The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Farmfhun Boonruam, 2024-05-29 00:56:57

การวิเคราะห์สถานการณ์การฝากครรภ์ การคลอด และภาวะสุขภาพมารดาและ ทารก โรงพยาบาลพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร

บทความวิจัย ปรับแก้_4 (พิทยาพร)-

การวิเคราะห์สถานการณ์การฝากครรภ์ การคลอด และภาวะสุขภาพมารดาและ ทารก โรงพยาบาลพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร Situation Analysis of Antenatal Care, Childbirth, Maternal and Infant Health of Mothers at Phato Hospital, Chumphon Province พิทยาพร บุญร่วม1 Pittayaphon Boonruam โรงพยาบาลพะโต๊ะ Phato Hospital บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การฝากครรภ์ การคลอด และ ผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของ มารดาและทารก กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ และ/หรือคลอดสำเร็จที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561–30 กันยายน 2566 จำนวน 307 คน เครืองมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลการฝากครรภ์ และการคลอด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Chi-square test ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ ร้อยละ 53.1 ฝากครรภ์ครบตาม เกณฑ์ร้อยละ 41.0 คลอดครบกำหนด ร้อยละ 91.7 โดยคลอดปกติทางช่องคลอดทั้งหมด มีความผิดปกติระหว่าง การคลอด ร้อยละ 21.2 มารดาหลังคลอดมีสุขภาพดีร้อยละ 89.9 ทารกมีสุขภาพดี ร้อยละ 84.7 ความผิดปกติของ ทารก ได้แก่ ตัวเหลือง มีไข้ ติดเชื้อในกระแสเลือด และทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าอายุครรภ์ร้อยละ 10.7, 2.9, 1.3 และ 0.3 ตามลำดับ มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ร้อยละ 5.9 มากกว่า 4,000 กรัม ร้อยละ 1.3 การฝาก ครรภ์มีความสัมพันธ์กับสุขภาพทารกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.005) แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ หญิงตั้งครรภ์และน้ำหนักทารกแรกคลอด (p-value > 0.05) จากผลการศึกษา ควรส่งเสริมและกระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกก่อน 12 สัปดาห์ และติดตาม ให้มาฝากครรภ์ให้ครบตามเกณฑ์เพิ่มมากขึ้น คำสำคัญ : หญิงตั้งครรภ์, การฝากครรภ์, การคลอด, ภาวะสุขภาพ Abstract The objectives of this retrospective research were to analyze the situation of antenatal care (ANC), childbirth, and health outcomes of mothers and infants, and examine the relationship between ANC with health outcomes of mothers and infants. The samples consisted of 307 pregnant women who visited the ANC clinic, and/or delivery birth at Phato Hospital from 1 October 2018 – 30 September 2023. The research instrument included ANC and childbirth record forms. Data was analyzed by using descriptive statistics and Chi-square test. The study results were found that pregnant women visited for their first ANC within 12 weeks at 53.1% and followed up according to the ANC visit criteria at 41.0%. 91.7% of term pregnant women were normal vaginal births. There were abnormalities during childbirth at 21.2%. After childbirth, mothers and infant were in good health at 89.9% and 84.7%, respectively. Abnormalities of infants included jaundice, fever, sepsis infection and small of gestational age were 10.7%, 2.9%, 1.3% and 0.3%, respectively. The birth weight less than 2,500 grams and more than 4,000 grams were 5.9% and 1.3%. However, receiving ANC was a statistically significant relation with infant health outcomes (p-value = 0.005), but no relationship with the health of pregnant women and birth weight (p-value > 0.05). 1 โทร 08-0786-3354 e-mail: [email protected]


