คู่มือท่องเที่ยวเกาะบ้านเลน เกาะบ้านเลน
คู่มือท่องเที่ยว
เรียนรู้ชุมชน
ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
U2T บ้านเลน ๒๕๖๔
คำนำ
การท่องเที่ยว เป็น เครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นรายได้หลัก
ทางหนึ่งของประเทศที่สามารถทำได้ทันที ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว
แบบใหม่ (NEW Normal) อย่างไรก็ตามการกระจายรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก
ให้ไปสู่เมืองรอง และให้ลงถึงชุมชนที่เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาทุกมิติของประเทศ
จำเป็นต้องวางแนวปฏิบัติให้ชัดเจน และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่ ชุมชนที่ทำ
เรื่องท่องเที่ยว บริษัทนำเที่ยว และนักท่องเที่ยวให้มีทิศทางการทำงานสอดคล้องเป็นไป
ในทางเดียวกันอย่างมีเอกภาพ ตามมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์
(Creative Community Based Tourism: C-CBD) เพื่อพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชน
เชิงสร้างสรรค์ สู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไปได้
คู่มือการท่องเที่ยวบ้านเลนเล่มนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวโดยชุมชน
เชิงสร้างสรรค์ “ผลิตภัณฑ์สื่อถึงบ้านเลน บ้านเลนสื่อถึงผลิตภัณฑ์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
กระจายเม็ดเงินสู่ชุมชน อาทิ ชุมชนตลาดเก่าบ้านเลน ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี เป็นอีกหนึ่งสถานที่
ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถมาสัมผัสวิถีตลาดเช้ามืด ชมบรรยากาศบ้านไม้ ๒ ชั้น แวะชิมอาหาร
อร่อย ชมบรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ โดยมี
“ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง” (นักเล่าชุมชน) พร้อมถ่ายทอดเรื่องราว
ทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือฉบับนี้จะเกิดผลประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว นักเก็บเกี่ยว
ประสบการณ์ไม่มากก็น้อย และเกิดผลประโยชน์ต่อชุมชนบ้านเลนต่อไปในอนาคต
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ภาคีฉาย
หัวหน้าโครงการ U2T ตำบลบ้านเลน
ธันวาคม ๒๕๖๔
รู้จักโครงการ U2T มหาวิทยาลัยสู่ ตำบล
สร้างงาน สร้างรายได้
ให้ชุมชน
U2T สนั บสนุนให้มหาวิทยาลัยใช้องค์ความรู้ งานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ผลลัพธ์ของ U2T
และทรัพยากรมาใช้พัฒนาพื้นที่พัฒนาประเทศ และนำโจทย์หรือปัญหาของประเทศ เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ที่มีความครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ
มาสู่การพัฒนาศักยภาพกำลังคน องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตามปัญหาและความต้องการของชุมชน เช่น การยกระดับสินค้า OTOP การยกระดับ
เพื่อขับเคลื่อนประเทศ การท่องเที่ยว เป็นต้น
เกิดการจ้างงานที่ตอบสนองต่อการฟื้ นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่
U2T ทำอะไรในระยะแรก เกิดเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนา และฟื้ นฟูเศรษฐกิจและสังคม
สร้างอนาคตให้กับ ๓,๐๐๐ ตำบลทั่วประเทศ รวมทั้งสร้างอนาคต สร้างโอกาส ในพื้นที่ระหว่างสถาบันอุดมศึ กษาและชุมชน
สร้างรายได้ให้กับนั กศึกษาและประชาชน ๖๐,๐๐๐ คน
U2T พระนครศรีอยุธยา
U2T กับ ๔ วัตถุประสงค์ ดูแล ๘๔ ตำบล จาก ๘ สถาบัน โดยตำบลบ้านเลน ๑ ใน ๓๐ ตำบล
๑. ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการโดยมหาวิทยาลัยเป็น
รับผิดชอบโดยคณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
System Integrator ราชมงคลสุวรรณภูมิ
๒. จัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ของชุมชน (Community Big Data)
๓. เพื่อให้เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ และนักศึกษา ให้มีงานทำ
และฟื้ นฟูเศรษฐกิจชุมชน
๔. เพื่อให้เกิดการพัฒนาตามปัญหาและความต้องการของชุมชน
เ ข้ า ใ จ บ า ง ป ะ อิ น
ประวัติความเป็นมา
ตามพระราชพงศาวดาร กล่าวว่า พระเจ้าปราสาททอง
เป็นผู้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมา เนื่องจากพื้นที่บริเวณเกาะ
บางปะอินเป็นที่ประสูติของพระองค์ และเป็นเคหสถานเดิม
ของพระมารดา ซึ่งเป็นหญิงชาวบ้านที่สมเด็จพระเอกาทศรถ
ทรงพบเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่ง แล้วเรือ
เกิดล่มตรงเกาะบางปะอิน พระเจ้าปราสาททองทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นบนเกาะบางปะอิน บริเวณเคหสถานเดิม
ของพระมารดา ในปี พ.ศ. ๒๑๗๕ พระราชทานชื่อว่า "วัด
ชุมพลนิกายาราม" และให้ขุดสระน้ำสร้างพระราชนิเวศน์ขึ้น
กลางเกาะเพื่อเป็นที่สำหรับเสด็จประพาส แล้วสร้างพระที่นั่งขึ้น
หนึ่งองค์บริเวณริมสระน้ำนั้น พระราชทานชื่อว่า "พระที่นั่ง
ไอศวรรย์ทิพยอาสน์"
พ ร ะ ร า ช วั ง บ า ง ป ะ อิ น
พระราชวังบางปะอิน ได้รับการบูรณะฟื้ นฟูอีกครั้ง ในช่วงสมัย สิ่ ง ที่ น่ า ส น ใ จ
รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่ง ใ น เ ข ต พ ร ะ ร า ช วั ง ชั้ น น อ ก
สำหรับเป็นที่ประทับ โดยมีเรือนแถวสำหรับฝ่ายใน และมีพลับพลา ข อ ง พ ร ะ ร า ช วั ง บ า ง ป ะ อิ น
ติดริมน้ำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระที่นั่งวโรภาษพิมาน อยู่ทางตอนเหนือของ "สะพานเสด็จ"
รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙
พระที่นั่ง และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ขึ้น ดังที่ปรากฎให้เห็นในปัจจุบันนี้ ซึ่ง เดิมเป็นเรือนไม้สองชั้น ใช้เป็นที่ตั้งประทับ และท้องพระโรงร่วมกัน
ยังคงใช้เป็นที่ประทับต้อนรับพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยง ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อเพื่อสร้างใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมแบบ
ตะวันตก ก่อด้วยอิฐ ทรงวิหารกรีก แบบคอรินเธีย ออร์เดอร์ มีมุข
