ประวัติศาสตร์ เมืองลำ พูน ที่เกี่ยวเนื่องกับวัดมหาวัน หลังจากพระนางจามเทวีเสด็จเสวยราชสมบัติเป็นกษัตรีย์แห่งนครหริภุญไชย พระองค์ทรงมีพระราชกุศลสร้าง พระอารามถวายเป็นที่พำ นักแด่พระสังฆเถระที่โดยเสด็จมาจากนครละโว้ทั้ง ๕๐๐ รูปเพื่ออบรมสั่งสอนประชาชนใน นครหริภุญไชยพระองค์ทรงสร้างพระอารามในพระอุปถัมภ์รอบพระนคร ได้แก่ ด้านทิศตะวันออกสร้าง “อรัญญิกรัมมการาม” ถวายแด่พระสังฆาธิการพรั่งพร้อมด้วยพระวิหาร กุฏิพร้อม ด้วยพระพุทธรูป คือ “วัดดอนแก้ว” (วัดร้าง) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านเวียงยอง ด้านทิศเหนือสร้าง “อาพัทธาราม” ถวายแด่ฤๅษีวาสุเทพฤๅษีสุกกะทันตะผู้ร่วมก่อตั้งนครลำ พูนมีพระวิหาร ถวายพระภิกษุที่จาริกมาแต่พระอารามจากเมืองลังกา ปัจจุบันคือ “วัดพระคงฤๅษี” ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือสร้าง “มาลุตาราม” ถวายเป็นที่พำ นักพระสงฆ์ที่จาริกมาจากทั่วสารทิศ ปัจจุบัน ไม่ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งได้ชัดเจน ด้านทิศตะวันตกสร้าง “มหาวนาราม” ในพื้นที่ป่ากว้างใหญ่พรั่งพร้อมด้วยพระพุทธปฏิมากร พระวิหารและ กุฏิอันงดงามถวายเป็นที่จำ พรรษาของพระสงฆ์พร้อมกับทรงถวายการอุปัฏฐากด้วยภัตตาหาร ปัจจุบันคือ“วัดมหาวัน” ด้านทิศใต้สร้าง “มหารดาราม” พรั่งพร้อมด้วยพระวิหารกุฏิและพระพุทธรูปมากมายพร้อมกับทรงถวายการ อุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วยภัตตาหาร ปัจจุบันคือ “วัดสังฆาราม” หรือ “วัดประตูลี้”
วัดมหาวัน ( มหาวนาราม ) วัดมหาวัน ( มหาวนาราม ) เป็นพุทธปราการด้านปัจฉิมภาค ( ตะวันตก ) แห่งนครหริภุญไชยที่มีการระบุใน ตำ นานมูลศาสนา และตำ นานจามเทวีวงศ์ว่า พระนางจามเทวีทรงสถาปนาเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เรื่องราวที่ เกี่ยวกับวัดมหาวันซึ่งปรากฏอยู่ในตำ นานมูลศาสนากล่าวถึงเหตุการณ์ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ “พระเจ้าสรรพสิทธิ์” ดังข้อความต่อไปนี้ “เมื่อใหญ่ได้๑๐ ปีให้สร้างมหาวันกับทั้งเจดีย์เมื่อเสร็จแล้วก็ให้ฉลองและถวายทานเป็นอันมากแล้วให้สร้าง พระพุทธรูปองค์หนึ่งไว้ในมหาวันนั้น ” คำว่า “สร้าง” ในที่นี้คงจะหมายถึงการบูรณปฏิสังขรณ์มากกว่าที่จะเป็นการ ก่อสร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจาก “ มหาวนาราม ” เป็นหนึ่งในพุทธปราการที่พระนางจามเทวีทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ สถาปนาขึ้น หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในนครหริภุญไชยแล้วนั่นเอง