2 The results imply that there should be promoted and exhorted pregnant women to visit the first ANC within 12 weeks and followed-up to increase rate of women having ANC visit recommendation. Key words: pregnant women, antenatal care, birth, health outcomes บทนำ การตั้งครรภ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ แต่ก็นับเป็นภาวะวิกฤติอย่างหนึ่งสำหรับสตรี เป็นช่วงชีวิตของผู้หญิงที่เปราะบางมาก การตั้งครรภ์ไม่ใช่สภาวะเจ็บป่วย แต่ก็เป็นสภาวะที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง อย่างมาก เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์(ฐิติมา หาญสมบูรณ์, 2565) เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์แล้ว สิ่งแรกที่ ควรปฏิบัติ คือเข้ารับการฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด การฝากครรภ์เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาคุณภาพประชากรเริ่ม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เพื่อการตั้งครรภ์และการคลอดที่ปลอดภัย มารดาทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อนและมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ยังแสดงออก ถึงการเอาใจใส่สุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย การฝากครรภ์ที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ ของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คือ การมารับบริการฝากครรภ์กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ ให้บริการอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน ตามประกาศ นโยบายฝากครรภ์ คุณภาพ สำหรับประเทศไทย พ.ศ.2565 ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2565) และสอดคล้องตามคำแนะนำของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2018) โดยให้ฝากครรภ์ครั้งแรกเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์และฝากครรภ์ต่อเนื่องตามเกณฑ์ฝากครรภ์ เพื่อ ประเมินและคัดกรองความเสี่ยงของหญิงตั้งครรภ์ที่ส่งผลต่อทารกในครรภ์และหญิงตั้งครรภ์รวมทั้งส่งต่อไปยังสถาน บริการที่มีศักยภาพ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคเพิ่มเติมและดูแลรักษา (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2565) การดูแลสตรีตั้งครรภ์ หรือการฝากครรภ์ มีจุดประสงค์เพื่อให้คลอดทารกที่แข็งแรงโดยมารดามี ภาวะแทรกซ้อนน้อย (คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2565-2567, 2566) การฝากครรภ์ที่มีคุณภาพจะ ช่วยลดอัตราการตายของมารดาและทารกแรกเกิดได้ถึง 7 เท่า (Berhan, Berhan, 2014) สถานการณ์การฝากครรภ์ ในประเทศไทย พ.ศ 2564 จากฐานข้อมูลกลางของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีการฝากครรภ์ครั้งแรก เมื่อก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ร้อยละ 78.12 (เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือ ร้อยละ 75) และครบตามเกณฑ์คุณภาพ 5 ครั้ง ร้อยละ 71.19 (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2565) การฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคภูมิคุ้มกัน บกพร่อง (Belayneh, et al., 2016) ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย (Xaverius, et al., 2016) รวมทั้งติดเชื้อในกระแส เลือด การเจริญเติบโตช้าในครรภ์ การขาดออกซิเจนแรกเกิด และการตายปริกำเนิดของทารก (Tariku, et al., 2010) และยังส่งผลต่อปัญหาด้านสุขภาพหญิงตั้งครรภ์และทารก เช่น ภาวะโลหิตจาง ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยหรือ มากกว่าปกติตัวเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด และการหายใจล้มเหลว (อนุสรา ก๋งอุบล, 2560; ฐิติมา หาญสมบูรณ์, 2565) การฝากครรภ์ครั้งแรกควรเริ่มที่อายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือนหรือไม่เกิน 12 สัปดาห์หากมาฝากครรภ์ครั้งแรก ล่าช้าอาจทำให้เกิดผลลัพธ์อันไม่พึงประสงค์หลายประการดังกล่าว นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจเสียโอกาสในการได้รับการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรค การได้รับการเสริมธาตุเหล็ก การได้รับการให้สุขศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การตรวจคัด กรองโรคธาลัสซีเมีย และการตรวจอัลตร้าซาวน์ เป็นต้น ซึ่งการฝากครรภ์ล่าช้าจะไม่สามารถค้นหาแก้ไขความ ผิดปกติได้ทัน ส่งผลให้เด็กไทยแรกเกิดมีต้นทุนชีวิตต่ำ เกิดมาไม่สมบูรณ์(ฐิติมา หาญสมบูรณ์, 2565) ปี พ.ศ. 2560-2564 ผลลัพธ์ด้านสุขภาพแม่และเด็กของประเทศไทย พบว่า อัตราส่วนการตายมารดา และ อัตราตายทารกแรกเกิดภายใน 28 วัน บรรลุเป้าหมาย SDGs ของโลก เช่นเดียวกันกับทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่า เกณฑ์ การคลอดก่อนกำหนดและอัตราการเกิดไร้ชีพ ยังไม่ลดลง นอกจากนี้ งานวิจัยเรื่องสถานการณ์การฝากครรภ์ ประเทศไทยพบว่า จำนวนครั้งของการฝากครรภ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ครั้งต่อการตั้งครรภ์ และยังมีกลุ่มที่มาฝากครรภ์ ครั้งแรกช้ากว่าที่แนะนำคือ หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ มากถึงร้อยละ 25.7 ซึ่งในปี 2565 กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ มีการพัฒนาและยกระดับการฝากครรภ์สำหรับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นกิจกรรมบริการที่สำคัญให้เป็นไปตาม มาตรฐาน สอดคล้องตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคน สามารถเข้าถึงบริการที่มี