รับรองในโอกาสต่าง ๆ เป็นครั้งคราว ตอนหน้า ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางในงานพระราช
พระราชวังบางปะอินแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตพระราชฐาน พิธี และเคยใช้เป็นที่รับรองแขกเมืองอีกหลายครั้ง สิ่งที่น่าชมภายใน
พระที่นั่งวโรภาษพิมาน ได้แก่ อาวุธโบราณ ตุ๊กตาหิน สลักด้วยฝีมือ
ชั้นนอก ใช้เป็นที่สำหรับการออกมหาสมาคม และพระราชพิธีต่าง ๆ ที่ประณีต ภาพเขียนสีน้ำมันเป็นเรื่องราวภาพชุดพระราชพงศาวดาร
เขตพระราชฐานชั้นใน ใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ อีกทั้งภาพวรรณคดีไทยเรื่องอิเหนา พระอภัยมณี สังข์ทอง และ
จันทโครพ ตลอดจนเป็นที่เก็บเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ และที่
สำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระราชบัลลังค์ และนพปฎลมหาเศวตฉัตร
เป็นปรางค์ศิลาจำลองแบบจากปรางค์ขอม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ เพื่อทรงอุทิศถวายแด่พระเจ้า
ปราสาททอง กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ภายในเป็นที่ประดิษฐาน
พระรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ห อ เ ห ม ม ณ เ ฑี ย ร เ ท ว ร า ช พ ร ะ ที่ นั่ ง ว โ ร ภ า ษ พิ ม า น
ที่มา : เมืองไทยดี๊ดี ตอน ต้นกำเนิดเกิดที่บางปะอินเ ก ร็ ด น่ า รู้
ก า ร เ ดิ น ร ถ ไ ฟ ค รั้ ง แ ร ก พ ร ะ ที่ นั่ ง ไ อ ศ ว ร ร ย์ ทิ พ ย อ า ส น์
ของประเทศไทย
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงทรงจัตุรมุขอยู่
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จ กลางสระน้ำ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทย รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริให้เริ่ม ให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์
ก่อสร้าง เส้นทางรถไฟหลวงสายแรกของสยาม ปราสาทในพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ และพระราชทานนามว่า
"ไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ตามพระที่นั่งองค์แรก ซึ่งพระเจ้าปราสาททอง
คือ เส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ซึ่งแต่เดิมพระที่นั่งสร้างด้วยไม้ทั้งองค์ ต่อมา
จนกระทั่ง เมื่อถึงพุทธศักราช ๒๔๓๙ เส้นทางบางส่วน รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเสา และเปลี่ยนพื้นเป็นคอนกรีต
เสริมเหล็กทั้งหมด ในปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์
แล้วเสร็จ จึงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ในฉลอง
พระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่าง พระองค์เต็มยศจอมพลทหารบก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น
สถานีกรุงเทพฯ - อยุธยา ระยะทาง ๗๑ กิโลเมตร
ในวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๔๓๙
ถือเป็นจุดกำเนินการเดินรถไฟครั้งแรกของประเทศไทย
๕
สิ่ ง ที่ น่ า ส น ใ จ เก๋งบุปผาประพาส อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้า หอวิฑูรทัศนา
ใ น เ ข ต พ ร ะ ร า ช วั ง ชั้ น ใ น
ข อ ง พ ร ะ ร า ช วั ง บ า ง ป ะ อิ น เป็นตำหนักเก๋งเล็กอยู่กลาง สุนันทากุมารีรัตน์ เป็นพระที่นั่งหอสูงยอดมน
สวนริมสระน้ำ ในเขตพระ ตั้งอยู่กลางเกาะน้อยในสวน
ส่วนเขตพระราชฐานชั้นใน เชื่อมต่อกับเขตพระราชฐานชั้นนอก ราชวังชั้นใน สร้างในสมัย เรียกเป็นสามัญว่าอนุสาวรีย์ เขตพระราชวังชั้นในระหว่าง
ด้วยสะพานที่เชื่อมจากพระที่นั่งวโรภาษพิมานกับประตูเทวราชครรไล รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรกับ
ซึ่งเป็นประตูทางเข้าพระราชฐาน สะพานนี้มีลักษณะพิเศษ คือ มีแนว พระนางเรือล่ม ตั้งอยู่ทางด้าน พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ เป็น
ฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นกลางตลอดแนวสะพาน เพื่อแบ่งเป็นทางเดิน ทิศตะวันออกของพระราชวัง พระที่นั่ง ๓ ชั้น มีบันไดเวียน
ของฝ่ายหน้าด้านหนึ่ง และฝ่ายในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งฝ่ายในสามารถมอง เป็นหอส่องกล้องชมภูมิประเทศ
ลอดออกมาโดยตัวเองไม่ถูกแลเห็น บริเวณพระราชฐานชั้นในประกอบ ก่อสร้างด้วยหินอ่อน ก่อเป็น บ้านเมืองโดยรอบ สร้างในสมัย
ด้วยที่ประทับพลับพลา และศาลาต่าง ๆ รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔
แท่งหกเหลี่ยม สูง ๓ เมตร
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ
อยู่ทางทิศตะวันออกตรงข้ามกับสระน้ำ พระที่นั่งองค์นี้ มีนามเป็นภาษาจีนว่า บรรจุพระสรีรังคารของสมเด็จ
"เทียนเม่งเต้ย" (เที่ยน = เวหา, เม่ง = จำรูญ,
เป็นพระที่นั่งเรือนไม้สองชั้นตามแบบ พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
ชาเลต์ของสวิส คือ มีเฉลียงชั้นบน และ เต้ย = พระที่นั่ง) สร้างถวายพระบาทสมเด็จ
ชั้นล่าง ภายในประดับตกแต่งด้วยเครื่อง พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระมเหสีในพระบาทสมเด็จ
เรือนไม้มะฮอกกานี จัดสลับลายทองทับ
เพื่อเป็นพระที่นั่งสำหรับประทับในฤดูหนาว พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่สั่งจากยุโรปทั้งสิ้นนอกนั้นเป็นสิ่งของหายาก พระที่นั่งนี้ เคยใช้เป็นที่รับรองเจ้านายต่าง
ในประเทศ อันเป็นเครื่องราชบรรณาการจาก ประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีลักษณะเป็น พร้อมทั้งจารึกคำไว้อาลัยที่
ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์
หัวเมืองต่าง ๆ ทั่วราชอาณาเขตรอบ ๆ และ สถาปัตยกรรมแบบจีน มีลวดลายแกะสลัก
มีสวนดอกไม้สวยงาม แต่เดิมเป็นอาคารไม้ เองไว้ทั้งภาษาไทย และภาษา
งดงามวิจิตรยิ่ง บริเวณโถงด้านหน้าปูด้วย อังกฤษ
แบบสวิสชาเลย์ เคยเป็นที่ประทับของซาร์ กระเบื้องแบบกังไส เขียนด้วยมือทุกชิ้น
เลวิซเมื่อเสด็จไทยต่อมาได้ถูกเพลิงไหม้ และ
มีการบูรณะขึ้นใหม่เป็นปูน และรื้อสร้างเป็น
แบบวิคตอเรียในสมัยรัชกาลที่ ๙
“พระราชวังบางปะอิน” หรือ “พระราชวังฤดูร้อน” (Summer Palace) ที่ ม า ข อ ง คำ ว่ า
