The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปริศนาธรรม The New Pilgrim’s Progress จอห์น บันยัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ChristianThai, 2023-08-11 12:12:03

ปริศนาธรรม กนกบรรณสาร

ปริศนาธรรม The New Pilgrim’s Progress จอห์น บันยัน

102 ปริศนาธรรม นายอิจฉาจึงลุกขึ้นพูดว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ผมสาบานว่าผมได้รู้จัก ชายคนนี้มาเป็นเวลานาน และ...” ผู้พิพากษา “เดี๋ยว ให้พยานสาบานตนก่อน” แล้วเขาก็ให้ค�าสัตย์สาบาน จากนั้นเขาบอกว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ชายผู้นี้เป็นคนถ่อยที่สุด ในเมืองของเรา เขาไม่เคารพกษัตริย์ ประชาชน กฎหมาย หรือวัฒนธรรมใดๆ แต่เขาก็ยังพยายามสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้คนทั่วไปประทับใจโดยอาศัย ความทรยศของเขา ซึ่งเขาเรียกมันว่าหลักการแห่งความเชื่อและความบริสุทธิ์ และผมได้ยินเขาพูดว่า ความเชื่อคริสเตียนกับธรรมเนียมในเมืองอนิจจัง ของเรานั้นตรงข้ามกัน และไม่สามารถเข้ากันได้เลย ข้าแต่ศาลที่เคารพ เขา ไม่เพียงแต่ประณามการกระท�าดีของเรา แต่ประณามเราทั้งหลายที่กระท�า สิ่งเหล่านั้นด้วย” ผู้พิพากษา “เจ้าจะพูดอะไรอีกหรือไม่” นายอิจฉา “ข้าแต่ศาลฯ ที่จริงผมมีเรื่องจะพูดอีกมาก แต่ผมไม่อยาก ให้การตัดสินยืดเยื้อออกไป แต่ถ้าพยานทุกคนให้การหมดแล้วและไม่เพียง พอที่จะลงโทษเขา ผมจะขอเป็นพยานเพิ่มเติม” ผู้พิพากษาจึงบอกให้เขาไปนั่งรอยังที่นั่งพยาน แล้วเรียกนายเชื่อผี เชื่อลางขึ้นมาดูหน้าจ�าเลย และถามเขาว่า มีหลักฐานอะไรจะกล่าวหาจ�าเลย เพื่อกษัตริย์ของเรา หลังจากสาบานตัวเสร็จเขาก็เริ่มเบิกความ นายเชื่อผีเชื่อลาง “ข้าแต่ศาลฯ ผมไม่ค่อยรู้จักนายคนนี้ดีนัก และไม่ อยากรู้จักด้วย อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้พูดคุยกับเขาบ้างท�าให้ผมรู้เลยว่า เขาเป็นคนสร้างปัญหา เขาพูดกับผมว่าศาสนาของเรานั้นไม่มีค่าและไม่เป็น ที่พอพระทัยพระเจ้า ท่านคงพอจะทราบว่าการที่เขาพูดเช่นนี้ก็หมายความ ว่าเรานมัสการสิ่งที่ไร้สาระ เรายังคงอยู่ในความบาป และในที่สุดเราต้อง พินาศ นี่คือสิ่งที่ผมจะพูด” แล้วนายประจบประแจงก็ขึ้นมาสาบานตัว ศาลสั่งให้เขาพูดกล่าวหา จ�าเลยในนามของกษัตริย์


ปริศนาธรรม 103 นายประจบประแจง “ข้าแต่ศาลฯ และสุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมรู้จัก ชายผู้นี้มาเป็นเวลานาน และได้ยินเรื่องที่เขาพูดซึ่งไม่สมควรพูด เขาดูถูก กษัตริย์เบเอลเซบูลผู้ทรงสัตย์ของเรา และได้พูดเหยียดหยามสหายผู้มี เกียรติของท่านคือ ท่านลอร์ดมนุษย์เก่า ท่านลอร์ดรักเนื้อหนัง ท่านลอร์ด หรูหรา ท่านลอร์ดปรารถนาชื่อเสียงอนิจจัง และนายเก่าของผม ท่านลอร์ด ราคะ เซอร์ตะกละตะกลาม และผู้มีเกียรติของเราอีกหลายๆ คน ยิ่งกว่านั้น เขาพูดว่า ถ้าทุกคนเชื่อเหมือนอย่างเขา ผู้มีเกียรติเหล่านั้นก็จะไม่ได้อยู่ ในเมืองของเราอีก และที่ส�าคัญเขาพูดต่อต้านท่านอย่างไม่สะทกสะท้าน เลย ข้าแต่ศาลฯ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นถึงผู้พิพากษาของเขา เขายังเรียกท่านว่า จอมวายร้ายและอีกหลายค�าที่ร้ายกาจ เขาได้ใส่ร้ายสุภาพบุรุษของเราเกือบ ทั้งเมือง” เมื่อนายประจบประแจงพูดจบ ผู้พิพากษาก็พูดกับจ�าเลยว่า “เจ้าคน ทิ้งศาสนา คนนอกคอก คนทรยศ เจ้าได้ยินสิ่งที่สุภาพบุรุษผู้จริงใจเหล่านี้ เป็นพยานเกี่ยวกับตัวเจ้าแล้วใช่ไหม” นายสัตย์ซื่อ “ผมขอแก้ข้อกล่าวหาสักหน่อยได้ไหมครับ” ผู้พิพากษา “เจ้าน่ะสมควรตายแล้วนะ แต่เอาเถอะเพื่อเห็นแก่ความ ยุติธรรม ข้าจะลองฟังคนนอกคอกอย่างเจ้าพูดหน่อยก็ได้” นายสัตย์ซื่อ “ประการแรก ผมขอแก้ข้อกล่าวหาของนายอิจฉา ผม ไม่เคยพูดอะไรอย่างที่นายอิจฉากล่าวเลย นอกจากพูดว่าถ้ากฎเกณฑ์ใด กฎหมายใดหรือวัฒนธรรมใดหรือบุคคลผู้ใดที่ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า ก็ย่อมจะอยู่ตรงข้ามกับความเชื่อของคริสเตียน หากผมพูดอะไรผิดไป ผม ก็ขอถอนค�าพูดต่อหน้าท่าน ประการที่สอง สิ่งที่นายเชื่อผีเชื่อลางกล่าวหาผมนั้น ผมพูดแต่ว่า การมีความเชื่อในพระเจ้านั้นจะต้องนมัสการพระเจ้า แต่จะไม่มีความเชื่อ ในพระเจ้าเลยถ้าไม่มีการเปิดเผยน�้าพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่เป็นการ นมัสการแต่ไม่ได้เป็นการส�าแดงจากพระเจ้าก็ถือว่าเป็นความเชื่อของมนุษย์ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดชีวิตนิรันดร์


104 ปริศนาธรรม ตามที่นายประจบประแจงได้พูดไปนั้น ผมขอโทษที่ต้องพูดว่า กษัตริย์ของเมืองนี้และผู้ที่สนองพระราชโองการที่นายประจบประแจง กล่าวถึงนั้น น่าจะอยู่ในนรกมากกว่าอยู่เมืองนี้และประเทศนี้ ดังนั้น... ขอ พระเจ้าทรงเมตตาผม” แล้วผู้พิพากษาก็เรียกคณะลูกขุน ซึ่งยืนฟังและสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ มา “คณะลูกขุนผู้มีเกียรติทุกท่าน ท่านได้เห็นชายผู้ได้สร้างความปั่นป่วน แก่เมืองเราผู้นี้ใช่มั้ย ท่านได้ยินค�าพยานจากประชาชนผู้แสนดีของเราเบิก ความกล่าวหาเขาไปแล้ว และท่านก็ได้ยินสิ่งที่เขาสารภาพแล้ว ทุกท่านต้อง ตัดสินใจว่าจะประหารชีวิตเขาหรือไม่ แต่ก่อนอื่นใด ผมคิดว่าผมควรจะบอก ให้ท่านทราบถึงกฎของเราเสียก่อน มีพระราชบัญญัติตั้งแต่สมัยฟาโรห์มหาราช ผู้เป็นบริวารแห่งกษัตริย์ ของเราบัญญัติไว้ว่า ไม่ควรให้ผู้นับถือศาสนาที่ขัดแย้งกับศาสนาของเรามี จ�านวนมากขึ้นหรือเข้มแข็งขึ้น ดังนั้น ท่านจึงสั่งให้โยนทารกชายของพวกเขา ทิ้งในแม่น�้า นอกจากนี้ยังมีราชบัญญัติสมัยเนบูคัดเนสซาร์มหาราชบริวารแห่ง กษัตริย์ของเราอีกผู้หนึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า ใครก็ตามที่ไม่ก้มหัวสักการะรูปปั้น ทองค�าของพระองค์จะต้องถูกโยนลงในเตาไฟ และมีพระราชบัญญัติออกมาใช้ ในช่วงหนึ่งสมัยดาริอัสว่า ใครก็ตามที่ร้องทูลต่อพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์ จะต้องถูกโยนเข้าไปในถ�้าสิงโต และตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่าเจ้าผู้กบฏคนนี้ได้ ท�าผิดกฎบัญญัติเหล่านี้ไม่เพียงแต่ในความคิด (ซึ่งนั่นก็เลวพออยู่แล้ว) แต่ ยังในค�าพูดและการกระท�าอีกด้วย ซึ่งเราไม่อาจจะทนได้ ในกรณีของฟาโรห์ พระองค์บัญญัติกฎหมายขึ้นเพื่อป้องกันเหตุร้าย โดยที่ยังไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้ก็มีอาชญากรรมเกิดขึ้น แล้ว ส�าหรับกรณีที่สองและสามนั้น ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าเขาต่อต้านศาสนา ของเรา และเขาเองก็สารภาพแล้วว่าเขาได้ทรยศศาสนาของเรา ดังนั้นเขา จึงสมควรตาย”


ปริศนาธรรม 105 จากนั้นคณะลูกขุนผู้มีชื่อว่า นายตาบอด นายไร้ความดี นายชั่วร้าย นายรักตัณหา นายเสรี นายหัวแข็ง นายหัวสูง นายคู่อาฆาต นายหลอกลวง นายหฤโหด นายเกลียดสว่าง และนายไม่ยอมคืนดี ต่างพร้อมใจกันยืนขึ้น แสดงความเห็นของตน จนในที่สุดมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายสัตย์ซื่อมีความผิด นายตาบอดซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่พูดเป็นคนแรกว่า “เห็นชัดๆ ว่าคนนี้เป็น พวกนอกรีต” แล้วนายไร้ความดีก็บอกว่า “ก�าจัดมันออกจากโลกนี้เสียเถอะ” นายชั่วร้ายบอกว่า “เห็นด้วย ผมเกลียดขี้หน้ามันเต็มทน” แล้วนายรักตัณหา ก็บอกว่า “ผมทนไม่ได้เลยจริงๆ” นายเสรีบอกว่า “ฉันก็เหมือนกัน เพราะเขา ชอบประณามฉันอยู่เรื่อย” นายหัวแข็งบอกว่า “แขวนคอมันเสีย” นายหัวสูง บอกว่า “คนอะไรเสียชาติเกิด” นายคู่อาฆาตบอกว่า “ใจฉันยืนกรานที่จะ ต่อต้านมันจนถึงที่สุด” นายหลอกลวงบอกว่า “คนนี้ทุจริตจริงๆ” นายหฤโหด บอกว่า “แขวนคอยังน้อยไป” นายเกลียดสว่างบอกว่า “ก�าจัดเขาซะทีเถอะ” แล้วนายไม่ยอมคืนดีก็พูดขึ้นว่า “แม้จะเอาโลกทั้งโลกมาแลก ฉันก็ยอมรับ เขาไม่ได้ ให้เราน�าตัวคนผิดไปฆ่ากันเถอะ” แล้วพวกเขาก็ท�าตามนั้น นายสัตย์ซื่อถูกลงโทษถึงตายแบบโหดร้ายทารุณที่สุดเท่าที่พวกเขา จะคิดค้นได้ พวกเขาน�าตัวนายสัตย์ซื่อออกมาลงโทษตามกฎหมาย ตอนแรก เฆี่ยนก่อนแล้วก็รุมประชาทัณฑ์ด้วยหมัด ด้วยมีดแล่เนื้อ จากนั้นเอาหินขว้าง แล้วแทงด้วยดาบ สุดท้ายก็มัดตัวนายสัตย์ซื่อไว้ แล้วเผา นายสัตย์ซื่อจึงถึง จุดจบในโลกนี้ ตอนนั้นข้าพเจ้าเห็นรถม้าคันหนึ่งรอรับนายสัตย์ซื่ออยู่ข้างหลังฝูงชน เมื่อเขาสิ้นใจรถม้าคันนั้นก็น�าตัวเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านหมู่เมฆ พร้อมด้วย เสียงแตรจนถึงประตูเมืองบรมสุขเกษม ซึ่งเป็นหนทางสั้นที่สุดที่จะไปถึงสวรรค์


106 ปริศนาธรรม นำยสัตย์ซื่อกล้ำทั้งกำรกระท�ำและค�ำพูด เขำพิสูจน์ให้เรำเห็นควำมสัตย์ซื่อ ผู้พิพำกษำและลูกขุนอยู่ฝ่ำยมำร สั่งประหำรแต่นำยสัตย์ซื่ออยู่นิรันดร์ ส่วนคริสเตียนได้ลดหย่อนโทษไม่ต้องถูกประหารชีวิต แต่ถูกจับ เข้าคุกอยู่ระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามพระเจ้าผู้ทรงครอบครองสรรพสิ่งผู้ทรงมี ฤทธานุภาพเหนือความเดือดดาลของมนุษย์ ได้ท�าให้คริสเตียนหลบหนีจาก พวกเขามาได้และเดินต่อไป ขณะเดินทางต่อ เขาร้องเพลงว่า สัตย์ซื่อ...เพื่อนรัก นำยได้เป็นพยำนถึงควำมสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ำของเรำ นำยต้องได้รับพระพรแน่นอน เจ้ำพวกไร้สัตย์ที่สนุกสนำนกับควำมอนิจจังของเขำ จะได้รับชะตำกรรมในนรก ร้องเพลงเถิด...สัตย์ซื่อ แม้ว่ำคนจะฆ่ำนำยตำย แต่จิตวิญญำณของนำยยังอยู่นิรันดร์


แ ม้ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่งานแสดงสินค้าอนิจจัง แต่คริสเตียนก็ เห็นว่าพระเจ้ากระท�าการของพระองค์ในเหตุการณ์เหล่านั้น ความตาย ของนายสัตย์ซื่อเทิดพระเกียรติพระเจ้าและชนะใจนายมีหวัง นอกจากนี้ พระเจ้ายังยับยั้งคนเหล่านั้นไม่ให้ฆ่าคริสเตียนและปล่อยตัวเขาออกไป ตอนนี้คริสเตียนได้เพื่อนใหม่ บันยันเตือนให้เราร�าลึกว่าการกลับใจ ของทุกคนไม่เหมือนกันหมด และคริสเตียนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ บุคลิกภาพและประสบการณ์ของเขาทั้งสองจะเสริมสร้างซึ่งกันและกันให้ สมบูรณ์ ไม่ใช่มาขัดแย้งกัน ในการเดินทางต่อไปนี้ คริสเตียนและนายมีหวังได้ไปถึงปราสาทพิศวง ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า แม้แต่นักแสวงธรรมที่มีประสบการณ์เช่นสองคนนี้ ยังมีโอกาสที่จะสงสัยและหมดหวังบ้าง บันยันมักจะสงสัยและหมดหวังใน ช่วงที่เขาแสวงหาพระเจ้าและความมั่นใจในความรอด เขาเขียนในหนังสือ “พระพรที่เอ่อล้น” ว่า “ผมพบว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องยาก เพราะความหมดหวัง มักกลืนกินผมเสมอ” บทน�ำสู่ตอนต่อไป


ข้าพเจ้าเห็นในความฝันว่า คริสเตียนไม่ได้เดินทางคนเดียว เพราะ นายมีหวังเดินเคียงคู่มากับเขา หลังจากที่เขาได้ฟังค�าพูดและเห็น การกระท�าของคริสเตียนกับนายสัตย์ซื่อที่ทนทุกข์ทรมานในงานแสดงสินค้านั้น นายมีหวังสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนเขา คนหนึ่งตายเพื่อเป็นพยานถึงความจริง แต่ มีอีกคนหนึ่งก้าวออกมาอยู่ฝ่ายพระเจ้าเนื่องจากเถ้าถ่านนั้น และเป็นเพื่อน ร่วมทางคนใหม่ของคริสเตียน นายมีหวังบอกคริสเตียนว่าภายหลังจะมีอีก หลายคนในงานแสดงสินค้านั้นตามพวกเขามา หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ออกมาจากงานแสดงสินค้าและเดินไล่ทัน อีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่านายเห็นแก่ลาภ ทั้งสองถามเขาว่า “คุณมาจากประเทศ ไหนครับ และจะไปอีกไกลแค่ไหน” เขาบอกว่า เขามาจากเมืองวาจาเสนาะ และจะไปเมืองบรมสุขเกษมแต่ไม่ยอมบอกชื่อ คริสเตียนถามว่า “มาจากเมืองวาจาเสนาะเหรอ มีอะไรดีที่นั่นมั้ย” นายเห็นแก่ลาภ “คงมีมั้ง” คริสเตียน “ฉันจะเรียกคุณว่ายังไงดีล่ะ” ตอนที่ 7


