วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรง ทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ จัดทำโดย นางสาวทอฝัน แววกระโทก รหัสนักศึกษา 630402320008 รุ่น 63 กลุ่ม A1 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชา MED 63403 การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการเรียนการสอน คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2564
วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรง ทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ จัดทำโดย นางสาวทอฝัน แววกระโทก รหัสนักศึกษา 630402320008 รุ่น 63 กลุ่ม A1 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชา MED 63403 การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการเรียนการสอน คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2564
กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาจาก อ.ดร.วดาภรณ์ พูลผลอำนวย อาจารย์นิเทศก์ ที่กรุณาให้คำปรึกษาแนะนำแนวทาง ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ มาโดยตลอด จนวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ เสร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ นางนิตยา ขำส่งลักษณ์ ครุพี่เลี้ยงที่กรุณาให้ความรู้ให้คำปรึกษา ตรวจแก้ไขและ วิจารณ์ผลงาน ทำให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับความอนุเคราะห์จากนายชัชชัย คำพุช ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองน้ำขุ่น และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ให้ ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย ตลอดจนคณะครู บุคลากรโรงเรียนหนองน้ำขุ่นทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย ทำ ให้วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดีผู้วิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ นางสาวทอฝัน แววกระโทก ก
บทคัดย่อภาษาไทย ชื่อเรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดย การใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ชื่อผู้วิจัย ทอฝัน แววกระโทก ปีการศึกษา 2564 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานในรายวิชาหน้าที่พลเมือง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้คัดเลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองน้ำขุ่น อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่มีพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานส่งจำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกการส่งงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า การใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกโดยการให้คะแนนพิเศษ สามารถปรับพฤติกรรม การส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง 5 คนได้เป็นอย่างดี โดยนักเรียนลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 ลำดับที่ 4 และลำดับที่ 5 มีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 67 และนักเรียนลำดับที่ 3 มีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการส่งงานปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ การวิจัยในครั้งนี้ ข
สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนำ ***** 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 2. คำถามการวิจัย 2 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 4. สมมติฐานการวิจัย 2 5. ขอบเขตของการวิจัย 2 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 3 7. ประโยชน์ของการวิจัย 3 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ B.F. Skinner 4 2. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) 5 3. แนวคิดเทคนิคการสอนโดยใช้การเสริมแรง 5 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย 7 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 1. กลุ่มตัวอย่าง 8 2. ขั้นตอนการดำเนินงาน 8 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 9 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 9 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 10 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 10 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย 11 ค
สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการวิจัย 13 2. อภิปรายผล 13 3. ข้อเสนอแนะ 14 บรรณานุกรม 15 ภาคผนวก 16 ง
บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย การมีวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่จะพัฒนาให้มนุษย์มีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดการศึกษานั้น ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างวินัยให้กับนักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดวินัยขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก ปลูกฝังให้ นักเรียนเห็นคุณค่าของความมีวินัยในตนเอง เพราะการมีวินัยในตนเองนั้นจะส่งผลให้บุคคลนั้นสามารถควบคุม อารมณ์และพฤติกรรมของตนเองให้เป็นไปในทางที่ดีงาม และวินัยในตนเองนั้นยังเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การมี วินัยในสังคมและประเทศชาติต่อไป การเสริมแรง คือ การทำให้อัตราการตอบสนองหรือความถี่ของการแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเป็นผล จากการได้รับสิ่งเสริมแรง การเสริมแรงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การเสริมแรงทางลบเป็นการเสริมความ ต่อเนื่องของพฤติกรรมโดยการให้ผลกรรมเป็นสิ่งตอบแทนที่บุคคลนั้นไม่พึงพอใจ และการเสริมแรงทางบวก เป็นการเสริมความต่อเนื่องของพฤติกรรมโดยการให้ผลกรรมเป็นสิ่งตอบแทนที่บุคคลนั้นพึงพอใจ ซึ่งเราจะให้ การเสริมแรงเฉพาะในเรื่องที่ต้องการเพื่อให้เกิดเป็นนิสัยติดตัว ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมใหม่ใน เรื่องใด ก็ควรให้การเสริมแรงพฤติกรรมนั้น เพื่อให้เด็กทำต่อไปจนเป็นนิสัย แต่ถ้าต้องการให้พฤติกรรมใด หายไปก็ควรลดการเสริมแรงพฤติกรรมนั้น ก็จะทำให้พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนานั้นหายไป การปลูกฝัง พฤติกรรมใหม่ให้แก่เด็กโดยการใช้การเสริมแรงเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรม ครูควรมีการวางแผนให้เหมาะสม (วริทธิ์พล บุณยเดชาวรรธน์,2559) และเนื่องจากผู้วิจัยได้เป็นครูผู้สอนวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส22212 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองน้ำขุ่น อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 แบ่งคะแนน ออกเป็น 2 ส่วน คือ คะแนนที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 80 ของคะแนน ทั้งหมด โดยในร้อยละ 80 ได้จากการเก็บคะแนนโดยการทดสอบเป็นรายหน่วยการเรียน และงานที่มอบหมาย ให้ นักเรียนทำส่ง เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติและทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาก และพบว่า นักเรียนมี พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์โดยพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนบางคนขาดความรับผิดชอบในการเข้าเรียนและ ไม่ทำงานส่งตามที่มอบหมายให้จึงทำให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ครูผู้ที่มีหน้าปลูกฝังให้นักเรียนมีความ รับผิดชอบในหน้าที่ของตน จึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัญหาให้เป็นไปในทางที่พึงประสงค์ โดยนำ กระบวนการวิจัยมาแก้ปัญหาและนำทฤษฎีเสริมแรงทางทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ มาใช้กับนักเรียนเพื่อเป็น การเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนและส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ 2. คำถามการวิจัย การปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลโดยการใช้วิธีการ เสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษเป็นอย่างไร 3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดยการ ใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ 4. สมมติฐานของการวิจัย ไม่มีสมมติฐานการวิจัย 5. ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตด้านประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองน้ำขุ่น ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 5 คน ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เนื้อหาในรายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส22212 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ตัวแปรต้น คือ วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่ พลเมืองจากการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ 2