พ ร ะ ร า ช วั ง ฤ ดู ร้ อ น
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ราว พ.ศ. ๒๑๗๕ ทรงโปรด
ให้ขุดสระน้ำขึ้นกลางพื้นที่ของพระราชวัง พร้อมสร้างพระที่นั่ง ธรรมเนียมการสร้างพระราชวังฤดูร้อนของไทย มีพัฒนาการมาจากแนวคิด
ไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ขึ้นกลางสระน้ำ เป็นสถานที่สำหรับเสด็จประพาส ของโลกตะวันตกหรือในซีกโลกทางเหนือที่มีอากาศหนาว ซึ่งเราสามารถพบเห็นพระ
และสำราญพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดินในสมัยอยุธยา ราชวังฤดูร้อน ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย ที่มีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นที่
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ประทับสำหรับพระมหากษัตริย์ในช่วงฤดูที่มีอากาศร้อนจัด ซึ่งมีคลื่นของความร้อน
ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยมักสร้างให้อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เพื่อนำมา
ใช้ทำน้ำพุ หล่อเลี้ยงความเย็น และความชื้นในบริเวณพระราชวัง
ต่อมา พระมหากษัตริย์ของไทยจึงรับเอาธรรมเนียมการสร้างพระราชวังฤดู
ร้อนมาใช้ แต่ไม่ได้ใช้เพียงแค่เป็นที่ประทับสำหรับในฤดูร้อนเท่านั้น เนื่องจากเมือง
ไทยมีสภาพอากาศร้อนเกือบตลอดทั้งปี จึงใช้เป็นพระราชวังสำหรับเสด็จไปพักผ่อน
หลบร้อนหรือผ่อนคลายพระอิริยาบถ เมื่อทรงว่างจากพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ด้วย
ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ก็โปรดให้สร้างพระราชวังบริเวณบางปะอิน
โดยพบร่องรอยการขุดสระน้ำและสร้างพลับพลาที่ประทับกลางสระ เพื่อใช้ความเย็น
ของน้ำในสระ มาหล่อเลี้ยงให้เกิดความชุ่มชื้น และลดอุณหภูมิความร้อนของอากาศ
เวลาต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดให้ก่อสร้างพระราชวังบางปะอินขึ้นมาใหม่
ซึ่งปัจจุบันชาวต่างชาติเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่า Summer Palace หรือพระราชวัง
ฤดูร้อน จากจดหมายเหตุต่าง ๆ พบว่าทรงเสด็จไปประทับอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะใน
ช่วงฤดูกฐิน ซึ่งทรงนำพระอัครเมเหสี พระภรรยาเจ้า พระราชโอรส และธิดารวมถึง
ข้าราชบริพาร ไปบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน และถวายผ้าป่าวัดในกรุงศรีอยุธยา
ทุก ๆ ปี
บ้ า น เ กิ ด ข อ ง น า ง อิ น รำ พึ ง พ า ย ต า ม ส า ย ก ร ะ แ ส เ ชี่ ย ว ยิ่ ง แ ส น เ ป ลี่ ย ว เ ป ล่ า ใ น ฤ ทั ย ถ วิ ล
สั ก ค รู่ห นึ่ ง ก็ ม า ถึ ง บ า ง เ ก า ะ อิ น ก ร ะ สิ น ธุ์ ส า ย ช ล เ ป็ น ว น วั ง
พ ร ะ เ จ้ า ป ร า ส า ท ท อ ง ไ ด้ ท ร ง ส ร้า ง วั ด ชุ ม พ ล นิ ก า ย า ร า ม อั น เ ท็ จ จ ริง สิ่ ง นี้ ไ ม่ รู้แ น่ ไ ด้ ยิ น แ ต่ ยุ บ ล ใ น ห ล ห ลั ง
และพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ไว้ที่เกาะบ้านเลนอันเป็น ว่ า ที่ เ ก า ะ บ า ง อ อ อิ น เ ป็ น ถิ่ น วั ง ก ษั ต ริย์ ค รั้ง ค ร อ ง ก รุ ง ศ รีอ ยุ ธ ย า
นิวาสถานของพระราชมารดาอิน
“ขณะตามเสด็จ
บริเวณพระราชวังบางปะอิน เดิมเรียกว่า เกาะบ้านเลน มี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
เรื่องเล่าอยู่ว่าในสมัยอยุธยา สมเด็จพระเอกาทศรถเมื่อครั้ง เสด็จนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี
ยังทรงพระยศเป็นมหาอุปราช ได้เสด็จประพาสมาทาง และผ่านทางนี้ สุนทรภู่ ซึ่งตามเสด็จด้วย
ชลมาศแล้วเกิดเรือล่ม และพระองค์ทรงว่ายน้ำมาขึ้นฝั่ งที่ ไ ด้ บั น ทึ ก ไ ว้ ใ น นิ ร า ศ พ ร ะ บ า ท ”
เกาะบ้านเลน ณ เกาะบ้านเลนแห่งนี้มีหญิงสาวชาวบ้าน
หน้าตางดงามนางหนึ่งนามว่านางอิน ตอนหลังได้มาเป็น
ข้ า บ า ท บ ริจ า ริก า ใ น ข ณ ะ ที่ พ ร ะ อ ง ค์ เ ส ด็ จ ป ร ะ ทั บ อ ยู่ ที่ นี่
จ น ก ร ะ ทั่ ง เ มื่ อ พ ร ะ อ ง ค์ เ ส ด็ จ ก ลั บ วั ง ที่ ก รุ ง ศ รีอ ยุ ธ ย า จึ ง
ได้นำนางอินเข้าไปเป็นพระสนมในวังด้วย และพระองค์
ได้มีพระโอรสกับนางอินด้วยพระองค์หนึ่ง เล่ากันว่าพระโอรส
พระองค์นั้น คือ พระเจ้าปราสาททอง ครั้นเมื่อเสด็จขึ้นครอง
ราชย์ก็ได้รำลึกถึงถิ่นกำเนิดของพระราชมารดา จึงได้ทำการ
ก่อสร้างวัด และพระราชทานนามว่า "วัดชุมพลนิกายาราม"
ต่อมาได้สร้าง "พระตำหนักไอศวรรย์ทิพย์อาสน์" ไว้ที่เกาะ
บ้านเลน อันเป็นบ้านเกิดของนางอินผู้เป็นพระราชมารดา
ต่อจากนั้น เกาะบ้านเลน ได้เป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับ
กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา จวบจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยา
ให้กับพม่า พระราชวังเกาะบ้านเลน จึงถูกปล่อยให้รกร้าง
วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ วั ด ไ ท ย ส ไ ต ส์ ฝ รั่ ง
ง า ม แ ป ล ก ห นึ่ ง เ ดี ย ว ใ น ไ ท ย
สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ เพื่อใช้เป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราช “จะทรงบูชาพระพุทธศาสนาด้วยของแปลกประหลาด
กุศลต่าง ๆ ขณะที่เสด็จมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน แลเพื่ออาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงได้ชมเล่นเป็นของแปลก
โดยพระองค์ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้แก่ เจ้าพนักงาน
รับเหมาช่างชาวตะวันตก คือ นายโยอาคิม แกรซี (Joachim Grassi) ซึ่งไม่เคยมีในพระอารามอื่นมาก่อน
สถาปนิกชาวอิตาเลียน มาออกแบบสร้างพระอุโบสถ และ ใช่ว่าจะเลื่อมใสในลัทธิศาสนาอื่นนั้น หามิได้”
อาคารหมู่กุฏิ เป็นแบบตะวันตก
*พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความตอนหนึ่งในการถวาย
พระอารามนี้
ที่ว่างามแปลกนั้นเพราะเอกลักษณ์ของพระอุโบสถวัดมีสถาปัตยกรรม
ภายนอกเป็นศิลปะแบบโกธิค มีการตกแต่งเป็นสไตล์แบบตะวันตก
พระอุโบสถคล้ายกับโบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ที่มีหลังคายอดแหลม
และช่องหน้าต่างเจาะโค้ง ผนังอุโบสถเหนือหน้าต่างด้านหน้าพระ
ประธานประดับกระจกสีเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕
ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธาน “พระพุทธนฤมลธรรโมภาส”
ทำเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ศาสนา
เ ก ร็ ด น่ า รู้ หลังจากเที่ยวชมพระราชวังบางปะอิน
นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำ
ผู้ ใ ห ญ่ บ้ า น
แ ล ะ กำ นั น ค น แ ร ก ข อ ง ไ ท ย เพื่อเยี่ยมชมวัดนิเวศน์ธรรมประวัติได้
มีจุดเริ่ มต้นที่ บ้านเลน ด้านขวามือของพระอุโบสถมีหอประดิษฐานพระคันธารราฐ ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปยืนปางขอฝน ด้านตรงข้ามกับหอพระคันธารราฐ เป็น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ หอประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาเก่าแก่ปางนาคปรก อันเป็นพระพุทธ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ รูปในสมัยลพบุรี ฝีมือช่างขอมอายุเก่านับพันปี พระนาคปรกนี้
ได้มีการแก้ไขปรับปรุงการจัดระเบียบ ประดิษฐานอยู่ติดกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งไปทั่วบริเวณ
การปกครองของราชอาณาจักรไทย หน้าพระอุโบสถ ถัดไปไม่ไกลมีสวนหินดิศกุลอนุสรณ์ ซึ่งรวบรวม
ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยว หินหลากหลายชนิด เช่น หินปูน หินทราย หินกรวด หินชนวน และ
กับการปกครองระดับหมู่บ้านและ ยังเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยา
ตำบลนั้น ได้มีการทดลองแต่งตั้ง ดำรงราชานุภาพ และอัฐิของเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมเอกใน
ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ขึ้นปกครอง รัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นพระมารดาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชา
หมู่บ้านและตำบลเป็นครั้งแรกที่ นุภาพ และมีอัฐิของเจ้านายราชสกุลดิศกุลอีกหลายองค์
ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕
นายจำรัส รัตนกุล
หรือ พระยารัตนกุลอดุลยภักดี
ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง
ให้เป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันคนแรกของประเทศไทย
ที่มา : เมืองไทยดี๊ดี ตอน ต้นกำเนิดเกิดที่บางปะอิน
๑๕
แ ก ะ ร อ ย บ้ า น เ ล น
จุ ด กำ เ นิ ด คำว่า บ้านเลน มีปรากฏในพงศาวดารประวัติศาสตร์
ตำ บ ล บ้ า น เ ล น เพื่อบอกเล่าไว้เป็นตำนาน ความเป็นมาของสาเหตุที่ชื่อ
"บางปะอิน" สมเด็จพระเอกาทศรถ ในสมัยที่เป็นพระ
อนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระองค์ประพาส
ทรงเบ็ดบริเวณท้ายเกาะบ้านเลน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีทุ่งน้ำ
ขนาดใหญ่และมีลมแรง ตามตำนาน คือ เรือพระที่นั่งเกิดล่ม
เพราะลมพายุ พระองค์ทรงว่ายน้ำขึ้นมาที่เกาะบางเลน หรือ
บ้านเลน และได้พบหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่งนามว่านางอิน
จึงเป็นสาเหตุให้คนทั่วไป เรียกเกาะแห่งนี้ต่อ ๆ กันมาว่า
"เกาะบางปะอิน" ในเวลาต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จกลับยัง
กรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงพานางอินกลับไปด้วย และ
มีพระราชโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ ซึ่งเล่ากันว่า พระ
ราชโอรสพระองค์นั้น คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ผู้ ค น เ ล ย เ รี ย ก ข า น ต ร ง บ ริ เ ว ณ นี้ ว่ า
บ า ง ป ะ อิ น ถ้ า สั ง เ ก ต " ป ะ " จ ะ ไ ม่ มี " ร "
" ป ะ " ตั ว นี้ แ ป ล ว่ า พ บ
ห ม า ย ถึ ง บ้ า น ที่ พ บ น า ง อิ น
ส่ ว น บ้ า น เ ล น เ มื่ อ ก่ อ น บ ริเ ว ณ ท้ า ย เ ก า ะ
เมื่อน้ำแห้ง จะเห็นเนินทรายเนินดินเป็นทางยาว
เ ล ย ตั้ ง ชื่ อ ใ ห้ ว่ า บ้ า น เ ล น
ต่อมาเด็กคนนี้เจริญเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของ
บิดาเลี้ยง คือ เจ้าพระยากลาโหม ท่านได้เติบโตในงานราชการ
จนได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าพระยากลาโหม เมื่อพระมารดา (นางอิน)
ถึงแก่กรรม ท่านทรงปลงศพพระมารดาที่วัดชุมพลนิกายาราม
แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ใหญ่ในราชการ เหล่าขุนนางจึงมาร่วม
งานศพเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ขุนนางที่เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์
เหลือน้อยคน พระมหากษัตริย์จึงคิดว่า ออกญากลาโหมอาจ
คิดการก่อกบฏ ข่าวนี้ถูกส่งมาถึงออกญากลาโหม ข้อหนึ่งท่าน
รู้อยู่แล้ว ข้อสองท่านมีอำนาจมากเลยคิดว่ากลับไปก็ต้องตาย
ดังนั้นจึงเรียกรวมพลที่วัดชุมพลนิกายาราม และนี่คือเหตุผลว่า
ทำไมถึงชื่อวัดชุมพล เพราะในพงศาวดารกล่าวว่า รวมข้าหลวง
เก่า คำว่าข้าหลวงเก่า คือ ญาติพี่น้องผู้ที่จงรักภักดีต่อตระกูล
ของนางอิน รวมเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จแล้วปราบดาภิเษก
ขึ้นเป็นกษัตริย์ของต้นราชวงศ์ปราสาททอง ก็คือ พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวปราสาททอง นั้นเอง
ห นึ่ ง เ ดี ย ว ที่ บ้ า น เ ล น ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า
ของประภาคาร
ประภาคาร น้ำ จื ด
ประภาคาร (LIGHTHOUSE) คือ หอคอย หรือสิ่งก่อสร้าง
ที่สูงเด่น มองเห็นได้ไกล มีไฟสัญญาณที่มีความสว่างมาก
ติดตั้งอยู่บนยอด เพื่อนำทางให้กับผู้คนสัญจร และชาวเรือ
ไปสู่จุดหมายที่ถูกต้อง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้สร้างประภาคารแห่งนี้ขึ้น
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๐ บริเวณบนเกาะบางปะอิน เนื่องด้วย
มีเรือเสบียงขนส่งสินค้า เรือจักรกลและเรือของชาวบ้าน
เดินทางมาที่บางปะอินอาจเกิดอุบัติเหตุทางน้ำได้ เช่น
การชนท้ายเกาะ หรือการมองไม่เห็นในช่วงเวลากลางคืน
จึงมีดำริให้สร้างประภาคารขึ้นที่บริเวณท้ายเกาะวัดนิเวศ
ธรรมประวัติ เรียกว่า WHITE HOUSE หรือ กระโจมไฟ
ในสมัยนั้นใช้เป็นไฟ มีเลขวัด เลขวัด คือ ข้าทาส
บริวารของวัด มีหน้าที่ขึ้นไปจุดแก๊สในเวลากลางคืนให้เกิด