3 คุณภาพและเท่าเทียม นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ปรับค่าชดเชยกิจกรรมบริการฝากครรภ์ ตามชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์สามารถเข้าถึงกิจกรรมบริการ ฝากครรภ์เพิ่มมากขึ้น (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, 2565) ทั้งนี้ ในปี 2565 กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายให้ สถานบริการสาธารณสุขทุกเครือข่ายจัดให้มีบริการฝากครรภ์คุณภาพ โดยเน้นส่งเสริมสนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ ก่อน 12 สัปดาห์ และฝากครรภ์ต่อเนื่องตามเกณฑ์การฝากครรภ์ 8 ครั้ง (กระทรวงสาธารณสุข, 2565) ปัญหาการฝากครรภ์จำเป็นต้องเร่งแก้ไขและป้องกันอย่างจริงจัง โดยให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนฝากครรภ์ตั้งแต่ รู้ตัวว่าตั้งครรภ์หรือก่อนอายุครรภ์ครบ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาอวัยวะของเด็กในครรภ์ให้ครบถ้วน และให้เข้ารับการตรวจครรภ์อย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์นัดหมายทุกครั้ง ทั้งนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการคลอด ก่อนกำหนดและทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย มาจากสุขภาพแม่ขณะตั้งครรภ์ เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดิน ปัสสาวะ มีภาวะโลหิตจาง ภาวะโภชนาการไม่ดีมีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่จัด หรือดื่มเหล้ามาก หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องจากแพทย์ / เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้อันตรายและผลกระทบของการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นทั้งกับมารดาและทารก สาเหตุที่ สำคัญมาจากพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ไม่ถูกต้องของมารดาในขณะตั้งครรภ์การที่หญิงตั้งครรภ์จะมีสุขภาพดีและ ทารกในครรภ์จะเจริญเติบโต แข็งแรง สมบูรณ์มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวหญิงตั้งครรภ์เป็นสำคัญที่สุด (สุวชัย อินทรประเสริฐ, 2559) การไปฝากครรภ์และได้รับการตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรต้องปฏิบัติของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่งคลอด และได้ทารกที่มีสุขภาพดี(สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย, 2558) โรงพยาบาลพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2566 มีผู้มา รับบริการฝากครรภ์จำนวน 303 คน 302 คน 328 คน 293 คน และ 281 คน (ข้อมูล ณ 12 ธันวาคม 2566) ตามลำดับ มาคลอด 78 คน 58 คน 69 คน 42 คน และ 60 คน (ข้อมูล ณ 12 ธันวาคม 2566) (โรงพยาบาลพะโต๊ะ, 2566) ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนหญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกช้ากว่ากำหนด และครบ 5 ครั้ง น้อยกว่าตามเกณฑ์ที่ กำหนด ผลการคลอดส่วนหนึ่งมารดาก็มีความผิดปกติเกิดขึ้น และมีทารกน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม ซึ่งทาง โรงพยาบาลได้เห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว เพื่อการพัฒนาหญิงมีครรภ์ให้มาฝากครรภ์ตามเกณฑ์ มีภาวะสุขภาพ มารดาและทารกที่ดีผู้วิจัยในฐานะพยาบาลของหน่วยบริการคลอด โรงพยาบาลพะโต๊ะ จึงสนใจวิเคราะห์สถานการณ์ การฝากครรภ์ การคลอด และภาวะสุขภาพมารดาและทารก โรงพยาบาลพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร โดยเป็นการนำข้อมูล ย้อนหลัง 5 ปี มาวิเคราะห์ (ปีงบประมาณ 2562 – 2566) เพื่อพิจารณานำข้อเท็จจริงต่างๆ มาวางแผนพัฒนาการ ดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ และการให้บริการคลอด ให้เกิดประสิทธิผลที่ดีและให้บริการที่มีคุณภาพตามสิทธิของ ผู้ป่วย ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาล และเป็นไปตามมาตรฐาน HA ที่โรงพยาบาลต้อง ดำเนินการ วัตถุประสงค์วิจัย 1. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การฝากครรภ์ การคลอด และผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก ที่มารับ บริการของโรงพยาบาลพะโต๊ะ 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก การฝากครรภ์ - ครบ - ไม่ครบตามเกณฑ์ ผลลัพธ์ทางสุขภาพ - ภาวะสุขภาพของมารดา - ภาวะสุขภาพทารก และน้ำหนัก ทารกแรกคลอด


4 ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษานี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง (Retrospective research) ประชากรในการศึกษา ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ และ/หรือคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2562 – 30 กันยายน 2566 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ และ/หรือคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ โดยการเลือกตัวอย่างตามเกณฑ์คัด เข้าเป็นกลุ่มตัวอย่าง (Inclusion Criteria) ดังนี้ 1. เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ และ/หรือคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ 2. มีข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครบถ้วน ตามแบบบันทึกการฝากครรภ์และการคลอด เกณฑ์คัดออก (Exclusion criteria) คือ เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกส่งต่อไปคลอดที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ขนาดตัวอย่าง หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ และ/หรือคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้าเป็นกลุ่ม ตัวอย่างทั้งหมด ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2566 จำนวน 307 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ เชื้อชาติ การศึกษา อาชีพ และการอยู่ร่วมกับสามี ลักษณะเป็นแบบให้ เลือกตอบ หรือเติมคำในช่องว่างจากแบบบันทึกการฝากครรภ์ และการคลอดของโรงพยาบาล จำนวน 5 ข้อ 2. แบบบันทึกการฝากครรภ์ ประกอบด้วย จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์จำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จำนวนครั้งที่แท้งบุตร อายุครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรก ช่วงอายุครรภ์ที่ฝากครรภ์ สถานที่ฝากครรภ์ครั้งแรก และความ ผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ ลักษณะเป็นแบบให้เลือกตอบ หรือเติมคำในช่องว่างจากแบบบันทึกการฝากครรภ์ของ โรงพยาบาล จำนวน 7 ข้อ 3. แบบบันทึกการคลอด ประกอบด้วยข้อมูลสุขภาพของมารดา ได้แก่ อายุครรภ์ที่คลอด วิธีการคลอด ความผิดปกติระหว่างการคลอด และภาวะแทรกซ้อนของมารดาหลังคลอด และข้อมูลสุขภาพของทารก ได้แก่ น้ำหนักแรกคลอด และภาวะแทรกซ้อนของทารกหลังคลอด ลักษณะเป็นแบบให้เลือกตอบ หรือเติมข้อเท็จจริงใน ช่องว่างที่เว้นไว้ ตามข้อเท็จจริงที่พบจากข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ และในแบบบันทึกการฝากครรภ์ และการคลอด ของโรงพยาบาล รวมจำนวน 6 ข้อ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยตรวจสอบความตรง (Validity) ของแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบบันทึกการฝากครรภ์และการ คลอด โดยให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช ด้านการพยาบาล และด้านการวิจัย จำนวน 3 ท่าน มีค่า ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence: IOC) อยู่ระหว่าง 0.66 – 1.00 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2566 จากระบบคอมพิวเตอร์ แบบบันทึกการฝากครรภ์และการคลอดของโรงพยาบาล ด้วยการศึกษาข้อมูลตามรายละเอียดของแบบบันทึกดังกล่าว และตรวจสอบความครบถ้วนและถูกต้องของข้อมูลที่เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป กำหนดระดับความมีนัยสำคัญที่ 0.05 ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป การตั้งครรภ์การฝากครรภ์ การคลอด และผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด 2. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก โดยใช้สถิติ Chi-square test จริยธรรมวิจัย ผู้วิจัยพิทักษ์สิทธิของผู้เข้าร่วมการวิจัยโดยยึดแนวปฏิบัติดังนี้