นครหริภุญไชยต้องตกเป็นเมืองร้างจากภัยสงครามเป็นเวลานานจนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงกรีธาทัพมาช่วยขับไล่ทัพพม่าออกไปจากดินแดนล้านนา จนหมด นครลำ พูนจึงได้รับการแผ้วถางบูรณะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการจัดการปกครองด้วยระบบเจ้าผู้ครองนคร ประเทศราชที่ขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีและกรุงเทพมาตามลำดับ ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๓๖๕ เป็นต้นมาวัดมหาวันได้รับการบูรณะ ฟื้นฟูให้เป็นพระอารามที่มีพระสงฆ์จำ พรรษามาอย่างต่อเนื่องจวบจนถึงปัจจุบัน
หนองสะเหน ่ า กู่ พระลบ โบราณวัตถุสำคัญอันเป็นมงคลคู่กับวัดมหาวัน คือ “ พระสิขีปฏิมากร ” พระพุทธรูปที่แกะสลักจากศิลาดำ ที่พระนางจามเทวีทรงอัญเชิญมาจากนครละโว้ ตั้งแต่ครั้งที่เสด็จมาปกครองนครหริภุญไชยซึ่งเข้าใจว่าแรกเริ่มนั้นคงประดิษฐานที่ พระอารามหลวงแห่งแรกที่ทรงสถาปนาบนแผ่นดินนครหริภุญไชยคือ“รัมมักกา ราม”อันเป็นพระอารามที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับพระราชวังหลวงที่ประทับของพระองค์ ปัจจุบันพระพุทธสิขีปฏิมากรองค์นี้ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าพระประธานในพระ วิหารวัดมหาวัน ชาวลำ พูนเรียกว่า“แม่พระรอด” หรือ“พระรอดหลวง” ที่เชื่อกัน ว่าเป็นต้นแบบของการสร้างพระพิมพ์เนื้อดินเผาขนาดเล็กซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พระรอด” ซึ่งเป็นพระพิมพ์สกุลช่างหริภุญไชยที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่งของสยาม และเป็นพระพิมพ์สมัยหริภุญไชยที่พบได้เฉพาะที่วัดมหาวันแห่งนี้เท่านั้น บริเวณชายทุ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือห่างออกไปจากวัดมหาวันราว ๕๐๐ เมตร พบฐานของโบราณสถานร้างที่ชาวบ้านละแวกนั้นเรียกกันว่า “กู่พระลบ” ที่ เหลือเพียงเนินอิฐเรี่ยไปกับระดับพื้นดิน เป็นสถานที่ซึ่งพบพระพิมพ์ที่มีเนื้อดินค่อน ข้างแปลกแตกต่าง ไปจากพระพิมพ์ของนครหริภุญไชยแบบอื่น คือมีเนื้อค่อนข้าง หยาบและปรากฏเม็ดแร่กระจายทั่วองค์พระ มีชื่อเรียกตามภาษาถิ่นว่า“ พระลบ ” เนื่องจากว่ารายละเอียดขององค์ประกอบศิลป์ที่ปรากฏบนพระพิมพ์ไม่มีความ ชัดเจนเหมือนเช่นพระพิมพ์หริภุญไชยทั่วไป นอกจากนี้ในพื้นที่เดียวกันยังมีหนองน้ำ ขนาดย่อมที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หนองสะเหน่า” อยู่ห่างจากวัดมหาวันราว ๓๐๐ เมตรปัจจุบันหนองน้ ำแห่งนี้อยู่เขตที่ดินของราษฎร พระสิขีปฏิมากร พระสิขีปฏิมากรจำลอง (หยกดำ ) พระลบ ฐานสามเหลี่ยม พระลบ
ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ปกครองนครลำ พูนเป็นลำดับที่ ๘ (๒๔๓๑ – ๒๔๓๘) ได้ ปฏิสังขรณ์พระเจดีย์วัดมหาวันที่ปรักพังล้มลงไปทางด้าน ทิศตะวันตก โดยก่อสร้างพระเจดีย์ครอบทับบนฐานของ เจดีย์องค์เดิมซึ่งเป็นแท่งศิลาแลงขนาดใหญ่วางเรียงกัน เจ้าเหมพินธุไพจิตรให้รวบรวมพระพิมพ์ที่เกลื่อนกระจาย ตามพื้นดินนำ ไปบรรจุในองค์เจดีย์ที่สร้างใหม่ โดยเฉพาะ พระรอดซึ่งพบเฉพาะที่วัดมหาวันเท่านั้น ส่วนมูลดินและ เศษอิฐจากซากของเจดีย์องค์เดิมถูกนำ ไปถมปรับพื้นที่ใน วัดมหาวันโดยเฉพาะด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง จึงพบพระพิมพ์เมืองลำ พูนและพระรอดกระจายออกไป ถึงเขตบ้านเรือนราษฎรรอบวัดมหาวัน ส่วนเจ้าเหมพินธุ ไพจิตรนำ พระรอดที่แบ่งมาจากการนำ ไปบรรจุในองค์ เจดีย์แจกจ่ายแก่วงศ์เครือญาติเพื่อนำ ไปสักการะบูชา ในปี ๒๔๕๑ เจ้าอินทยงยศโชติบูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์วัดมหาวัน อีกครั้งหนึ่งสืบเนื่องจากมีต้นไม้ที่ขึ้นงอกบนองค์เจดีย์ชอน ไชรากให้เกิดรอยแตกร้าวเสียหาย เจดีย์วัดมหาวันที่เจ้าอินทยงยศโชติบูรณะปฏิสังขรณ์ในปี๒๔๕๑ พระรอดวัดมหาวัน พระรอดเป็นพระพิมพ์เนื้อดินเผาขนาดเล็กที่พบเฉพาะ ที่วัดมหาวัน ในเมืองลำ พูนเท่านั้น ในขณะที่พระพิมพ์อื่นๆ ของเมืองลำ พูนนั้นพบได้ในแหล่งโบราณคดีสมัยหริภุญไชยได้ทั่วไป ประวัติความเป็นมาในการสร้างพระรอด (รวมถึงพระ พิมพ์ต่าง ๆ ที่พบในเมืองลำ พูน) นั้น ไม่ได้กล่าวถึงชัดเจนในเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เป็นตำ นานเมืองลำ พูนฉบับดั้งเดิม ซึ่งนักวิชาการให้การยอมรับเป็นทางการ จึงเป็นเพียงการสันนิษฐานว่าได้รับการสรรค์สร้างขึ้นหลังจากพระนางจามเทวี ทรงสถาปนานครหริภุญไชยพร้อมกับการสร้างพระอารามขึ้นในเมืองลำ พูนโดยมีฤๅษีวาสุเทพผู้เจริญปัญจอภิญญาฌาน ร่วมกับพระสังฆาจารย์ที่ทรงอาราธนามาจากนครละโว้โดยสันนิษฐานว่าจัดมีการจัดพิธีพุทธาภิเษกพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นเพื่อ ประดิษฐานตามพระอารามที่เป็นพุทธปราการในครั้งนั้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมเพรียงกัน
การจำ แนกพิมพ์ พระรอด การกำ หนดพิมพ์ของพระรอดวัดมหาวันนั้นมีคุณ เชียร ธีรศานต์นักเขียนยุคเก่าแก่ของวงการพระเครื่องได้เดินทาง มาที่วัดมหาวันเพื่อค้นหาข้อมูลจากผู้คนในเมืองลำ พูน โดยเฉพาะพระญาณมงคล(ชุมพล)อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาวัน ได้แบ่ง แม่พิมพ์พระรอดออกเป็น ๕ พิมพ์คือ พระรอดพิมพ์ใหญ่ พระรอดพิมพ์กลาง พระรอดพิมพ์เล็ก