แสงสว่าง สำหรับเรือสินค้าหรือประชาชนใช้สัญจร ต่อมา
ภายหลังเปลี่ยนเป็นการใช้ไฟฟ้าแทน การเดินทางด้วยเรือ
ลดน้อยลง กระโจมไฟจึงเสื่อมโทรมไปตามสภาพ
ภายหลังต่อมากรมศิลปากรกำหนดให้เป็นโบราณสถาน
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนบ้านเลน
ประภาคาร
แ ห่ ง แ ร ก ใ น โ ล ก
เ ก ร็ ด น่ า รู้
ป ร ะ ภ า ค า ร น้ำ จื ด
บ้ า น เ ล น
ฟารอสแห่งอเล็กซานเดรีย
© Sergey Kamshylin / Fotolia
๒๕ ประภาคาร แห่งแรกในโลก คือ
ประภาคารที่ตั้งอยู่บนเกาะฟาราส (PHAROS)
หน้าเมืองอะเล็กซานเดรีย (ALEXANDRIA) ในอียิปต์
มีชื่อว่า ฟารอสแห่งอะเล็กซานเดรีย (PHAROS OF
ALEXANDRIA) ประภาคารนี้ สร้างโดยชาวกรีก
ชื่อ ซอสตราตุส (SOSTRATUS)
ชาวเมืองไนดัส (CNIDUS) ในสมัยกษัตริย์ปโตเลมี
(PTOLEMY) ประมาณ ๒๗๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
มีการสร้างตัวประภาคารสูง ๘๕ เมตร (๒๘๐ ฟุต)
ใช้แสงสว่างจากไฟเผาไม้ มีแผ่นโลหะช่วยสะท้อนแสง
ทำให้เห็นได้ไกล ๕๖ กิโลเมตร (๓๕ ไมล์)
ที่มา : ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ทำ ไ ม ตำ บ ล บ้ า น เ ล น ถึ ง มี
ค น ไ ท ย เ ชื้ อ ส า ย จี น จำ น ว น ม า ก
อยุธยาถือเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นเส้นทางการเดินเรือหลักและค้าขายของผู้คนในสมัยก่อน
ชุมชนบางปะอิน เป็นชุมชนขนาดใหญ่ในสมัยอยุธยา
เนื่องจากเรือสำเภาที่บรรทุกสินค้าจากต่างประเทศ ก่อนจะ
เข้าไปยังกรุงศรีอยุธยาต้องผ่านบริเวณบางปะอินก่อน และ
เมื่อผ่านบางปะอินแล้วจะไปเจอบริเวณหัวเกาะ เรียกว่า
" ขนอนหลวง " ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลตลาดเกรียบ มา
จากคำว่าตลาดเก่า เป็นตลาดทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดของกรุง
ศรีอยุธยา เรือสำเภาจะต้องมาจอดที่นี่ เพราะว่าต้องผ่าน
ขนอน คือ ด่านเก็บเงิน และเป็นแหล่งสินค้าขนาดใหญ่ที่มี
เรือจอดเทียบตั้งแต่บริเวณหัวเกาะบางปะอินมายังท้าย
ตลาดบ้านเลน จึงมีชาวจีนเข้ามาค้าขาย คนจีนที่อพยพเข้า
มาก็เลือกตั้งหลักแหล่งในการค้าขายที่นี่ บางปะอินเลยเป็น
ชุมชนชาวจีนมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
วิถีและการดำรงชีวิต
ชาวบ้านเลน
เมื่อก่อนบางปะอินถือว่าเป็นชุมชนที่มีความเจริญรุ่งเรือง เดิมทีชาวบ้าน
บางปะอินทั้งหมดเป็นเกษตรกร เมื่อก่อนการทำนานั้น ไม่ได้ทำไว้เพื่อขายแต่
ทำไว้เพื่อกิน เพื่อใช้ จนรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ขุดคลองคูนาเพื่อทำนาขายข้าว
เป็นการทำนาแบบอุตสาหกรรม คนบางปะอินสมัยก่อนนั้นจึงประกอบอาชีพ
ทำนากันมาโดยตลอด
สมัยก่อนเด็กโรงเรียนบางปะอิน "ราชานุเคราะห์ ๑" พ่อแม่ประกอบ
อาชีพทำนาเป็นหลัก การเดินทางมาโรงเรียนจะเป็นการพายเรือ หรือ ขี่
จักรยานมา พอถึงสมัยดำรงตำแหน่งของ ท่านชาติชาย ชุณหะวัณ มอง
ว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมาะกับการทำอุตสาหกรรมจึงให้ที่ดินและ
ตึกนิคมอุสาหกรรมใหญ่ในจังหวัด เช่น นิคมนวนคร นิคมบางปะอิน นิคม
ไฮเทค และนิคมอุสาหกรรมบ้านหว้า ทำให้หลายคนเลิกทำนา และหันมา
ทำอุตสาหกรรมแทน แต่การค้าขายยังคงมีอยู่ การเดินทางมาบางปะอิน
ควรเป็นรถไฟอย่างเดียว กลายเป็นรถยนต์แทน เพราะมีการจัดเส้นทางตรง
เปลี่ยนจากพลโยธินมาเป็นสายเอเชีย ทำให้ใกล้บางปะอินมากขึ้น บางปะอิน
จึงกลายเป็นจุดศูนย์กลาง และจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ
ตลาดสดบ้านเลน
"ตลาดบางปะอิน" หรือ "ตลาดใน"
เป็นคำเรียกที่คุ้นเคยของคนในย่านนี้ เริ่มต้นก่อสร้างขึ้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ โดยหลวงดำรง สมบัติศิริ เดิมเป็นตลาดไม้ชั้น
เดียว ใช้บริเวณหน้าบ้านที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองลัด
เป็นที่วางขายสินค้าต่าง ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ร้านค้าต่าง ๆ
ได้ย้ายขึ้นมาอยู่บนบก เนื่องจากมีการสร้างถนน ทำให้ผู้คน
ใช้เรือกันน้อยลง ตลาดบ้านเลนเมื่อเริ่มแรกสร้างเป็นเรือนไม้
ห้องแถวที่มีประตูบานเฟี้ยมทุกหลัง แต่ในปัจจุบันบางหลังก็ได้
มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นประตูกระจกบ้าง ประตูเหล็กบ้าง
อีกหนึ่งความพิเศษของตลาดบ้านเลนคือเป็นตลาดเก่าเช้ามืด
เปิดขายตั้งแต่ช่วงเวลา ๐๓.๐๐-๐๘.๐๐ น. หากนักท่องเที่ยว
มาในช่วงสาย ๆ ตลาดนี้ก็จะค่อนข้างเงียบเหงา คงเหลือไว้แค่
บางร้าน เช่น ร้านตัดผมที่ยังคงมีเอกลักษณ์ด้วยการติดป้ายไฟ
โบราณแบบหมุน ซึ่งหาดูค่อนข้างยาก มีร้านขายยาจีน ร้าน
เรือนไทยย่อส่วน และยังมีโรงตีเส้นบะหมี่ เป็นต้น และสำหรับ
นักท่องเที่ยวที่ชอบถ่ายภาพจะได้มุมภาพสวย ๆ ไว้เป็นที่ระลึก
นอกจากนี้ ยังมีของอร่อยอีกไม่น้อยที่เมื่อมาถึงตลาด
บ้านเลนแล้ว ต้องไม่พลาดแวะมาชิม.......
ของดีตลาดใน ร้านขนมครกน้องเพลงคนเก่ง
ร้านขนมจีนตลาดใน ขนมครกสูตรโบราณสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เปิดขายมาแล้ว ๓๐ ปี
แป้งขนมครกโม่เองทำให้มีความนุ่ม อร่อยไม่เหมือนใคร
ร้านที่อยู่คู่กับตลาดในมาอย่างยาวนาน และเป็นที่นิยมอย่างมาก
ของคนในท้องถิ่นเพราะมีรสชาติที่อร่อย ส่วนผสมหลัก คือ น้ำยา ร้านกุ๊ยช่ายป้านก
ต่าง ๆ เป็นสูตรลับเฉพาะของทางร้าน เส้นขนมจีน และผักเครื่องเคียง
ขายยาวนานมากว่า ๓๐ ปี แป้งบาง ไส้เยอะ กินกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ
ร้านก๋วยจั๊บตลาดใน เพิ่มความอร่อย และนอกจากกุ๊ยช่ายที่ขึ้นชื่อแล้ว ร้านป้านกยังมี
ขนมไทยอื่น ๆ ขายอีกด้วย
ขายมา ๒๕ ปี น้ำซุปดัดแปลงมาจากข้าวขาหมู มีความหวานกลม
กล่อมเป็นสูตรเฉพาะตัว ใช้เส้นหมี่ และเส้นก๋วยจั๊บ มีเครื่องให้เลือก เช่น ร้านข้าวเหนียวมูนแม่ประเทือง
เต้าหู้ ตีนไก่
ขายมาตั้งแต่รุ่นแม่ มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน เป็นสูตรเฉพาะสืบทอดมา
荳ร้าน DOU’ – โต้ว รุ่นสู่รุ่น จำหน่ายข้าวเหนียวหน้าต่าง ๆ มีความอร่อยที่ลงตัว ไม่ว่า
จะเป็นหน้าสังขยา หน้าปลาแห้ง หรือหน้ากุ้งฝอยหวาน
ร้านน้ำเต้าหู้ชื่อดัง มีเมนูมากมายให้ลิ้มลอง ทั้งน้ำเต้าหู้ เต้าทึง
