The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Vongchavalitkul, 2020-11-02 03:54:29

หนังสือกฐินวัดโนนกุ่ม

51


ท้งน้ปวงชนชาวไทยจะต้องมีเง่อนไขประกอบด้วยเง่อนไขด้านความร้และคุณธรรม





หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก่อกาเนิดเกิดข้นจากพระบรมราโชวาทท่ได ้


พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๑๗


(สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่อประสานงานโครงการอันเน่องมาจากพระ

ราชดำาริ. ๒๕๔๘,พฤศจิกายน : ๑) ซึ่งขออัญเชิญ ณ ที่นี้ความว่า
“การพัฒนาประเทศจำาเป็นต้องทำาตามลำาดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ
ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธี
การและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐาน
ความมั่นคง พร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างความเจริญ

และฐานะเศรษฐกิจขึ้นสูงโดยลำาดับต่อไป” และได้มีพระราชดำารัสแก่
พสกนิกรผู้เข้าเฝ้าเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ณ

ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗ ปี
เดียวกันนั้นความว่า
“คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่า

เมืองไทยไม่มีสิ่งที่ สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมี พอกินและขอให้ทุกคนมีความ
ปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่ พอกิน มีความสงบและทำางาน

ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธานในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่
พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่ พอกิน มีความ
สงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้

เราก็จะยอดยิ่งยวดได้”
พระราชดำารัสเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นหลักที่เน้น

ทางสายกลางซึ่งประกอบด้วยแนวคิดสำาคัญที่เรียกว่า ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไขได้แก่ความ
พอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีและมีเงื่อนไขได้แก่เงื่อนไข
ความรู้คือมีความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณธรรมคือซื่อสัตย์
สุจริต มีสติปัญญา มีความขยัน มีความอดทน แบ่งปัน ซึ่งจะนำาไปสู่ความมั่นคง

ทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม มีความสมดุล รวมทั้งพร้อมรับต่อการ
เปลี่ยนแปลงของสังคมทุกวิถีทาง




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

52

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นทางสายกลาง มีส่วนสัมพันธ์กับหลัก

หลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธที่เน้นหลักทางสายกลาง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ฟุ้งเฟ้อ
สุดโต่งจนเกินไป หรือตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมใช้จ่ายจนกระทั่งทำาให้ตนเองเดือด
ร้อน หลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธจึงเน้นความพอเพียง พอประมาณ มีเหตุผล สร้าง

ภูมิคุ้มกันในตัว จึงจำาเป็นต้องมีหลักความรู้และหลักคุณธรรมจริยธรรมเป็นเงื่อนไข
สำาคัญสำาหรับกำากับสติอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเน้น

ที่ความพอประมาณ เน้นหลักเหตุผล เป็นต้น จึงเป็นหลักปรัชญาซึ่งมีพื้นฐานมา
จากพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ พัฒนากลายมาเป็นหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นหลักปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทรงคิดค้นขึ้น และพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จะต้องน้อมนำา
ไปสู่การปฏิบัติและถ่ายทอดสู่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเน้นการปลูกฝังให้

เยาวชนเป็นคนดี คนเก่งและอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงท่มีพ้นฐานมาจากหลักเศรษฐศาสตร์เชิง
พุทธนี้ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต),๒๕๓๗ : ๖๘-๗๒) ได้อธิบายหลัก

เศรษฐศาสตร์ในมิติพุทธธรรมหรือเชิงพุทธโดยถือว่าเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส่วนหน่ง
หรือเป็นกิจกรรมเพียงส่วนหนึ่ง อันมีมุมมองว่าชีวิตเป็นองค์รวมของปัจจัยและ
กิจกรรมหลายด้าน เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงมีความมุ่งหมายรวมของชีวิตและสังคม
เพราะหลักพุทธธรรมมองชีวิตว่ามีความสัมพันธ์กับจุดม่งหมายอันเป็นการก้าวไป

สู่ความหลุดพ้น การดำาเนินชีวิตอย่างถูกต้อง จึงเป็นการฝึกฝนศักยภาพ เพิ่มพูน

คุณภาพชีวิตซึ่งอาจเรียกว่าภาวะผู้นำาขั้นสูงสุด ดังนั้นจึงต้องมีการปฏิบัติหรือ
การทำางาน และการทำางานถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะได้ทำาตามหน้าที ่
อันเป็นการนาเอากิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้ามารวมอย่ในแผนหรือรวมอย่ใน