ระยะเวลา การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 6. นิยามศัพท์เฉพาะ การเสริมแรงทางบวก คือ การให้สิ่งเสริมแรงที่ทำให้บุคคลนั้นเกิดความพึงพอใจ ซึ่งมีผลทำให้บุคคล นั้นแสดงพฤติกรรมเพิ่มมากขึ้น การส่งงาน คือ สิ่งที่ได้รับมอบหมายจากครูหลังจากการเรียนหรือภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำ เมื่อกระทำ เสร็จต้องส่งกลับเพื่อยืนยันว่าได้กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คะแนนพิเศษ คือ คะแนนที่นักเรียนจะได้รับเมื่อส่งงานตามที่ครูมอบหมายหรือตามภาระหน้าที่ 7. ประโยชน์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. พฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดีขึ้นหลังจากใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก 2. เป็นแนวทางสำหรับผู้สอนในการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียน โดยการใช้วิธีการเสริมแรง ทางบวก 3
บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่ พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องโดย ลำดับเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ B.F. Skinner 2. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) 3. แนวคิดเทคนิคการสอนโดยใช้การเสริมแรง 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ B.F. Skinner วัชระ พรชัย (2550) ได้กล่าวถึงหลักการเรียนรู้ทฤษฎี B.F. Skinner กับทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ การกระทำ(Operant Conditioning) โดยจากแนวความคิดที่ว่าความสัมพันธ์ระหวางพฤติกรรมกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมและผลของการกระทำของพฤติกรรมนั้น โดยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนั้น ขั้นตอนการทดลองของ Skinner ขั้นที่ 1 เตรียมการทดลอง ทำให้หนูหิวมาก ๆ เพื่อสร้างแรงขับ (Drive) ทำ ให้เกิดขึ้นซึ่งจะเป็นแนวทางที่จะผลักดันให้แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น อยางไรก็ตามก็ต้องให้หนู คุ้นเคยกับกล่องของ Skinner ขั้นที่ 2 ขั้นการทดลองเมื่อหนูหิวมาก ๆ Skinner ปล่อยหนูเข้าไปในกล่อง Skinner หนูจะวิงเปะปะและแสดงอาการต่าง ๆ เช่น การวิงไปรอบ ๆ กล่อง การกัดแทะสิ่งต่าง ๆ ที่อยูใน กล่องซึ่งหนูอาจจะไปแตะลงบนคานที่มีอาหารซ่อนไว้ หนูก็จะได้อาหารกินจนอิ่มและSkinner สังเกตเห็นว่า ทุกครั้งที่หนูหิวจะใช้เท้าหน้ากดลงไปบนคานเสมอ และขั้นที่ 3 ขั้นทดสอบการเรียนรู้Skinner จะจับหนูเข้าไป ในกล่องอีก หนูจะกดคานทันที แสดงวาหนูเกิดการเรียนรู้แล้วว่า การกดคานจะทำให้ได้กินอาหาร สรุปจาก การทดลองนี้แสดงว่า การเรียนรู้ที่ดีจะต้องมีการเสริมแรง การเสริมแรง (Reinforcement) คือ การทำให้ผู้ทำ พฤติกรรมเกิดความพึงพอใจ เมื่อทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งแล้ว เพื่อให้ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ ซึ่งการ เสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) และ การเสริมแรง ทางลบ (Negative Reinforcement)
2. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) อาทิตย์ พะจี(2562) ได้กล่าวถึงการเสริมแรงบวก (Positive Reinforcement) เป็นการเสริมความ ต่อเนื่องของพฤติกรรมโดยการ ให้ผลกรรมเป็นตัวเสริมแรงบวก คือสิ่งตอบแทนที่ดึงดูดใจหรือพอใจเป็นรางวัล เมื่อบุคคลนี้นมีพฤติกรรมหรือ ปฏิบัติการเป็นที่ต้องการ เซ่น พนักงานคนหนึ่งมาทำงานหรือเข้าประชุมตรง เวลา หัวหน้างานพูดเสริมแรงโดย กล่าวคำชมเชยและขอบคุณ ถือได้ว่าเป็นการเสริมแรงบวกซึ่งเป็นรางวัลต่อ การมาตรงเวลา ตัวเสริมแรงบวกที่ ใช้กันในการจูงใจการทำงาน เซ่น การจ่ายเงิน การเลื่อนตำแหน่ง การเพิ่ม สถานภาพ การได้สิทธิพิเศษ การได้หยุดพักผ่อน ฯลฯ การเสริมแรงบวกเป็นตัวจูงใจที่ใช้ได้ผลที่สุดในการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน 3. แนวคิดเทคนิคการสอนโดยใช้การเสริมแรง วริทธิ์พล บุณยเดชาวรรธน์ (2559) ได้กล่าวถึง เทคนิคการสอนโดยใช้วิธีการเสริมแรงมาประยุกต์นั้น ถือได้ว่ามีผลต่อประสิทธิการเรียน ด้วยเหตุนี้ครูควรจะรู้ถึงหลักในการเสริมแรง คือ ประการแรก ตั้งอยู่บน พื้นฐานของความยุติธรรม ไม่ลำเอียง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมแรงทางด้านบวกหรือด้านลบ ครูผู้สอนควรจะมอง ผู้เรียนด้วยความเท่าเทียมกัน เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเรียน ประการที่สอง มีความจริงใจในการ กระทำ ไม่ว่าจะเป็นกล่าวคำชม หรือแม้กระทั่งการว่ากล่าวตักเตือน ควรจะกระทำด้วยความจริงใจและ ความหวังดีประการที่สาม ควรเสริมแรงทันทีที่มีพฤติกรรมทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้น เช่น เมื่อผู้เรียนทำรายงานส่ง ครบตามกำหนด มีความละเอียดในการน าเสนอข้อมูล ครูควรจะเสริมแรงทางบวกโดยการกล่าวชมทันที ในทางตรงกันข้ามหากผู้เรียนได้ทำการคัดลอกรายงานของเพื่อนมาส่ง ครูผู้สอนควรจะมีการให้เสริมแรงทาง ลบ เช่น การตักเตือน เพื่อที่จะทำให้มีการปรับปรุงพฤติกรรมได้ทันท่วงทีและประการสุดท้าย มีเหตุผลไม่ใช้ อารมณ์ อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญต่ออาชีพครูมาก ดังนั้นครูควรที่จะมีการระงับอารมณ์ ไม่กระทำอะไรที่รุนแรง จนเกินไป โดยเฉพาะในเรื่องของการลงโทษผู้เรียนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรตั้งอยู่บนเหตุผล และความ เหมาะสมในการลงโทษจะเห็นได้ว่าการเสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ให้แก่ ผู้เรียนได้โดยการเสริมแรงทางบวกจะช่วยเสริมให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ ในทางตรงกันข้ามการเสริมแรง ทางลบนั้นจะทำให้ผู้เรียนเกิดการท้อแท้และหมดกำลังใจในการเรียนได้ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ครูแล้วว่าควรจะใช้ วิจารณญาณการเสริมแรงอย่างไรที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด จากแนวคิดและทฤษฎีที่กล่าวมา การเสริมแรงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมซ้ำ ๆ การ เสริมแรงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การเสริมแรงทางลบเป็นการเสริมความต่อเนื่องของพฤติกรรมโดยการให้ผล 5
กรรมเป็นสิ่งตอบแทนที่บุคคลนั้นไม่พึงพอใจ และการเสริมแรงทางบวกเป็นการเสริมความต่อเนื่องของ พฤติกรรมโดยการให้ผลกรรมเป็นสิ่งตอบแทนที่บุคคลนั้นพึงพอใจ หากลดสิ่งเสริมแรงลงเมื่อใด การตอบสนอง จะลดลงเมื่อนั้น ซึ่งผู้วิจัยได้นำการเสริมแรงทางบวกมาศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทิพย์วรรณ จุลิรัชนีกร (2552) ได้ศึกษาผลของการใช้เทคนิคการชี้แนะทางวาจาควบคู่กับการเสริมแรง ทางบวกที่มีต่อพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่ได้รับ กิจกรรมพัฒนาพฤติกรรมการเผชิญปัญหาด้วยเทคนิคการชี้แนะควบคู่กับการเสริมแรงทางบวกมีพฤติกรรม กรรมการเผชิญปัญหา มากกว่านักเรียนที่ไม่ได้รับกิจกรรมพัฒนาพฤติกรรมการเผชิญปัญหา อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมพัฒนาพฤติกรรมการเผชิญปัญหาด้วยเทคนิค การ ชี้แนะควบคู่กับการเสริมแรงทางบวกกับการอบรมเลี้ยงดูแบบพึ่งตน เองต่อพฤติกรรมการเผชิญปัญหาที่ ระดับ นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วริทธิ์พล บุณยเดชาวรรธน์ (2559) ได้ศึกษาผลการส่งงานด้วยการเสริมแรงบวกจากการแจกสัญญา ลักษณ์รายวิชาระบบฐานข้อมูลและการออกแบบ ของนักศึกษาแผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร พบว่าสถิติการส่งงานของนักศึกษาแผนกวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ 1 คำนวณค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่งงานตรงเวลาคิดเป็น 48.97และส่งงาน ไม่ตรงเวลาคิดเป็น 51.03 และในช่วงที่ 2 คำนวณค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่งงานตรงเวลาโดยการใช้สัญลักษณ์ในการ เสริมแรงคิดคิดเป็น 85.71 และส่งงานไม่ตรงเวลาโดยการใช้สัญลักษณ์ในการเสริมแรงคิดคิดเป็น 14.29 จะ เห็นได้ว่านักศึกษาจะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาการส่งงานและความรับผิดชอบของนักศึกษาดีขึ้น และพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ประเมินให้การแจกสัญญาลักษณ์ให้นักศึกษาเป็นการกระตุ้นการส่งงานของนักศึกษา อยู่ใน ระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 5.00 ส่วนเบี่ยงเบน อาทิตย์ พะจี (2562) ได้ศึกษาการแก้ปัญหาการไม่ส่งงานของนักเรียน ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนมัธยมวัดดอนตูม รายวิชา การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย รหัสวิชา ว31283 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ผลการวิจัยพบว่าจากการศึกษาและวิเคราะห์แบบสอบถามเพื่อแก้ปัญหาการไม่ ส่งงานของนักเรียนของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนมัธยมวัดดอนตูมแสดงให้เห็นว่า สาเหตุ ของการไม่งาน ลำดับที่ 1 คือ แบบฝึกหัดยาก ทำไม่ได้ และ ติดงานในรายวิชา อื่น ๆ โดยคิดจากนักเรียน 5 คน ที่เลือกเป็นสาเหตุอันดับที่ 1 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 100 6