เต้าฮวย น้ำขิง เฉาก๊วย และมีเครื่องให้เลือกใส่อย่างจุใจ อีกทั้งยังมี ร้านข้าวหมากป้าเล็ก
จี๊หม่าหวู หรือ ซุปงาดำ ขนมหวานของชาวจีนกวางตุ้งในตำนาน
ที่หาทานยาก สามารถสัมผัสความอร่อยแบบสุขภาพดีได้ที่นี่ ขายในตลาดมาแล้ว ๓๐ ปี มีขนมถ้วย ข้าวหมาก ข้าวเหนียวมูน
ขนมที่สร้างจุดขาย คือ ข้าวหมาก ซึ่งเป็นขนมที่หาทานยากและมี
ร้านปลาเห็ดป้าเป้า ร้านเดียวในตลาด เคล็ดลับคือการเอาข้าวเหนียวมาแช่ 3 ชั่วโมง
และเอามานึ่งต่อ จากนั้นล้างน้ำและคลุกแป้ง
ขายมา ๘ ปี สืบทอดมาจากรุ่นแม่ ปลาเห็ดเป็นสูตรโบราณ
มีรสชาติเข้มข้น
เ ก็ บ เ ก ร็ ด เ ก่ า
ม า เ ล่ า ข า น
คคววาามมเเชชืื่่ออววััฒฒนนธธรรรรมม ส ม า ค ม เ ค รื่ อ ง ส า ย จี น
ปปรระะเเพพณณีีเเกก่่าาแแกก่่ขขอองงบบ้้าานนเเลลนน
การก่อตั้งสมาคมเชื้อสายจีน คือ คนจีนเมื่ออยู่ที่ใดจะมีความเชื่อ
พิ ธี ตั ด จุ ก โ ก น ผ ม ไ ฟ ในเรื่องสันติสุข การรวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างน้อยจะมี
การหาทำกิจกรรมร่วมกันในตอนเย็น เช่น นั่งจิบน้ำชา เล่นไพ่นกกระจอก
รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีตัดจุกแก่เด็ก ๆ เพื่อให้ เล่นหมากรุกได้คุยปรับทุกข์กัน เพราะชาวจีนเป็นคนชนกลุ่มน้อย ต่อมามี
ราษฎรได้มีโอกาสใกล้ชิดพระองค์ พระราชวังบางปะอินจึงสืบทอด การรวมตัวในบางปะอิน จึงตั้งเป็นชมรมเครื่องสายจีนขึ้น เป็นการสืบทอด
พิธีตัดจุกโกนผมไฟเป็นประเพณี โดยจัดขึ้นในวันแรม ๑๓ และ วัฒนธรรมต่าง ๆ จากนั้นนำบุตรหลานเข้าชมรมเพื่อใช้เวลาว่างในการเล่น
๑๔ ค่ำ ที่บริเวณหอเหมราชมณเฑียรในพระราชวังบางปะอิน เครื่องดนตรีเครื่องสายจีน และจัดแสดงในงานประเพณีต่าง ๆ เช่น
ชาวบ้านจะนำลูกหลานไปตัดจุกโดยมีพราหมณ์ประกอบพิธีให้ งานไหว้เจ้า งานศพ จนพัฒนาเป็นสมาคมเครื่องสายจีนในปัจจุบัน
เป็นสิริมงคลแก่เด็ก และเป็นการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามของ
ชาติไว้ ง า น ป ร ะ เ พ ณี ป ร ะ จำ ปี
งานประเพณีประจำปีจะมีการไหว้เจ้า และการแสดงงิ้วปีละ ๒ ครั้ง
(ต้นปี, กลางปี) เป็นประจำทุกปี
วัดชุ มพลนิ กายารามราชวรวิหาร สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ที่ เ ค า ร พ
นั บ ถื อ ข อ ง ช า ว บ้ า น เ ล น
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่หัวเกาะบางปะอิน
ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดต่อกับ ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า
เขตอุปจาระพระราชวังบางปะอิน มีอาณาเขตติดกับพระราชวังบางปะอิน
สันนิษฐานว่า สร้างโดยพระเจ้าปราสาททอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สิ่งที่น่าสนใจของวัดแห่งนี้ คือ พระอุโบสถหลังงาม ภายในพระอุโบสถ
เป็นราชธานี เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๑๗๕ ตรงบริเวณที่เป็นเคหสถานเดิม ประดิษฐานพระพุทธเจ้า ๗ องค์ ซึ่งนับว่าเป็นคติการประดิษฐานพระ
ของพระราชชนนีของพระองค์ วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะในยุครัตนโกสินทร์ ประธานที่แปลกไปจากที่อื่น ได้แก่ พระวิปัสสีสิขี เวสสภู กกุสันธะ
สมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ โกนาคมนะ กัสสปะ และโคตมะ พร้อมด้วยพระสาวกอีก ๔ องค์นอกจากนี้
ยังมีประติมากรรมภิกษุณีครองจีวรมิดชิด ซึ่งหาดูได้ยาก และด้านหน้า
อุโบสถประดิษฐานพระศรีอาริยเมตไตยโพธิสัตว์ที่จะมาจุติเป็นพระพุทธเจ้า
องค์ต่อไป ภายในพระอุโบสถปรากฏภาพเขียนพระพุทธประวัติของ
พระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ ที่ฝาผนังทุกด้านอย่างงดงาม แม้จะได้รับ
การดูแลอย่างดี แต่ด้วยกาลเวลาผ่านไปภาพเขียนส่วนหนึ่งก็ได้ลบเลือน
ไปบ้างแล้ว และที่บานประตูมีภาพวาดของเครื่องบูชาแบบจีนซึ่งต่าง
จากวัดอื่น ๆ มักวาดภาพของทวารบาลนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น วัดแห่งนี้
ยังมีพระเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสองศิลปะแบบอยุธยาให้ได้ชม ภายใน
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุรอให้ผู้ไปเยี่ยมเยือนได้มาสักการะ หากใคร
ได้มาเยือนอยุธยาคงจะต้องรู้สึกเสียดายไม่น้อยหากไม่ได้มาชมวัด
ชุมพลนิกายาราม เพราะนอกจากจะได้ชมศิลปะของสถาปัตยกรรม
แบบอยุธยาผสมผสานกับแบบรัตนโกสินทร์แล้ว ยังจะได้เรียนรู้คติ
ต่าง ๆ ที่แปลกไปจากวัดอื่นอีกด้วย
ประวัติศาลเจ้าพ่อท้ายเกาะ สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ที่ เ ค า ร พ
นั บ ถื อ ข อ ง ช า ว บ้ า น เ ล น
ศาลเจ้าพ่อท้ายเกาะ ปัจจุบันตั้งอยู่ตลาดบางปะอิน หมู่ที่ ๖
ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นศาลเจ้า ศ า ล เ จ้ า พ่ อ ท้ า ย เ ก า ะ
ก่อสร้างด้วยปูน ภายในศาลมีเจ้าพ่อท้ายเกาะแกะสลักอย่างงดงามด้วย
ไม้กฤษณา ประดิษฐานอยู่ในท่าประทับนั่ง มีความสูงหนึ่งศอกเศษ เมื่อประมาณ ๘๐ ปีก่อนนี้ มีชายชาวตลาดผู้หนึ่งชื่อ
เป็นที่เคารพสักการะของชาวตลาดบางปะอิน และชาวตำบลใกล้เคียง นายเหลียงเซ้ง แซ่กี้ ได้ไปอธิษฐานขอให้ลูกชายซึ่งเป็นทารกที่ร้องไห้
เรียกได้ว่าเจ้าพ่อท้ายเกาะ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวตลาดบางปะอิน ไม่ยอมหยุด ให้หยุดร้องไห้ และได้นำขี้ธูปมาชงน้ำให้ทารกคนนี้ดื่ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยเชื้อสายจีน ปรากฏว่าทารกนี้หยุดร้องไห้ จึงเกิดความศรัทธาในปึงเถ่ากงเป็น
อย่างยิ่ง จากนั้นได้เชิญชวนชาวตลาดร่วมทุนกันเพื่อก่อสร้างเป็น
ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนเล่าขานสืบกันมาว่า ในสมัยหนึ่ง (นานนับ เรือนไม้ทรงปั้ นหยา ขึ้นในชุมชนตลาดแห่งนี้ และพร้อมใจกันอัญเชิญ
ร้อย ๆ ปี) มีชาวจีนโพ้นทะเลมาค้าขายด้วยเรือสำเภา และจอดเรือบริเวณ ปึงเถ่ากง องค์เลขาฯ และองค์อารักขา รวม ๓ องค์ มาประดิษฐาน
ท้ายเกาะบ้านเลน (หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านเลนในปัจจุบัน) ได้สร้างศาล (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๒) ให้ชาวตลาดได้สักการะบูชา เป็นที่พึ่งพิง
