2. ฉาบ
ใชต้ ีกากับจังหวะของทานองเพลง โดยตจี ังหวะขัด
และหยอกลอ้ กบั จังหวะฉิ่ง และเป็นเคร่อื งดนตรีที่ช่วย
เพิ่มความสนุกสนานครึกครื้นของบทเพลง
3. ตะโพน
ใชต้ ีกากับจังหวะหน้าทับซึ่งจะต้องตีสอดสลับให้
สัมพันธ์กลมกลืนกับกลองทัด และนอกจากจะ
ควบคุมความช้า-เร็วของทานองเพลงแล้ว ยังช่วย
ทาให้เพลงสนุกสนาน
4. กลองทัด
ใช้ตีกากับจังหวะหน้าทับซ่ึงจะต้องตี
สอดสลบั ให้สมั พันธก์ ลมกลืนกบั ตะโพน
5. โทน-รามะนา
ใช้ตีกากับจังหวะหน้าทับ จะต้องตีสอดสลับ
ให้สัมพันธ์กลมกลืนกันและควบคุมความช้า-เร็ว
ของทานองเพลงซ่ึงเป็นการเพ่ิมอรรถรส (อ่านว่า
อดั -ถะ-รด) และความสนุกสนานให้กับทานองเพลง
6. กรับ
ใช้ตีกากับจังหวะ มีระดับเสียงขนาดกลาง
ตีควบค่ไู ปกับฉ่งิ เม่ือตีฉง่ิ ลงเสียง “ฉับ”
7. ฆอ้ งโหมง่
ใช้ตีกากับจังหวะ มีเสียงกังงาน โหม่งใช้ตีกากับ
จังหวะในวงปีพ่ าทย์ วงมโหรี และวงเครอ่ื งสาย
1. ระนาดเอก
ใช้ตีดาเนินทานอง มีบทบาทในการเป็นผู้นาของวง ผู้ตีจะต้องมีปฏิภาณ
ไหวพรบิ ในการตดั สินใจแก้ปัญหาต่างๆท่ีเกิดข้นึ ในการบรรเลงได้
2. ระนาดเหลก็
ใชต้ ดี าเนนิ ทานอง ลูกระนาดทามาจากโลหะ เลียนแบบระนาดเอกท่ีทามา
จากไม้ มีลูกระนาดจานวน 20 หรือ 21 ลูก มีบทบาทหน้าท่ีคอยตี
สอดแทรกทานองเพลงใหบ้ ทเพลงมคี วามไพเราะ
3. ระนาดท้มุ
ใช้ตีสอดแทรกทานอง เพ่ือหยอกล้อและยั่วเย้าไปกับเครื่องดนตรี
ประเภทอืน่ ในวง เพอื่ เพ่มิ อรรถรสและความสนุกสนานในกับทานองเพลง
4. ระนาดทุ้มเหลก็
ใช้ตีดาเนินทานอง เป็นเครื่องดนตรีที่สร้างข้ึนเลียนแบบระนาดทุ้มไม้
มีลูกระนาดจานวน 16 หรือ 17 ลูก การบรรเลงจะตีดาเนินทานอง
ลกั ษณะเดยี วกับระนาดทุ้ม สร้างความไพเราะสนุกสนานใหก้ ับบทเพลง
5. ฆอ้ งวงใหญ่
ใช้ตีเป็นทานอง เป็นเครื่องตีท่ีประกอบด้วยลูกฆ้องและวงฆ้อง จะมี
ลูกฆ้อง 16 ลูก วงฆ้องจะสูงประมาณ 24 เซนติเมตร โดยดาเนินทานอง
ท่ีเป็นเน้ือแท้ของเพลงและเป็นหลักของวง ควบคุมความถูกต้อง
ของทานองเพลง
6. ฆ้องวงเหลก็
ใช้ตีเป็นทานองและตีรัวเป็นเสียงยาวบ้างตามโอกาส มีลักษณะเหมือน
ฆ้องวงใหญ่ แต่ลูกฆ้องจะมีขนาดเล็กกว่าและมีจานวน 18 ลูก ลักษณะ
การบรรเลงจะคอยสอดแทรกทานองเพลงในระดับเสียงสูง
7. ปี่ใน
ใช้เป่าดาเนินทานอง มีบทบาทในการบรรเลงเป็นผู้ข้ึนเพลงและ
เปน็ ผชู้ ่วยระนาดเอกในการนาวง
8. ปีน่ อก
ใช้เป่าดาเนินทานอง ลักษณะการบรรเลงจะคอยสอดแทรก
ทานองเพลงในระดับเสยี งสูง
9. ขลุ่ยหลบี
ใช้เป่าเป็นทานอง คอยสอดแทรกทานองให้เกิดความไพเราะในระดับ
เสียงแหลมสูง
10. ขล่ยุ เพียงออ
ใช้เป่าเป็นทานอง คอยสอดแทรกทานองให้เกิดความไพเราะใน
ระดับเสยี งกลาง
11. จะเข้
ใช้ดีดเป็นทานองและรัวเป็นเสียงยาว โดยจะบรรเลงเป็นหลัก
ในการดาเนินทานองเช่นเดียวกับซอด้วงและคอยสอดแทรกทานอง
ใหเ้ กิดความไพเราะ
12. ซออู้
ใช้สีเป็นทานอง โดยเป็นผ้ตู ามในวง ลักษณะของ
การบรรเลงจะหยอกล้อและยั่วเย้าไปกับเครื่องดนตรี
ประเภทอ่นื ในวงให้เกิดความสนุกสนาน
13. ซอดว้ ง
ใช้สีเป็นทานองโหยหวน และเป็นหลัก
ในการดาเนนิ ทานองของวงดนตรี
14. ซอสามสาย
ใช้สีเป็นทานองคลอไปกับวงดนตรีหรือ
บรรเลงคลอไปพร้อมๆกับการขับร้อง
สรปุ
เคร่ืองดนตรีไทยประกอบด้วย เครื่องดนตรีประเภทดีด สี ตีและเป่า ท่ีมีรูปร่าง
ลักษณะแตกต่างกันไป มีหน้าที่ในการบรรเลงแตกต่างกัน แบ่งเป็นเคร่ืองดนตรี
ประกอบจังหวะและเคร่ืองดนตรีดาเนินทานอง เมื่อนามาบรรเลงเป็นวงดนตรีร่วมกัน
จะเกิดเป็นบทเพลงที่มจี งั หวะ ทานองถูกต้องไพเราะ
เอกสารอ้างอิง
หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวชิ าศลิ ปะ กลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5