม่เหมือนการทนทุกข์ของ พระองค์แน่ แต่เราสามารถทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ได้ หลายวิธีการทนทุกข์อย่างพระคริสต์ได้แก่ ความมุ่งมั่น ความ จริงใจ ความกล้าหาญ ความมั่นใจ ความเห็นอกเห็นใจ และ ความอดทน ความมุ่งมั่นตั้งใจจริง พระคริสต์ทรงตั้งพระทัยที่จะ ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ ทรมานที่จะได้รับ (มธ.26:39) พระบิดาในสวรรค์ทรงมีพระ ประสงค์ให้เราอยู่อย่างสันติกับคนทั้งปวง (รม.12:18) เมื่อ ความขัดแย้งเกิดขึ้น และมักจะต้องเกิดขึ้น เราควรมีความ ตั้งใจจริงที่จะทำทุกอย่างให้เกิดการประนีประนอมขึ้นโดย ระลึกเสมอว่าการทนทุกข์จะต้องเกิดขึ้น ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ คุณ ผู้อื่น
24 25 ความกล้าหาญ พระคริสต์ทรงทราบว่าการทนทุกข์ของ พระองค์นั้นหนักหนาสากรรจ์แต่พระองค์ก็ทรงเผชิญอย่าง กล้าหาญ (ลก.9:51) เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างเรากับคนอื่น ใจเรามักไม่กล้าพอที่จะเผชิญกับปัญหาเพราะกลัวจะเจ็บปวด แม้ว่าเราจะต้องทนทุกข์แต่เราก็ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อ ไปอย่างกล้าหาญ ความมั่นใจ พระเยซูทรงมอบพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ พระบิดาเจ้า แม้ว่าพระองค์ต้องเจอกับความทนทุกข์ทรมาน ทั้งปวง (1ปต.2:23) การต้องรับสภาพนี้คงเป็นเรื่องยากมากที เดียวสำหรับเรา อย่างไรก็ตามวิธีนี้คือกุญแจที่จะก่อให้เกิดสิ่ง ดีจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเรามั่นใจในพระเจ้า พระองค์ไม่เพียงทำให้เราเข้มแข็ง แต่พระองค์ทรงช่วยให้เกิด ผลดีแก่เราในทุกสิ่ง (รม.8:28) ความเห็นอกเห็นใจ พระเยซูทรงเข้าใจถึงความทุกข์ใจ อย่างมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี(อสย.53:3-4) ความเข้าใจและ ความเห็นอกเห็นใจที่พระองค์แสดงออกนั้น ดึงดูดผู้คนที่อยาก จะกลับคืนดีกับพระเจ้า ในทำนองเดียวกันหากเรารับฟัง ปัญหาและความปวดร้าวใจของคนที่ห่างเหินจากเรา เราก็จะ สามารถมีอิทธิพลต่อเขาได้มากทีเดียว พวกเขาอาจยอมรับเรา หากพวกเขาได้สังเกตว่าเราก็รู้สึกเจ็บปวด เมื่อพวกเขาเจ็บ ปวด เปาโลกล่าวว่า “จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้ พร อย่าแช่งด่าเลย จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดีจง
26 27 ร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้” (รม.12:14-15) ไม่มีใครสนใจหรอกว่าคุณจะรู้มากแค่ไหน จนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าคุณสนใจเขามากเพียงใด - จอห์น แคสซิส ความอดทน พระคริสต์เผชิญหน้ากับความทุกข์ด้วย ความอดทนอดกลั้นอย่างเหลือล้น และเราก็ต้องเป็นเช่นนั้น ด้วย (ฮบ. 12:1-3) การทนทุกข์เพราะผู้อื่นที่เป็นต้นเหตุนั้นก็ ยากที่จะยอมรับได้โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่แตกร้าว โดย ธรรมชาติแล้วเรามักจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากการถูก วิพากษ์วิจารณ์การถูกเข้าใจผิด และถูกปฏิเสธ แต่หากจะให้ ความขัดแย้งระหว่างบุคคลคลี่คลายได้เราก็ต้องยอมทน ความเจ็บปวดในกระบวนการนี้ให้ได้ไม่มีใครชอบความเจ็บ ปวด แต่ก็คุ้มค่าหากจะทำให้มิตรภาพที่เคยมีกลับมาอีกครั้ง หรือได้ประสานรอยร้าวในชีวิตสมรสที่พังทลาย ใช่แล้ว การแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเป็นกระบวน การที่เจ็บปวด แต่หากเราพร้อมที่จะรับความเจ็บปวด การ รื้อฟื้นความสัมพันธ์นั้นเป็นไปได้ คิดทบทวน ความทุกข์นี้เริ่มขึ้นที่ไหนและเพราะเหตุใด จึงเกิดขึ้น (ดู ปฐก.3) ความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริงที่ แสดงออกสามารถทลายปราการแห่งความขมขื่นและความ “ ”