5 1. เสนอโครงร่างการวิจัยและเครื่องมือการวิจัยให้คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์โรงพยาบาลชุมพร เขตรอุดมศักดิ์พิจารณาอนุญาตให้ทำการวิจัยและผ่านการรับรอง รหัสโครงการวิจัย CPH-EC-094/2566 ลงวันที่ 2 มกราคม 2567 2. เก็บรวบรวมข้อมูล โดยรักษาความลับของข้อมูลที่ได้ และนำเสนอข้อมูลในภาพรวม 3. หลังจากการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เสร็จแล้ว ผู้วิจัยจะนำแบบบันทึกข้อมูล ไปทำลาย และลบ File ข้อมูล ภายใน 6 เดือน หลังจากเขียนรายงานผลการวิจัยเสร็จ ผลการวิจัย ข้อมูลทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ เป็นคนไทย ร้อยละ 71.7 เป็น เมียนมา ร้อยละ 28.3 เป็นกลุ่มตัวอย่างที่มาคลอดในปีงบประมาณ 2562 – 2566 คือ ร้อยละ 25.4, 18.9, 22.5, 13.7 และ 19.5 ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีอายุ 20 – 35 ปีร้อยละ 73.3 โดยเฉลี่ยมีอายุ 26.4 ปี(SD = 6.4) มีการศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 28.3 รองลงมาคือ ไม่ได้เรียนหนังสือ ร้อยละ 27.0 ประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 30.0 รองลงมาคือ เกษตรกรรม ร้อยละ 24.8 ส่วนใหญ่อยู่ร่วมกับสามี ร้อยละ 96.1 รายละเอียดดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 จำนวนและร้อยละข้อมูลทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) เชื้อชาติ ไทย 220 71.7 พม่า 87 28.3 ปีงบประมาณที่มีผู้รับบริการคลอด 2562 78 25.4 2563 58 18.9 2564 69 22.5 2565 42 13.7 2566 60 19.5 อายุ( = 26.4 ปีSD = 6.4 Min-Max = 14-47 ปี) น้อยกว่า 20 ปี 48 15.6 20 – 35 ปี 225 73.3 มากกว่า 35 ปี 34 11.1 ระดับการศึกษา ไม่ได้เรียน 83 27.0 ประถมศึกษา 35 11.4 มัธยมศึกษาตอนต้น 62 20.2 มัธยมศึกษาตอนปลาย 87 28.3 อนุปริญญาหรือสูงกว่า 40 13.1 อาชีพ รับจ้าง 92 30.0 ช่วยเหลืองานในครอบครัว / งานบ้าน 66 21.5 เกษตรกรรม 76 24.8 ค้าขาย 39 12.7 ธุรกิจส่วนตัว 19 6.2 รับราชการ / รัฐวิสาหกิจ 15 4.8