กิจกรรมทุกอย่างของการดาเนินชีวิตหรือการมีพฤติกรรมท่ถูกต้องในทาง
เศรษฐกิจเรียกว่าสัมมาอาชีวะ (Right Livelihood) หมายถึงการเลี้ยงชีวิตชอบ
หรือการเป็นอยู่ชอบ การเป็นอยู่ชอบหรือการปฏิบัติการทางเศรษฐกิจโดยถูกต้อง
จึงเป็นองค์หนึ่งหรือส่วนประกอบอย่างหนึ่งในวิถีชีวิต หรือระบบการดำาเนินชีวิต
ที่เรียกว่ามรรคมีองค์แปดประการ ดังนั้นพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จึงได้
สอนให้มองหลัก




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

53


เศรษฐกิจว่าเป็นจุดบรรจบในด้านการปฏิบัติท่ถูกต้องในทางเศรษฐกิจเป็นสัมมา
อาชีวะ โดยถือว่าเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของระบบการดำาเนินชีวิตหรือ
วิถีชีวิตแบบพุทธที่เรียกว่ามรรคมีองค์แปดและเสนอทัศนะว่ามรรคมีองค์แปด
เป็นทางที่นำาไปสู่จุดหมายรวมของพุทธศาสนาทั้งหมด นอกจากนั้นยังได้เสนอให้

เห็นลักษณะสำาคัญของเศรษฐกิจตามแนวพุทธศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับ
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงโดยสรุปว่า

๑. เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สายกลาง คือเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์
แบบพอเพียงหรือมัชฌิมาปฏิปทาซึ่งก็คือมรรคมีองค์แปดที่มุ่งเน้นความพอดี



ม่งท่ความสมดุลท่หมายถึงการบริโภคเพ่อให้เกิดความพอดีหรือมัชฌิมาปฏิปทา

หรือการบริโภคแล้วทำาให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี
๒. เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แนวพุทธศาสตร์ มีแนวคิดสำาคัญคือการ
ถือว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่จบสิ้นในตัว แต่เป็นกิจกรรมที่เป็น
ฐานของการที่จะได้พัฒนาศักยภาพอันยิ่งขึ้นไป และถือว่าผลได้ทางเศรษฐกิจไม่
จบสิ้นที่การได้เสพ ได้บำาบัดความต้องการ แต่ผลทางเศรษฐกิจจะกลายเป็น

ความพร้อม เป็นฐานพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือเป็นกิจกรรมในการพัฒนาศักยภาพ
ของมนุษย์อีกส่วนหนึ่งด้วย


จากแนวความคิดเก่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะพบว่าการ
ดำาเนินชีวิต ก็จำาเป็นต้องอาศัยหลักเศรษฐศาสตร์ซึ่งเรียกว่าเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
มุ่งให้ใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นแนวทางที่จะนำาไปสู่ความดับทุกข์ ดับปัญหา
คือการมีกิน มีใช้ หรือพออยู่ พอกิน จะต้องอาศัยหลักทางสายกลางที่เน้นไป
ในทางที่ดี เน้นไปในทางที่ประเสริฐที่เรียกว่าสัมมาอาชีวะ อันเป็นการดำาเนินชีวิตที่
เน้นการพึงพาตนเองก่อน เน้นการได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองด้วยการทำามาหาเลี้ยง
ชีพที่ชอบด้วยหลักกฎหมาย โดยมีหลักเหตุผลว่าอะไรเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผลดี เช่น

ทำาไร่ ไถนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น ย่อมจะได้รับผลดี หรืออะไรที่เป็นเหตุ
ก่อให้เกิดผลที่ไม่ดี เช่น ขาดความความรู้อย่างพอเพียงในการทำามาหากิน
หรือบเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น ย่อมได้รับผลที่ไม่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขาดความรู้