พระรอดพิมพ์ตื้น และ พพระรอดพิมพ์ต้อ หากเราพิจารณารูปทรงและขนาดของพระรอดอย่างถี่ถ้วนจะเห็นว่าพระรอด ๔ พิมพ์แรกจะมีขนาดที่ ไล่เลี่ยกัน เพียงแต่จะแตกต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อยในองค์ประกอบศิลป์เท่านั้น ในขณะที่พระรอดพิมพ์ต้อจะมีขนาด ย่อมกว่าทุกพิมพ์ที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น พระรอดพิมพ์ตื้น พระรอดพิมพ์เล็ก พระรอดพิมพ์ต้อ พระรอดพิมพ์กลาง พระรอดพิมพ์ใหญ่
ตำ นานพระสิขีปฏิมากร หนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์” เรียบเรียงเป็นภาษาบาลีโดย “พระ รัตนปัญญาเถระ” (๒๐๖๐-๒๐๗๑) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชโปรด ฯ ให้ราชบัณฑิตแปลเป็นภาษาไทยในปีจุลศักราช ๑๑๕๖ (๒๓๓๗) หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์เมือง ลำ พูนตั้งแต่แรกก่อตั้งจนถึงสมัยล้านนา นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับความ เป็นมาของพระพุทธรูปสำ คัญในสยามโดยเฉพาะพระพุทธรูปสำ คัญเก่า แก่คู่พระนครหริภุญไชย คือ “พระสิขีปฏิมากร” ซึ่งประดิษฐานเบื้องหน้า พระประธานในพระวิหาร “วัดมหาวัน” สรุปความได้ดังนี้ “ยังมีหินสีดำก้อนหนึ่งตั้งสถิตบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ไม่ห่างไกลจาก “อโยชฌปุระ” (อโยธยา) เป็น หินที่พระพุทธองค์เคยเสด็จมาประทับแต่ครั้งพุทธกาลเพื่อแสดงธรรม “ทารุกขันธ์ปมสูตร” แก่พระภิกษุทั้ง หลาย นับแต่นั้นมาเหล่าเทวดาและมนษย์ทั้งหลายต่างกราบไหว้บูชาหินก้อนนี้เสมอมา จึงมีนามว่า “อาทร สิลา” คือ หินที่มีผู้คนนับถือ ผู้เฒ่าผู้แก่ในรัมมนะประเทศเรียกว่า “สิลาธิมิ” แปลว่าพระหินเพราะเป็นหินที่มี ผู้คนนับถือบูชา ต่อมามีกษัตริย์แห่ง “รัมมนะประเทศ” ทรงมีพระราชดำริว่าหินสีดำก้อนนี้ควรเกิดประโยชน์ อันใหญ่หลวงแก่ปวงเทวดาและมนุษยชาติมากกว่านี้ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้ช่างปฏิมากรรมนำ หิน ก้อนนี้มาจำ หลักเป็นพระพุทธปฏิมากรได้๕ องค์โดยอัญเชิญไปประดิษฐานในพระมหานครองค์หนึ่ง ลวปุระ (ละโว้) องค์หนึ่ง สุธรรมนคร (สะเทิม) องค์หนึ่ง และรัมมนะประเทศ ๒ องค์กษัตริย์รัมมนะประเทศทรงสัก การะพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์เสมอมา หลังจากเสด็จสวรรคตพระราชโอรสผู้ทรงสืบราชสมบัติต่อมาได้ถวายสัก การะพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์เช่นพระราชชนกทรงปฏิบัติพระองค์มีพระราชโอรสพระนามว่า “พระมโนหาร” ครองราชย์สมบัติสืบต่อมาและทรงถวายสักการะพระพุทธรูปองค์นี้อยู่เป็นนิตย์ ต่อมา “พระเจ้าอนุรุทธ” (อโนรธา) กษัตริย์พม่าแห่งนคร “อริมัททนปุระ” ผู้ทรงฤทธิเดชเหาะเหินได้ พระองค์ทรงส่งราชทูตไปทูลขอพระศิลาดำองค์หนึ่งจากพระเจ้ามโนหาร แต่พระเจ้ามโนหารมิยอมประทาน ให้ พระเจ้าอนุรุทธทรงพิโรธจึงยกทัพมาตีรัมมนะประเทศแล้วกุมพระเจ้ามโนหาร (พร้อมด้วยพระศิลาดำ ) กลับอริมัททนปุระ ระหว่างประทับที่นครอริมัททนปุระพระเจ้ามโนหารทรงสร้างพระพุทธปฏิมาปางไสยาสน์ ขนาดใหญ่อีกองค์หนึ่งไว้สักการบูชา หลังจากพระองค์สวรรคตที่พระนครแห่งนั้นมหาราชแห่งมหานครทราบ ว่าพระเจ้าอนุรุทธทรงเป็นพุทธมามกะจึงถวายพระศิลาดำแด่พระเจ้าอนุรุทธอีกองค์หนึ่ง
หลังจากฤๅษีวาสุเทพสร้างนครหริภุญไชยแล้วอัญเชิญพระนางจามเทวีเสด็จจากนครละโว้มาครองราช สมบัติที่นครแห่งนี้ พระองค์ทรงสถาปนา “วัดรัมมักการาม” ที่หมู่บ้านรัมมักคามอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ ประทับของพระองค์มาแต่ปฐมกาล ครั้งนั้นเข้าใจว่าพระนางจามเทวีทรงประดิษฐานพระสิขีปฏิมากรศิลาดำ ที่พระ อารามแห่งนี้ ต่อมาพระเจ้าสุธรรมแห่งนครสะเทิมได้รับการสถาปนาจากพระนางจามเทวีให้ปกครองเมืองตาก พระองค์ทรงอัญเชิญพระศิลาดำจากสุธรรมนครมาประดิษฐานยังพระอารามในเมืองแห่งนี้คือ “วัดสุธรรมาภาศ” พระองค์โปรด ฯ ให้อัญเชิญพระศิลาดำ ไปประดิษฐานไว้ในองค์พระประธานแล้วโบกปูนปิดทับเพื่อปกป้องจากอริ ราชศัตรูจะได้ประดิษฐานสถาพรที่เมืองแห่งนี้ กาลต่อมาพระเจ้าอนุรุทธทรงทราบถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในนครหริภุญไชยทรงมีพระหทัย ปิติยินดีทรงมีพระราชดำ ริให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองยิ่งขึ้นจึงพระราชทานพระสิขีปฏิมาศิลาดำ ที่กษัตริย์มหานคร ถวายพระองค์แด่ “พระนางจามเทวี” ซึ่งขณะนั้นเสด็จไปประทับที่นครเขลางค์ตามคำอัญเชิญของพระเจ้าอนันต ยศผู้ทรงเป็นพระราชโอรส ราชทูตของพระเจ้าอนุรุทธจึงอัญเชิญพระสิขีปฏิมาไปถวายพระนางจามเทวีที่นครเข ลางค์ ในกาลต่อมาฤๅษีสุพรหมสร้างพระนครอาลัมพางค์ถวายพระเจ้าอนันตยศ พระองค์จึงอัญเชิญพระสิขีปฏิมา ศิลาดำ ไปประดิษฐาน ณ วัดกู่ขาวซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของนครเขลางค์จนกระทั่งถึงปีจุลศักราช ๘๗๗ วัน ๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เพลารุ่งแล้ว ๘ ชั้น ๓ ฤกษ์๙ ฤกษ์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงกรีธาทัพไปตีนครอาลัมพางค์ แล้วอาราธนาพระพุทธสิขีปฏิมากรจากวัดกู่ขาวไปยังพระนครศรีอยุธยา พระกลีบบัว พระเปิม พระเหลี้ยม พระงบน้ ำอ่อย พระสิกขี(เทวนารี) วัดมหาวัน พระฤาษีเนื้อดินเผา วันมหาวัน พระคง