6 ตารางที่ 1 (ต่อ) ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) การอยู่ร่วมกับสามี อยู่ 295 96.1 ไม่ได้อยู่ (หม้าย / หย่า / แยก) 12 3.9 ข้อมูลการตั้งครรภ์พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ตั้งครรภ์เป็นครรภ์ที่ 2 ครรภ์ที่ 1 และครรภ์ที่ 3 ร้อยละ 32.9, 31.6 และ 23.1 ตามลำดับ มีบุตรที่มีชีวิตอยู่ 1-2 คน ร้อยละ 58.0 รองลงมาคือ 3-4 คน ร้อยละ 7.8 ไม่มีบุตร ร้อยละ 33.9 เคยแท้งบุตร ร้อยละ 11.4 ส่วนใหญ่มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่โรงพยาบาล ร้อยละ 78.5 มีความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ ร้อยละ 43.0 ได้แก่ ซีด เบาหวาน เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ความดัน โลหิตสูง และทารกตายในครรภ์ ร้อยละ 29.3, 5.9, 5.5, 3.3 และ 0.3 ตามลำดับ) มาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ ร้อยละ 53.1 ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ร้อยละ 41.0 และฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ร้อยละ 58.0 รายละเอียดดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละเกี่ยวกับข้อมูลการตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลพะโต๊ะ ข้อมูลการตั้งครรภ์ จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) ลำดับการตั้งครรภ์ ครรภ์ที่ 1 97 31.6 ครรภ์ที่ 2 101 32.9 ครรภ์ที่ 3 71 23.1 ครรภ์ที่ 4 28 9.1 ครรภ์ที่ 5 ขึ้นไป 10 3.3 จำนวนบุตรที่มีในปัจจุบัน ไม่มี 104 33.9 1 - 2 คน 178 58.0 3 - 4 คน 24 7.8 5 คน 1 0.3 จำนวนครั้งที่แท้งบุตร ไม่มี 272 88.6 1 ครั้ง 29 9.4 2 ครั้ง 6 2.0 สถานที่ฝากครรภ์ครั้งแรก โรงพยาบาล 241 78.5 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 48 15.6 คลินิก 18 5.9 ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่มี 175 57.0 มี (มีได้มากกว่า 1 อย่าง) 132 43.0 ซีด 90 29.3 เบาหวาน 18 5.9 เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 17 5.5


7 ตารางที่ 2 (ต่อ) รายการ จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ (ต่อ) ความดันโลหิตสูง 10 3.3 ทารกตายในครรภ์ 1 0.3 การฝากครรภ์ การฝากครรภ์ครั้งแรก ภายใน 12 สัปดาห์ 163 53.1 หลัง 12 สัปดาห์ 144 46.9 การฝากครรภ์ตามเกณฑ์ ไม่มีการฝากครรภ์ 3 1.0 ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์(5 ครั้ง) 126 41.0 ฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ 178 58.0 มาฝาก 4 ครั้ง 92 30.0 3 ครั้ง 49 16.0 2 ครั้ง 27 8.7 1 ครั้ง 10 3.3 ข้อมูลการคลอด พบว่า ส่วนใหญ่คลอดเมื่อครบกำหนดคลอด (37 - 41 สัปดาห์) ร้อยละ 91.7 โดยคลอด ปกติทางช่องคลอดทั้งหมด ความผิดปกติในระหว่างการคลอด ร้อยละ 10.4 (ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ มากกว่า 12 ชั่วโมง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะทารกโตช้าในครรภ์คลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ทารกในครรภ์ เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน ร้อยละ 3.3, 3.3, 2.0, 1.6, และ 1.3) รายละเอียดดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 จำนวนและร้อยละเกี่ยวกับข้อมูลการคลอดของหญิงตั้งครรภ์ ข้อมูลการคลอด จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) อายุครรภ์ที่คลอด ( = 38.6 สัปดาห์SD = 1.1 Min-Max = 32-42 สัปดาห์) ก่อนกำหนด (22 – 36 สัปดาห์) 6 2.0 ครบกำหนด (37 – 41 สัปดาห์) 300 91.7 เกินกำหนด (42 สัปดาห์ขึ้นไป) 1 0.3 วิธีการคลอด คลอดปกติทางช่องคลอด 307 100.0 ความผิดปกติระหว่างการคลอด ไม่มี 275 89.6 มี (มีได้มากกว่า 1 อย่าง) 35 10.4 ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์มากกว่า 12 ชั่วโมง 10 3.3 ภาวะครรภ์เป็นพิษ 10 3.3 ภาวะทารกโตช้าในครรภ์ 6 2.0 คลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ 5 1.6 ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน 4 1.3