ปริศนาธรรม 109 นายเห็นแก่ลาภ “ฉันเป็นคนแปลกหน้าส�าหรับคุณและคุณก็เป็น คนแปลกหน้าส�าหรับฉัน ถ้าคุณจะร่วมทางไปกับฉัน ฉันก็ยินดี แต่ถ้าคุณ ไม่อยากร่วมทางไปด้วย ฉันก็ไม่ว่าอะไร” คริสเตียน “ฉันเคยได้ยินถึงเมืองวาจาเสนาะมาบ้าง เท่าที่จ�าได้เป็น เมืองที่มั่งคั่งมากใช่ไหม” นายเห็นแก่ลาภ “แน่นอน ฉันมีญาติร�่ารวยที่นั่นหลายคน” คริสเตียน “ใครเป็นญาติคุณบ้าง หวังว่าฉันคงไม่ละลาบละล้วงนะ” นายเห็นแก่ลาภ “เกือบทั้งเมืองเลย โดยเฉพาะท่านลอร์ดหันเห ท่านลอร์ดปรนนิบัติ ท่านลอร์ดวาจาเสนาะ (ชื่อเมืองน�ามาจากบรรพบุรุษ ของท่าน) แล้วก็ยังมี นายนุ่มนิ่ม นายนกสองหัว นายอะไรก็ได้ และนาย สองลิ้น อนุศาสกของต�าบลเราก็เป็นน้องของแม่ฉันเอง ฉันจะบอกให้ว่า คุณทวดของฉันเป็นแค่คนพายเรือเท่านั้น แต่ท่านพายตามกระแสลมมา โดยตลอด ฉันเองก็ร�่ารวยจากอาชีพนี้แหละ” คริสเตียน “คุณแต่งงานหรือยัง” นายเห็นแก่ลาภ “แต่งงานแล้ว ภรรยาของฉันเป็นหญิงที่งามพร้อม คุณหญิงประดิษฐ์แม่ของเธอก็งดงามเพียบพร้อมเช่นกัน เธอมาจากตระกูลสูง และได้รับการอบรมมาอย่างดี รู้จักกาลเทศะจนเธอสามารถเข้าได้กับทุกคน ตั้งแต่ชาวนาถึงกษัตริย์ จริงอยู่เราต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่เคร่งครัด แต่ก็ มีเพียง 2 ประเด็นเล็กๆ เท่านั้น ประเด็นแรกเขาจะไม่ขวางกระแสโลก ประเด็นที่สองเราจะกระตือรืนร้นเรื่องศาสนาขณะก�าลังเป็นที่นิยมและรุ่งเรือง และท�าให้เราเป็นที่ยอมรับ” แล้วคริสเตียนสาวเท้าไปหานายมีหวังและบอกว่า “ฉันคิดว่านี่คงเป็น นายเห็นแก่ลาภจากเมืองวาจาเสนาะแน่เลย และถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ก�าลัง ร่วมทางกับคนบาปปลิ้นปล้อนที่สุดในเมืองนี้” นายมีหวังจึงพูดต่อว่า “ถามสิ คิดว่าเขาคงไม่อายชื่อเขามั้ง” คริสเตียนก้าวเข้าไปหานายเห็นแก่ลาภอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “คุณพูดเหมือนกับว่าคุณรู้อะไรดีกว่าคนอื่นหมด เอ้อ...ถ้าเดา


110 ปริศนาธรรม ไม่ผิดละก็... ฉันคิดว่าฉันรู้จักคุณ คุณคงชื่อนายเห็นแก่ลาภจากเมืองวาจา เสนาะใช่มั้ย” นายเห็นแก่ลาภ “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ชื่อของฉัน นั่นเป็นชื่อเล่นที่คน ไม่ชอบฉันตั้งให้ ฉันเลยต้องทนให้คนอื่นเหยียดหยามเหมือนที่คนดีๆ เคย โดนนั่นแหละ” คริสเตียน “คุณไม่ได้ท�าตัวให้คนเขาเรียกคุณอย่างงั้นหรือ” นายเห็นแก่ลาภ “ไม่เคย สิ่งที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยท�าซึ่งท�าให้พวกเขาเรียก ฉันอย่างนั้นคือฉันโชคดีพอที่จะตามกระแสโลกได้ แล้วก็ได้รับผลประโยชน์ด้วย ในเมื่อสิ่งดีๆ มันเข้ามาในชีวิตฉันเองอย่างนี้ ฉันก็ต้องรับและถือว่าเป็น พระพรน่ะสิ แต่คนร้ายๆ เหล่านั้นไม่ควรจะใส่ร้ายฉันอย่างนั้นนะ” คริสเตียน “ฉันคิดว่าคุณคงเป็นคนที่ฉันได้ยินมา และที่ฉันคิดก็คือ ชื่อนี้เหมาะกับคุณ แต่คุณไม่ยอมรับต่างหากล่ะ” นายเห็นแก่ลาภ “ถ้าคุณอยากจะคิดอย่างงั้นก็ช่างเถอะ แต่ถ้าคุณลอง เป็นเพื่อนกับฉันต่อไป คุณจะรู้ว่าฉันน่ะเป็นเพื่อนที่ดีนะ” คริสเตียน “ถ้าคุณจะไปกับเราคุณต้องเดินทวนกระแสโลก ซึ่งฉันคิดว่า มันคงจะขัดกับความเชื่อของคุณ คุณต้องยอมรับเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะใน ยามที่คนเหยียดหยามหรือยกย่องพระเจ้าก็ตาม และยึดมั่นในพระองค์แม้ว่า ต้องถูกกดขี่ข่มเหงหรือเป็นที่ชื่นชมก็ตาม” นายเห็นแก่ลาภ “คุณต้องไม่ยัดเยียดความเชื่อของคุณให้ฉันนะ และ คุณต้องไม่ท�าตัวเป็นเจ้านายเหนือความเชื่อของฉันด้วย คุณต้องให้อิสระแก่ฉัน และให้ฉันไปกับคุณ” คริสเตียน “แต่เราคงไปด้วยกันไม่ได้ นอกจากคุณจะท�าอย่างที่เราท�า” นายเห็นแก่ลาภ “ฉันจะไม่ยอมทิ้งหลักการของฉัน เพราะมันไม่เสียหาย อะไรและยังมีประโยชน์ด้วย ถึงไม่ได้ไปกับคุณ ฉันก็ไปเองได้ จนกว่าจะมีใคร เดินตามฉันและยินดีร่วมทางกับฉัน


ปริศนาธรรม 111 ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นในความฝันว่า คริสเตียนกับนายมีหวังทิ้งเขาและ เดินจากเขาไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนหนึ่งก็เหลียวหลังไปเห็นชายสามคน เดินตามนายเห็นแก่ลาภและเมื่อตามเขาทันแล้ว นายเห็นแก่ลาภก็ท�าท่า โบกมือลาให้คริสเตียนและนายมีหวัง ชื่อของชายทั้งสามคือ นายรักโลก นายรักเงิน นายหนืดเหนียว ทุกคนคุ้นเคยกับนายเห็นแก่ลาภเพราะเคยอยู่ ในโรงเรียนเดียวกันตอนเด็กๆ และมีครูคนเดียวกัน คืออาจารย์เกาะไม่ปล่อย แห่งโรงเรียนรักเพื่อผลประโยชน์ในเมืองโลภทางตอนเหนือ ครูคนนี้สอนพวก เขาให้รู้จักกลเม็ดเด็ดพรายต่างๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้ ก�าลังหลอกลวง ประจบประแจง โกหก หรือการใช้ศาสนาบังหน้า ทั้งสี่คนนี้ เป็นเด็กเรียนดีมาก จนสามารถตั้งโรงเรียนเองได้ เมื่อทักทายกันแล้วนายรักเงินก็ถามนายเห็นแก่ลาภว่า “เจ้าสองคน ที่เดินอยู่ข้างหน้านั่นเป็นใครกันนะ” (คริสเตียนและนายมีหวังยังอยู่ในระยะ ที่มองเห็นได้) นายเห็นแก่ลาภ “สองคนนั่นมาจากคนละทิศของประเทศเรา พวกเขา ไปแสวงธรรม” นายรักเงิน “ท�าไมพวกเขาไม่รอเรามั่งล่ะ จะได้เดินไปด้วยกัน เพราะ เราก็ไปแสวงธรรมเหมือนกันนี่” นายเห็นแก่ลาภ “ใช่พวกเราก็เป็นนักแสวงธรรม แต่ชายสองคนนั่น เขาเคร่งและรักความเชื่อเขามาจริงๆ แถมไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น แม้แต่คนดีที่คิดไม่ตรงกับเขานิดหน่อย เขาก็ไม่คบด้วยแล้ว” นายหนืดเหนียว “แย่จัง ฉันเคยอ่านพบว่าคนที่ชอบธรรมเกินไป จะ ท�าให้เขาติเตียนคนอื่นยกเว้นตัวเอง เอ้อ แต่คุณคิดอะไรไม่ตรงกับเขาเหรอ นายเห็นแก่ลาภ “โอ้ยพวกเขาหัวแข็งออกจะตาย พวกเขาเชื่อว่า หน้าที่ของพวกเขาคือ ต้องรีบเร่งเดินทางไม่ว่าอากาศจะเป็นยังไง แต่ฉัน คิดว่าเราน่าจะเดินทางช่วงที่มีกระแสลมและสายน�้าพัดมาเท่านั้น พวกเขา คิดว่าทุกคนจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อพระเจ้า แต่ฉันเชื่อว่า เราต้องฉวยลาภไว้ก่อน


112 ปริศนาธรรม และต้องมั่นใจว่าชีวิตของเราจะสะดวกสบายและมีสิ่งของดีๆ ใช้ พวกเขาจะ ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเอง แม้ว่าทุกคนจะต่อต้านพวกเขา แต่ฉันคิดว่าเรา ควรจะยึดมั่นในเวลาอันสมควรและเมื่อเราปลอดภัยเท่านั้น พวกเขาบอกว่า ต้องยึดมั่นในศาสนา แม้ว่าจะต้องตกระก�าล�าบาก แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะเอา ศาสนาเฉพาะในยามที่ศาสนานั้นเป็นที่ยอมรับ เป็นที่นิยมและรุ่งเรืองเท่านั้น” นายรักโลก “ใช่แล้ว ฉันเห็นด้วยกับคุณ คุณเห็นแก่ลาภ ฉันคิดว่าคนโง่ เท่านั้นที่ปล่อยให้สิ่งที่เขามีสิทธิ์เป็นเจ้าของหลุดมือไป ขอให้เราฉลาดเหมือนงู เราควรจะตากปลาตอนที่มีแดดใช่มั้ย แล้วคุณรู้มั้ย ผึ้งน่ะ มันนอนเฉยๆ ไม่ กระดุกกระดิกเลยตลอดฤดูหนาว และมันจะตื่นก็ต่อเมื่อมันได้ประโยชน์หรือมี ความสุขเท่านั้น บางครั้งพระเจ้าก็ให้มีฝน บางครั้งก็ให้มีแดด ถ้าพวกเขาโง่นัก ก็ให้เดินฝ่าฝนไปเถอะ แต่เราขอเลือกเดินตอนอากาศดีก็แล้วกัน ส�าหรับ ฉันสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดเกี่ยวกับศาสนาก็คือ ศาสนาเป็นเครื่องประกันได้ว่า เราจะได้รับพระพรจากพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าให้สิ่งดีๆ แก่ชีวิตเรา ท�าไม พระองค์จะไม่ต้องการให้เรารักษามันไว้เพราะเห็นแก่พระองค์เล่า อับราฮัม กับซาโลมอนก็ยังมั่งคั่งเพราะศาสนาเลย และโยบก็บอกว่าคนดีย่อมจะสะสม ทองค�าไว้มากมายก่ายกอง โยบคงไม่ท�าเหมือนชายสองคนนั้นหรอก” นายหนืดเหนียว “ฉันว่าเราทุกคนคิดเหมือนกันหมดนั่นแหละ งั้นก็ ไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้กันอีกหรอก” นายรักเงิน “ใช่ เราไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว เพราะผู้ที่ไม่เชื่อทั้งพระคัมภีร์ และเหตุผล (แต่เราเชื่อทั้งสองอย่าง) ก็จะไม่รู้ว่าตัวเองมีอิสรภาพและไม่รู้ ที่จะแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยให้กับตัวเอง” นายเห็นแก่ลาภ “พี่น้องเอ๋ย เราก�าลังเดินทางแสวงธรรมนะ อย่าไปคิด เรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนั้นเลย ฉันอยากถามค�าถามอะไรสักหน่อย สมมติว่ามีชายคนหนึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้าหรือพ่อค้าซึ่งมีโอกาสได้สิ่งดี ในชีวิตนี้ แต่เขาจะได้เฉพาะเมื่อเขาแสดงความกระตือรืนร้นในด้านศาสนา ซึ่งความจริงไม่ค่อยสนใจมาก่อน บางทีเขาจะใช้วิธีนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ของเขาและยังเป็นคนซื่อตรงได้มิใช่หรือ”


ปริศนาธรรม 113 นายรักเงิน “ฉันรู้แล้วว่าคุณหมายความว่ายังไง ฉันขอตอบว่า ประการแรก ค�าถามที่เกี่ยวกับผู้รับใช้น่ะ ถ้าผู้รับใช้คนนั้นเป็นคนดี แต่เป็น ผู้รับใช้ในคริสตจักรเล็กๆ แห่งหนึ่งและอยากจะไต่ระดับของตัวเอง เขามี โอกาสที่จะเป็นผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงได้โดยการเทศนามากๆ อย่างขยันขันแข็ง หรือเปลี่ยนแปลงหลักข้อเชื่อบ้างเพื่อเอาใจผู้ฟัง ฉันไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน เลย (ก็พระเจ้าเรียกเขาให้มาเป็นผู้รับใช้นี่นา) และที่ส�าคัญยิ่งกว่านั้น เขายัง คงสัตย์ซื่ออยู่นะ เพราะว่า 1. ความปรารถนาที่จะเป็นผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องผิด (ข้อนี้เถียง ไม่ได้) เพราะโอกาสมันอยู่ตรงหน้าเขานี่ ดังนั้นเขาควรไขว่คว้าให้ได้โดย ไม่ต้องค�านึงถึงความรู้สึกผิดชอบ 2. นอกจากนี้ความปรารถนาที่จะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นจะท�าให้เขา ศึกษาค้นคว้าหนักขึ้นเป็นนักเทศน์ที่ร้อนรนมากขึ้น ซึ่งก็จะท�าให้เขาดีขึ้น แน่นอน นี่จะท�าให้เขามีโอกาสปรับปรุงตัวเองซึ่งก็เป็นน�้าพระทัยพระเจ้า อยู่แล้ว 3. ถ้าเขาประนีประนอมหลักข้อเชื่อของเขาบ้างเล็กน้อย เพื่อสามารถ เข้ากับคนได้มากขึ้นก็แสดงว่าเขาปฏิเสธตนเอง และมีบุคลิกที่อ่อนหวาน ชนะใจคนได้ ทุกอย่างนี้จะท�าให้เขาปฏิบัติหน้าที่ผู้รับใช้ได้ดีขึ้น 4. สรุปแล้ว ผู้รับใช้ที่จะยกระดับของตัวเองขึ้นจะต้องไม่ถูกคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนโลภ แต่เพราะว่าเขาได้พัฒนาตนเองและงานของเขา คนอื่นควรถือว่าเขาเป็นผู้ที่เชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้าและฉวยทุกโอกาส ที่จะท�าดี และส�าหรับค�าถามส่วนที่สองเกี่ยวกับพ่อค้า ถ้ากิจการของเขาเป็น กิจการเล็กๆ แต่เมื่อเคร่งศาสนาแล้ว ท�าให้ร้านรวงใหญ่โตขึ้น บางทีเขา อาจจะได้ภรรยารวยหรือมีลูกค้าที่มีฐานะดีมากขึ้น ฉันไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะ ผิดอะไร เพราะ หนึ่ง การกลายเป็นคนเคร่งศาสนาเป็นสิ่งดีไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม สอง การมีภรรยาร�่ารวย หรือการมีลูกค้ามากขึ้น ไม่เห็นจะผิดตรงไหน


114 ปริศนาธรรม สาม นอกจากนี้ คนๆ นั้นได้สิ่งเหล่านั้นมาเนื่องจากหันมานับถือ ศาสนา เขาได้สิ่งที่ดีจากคนดีโดยกลายเป็นคนดี เขามีภรรยาดี มีลูกค้าดี ก�าไรดี เพราะเคร่งศาสนามากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งดี ดังนั้นการเป็นคนเคร่งศาสนา เพื่อได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี และเป็นแผนการที่ก่อประโยชน์มาก” ทุกคนตบมือให้กับค�าตอบที่นายรักเงินตอบนายเห็นแก่ลาภ พวกเขา สรุปว่าการท�าอย่างนั้นดีวิเศษและได้ประโยชน์จริงๆ พวกเขาคิดว่าคงไม่มีใคร โต้แย้งค�าสรุปนี้ได้ จึงตกลงกันว่าจะถามค�าถามคริสเตียนและนายมีหวัง ที่เดินอยู่ข้างหน้าซึ่งเคยค้านความคิดของนายเห็นแก่ลาภมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงร้องเรียกชายทั้งสอง และรีบเดินตามให้ทัน หลังจากทักทายกัน นายรักโลกก็ถามคริสเตียนกับนายมีหวังในเรื่อง ที่คุยกัน คริสเตียนก็ตอบว่า “คนที่เพิ่งมาเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ก็สามารถตอบ ค�าถามนี้ได้อย่างสบาย การติดตามพระเยซูโดยเห็นแก่ได้นั้นผิดอยู่แล้วแน่ๆ ดังนั้นการเอาศาสนามาบังหน้าเพื่อแสวงหาประโยชน์ก็ไม่ควรท�าอย่างยิ่ง คนไม่มีพระเจ้า คนหน้าไหว้หลังหลอก คนชั่ว คนโกงเท่านั้นที่จะคิดอย่างนั้น เพราะ 1. เมื่อฮาโมร์และเชเคมผู้ไม่เชื่อพระเจ้าอยากได้ลูกสาวและวัวควาย และยาโคบ และเห็นว่าไม่มีทางได้นอกจากจะเข้าพิธีสุหนัต พวกเขาจึงพูด กันว่า ‘ถ้าผู้ชายของเราทุกคนเข้าพิธีสุหนัตเหมือนกับผู้ชายของพวกเขา วัว ควายและสิ่งของและสัตว์ทุกอย่างของเขาก็จะเป็นของเรา’ พวกฮาโมร์อยาก ได้ลูกสาวและวัวควายของยาโคบ แต่เขาก็เอาศาสนาของยาโคบมาบังหน้า 2. พวกฟาริสีที่หน้าไหว้หลังหลอกก็เอาศาสนามาบังหน้าเหมือนกัน พวกเขาเสแสร้งอธิษฐานยืดยาว แท้ที่จริงพวกเขาอยากได้บ้านของหญิงม่าย เขาจะได้รับโทษหนักจากพระเจ้า 3. ยูดาสคนชั่วก็เชื่อถือศาสนาแบบนี้เหมือนกัน เขาเคร่งศาสนา เพราะอยากถือถุงเงินและยักยอกเงิน แต่เขาไม่ได้รับ กลับถูกไล่ออกไป และเป็นลูกของความพินาศ