อันเป็นเง่อนไขท่สาคัญและขาดภาวะผ้นาทางจริยธรรมอันเป็นเง่อนไขท่สาคัญไม ่



ยิ่งหย่อน
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

54

ไปกว่าเงื่อนไขความรู้ ฉะนั้น คนในสังคมจึงต้องขวนขวายแสวงหาความรู้

ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมทางปัญญา เป็นกิจกรรมของปรัชญาหรือเป็นกิจกรรมทาง
วิทยาศาสตร์ที่สามารถหาคำาตอบได้ โดยมีคุณธรรมจริยธรรมกำากับจิตใจตลอด
เวลา สำาหรับในประเด็นนี้วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร (๒๕๕๐ : ๑๓-๑๔) ซึ่งเป็น

ราชบัณฑิตสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้ให้การยอมรับว่าพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์หรือ
เศรษฐกิจ ก็มาจากความรู้ในเรื่องปรัชญาที่แปลว่าความรักในความรู้ (Love of

Wisdom) โดยยกย่องว่าอดัม สมิท (Adam Smith) ซึ่งสำาเร็จการศึกษาระดับ
ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกด้านปรัชญา เป็นผู้วางรากฐานทาง
เศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ สกอตแลนด์ ก็เริ่มการแสวงหา

ความรู้ โดยมีความสงสัยในธรรมชาติและที่มาของความมั่งคั่งของชาติต่าง ๆ
ว่าทำาไมจึงมีความมั่งคั่ง มีความอุดมสมบูรณ์ สมิทจึง ได้ใช้ความรู้ความเข้าใจ

ในปรัชญาที่ตนเองได้ศึกษาเล่าเรียนมา นำามาครุ่นคิด คำานึง จนกระทั่งบรรลุโดย
การค้นพบความคิด ซึ่งพ้นจากความสงสัย สมิทจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดา
ของเศรษฐศาสตร์ (Father of Economics) นอกจากนั้น วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร



ยังได้กล่าวถึงประเด็นสาคัญของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซ่งพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เพื่อเป็นหลักในการดำาเนินชีวิต
ตลอดจนใช้ประกอบสัมมาชีพ โดยได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เป็นปรัชญา

ที่สอดคล้องกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา ที่ให้ยึดหลักความพอประมาณและ
ความไม่ประมาท รวมทั้งได้นำามากำาหนดเป็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมของประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกันและกัน เริ่มตั้งแต่การกำาหนด

ปรัชญา ทฤษฎี นโยบาย เป็นต้น นอกจากนั้น วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ยังได้กล่าว
ถึงหลักธรรมทางศาสนาที่เน้นทางสายกลางว่า มีความแตกต่างกับความเป็นกลาง

ซึ่งมีรายละเอียดว่าความเป็นกลางตรงกับภาษาอังกฤษว่า Neutrality ซึ่งหมายถึง
การยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กำาลังมีความขัดแย้งกัน
โดยไม่ใยดีว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้ อีกทั้งไม่ให้ความอนุเคราะห์แก่ฝ่ายใดทั้งสิ้น

ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่วนทางสาย
กลาง (Middle Paths) เป็นแนวทางที่ดี เป็นแนวทางที่ประเสริฐ




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

55

ในขณะเดียวกันจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาและปรียานุช พิบูลสราวุธ

(๒๕๕๓ : ๑๑) ก็ได้อธิบายเสริมว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือหลักพอเพียง
เป็นหลักการดำาเนินชีวิตตามแนวทางสายกลาง ที่ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง
เป็นวิธีการที่มุ่งเน้นการรักษาความสมดุลในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ บนพื้นฐาน

ของความเป็นจริงที่พอเพียง ความถูกต้องอย่างเป็นเหตุเป็นผล และไม่ประมาท
ไม่เสี่ยง เป็นหลักการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย ซึ่งมีพื้นฐาน

ตั้งอยู่บนคำาสั่งสอนของพระพุทธศาสนา อันเป็นคำาสอนที่เป็นสากล ทันสมัยตลอด
เวลา เป็นคำาสอนให้มนุษย์สามารถนำาไปปฏิบัติ เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
และสามารถนำาไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ทุกสถานการณ์แม้ในปัจจุบัน

ที่มุ่งให้สังคม มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน



ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับพระบรมราโชวาทเพื่อการดำาเนินชีวิตที่ประเสริฐ

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงท่เน้นทางสายกลางหรือมรรคมีองค์แปด
แห่งอริสัจ ๔ ได้แก่ทุกข์คือ ปัญหา อุปสรรค หรือสภาพที่ทนได้ยาก สภาพที่

บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่องซึ่งมีมากมายหลายประการ สมุทัยคือสาเหตุแห่งความ
ทุกข์ นิโรธ ได้แก่ความดับทุกข์ มรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทาซึ่งเป็นทางสายกลางที่

นำาไปสู่ความดับทุกข์ ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบหรือความเข้าใจ
ทฤษฎีต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ สัมมาสังกัปปะ คือความดำาริชอบหรือสามารถสร้างกรอบ
มโนทัศน์ได้ สัมมาวาจาคือการเจรจาชอบหรือการสื่อสารที่ดี ที่ถูกต้อง สัมมากัม

มันตะ คือการกระทำาชอบหรือการกระจายงานอย่างเหมาะสม สัมมาอาชีวะ คือ
การหาเลี้ยงชีพโดยชอบหรือการประพฤติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ สัมมาวายามะ

คือการพยายามชอบหรือการสร้างแรงจูงใจให้ทำางานอย่างมีความสุข สัมมาสติคือ
ความระลึกชอบหรือเป็นการจัดการความรู้ จัดการเรียนรู้อย่างมีสติ และ
สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตมั่น แน่วแน่โดยชอบ ทางสายกลางนี้เป็นหลักการสำาคัญ






ท่ผ้นาหรือผ้ท่มีภาวะผ้นาควรนามาปรับประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการตนเอง



ครอบครัว สังคมและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

56

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงเลื่อมใสใน





พระพทธศาสนาจงไดทรงผนวชตามพระราชประเพณของชาวพทธโดยทรงผนวช

เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ รวมเป็นเวลา ๑๕ วัน
มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ทรงเป็นพระ
ราชอุปัชฌาจารย์ ทรงได้รับพระฉายาว่าภูมิพโล พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตร
หรือทรงปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิก

ดังนั้นหลักธรรมสำาคัญที่ทรงศึกษาและปฏิบัติตามเหมือนกับพุทธบริษัททั่วไป
โดยเฉพาะหลักธรรมที่เน้นทางสายกลาง ซึ่งมีสาระสำาคัญเกี่ยวข้องกับอริยสัจ ๔
หรือความจริงอันประเสริฐซึ่งหากนำาหลักอริยสัจ ๔ มาขยายความและนำามา

ประยุกต์ใช้ในการดำาเนินชีวิต ย่อมพบความจริงอันประเสริฐว่า
๑. ทุกข์ หมายถึง ปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ยาก สภาพที่ทนได้ยาก

สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้ ไม่ให้ความ
พึงพอใจอย่างแท้จริงหรือสภาพปัญหาที่เกิดจากการกระทำาทางกาย วาจา ใจ
ย่อมมีประจำาอยู่กับทุกคน

๒. สมุทัย หมายถึง สาเหตุแห่งทุกข์ คือการกระทำาทางกาย วาจา ใจ
ที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือก่อให้เกิดปัญหาซึ่งอาจเกิดจากกามตัณหา คือความ

ปรารถนาในกาม ภวตัณหา คือความปรารถนาอยากเป็นสิ่งต่าง ๆ และวิภวตัณหา
คือความไม่อยากเป็นไปในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งย่อมมีมาจากสาเหตุหลายประการที่มนุษย์
เป็นผู้ก่อขึ้น เป็นผู้สร้างปัญหาขึ้น

๓. นิโรธ หมายถึง ความดับทุกข์ หรือภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไปหรือภาวะที่
เข้าถึงความเป็นจริงสูงสุดคือการกำาจัดอวิชชาคือความไม่รู้ได้หมดสิ้นแล้ว

อันเป็นการค้นพบสาเหตุแห่งความทุกข์หรือพบสาเหตุของสภาพปัญหาสามารถ
ดำาเนินการดับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ
๔. มรรค หมายถึง ปฏิปทาที่นำาไปสู่ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติที่ให้เข้าถึง

ความดับทุกข์ วิธีการดับความทุกข์มีหลากหลายวิธีการ แต่ในทางพระพุทธศาสนา
เลือกที่จะใช้วิธีการอันประเสริฐ หรือ แนวทางอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่แปดประการ





มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

57

อันถือว่าเป็นทางสายกลาง ซึ่งจะขอนำาเสนอด้วยการอัญเชิญพระบรมราโชวาท

หรือพระราชดำารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวเนื่องกับหลักมรรค
มีองค์แปดอันเป็นทางสายกลาง ที่ได้พระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ มาเสนอเพื่อ