8 ผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก พบว่า มารดาหลังคลอดภาวะสุขภาพดี ร้อยละ 89.9 มีความ ผิดปกติจำนวนเล็กน้อย ร้อยละ 10.1 (ตกเลือดหลังคลอด ซีด และแผลฝีเย็บติดเชื้อ ร้อยละ 7.5, 2.6 และ 0.3 ตามลำดับ) ทารกส่วนใหญ่มีสุขภาพดี ร้อยละ 84.7 ความผิดปกติที่พบคือ ภาวะตัวเหลือง มีไข้ ติดเชื้อในกระแสเลือด และทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าอายุครรภ์ร้อยละ 10.7, 2.9, 1.3 และ 0.3 ตามลำดับ น้ำหนักทารกแรกคลอด ส่วนใหญ่มีน้ำหนักปกติ (2,500 – 4,000 กรัม) ร้อยละ 92.8 รองลงมา คือ น้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ร้อยละ 5.9 รายละเอียดดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 จำนวนและร้อยละผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก ผลลัพธ์ทางสุขภาพ จำนวน ร้อยละ (n = 307) (100.0) ภาวะสุขภาพของมารดาหลังการคลอด สุขภาพดี 276 89.9 ความผิดปกติที่พบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 31 10.1 ตกเลือดหลังคลอด 23 7.5 ซีด 8 2.6 แผลฝีเย็บติดเชื้อ 1 0.3 ภาวะสุขภาพของทารก สุขภาพดี 260 84.7 ความผิดปกติที่พบ คือ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 47 15.3 ภาวะตัวเหลือง 33 10.7 มีไข้ 9 2.9 ติดเชื้อในกระแสเลือด 4 1.3 ทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าอายุครรภ์ 1 0.3 น้ำหนักทารกแรกคลอด น้ำหนักตัวปกติ (2,500 – 4,000 กรัม) 285 92.8 น้ำหนักตัวผิดปกติ 22 7.2 น้ำหนักตัวน้อย (น้อยกว่า 2,500 กรัม) 18 5.9 น้ำหนักตัวมากกว่าปกติ (มากกว่า 4,000 กรัม) 4 1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก ผลการศึกษามีดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับภาวะสุขภาพของมารดาและทารก หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ ครบตามเกณฑ์ (5 ครั้ง) มีภาวะสุขภาพ (หลังคลอด) ผิดปกติ ร้อยละ 11.9 มากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ไม่ ครบตามเกณฑ์เล็กน้อย ซึ่งพบร้อยละ 8.8 ส่วนภาวะสุขภาพของทารก พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครบตาม เกณฑ์ ทารกมีภาวะสุขภาพผิดปกติ ร้อยละ 7.9 แต่หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ พบทารกมีภาวะ สุขภาพผิดปกติถึงร้อยละ 20.4 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์ กับภาวะสุขภาพหญิงหลังคลอด และทารก พบว่า การฝากครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับภาวะสุขภาพหญิงหลังคลอด (p-value = 0.494) แต่มี ความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะสุขภาพทารก (p-value = 0.005) รายละเอียดดังตารางที่ 5


9 ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับภาวะสุขภาพของมารดาและทารก ภาวะสุขภาพมารดาหลังคลอด การฝากครรภ์ สุขภาพดี ผิดปกติ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ การฝากครรภ์ตามเกณฑ์ (n = 276) (n = 31) ครบ 111 88.1 15 11.9 ไม่ครบ 165 91.2 16 8.8 2 = 0.468 df = 1 p-value = 0.494 ภาวะสุขภาพทารก การฝากครรภ์ สุขภาพดี ผิดปกติ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ การฝากครรภ์ตามเกณฑ์ (n = 260) (n = 47) ครบ 116 92.1 10 7.9 ไม่ครบ 144 79.6 37 20.4 2 = 8.022 df = 1 p-value = 0.005 2. ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์ กับน้ำหนักทารกแรกคลอด หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครบ ตามเกณฑ์ (5 ครั้ง) ทารกมีน้ำหนักแรกคลอดปกติ(2,500 – 4,000 กรัม) ร้อยละ 92.1 น้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ ที่มาฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์เล็กน้อย ซึ่งพบร้อยละ 93.4 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์ กับน้ำหนักทารกแรกคลอด พบว่า การฝากครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับน้ำหนักทารกแรกคลอด (p-value = 0.832) รายละเอียดดังตารางที่ 6 ตารางที่ 6 ความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์ กับน้ำหนักทารกแรกคลอด น้ำหนักทารกแรกคลอด การฝากครรภ์ ปกติ ผิดปกติ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ การฝากครรภ์ตามเกณฑ์ (n = 285) (n = 22) ครบ 116 92.1 10 7.9 ไม่ครบ 169 93.4 12 6.6 2 = 0.045 df = 1 p-value = 0.832 กล่าวโดยสรุปได้ว่า การฝากครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพของมารดาและน้ำหนักทารกแรกคลอด (p-value > 0.05) แต่การฝากครรภ์มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพทารกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value = 0.005) การอภิปรายผล ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์เพียงครึ่งหนึ่ง และการฝากครรภ์ ครบตามเกณฑ์น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด คือ ฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ ตั้งแต่ร้อยละ 75 ขึ้นไป และฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ 5 ครั้ง ตั้งแต่ร้อยละ 75 ขึ้นไป (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2565) และปัจจุบันได้กำหนดให้มีการฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ 8 ครั้ง ซึ่งถือว่ายัง ไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด และต่ำกว่าเป้าหมาย ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากหญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอด ร้อยละ 28.3 เป็น ผู้รับบริการจากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ส่วนหนึ่งไม่มาฝากครรภ์ แต่จะมารับบริการคลอดที่โรงพยาบาล และ