26 27 เกลียดชังได้อย่างไร คุณจำได้ไหมว่าคุณเต็มใจทนทุกข์ อย่างไรบ้างเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวให้กลับดี ขั้นที่ 4 : ชวนมาคืนดีกัน “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อท่าน จงไปแจ้งความผิด บาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) เมื่อเราขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากที่สุดก็ คือนั่งลงและพูดกันให้เข้าใจอย่างสงบ การหลบหน้ากันหรือ การระเบิดโทสะใส่กัน ย่อมง่ายกว่าการพูดคุยกันเงียบๆถึง ความเห็นที่แตกต่างกันเรามักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน เพราะความอาย ความกลัว และแม้แต่ความโกรธ แต่หาก ตั้งใจจะแก้ไขความสัมพันธ์ให้ดีจริงๆ เราก็จำเป็นต้องทำอย่าง นี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความขัดแย้ง เราต้องชวนอีกฝ่ายมาคุย กันในเรื่องนั้นๆว่าจะแก้ไขความไม่ลงรอยนี้ได้อย่างไร พระบัญชา การเชิญชวนให้มาคืนดีกันนั้น เป็นการ แสดงออกถึงการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า พระเยซูสอน ว่าวิธีที่ถูกต้องที่จะยุติการถกเถียงนั้นก็คือ การให้แต่ละคนมา ร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ว่าเราจะเจตนาล่วงเกินเขาหรือเขาเป็น ฝ่ายล่วงเกินเรา ความรับผิดชอบของเราก็คือไปหาเขาแล้ว แก้ไขปัญหา เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะให้ความร่วมมือ แต่ ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ การ เชิญชวน คุณ ผู้อื่น
28 29 พระเจ้าสอนเราให้ทำเช่นนั้น เราไม่มีทางเลือกอื่นใดที่เหมาะ สมไปกว่าการเชื่อฟังพระองค์ ต้องมีความซื่อตรง การพบกันหน้าต่อหน้าจะไร้ความ หมายหากเราไม่พูดกันอย่างเปิดเผย และจริงใจ หากใครทำ ผิดต่อเรา เราต้องบอกเขา หากเราเจ็บปวดหรือโกรธเคืองเราก็ ต้องพูด อย่างไรก็ดีเราไม่ควรจะพูดหรือจะบอกเพราะอยาก เถียงหรือแก้แค้น แต่เราควรให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรามีเจตนาบริสุทธิ์ ที่จะแก้ไขปัญหาระหว่างกันจริงๆ ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหามักจะเลวร้ายลง หากปัญหานั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เราต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ขอให้พูดกันเป็นการ ส่วนตัวกับคนที่ผิดเท่านั้น วิธีนี้ป้องกันไม่ให้เกิดการลอบกัด การทำลายชื่อเสียงและการนินทา อีกทั้งยังปกป้องชื่อเสียง ของทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย การไม่ทำให้เรื่องราวแพร่ไป ถือว่า เราให้ความนับถือและการทำเช่นนี้ยังอาจส่งผลให้คนคนนั้น ให้ความร่วมมือด้วยอย่างดีก็เป็นได้ หากใครทำผิดต่อเรา เราต้องบอกเขา หากเราเจ็บปวดหรือโกรธเคือง เราต้องพูด “ ”
28 29 ถึงเวลาของผู้ไกล่เกลี่ย การเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว กับอีกฝ่ายหนึ่งอาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มธ.18:16 กล่าวว่า หากการเผชิญหน้ากันตามลำพังนั้นล้มเหลว เราควรขอความ ช่วยเหลือจากผู้อื่น สติปัญญาและอิทธิพลของคนนอกอาจ เป็นประโยชน์และแม้ว่าปัญหาจะยังคงอยู่ พวกเขาก็จะช่วย เป็นพยาน ซึ่งจะกันไม่ให้เรื่องราวที่พูดคุยกันถูกสื่อผิดเพี้ยนไป ดังนั้นหากเราไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะได้รับความช่วย เหลือจากผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว ขั้นต่อไปคือพาเขาไปคุยต่อหน้า คริสตจักร ดังนั้นเมื่อเราขัดเคืองใจกับผู้อื่น เราจะต้องชวนพวกเขา ให้มาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้และแก้ไขปัญหาร่วมกับเขา คิดทบทวน ครั้งสุดท้ายที่คุณนั่งลงคุยกับคู่กรณีให้ทะลุ ปรุโปร่งถึงเรื่องคาใจที่ทำให้คุณห่างเหินกันคือเมื่อไหร่ เพราะ เหตุใดเมื่อต้องเผชิญหน้าอีกฝ่ายจึงยากนักที่จะพูดตรงๆ เพราะเหตุใดการหาคนเข้าข้าง ง่ายกว่าคนไกล่เกลี่ยที่เชื่อฟัง พระเจ้า หากคุณรู้ว่าคนสองคนแตกแยกกัน คุณจะช่วยไกล่ เกลี่ยปัญหาอย่างไร
30 31 ขั้นที่ : 5 ให้อภัย “...และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”(อฟ.4:32) ครูรวีฯท่านหนึ่งกำลังอธิบาย เรื่องการให้อภัยให้กับนักเรียนชั้นเด็กเล็กฟัง เธอกล่าวว่าหาก นักเรียนถูกเพื่อนร่วมชั้นแกล้ง นักเรียนต้องมีเมตตาตอบ และ หากคนที่แกล้งนั้นกล่าวขอโทษ ก็ไม่ควรจะไปเอาผิดกับเขาอีก นักเรียนในชั้นมองหน้ากันไปมาด้วยความสงสัย จนในที่สุด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งโพล่งออกมาว่า “แต่ครูคะ มันยาก จัง” หนูน้อยพูดถูก เป็นเรื่องยากสำหรับเราทุกคน แต่ความ สัมพันธ์ที่แตกร้าวจะไม่อาจฟื้นคืนได้หากเราไม่พร้อมที่จะทำ สิ่งที่ยาก เราต้องเต็มใจที่จะยอมรับคนที่ทำร้ายเราและอภัยให้ กันและกัน อย่างที่พระเจ้าทรงอภัยให้เรา แต่เราจะมีท่าทีตอบ สนองต่อผู้อื่นอย่างไร เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการให้อภัย ของพระเจ้า การให้อภัยอันเที่ยงธรรม หมายความว่าการให้อภัย ของเราต้องเป็นเช่นเดียวกับการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคือ ไม่ใช่ การมองข้ามหรือยกเว้นความผิดของผู้อื่น แต่เป็นการผดุงไว้ ซึ่งความยุติธรรม เป็นการรับรู้ถึงความผิดที่คนเราทำต่อกัน และการลงโทษที่ถูกต้องสมควร ทั้งยังเป็นการตระหนักด้วยว่า ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ การ เชิญชวน การ ให้อภัย คุณ ผู้อื่น
30 31 เพราะพระเยซูได้ทรงยอมรับโทษทัณฑ์แล้ว เราจึงมีอิสระเต็มที่ ที่จะให้อภัย โดยไม่สวนทางกับหลักการเรื่องการลงโทษอย่าง ยุติธรรม จริงอยู่ ที่คนเราอาจทำร้ายจิตใจกันไปแล้ว แต่พระ เยซูได้ทรงจ่ายค่าไถ่สำหรับการกระทำเหล่านั้นหมดแล้ว ดัง นั้นการให้อภัยกันและกันจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การให้อภัยที่มีข้อแม้ดังเช่นที่พระเจ้าได้ทรงอภัยให้เรา เราก็ต้องเต็มใจให้อภัยกันและกันทุกครั้งไป แต่การให้อภัยนั้น จะไม่สมบูรณ์หากคนที่ทำร้ายเรานั้นไม่เต็มใจที่จะกลับใจ พระเยซูสอนว่า ถ้าพี่น้องผิดต่อท่าน จงเตือนเขา และถ้าเขากลับใจแล้ว จงยกโทษให้เขา แม้เขาจะผิดต่อท่านวันหนึ่งเจ็ดหน และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนนั้น แล้วว่า “ฉันกลับใจ แล้ว” จงยกโทษให้เขาเถิด (ลก.17:3-4) ต้องมีการยอมรับผิดอย่างแท้จริงและมีความพยายาม อย่างจริงจังที่จะเจรจาแก้ไขกับคนที่ทำผิด มิฉะนั้นความ สัมพันธ์ก็ไม่อาจดีดังเดิมได้ การให้อภัยที่เกิดจากการตัดสินใจ หมายความว่าเรา ต้องเลือกที่จะยกโทษทั้งๆที่ขัดกับความรู้สึกของเรา พระคัมภีร์ กล่าวว่าแม้พระเจ้าจะทรงเสียพระทัยและพิโรธเพราะความ บาปของเรา (สดด.7:11) แต่พระองค์ก็ทรงเลือกที่จะให้อภัย (อฟ.4:32) และเราก็ต้องทำเช่นนี้ต่อกันด้วย โดยไม่มัวแต่คำนึง ถึงความรู้สึกของเราเอง เราต้องเลือกที่จะยกโทษที่มีคนพูด
32 33 หรือทำไม่ดีต่อเรา เราต้องเลือกที่จะยกโทษ ทั้งๆที่ขัดกับความรู้สึกของเรา การให้อภัยทางอารมณ์แม้ว่าเราต้องให้อภัยทั้งๆที่ไม่ อยาก แต่เราก็ควรพยายามอย่างยิ่งที่จะมีความรู้สึกที่สอด คล้องกับการให้อภัย หมายความว่าการอภัยให้กันมิใช่อาศัย เพียงความตั้งใจจริงเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงท่าทีในใจด้วย เปาโลชี้ให้เห็นความสำคัญนี้ในจดหมายที่ส่งถึงคริสตจักร เมืองโคโลสีท่านกล่าวว่า เราควรสวมใจเมตตาต่อผู้อื่น อีกทั้ง มีใจปรานีใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน เราควร อดทนซึ่งกันและกันยก โทษคำบ่นของกันและกัน (คส.3:12- 13) อุดมคติเหล่านี้ไม่ง่ายเลยที่จะนำไปปฏิบัติเมื่อมีคนมา ทำให้เราเจ็บใจ และดูถูกเหยียดหยามเรา แต่เราสามารถตอบ สนองอย่างเหมาะสมได้หากเรายอมให้พระเจ้าทรงควบคุมใจ ของเรา ผลแห่งพระวิญญาณที่เป็นแรงผลักดันของเปาโลเป็น ถึงท่าทีที่ถูกต้อง ฝ่ายผลของวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานีความดีความสัตย์ ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ “ ”
32 33 ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ เอาเนื้อหนังกับความอยากและตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ ที่กางเขนแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ ก็จงดำเนิน ชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน อย่าอิจฉาริษยากันเลย (กท.5:22-26) หากเราปรารถนาจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วย ชีวิตของเราจริง ๆล่ะก็เราต้องให้พระวิญญาณของพระองค์ ทำงานในตัวเรา เพื่อให้การให้อภัยของเราเป็นการให้อภัยที่มา จากใจ คิดทบทวน เมื่อมีคนขอให้คุณยกโทษให้คุณคิดว่าเป็น เรื่องยากที่จะอภัยให้หรือไม่ เพราะเหตุใด เราทำถูกหรือไม่ที่ ไม่ยอมให้อภัยคนที่ไม่สำนึกผิด การที่เราไม่ยอมให้อภัยเป็น อุปสรรคอย่างไรต่อความสัมพันธ์ของเรากับ พระเจ้า แบบแผนของพระเจ้า/การปฏิบัติของเรา อาจ ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้แต่มีเรื่องแบบนี้จริง ๆ คือ หลายคนเลือกที่จะละเลยไม่ประสานความสัมพันธ์ ที่แตกร้าวตามวิธีของพระเจ้า เพราะจริงๆแล้วพวก เขาชอบความขัดแย้ง มีคนพูดด้วยซ้ำว่า “ฉันชอบ เกมการต่อสู้ที่สูสีมันทำให้ชีวิตน่าสนใจ” บางคน พระเจ้า ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ การ เชิญชวน การ ให้อภัย ความรัก ความ ถ่อมใจ การ ทนทุกข์ การ เชิญชวน การ ให้อภัย คุณ ผู้อื่น