เป็นอาคารปูนเพื่อประดิษฐานเจ้าพ่อท้ายเกาะ (ในขณะนั้นชาวบ้าน เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นศูนย์รวมกิจกรรมของชุมชน
เรียกขานว่า “ปึงเถ่ากง”) พร้อมด้วยองค์เลขาฯ และองค์อารักขา ชาวตลาด และได้เรียกขานปึงเถ่ากงเป็นภาษาไทยว่า "เจ้าพ่อท้ายเกาะ"
รวม ๓ องค์ ให้ผู้คนที่ผ่านไปมา ทั้งทางน้ำ และทางบกได้สักการบูชา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๒ ทางสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ได้ทำการพัฒนาตลาดครั้งใหญ่ ชาวตลาดบางปะอินจึงร่วมมือ
ร่วมใจกัน สร้างศาลหลังใหม่เป็นอาคารปูน แทนที่หลังเดิมที่เป็น
เรือนไม้ทรงปั้ นหยา และเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้มี
การบูรณะศาลเจ้าครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อให้ดูสวยงามดังที่เห็นเป็น
"ศาลเจ้าพ่อท้ายเกาะ" ในปัจจุบัน
บ้ า น ฉั น
ใ น ปั จ จุ บั น
เ ก ร็ ด น่ า รู้ ข อ ง ขึ้ น ชื่ อ
ตำ บ ล บ้ า น เ ล น
โ ฉ น ด ที่ ดิ น แ ป ล ง แ ร ก
ของประเทศไทย
คำว่า “โฉนด” เป็นคำภาษาเขมร
หมายความว่า หนังสือ เมื่อนำมารวมกันกับว่าที่ดิน
จึงมีความหมายว่า หนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน
“…ถ้าผู้ใดก่นสร้างเลิกรั้งที่ไร่นาเรือกสวนนั้น ให้ไปบอกแก่เสนา
นายระวาง นายอากร ไปดูที่ไร่นาเรือกสวนที่ก่นสร้างนั้น
ให้รู้มากแลน้อยด้วย ให้เสนานายระวางอากรเขียนโฉนฎ
ให้ไว้แก่ผู้เลิกรั้ งก่นสร้างนั้ น…”
แสดงว่าการทำโฉนดกำหนดเขตที่ดิน การครอบครองและปักปันที่ทำกิน มีความสำคัญมา
ตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้เพื่อการเก็บอากรของรัฐนั่นเอง
ปฐมฤกษ์ โฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทยเป็นโฉนดที่ดินซึ่ งมีพระนาม
"สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ทรงถือเป็นกรรมสิ ทธิ์ คือ
โฉนดเลขที่ ๑ หน้าที่ ๑ เลขที่ดิน ๑๑๗ ระวาง ๑๗ ต ๓ อ ตำบลบ้านแป้ง
อำเภอพระราชวัง แขวงเมืองกรุงเก่า (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
เนื้อที่ ๙๑ ไร่ ๑ งาน ๕๒ ตารางวา
๔๕
ที่มา : เมืองไทยดี๊ดี ตอน ต้นกำเนิดเกิดที่บางปะอิน
ข อ ง ขึ้ น ชื่ อ ต้นหลิวชาชัก
ตำ บ ล บ้ า น เ ล น
เมนูขึ้นชื่อที่ใครมาจะต้องลอง คือ
ธูปอากง "ชาชัก" ทางร้านคัดสรรตัวชาอย่างดีเกรดพรีเมี่ยมชงผ่าน
น้ำร้อนแบบโบราณไม่มีส่วนของน้ำตาล มีแต่นมข้นกับ
ธูปหอมสมุนไพรไล่ยุงอากง นมสด เมื่อดื่มแล้วจะได้กลิ่นหอมของตัวชาและอีกหนึ่ง
เมนูสำหรับท่านที่ไม่ชอบดื่มชา มีเมนูชิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาด
ผ ลิ ต จ า ก ส มุ น ไ พ ร ที่ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ท า ง ด้ า น ไ ล่ ยุ ง โ ด ย เ ฉ พ า ะ "น้ำผึ้งมะนาวโซดา" ที่ทางร้านใช้มะนาวคั่นสด ๆ และ
ไ ม่ มี พิ ษ ภั ย ต่ อ สุ ข ภ า พ น้ำผึ้งแท้ จึงทำให้ได้รสชาติที่โดนใจ ดื่มแล้วชื่นใจ เป็น
ส่วนประกอบ เมนูที่ธรรมดาแต่พอได้ดื่มแล้วรับรองไม่ธรรมดาแน่นอน
นอกจากนี้ ยังมีเมนูให้เลือกอีกหลายเมนู เช่น น้ำส้มปั่ น
ต ะ ไ ค ร้ ห อ ม (ปั่ นพร้อมเนื้อส้ม) , น้ำมะพร้าวนมสดปั่ น ที่รอคอยท่านมาชิม
ใ บ ม ะ เ ฟื อ ง โทรศัพท์ ๐๙๘-๒๘๗๑๒๑๔
ผิ ว ม ะ ก รู ด ช่ องทางติดต่อเพจเฟซบุ๊ก : ต้นหลิวกาแฟสด ชาชั ก บางปะอิน
ใบมะยม
มะนาว ข้าวต้มมัดแม่ประเทือง
โหระพา
ส ะ ร ะ แ ห น่ สูตรดั้งเดิมสืบทอดยาวนานกว่า ๓๐ ปี
วิธีใช้
จุดที่หัวธูป และวางบนภาชนะที่ปลอดภัย ข้ า ว ต้ ม มั ด “ แ ม่ ป ร ะ เ ทื อ ง “
ผลิตโดย สูตรดั้งเดิมที่สืบทอดยาวนานกว่า ๓๐ ปี รสชาติหวานมันลงตัว
ชุมชนหมู่ ๖ ตลาดบ้านเลน ณ บ้านธูป ใ บ ต อ ง ที่ ใ ช้ เ ลื อ ก ใ บ ต อ ง อ่ อ น เ ท่ า นั้ น น อ ก จ า ก นี้ ยั ง มี ข น ม เ ที ย น
ของฝากจากตลาดบ้านเลนริมเจ้าพระยา ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ และขนมไทยชนิดอื่น ๆ ให้เลือกซื้ ออีกด้วย
โทรศัพท์ ๐๘๗-๕๐๓๗๔๒๓ โทรศัพท์ ๐๙๔-๔๙๓๙๐๔๔
แม่เง็กชวนชิม ต้นหลิวปั้ นจิ๋วดินไทย
ต้นตำรับ" ตือคาโคว" พร้อมน้ำจิ้มสูตรลับ ปั้ นจิ๋วดินไทย
เฉพาะเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
งานหัตถกรรมที่ใช้ช่างปั้ นดินไทยที่มีความชำนาญใ นการสร้างสรรค์ผลงาน
ตือคาโคว เป็นภาษาแต้จิ๋วแ ปลว่าขาหมูกลม ๆ หรือที่เราเรียกกันว่า ด้วยความประณีตเสมือนของจริงได้รับมาตรฐานผ ลิตภัณฑ์ชุมชน มผช. ๔๒๔/๒๕๔๗
ขนมขาหมูส่วนผสม มีแป้ง เผือกหอม ถั่วดำ ผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปทอด ภายใต้ตราสินค้า"ต้นหลิว" การปั้ นดินช่วยให้ผู้ปั้ นมีสุขภาพใจดี รู้สึกผ่อนคลาย
รับประทานกับน้ำจิ้มสูตรเด็ด เป็นขนมพื้นถิ่นของตลาดบ้านเลน บางปะอิน เนื่องจากลักษณะของดินที่มีความเย็นและนุ่มนวล ได้บริหารกล้ามเนื้อนิ้วและมือ
มากกว่า๔๐ ปีกล่าวได้ว่าถ้ายังไม่ได้กินตือคาโควแสดงว่ายังไม่ถึงกระเพาะ เพื่อลดอาการนิ้วล็อก เสริมสร้างจินตนาการ และดีต่อสุขภาพใจ ช่วยในเรื่อง
ของบางปะอิน นอกจากนี้ยังมี เต้าหู้ทอด กล้วยทอด มันทอด ซึ่งเวลา การฝึกสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ และมีการออกแบบสร้างสรรค์ในรูปแบบที่
รับประทานจะมีน้ำจิ้มที่พร้อมปรุง ด้วยความพิถีพิถัน หลากหลาย เช่น การปั้ นเป็นรูปผัก ผลไม้ อาหาร ภาชนะ และเครื่องประดับ
ช่องทางติดต่อเพจเฟซบุ๊ก : แม่เง็กชวนชิม
ช่องทางติดต่อเพจเฟซบุ๊ก : ต้นหลิวปั้ นจิ๋วดินไทย
เรียนรู้กับ : นางสาวสุเมธาทองเสริมสุขได้รับรางวัลศิลปินโอทอป
OTOPA RTIS ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกรมการพัฒนาชุมชนก ระทรวงมหาดไทย
ลูกประคบต่อสำราญ เรือนไทยย่อส่วนลุงยัณห์
เ จ้ า ข อ ง ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ มี ค ว า ม เ ชี่ ย ว ช า ญ เรือนไทยย่อส่วน
ด้านแพทย์แผนไทย และมีใบประกอบ
โรคศิลปะ เ รื อ น ไ ท ย ย่ อ ส่ ว น เ ป็ น ก า ร ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ศิ ล ป ะ ค ว า ม เ ป็ น ไ ท ย
อนุรักษ์และเผยแพร่งานศิลปหัตถกรรม