ททกคน ได้น้อมนำามาเป็นแนวทางในการดำาเนินชีวิตอันประเสริฐ มรรคมีองค์

แปดอันเป็นทางสายกลาง มีคำาอธิบายความหมายที่เป็นต้นฉบับ (พระธรรมปิฎก
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต), ๒๕๔๓ :๒๕๑-๒๕๒) และขอนำามาขยายความเพื่อใช้เป็น

แนวทางในการดำาเนินชีวิต ดังนี้

สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบหรือความเข้าใจหลักทฤษฎีต่าง ๆ ไดแก ่
ความรู้แจ้งอริยสัจหรือเห็นไตรลักษณ์ หรือรู้กุศลมูลและอกุศลมูลหรือ

เห็นปฏิจสมุบาท หากนำามาอธิบายในลักษณะประยุกต์ใช้ในการดำาเนินชีวิต
อาจหมายถึงการทำาความเห็นที่ถูกต้องหรือเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ

ในทฤษฎีที่ถูกต้อง และนำามาสู่การปฏิบัติ เป็นขั้นตอนที่มุ่งให้ทุกคนแสวงหา
ความรู้ความเข้าใจในทฤษฎีต่าง ๆ และนำามาเป็นแนวทางการดำาเนินชีวิต
โดยตนเองต้องเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิเสียก่อน คือ จำาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็น

เรื่อง ๆ อย่างเป็นระบบและหลากหลายในลักษณะที่เป็นถังความคิด
(Think Tank) หรือทำากิจกรรมด้วยการอ่าน เขียน ฟัง พูด เป็นต้น โดยใช้หลัก

สัจการที่เป็นกฎระเบียบแห่งตน (Self Actualization) อย่างเคร่งครัด คือต้องมี
ความรักในการแสวงหาความรู้ โดยถือว่าความรู้จะช่วยให้ตนเองประสบ
ความเจริญงอกงามในการดำาเนินชีวิตและหน้าที่การงาน มีความเพียรพยายาม

อยากรู้ อยากเห็นในสรรพวิชาหรือประสบการณ์ทั้งหลายไม่ว่ายากหรือง่าย
มีความตั้งใจแน่วแน่เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่พุทธิปัญญา รวมทั้งมีความคิดในการ
วิพากษ์วิจารณ์หรือมีวิจารณญาณในการคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ แยกแยะว่าอะไร

ดี อะไรไม่ดี ทั้งนี้โดยสามารถนำาเอาถังความคิดมาต่อกันเป็นภาพต่อได้ (Jigsaw)
และนำาไปประยุกต์ใช้กับถังความคิดอื่น ๆ ในลักษณะมิติสัมพันธ์ระหว่างกันได้
หรือสามารถสร้างเป็นทฤษฎีที่ชอบธรรมเป็นของตนเองได้ ซึ่งเรียกทางสายกลางนี้

ว่าสัมมาทิฏฐิ (Right Understanding) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้
อัญเชิญมาเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้


มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

58

๑.“การพัฒนาประเทศ เพื่อให้เกิดความเจริญ ความมั่นคงแก่คนส่วนรวม

ทั้งชาติได้แท้จริงนั้น จะต้องอาศัยหลักวิชาอันถูกต้องและต้องกระทำาพร้อมกันไป
ทุก ๆ ด้านด้วย เพราะความเป็นไปทุกอย่างในบ้านเมือง มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยง
กันหมด” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัย

เกษตรศาสตร์ วันที่ ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๑๕)
๒.“งานใหญ่ ๆ ระดับชาตินั้น ไม่ว่าเป็นด้านใด สาขาใด ย่อมจะเกี่ยวโยง

ถึงกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเกี่ยวพันถึงเศรษฐกิจด้วยทุกสาขา ผู้ทำางาน



อยางน นอกจากจะต้องมีหลักวิชา เทคนิคและความชำานิขำานาญในการลงมือ
ปฏิบัติเป็นพื้นฐานแล้ว ยังต้องมีความรอบรู้ในวิชาการทั่วไป ต้องมีความสามารถ
ในทางมนุษยสัมพันธ์และต้องมีความเฉลียวฉลาดในหลักการและระบบวิธีปฏิบัต ิ
งาน เป็นส่วนประกอบอุดหนุนด้วย จึงจะสามารถนำาหลักวิชา ความรอบรู้และ