34 35 ไม่อยากทำตัวดีกับเพื่อนบ้านที่รั้วติดกัน องค์กรธุรกิจต่างๆยัง คงต่อสู้เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือดเพื่อไปสู่ความสำเร็จ สมาชิก คริสตจักรบางคนจะรู้สึกว่าชีวิตของตนได้รับการทรงเรียกให้ เริ่มก่อปัญหาเวลาประชุมเรื่องพันธกิจ พระคัมภีร์บอกเราถึง เหตุผลที่เกิดท่าทีที่ผิดๆเหล่านี้ในจิตใจผู้คน ยากอบกล่าวว่า “อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการ ทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือที่ ทำให้ท่านต่อสู้กัน” (ยก.4:1) ในทางตรงกันข้าม วิถีทางของพระเจ้าเป็นทางที่ไม่เห็น แก่ตัว เมื่อพระองค์ทรงพยายามคืนดีกับเรา พระ องค์ทรงวาง แบบอย่างของความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์การเชิญ ชวนและการให้อภัยไว้หากเรารับพระคุณนี้แต่กลับปฏิเสธที่ จะแสดงน้ำใจอย่างเดียวกันต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา ก็ถือว่าเราไม่รู้ พระคุณอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากคุณตระหนักความจริงว่า พระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อ คุณบ้าง ก็ขอให้คุณอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยตั้งใจดำเนินตามแบบ อย่างของพระเจ้า แล้วถ้ายังไม่ได้ผลเล่า พระเจ้ามิได้ขอให้เรารับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น แต่ พระองค์เรียกร้องให้เรารับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำและวิธีที่เรา
34 35 ดำเนินชีวิตคริสเตียน เรามีหน้าที่ที่ต้องเลียนแบบพระบิดาใน สวรรค์และก้าวเดินตามขั้นตอนที่ทรงวางแบบอย่างไว้หากเรา พยายามอย่างแท้จริงที่จะทำตามนี้แต่ปัญหาก็ยังไม่คลี่คลาย แล้วล่ะก็คุณควรพิจารณาข้อแนะนำต่อไปนี้ อย่าโทษตัวเอง ผู้เขียนสดุดีได้เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าพัก อยู่ท่ามกลางผู้เกลียดศานตินานจนเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าชอบ ศานติแต่เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาหนุนสงคราม” (สดด.120:6-7) คุณรู้หรือไม่ว่าความโกรธของเขามาจากสิ่งใด บางครั้งดู เหมือนว่าคุณได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เพื่อสร้างสันติ แต่อีกฝ่ายยังรังควานคุณไม่เลิกและหาเรื่องคุณตลอด ถ้าเป็น เช่นนั้น คุณต้องทำเท่าที่คุณทำได้แล้วฝากที่เหลือไว้กับ พระเจ้า เมื่อความสัมพันธ์แตกร้าว ทั้งสองฝ่ายต้องเต็มใจที่จะ ฟื้นความสัมพันธ์แต่ก็มักจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป บ่อยครั้ง ที่ฝ่ายหนึ่งพยายามแก้ไข แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมร่วมมือ เหมือนที่ผู้เขียนสดุดีบอกไว้ว่า เราใฝ่หาศานติแต่ “พวกเขาใฝ่ หาสงคราม” ฉะนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เป็นของเขา ท่าทีของพวกเขาขัดขวางกระบวนการคืนดีอาจเป็นเพราะ ความขมขื่น ความกลัว ความโกรธ ความอาย ความเสียใจ หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ก็เป็นความ ผิดของเขามิใช่เรา หากเราได้พยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่ ความสัมพันธ์ก็ยังร้าวฉานอยู่อย่างนั้น พวกเขาจะต้องตอบ