พี่สุภาภรณ์ ต่อสกุล และครอบครัว มีความเชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทย
และมีใบประกอบโรคศิลปะ ได้นำสมุนไพรในท้องถิ่นมาทำเป็นลูกประคบ เดิมมีการนำดินกึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายตามท้องตลาด เช่น ดินหอม
สมุนไพรไทยเพื่อดูแลสุขภาพ ดินเยอรมัน ดินญี่ปุ่น เป็นต้น แต่เนื่องจากดินเหล่านี้ไม่สามารถอยู่คงทน
สรรพคุณ ใช้ในการรักษาและส่งเสริมสุขภาพ จึงได้พัฒนาต่อยอดโดยการใช้ไม้สักบาง (วีเนียร์) มาสร้างสรรค์ย่อส่วน
เน้นตามมาตราส่วนตามหลักสากล และมีรายละเอียดส่วนต่าง ๆ ของ
ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต บ้านให้ถูกต้อง ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด จึงออกมาเป็น
กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทต่าง ๆ ผลงานที่เห็นกันทุกวันนี้
ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
ช่วยบรรเทาอาการปวดตามร่างกาย
ลดการติดขัดของข้อต่อ
แนะนำมุมถ่ายรูป สถานี รถไฟ
บางปะอิน
บ้านเลน
หน้ าอำเภอเก่า
รักษ์บางปะอินคาเฟ่ ศาลเจ้าพ่อท้ายเกาะ
วัดนิ เวศธรรมประวัติ
ตลาดบ้านเลน
ร้านน้ำท่า
ร้านย่งแซ่โอสถ
ตลาดใน
ร้านเสริมสวย
มิตรหญิง
荳ร้าน
DOU’ – โต้ว
ร้านอุดมศิ ลป์
เ ก ร็ ด น่ า รู้ เส้นทางท่องเที่ยวบ้านเลน
ก า ร จ ด ท ะ เ บี ย น ส ม ร ส เรียนรู้ชุมชน ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
ค รั้ ง แ ร ก ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย
ที่มา : เมืองไทยดี๊ดี ตอน ต้นกำเนิดเกิดที่บางปะอิน
วันจันทร์ที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑
ณ พระที่นั่ งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ และเจ้านายชั้น
พระบรมวงศ์ อีกสิ บสองพระองค์ได้ทรงลง
พระปรมาภิไธย และพระนามเป็นพยานในการแต่งงานของ
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศั กดิเดชน์
กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ ๗)
และ
หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์
เหตุการณ์สำคัญ ๓ ประการที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คือ
๑.จดทะเบียนสมรสครั้งแรกในสยามหรือประเทศไทย
๒.การสอบถามคู่สมรสว่าจะเป็นคู่สมรสไหมเหมือนธรรมเนียมของชาวตะวันตก
๓.การแจกของชำร่วยในงานสมรสเป็นครั้งแรกพระราชทานแก่ผู้ร่วมโต๊ะเสวย
๕๕
เส้นทางที่ ๑ เส้นทางที่ ๒
Back Roads to Bang Pa In Train–Sky lab–Walking Tour
โปรแกรมการเดินทาง ๑ วัน (๘.๓๐ – ๑๖.๓๐) โปรแกรมการเดินทาง ๑ วัน (๘.๒๐ – ๑๖.๓๐)
ปั่ นจักรยานจากเกาะเมืองอยุธยา เรียนรู้วิถีชีวิตคนเรือ ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟบางปะอิน
ดูวิธีการซ่อมบำรุงเรือไม้ที่นับวันจะหาดูได้ยาก นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทัศนียภาพสองข้างทางจากเมืองหลวง
สู่อดีตเมืองหลวงแห่งสยาม
โบราณสถานระหว่างทาง เช่น หมู่บ้านโปรตุเกตุ
ชุมชนมุสลิม มัสยิดตะเกี่ย ณ สถานีรถไฟบางปะอิน นักท่องเที่ยวจะได้ชม
พลับพลาที่ประทับสถานีรถไฟบางปะอิน
เที่ยวชมพระราชวังบางปะอิน (พระราชวังฤดูร้อนที่สร้าง เป็นอาคารไม้สักชั้นเดียว หลังคาประดับด้วย
มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา) แผ่นไม้ฉลุลายสวยงาม
ระหว่างทางได้สนับสนุนร้านค้าชุมชน อาหารและน้ำดื่ม เดินทางด้วยรถสกายแลป คือ
วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ วัดไทยที่สร้างในรูปแบบ รถสามล้อเครื่องท้องถิ่น เพื่อเยี่ยมชมวัดชุมพลนิกายาราม
สถาปัตยกรรมยุโรป วัดเก่าแก่ประจำตำบลบ้านเลน ภายในพระอุโบสถหลังงาม
นั่งเรือหางยาวระหว่างทางได้สัมผัสวิถีริมน้ำของผู้คน ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปหินทรายปูนปั้ นถึง ๗ องค์
จากนั้นกลับสู่เกาะเมืองอยุธยา โดยสวัสดิภาพ
พิพิธภัณฑ์อาคารรักษ์บางปะอิน เยี่ยมชมตลาดเก่า ๑๐๐ ปี
พาหนะที่ใช้ จักรยานและเรือหางยาว ศึกษาเรื่องราวประวัติ ความเป็นมาของบางปะอินในอดีตถึงปัจจุบัน
แวะชิมกาแฟที่ร้านน้ำท่า ชมบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ
ประภาคารน้ำจืดหนึ่งเดียวบ้านเลนนั่งกระเช้าลอยฟ้าข้ามฝั่ ง
เพื่อเยี่ยมชมวัดนิเวศธรรมประวัติ
เดินทางต่อไป ยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หรือกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
พาหนะที่ใช้ รถไฟ รถประจำถิ่นสกายแลป
เส้นทางที่ ๓ เส้นทางท่องเที่ยวบ้านเลน
Long tail Motor Boat เรียนรู้ชุมชน ใส่ ใจต่อสิ่ งแวดล้ อม
โปรแกรมการเดินทางภายในเกาะบางปะอิน มุ่งเน้นการการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(๔๕ นาที–๑ ชั่วโมง) หรือสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ การใช้พาหนะที่
หลากหลายประเภทด้วยกัน ได้แก่ รถไฟ, รถตุ๊กตุ๊ก,
เส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำโดยใช้เรือหางยาวที่มีให้บริการอยู่ จักรยาน และเรือ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์
เริ่มต้นนั่งกระเช้าลอยฟ้าเพื่อเยี่ยมชมวัดนิเวศธรรมประวัติ การเดินทางที่หลากหลาย พร้อมทั้งได้ใกล้ชิดกับ
วัดไทยสไตส์ฝรั่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของพระอุโบสถคล้ายกับ แหล่งท่องเที่ยวและชุมชนสองข้างทางในมุมมอง
โบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ สถาปัตยกรรมการตกแต่งเป็นแบบ ที่ต่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่คำนึงถึงเรื่อง
ตะวันตก และเดินชมประภาคารน้ำจืดหนึ่งเดียวบ้านเลน การลดมลพิษจากการเดินทางที่จะนำมาสู่การเสีย
หลังจากนั้นลงเรือหางยาว เพื่อท่องเที่ยวทางน้ำประมาณ สมดุลของระบบนิเวศ
๔๕ นาที นักท่องเที่ยวจะได้นั่งเรือชมวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำที่
มีมาตั้งแต่อดีต ดื่มดำบรรยาย ชมเสน่ห์บ้านเรือนริมน้ำทรงไทย
สมัยเก่า และเรือหางยาวที่ให้บริการยังเป็นพาหนะที่ชาวบ้าน
ใช้สัญจรทางน้ำ, ใช้เป็นเรือหาปลา, เรือโดยสารข้ามฟาก ฯลฯ
พาหนะที่ใช้ เรือหางยาวประจำท้องถิ่น