ปริศนาธรรม 115 4. ซีโมนผู้ท�าวิทยาคมก็ถือศาสนาแบบนี้เช่นกัน เพราะเขาต้องการ พระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อใช้หาเงิน และเขาต้องรับโทษตามค�าของเปโตร 5. คนที่ถือศาสนาเพราะเห็นแก่โลกจะโยนศาสนาทิ้งแล้วหันไปหาโลก อีกเหมือนที่ยูดาสละทิ้งโลกมาท�าตัวเคร่งศาสนา ในที่สุดเขาก็ขายศาสนาและ พระเยซูเพื่อโลก ดังนั้นค�าตอบที่แน่ชัดของค�าถามนี้ก็คือ ใครที่ยอมรับและ เห็นด้วยกับค�าถามนั้นก็เป็นคนนอกศาสนา หน้าไหว้หลังหลอก และชั่วร้าย ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม” เขาทั้งสี่ได้แต่ยืนจ้องหน้ากัน เพราะไม่รู้จะตอบคริสเตียนยังไง นาย มีหวังก็เห็นด้วยกับค�าตอบของคริสเตียน พวกเขาต่างเงียบกันไปพักใหญ่ นายเห็นแก่ลาภและเพื่อนของเขาจึงเดินช้าลงเพื่อให้คริสเตียนและนายมี หวังเดินล่วงหน้าไปก่อน คริสเตียนหันมาพูดกับเพื่อนของเขาว่า “ถ้าคน พวกนี้ยังไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าการตัดสินของมนุษย์ได้ แล้วพวกเขาจะ ยืนต่อหน้าการพิพากษาของพระเจ้าได้ยังไง และถ้าเขาอึ้งไปเพราะค�าพูด ของคนธรรมดาๆ ตอนนี้ เขาจะท�ายังไงเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นเพลิง ที่เผาผลาญตรัสกับเขา” คริสเตียนและนายมีหวังเดินทางต่อไปจนถึงทุ่งนาชื่อ ด�าเนินสะดวก ซึ่งเขาเดินผ่านได้ด้วยความส�าราญใจ แต่ทุ่งนั้นมีเนื้อที่น้อยมาก พวกเขาจึง เดินข้ามได้อย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับทุ่งมีเนินเขาชื่อ ล่อใจ ที่เนินเขาแห่ง นั้นมีเหมืองเงิน ซึ่งบางคนที่เดินผ่านมาได้แวะเข้าไปชมเพราะเป็นเหมืองที่ หาดูได้ยาก แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ถึงปากเหมือง ดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา พังทลายลง ท�าให้เขาตกลงไปในเหมืองนั้น บางคนเสียชีวิต บางคนพิการ ตลอดชีวิต จากนั้นข้าพเจ้าเห็นในความฝันว่า เดมาสยืนอยู่ริมทางใกล้เหมือง เงินแห่งนั้นและร้องเชื้อเชิญคนที่สัญจรไปมาให้ไปเที่ยวชมเหมือง เขาบอก คริสเตียนและนายมีหวังว่า “นี่คุณมาทางนี้หน่อยสิ ฉันจะให้ดูอะไรดีๆ”


116 ปริศนาธรรม คริสเตียน “มีอะไรดีถึงขนาดที่เราต้องออกจากทางไปเชียวรึ” เดมาส “เหมืองเงินไงล่ะ บางคนก�าลังขุดหาแร่เงินอยู่ ถ้าคุณมาขุดบ้าง และได้แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็รวยแล้วล่ะ” นายมีหวัง “ไปดูกันเถอะ” คริสเตียน “ฉันไม่เอาหรอก ฉันเคยได้ยินชื่อของที่นี่แล้ว มีหลายคน ต้องตายที่นี่ แล้วทรัพย์สมบัติที่พวกเขาหามาได้ยังเป็นกับดักด้วยซ�้า เพราะ มันท�าให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางแสวงธรรมได้ต่อไป” แล้วคริสเตียนถามเดมาสว่า “ที่นี่เป็นสถานที่อันตรายซึ่งท�าให้หลายคน ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางใช่ไหม” เดมาส “ไม่ค่อยอันตรายหรอก นอกจากคนที่ไม่ระมัดระวังเท่านั้น” (แต่เขาพูดพร้อมกับหลบสายตา) คริสเตียน “เราอย่าไปที่นั่นเลย มุ่งหน้าไปตามทางของเราดีกว่า” นายมีหวัง “ฉันรับประกันเลยว่าเมื่อนายเห็นแก่ลาภมาถึงที่นี่ แล้วมี คนมาชวนเขาแบบนี้ เขาต้องไปดูแน่ๆ” คริสเตียน “ไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ เพราะเป้าหมายชีวิตของเขาจะชักน�า เขาไปทางนั้น ฉันว่าเขาตายที่นั่นแน่” แล้วเดมาสก็ร้องอีกว่า “คุณจะไม่แวะมาดูเหรอ” คริสเตียนกลับเตือนเขาว่า “เดมาส คุณกลายเป็นศัตรูต่อวิถีทางของ พระเจ้า และได้ถูกผู้รับใช้พระเจ้าตัดสินลงโทษแล้วเนื่องจากคุณหลงเจิ่นไป ท�าไมคุณถึงพยายามชักชวนให้เราท�าเหมือนคุณอีกล่ะ ถ้าเราหันไปทางอื่น พระเจ้าต้องรู้แน่และเราต้องอับอาย เราอยากยืนอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้า พระองค์” เดมาสร้องบอกว่า เขาเป็นพี่น้องของคนทั้งสองด้วย ถ้าทั้งสองรอเขา เขาจะตามไปด้วย คริสเตียน “คุณชื่ออะไร ไม่ใช่ชื่อที่เราเรียกคุณรึ” เดมาส “ใช่ ฉันชื่อเดมาส ฉันเป็นลูกหลานอับราฮัม”


ปริศนาธรรม 117 คริสเตียน “ฉันรู้จักคุณ ทวดของคุณชื่อเกหะซี พ่อของคุณชื่อยูดาส และคุณก็ท�าเหมือนพวกเขา คุณนี่ท�าตัวไม่ไหวเลยนะ พ่อคุณก็ทรยศและ ถูกแขวนคอ คุณเองก็คงไม่ดีไปกว่านั้น คุณแน่ใจได้เลยว่า ถ้าเราต้องรายงาน ต่อพระเจ้าเมื่อไรละก็ เราจะบอกพระองค์ถึงเรื่องของคุณ” แล้วทั้งสองก็เดินจากไป ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นเดมาสเรียกนายเห็นแก่ลาภและเพื่อนๆ ของเขา แค่ครั้งเดียวพวกเขาก็รี่เข้าไปหาเดมาส ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาตกลงไป ในเหมืองตอนที่มองลงไปจากปากเหมือง หรือพวกเขาลงไปขุดแร่เงิน หรือ โดนแก๊สพิษท�าให้ส�าลักตายในเหมือง แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นพวกเขาอีกเลย แล้วคริสเตียนก็ร้องเพลงว่า นำยเห็นแก่ลำภและเดมำสชอบเหมือนกัน คนหนึ่งเรียก...อีกคนหนึ่งก็วิ่งตำม เพรำะอยำกมีส่วนร�่ำรวยด้วยคน เขำรักสิ่งของโลกนี้และไม่คิดเดินทำงต่อไป แล้วข้าพเจ้าก็เห็นคริสเตียนและนายมีหวังเดินไปที่ชายทุ่งอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีรูปปั้นเก่าแก่อันหนึ่งอยู่ข้างๆ ทาง พวกเขาแปลกใจ เพราะรูปปั้นนั้น มีรูปร่างคล้ายผู้หญิงพวกเขายืนมองอยู่นาน แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วนายมีหวัง ก็สังเกตเห็นข้อความจารึกไว้ แต่เขาอ่านไม่ออกจึงเรียกคริสเตียนให้มาดูว่า หมายความว่าอย่างไร (เพราะคริสเตียนมีการศึกษาดี) แล้วคริสเตียนก็ได้ เห็นข้อความนั้นเขียนว่า “จงระลึกถึงภรรยาของโลท” เขาอ่านให้นายมีหวัง ฟัง พวกเขาจึงรู้ว่านี่คือภรรยาของโลทที่ต้องกลายเป็นเสาเกลือเพราะเธอ หันกลับไปดูเมืองโสโดมด้วยความเสียดาย ตอนที่หนีออกมาจากเมืองนั้น พวกเขาพบสิ่งที่ไม่เคยนึกฝัน จึงท�าให้พวกเขาคุยกันว่า


118 ปริศนาธรรม คริสเตียน “เฮ้อ เราเห็นเสาเกลือนี่หลังจากที่เดมาสเชิญชวนเราที่ เนินเขาล่อใจพอดีเลยนะ ถ้าหากว่าเราไปดูตามที่เขาชักชวน เราคงเป็น เหมือนผู้หญิงคนนี้ แล้วเรื่องของเราจะเป็นอุทาหรณ์ส�าหรับชนรุ่นหลังได้ อย่างดีเชียวล่ะ” นายมีหวัง “ฉันขอโทษ ฉันโง่เอง ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท�าไมฉันไม่ เป็นเหมือนอย่างภรรยาของโลท เพราะบาปของเธอกับฉันก็ไม่ต่างกันเลย เธอเพียงแต่หันไปและฉันก็ปรารถนาจะไปด้วย เป็นพระคุณพระเจ้าแท้ๆ ความปรารถนาของฉันน่าอายจริงๆ” คริสเตียน “ให้เราจดจ�าสิ่งที่เราเห็นที่นี่ไว้ให้ดีเถอะ เพราะมันจะช่วย เราในอนาคตแน่ ผู้หญิงคนนี้หลบหนีจากการพิพากษาอย่างหนึ่งเพราะเธอ ไม่ต้องตายที่โสโดม แต่เธอก็ต้องตายด้วยการพิพากษาอีกอย่างหนึ่งโดย กลายเป็นเสาเกลือไป” นายมีหวัง “จริงด้วย เธอเป็นค�าเตือนและเป็นอุทาหรณ์แก่เรา เธอ เตือนให้เราหลีกเลี่ยงความบาปของเธอ และเป็นแบบอย่างให้เราเห็นว่าถ้า เราไม่ระมัดระวัง เราก็จะถูกพิพากษาเหมือนอย่างโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม และคนอีก 250 คน คนที่ต้องพินาศในความบาป กลายเป็นแบบอย่างแก่ คนอื่นให้ระวังตัวมากขึ้น แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ท�าไมเดมาสและคนอื่นๆ ถึงสามารถค้นหาสมบัติได้อย่างสบายใจ ในขณะที่ผู้หญิงคนนี้เพียงแค่หันไป มองโดยที่ยังไม่ได้เดินไปในทางนั้นแม้แต่ก้าวเดียวต้องกลายเป็นเสาเกลือไป จนเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่นักขุดเงินซึ่งอยู่ในระยะที่เห็นได้ชัด” คริสเตียน “น่าแปลกเหมือนกันนะ แต่คงหมายถึงว่าพวกเขามีจิตใจ ที่บอดมืดชนิดหันกลับอีกไม่ได้แล้ว คล้ายกับคนที่กล้าล้วงกระเป๋าต่อหน้า ผู้พิพากษาหรือกรีดถุงเงินใต้ตะแลงแกงนั่นแหละ พระคัมภีร์พูดถึงคนโสโดม ว่า ‘บาปของเขาก็หนักมากต่อพระพักตร์พระเจ้า’ เนื่องจากเขาไม่เห็นและ ไม่รู้สึกรู้สากับความเมตตาที่พระเจ้าประทานให้ แผ่นดินโสโดมในสมัยนั้น เหมือนกับสวนเอเดน พวกเขาได้ยั่วยุพระองค์ให้กริ้วสุดขีด แล้วพระองค์ก็


ปริศนาธรรม 119 ส่งไฟประลัยกัลป์มาเผาผลาญเมืองนั้นให้พินาศย่อยยับสรุปได้ว่า คนที่ท�า บาปทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นต่อหน้าต่อตาและมีการเตือนล่วงหน้าแล้วย่อม มีโทษมากกว่าคนอื่น” นายมีหวัง “ที่คุณพูดนั้นจริงทีเดียวแหละ เป็นพระเมตตาอย่าง เหลือล้นที่เราทั้งสองไม่ได้ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับภรรยาของโลท โดยเฉพาะฉัน โอกาสนี้เราน่าจะขอบคุณพระเจ้า ย�าเกรงพระองค์ และระลึก ถึงภรรยาของโลทตลอดเวลา ข้าพเจ้าฝันเห็นเขาทั้งสองเดินไปถึงแม่น�้าที่สวยงามแห่งหนึ่งซึ่ง กษัตริย์ดาวิดเรียกว่า “แม่น�้าของพระเจ้า” แต่ยอห์นเรียกว่า “แม่น�้าแห่ง ชีวิต” ทั้งสองเดินเลียบชายฝั่งแม่น�้านั้นด้วยความชื่นชมยินดี พวกเขาดื่มน�้า ในแม่น�้า ท�าให้สดชื่น หายเหนื่อย และมีก�าลังขึ้น ทั้งสองฝั่งแม่น�้ามีต้นไม้ เขียวชอุ่มซึ่งทุกชนิดล้วนออกผลดกและมีใบช่วยรักษาโรคได้ พวกเขากิน ผลไม้อย่างส�าราญใจ และกินใบไม้เพื่อป้องกันโรคเอาแต่ใจตัวและโรคที่นัก เดินทางมักเป็นกัน ทั้งสองฟากฝั่งมีดอกพลับพลึงงามสะพรั่งและหญ้าเขียว สดตลอดปี พวกเขาหลับสนิทในทุ่งหญ้าอย่างปลอดโปร่ง เพราะสถานที่นั้น ปลอดภัย เมื่อตื่นขึ้นมาก็กินผลไม้และดื่มน�้าจากแม่น�้านั้น แล้วก็หลับไปอีก พวกเขาพักอยู่ที่นี่หลายวันและร้องเพลงว่า รู้มั้ย... ท�ำไมจึงมีสำยน�้ำนี้ไหลพร่ำงพรำวอยู่ ก็เพื่อชูใจนักแสวงธรรม หญ้ำเขียวสด ดอกไม้หอมเหลือคณำ ใครได้มำต้องยอมซื้อแม้หมดตัว เมื่อพวกเขารู้สึกว่าพักผ่อนเพียงพอแล้ว พวกเขาก็กินผลไม้และ ดื่มน�้าอีก แล้วเดินทางต่อไป ในฝันข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อทั้งสองเดินออกมา ไม่นานนัก ถนนก็เริ่มเบนห่างออกจากแม่น�้าทุกที พวกเขารู้สึกอาลัยอาวรณ์


120 ปริศนาธรรม มาก แต่ไม่กล้าออกนอกเส้นทางจากนั้นถนนเริ่มขรุขระ เท้าของพวกเขา ก็เริ่มเจ็บ พวกเขาเริ่ม “ท้อถอยเพราะเหตุหนทาง” ต่างปรารถนาอย่าง เหลือล้นที่จะให้หนทางสะดวกขึ้น อีกทั้งเฝ้าแต่หวังว่าทางข้างหน้าจะดีกว่านี้ ไม่ไกลนักก็มองเห็นทุ่งหญ้าซึ่งมีรั้วกั้นอยู่ทางซ้ายมือข้างหน้าและมีขั้นบันได ที่จะข้ามไปถึงทุ่งหญ้านั้นซึ่งเรียกว่า ทุ่งทางลัด แล้วคริสเตียนเอ่ยขึ้นกับ เพื่อนว่า “ถ้าทุ่งหญ้านั้นขนานไปกับทางที่เราเดินอยู่ล่ะก็ เราก็ไปทางนั้นเลย ดีมั้ย” แล้วเขาก็ขึ้นบันไดดูและเห็นว่ามีทางเดินขนานไปกับทางของเขาพอดี คริสเตียนบอกว่า “นี่แหละสิ่งที่เฝ้าหวังไว้ ไปทางนี้ง่ายกว่านะ ไปกันเถอะ มีหวัง ข้ามรั้วไปเดินทางโน้นกันเถอะ” นายมีหวัง “แต่ถ้าทางนั้น มันพาเราออกนอกทางล่ะ” คริสเตียน “คงไม่มั้ง ดูเหมือนมันจะขนานกันนะ” เมื่อได้รับค�าเชิญชวนดังนั้นนายมีหวังก็ข้ามรั้วตามคริสเตียนไป และ พวกเขาก็พบว่าทางเดินสายนั้นสะดวกสบายดี ไม่เจ็บเท้าเลย เมื่อพวกเขา มองไปข้างหน้าก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อนายวางใจตนเดินอยู่ พวกเขาร้องเรียก ชายคนนั้นและถามว่าทางเส้นนี้ไปไหน ชายคนนั้นตอบว่า “ไปเมืองบรม สุขเกษม” คริสเตียนจึงบอกว่า “เห็นมั้ยบอกแล้วไง เรามาถูกทางแล้วล่ะ” พวกเขาจึงเดินตามไป นายวางใจตนเดินน�าหน้าพวกเขา พวกเขาเดินไป จนดึกดื่น ท้องฟ้ามืดมิดถึงขนาดมองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่คนที่อยู่ข้างหน้า นักแสวงธรรมเริ่มใส่ใจกับเนื้อหนัง อยำกไปทำงง่ำย แต่... โอเขำไม่รู้เลย ว่ำเส้นทำงนี้น�ำไปสู่ควำมเศร้ำโศก ผู้ใดใส่ใจกับเนื้อหนัง ก็จะได้รับแต่ควำมทุกข์ทรมำน คนที่เดินน�าหน้าพวกเขาตกลงไปในหลุมลึก ร่างกายแหลกเหลวไม่มี ชิ้นดี เพราะมองไม่เห็นทาง เจ้าชายแห่งพื้นดินนั้นตั้งใจขุดหลุมลึกไว้เพื่อจับ คนโง่ที่ยกย่องตัวเอง