10 ส่วนหนึ่งก็เป็นคนไทยที่อาจมีความจำเป็น หรือไม่ใส่ใจที่จะมาฝากครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงาน และมี การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และต่ำกว่า ต้องใช้เวลาในการทำมาหากิน และอาจมีการเรียนรู้ และเข้าใจ เรื่องการฝากครรภ์น้อย ทำให้ไม่มีการฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ และฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ สอดคล้องกับการศึกษาของหทัยรัตน์ รังสรรค์สฤษดิ์ (2561) พบว่าหญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 46.8 มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่ อายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ เรณู ศรีสุข, วรรณี เดียวอิศเรศ และวิไลวรรณ สวัสดิ์พาณิชย์ (2559) พบร้อยละ 46.0 ในขณะที่การศึกษาของมุกดา สนจีน และอังสินี กันสุขเจริญ (2565) พบว่า หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ไม่ครบ 5 ครั้งตามเกณฑ์ร้อยละ 45.0 และการศึกษาของมรกต สุวรรณวนิช (2563) พบร้อยละ 45.0 ตามลำดับ สำหรับภาวะสุขภาพของมารดาและทารก พบว่า ส่วนใหญ่หญิงหลังคลอดและทารกมีภาวะสุขภาพดี และมี น้ำหนักทารกแรกคลอดปกติ โดยพบภาวะผิดปกติเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถดูแลรักษาให้ปกติได้ แม้ว่า หญิงตั้งครรภ์มีการฝากครรภ์ครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ และฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แต่ อย่างไรก็ตามก็ควรดำเนินการให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครั้งแรกภายใน 12 สัปดาห์ และฝากครรภ์ให้ครบกำหนดเพิ่มขึ้น เพื่อจะเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน โลหิตสูง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Belayneh et al., 2016) ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย (Xaverius et al., 2016) รวมทั้งติดเชื้อในกระแสเลือด การเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Tariku et al., 2010) และปัญหาด้านสุขภาพหญิง ตั้งครรภ์และทารก เช่น ภาวะโลหิตจาง ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยหรือมากกว่าปกติตัวเหลือง และติดเชื้อในกระแส เลือด เป็นต้น (อนุสรา ก๋งอุบล, 2560; ฐิติมา หาญสมบูรณ์, 2565) ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างการฝากครรภ์กับผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก พบว่า การฝาก ครรภ์มีผลต่อสุขภาพทารกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ ทารกจะมี ความผิดปกติ (ร้อยละ 20.4) มากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์(ร้อยละ 7.9) แสดงให้เห็นว่า การฝาก ครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์จะทำให้ทารกเกิดความผิดปกติได้มากกว่าการฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ สอดคล้องกับ การศึกษาของฐิติมา หาญสมบูรณ์(2565) พบว่า ทารกในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์มีความ ผิดปกติน้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ ทั้งนี้ เป็นเพราะการฝากครรภ์ทำให้สามารถวินิจฉัย และป้องกันโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารก ทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้รับการเสริมธาตุเหล็กเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจางได้ควบคุมการพัฒนาสมองและการ เจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ ซึ่งจะป้องกันการเกิดโรคเอ๋อ (อรทัย วงศ์พิกุล และคณะ, 2558) นอกจากนี้ยังช่วย ในการตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม การติดเชื้อ HIV ลดอัตราการเกิดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย รวมทั้งได้รับ คำแนะนำในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา (Das et al., 2017) อย่างไรก็ตาม จาก การศึกษาในครั้งนี้แตกต่างจากการศึกษาของอนุสรา ก๋งอุบล (2560) และการศึกษาของปฐม นวลคำ (2559) พบว่า ทารกที่คลอดจากมารดาที่มาฝากครรภ์ครบและไม่ครบตามเกณฑ์มีภาวะสุขภาพไม่แตกต่างกัน การนำผลการวิจัยไปใช้ 1. พัฒนาแนวทางในการรณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครั้งแรกน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และแนวทางการ ติดตามหญิงตั้งครรภ์ให้มาฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์โดยเฉพาะการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการฝากครรภ์ล่าช้า หรือไม่ครบตามเกณฑ์การตรวจการตั้งครรภ์และวิธีการฝากครรภ์เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์เกิดความใส่ใจ มีความ ตระหนักถึงผลกระทบและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น โดยใช้การสื่อสารที่หลากหลาย ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย และใช้การ สื่อสารเชิงรุก 2. นำข้อมูลเกี่ยวกับความผิดปกติของหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะภาวะซีดที่พบร้อยละ 29.3 ไปใช้ในการ พัฒนาแนวทางการดูแล เพื่อลดอัตราการเกิดความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อนจากภาวะซีด ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป 1. ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการฝากครรภ์ครั้งแรกน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และการฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์ เพื่อ ใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์