36 37 คำถามกับพระเจ้าในเรื่องนี้เอง วางใจให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายหนึ่ง เปาโล เขียนคำแนะนำถึงทิโมธีดังต่อไปนี้“ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องไม่เป็นคนที่ชอบทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะ สมและมีความอดทน ชี้แจงให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ ว่าพระเจ้า อาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจและมาถึงซึ่งความจริง” (2ทธ.2:24-25) เรา ต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตามคำแนะนำนี้เมื่อเราถูกผู้อื่น ต่อต้าน เราไม่ควรเป็นฝ่ายชวนทะเลาะ แต่เราควรจะสุภาพ อ่อนโยนและอดทน เราควรพูดกับเขาอย่างนุ่มนวลและมี มารยาท และแม้ว่าความพยายามของเราจะไม่ทำให้เกิดอะไร ขึ้นเลย แต่พระเจ้าจะทรงสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีและ พฤติกรรมของพวกเขาได้ พระเจ้ามิได้เรียกร้อง ให้เรารับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเรียกร้องให้เรารับผิดชอบ ต่อสิ่งที่เราทำและวิธีที่เราทำ ฉะนั้น เราควรมีกำลังใจ เราอาจล้มเหลวในครั้งแรก แต่คงไม่เป็นอย่างนั้นในระยะยาว เราต้องอดทนและอธิษฐาน เผื่อเขา เราต้องวางใจให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขา ขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม บางครั้งก็ต้องอาศัย คนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้คืนดีกัน ขณะที่เปาโลถูกจำ “ ”
36 37 คุกท่านได้ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างคนรับใช้ที่ชื่อ โอเนสิมัส กับเจ้านายที่ชื่อฟีเลโมน เห็นได้ชัดว่าคนรับใช้เป็นฝ่ายผิดและ ทิ้งนายไป ต่อมาไม่นานโอเนสิมัสได้พบกับเปาโลและมาเป็น คริสเตียน เปาโลจึงเขียนจดหมายถึงฟีเลโมนเพื่อเล่าถึงสิ่งที่ เกิดขึ้น เปาโลขอร้องให้ฟีเลโมนยอมรับโอเนสิมัสอีกครั้ง ไม่ใช่ ในฐานะคนรับใช้แต่ในฐานะพี่น้องคริสเตียนโดยการสำแดง ความรักแบบคริสเตียนอันน่าอัศจรรย์เปาโลยังออกตัวด้วยว่า จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่โอเนสิมัสเคยกระทำต่อ ฟีเลโมน (ฟม.16-18) เช่นเดียวกับฟีเลโมนและโอเนสิมัส เราอาจต้องการคน ไกล่เกลี่ยให้เช่นกัน บุคคลผู้นั้นควรเป็นคนที่รับใช้พระเจ้า มี สติปัญญา และมีความรัก ควรเป็นผู้ที่เข้าใจเราและสถานการณ์ยุติธรรมและไม่มีอคติในการตัดสินความ และเหนือสิ่ง อื่นใด ต้องเป็นคนไวต่อการทรงนำของพระเจ้า คนกลางอาจ เป็นศิษยาภิบาล ที่ปรึกษาหรือเพื่อนที่ไว้วางใจได้ซึ่งสามารถ ช่วยได้หากเราฟื้นความสัมพันธ์ไม่สำเร็จ รักเขาโดยไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าเราไม่อาจแก้ไขสาเหตุของ ปัญหาระหว่างเรากับเขาได้แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องรักเขา เรา ควรปรารถนาที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างเหมาะสม ไม่ว่าเขาจะ รู้สึกหรือทำกับเราอย่างไร ใน 1โครินธ์.13:4-7 เปาโลบรรยายถึงลักษณะของ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขไว้ดังนี้“ความรักนั้นก็อดทนนานและ
38 39 กระทำคุณให้ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่าง จดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชม ยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความ ผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความ หวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำลายศัตรูก็คือ ทำให้เขาเป็นมิตรของคุณเสีย - อับราฮัม ลินคอล์น เราควรจะอดทน ต้องอาศัยสติที่ตั้งมั่นและบ่อยครั้ง ต้องอาศัยความพยายามอันยากยิ่งที่จะไม่ตอบโต้แบบทัน ควัน เราควรฝึกให้ตนเองสามารถตอบสนองแบบพระคริสต์ เมื่อผู้อื่นทำผิดต่อเรา เราควรจะกระทำคุณให้หากเราเลือกที่จะแสดงความ เมตตาอารีเราก็จะสามารถตอบแทนการกระทำที่ร้ายกาจได้ ด้วยความดีศัตรูของเราจะแทบล้มลงเสียหลักเพราะเรา ตอบโต้อย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ เราไม่ควรอิจฉา เมื่อศัตรูของเราประสบความสำเร็จ เราไม่ควรอิจฉาความโชคดีของเขา แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ สมควรได้รับสิ่งที่กำลังได้รับ แต่เราก็ต้องมอบจำนนตัวเราต่อ “ ”