ปริศนาธรรม 121 คริสเตียนและนายมีหวังได้ยินเสียงเขาตกลงไป พวกเขาจึงร้องถาม ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงโหยหวนเท่านั้น นายมีหวังถาม ว่า “นี่เราอยู่ที่ไหนเนี่ย” แต่คริสเตียนไม่ตอบเพราะก�าลังกลัวว่าตนเองเป็น คนน�าออกมานอกทาง ขณะนั้นฝนก็เริ่มตก ฟ้าแลบฟ้าร้องดูน่ากลัวแล้วน�้า ก็ท่วมทางนั้น นายมีหวังเริ่มพึมพ�ากับตัวเองว่า “โธ่ ฉันไม่น่าจะตามเขามาทางนี้ เลยนะเนี่ย” คริสเตียน “ใครจะไปรู้ล่ะว่าทางนี้มันจะน�าเราให้ออกจากทางที่เรา ควรไป” นายมีหวัง “ฉันน่ะกลัวตั้งแต่แรกแล้วเชียว ฉันถึงระวังไงล่ะ ฉันว่า จะเตือน แต่ก็เกรงใจ เพราะคุณอาวุโสกว่า” คริสเตียน “ขอโทษทีเถอะ ขอโทษจริงๆ ฉันพาคุณออกมานอกทาง และท�าให้คุณต้องล�าบาก ยกโทษให้ฉันเถอะนะ ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย” นายมีหวัง “ไม่เป็นไรหรอก ฉันให้อภัย ฉันเชื่อด้วยว่าสิ่งนี้จะน�าให้ เกิดผลดีแก่เรา” คริสเตียน “ฉันดีใจที่คุณเมตตาฉันอย่างนี้ เราอย่ายืนอยู่อย่างนี้เลยนะ หาทางกลับกันดีกว่า” นายมีหวัง “ให้ฉันเดินไปข้างหน้าเถอะ” คริสเตียน “อย่าเลย ฉันน�าหน้าแหละดีแล้ว ถ้ามีอันตรายฉันจะขอ รับเอง เพราะฉันเป็นคนผิดที่น�ามาทางนี้” นายมีหวัง “ไม่ได้ คุณไม่ควรเดินข้างหน้าตอนนี้ คุณก�าลังว้าวุ่นใจ เดี๋ยวคุณก็น�าเราหลงทางอีกหรอก” พวกเขาได้ยินเสียงหนึ่งพูดว่า “จงปักใจให้ดีถึงทางหลวงคือทาง ซึ่งเจ้าได้ไปนั้น จงกลับเถิด” ถ้อยค�าเหล่านี้หนุนใจพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ ตอนนี้น�้าขึ้นเร็วมาก การเดินทางกลับจึงยากล�าบาก (ข้าพเจ้าคิดว่าการออก นอกทางเดินง่ายกว่าการกลับไปสู่หนทางที่เราควรเดิน) พวกเขาพยายาม


122 ปริศนาธรรม ตะเกียกตะกายจะกลับไป แต่มันก็มืดมาก และน�้าก็ท่วมสูง พวกเขาเกือบ จะจมน�้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพียงใด ก็ไม่อาจกลับ ไปที่รั้วซึ่งเคยข้ามมาภายในคืนนั้นได้ ในที่สุดพวกเขาพบเพิงหลังหนึ่งจึง นั่งพัก แต่พวกเขาเหนื่อยมากจนม่อยหลับไปจนรุ่งเช้า ไม่ไกลจากนั้น มีปราสาทหลังหนึ่งชื่อสงสัย เจ้าของคือยักษ์หมดหวัง และบริเวณที่เขาทั้งสองนอนอยู่ก็เป็นของมัน เมื่อเจ้ายักษ์ลุกขึ้นไปตรวจตรา ไร่นาของมันแต่เช้าตรู่ เห็นทั้งคู่นอนอยู่ในที่ของมัน มันตะโกนปลุกอย่าง ดุดัน และถามว่ามาจากไหนมาท�าอะไรในที่ดินของมัน พวกเขาตอบว่า พวกเขาเป็นนักแสวงธรรมหลงทางมา เจ้ายักษ์จึงพูดว่า “เจ้าทั้งสองบุกรุก เขตของข้า และเหยียบย�่าที่นาของข้า แล้วยังมานอนในที่ดินของข้าอีก เพราะฉะนั้นเจ้าต้องไปกับข้า” เนื่องจากเจ้ายักษ์ตัวนี้มันแข็งแรงกว่าและ พวกเขาก็รู้ว่าตัวเองผิดอย่างไม่มีข้อแก้ตัว จึงต้องท�าตามที่มันสั่ง เจ้ายักษ์ ดุนพวกเขาเดินน�าหน้า และเมื่อถึงปราสาท มันจับตัวไปขังไว้ในคุกมืดใต้ดิน ซึ่งสกปรกและเหม็นอับมาก พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นตั้งแต่เช้าวันพุธจนถึงคืน เสาร์โดยไม่มีข้าวสักเม็ด น�้าสักหยดตกถึงท้องเลย แสงแดดสักนิดก็ไม่ได้ สัมผัสและไม่มีมนุษย์สักคนโผล่หน้าเข้ามาให้เห็น พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ ที่เลวร้าย ห่างไกลจากญาติสนิทมิตรสหายมาถึงตอนนี้ คริสเตียนเศร้าเสียใจ หนักขึ้นเป็นสองเท่า เพราะด้วยความหุนหันพลันแล่นของเขานั่นเองที่ท�าให้ เขาทั้งสองต้องทุกข์ยากเช่นนี้ เจ้ายักษ์หมดหวังมีเมียชื่อนางยักษ์แคลงจิต เมื่อเจ้ายักษ์เข้านอน มันได้เล่าให้นางยักษ์ฟังว่ามันได้จับนักโทษมาสองคนขังไว้ในคุกมืดเนื่องจาก มาบุกรุกที่ดิน มันถามนางยักษ์ว่าจะท�ายังไงกับนักโทษทั้งสองดี นางยักษ์ ก็ถามว่าพวกนั้นเป็นใครมาจากไหน และจะไปไหนกัน เจ้ายักษ์ก็เล่าให้ฟัง แล้วนางยักษ์ก็บอกเจ้ายักษ์ให้เฆี่ยนคนพวกนั้นในวันรุ่นขึ้นอย่างไม่ต้องปรานี ดังนั้น เมื่อเจ้ายักษ์ตื่นขึ้น มันก็โค่นต้นไม้ท�าเป็นกระบองอันใหญ่ อันหนึ่ง แล้วเดินลงไปที่คุกมืด มันดุด่าคริสเตียนและนายมีหวังอย่าง


ปริศนาธรรม 123 สาดเสียเทเสีย ทั้งๆ ที่ทั้งสองก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร จากนั้นมันก็ทุบตีพวกเขา อย่างทารุณจนพวกเขาขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลยแล้วมันก็จากไป ปล่อยให้ ทั้งสองคร�่าครวญทุรนทุราย คืนต่อมานางยักษ์ได้คุยกับเจ้ายักษ์ก็ได้รู้ว่าทั้ง สองยังไม่ตาย นางยักษ์จึงบอกให้เจ้ายักษ์ไปแนะน�าคนทั้งสองให้ฆ่าตัวตาย เสีย เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้ายักษ์ก็ไปหาทั้งสองด้วยกิริยาหยาบคายอย่างเคย และ เห็นว่าทั้งสองเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากแผลที่เฆี่ยนตีเมื่อวานนี้ มันจึงบอก พวกเขาว่า เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางจะหนีออกจากที่นั่นได้เว้นเสียแต่ฆ่า ตัวตาย โดยใช้มีดหรือเชือก หรือใช้ยาพิษก็ได้ มันบอกว่า “พวกเจ้าจะอยู่ ต่อไปอีกท�าไมในเมื่อชีวิตมันขมขื่นเช่นนี้” แต่พวกเขาขอร้องให้มันปล่อย พวกเขาไปเสีย มันมองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยามแล้วกระโจนเข้าไป หาเพื่อจะฆ่าให้ตาย แต่ปรากฏว่ามันชักเสียก่อน (ถ้าอากาศดีสดชื่นแจ่มใส มันจะชัก) และไม่สามารถใช้มือได้อยู่พักหนึ่ง ดังนั้น มันจึงผละจากไปก่อน โดยทิ้งพวกเขาไว้และคิดหาวิธีใหม่ที่จะจัดการกับทั้งสองคนนั้น จากนั้นเขา ทั้งสองปรึกษากันว่าควรจะท�าตามค�าแนะน�าของเจ้ายักษ์หรือไม่ คริสเตียน “น้องเอ๋ย เราจะท�ายังไงดี ชีวิตมันช่างล�าเค็ญเหลือเกิน ส�าหรับฉันแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปดีหรือว่าตายดี ใจฉันนะเลือกที่จะ ผูกคอตายมากกว่าจะอยู่ต่อไป หลุมฝังศพยังดูดีกว่าคุกมืดใต้ดินนี่ เราท�า ตามที่เจ้ายักษ์มันว่าดีมั้ย” นายมีหวัง “ก็จริงนะ สภาพของเราตอนนี้แย่มาก ตายเสียอาจจะ สบายกว่าแต่ให้เราระลึกถึงค�าของพระผู้เป็นเจ้าของกษัตริย์ที่เราก�าลังเดิน ทางไปหาดีกว่า พระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะต้องไม่ฆ่าคน’ ดังนั้นเราก็ไม่ควร ท�าตามค�าแนะน�าของเจ้ายักษ์ที่ให้เราฆ่าตัวตาย นอกจากนี้คนที่ฆ่าคนอื่นนั้น ฆ่าได้แต่ร่างกายเขาเท่านั้น แต่คนที่ฆ่าตัวเองน่ะจะฆ่าทั้งร่างกายและ จิตวิญญาณของตน และที่ส�าคัญนะพี่เอ๋ย ที่พี่พูดว่าหลุมฝังศพยังสบาย กว่า แต่พี่ลืมไปแล้วหรือว่าฆาตรกรน่ะต้องลงนรกนะ เพราะ ‘ผู้ฆ่าคนไม่มี ชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย’ ลองคิดดูดีๆ ซิพี่ เจ้ายักษ์มันไม่ได้มีอ�านาจสิทธิ์ขาด ไปซะทุกอย่างนะ มีบางคนที่มันจับมาก็สามารถหนีออกไปได้ พระเจ้าผู้สร้าง


124 ปริศนาธรรม โลกอาจท�าให้เจ้ายักษ์มันตายก็ได้ใครจะรู้ หรือบางทีวันดีคืนดีมันอาจจะลืม ใส่กุญแจคุกก็ได้ หรือมันอาจจะชักดิ้นชักงอใช้เท้าทั้งสองข้างไม่ได้อีกก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันตั้งใจแล้วว่าจะพยายามหนีออกไปให้ได้เชียวล่ะ ฉันโง่ จริงๆ ที่ไม่กล้าท�าตั้งแต่แรก พี่เอ๋ย ให้เราอดทนสักหน่อยเถอะ โอกาสคง เป็นของเราบ้าง อย่าฆ่าตัวตายเลย” ถ้อยค�าของนายมีหวังท�าให้จิตใจของคริสเตียนสงบลง พวกเขาจึง อดทนอยู่ในคุกมืดอย่างน่าสังเวชอีกหนึ่งวัน พอตกเย็นเจ้ายักษ์ก็ลงไปที่คุกมืดอีกครั้งเพื่อดูว่าพวกนักโทษท�าตาม ที่มันแนะน�าหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นว่าพวกนักโทษยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ไม่ได้ กินอาหารและถูกตีบาดแผลเต็มตัว และหายใจระรวยอย่างนั้น เจ้ายักษ์ โกรธมากที่พวกนักโทษไม่ท�าตามที่มันบอก มันจึงขู่ว่ามันจะทรมานพวกเขา จนถึงขนาดที่พวกเขาจะคิดว่าไม่น่าเกิดมาเลย พอได้ยินเจ้ายักษ์พูดอย่างนั้นพวกเขาตัวสั่นงันงกและคริสเตียนถึง กับหน้ามืดเป็นลม เมื่อรู้สึกต้วขึ้น ทั้งสองก็ปรึกษากันอีกว่าจะท�าตามที่ เจ้ายักษ์แนะน�าดีหรือไม่ คริสเตียนชักอยากจะท�าตามที่เจ้ายักษ์แนะน�า แต่ นายมีหวังเตือนสติว่า นายมีหวัง “พี่เอ๋ย จ�าไม่ได้แล้วหรือว่า กว่าจะมาถึงที่นี่ พี่บากบั่น และกล้าหาญเพียงไร แม้แต่อปอลิโยนก็ท�าอะไรพี่ไม่ได้ สิ่งที่พี่เห็นและ ได้ยินที่หุบเขาเงาความตายก็ไม่สามารถหันเหความสนใจของพี่ได้เลย พี่ ลองคิดถึงความยากล�าบาก ความน่าสะพรึงกลัว ความสับสนที่ผ่านมาสิ น้องเองน่ะอ่อนแอกว่าพี่อีก แต่น้องก็อยู่ในคุกมืดถูกตีเหมือนพี่ อดข้าวอดน�้า กับพี่และอยู่ในความมืดตลอดเวลา ขอให้เราอดทนอีกหน่อยเถอะ พี่เคย กล้าหาญมากในตอนที่อยู่งานแสดงสินค้าอนิจจัง พี่ไม่กลัวถูกล่ามโซ่ ไม่กลัว ถูกขัง ไม่กลัวความตาย ดังนั้น อย่าให้เราท�าสิ่งที่คริสเตียนต้องละอายใจเลย อดทนอีกนิดเท่าที่เราจะท�าได้เถอะ” คืนต่อมา เจ้ายักษ์และเมียของมันนอนคุยกัน นางยักษ์ถามถึงเรื่อง นักโทษว่าพวกนั้นท�าตามที่เจ้ายักษ์แนะน�าหรือเปล่า เจ้ายักษ์ตอบว่า “มัน


ปริศนาธรรม 125 ร้ายจริงๆ พวกมันยอมล�าบากแต่ไม่ยอมฆ่าตัวตาย” นางยักษ์จึงตอบว่า “พาพวกมันไปที่สนามหญ้าสิ แล้วก็ให้ดูโครงกระดูกกับหัวกะโหลกของคน ที่เราฆ่าตาย แล้วบอกพวกมันว่า ภายในอาทิตย์นี้เราจะฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆ เหมือนที่ท�ากับพวกที่ตายไปนั้น” เช้าวันต่อมาเจ้ายักษ์จึงน�าทั้งสองออกมาและพาพวกเขาไปที่ สนามหญ้าและให้ดูโครงกระดูกอย่างที่เมียยักษ์บอก เจ้ายักษ์พูดว่า “พวกนี้ ล้วนเป็นผู้แสวงหาปริศนาธรรมเหมือนอย่างเจ้า และได้บุกรุกไร่นาของข้า เหมือนกับเจ้านั่นแหละ ข้าจึงฉีกเนื้อพวกเขาเป็นชิ้นๆ และภายในสิบวัน ข้าก็จะท�ากับพวกเจ้าเช่นเดียวกันนี้ เอาล่ะ คลานกลับไปที่คุกมืดได้แล้ว” แล้วมันก็เฆี่ยนตีพวกเขาตลอดทาง พวกเขาจึงต้องนอนหมดสิ้นเรี่ยวแรง อย่างน่าสังเวชเช่นเคยตลอดวันเสาร์อีกวันหนึ่ง คืนนั้นเจ้ายักษ์กับเมียของมันได้ปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง เจ้ายักษ์ชรา รู้สึกแปลกใจเพราะไม่ว่ามันจะเฆี่ยนตีหรือแนะน�าอย่างไร ก็ไม่สามารถท�าให้ สองคนนั้นตายได้นางยักษ์จึงบอกว่า “พวกมันคงหวังว่าจะมีผู้มาช่วยมัน หรือไม่ก็อาจจะมีลวดเส้นเล็กๆ เพื่อใช้เปิดประตูนี้แล้วหนีออกไป” เจ้ายักษ์ บอกว่า “เธอคิดอย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะลองหาดู” กลางดึกวันเสาร์นั้นเอง คริสเตียนและนายมีหวังร่วมใจกันอธิษฐาน จนถึงเช้ามืด ก่อนฟ้าสาง คริสเตียนโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ท�าไมฉันถึงโง่ อย่างงี้นะ มัวนอนอยู่ในคุกน่าทุเรศเช่นนี้ทั้งๆ ที่เดินออกไปได้ ฉันมีกุญแจ ในกระเป๋าที่อกเสื้อชื่อพระสัญญา ฉันเชื่อว่ามันสามารถเปิดประตูทุกบาน ในปราสาทสงสัยได้” นายมีหวังพูดขึ้นมาว่า “ดีจริง พี่เอ๋ย รีบหยิบขึ้นมา ไขเถอะ” คริสเตียนจึงเอากุญแจแห่งพระสัญญาออกมาไขประตู ประตูห้องขัง ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย คริสเตียนและนายมีหวังจึงออกมาได้ แล้วพวกเขา ไปที่ประตูนอกเพื่อจะเปิดออกสู่นอกปราสาท และกุญแจนั้นก็ไขได้เช่นกัน หลังจากนั้นไปเปิดประตูเหล็ก ซึ่งจะต้องเปิดออกแน่ ประตูนี้ไขออกยากมาก


126 ปริศนาธรรม แต่ในที่สุดก็เปิดได้ ทั้งสองผลักประตูเต็มสุดแรงแล้วรีบวิ่งอย่างสุดชีวิต แต่ เสียงประตูดังมาก ท�าให้เจ้ายักษ์หมดหวังตื่นขึ้น มันถลาลุกขึ้นออกตาม นักโทษ แต่ขาของมันเริ่มอ่อนเปลี้ย เพราะเกิดอาการชักกระตุกขึ้นมาอีก มัน จึงไล่ตามพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นคริสเตียนและนายมีหวังจึงกลับมาที่ทางหลวง ด้วยความปลอดภัย เพราะพ้นเขตของเจ้ายักษ์แล้ว เมื่อมาถึงบันไดที่พวกเขาปีนข้ามรั้วในตอนแรกนั้น พวกเขาก็คิด กันว่าจะท�าอย่างไรเพื่อไม่ให้คนอื่นข้ามไปและตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ยักษ์หมดหวังอีก พวกเขาจึงตัดสินใจจารึกข้อความไว้ที่เสาใกล้บันไดนั้นว่า “บันไดนี้เป็นทางไปสู่ปราสาทสงสัย ซึ่งมียักษ์หมดหวัง ศัตรูของกษัตริย์ เมืองบรมสุขเกษมเป็นผู้ครอบครองอยู่ มันพยายามจะท�าลายนักแสวงหา ปริศนาธรรม” ภายหลังมีนักแสวงธรรมหลายคนที่ตามมาได้เห็นป้ายนี้ และ หลบหลีกอันตรายไปได้ หลังจากทั้งสองติดป้ายเสร็จก็ร้องเพลงว่า เมื่อออกจำกทำงของพระเจ้ำเรำได้พบ ยักษ์บัดซบมีนำมว่ำหมดหวัง ขอผู้ผ่ำนมำใหม่จงระวัง อย่ำได้หวังเปลี่ยนทำงเดินอยำกสบำย