5. กรอบแนวคิดในการวิจัย กรอบแนวคิดการศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่ พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ดังนี้ วิธีการเสริมแรงทางบวก ด้วยคะแนนพิเศษ พฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมือง จากการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม 7
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่ พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ผู้วิจัยดำเนินการตามขั้นตอนและรายละเอียด ของวิธีดำเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มตัวอย่าง 2. ขั้นตอนการดำเนินงาน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยไว้ดังนี้ คัดเลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองน้ำขุ่น อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่มีพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานส่งจำนวน 5 คน 2. ขั้นตอนการดำเนินงาน ผู้วิจัยได้กำหนดขั้นตอนในการวิจัยไว้ดังนี้ 1. ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีเสริมแรงทางบวกของสกินเนอร์ 2. กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3. กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่จะใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 4. สร้างเครื่องมือการวิจัย 5. การดำเนินการทดลอง โดยใช้แบบบันทึกการส่งงานของนักเรียน ทั้งหมด 10 ชิ้นงาน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะที่ 1 : เป็นระยะสังเกตพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการส่งงานของนักเรียน โดยดูจาก แบบบันทึกการส่งงานของนักเรียน ในการส่งงานครั้งที่ 1 – 3 ระยะที่ 2 : เป็นระยะที่ใช้การเสริมแรงทางบวก คือการให้ คะแนนพิเศษ ในการปรับพฤติกรรมการ ขาดความรับผิดชอบในการทำงาน ในการส่งงานครั้งที่ 4 – 10 โดยผู้วิจัยชี้แจงเงื่อนไขการให้ คะแนนพิเศษ ให้ นักเรียนทราบ โดยจะให้ คะแนนพิเศษ ในแต่ละครั้งที่นักเรียนส่งงานซึ่งต้องทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนด ถ้า นักเรียนคนใดได้ คะแนนพิเศษ มากที่สุดเมื่อสิ้นสุดการทดลองจะได้รับรางวัล 6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล 7. การสรุปผลการวิจัยและนำเสนอผลการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือในการวิจัยไว้ดังนี้ แบบบันทึกการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมือง 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้วางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ 1. แบบบันทึกการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดยแบ่งการวิจัย เป็น 3 ระยะ 2. มีการชี้แจง ข้อกำหนด และข้อตกลงในการส่งงานแต่ละครั้ง 3. ทำการรวบรวมข้อมูลในการส่งงานภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 10 ครั้ง 4. รวบรวมข้อมูลการส่งงานและนำข้อมูลไปวิเคราะห์ผลทางสถิติต่อไป 9
5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ซึ่งมีรายละเอียดการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมืองโดย การใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ โดยใช้ร้อยละในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนครั้งในการส่งงาน ในแต่ละระยะการทดลอง และได้หาผลต่างของร้อยละระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2560 : 122) = 100 เมื่อ คือ ร้อยละ คือ ความถี่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้เป็นร้อยละ คือ จำนวนความถี่ทั้งหมด 10