11 2. พัฒนารูปแบบ/วิธีการส่งเสริมหญิงตั้งครรภ์ให้มาฝากครรภ์ครั้งแรกน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และฝากครรภ์ ครบตามเกณฑ์ เอกสารอ้างอิง กระทรวงสาธารณสุข. (2565). นโยบายการฝากครรภ์คุณภาพสำหรับประเทศไทย พ.ศ.2565. เข้าถึงได้จาก: https:// www.thaiperinatal.com/news/1-40-% (วันที่ค้นข้อมูล 5 มกราคม 2567) คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2565-2567. (2566). แนวทางเวชปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่ง ประเทศไทย เรื่องการดูแลสตรีตั้งครรภ์. เข้าถึงได้จาก: https://www.rtcog.or.th/files/1685345623_ d8d75aab0a 3f9b6bc66a.pdf (วันที่ค้นข้อมูล 5 มกราคม 2567) ฐิติมา หาญสมบูรณ์. (2565). การประเมินผลการฝากครรภ์ ภาวะสุขภาพมารดาและทารก อำเภอหลังสวน จังหวัด ชุมพร. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม, 19(1), 23-33. ปฐม นวลคำ. (2559). การประเมินผลการฝากครรภ์ ภาวะสุขภาพมารดาและทารก ในสถานบริการสาธารณสุข จังหวัดแม่ฮ่องสอน. แม่ฮ่องสอน: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน. มรกต สุวรรณวนิช. (2563). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการฝากครรภ์ไม่ครบตามเกณฑ์ของหญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอด บุตรที่โรงพยาบาลราชบุรี. วารสารแพทย์เขต 4-5, 39(4), 648-654. มุกดา สนจีน และอังสินี กันสุขเจริญ. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการฝากครรภ์ครั้งแรกไม่ครบตามเกณฑ์ของ หญิงตั้งครรภ์ที่มาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลแก่งกระจาน. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัด เพชรบุรี, 5(3), 39-52. เรณู ศรีสุข, วรรณี เดียวอิศเรศ และวิไลวรรณ สวัสดิ์พาณิชย์. (2559). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมาฝากครรภ์ครั้งแรก ภายใน 12 สัปดาห์ ของหญิงตั้งครรภ์ ที่มาฝากครรภ์ในสถานบริการเขตอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี. วารสารโรงพยาบาลชลบุรี, 4(2), 149-156. โรงพยาบาลพะโต๊ะ. (2566). รายงานการฝากครรภ์และคลอดโรงพยาบาลพะโต๊ะ. ชุมพร : โรงพยาบาลพะโต๊ะ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2565). สปสช. ยกระดับการให้บริการฝากครรภ์ เน้นคุณภาพ-เท่าเทียม. เข้าถึงได้จาก: https://www.nhso.go.th/news/3451 (วันที่ค้นข้อมูล 20 มกราคม 2567) สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). คู่มือการฝากครรภ์สำหรับบุคลากร สาธารณสุข. สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). แผนการตรวจราชการกระทรวง สาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565. สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย. (2558). WHO ปลุกกระแสรณรงค์สุขภาพแม่และเด็ก วันอนามัยโลก 2558. เข้าถึงได้จาก: http://advisor.anamai.moph.go.th/ (วันที่ค้นข้อมูล 10 ธันวาคม 2566) สุวชัย อินทรประเสริฐ. (2559). การตั้งครรภในวัยรุ่น. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพมหานคร: โฮลิสติกพับลิชชิ่ง. หทัยรัตน์ รังสรรค์สฤษดิ์. (2561). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมาฝากครรภ์ล่าช้ากว่า 12 สัปดาห์ของหญิงตั้งครรภ์ ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกในสถานบริการของรัฐเขตอำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต. เข้าถึงได้จาก: https://www. vachiraphuket.go.th/wp-content/uploads/2021/04/vachira-2021-04-09_21-50-00_844603.pdf (วันที่ค้นข้อมูล 18 พฤษภาคม 2567) อนุสรา ก๋งอุบล. (2560). การประเมินผลการฝากครรภ์ ภาวะสุขภาพมารดาและทารก อำเภอเวียงสระ จังหวัด สุราษฎร์ธานี. วารสารวิชาการแพทย์เขต 11, 31(1), 109-119. อรทัย วงศ์พิกุล, สินีนารถ โรจนานุกูลพงศ์และอำพวรรณ คำรณฤทธิ์. (2558). ฝากครรภ์ดี มีคุณภาพ ควรฝากก่อน อายุครรภ์12 สัปดาห์. นครราชสีมา: ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา. Belayneh, T., Adefris, M., & Andargie, G. (2014). Previous early antenatal service utilization improves timely booking: Cross-sectional study at university of Gondar hospital, Northwest Ethiopia. Journal of Pregnancy, 2014, Article 132494. Available URL: http://dx.doi.org/10.1155/2014/ 132494 (Retrieved Febuary 2, 2024)


12 Berhan Y, & Berhan A. (2014). Antenatal care as a means of increasing birth in the health facility and reducing maternal mortality: A systematic review. Ethiopian journal of health sciences, 24, 93–104. Das, S., Dhulkotia, J. S., Brook, J., & Amu, O. (2017). The impact of a dedicated antenatal clinic on the obstetric and neonatal outcomes in adolescent pregnant women. Journal of Obstetrics and Gynaecology, 27(5), 464 – 466. Tariku, A., Melkamu, Y., & Kebede, Z. (2010). Previous utilization of service does not improve timely booking in antenatal care: cross sectional study on timing of antenatal care booking at public health facilities in Addis Ababa. Ethiopian Journal of Health Development, 24(3), 226-233. World Health Organization. (2018). WHO recommendations on antenatal care for a positive pregnancy experience: Summary. Available URL: https://apps.who.int/iris/bitstream /handle/10665 /259947/WHO-RHR-18.02-eng.pdf (Retrieved Febuary 2, 2024) Xaverius, P., Alman, C., Holtz, L., & Yarber, L. (2016). Risk factors associated with very low birth weight in a large urban area, stratified by adequacy of prenatal care. Maternal and Child Health Journal, 20(3), 623-629.


Click to View FlipBook Version