ความสามารถในด้านต่าง ๆ มาประกอบกัน และใช้ให้สอดคล้องพอเหมาะ พอดี
กันให้เป็นผลดีได้” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙

สัมมาสังกัปปะ คือความดำาริชอบซึ่งเน้นในเรื่องเนกขัมมสังกัปปะ

ซึ่งเป็นการดำาริที่จะออกจากกามารมณ์ อพยาบาทสังกัปปะ เน้นการดำาริที่จะไม่
พยาบาทอาฆาตร้ายต่อผู้อื่น และอวิหิงสาสังกัปปะ เน้นการดำาริที่จะไม่เบียดเบียน
ผู้อื่น ในที่นี้อาจเป็นความคิดอันแยบคาย เป็นความคิดที่ดี ทำาดี เป็นการดำาริเพื่อ

สร้างแผนผังความคิดจากทฤษฎีหรือสร้างผังมโนทัศน์ ในขั้นตอนนี้ สามารถบูรณา

การจากการอ่าน การเขียน การฟัง การพูด เป็นแบบนิรนัย (Deduction) คือการ
สร้างผังความคิดจากภาพกว้างไปหาภาพที่แคบ และอุปนัย (Induction) คือการ
สร้างผังความคิดจากภาพแคบไปหาภาพกว้าง การจัดทำาโครงสร้างแนวความคิด

(Conceptual Framework) หรือจัดทำาแผนผังความคิด (Mind Mapping) ออก


มาถือเป็นการฝึกปฏิบัติให้มีความคิดรวบยอดท่ถูกต้องชอบธรรมหรือคิดแบบม ี
สัมมาสังกัปปะอันจะนำาไปสู่การคิดแบบมีวิจารณญาณหรือคิดวิเคราะห์
คิดสังเคราะห์ในมิติที่เชื่อมโยงกว้างออกไป ซึ่งเรียกทางสายกลางนี้ว่าสัมมาสังกัปปะ





มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

59

(Right Concept) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทาง

สู่การปฏิบัติดังนี้
๑.“อันการคิดโดยอิสระนั้น ทุกวันนี้ คนบางส่วนมักเข้าใจว่าคือการคิดให้
ผิดแปลกแตกต่างจากคนอื่น ๆ ความเข้าใจเช่นนั้นยังไม่ถูกแท้ จุดประสงค์สำาคัญ

โดยตรงของการคิด คือคิดให้ออก คิดให้เห็นชัดแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร สมมติว่า
จะคิดหาทางปฏิบัติสำาหรับการหนึ่งการใด ก็ต้องคิดให้แยบคาย อย่างละเอียด

รอบคอบ ประกอบด้วยเหตุผล จนเห็นแจ้งถึงจุดหมายอันถูกต้องเที่ยงตรงของการ
ที่จะทำานั้น รวมทั้งวิถีทางปฏิบัติครบถ้วนทุกขั้นตอนด้วย” (พระบรมราโชวาท ใน
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๑ กรกฏาคม

๒๕๑๗)
๒. “ถ้าเราคิดดี ทำาดี ไม่ใช่แต่ปากนะ ทำาอย่างดีจริง ๆ คือสร้างสมสิ่งที่ดี

ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่เรียกว่าดี หมายความว่า ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สร้างสรรค์ทำาให้
มีความเจริญ ทั้งวัตถุ ทั้งจิตใจ แล้วไม่ต้องกลัว”
สัมมาวาจา คือการเจรจาชอบ เน้นวจีสุจริต ๔ ได้แก่เว้นจากการพูดเท็จ

เว้นการพูดส่อเสียด เว้นการพูดคำาหยาบ และเว้นการพูดเพ้อเจ้อ ในการประยุกต์
เพื่อใช้เป็นทางสายกลาง เป็นการสื่อสารทฤษฎีที่ถูกต้อง จำาเป็นต้องใช้ภาษาเพื่อ