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา หน้าที่พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ผู้วิจัยได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น ดังต่อไปนี้ ผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยโดยใช้ร้อยละในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนครั้งในการส่งงานในแต่ ละระยะการทดลอง และได้หาผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ซึ่งผลของการวิเคราะห์ ข้อมูลเป็นดังนี้ ตารางที่ 1 ตารางแสดงการส่งงานระยะที่ 1 การส่งงานปกติ ลำดับนักเรียน การส่งงานระยะที่ 1 (ไม่มีการให้รางวัล) ร้อยละการส่งงาน ครั้งที่1 ครั้งที่2 ครั้งที่3 1 √ × × ร้อยละ 33 2 × × √ ร้อยละ 33 3 × × × ร้อยละ 0 4 √ × × ร้อยละ 33 5 × √ × ร้อยละ 33 จากตารางที่ 1 ซึ่งเป็นการส่งงานระยะที่ 1 แบบไม่มีการให้รางวัล พบว่าการส่งงานของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนลำดับที่ 1, 2, 4 และ 5 นักเรียนมีการส่งงานร้อยละ 33 คือ ในการส่งงานครั้งที่ 1 – 3 นักเรียนขาดการส่งงาน 2 ครั้ง และนักเรียนลำดับที่ 3 มีการส่งงานร้อยละ 0 คือ ในการส่งงานครั้งที่ 1 – 3 ไม่มีการส่งงานสักครั้ง
ตารางที่ 2 ตารางแสดงการส่งงานระยะที่ 2 การเสริมแรงทางบวกด้วยการให้คะแนนพิเศษ ลำดับ นักเรียน การส่งงานระยะที่ 2 (ให้คะแนนพิเศษ) ร้อยละการส่งงาน ครั้งที่4 ครั้งที่5 ครั้งที่6 ครั้งที่ 7 ครั้งที่ 8 ครั้งที่ 9 ครั้งที่ 10 1 √ √ √ √ √ √ √ ร้อยละ 100 2 √ √ √ √ √ √ √ ร้อยละ 100 3 √ √ × × √ √ √ ร้อยละ 71 4 √ × √ √ √ × √ ร้อยละ 71 5 √ √ √ √ √ √ √ ร้อยละ 100 จากตารางที่ 2 ซึ่งเป็นการส่งงานระยะที่ 2 มีการเสริมแรงโดยให้คะแนนพิเศษ พบว่าการส่งงานของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนลำดับที่ 1, 2 และ 5 มีการส่งงานร้อยละ 100 คือ ในการส่งงานครั้งที่ 4 – 10 นักเรียนส่งงานทุกครั้ง นักเรียนลำดับที่ 3 และ 4 มีการส่งงานร้อยละ 71 คือ ในการส่งงานครั้งที่ 4 – 10 ขาดการส่งงาน 2 ครั้ง ตารางที่ 3 ตารางแสดงผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ลำดับนักเรียน ร้อยละการส่งงาน ระยะที่1 ร้อยละการส่งงาน ระยะที่2 ผลต่างของร้อยละการส่งงาน ระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 1 ร้อยละ 33 ร้อยละ 100 ร้อยละ 67 2 ร้อยละ 33 ร้อยละ 100 ร้อยละ 67 3 ร้อยละ 0 ร้อยละ 50 ร้อยละ 50 4 ร้อยละ 33 ร้อยละ 75 ร้อยละ 34 5 ร้อยละ 33 ร้อยละ 100 ร้อยละ 67 จากตารางที่ 4 ซึ่งเป็นการแสดงผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 การส่งงานปกติกับระยะที่ 2 การเสริมแรงโดยการให้คะแนนพิเศษ พบว่าการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนลำดับที่ 1, 2, และ 5 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ร้อยละ 67 คือ นักเรียนมีร้อยละการส่งงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 นักเรียนลำดับที่ 3 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ร้อยละ 50 คือ นักเรียนมีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และนักเรียนลำดับที่ 4 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ร้อยละ 34 คือ นักเรียนมีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากการใช้การเสริมแรงทางบวก โดยการให้คะแนนพิเศษ 12
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา หน้าที่พลเมืองโดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ ผู้วิจัยได้สรุป อภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้ สรุป จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า นักเรียนลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 ลำดับที่ 4 และลำดับที่ 5 ในระยะที่ 1 การส่งงานปกติมีการส่งงานร้อยละ 33 และนักเรียนลำดับที่ 3 มีการส่งงานร้อยละ 0 จะเห็นได้ว่านักเรียนยัง ไม่เห็นความสำคัญของการส่งงาน และขาดความรับผิดชอบในการส่งงาน ในการส่งงานระยะที่ 2 มีการ เสริมแรงโดยให้คะแนนพิเศษ พบว่าการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนลำดับที่ 1, 2 และ 5 มีการส่งงานร้อยละ 100 และนักเรียนลำดับที่ 3 และ 4 มีการส่งงานร้อยละ 71 จะเห็นได้ว่านักเรียนมีการ พัฒนาการส่งงานที่ดีขึ้น และพบว่าผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนลำดับที่ 1, 2, และ 5 อยู่ร้อยละ 67 นักเรียนลำดับที่ 3 มีผลต่างของร้อยละการส่ง งานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 อยู่ร้อยละ 50 และนักเรียนลำดับที่ 4 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 อยู่ร้อยละ 34 ซึ่งจากากรวิเคราะห์ข้อมูลทำให้ทราบว่าจากการวิจัยทำให้นักเรียนทั้ง 5 คน มีร้อย ละการส่งงานที่เพิ่มขึ้นทุกคน อภิปรายผล จากการศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมือง โดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนพิเศษ พบว่าการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกโดยการให้คะแนน พิเศษ สามารถปรับพฤติกรรมการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง 5 คนได้เป็นอย่างดี โดยนักเรียน ลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 5 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 อยู่ร้อยละ 67 ซึ่ง หมายถึง นักเรียนมีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 67 นักเรียนลำดับที่ 3 มีผลต่างของร้อยละการส่งงาน ระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 อยู่ร้อยละ 50 ซึ่งหมายถึง นักเรียนมีร้อยละการส่งงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และนักเรียน ลำดับที่ 4 มีผลต่างของร้อยละการส่งงานระยะที่ 1 กับระยะที่ 2 อยู่ร้อยละ 50 ซึ่งหมายถึง นักเรียนมีร้อยละ การส่งงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากข้อมูลดังกล่าวจึงพบว่านักเรียนทั้ง 5 คนมีร้อยละการส่งงานที่เพิ่มทุกคน ซึ่ง
แสดงให้เห็นว่านักเรียนทั้ง 5 คนมีพฤติกรรมการส่งงานดีขึ้นมาก เพราะนักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้รับคะแนน พิเศษเป็นแรงเสริม จึงทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพื่อที่นักเรียนจะนำคะแนน พิเศษมาแลกเป็นรางวัล ซึ่งจากการวิจัยในครั้งนี้ทำให้ผู้วิจัยสามารถนำวิธีการดังกล่าวไปใช้ในการปรับ พฤติกรรมของนักเรียนคนอื่น ๆ ต่อไปได้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการเสริมแรง ยกย่องชมเชย และให้กำลังใจกับนักเรียนอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ทำการเรียน การสอน 2. ในการวิจัยครั้งต่อไป อาจเจาะจงทำการวิจัยกับกลุ่มนักเรียนในระดับอื่น ๆ และอาจแยกหัวข้อเป็น รายวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น ซึ่งจะได้น่าผลการทำลองที่ได้ไปแก้ไขปัญหาในการไม่ส่งงานของ นักเรียนต่อไป 14
บรรณานุกรม ทิพย์วรรณ จุลิรัชนีกร. (2552). ผลของการใช้เทคนิคการชี้แนะทางวาจาควบคู่กับการเสริมแรงทางบวกที่ มีต่อพฤติกรรมการเผชิญปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. คณะ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. บุญชม ศรีสะอาด. (2560). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. วริทธิ์พล บุณยเดชาวรรธน์. (2559). การศึกษาผลการส่งงานด้วยการเสริมแรงบวกจากการแจกสัญญา ลักษณ์รายวิชาระบบฐานข้อมูลและการออกแบบ ของนักศึกษาแผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร. วิจัยในชั้นเรียน. แผนกวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร. วัชระ พรชัย. (2550). บทความเรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Skinner. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://watcharaphonchai.blogspot.com/2007/08/bandura.html (2 มีนาคม 2565). อาทิตย์ พะจี. (2562). การแก้ปัญหาการไม่ส่งงานของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4รายวิชา การสื่อสาร ข้อมูลและเครือข่าย รหัสวิชา ว31283. วิจัยในชั้นเรียน. โรงเรียนมัธยมวัดดอนตูม สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 จังหวัดราชบุรี.
ภาคผนวก
แบบบันทึกการส่งงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส22212 ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ลำดับ นักเรียน งานครั้งที่ 1 งานครั้งที่ 2 งานครั้งที่ 3 งานครั้งที่ 4 งานครั้งที่ 5 งานครั้งที่ 6 งานครั้งที่ 7 งานครั้งที่ 8 งานครั้งที่ 9 งานครั้งที่ 10 รวม 1 √ × × √ √ √ √ √ √ √ 8 2 × × √ √ √ √ √ √ √ √ 8 3 × × × √ √ × × √ √ √ 5 4 √ × × √ × √ √ √ × √ 6 5 × √ × √ √ √ √ √ √ √ 8 ลงชื่อ......................................................ครูผู้สอน (นางสาวทอฝัน แววกระโทก)
ประวัติย่อของผู้วิจัย ชื่อ-สกุล นางสาวทอฝัน แววกระโทก วันเดือนปีเกิด 21 สิงหาคม 2539 สถานที่เกิด อำเภอ สีคิ้ว จังหวัด นครราชสีมา ที่อยู่ปัจจุบัน เลขที่ 51/1 หมู่ที่ 11 ตำบล กุดน้อย อำเภอ สีคิ้ว จังหวัด นครราชสีมา รหัสไปรษณีย์ 30140 การศึกษา 1. ระดับมัธยมศึกษา สถาบันการศึกษา โรงเรียนสีคิ้ว“สวัสดิ์ผดุงวิทยา” อำเภอ สีคิ้ว จังหวัด นครราชสีมา ปีพ.ศ. 2558 2. ระดับปริญญาตรีวุฒิการศึกษา วิทยาศาสตร์บัณฑิต อักษรย่อ วท.บ. วิชาเอก คณิตศาสตร์ประยุกต์ (เฉพาะทางการจัดการและคอมพิวเตอร์) สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีพ.ศ. 2561