บทน�ำสู่ตอนต่อไป หลังจากประสบการณ์ที่ยากล�าบากอย่างแสนสาหัสจากเจ้ายักษ์หมด หวังและปราสาทสงสัยแล้ว คริสเตียนและนายมีหวังก็เดินทางไปถึง ภูเขาเกษมสันต์ ที่คริสเตียนเคยมองเห็นแต่ไกลจากบ้านพักรับรองส�าหรับ ผู้แสวงธรรม ตอนนี้พวกเขาได้มาถึงจริงๆ เขาเรียนรู้ว่าในระหว่างทางจะ ผ่านความทุกข์ยากล�าบากสลับกับการพักผ่อนและความชื่นชมยินดี ภูเขาเกษมสันต์อยู่ในที่ดินขององค์อิมมานูเอล ซึ่งเป็นอีกนามหนึ่ง ของดินแดนปาเลสไตน์ ทั้งสองได้พบกับผู้เลี้ยงแกะ คือพวกที่เป็นตัวแทนของ ศิษยาภิบาล (ค�าว่า ศิษยาภิบาล หมายความว่า ผู้เลี้ยงแกะ) พวกผู้เลี้ยงแกะ ได้แก่ นายรอบรู้ นายช�านาญ นายคอยเตือน นายจริงใจ ชื่อของพวกเขา คือลักษณะของผู้น�าฝ่ายจิตวิญญาณ บันยันเองก็เป็นศิษยาภิบาล


คริสเตียนและนายมีหวังเดินทางมาถึงภูเขาเกษมสันต์ซึ่งเป็นของ พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาขึ้นไปดูสวนดอกไม้ สวนผลไม้ สวนองุ่น และ น�้าพุ ที่นั่นพวกเขาได้อาบน�้า ดื่มน�้าและกินผลไม้ต่างๆ อย่างสบายอกสบายใจ ตรงยอดเขาใกล้ๆ ทางหลวงมีพวกผู้เลี้ยงแกะเฝ้าฝูงแกะอยู่ ทั้งสองเดิน เข้าไปหาแล้วหยุดถามในท่าที่พิงไม้เท้าด้วยความอ่อนล้าว่า “ท่านครับ ภูเขา เกษมสันต์นี้เป็นของใครและแกะเหล่านี้เป็นของใคร” พวกเขำมำถึงภูเขำเกษมสันต์ เมื่อได้เพลิดเพลินได้พบผู้เลี้ยงแกะ ซึ่งได้ตักเตือนสั่งสอนชี้แนะ ถ้ำเชื่อและเกรงกลัวจะพ้นโพยภัย ผู้เลี้ยงแกะ “ภูเขานี้เป็นของท่านอิมมานูเอล ซึ่งมองจากที่นี่จะเห็น เมืองของพระองค์ได้ชัด แกะเหล่านี้ก็เป็นของพระองค์ พระองค์ได้สละชีวิต เพื่อแกะเหล่านี้” คริสเตียน “ทางนี้จะไปเมืองบรมสุขเกษมใช่มั้ยครับ” ผู้เลี้ยงแกะ “ใช่แล้ว” ตอนที่ 8


ปริศนาธรรม 129 คริสเตียน “อีกไกลมั้ยครับ” ผู้เลี้ยงแกะ “ไกลมากส�าหรับคนที่ไม่ได้แสวงหา แต่ใกล้แค่เอื้อม ส�าหรับคนที่ตั้งใจจริง” คริสเตียน “ทางนั้นปลอดภัยหรืออันตรายครับ” ผู้เลี้ยงแกะ “ปลอดภัยส�าหรับคนที่พระเจ้าน�า ‘แต่ผู้ที่รุกล�้าเข้าไปจะ สะดุดอยู่ในทางนี้” คริสเตียน “ภูเขาแห่งนี้มีที่พักส�าหรับนักแสวงหาปริศนาธรรมที่ เหน็ดเหนื่อยมั้ยครับ” ผู้เลี้ยงแกะ “เจ้าของภูเขานี้สั่งให้เราต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างดี ดังนั้นคุณสามารถเอาสิ่งที่ดีในภูเขานี้ไปได้ทุกอย่าง” ข้าพเจ้าเห็นในความฝันว่า เมื่อพวกผู้เลี้ยงแกะสังเกตได้ว่าสองคนนี้ เป็นนักเดินทางจึงถามพวกเขาว่า “พวกคุณมาจากไหน” “คุณมาเดินทางนี้ ได้อย่างไร” และ “คุณอดทนต่อความยากล�าบากได้อย่างไร เพราะมีไม่กี่คน ที่มาถึงที่นี่ได้” เมื่อพวกเขาตอบค�าถามเช่นเดียวกับที่เคยตอบมาแล้วหลายครั้ง ผู้เลี้ยงแกะรู้สึกชื่นชม และมองดูพวกเขาด้วยความรักใคร่เอ็นดูพร้อมกับ กล่าวว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ภูเขาเกษมสันต์” ผู้เลี้ยงแกะที่ชื่อนายรอบรู้ นายช�านาญ นายคอยเตือน และนายจริงใจ ได้จูงมือพวกเขาไปที่เต็นท์และให้รับประทานอาหารที่เตรียมไว้ให้ นอกจากนี้ พวกผู้เลี้ยงแกะยังบอกว่า “เราอยากให้พวกคุณพักที่นี่สักระยะหนึ่ง เพื่อจะได้ รู้จักมักคุ้นกัน และที่ส�าคัญ พวกคุณจะได้พักผ่อนอย่างดีที่ภูเขาเกษมสันต์นี้” คริสเตียนและนายมีหวังตอบว่าพวกเขายินดีที่จะอยู่ พวกเขาจึงไปพักผ่อน เพราะตอนนั้นดึกแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เลี้ยงแกะชวนคริสเตียนและนายมีหวังไปเดินชมภูเขา พวกเขาเห็นทิวทัศน์ที่งดงามมาก พวกผู้เลี้ยงแกะคุยกันว่า “เราให้เขาดู อะไรที่น่าฉงนสนเท่ห์ดีมั้ย” พวกผู้เลี้ยงแกะตกลงแล้วพาเขาไปที่ยอดเขา


130 ปริศนาธรรม ชื่อว่าหลงผิดซึ่งชันมาก พวกผู้เลี้ยงแกะบอกให้พวกเขามองลงไปข้างล่าง คริสเตียนและนายมีหวังมองลงไปและเห็นหลายคนตกลงไปจากยอดเขาร่าง แหลกเหลว คริสเตียนถามว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” ผู้เลี้ยงแกะตอบ ว่า “คุณไม่เคยได้ยินเรื่องคนที่หลงไปเชื่อฮีเมนีอัส และฟีเลทัสเรื่องการที่ ร่างกายเป็นขึ้นจากความตายหรือ” พวกเขาตอบว่า “เคย” ผู้เลี้ยงแกะจึง บอกว่า “พวกที่หลงไปจากความเชื่อก็เป็นอย่างนี้แหละ พวกนี้ต้องตกลงไป ในหุบเหวร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังว่า อย่าไต่สูงเกินไปหรือเข้าใกล้หน้าผานี้เกินไป” ข้าพเจ้าเห็นพวกผู้เลี้ยงแกะน�าเขาทั้งสองไปที่ยอดเขาอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ระวังระไว แล้วให้มองลงไปเบื้องล่างสุดสายตา พวกเขาเห็นผู้ชายหลายคน เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ในบริเวณสุสาน เมื่อสังเกตดู ก็รู้ว่าคนพวกนี้ตาบอด เพราะบางครั้งพวกเขาเดินสะดุดแล้วสะดุดอีกและไม่สามารถออกจากบริเวณ สุสานได้ คริสเตียนจึงถามขึ้นว่า “นี่หมายความว่ายังไง” ผู้เลี้ยงแกะตอบว่า “คุณเห็นขั้นบันไดตรงเชิงเขาที่ไปสู่ทุ่งนั้นมั้ย ทางซ้ายน่ะ” พวกเขาตอบว่า “เห็น” ผู้เลี้ยงแกะบอกอีกว่า “บันไดนั้นน�าไปสู่ ปราสาทสงสัยของเจ้ายักษ์หมดหวัง และคนเหล่านั้นเป็นพวกนักแสวงธรรม เหมือนคุณนั่นแหละ แต่พวกเขาได้ข้ามบันไดไปเพราะทางที่ที่ควรจะไปนั้น มันขรุขระ พวกเขาจึงเดินลัดทุ่ง แล้วก็ถูกยักษ์หมดหวังจับขังไว้ในปราสาท สงสัย หลังจากอยู่ในคุกมืดระยะหนึ่ง เจ้ายักษ์หมดหวังก็ควักลูกตาของ พวกเขาออก แล้วก็พามาที่หลุมฝังศพแห่งนี้และปล่อยให้พวกเขาเดินวนเวียน อยู่แถวนั้นอย่างที่เห็นนั่นแหละ ดังภาษิตว่า ‘ผู้ใดที่หันเหไปจากทางแห่งความ เข้าใจจะตกอยู่ในที่ประชุมของคนตาย’ แล้วคริสเตียนและนายมีหวังก็หันไป สบตากันด้วยน�้าตานองหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรกับผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าฝันเห็นผู้เลี้ยงแกะน�าพวกเขาไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นหุบเขา และมีประตูเข้าสู่หุบเขานั้น ผู้เลี้ยงแกะเปิดประตูและบอกให้พวกเขามอง


ปริศนาธรรม 131 เข้าไปข้างใน พวกเขามองเข้าไปและเห็นว่ามันมืดและมีควันมาก มีเสียง เหมือนไฟปะทุ เสียงกรีดร้องโหยหวนและกลิ่นก�ามะถัน คริสเตียนถามว่า “นี่หมายความว่าอะไร” ผู้เลี้ยงแกะตอบว่า “นี่เป็นถนนสู่นรกอีกสายหนึ่ง เป็นหนทางของคนหน้าไหว้หลังหลอก คนที่ขายสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว คนที่ทรยศเจ้านายของตนเหมือนยูดาส คนที่ดูหมิ่นพระกิตติคุณเหมือน อเล็กซานเดอร์ และคนที่โกหกเหมือนอานาเนียและสัปฟีรา” แล้วนายมีหวัง จึงถามผู้เลี้ยงแกะว่า “ทุกคนที่นี่ เคยเป็นนักแสวงธรรมเหมือนเราใช่มั้ย” ผู้เลี้ยงแกะ “ใช่ และเป็นเวลานานด้วย” นายมีหวัง “พวกเขาไปได้ไกลแค่ไหนก่อนจะถูกทอดทิ้งอย่างน่า สมเพชเช่นนี้” ผู้เลี้ยงแกะ “บางคนเลยไปไกลกว่าภูเขานี้อีก แต่บางคนก็มาไม่ถึง” ทั้งสองหันไปพูดกันว่า “โอ... ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะต้องขอก�าลังจาก พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์นะ” ผู้เลี้ยงแกะ “ใช่ คุณมีโอกาสที่จะต้องใช้ก�าลังอีกมาก” ตอนนี้ทั้งสองต้องการเดินทางต่อไป ผู้เลี้ยงแกะก็เห็นด้วย พวกเขาจึง เดินไปด้วยกันจนสุดภูเขา แล้วผู้เลี้ยงแกะก็พูดว่า “ให้พวกเขาได้เห็นประตู เมืองบรมสุขเกษมเถอะ ถ้าพวกเขาใช้กล้องส่องทางไกลของเราเป็น” ทั้ง สองรับข้อเสนอด้วยความยินดี ผู้เลี้ยงแกะจึงพาพวกเขาไปบนยอดเขาชื่อ ชัดเจน และให้กล้องส่องทางไกลแก่พวกเขา พวกเขาพยายามจะมองดูแต่ภาพที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้ ท�าให้ มือของพวกเขาสั่นจึงเห็นภาพไม่ค่อยชัด แต่พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เห็น อะไรบางอย่างเหมือนประตู และมีรัศมีเรืองรองเปล่งประกายออกมาจาก เมืองนั้น จากนั้นพวกเขาก็เดินทางต่อไปและร้องเพลงว่า ผู้เลี้ยงแกะเผยควำมลับให้รู้ เขำจะให้ดูสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น เขำสอนควำมรู้คนอื่นที่ไม่เป็น สิ่งลับเร้นกระจ่ำงได้ไม่ปิดบัง


132 ปริศนาธรรม ก่อนที่พวกเขาจะจากไปผู้เลี้ยงแกะคนหนึ่งให้แผนที่ อีกคนหนึ่ง เตือนให้พวกเขาระวังนายป้อยอ อีกคนหนึ่งเตือนว่าอย่านอนหลับในดินแดน มนต์สะกดเป็นอันขาดและอีกคนได้อวยพร จากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่น เมื่อข้าพเจ้าหลับ ข้าพเจ้าฝันอีกว่า ชายทั้งสองคนนั้นเดินตามทางหลวง ลงภูเขาไปสู่เมืองบรมสุขเกษม ทางซ้ายมีเมืองหนึ่งชื่อเมืองอวดดี มีทางเล็กๆ คดเคี้ยวสายหนึ่งเชื่อมเข้ากับทางที่จะไปเมืองบรมสุขเกษมที่ทั้งสองเดินอยู่ พวกเขาพบชายหนุ่มที่กระฉับกระเฉงคนหนึ่งเดินออกมาจากเมือง เขาชื่อ นายไม่รับรู้ คริสเตียนถามเขาว่า มาจากไหน และจะไปไหน นายไม่รับรู้ “ฉันเกิดที่เมืองทางซ้ายนั่นไง และฉันก�าลังจะไปเมือง บรมสุขเกษม” คริสเตียน “คุณวางแผนการเดินทางบ้างหรือเปล่า เพราะการไปที่ ประตูนั้นน่ะมีอุปสรรคมากนะ” นายไม่รับรู้ “คนดีทั้งหลายเข้าไปอย่างไร ฉันก็จะเข้าไปอย่างนั้นแหละ” คริสเตียน “แต่ท่านจะใช้ใบส�าคัญอะไรแสดงแก่นายประตู เพื่อให้เขา เปิดประตูล่ะ” นายไม่รับรู้ “ฉันรู้น�้าพระทัยพระเจ้าดี ฉันมีชีวิตที่ดี ไม่เป็นหนี้ใคร อธิษฐาน อดอาหาร ถวายทรัพย์ และแจกจ่ายแก่คนยากจน และฉันก็ได้ ทิ้งบ้านเมืองของฉันเพื่อเดินทางไปที่นั่น” คริสเตียน คุณไม่ได้เข้ามาทางประตูแคบซึ่งอยู่ต้นทางโน้น แต่คุณ มาโดยทางเล็กคดเคี้ยวนั่น ดังนั้น ฉันเกรงว่าไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองดีเพียงใด เมื่อวันพิพากษามาถึง คุณอาจจะถูกตัดสินเหมือนพวกหัวขโมยมากกว่าจะ ได้เข้าเมืองนะ” นายไม่รับรู้ “ท่านสุภาพบุรุษ ท่านเป็นคนแปลกหน้าส�าหรับฉัน ฉัน ไม่รู้จักท่าน ท่านเชื่อศาสนาของท่านไปเถอะ ส่วนฉันก็เชื่อศาสนาของฉัน แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง ประตูแคบที่ท่านว่าน่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าไกลจากเมือง


ปริศนาธรรม 133 ของเรามาก ฉันไม่คิดว่าจะมีใครรู้ทางไปหรอก และฉันคิดว่ามันไม่ส�าคัญ อะไรนักหรอก เพราะเมืองเรามีถนนสวยงามอันเขียวชอุ่มเชื่อมต่อกับทางนี้” คริสเตียนมองดูคนที่ “ฉลาดในสายตาของเขาเอง” แล้วกระซิบกับ นายมีหวังว่า “ยังมีหวังในคนโง่ได้มากกว่าในคนเช่นนี้” และเสริมอีกว่า “ ‘แม้เมื่อคนเขลาก�าลังเดินไปตามทาง เขาก็ขาดส�านึก และตัวเขามักแสดง แก่ทุกคนว่าตนเป็นคนเขลา’ เราจะคุยกับเขาต่อ หรือผ่านเขาไป ปล่อยให้ เขาคิดเรื่องที่เราพูด แล้วคอยดูว่าจะท�าอะไรให้เขาได้บ้าง” แล้วนายมีหวัง บอกว่า ปล่อยให้เขำคิดสักพัก เผื่อจักหำยงงสงสัย ถ้ำหำกเขำไม่เข้ำใจ รอดได้อย่ำงไรเพื่อนเอย นายมีหวัง “เราไม่ควรบอกเขาหมดทุกอย่างในครั้งเดียว เอาไว้คุยกับ เขาทีหลัง เมื่อเขาสามารถรับได้ดีกว่า” ดังนั้นทั้งสองจึงเดินผ่านเขาไป นายไม่รับรู้ก็เดินตามหลังพวกเขา พอเดินไปได้สักพักทั้งสองได้เข้าไปในซอยที่มืดมิด และได้พบกับชายคนหนึ่ง ถูกปีศาจเจ็ดตัวมัดร่างเขาไว้ด้วยเชือกเจ็ดเส้น และพวกมันก�าลังแบกเขา เข้าไปในประตูนรกที่ทั้งสองเห็นที่เชิงเขานั้น ตอนนี้คริสเตียนคนดีเริ่มตัวสั่น นายมีหวังก็เช่นกัน เมื่อพวกปีศาจแบกชายคนนั้นผ่านไป คริสเตียนหันไปดูว่า เขาจะรู้จักชายคนนั้นหรือไม่ เขาคิดว่าคงเป็นนายหันหนีที่อยู่ในเมืองหลงหาย แต่คริสเตียนมองเห็นหน้าไม่ชัดเจนเพราะชายคนนั้นมีอาการคอตกอยู่เหมือน ขโมยที่ถูกจับได้ เมื่อแบกผ่านไปนายมีหวังก็เหลียวตามเห็นกระดาษติดอยู่ ข้างหลังเขาเขียนว่า “อาจารย์กิเลสหนา ผู้ที่หันหลังให้” แล้วคริสเตียนก็ พูดกับนายมีหวังว่า “ฉันนึกถึงชายคนหนึ่งชื่อนายเชื่อน้อย เขาเป็นคนดี คนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่เมืองจริงใจ เรื่องราวของเขาเป็นดังนี้ บริเวณที่เชื่อมต่อ