38 39 พระเจ้า เราไม่ควรอวดตัว คำพูดใดก็ตามที่อวดคุณค่าตัวเรา อย่างผิดๆเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าคนที่ปฏิเสธเรา ล้วนเป็นคำพูด ที่ไม่เหมาะสม เราไม่ควรหยิ่งผยอง ความหยิ่งสร้างปราการขัดขวาง การแก้ไขความขัดแย้ง ทำให้เราไม่ยอมเสียสละตัวเอง ซึ่ง จำเป็นต้องมีหากเราจะซ่อมแซมมิตรภาพที่ขาดวิ่น เราไม่ควรหยาบคาย แน่นอนทีเดียวที่คุณย่อมไม่ดับ ไฟโดยการราดน้ำมันลงบนไฟ ในทำนองเดียวกัน คุณก็ไม่อาจ สงบความโกรธได้ด้วยวาจาเผ็ดร้อนเช่นกัน แม้เราจะเจ็บใจ เพียงไหนก็ตาม แต่คำพูดท่ี่ดูหมิ่นหรือไม่เกรงใจก็ล้วนแต่ไม่ เหมาะทั้งนั้น เราไม่ควรคิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เราต้องไม่ คำนึงถึงแต่ความปรารถนาและความจำเป็นของตนแต่ฝ่าย เดียว เราต้องฝึกตัวเองให้สนใจคนที่ขัดแย้งกับเราเท่าๆกับที่ เราใส่ใจตนเอง เราไม่ควรฉุนเฉียว เมื่อมีคนทำให้เราขุ่นเคืองใจ เรา พูดโพล่งโดยไม่คิดหรือเปล่า พระเจ้าไม่พอพระทัยการกระทำ นี้คนประเภท “เลือดร้อน” ต้องเรียนรู้ที่จะหยุดตัวเองก่อนที่จะ พูดอะไรออกไป เราไม่ควรช่างจดจำความผิด หากเราไม่จดจำความ ผิดที่เขาทำกับเรา ก็จะไม่เกิดความปรารถนาที่จะแก้แค้นคนที่
40 41 ทำร้ายเรา เราไม่ควรชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด เมื่อ ฝ่ายตรงข้ามต้องทนทุกข์เพราะความตกต่ำหรือความอยุติ ธรรมใดๆเราต้องไม่รู้สึกสะใจกับความทุกข์ของเขา เราควรชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบอยู่เสมอ เมื่อมีคนเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าและตอบสนองต่อปัญหา อย่างเหมาะสม เราก็ควรสรรเสริญพระเจ้าและชื่นชมยินดี เราควรทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น หาก เราจริงใจต่อคนที่เราขัดเคืองด้วย เราก็จะไม่กระจาย “เรื่องน่า อาย”ของเขาให้ทุกคนรู้ เราควรเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ แทนที่จะมา คาดเดาว่าเขาจะทำอะไรร้ายๆอีก หรือระแวงคนที่ปฏิเสธเรา ความรักจะช่วยละลายความคลางแคลง เราควรมีความหวังอยู่เสมอ ความรักทำให้มองโลก ในแง่ดีว่า เป็นไปได้ที่จะคืนดีกัน จงคาดหวังความเปลี่ยน แปลงในแง่บวกเสมอ หากคุณกำลังทนทุกข์เพราะความอยุติธรรมของคนเลว จงให้อภัยเขาเสีย มิฉะนั้นก็จะมีคนเลวถึงสองคน - ออกัสติน “ ”
40 41 เราควรทนต่อทุกอย่าง ความรักทนได้เมื่อหนทางไม่ ราบรื่น หมายความถึงท่าทีอันเสมอต้นเสมอปลายต่อผู้ที่เรามี ปัญหาด้วยเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะอยู่อย่างสันติกับเรา เราก็ยัง ต้องรักพวกเขาเช่นเดิม แม้ว่าเราอาจพยายามแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกร้าว แล้วแต่ไม่ประสบผล คำแนะนำเหล่านี้ก็ยังช่วยได้เราไม่ควร ยอมแพ้พระเจ้าทรงอดทนกับคนบาป โดยหวังว่าทุกคนจะ หวนกลับมาสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์เราต้องทำ ตาม อย่างพระองค์โดยยอมเปิดประตูใจยอมรับการคืนดีและ ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วคอยดูสิ่งที่เกิดขึ้น การดูแลทะนุถนอมความสัมพันธ์ แท้จริงแล้ว ไม่มีใครอยากจะเจ็บปวดและอับอาย เพราะความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว เราอยากให้ทุกสิ่งระหว่างเรา กับผู้อื่นเป็นไปได้ด้วยดีมากกว่า แต่การรักษาความสัมพันธ์ที่ ดีไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความจริงแล้ว ต้องอาศัยความพยายาม อย่างเต็มที่จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หากเราได้ดำเนินตามขั้น ตอนที่จำเป็น ก็จะช่วยเสริมสร้างให้ความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่ มั่นคงยิ่งขึ้น การพูดเปิดอก เป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะแสดงความ
42 43 คิดเห็นและความรู้สึกต่อกันอย่างเป็นอิสระและสม่ำเสมอ เมื่อ เราทำแล้วเราจะเข้าใจกันมากขึ้นรู้จักกันดีขึ้นและตอบสนอง ต่อกันอย่างเหมาะสมมากขึ้น สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา พระคัมภีร์สอนให้เรา กำจัดการหลอกลวงและการตีสองหน้าทุกอย่าง(1ปต.2:1) ทั้ง ยังบอกอีกด้วยว่าเราไม่ควรโกหกกัน (คส.3:9) ฉะนั้นเราจึงควร ซื่อสัตย์ในทุกสิ่งที่เราทำและพูด เพื่อให้เราไว้ใจกันและกันได้ และเชื่อมเราให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ให้เกียรติกันและกัน การที่ผู้อื่นเชื่อมั่นในตัวเราเป็น รากฐานของการเป็นบุคคลที่สมบูรณ์เราจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง หากคนอื่นคิดว่าเราไม่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ที่เพื่อนๆและบุคคล อันเป็นที่รักซึ่งเป็นห่วงสนใจเราจึงสำคัญนัก เพราะพวกเขา ช่วยย้ำคุณค่าในตัวเรา เมื่อต่างฝ่ายต่างให้เกียรติซึ่งกันและ กัน เราจะตอบสนองต่อกันด้วยการยอมรับอันอบอุ่นและการ ยอมรับนี้จะคงอยู่ต่อไปตราบเท่าที่เรายังคงให้เกียรติกันและ กัน (รม.12:10) ดับความโกรธของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า “จะโกรธก็โกรธ ได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่” (อฟ.4:26) เราควร จะระงับความโกรธของเราให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่จะ สิ้นวัน เราควรจะไปพบคนที่ล่วงเกินเราและจัดการสะสางเรื่อง ราวเสีย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น แต่ปัญหาจะ ถูกสะสางไปก่อนที่มันจะทันโตด้วย
42 43 บุคคลที่ไม่อาจอภัยให้คนอื่น ก็ได้ทำลาย สะพานที่ตัวเองจะต้องข้าม - จอร์จ เฮอร์เบิร์ท จงอดทน เราต้องมองข้ามความบกพร่องของกันและ กัน พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าเราต้องอดทนไม่ถือโทษโกรธกัน (คส.3:13) ไม่มีใครอยู่นอกกฎนี้เราทุกคนก็ต่างมีนิสัยที่เป็นจุด อ่อน แทนที่จะตัดสินผู้อื่นและช่างวิพากษ์วิจารณ์เราควรจะ ถ่อมใจและอดทน การกระทำเช่นนั้นจะช่วยรักษาความ สัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น ช่วยแก้ปัญหาของกันและกัน เราต้องยอมรับว่าเรา ต้องการกันและกัน โดยเฉพาะยามที่เรามีปัญหา เป็นความ จริงที่เราแต่ละคนต่างมีความรับผิดชอบที่จะแก้ไขปัญหาของ ตนเอง แต่ก็มีบางเวลาที่เราต่างก็ปรารถนาความช่วยเหลือ ของเพื่อน ความจริงแล้วพระคัมภีร์บอกเราว่าเราควรจะร่วม แบกภาระของกันและกัน หากเราทำเช่นนี้ก็ถือว่าเราปฏิบัติ ตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า (กท.6:2) เมื่อเราเล่าปัญหา ให้กันฟัง เราก็ได้แสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจที่่จะทำให้ความ สัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “ว่ากันต่อ หน้าดีกว่ารักกันลับๆ”(สภษ.27:5) เราอาจจะลังเลที่จะเผชิญ “ ”
44 45 หน้ากับคนอื่นเมื่อต้องพูดถึงความผิดของเขา แต่การที่จะพูด อะไรบางอย่างกับเขาย่อมเป็นการแสดงความรักมากกว่า ดี กว่าเงียบไว้แล้วปล่อยให้ทำเช่นนั้นต่อไป คำวิจารณ์ที่จริงใจ และหวังดีให้ผลดีแก่อีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าการวิจารณ์แบบนี้จะเจ็บปวด แต่ก็เป็นความเจ็บ ปวดที่มาจากมิตรภาพ เมื่อเราช่วยกันและกันแบบนี้เรากำลัง แสดงให้เห็นว่า เราใส่ใจจริงๆการวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ช่วยให้ เราเป็นคนที่ดีขึ้น แล้วผลที่ตามมาก็คือความสัมพันธ์ของเราก็ พัฒนาขึ้น รับใช้กันและกัน แทนที่เราจะถามว่าเราจะได้อะไร เรา ควรจะถามว่าเราจะให้อะไรได้บ้าง แทนที่จะขวนขวายทำให้ ตัวเองพอใจ เราควรขวนขวายทำให้คนอื่นพอใจ (รม.15:2) ท่าทีเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าความเห็นแก่ตัวมีแต่จะทำลาย มิตรภาพ แต่การเสียสละตนเองจะช่วยเสริมสร้าง เมื่อเรารับใช้ กันและกัน ความสัมพันธ์ของเราก็จะได้รับการใส่ใจดูแลและ ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ ถูกต้อง ที่กระบวนการการดูแลทะนุถนอมเหล่านี้เป็น สิ่งสำคัญมาก หากเราทำตามอย่างสัตย์ซื่อ ก็จะช่วยให้ความ สัมพันธ์แน่นแฟ้น
44 45 กรณีศึกษา : คนที่เคยลองมาแล้ว หลักการที่ได้ให้ไว้ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี ที่ฟังดูดีความจริงเหล่านี้ในพระคัมภีร์เกิดผลจริงในชีวิต และ ทุกคนที่เต็มใจจะลองดูก็นำหลักการเหล่านี้ไปใช้ได้ มีการตั้งคำถามผู้คนหลากหลายสถานภาพว่าเคย ประสบกับความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวหรือไม่ และพวกเขาได้ทำ อะไรเพื่อแก้ไขบ้าง ต่อไปนี้คือคำตอบของพวกเขา หากอาศัย หลักการในหนังสือเล่มนี้คุณคิดอย่างไรกับคำตอบของพวก เขา สามีภรรยา “มีบางครั้งที่เราคิดว่าชีวิตการแต่งงานของ เราไม่ยั่งยืน ความจริงแล้วมีครั้งหนึ่งที่ความสัมพันธ์ของเราถึง ขั้นแตกหักเลยทีเดียว เริ่มด้วยคำพูดที่รุนแรง แล้วก็เลิกพูดกัน ไปเลย เราใช้เวลาหลายวันสมานแผลใจและไม่สนใจกันและ กัน ในที่สุดเราก็ช่วยกันสมานรอยร้าว เดี๋ยวนี้เราไม่เถียงกัน บ่อยแล้ว เพราะไม่คุ้มกันกับความเจ็บปวดที่ได้รับ” วัยรุ่น “ความสัมพันธ์น่ะหรือ มีใครที่ไหนกันที่ต้องการ ไม่ว่าฉันจะพยายามเท่าไร ฉันก็มักจะทำให้ความสัมพันธ์ของ ฉันกับใครสักคนพังทลาย ถ้าไม่ใช่กับพ่อแม่ ก็กับพี่ๆน้อง ๆ แล้วที่โรงเรียนก็แย่พอกัน ฉันไม่พยายามเข้ากับใครที่นั่นเลย ด้วยซ้ำ แต่ฉันดิ้นรนเพื่อรักษาเพื่อนไม่กี่คนที่มีไว้แม้บางครั้งก็ ทะเลาะกัน แต่ไม่นานนักเราก็คืนดีกัน ฉันว่าคงเป็นเพราะเรา