134 ปริศนาธรรม กับทางนี้ มีซอยมาจากประตูกว้างชื่อซอยคนตาย ที่เรียกอย่างนี้ก็เพราะมี การฆาตกรรมที่นั่น นายเชื่อน้อยเป็นผู้แสวงธรรมคนหนึ่งเหมือนเรา เขา นั่งพักที่นั่นและม่อยหลับไป มีสามพี่น้องจอมโกงชื่อ นายใจปลาซิว นายไม่ไว้ใจ และนายรู้สึกผิด เดินมาตามซอยจากประตูกว้าง พอพวกนั้นเห็นนายเชื่อน้อย ก็วิ่งรี่เข้าประชิดตัว นายเชื่อน้อยคนดีเพิ่งจะตื่นขึ้นและเตรียมตัวออกเดินทางต่อ พวกนั้นข่มขู่เสียงดังให้เขาลุกขึ้นยืน นายเชื่อน้อยหน้าซีดเผือด ไม่มีทั้งก�าลัง ที่จะสู้และเรี่ยวแรงที่จะหนี แล้วนายใจปลาซิวก็ตะโกนว่า “ส่งกระเป๋าเงินมา” แต่นายเชื่อน้อยก็ไม่ส่งให้เพราะเสียดายเงิน นายไม่ไว้ใจจึงตรงเข้าไปหา นายเชื่อน้อยแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า เขาดึงถุงเงินออกมา นายเชื่อน้อย ร้องว่า “ขโมย ขโมย” นายรู้สึกผิดจึงใช้ไม้ท่อนใหญ่ตีเข้าที่หัว นายเชื่อน้อย หมดสติทรุดฮวบลงกับพื้น เลือดออกมากจนเกือบตาย ขณะนั้นเองมีเสียงคน ก�าลังเดินมา หัวขโมยทั้งสามกลัวว่าจะเป็นเสียงของนายพระคุณยิ่งใหญ่ แห่งเมืองมั่นใจดี พวกนั้นจึงวิ่งหนีไป หลังจากนั้นไม่นาน นายเชื่อน้อย ฟื้นขึ้นแล้วค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นและเดินโซซัดโซเซต่อไป” นายมีหวัง “พวกนั้นขโมยเงินเขาไปหมดมั้ยเนี่ย” คริสเตียน “ไม่หมด พอดีพวกนั้นไม่ได้ค้นที่ตัวก็เลยไม่พบอัญมณี ของเขาที่ซ่อนไว้ แต่เขาก็ต้องล�าบากมากเพราะพวกนั้นเอาเงินไปเกือบหมด เขาเหลือเงินนิดหน่อยแทบจะไม่พอส�าหรับเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง เสียด้วยซ�้า เอ้อ! ผมพูดผิดถ้าจ�าไม่ผิดนะ เขาต้องเดินไปขอทานไปเพราะ เขาขายอัญมณีที่มีค่าของเขาไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะขอทานอย่างคนหมดปัญญา แต่ก็ยังหิวโหยอยู่ตลอดทาง” นายมีหวัง “นับว่าอัศจรรย์มากที่พวกหัวขโมยไม่ได้เอาใบเบิกทางเข้า เมืองบรมสุขเกษมไปด้วย” คริสเตียน “น่าอัศจรรย์จริงๆ ด้วยแหละ พวกนั้นพลาดไม่ใช่เพราะ ความฉลาดของเขาเองหรอก เพราะเขาก�าลังตกใจกลัว เมื่อพวกนั้นเข้าจู่โจม เขาไม่มีก�าลังต่อสู้หรือชั้นเชิงในการซุกซ่อนอะไรเลย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการ ช่วยกู้ของพระเจ้ามากกว่าก�าลังของเขาเอง ที่พวกนั้นไม่ได้เอาสิ่งมีค่าไป”


ปริศนาธรรม 135 นายมีหวัง “เขายังคงพออุ่นใจเพราะอัญมณีไม่ถูกขโมยไปด้วย” คริสเตียน “แต่เขาจะอุ่นใจขึ้นมาก ถ้าได้ใช้อัญมณีอย่างถูกต้อง คน ที่เล่าเรื่องให้ฉันฟังบอกว่า ตลอดทางเขาไม่ได้ใช้อัญมณีนั้นเลย เพราะรู้สึก ท้อแท้ใจมากกับการสูญเสียเงินนั้น จริงๆ แล้วเขาลืมด้วยซ�้าว่าเขามีอัญมณีอยู่ พอระลึกได้ว่ายังมีอัญมณีอยู่ ความคิดที่ว่าเขาสูญเสียเงินไปก็เข้ามาแทน และหุ้มห่อจิตใจจนมืดมิด” นายมีหวัง “โธ่ น่าสงสารจริง เขาคงเศร้ามากนะ” คริสเตียน “เศร้ารึ แน่นอน เศร้าเอามากๆ ด้วย เป็นเราเราก็เศร้าแน่ ถูกปล้นถูกตีหัว แถมอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่างนั้น อัศจรรย์มากที่เขาไม่ตาย เพราะความเศร้าโศก คนที่เล่าเรื่องนี้บอกว่า เขาโอดครวญกับทุกคนที่พบอย่าง ขมขื่นตลอดทางว่า เขาถูกปล้น ถูกตี และพรรณนาด้วยว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน ใครท�า เขาสูญเสียอะไรไปบ้าง และรอดมาอย่างหวุดหวิดได้อย่างไร” นายมีหวัง “ท�าไมเขาไม่ขายหรือจ�าน�าอัญมณีบางเม็ดนะ จะได้มีเงิน ส�าหรับเดินทาง” คริสเตียน “แหม คุณพูดเหมือนเด็กไร้เดียงสา จะขายหรือจ�าน�ากับใคร และจะแลกอะไรได้ล่ะ อัญมณีของเขาไม่มีค่าในเมืองนั้นหรอก และเขาก็ไม่ อยากบรรเทาความหิวโหยด้วยวิธีนั้น นอกจากนั้นนะ เมื่อเขาไปถึงประตู เมืองบรมสุขเกษม ถ้าเขาไม่มีอัญมณี เขาก็จะเข้าไม่ได้ เขาเองรู้ตัวดี ถ้า ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นคงแย่กว่าเจอโจรเป็นพันๆ คนอีกนะ” นายมีหวัง “ท�าไมพูดรุนแรงกับฉันนักล่ะพี่เอ๋ย ขนาดเอซาวยังขาย สิทธิบุตรหัวปีแลกอาหารมื้อเดียวเลย และสิทธิบุตรหัวปีนั้นก็คืออัญมณีล�้าค่า ที่สุด ท�าไมนายเชื่อน้อยไม่ขายบ้างล่ะ” คริสเตียน “ใช่” เอซาวขายสิทธิบุตรหัวปีไป และอีกหลายคนก็ ท�าอย่างนั้น การท�าเช่นนั้นพวกเขาก็พลาดพระพรที่ยิ่งใหญ่ไป เหมือนกับ เจ้าคนโง่ขี้ขลาด แต่คุณเห็นมั้ยว่าเอซาวและนายเชื่อน้อยมีความแตกต่างกัน สถานการณ์ก็แตกต่างกันด้วย สิทธิบุตรหัวปีของเอซาวเป็นเครื่องหมายของ


136 ปริศนาธรรม พระพร แต่อัญมณีของนายเชื่อน้อยไม่ใช่อย่างนั้น พระของเอซาวคือท้อง ของเขา แต่นายเชื่อน้อยไม่ได้มีพระอย่างนั้น ความอยากอาหารครอบครองชีวิต ของเอซาว แต่นายเชื่อน้อยไม่ได้เป็นอย่างนั้น นอกจากนั้นเอซาวยังมองไม่เห็น อนาคตเพียงแต่อยากจะดับตัณหาของเขาเท่านั้น เขาพูดว่า ‘ดูสิ ข้าก�าลังจะตาย อยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้า’ แต่นายเชื่อน้อยแม้ว่าจะมี ความเชื่อน้อย เขาก็เก็บรักษาอย่างดี ไม่ยอมขายอัญมณี เพราะเห็นคุณค่า ของมัน คุณเคยอ่านพบมั้ยว่าเอซาวมีความเชื่อ เขาไม่มีความเชื่อเลย จึง ไม่แปลกที่เขาจะขายสิทธิบุตรหัวปีและจิตวิญญาณของตัวเองแก่มาร เพราะ เมื่อเนื้อหนังครอบครองมนุษย์คนใด เขาก็จะท�าเช่นนั้น (คนที่ไม่มีความเชื่อจะ ต้านทานไม่ไหว) เขาจะเป็นเหมือนลาป่าที่ไม่สามารถระงับความใคร่ของมันได้ เมื่อถึงเดือนที่ก�าหนด เมื่อคนสนใจแต่ตัณหาของตัวเอง เขาก็จะต้องสนอง ตัณหานั้นให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเท่าไหร่ก็ตาม แต่นายเชื่อน้อยไม่ได้เป็น อย่างนั้น เขาปักใจอยู่กับสวรรค์และด�ารงชีวิตโดยพึ่งพระเจ้า ดังนั้นเขาจะ ได้อะไรถ้าเขาขายอัญมณี (จะมีใครซื้อหรือ) และจะได้อะไรถ้ามัวคิดเรื่องไร้ สาระ คนจะจ่ายเงินหนึ่งบาทเพื่อซื้อหญ้าแห้งกินให้อิ่มท้องได้หรือ หรือคุณ จะชวนเชิญนกเขาให้กินซากสัตว์อย่างกาได้หรือ แม้ว่าคนที่ไร้ความเชื่อจะ จ�าน�าหรือขายสิ่งที่เขามีอยู่รวมทั้งจิตวิญญาณของเขาเพื่อดับตัณหาได้ แต่ คนที่มีความเชื่อ (แม้จะเล็กน้อย) จะไม่สามารถท�าอย่างนั้น นี่แหละ น้องเอ๋ย ที่เจ้าคิดผิดไปหน่อย” นายมีหวัง “คราวนี้ฉันรู้แล้ว แต่คุณพูดแรงอย่างนั้น เกือบท�าให้ฉัน โกรธนะ” คริสเตียน “ท�าไมล่ะ ฉันเพียงเปรียบเทียบคุณกับเด็กไร้เดียงสา เท่านั้นเอง เอ้อ ลืมมันซะเถอะนะ มาพิจารณาเรื่องที่เราคุยกันดีกว่า แล้ว ทุกอย่างระหว่างเราก็จะเป็นไปด้วยดีเองแหละ” นายมีหวัง “ฉันคิดว่าเจ้าสามคนนั่นเป็นแค่คนขี้ขลาดเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะวิ่งหนีเหรอเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครเดินเข้ามา


ปริศนาธรรม 137 นายเชื่อน้อยน่าจะกล้าหาญกว่านี้หน่อยนะ ฉันว่าอย่างน้อยเขาก็ควรออกแรง สู้บ้าง และถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยยอมแพ้ก็ได้” คริสเตียน “หลายคนว่านายเชื่อน้อยนั้นขี้ขลาด แต่ในเวลาคับขันขึ้นมา ตัวเองก็ท�าไม่ได้ นายเชื่อน้อยใจไม่กล้าอยู่แล้ว และส�าหรับสิ่งที่คุณพูด ถ้า เป็นคุณ พอประจันหน้าคุณคงยอมแพ้แน่ ที่คุณกล้าหาญก็เพราะพวกโจร มันอยู่ห่างจากคุณต่างหากล่ะ ถ้าเขาจู่โจมคุณเหมือนที่ท�ากับนายเชื่อน้อย ล่ะก็... คุณอาจจะคิดอย่างอื่นก็ได้ ขอจ�าไว้นะ ถึงพวกนั้นเป็นแค่ขโมย รับจ้างของกษัตริย์แห่งช่องบาดาลเท่านั้น แต่ถ้าจ�าเป็นมันจะมาช่วยสมุน ของมันแน่ เสียงของมันเหมือนสิงโตค�าราม ฉันเองก็เคยตกอยู่ในสภาพ เดียวกับนายเชื่อน้อย มันน่าเกลียดน่ากลัวมาก เจ้าจอมวายร้ายทั้งสามมัน จู่โจมฉันและเมื่อฉันเริ่มต่อสู้เหมือนที่คริสเตียนท�ากัน มันก็เรียกนายใหญ่ ของมัน เพียงครั้งเดียวมันก็มาเลย มีภาษิตว่าแม้ชีวิตของฉันจะไม่มีค่า แต่ พระเจ้าประทานยุทธภัณฑ์ไว้เพื่อป้องกันตัวฉัน กระนั้นฉันก็ต่อสู้อย่างยาก ล�าบาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะต้องเผชิญอะไรในสนามรบบ้างถ้าเขาไม่ได้ออก ต่อสู้ด้วยตัวเองเสียก่อน” นายมีหวัง “แต่เจ้าพวกนั้นวิ่งหนีไปเพราะแค่นึกว่านายพระคุณยิ่งใหญ่ มาเท่านั้นเองนี่นา” คริสเตียน “ใช่ พวกมันทั้งหมดและนายของมันมักจะวิ�งหน่นาย พระคุณยิ�งใหญ่เสมอเพราะเขาเป็นอัศวินของพระราชา แต่ฉันเชื่อว่าคุณ คงเห็นความแตกต่างของนายเชื่อน้อยกับนายพระคุณยิ�งใหญ่นะ ไม่ใช่คน ของพระราชาทุกคนจะได้เป็นอัศวินและไม่ใช่ทุกคนจะกล้าหาญเหมือนนาย พระคุณยิ�งใหญ่ เด็กทุกคนจะสู้กับโกลิอัทได้เหมือนดาวิดหรือ นกกระจิบ จะแข็งแรงเหมือนวัวได้หรือ บางคนแข็งแรง บางคนอ่อนแอ บางคนมี ความเชื่อมาก บางคนมีความเชื่อน้อย นายเชื่อน้อยเป็นคนหนึ�งในบรรดา ผู้อ่อนแอ ฉะนั้นความพ่ายแพ้จึงเกิดกับเขาชั่วคราว” นายมีหวัง “นายพระคุณยิ่งใหญ่น่าจะเดินมาจริงๆ นะ”


138 ปริศนาธรรม คริสเตียน “ถ้าเขามาเขาต้องหัวปั่นแน่ เพราะถึงแม้ว่านายพระคุณ ยิ่งใหญ่จะสามารถใช้อาวุธได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถจัดการไม่ให้ทั้งสาม เข้าประชิดตัวได้ด้วยดาบก็ตาม แต่ถ้านายใจปลาซิวหรือนายไม่ไว้ใจหรือ นายรู้สึกผิดเข้าประชิดตัวเขาได้ละก็ ในที่สุดเขาต้องโดนน็อคอย่างแน่นอน และเมื่อเขาโดนน็อค เขาจะท�ายังไง ถ้ามีใครมองดูหน้านายพระคุณยิ่งใหญ่ดีๆ ละก็ จะเห็นแผลเป็น มากมายซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงสิ่งที่ฉันกล่าวแล้วได้ดี ฉันได้ยินเขาพูดว่า ในการสู้รบครั้งหนึ่ง ‘เราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้’ เจ้าตัวร้าย พวกนั้นท�าให้ดาวิดต้องคร�่าครวญ ไว้ทุกข์และแผดเสียงดังก้อง ทั้งเฮมาน และเฮเซคียาห์ด้วย แม้ว่าในสมัยนั้นพวกเขานับเป็นอัศวิน แต่เมื่อเจ้าวายร้าย เหล่านั้นได้เข้าประชิดตัว พวกเขาก็แพ้ยับเยิน มีครั้งหนึ่งเปโตรสู้รบกับ พวกนี้ พวกมันจัดการเปโตรอย่างช�านาญ จนในที่สุดท�าให้เปโตรหวั่นเกรง ต่อหน้าสาวใช้ที่อ่อนแอคนหนึ่ง นอกจากนี้ กษัตริย์ของมันยังอยู่ใกล้ๆ เรียกได้ตลอดเวลา ถ้าพวกมัน เสียเปรียบล่ะก็เจ้าหัวหน้าจะมาช่วยทันที เคยมีค�าพูดเกี่ยวกับเจ้าตัวหัวหน้า นั้นว่า ‘คนใดเอาดาบแทงมันก็ต่อต้านมันไม่ได้ ไม่ว่าหอกหรือแหลน หรือ หอกซัด มันนับเหล็กว่าเป็นฟาง และทองสัมฤทธิ์ว่าเป็นไม้ผุ ลูกธนูท�าให้ มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว ไม้กระบองเป็นเหมือนตอข้าว ด้วย มันหัวเราะเยาะเสียงหอกซัด’ แต่นักเดินทางอย่างคุณและฉันอย่าได้เจอะเจอมันเลย เราอย่าได้คุยโว เลยว่า ถ้าเป็นเราคงท�าได้ดีกว่าคนที่เราได้ยินว่าพ่ายแพ้ และอย่ามัวแต่ฝัน ถึงความกล้าหาญของตัวเองเลย เพราะคนที่ท�าอย่างนั้นมักจะพ่ายแพ้อย่าง ไม่เป็นท่าเมื่อเจอกับเหตุการณ์จริงเข้า ดูอย่างเปโตรสิ เขาโม้ว่าเขาจะ ยืนหยัดที่จะอยู่กับอาจารย์ของเราตลอด แต่ปรากฏเมื่อเจ้าวายร้ายโจมตีเขา เขาก็พ่ายแพ้อย่างหมดท่ามากกว่าใครเสียอีก ดังนั้นเมื่อเราได้ยินเรื่องการปล้นบนทางหลวงนี้ เราควรท�า 2 ประการคือ


ปริศนาธรรม 139 หนึ่ง สวมยุทธภัณฑ์แล้วออกไปต่อสู้ และอย่าลืมเอาโล่ไปด้วย เพราะ คนที่ไปสู้กับเลวีอาธาน เอาชนะมันไม่ได้ก็เพราะไม่มีโล่นี่แหละ ถ้าเราไม่มี อาวุธและโล่ มันจะไม่กลัวเราเลย ดังนั้นผู้ช�านาญศึกจึงกล่าวว่า ‘เราพร้อม กับสิ่งทั้งหมดนั้น จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิง ของพญามารเสีย’ สอง ขอให้กษัตริย์ของเราประทานผู้อารักขาให้เราหรือขอให้พระองค์เอง ไปกับเราด้วย การที่พระองค์ไปด้วยนั้นท�าให้ดาวิดชื่นชมยินดีเมื่ออยู่ใน หุบเขาเงาความตาย และโมเสสรู้สึกว่าตายดีกว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ไปด้วยกับเขา น้องเอ๋ย ถ้าพระองค์ไปกับเรา เราจะกลัวอะไรกับศัตรูเป็นพันๆ ล่ะ แต่ถ้า ไม่มีพระองค์ ‘เขาล้มลงในหมู่พวกคนที่ถูกฆ่า’ ฉันเองเคยอยู่ในสงครามมาก่อน และโดยพระคุณของพระเจ้า ฉันจึง รอดชีวิตมาแต่ฉันไม่สามารถอวดได้เลย ฉันจะดีใจมาก ถ้าไม่ต้องถูกจู่โจม อย่างนั้นอีก ฉันกลัวว่าเรายังไม่พ้นเขตอันตราย เนื่องจากสิงโตและหมียัง ไม่ได้กินฉันเป็นอาหาร ฉันจึงหวังว่าพระเจ้าจะช่วยเราให้พ้นจากพวกศัตรู ที่ไม่รู้จักพระเจ้า” คริสเตียนร้องเพลงว่า นำยเชื่อน้อยถูกปล้นกลำงทำง ท่ำทำงดูน่ำสงสำร หำกเรำต้องกำรมีชัยชำญ ต้องสู้อย่ำงเหี้ยมหำญด้วยควำมเชื่อ ทั้งสองเดินทางต่อไปโดยที่นายไม่รับรู้เดินตามหลัง จนกระทั่งเดินมา ถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งมีทางแยกออกไป ทางนั้นดูเหมือนตรงเหมือนกับทางที่เขา ควรไป พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะไปไหนจึงหยุดตัดสินใจว่าจะท�าอย่างไรดี ขณะ ที่ก�าลังคิดอยู่นั้นมีชายตัวด�าคนหนึ่งใส่เสื้อคลุมสีขาวสว่างไสวเดินเข้ามา ทักทายพวกเขาแล้วถามว่า “ท�าไมจึงยืนอยู่ที่นั่น” พวกเขาตอบชายคนนั้น


140 ปริศนาธรรม ไปว่าก�าลังจะไปเมืองบรมสุขเกษม แต่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ชายคนนั้นบอก ว่า “ตามข้ามาสิ ข้าก็ก�าลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน” ดังนั้นพวกเขาจึงตามชาย ผู้นั้นไปตามทางที่แยกออกไปนั้น ทางใหม่นั้นท�าให้พวกเขาค่อยๆ หันออก จากทางที่จะไปเมืองบรมสุขเกษม แต่พวกเขาก็ยังคงติดตามชายคนนั้นอยู่ กว่าทั้งสองจะรู้ตัวก็ติดอยู่ในตาข่ายของชายคนนั้นเสียแล้ว ตาข่ายนั้นพันตัว พวกเขาพัลวันไปหมด จนพวกเขาไม่รู้ว่าจะท�าอย่างไร แล้วเสื้อคลุมสีขาว ของชายคนนั้นก็หลุดออก ทั้งสองเริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน จึงเริ่มร้องไห้ เพราะหนีไปไหนไม่ได้ คริสเตียน “พี่ผิดเอง พวกผู้เลี้ยงแกะเตือนเราแล้วเรื่องนายป้อยอ มี ภาษิตหนึ่งบอกว่า ‘คนที่ป้อยอเพื่อนบ้านตนก็เปรียบเหมือนวางตาข่ายดัก เท้าของเรา’ ” นายมีหวัง “พวกผู้เลี้ยงแกะได้ให้แผนที่พวกเราแล้วด้วย แต่เราลืมดู แล้วไม่ยับยั้งเท้าของเราจากทางผู้ท�าลาย ดาวิดฉลาดกว่าเราในเรื่องนี้นะ เพราะเขาพูดว่า ‘เรื่องกิจการของมนุษย์ที่พระองค์กล่าวถึง ข้าพระองค์มิได้ ข้องเกี่ยวกับทางแห่งคนทารุณโหดร้าย’ ” พวกเขาต้องอยู่ในตาข่ายอย่างเศร้าสลด จนในที่สุดเขาเห็นชายคนหนึ่ง ผิวกายผุดผ่องเดินเข้ามาหาพวกเขา ในมือถือแส้เล็กๆ เมื่อมาถึงเขาถามว่า “ทั้งสองมาจากไหน และก�าลังจะไปไหน” เขาทั้งสองบอกว่า พวกเขาเป็น นักแสวงธรรมที่น่าสมเพชก�าลังจะไปศิโยน แต่หลงเดินตามชายตัวด�าที่สวม เสื้อผ้าขาวสว่างสุกใส ทั้งสองบอกว่า “เขาบอกให้พวกเราตามเขาไป เพราะ เขาก็ก�าลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน” ชายถือแส้พูดว่า “นั่นคือนายป้อยอ อัครทูต เทียมเท็จ ผู้ได้ปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่าง” จากนั้นนายถือแส้ก็ฉีก แหออกและปล่อยทั้งสองไป แล้วพูดกับทั้งสองว่า “ตามข้ามาแล้วข้าจะพา กลับไปยังทางที่ควรไป” แล้วเขาก็พาคนทั้งสองไปยังจุดที่เคยพบนายป้อยอ และชายผู้นั้นก็ถามว่า “เมื่อคืนนี้พวกเจ้าพักที่ไหน” ทั้งสองตอบว่า “เราพัก อยู่กับพวกผู้เลี้ยงแกะที่ภูเขาเกษมสันต์” ชายผู้นั้นจึงถามว่า “ผู้เลี้ยงแกะ


ปริศนาธรรม 141 ได้ให้แผนที่แก่เจ้าทั้งสองหรือเปล่า” ทั้งสองตอบว่า “ให้ครับ” ชายผู้นั้น บอกว่า “เมื่อพวกคุณหยุดที่ทางแยกพวกคุณกางแผนที่ดูหรือเปล่า” พวกเขา ตอบว่า “เปล่าครับ” ชายคนนั้นถามต่อไปว่า “ท�าไมล่ะ” พวกเขาตอบว่า “พวกเราลืมสนิทเลย” เขาถามอีกว่า พวกผู้เลี้ยงแกะเตือนเรื่องนายป้อยอ หรือเปล่า พวกเขาตอบว่า “เตือนครับ แต่เราคิดไม่ถึงว่าชายที่พูดจาดีคนนี้ จะเป็นนายป้อยอ” จากนั้นข้าพเจ้าเห็นในความฝันของข้าพเจ้าว่า ชายคนนั้นสั่งให้เขา ทั้งสองนอนลงแล้วก็เฆี่ยนตีพวกเขาอย่างหนักเพื่อสอนให้ทั้งคู่เดินในทางที่ดี ขณะที่เฆี่ยนตีนั้นเขาบอกว่า “เรารักผู้ใด เราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้นและกลับใจเสียใหม่” จากนั้นเขาบอกให้ทั้งสอง เดินทางต่อไปและระมัดระวังสิ่งที่ผู้เลี้ยงแกะได้เตือนไว้ ทั้งสองขอบคุณที่เขา กรุณาชี้แนะ และเดินต่อไปในทางที่ถูกอย่างนอบน้อมและร้องเพลงว่า เห็นมั้ยว่ำหลงทำงแล้วเป็นเช่นนี้ ลืมสิ่งที่ผู้เลี้ยงแนะและสั่งสอน พระเจ้ำช่วยและเฆี่ยนตีเพรำะวิงวอน เป็นอุทำหรณ์ส�ำหรับผู้เดินตำมมำ เมื่อมาได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็เห็นคนหนึ่งแต่ไกลเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ คนเดียวตามทางหลวง คริสเตียนพูดกับเพื่อนว่า “ดูคนข้างหน้าโน้นซิ ก�าลัง เดินตรงมาที่เราแล้ว” นายมีหวัง “อ๋อ เห็นแล้ว ระวังตัวดีกว่า เขาอาจจะเป็นผู้ป้อยอ อีกคนหนึ่งก็ได้” ชายคนนั้นเดินใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดก็มาถึงทั้งสอง เขาชื่อนาย ไม่เชื่อพระเจ้า เขาถามว่าทั้งสองก�าลังจะไปไหน คริสเตียน “เราก�าลังจะไปภูเขาศิโยน”


142 ปริศนาธรรม แล้วนายไม่เชื่อพระเจ้าก็หัวเราะดังลั่น คริสเตียน “คุณหัวเราะอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร” นายไม่เชื่อพระเจ้า “ฉันหัวเราะเพราะข�าความเซ่อของพวกคุณน่ะสิ พวกคุณเดินทางอย่างยากล�าบาก แต่เมื่อถึงปลายทางอาจจะไม่ได้อะไรเลย ก็ได้” คริสเตียน “ท�าไมคุณคิดว่าเราจะไม่ได้รับอะไรเลยล่ะ” นายไม่เชื่อพระเจ้า “รับเหรอ! เมืองที่คุณฝันลมๆ แล้งๆ ไว้น่ะ ไม่มี ในโลกนี้หรอก” คริสเตียน “แต่มีอยู่ในโลกที่จะมาถึง” นายไม่เชื่อพระเจ้า “ตอนที่ฉันอยู่บ้านเมือง ฉันได้ยินเรื่องเมืองนี้ แล้วฉันก็เดินทางเสาะหา ฉันเดินทางร่วม 20 ปีแล้ว แต่ไม่เห็นมีข้อมูลหรือ ความจริงอะไรที่มายืนยันเรื่องนั้นเลย คริสเตียน “เราสองคนได้ยินว่ามีสถานที่นั้นจริงๆ และเราเชื่อว่าเรา จะได้พบ” นายไม่เชื่อพระเจ้า “ถ้าฉันไม่เชื่อ ฉันก็ไม่มาแสวงหาขนาดนี้หรอก แต่ฉันไม่พบอะไรเลย (ถ้ามีเมืองนั้นจริงฉันน่าจะเจอแล้วล่ะ เพราะฉันเดินทาง มาไกลกว่าพวกคุณเสียอีก) ฉันจะกลับแล้วจะไปหาความสุขส�าราญที่ฉันได้ทิ้ง มันไป เพราะหลงเชื่อเรื่องงมงายนี้” คริสเตียนถามนายมีหวังว่า “ที่เขาพูดนี้ถูกมั้ยนะ” นายมีหวัง “ระวังนะ เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ป้อยอ จ�าไม่ได้หรือว่าการ ฟังคนอย่างนี้ ท�าให้เราล�าบากมาแล้ว จะไม่มีภูเขาศิโยนได้ยังไง ก็เราเห็น ประตูเมืองเรืองรองนั่นแล้วจากภูเขาเกษมสันต์ยังไงล่ะ และนอกจากนี้เรา ควรเดินไปด้วยความเชื่อมิใช่หรือ เดินทางต่อดีกว่า เดี๋ยวนายถือแส้ก็จะมาจัดการกับเราอีกหรอก คุณ น่าจะสอนฉันว่า ‘บุตรชายเอ๋ย ผู้ที่เลิกรักษาค�าสอนของบิดาจะหลงไปจาก ค�าที่มีปัญญา’ อย่าไปฟังเขาเลย ให้เรา ‘เป็นคนที่เชื่อมั่นและจิตวิญญาณ ได้รับความรอด’ ดีกว่า”


ปริศนาธรรม 143 คริสเตียน “น้องเอ๋ย ที่พี่ถามอย่างนั้นไม่ใช่เพราะว่าสงสัยในความเชื่อ แต่ต้องการทดสอบน้องและอยากรู้ว่าน้องคิดอย่างไรจริงๆ เท่านั้น ส�าหรับ ชายผู้นี้ พี่รู้ว่าพระของโลกนี้ได้ท�าให้ตาของเขามืดบอด ให้เราเดินทางต่อเถอะ รู้ไว้เถอะว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นความจริง และไม่มีค�ามุสาใดที่มาจากสัจจะ” นายมีหวัง “เดี๋ยวนี้ ฉันชื่นชมยินดีโดยหวังว่าจะได้มีส่วนในพระสิริ ของพระเจ้า” พวกเขาผละจากชายคนนั้น ชายคนนั้นหัวเราะเยาะพวกเขาแล้วก็ไป ตามทางของตน ข้าพเจ้าเห็นในความฝันของข้าพเจ้าว่าพวกเขาเดินทางมาจนถึงเมือง ซึ่งอากาศในเมืองจะท�าให้คนแปลกหน้ารู้สึกง่วงนอน นายมีหวังรู้สึกง่วงมาก จึงบอกคริสเตียนว่า “ฉันง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว นอนพักตรงนี้สักเดี๋ยวเถอะนะ” คริสเตียน “เรานอนตรงนี้ไม่ได้นะ ถ้าขืนนอน เราจะไม่ได้ตื่นเลยล่ะ” นายมีหวัง “โธ่ท�าไมล่ะพี่ การนอนหลับท�าให้คนท�างานสดชื่นนะ ถ้า เราได้งีบสักนิดเราคงสดชื่นดี” คริสเตียน “จ�าไม่ได้หรือว่า ผู้เลี้ยงแกะคนหนึ่งเตือนเราเรื่องดินแดน มนต์สะกดเขาบอกว่าระวังอย่าหลับที่นั่น ‘เหตุฉะนั้น เราอย่าหลับเหมือน อย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย’ ” นายมีหวัง “คราวนี้น้องรู้จุดอ่อนของตัวเองแล้ว ถ้าน้องมาคนเดียว คงจะหลับและต้องตายแน่ๆ ค�าปราชญ์ที่กล่าวไว้ว่า ‘สองคนดีกว่าคนเดียว’ นั้นเป็นความจริงทีเดียวนะ มาถึงตอนนี้ การที่พี่มาด้วยนี่เป็นพระคุณกับ ฉันมาก ‘คุณจะได้รับรางวัลตามการกระท�าของคุณ’ ” คริสเตียน “เรามาคุยกันแก้ง่วงดีกว่านะ” นายมีหวัง “เห็นด้วย ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ” คริสเตียน “เราจะเริ่มตรงไหนดีนะ” นายมีหวัง “ตรงที่พระเจ้าเริ่มกับเราไงล่ะ พี่เริ่มก่อนดีมั้ย”


144 ปริศนาธรรม คริสเตียน “ฉันจะร้องเพลงให้ฟังก่อนดีกว่า บรรดำคนชอบธรรมทั้งหลำยเอ๋ย อย่ำหลับเลย เบิ่งตำไว้ให้ตื่นเสมอ ให้เข้ำร่วมสำมัคคีธรรมกันนะเออ อย่ำได้เผลอเพรำะถ้ำหลับจะถึงตำย” แล้วคริสเตียนก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะเริ่มถามก่อนนะ คุณเริ่มเข้ามา เดินในทางนี้ได้อย่างไร” นายมีหวัง “คุณหมายความว่า ท�าไมฉันถึงเริ่มนึกถึงเรื่องจิตวิญญาณ เหรอ” คริสเตียน “ใช่ ก็เรื่องนั้นแหละ” นายมีหวัง “ฉันได้หลงใหลในสิ่งของฝ่ายโลกที่เราได้เห็นในงานแสดง สินค้าอนิจจังเป็นเวลานาน แต่เดี๋ยวนี้ฉันเชื่อว่าสิ่งของเหล่านั้นจะท�าลาย ชีวิตฉัน ถ้าฉันยังหลงใหลมันอยู่” คริสเตียน “สิ่งของอะไรบ้างเหรอ” นายมีหวัง “ก็ทรัพย์ศฤงคารและความมั่นคั่งทั้งหลายของโลกนั่นแหละ ฉันชอบเสเพล เอาแต่งานเลี้ยงฉลอง ดื่มเหล้าเมายา พูดจาหยาบคาย โกหกพกลม ท�าชั่ว ท�าผิดกฎวันสะบาโต และท�าอีกหลายอย่างที่ไม่ดีต่อ จิตวิญญาณ แต่เมื่อได้ยินและเมื่อได้คิดเรื่องของพระเจ้าจากคุณ และจาก นายสัตย์ซื่อเพื่อนรักที่ได้พลีชีพที่งานแสดงสินค้าอนิจจังด้วยใจศรัทธาและ ความดีของเขา ในที่สุดฉันก็พบว่า ‘ผลสุดท้ายของสิ่งเหล่านั้นก็คือความตาย’ ‘เพราะการกระท�าเหล่านั้นเอง พระเจ้าจะทรงลงอาชญาแก่ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง” คริสเตียน “คุณส�านึกตัวว่าเป็นคนบาปทันทีหรือ” นายมีหวัง “ไม่หรอก ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องความบาปหรือ เรื่องการพิพากษาโทษบาปหรอก แม้ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะท�าให้ฉัน สะดุ้ง แต่ฉันพยายามปิดตาตัวเองไม่ให้เห็นความสว่าง”