46 47 รักกันมากจริงๆ” เลขานุการ “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยวิจารณ์ฉันตลอด พอฉันไปคุยกับเธอเรื่องนี้เธอโกรธ แล้วความสัมพันธ์ของเราก็ จบลง ต่อมาเราเจอกันอีกครั้ง แล้วฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ เธอ ไม่เคยขอโทษ แต่เธอเลิกวิจารณ์แม้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันก็ ยังคิดถึงใจเธอและฉันก็บอกเธอไปแบบนั้นด้วย” บุคคลผู้ใดสร้างสันติผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่า พระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร - มัทธิว 5 :9 คนงานในโรงงาน “ฉันว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ฉันก็มีเรื่องอื่นๆให้ต้องกังวล ฉันมีครอบครัวต้องเลี้ยง มีค่า ใช้จ่าย แน่นอนที่ฉันอยากเข้ากันได้กับทุกคน แต่บางครั้งก็ ยากเกินกว่าจะทำได้มีครั้งหนึ่งฉันขัดแย้งกับเจ้านาย เราเถียง กัน แต่ต่อมาฉันก็ขอโทษ เวลาฉันอยู่กับคนอื่น โดยทั่วไปฉันก็ ทำอย่างนี้ฉันพยายามจะทำดีแต่ฉันก็มักจะสนใจธุระตัวเอง มากกว่า” ผู้บริหารบริษัท “แก่นของความสัมพันธ์ทุกแบบคือ ความซื่อสัตย์ถ้าความสัมพันธ์ถูกทำลาย คุณก็ควรทำสิ่งที่ เหมาะสมเพื่อกู้คืนมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้ง อย่างน้อย ก็ไม่ใช่กับฉัน ครั้งหนึ่งฉันตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหาร “ ”
46 47 ซึ่งทำให้หลายคนตีจากฉันไป ฉันพยายามที่จะแก้ปัญหานี้แต่ ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นต้องมีบางสิ่งที่คุณต้องทนอยู่กับมันไป” ประชาชนผู้สูงอายุ“ถ้าคุณอายุมากอย่างฉัน คุณจะ เห็นคุณค่าทุกช่วงเวลาที่คุณอยู่ร่วมกับคนอื่น เพื่อนและ ญาติๆส่วนใหญ่ก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว ฉันจึงทำทุก อย่างที่ทำได้เพื่อจะเข้ากับผู้คน เมื่อก่อนฉันไม่ได้ระมัดระวัง ขนาดนี้แต่ฉันไม่อยากจะมีจุดจบอย่างคนแก่บางคนที่ฉันรู้จัก พวกเขาทำทุกอย่างวุ่นวายไปหมด จนไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย อีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาเหงาและขมขื่น” ก้าวแรก คุณมีความสัมพันธ์ที่แตกร้าวไหม ถ้ามีคุณทำอย่างไร กับความสัมพันธ์นั้น คุณเพิกเฉย ตอบโต้หาประโยชน์จาก สถานการณ์ไปยุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดีพูดมากเกินไป ไม่ใส่ใจ เรื่องเวล่ำเวลาและกาลเทศะ ปกปิดไว้หรือคุณฝังมันไปเลย เหล่านี้คือการกระทำที่ผิด ๆ การกระทำที่ถูกต้องคือ การแก้ไขโดยทำตามขั้นตอนที่พระเจ้าได้ทรงวางแบบไว้ใน พระคริสต์ได้แก่ ความรัก ความถ่อมใจ การทนทุกข์การเชิญ ชวน และการให้อภัย
48 ถ้าคุณเป็นคริสเตียน พระคัมภีร์สอนคุณให้ทำตาม แบบอย่างของพระบิดาในสวรรค์(อฟ.5:1) คุณต้องดำเนินตาม ขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อจะกู้สันติระหว่างคุณและคนอื่นกลับ คืนมา ไม่มีใครที่จะสามารถตอบคุณได้ทุกเรื่อง แต่การทำตาม ขั้นตอนและหลักการจากพระคัมภีร์สามารถสร้างความแตก ต่างได้ หากคุณไม่ใช่คริสเตียน สิ่งแรกที่คุณควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าที่ขาดสะบั้น เพราะการ กระทำที่ไม่เชื่อฟังของคนเพียงคนเดียว มนุษย์ทุกคนถูกแยก ออกจากพระเจ้า (รม.5:12) ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อโลกนี้ พระองค์จึงทรงกระทำสิ่งที่แก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเพราะ ความบาป พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาสู่โลก เพื่อ ช่วยคนบาป (1ทธ.1:15) พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา พระองค์ทรงทำให้เรากลับ คืนดีกับพระเจ้าได้อีก บัดนี้ทุกคนที่ต้อนรับพระองค์ก็ได้รับการ อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไขและเข้าสู่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระ เป็นเจ้า (ยน.1:12) ต้อนรับพระองค์เสียแต่วันนี้และมีความสัมพันธ์ที่ถูก ต้องกับพระเจ้า!จงออกเดินก้าวแรก