ปริศนาธรรม 145 คริสเตียน “ก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะท�างานในจิตใจของคุณ อะไรท�าให้คุณยึดความคิดแบบเดิมล่ะ” นายมีหวัง “อืม...ประการแรก ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าท�างานในใจ ฉันไม่เคย รู้มาก่อนเลยว่าพระเจ้าจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดกับคนบาปโดยเตือนให้คนบาป ส�านึกถึงความบาปนั้น ประการที่สอง ฉันรู้สึกว่าการท�าบาปเป็นเรื่องสนุก ฉันจึงไม่อยากเลิก ประการที่สาม ฉันไม่รู้ว่าจะปลีกตัวออกจากเพื่อนเก่าๆ ได้ยังไง เพราะฉันชอบร่วมกลุ่มและกิจกรรมร่วมกับพวกเขา และประการที่สี่ ช่วงที่ฉันตระหนักถึงความบาปเป็นช่วงเวลาที่ยากล�าบากและน่ากลัวจนฉัน ทนไม่ไหวและไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงมัน” คริสเตียน “แต่ก็มีบางเวลาที่คุณไม่ล�าบากอะไรเหมือนกันใช่มั้ย” นายมีหวัง “อ๋อ ใช่ แต่แล้วความรู้สึกบาปมันก็มารบกวนจิตใจฉันอีก และฉันรู้สึกแย่กว่าเก่าซะอีก” คริสเตียน “อะไรท�าให้คุณนึกถึงความบาปในชีวิตของคุณบ้าง” นายมีหวัง “ก็หลายอย่างนะ เช่น 1. เมื่อฉันพบคนดีๆ ตามท้องถนน 2. ได้ยินคนอ่านพระคัมภีร์ 3. เริ่มปวดหัว 4. มีคนบอกว่าเพื่อนบ้านป่วย 5. ได้ยินเสียงระฆังที่เป็นสัญญาณว่ามีคนตาย 6. เมื่อคิดถึงว่าตัวเองก็ต้องตาย 7. ได้ข่าวว่ามีคนตายอย่างกะทันหัน 8. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันคิดถึงตัวเองว่าสักวันจะต้องถูกพิพากษา” คริสเตียน “คุณสามารถขจัดความรู้สึกผิดออกไปได้อย่างง่ายดายมั้ย เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้” นายมีหวัง “ไม่ได้หรอก เพราะความรู้สึกที่ว่านี้มันเกาะกุมแน่นอยู่ใน จิตใต้ส�านึกเชียวล่ะ แค่คิดว่าจะกลับไปท�าบาปเท่านั้น ฉันก็ทรมานแทบแย่”


146 ปริศนาธรรม คริสเตียน “งั้นคุณท�ายังไงล่ะ” นายมีหวัง “ฉันคิดว่า ฉันต้องพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงต้องพินาศแน่” คริสเตียน “แล้วคุณพยายามเปลี่ยนแปลงมั้ย” นายมีหวัง “ใช่ ฉันพยายามไม่ท�าบาปและพยายามหลบหน้าเพื่อน ที่ไม่ดี ฉันเริ่มท�าหน้าที่ทางศาสนาเช่น อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ ร้องไห้ ส�านึกบาป พูดความจริงกับเพื่อนบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย” คริสเตียน “แล้วคุณคิดว่ามันหมดปัญหาแล้วใช่มั้ย” นายมีหวัง “ใช่ ฉันคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานฉันก็เริ่มมีปัญหาอีก ทั้งๆ ที่ชีวิตฉันเปลี่ยนไปแล้ว” คริสเตียน “มีปัญหาอะไรอีกล่ะ ก็คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วนี่” นายมีหวัง “มีหลายอย่างที่ท�าให้ฉันไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค�าที่ว่า ‘การกระท�าอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้นเหมือนผ้าขี้ริ้ว’ ‘ไม่มี ผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ’ ‘เมื่อท่านทั้งหลาย ได้กระท�าสิ่งสารพัดซึ่งเราบัญชาไว้แก่ท่านนั้น ก็จงพูดด้วยว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย’ และอีกหลายค�า จากนั้นฉันก็เริ่มคิดว่า ถ้า ความชอบธรรมของฉันเป็นเพียงผ้าขี้ริ้ว ถ้าไม่มีใครรอดได้โดยการเชื่อฟัง พระบัญญัติ และถ้าแม้ว่าเราจะท�าทุกอย่างเท่าที่เราจะท�าได้แล้ว แต่ยังไม่ สมควรที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า ดังนั้น การคิดว่าจะได้ไปสวรรค์โดย พระบัญญัติคงเป็นความคิดที่โง่มาก ฉันคิดต่อไปว่า ถ้ามีชายคนหนึ่งเป็นหนี้ ร้านค้าอยู่ 4,000 บาท แม้ว่าต่อมาภายหลังเขาจะช�าระเงินทุกงวดของเขา แต่หนี้เก่ายังค้างอยู่ เจ้าของร้านก็ยังสามารถฟ้องศาลได้ และจับเข้าคุกได้ จนกว่าเขาจะจ่ายหนี้ที่ค้างนั้นเสียก่อน” คริสเตียน “เรื่องนี้เกี่ยวกับตัวคุณเองยังไงล่ะ” นายมีหวัง “ฉันคิดว่าฉันได้ท�าบาปมากมายที่ได้บันทึกไว้ในสมุดของ พระเจ้า การเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไม่สามารถช�าระหนี้เก่าได้ แม้ว่าฉันจะ ท�าดีต่อไป แต่ฉันจะพ้นโทษของความบาปดั้งเดิมได้อย่างไร”


ปริศนาธรรม 147 คริสเตียน “เข้าใจเปรียบเทียบดีมาก พูดต่อเถอะ” นายมีหวัง “อีกอย่างหนึ่งที่ท�าให้ฉันทุกข์ใจก็คือ แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลง ชีวิตไปแล้ว แต่ถ้าค้นดูชีวิตใหม่นั้นจะเห็นว่าก็ยังมีความบาปใหม่ๆ ปะปนอยู่ ด้วยเสมอ สรุปได้ว่า ถึงแม้ในอดีตจะไม่มีบาปเลย แต่บาปที่ท�าตอนนี้เพียง ครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะท�าให้ฉันตกนรกได้แล้ว” คริสเตียน “แล้วคุณท�ายังไงล่ะ” นายมีหวัง “ท�าเหรอ! ฉันไม่รู้จะท�ายังไงแล้ว จนเมื่อได้คุยกับ นายสัตย์ซื่อ เพราะคุ้นเคยกันดีนั่นแหละ เขาบอกฉันว่าความดีของฉันและ ของโลกนี้จะไม่ช่วยให้ฉันพ้นโทษได้ นอกจากฉันจะน้อมรับความชอบธรรม จากผู้หนึ่งที่ไม่เคยท�าบาปเลย” คริสเตียน “คุณคิดว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า” นายมีหวัง “ถ้าเขาบอกตอนที่ฉันก�าลังรู้สึกดีๆ กับความเปลี่ยนแปลง ของตัวเองล่ะก็ ฉันคงว่าเขาโง่มาก แต่ตอนนั้น ฉันได้เห็นความอ่อนแอของ ตัวเองและความบาปที่ผสมผสานกับความดีที่ฉันเห็นว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ฉันจึงยอมรับความคิดเห็นของเขา” คริสเตียน “แต่ตอนที่เขาบอกคุณครั้งแรก คุณเชื่อว่ามีสักคนหนึ่งที่ ไม่เคยท�าบาปเลยจริงๆ เหรอ” นายมีหวัง “ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนกันว่ามันแปลกๆ อยู่นา แต่ หลังจากที่เราได้ใช้เวลาคุยกันและอยู่กับเขา ฉันจึงเชื่อว่ามี” คริสเตียน “คุณถามหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร และคุณจะได้รับการช�าระ บาปจากเขาได้อย่างไร” นายมีหวัง “ถามสิ เขาบอกว่าคนๆ นั้นคือองค์พระเยซูคริสต์ผู้สถิต อยู่ ณ เบื้องขวาขององค์ผู้สูงสุด ‘ท่านต้องได้รับการช�าระบาปโดยพระเยซู โดยความเชื่อในสิ่งที่พระองค์กระท�าขณะที่พระองค์อยู่ในโลกนี้ และการทุกข์ ทรมานของพระองค์ที่ไม้กางเขน’ ฉันถามเขาว่าความดีของคนๆ หนึ่งจะ สามารถลบล้างความบาปของอีกคนหนึ่งต่อพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร เขา


148 ปริศนาธรรม บอกว่าคนๆ นั้นคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ พระองค์ได้ทรงกระท�ากิจและ ตายบนไม้กางเขนมิใช่เพื่อตนเองแต่เพื่อฉัน และถ้าฉันเชื่อพระองค์ความ ชอบธรรมของพระองค์ก็จะกลายมาเป็นความชอบธรรมของฉันได้” คริสเตียน “จากนั้นคุณท�ายังไงอีกล่ะ” นายมีหวัง “ฉันบอกเขาว่ามันเชื่อยาก เพราะคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า คงไม่ยอมช่วยฉันให้รอด” คริสเตียน “แล้วนายสัตย์ซื่อบอกว่ายังไง” นายมีหวัง “เขาบอกให้ฉันไปหาพระองค์และดูเอาเอง ฉันบอก ว่ามันคงเป็นการอาจเอื้อม เขาบอกว่าไม่หรอก ไม่ได้เป็นการอาจเอื้อม เพราะพระองค์เชิญให้ไป แล้วเขาก็ให้หนังสือของพระเยซูแก่ฉัน ซึ่งเป็น ถ้อยค�าที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อ�านาจ ท�าให้ฉันมีใจกล้าและเข้าหาพระองค์อย่าง สบายใจ เขาบอกว่าทุกจุดและทุกตัวอักษรในหนังสือนั้นยืนยงคงมั่นยิ่งกว่า สวรรค์และโลกเสียอีก แล้วฉันถามเขาว่าฉันต้องท�าอะไรบ้าง เวลาเข้าไป หาพระองค์ เขาบอกว่าฉันต้องคุกเข่าและขอให้พระบิดาส�าแดงพระองค์ต่อ ฉันอย่างสุดจิตสุดใจ แล้วฉันก็ถามนายสัตย์ซื่อว่าฉันจะเข้าไปหาพระองค์ ได้อย่างไร เขาบอกว่า ‘ไปเถอะ แล้วคุณจะพบพระที่นั่งกรุณาที่ซึ่งพระองค์ ประทับอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่ออภัยโทษให้แก่ทุกคนที่เข้าไปหาพระองค์’ ฉันบอก เขาว่า ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเมื่อเข้าไปหาพระองค์ เขาบอกว่าฉันควรจะพูด ในท�านองที่ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าขอเมตตา ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาป ขอโปรด ช่วยให้ข้าพระองค์รู้จักและเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะข้าพระองค์รู้ว่า หากปราศจากความชอบธรรมของพระองค์และความเชื่อของข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์จะต้องพินาศ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระองค์ ทรงพระเมตตา และได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ลงมา เป็นพระผู้ช่วยในโลกนี้ และยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทรงสละพระบุตรของ พระองค์ให้กับคนบาปหนาอย่างข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนบาปจริงๆ


ปริศนาธรรม 149 ข้าแต่พระเจ้า เวลานี้ขอทรงโปรดส�าแดงพระคุณของพระองค์เพื่อให้ความ รอดแก่จิตวิญญาณของข้าพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของ พระองค์ อาเมน” คริสเตียน “แล้วคุณท�าตามที่เขาว่าหรือเปล่า” นายมีหวัง “แน่นอน...ครั้งแล้วครั้งเล่าเลยล่ะ” คริสเตียน “แล้วพระบิดาส�าแดงพระเยซูคริสต์ให้คุณเห็นหรือเปล่า” นายมีหวัง “ไม่เลย ทั้งครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า หรือแม้กระทั่งครั้งที่หก” คริสเตียน “แล้วคุณท�ายังไงล่ะ” นายมีหวัง “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะท�ายังไง” คริสเตียน “คุณคิดจะเลิกอธิษฐานมั้ย” นายมีหวัง “คิดสิ เป็นร้อยๆ ครั้งเลยล่ะ” คริสเตียน “แล้วท�าไมถึงไม่เลิกล่ะ” นายมีหวัง “ฉันเชื่อว่าที่นายสัตย์ซื่อบอกน่ะจริง นั่นคือ ถ้าปราศจาก ความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์แล้ว โลกนี้ไม่สามารถช่วยฉันให้รอด ได้ ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าถ้าฉันหยุดอธิษฐาน ฉันต้องตาย ฉันขอยอมตายที่ พระที่นั่งแห่งพระคุณดีกว่า แล้วก็มีถ้อยค�าเข้ามาในจิตใจฉันว่า ‘ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก’ ฉันจึงอธิษฐาน ต่อไปจนพระเจ้าส�าแดงพระบุตรของพระองค์แก่ฉัน” คริสเตียน “พระองค์ส�าแดงอย่างไรล่ะ” นายมีหวัง “ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาฝ่ายร่างกายนะ แต่เห็นด้วยตาแห่ง ความเข้าใจ คือ วันหนึ่งฉันรู้สึกเศร้าสลดใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะได้เห็นความชั่วร้ายของบาปของตัวเองอย่างชัดเจนมาก และขณะที่ ฉันนั่งอยู่ก็ตระหนักแก่ใจว่านรกกับการลงโทษรอฉันอยู่ข้างหน้า ทันใดนั้น ฉันก็เห็นองค์พระเยซูคริสต์มองลงมาจากเบื้องบนและตรัสว่า ‘จงเชื่อและ วางใจในองค์พระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้’


150 ปริศนาธรรม แต่ฉันตอบพระองค์ว่า ‘ข้าพระองค์เป็นคนบาปหนายิ่งนัก’ พระองค์ ตรัสว่า ‘คุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว’ ฉันถามว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ความเชื่อ คืออะไร’ พระองค์ตอบว่า ‘ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเราจะ ไม่กระหายอีกเลย’ ฉันจึงตระหนักกว่าการมีความเชื่อในพระองค์และการ ไปหาพระองค์นั้นเหมือนกัน และผู้ที่แสวงหาความรอดโดยทางพระเยซู คริสต์ด้วยสุดจิตสุดใจนั้นก็ได้เชื่อพระองค์แล้ว ฉันร้องไห้และทูลพระองค์ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะรับและช่วยคนบาปหนาอย่างข้าพระองค์ให้รอด ได้อย่างไร’ แล้วฉันได้ยินพระองค์ตรัสว่า ‘ผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขา เลย’ ฉันจึงพูดว่า ‘เมื่อข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ ข้าพระองค์ควรคิดถึง พระองค์อย่างไร ความเชื่อของข้าพระองค์จึงจะอยู่ในพระองค์’ พระองค์ตรัส ว่า ‘พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะช่วยคนบาปให้รอด พระคริสต์ทรง เป็นจุดจบของธรรมบัญญัติเพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม พระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงเป็นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม พระองค์ผู้ทรง รักเราทั้งหลายและได้ทรงปลดเปลื้องบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ มีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพ เป็นมนุษย์ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิจเพื่อช่วยทูลขอพระ กรุณาให้คนเหล่านั้น’ ฉันก็ได้ความจากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ว่า ฉันต้อง แสวงหาความชอบธรรมในพระเยซู และได้รับการลบล้างบาปโดยพระโลหิต ของพระองค์ การที่พระเยซูเชื่อฟังพระบิดาโดยการยอมรับโทษบาปตาม กฎบัญญัติไม่ได้ท�าเพื่อพระองค์เอง แต่ท�าเพื่อทุกคนที่ยอมรับพระองค์เป็น พระผู้ช่วยให้รอดด้วยใจขอบพระคุณ และเดี๋ยวนี้ฉันมีความชื่นชมยินดี น�้าตา แห่งความปลื้มปีตินองหน้า และจิตใจพองโตด้วยความรักที่มีต่อพระนาม วิถีทาง และประชากรของพระเยซูคริสต์” คริสเตียน “นั่นเป็นการส�าแดงของพระคริสต์ในจิตวิญญาณของคุณ จริงๆ และมันมีผลต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้างล่ะ”


ปริศนาธรรม 151 นายมีหวัง “มันท�าให้ฉันเห็นว่าโลกนี้มีโทษของความผิดบาป แม้จะมี ความดีอยู่บ้างก็ตาม และท�าให้เห็นว่าพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงยุติธรรมสามารถ ลบล้างโทษนั้นให้แก่คนบาปทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ได้ มันท�าให้ฉัน อับอายกับชีวิตเหลวแหลกที่ผ่านมาและเสียใจกับความไม่รู้ของตัวเอง เพราะ เมื่อก่อนนี้ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพระเยซูคริสต์งามเลิศเพียงใด มันท�าให้ฉันรัก ชีวิตที่บริสุทธิ์และปรารถนาจะถวายพระเกียรติและพระสิริแด่พระนามของ พระเยซูคริสต์ ฉันพร้อมที่จะสละเลือดที่ฉันมีอยู่ในกายนี้แด่พระเยซูคริสต์” ข้าพเจ้าเห็นในความฝันว่า นายมีหวังเหลียวไปมองนายไม่รับรู้ที่อยู่ ข้างหลัง แล้วพูดกับคริสเตียนว่า “ดูหนุ่มที่เอ้อระเหยลอยชายข้างหลังนั่นสิ” คริสเตียน “ใช่ เห็นแล้ว เขาไม่สนใจจะร่วมเดินทางไปกับเราเลย” นายมีหวัง “ถ้าเขาเดินทางร่วมกับเราก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนนี่นา” คริสเตียน “แต่รับรองว่าเขาไม่คิดอย่างนั้น” นายมีหวัง “นั่นน่ะสิ รอเข้าหน่อยเถอะนะ” ทั้งสองก็หยุดรอ คริสเตียนพูดกับนายไม่รับรู้ว่า “มานี่สิน้องชาย ท�าไมเดินห่างอย่างงั้นล่ะ” นายไม่รับรู้ “ฉันชอบเดินคนเดียวมากกว่า นอกจากว่าจะถูกชะตากับ ใครเป็นพิเศษ” คริสเตียนกระซิบกับนายมีหวังว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าเขาไม่อยากร่วม เดินทางกับเรานักหรอก แต่ที่นี่มันเปลี่ยวนะ เราไปคุยกับเขาสักหน่อยเถอะ” แล้วเขาก็หันไปพูดกับนายไม่รับรู้ว่า “สบายดีหรือเปล่า และตอนนี้คิดเรื่อง พระเจ้ายังไงบ้าง” นายไม่รับรู้ “ก็ดี เพราะฉันคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ตลอดการเดินทาง” คริสเตียน “เรื่องดีๆ อะไรบ้างล่ะ บอกมั่งสิ” นายไม่รับรู้ “ก็เรื่องพระเจ้ากับสวรรค์ไงล่ะ” คริสเตียน “พวกมารก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” นายไม่รับรู้ “แต่ฉันคิดแล้วก็อยากจะได้ไว้ด้วยนะ”


Click to View FlipBook Version