การสื่อสาร สำาหรับการดำาเนินชีวิตตามขั้นตอนนี้ ย่อมต้องมีการถ่ายทอดความคิด

ออกมาโดยการส่อสารภาษาอันแป็นสัมมาวาจาหรือการส่อสารในลักษณะหลาก

หลายรูปแบบ เป็นการสื่อสารทฤษฎีให้ผู้อื่นได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างลุ่มลึกโดย
ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำาหยาบ เป็นต้น หรือเป็นความสามารถในการ
อภิปราย สรุปประเด็น สามารถสื่อสาร สามารถแสดงออกซึ่งความรู้ความเข้าใจใน

ทฤษฎีได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งทั้งรูปแบบนิรนัยและอุปนัย รวมทั้งสามารถนำาเสนอ
ประเด็นแนวความคิดที่เป็นข้อเสนอ (Thesis) หาเหตุผลโต้แย้งแนวความคิด (An-
tithesis) และสามารถสังเคราะห์แนวความคิด (Synthesis) ซึ่งปัจจุบันมักเรียก

ว่าการบูรณาการ (Integration) ทางความคิดได้ ซึ่งเรียกทางสายกลางนี้ว่าสัมมา
วาจา (Right Speech) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็น
แนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

60

๑. “ภาษา เป็นสมบัติของชาติที่ควรรักษาและส่งเสริม ภาษา นั้นเป็น

อุปกรณ์สำาคัญสำาหรับหาความรู้ ซึ่งหมายถึงความก้าวหน้าของคน อุปกรณ์สำาคัญ
อีกอย่างหนึ่งก็คือประเพณี ประเพณีนั้นหมายถึงแบบแผน หรือขนบธรรมเนียม
ที่ปฏิบัติต่อกันมา การสิ่งใดที่ริเริ่มแล้ว ได้รับความนิยมถือปฏิบัติตามกันต่อไป

จัดว่าเป็นประเพณี คนเราจะดำาเนินชีวิต ก็ต้องมีแบบแผนเป็นหลัก เราจึงต้องมี
ประเพณีเป็นแนวปฏิบัติ” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๐๓)
๒.“เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองมาแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะ
รักษาไว้ ปัญหาในด้านการรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่ง ต้องรักษาให้

บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่ง ต้องรักษาให้
บริสุทธิ์ในวิธีการใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำามาประกอบเป็นประโยค นับเป็นปัญหา


สำาคัญ ปัญหาที่สาม คือความร่ำารวยของคำาในภาษาไทย ซึ่งพวกเราคิดว่าไม่รารวย
พอ จึงมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้” (พระราชดำารัสเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ
ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕)

สัมมากัมมันตะ คือการกระทำาชอบหรือความตั้งใจในการทำาดี เน้นที่กาย
ยสุจริต ๓ ประการได้แก่การงดเว้นปาณาติบาท อทินนาทานและกาเมสุมิจฉาจาร

หมายรวมถึงการแจกแจงงานหรือการสร้างทีมงานที่ไม่ล่วงละเมิดกายกรรม
๓ ประการ เป็นขั้นตอนที่สามารถนำาความรู้ที่ได้ศึกษาจากเนื้อหาวิชาทั้งหลาย
นำาไปสู่การปฏิบัติในการทำางานเป็นทีมโดยการมีสัมมากัมมันตะ ที่อาจแบ่งเป็น

กลุ่มงาน การสร้างทีมงาน การแจกแจงงานตามทฤษฎีที่ได้ศึกษามาอย่างพอเพียง
มีเหตุผล มีภูมิความคุ้มกันที่ดีในตนเองอันจะเป็นการนำาความรู้ไปประยุกต์ใช้

(Application) หรือมีการแสดงนัยที่จะนำาความรู้ไปสู่การปฏิบัติใช้ (Implication)
ด้วยคุณลักษณะอันเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งเรียกทางสายกลางนี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ
(Right Action) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทางสู่

การปฏิบัติดังนี้








มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

61

๑.“ความจริงงานทุกอย่าง ถ้าทำาด้วยน้ำาใจรัก ย่อมมีทางสำาเร็จได้ผลดี

เพื่อพบอุปสรรคใด ๆ อย่าเพิ่งท้อแท้จะหมดกำาลังใจง่าย ๆ จงตั้งใจทำาให้ดี คิดหา
ทางที่จะแก้ไขผ่อนคลายอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยเหตุผลและหลักวิชาไตร่ตรองด้วย
ความสุขุมรอบคอบและเยือกเย็น งานจะลุล่วงไปด้วยดี การทำางานด้วยน้ำาใจรัก

ต้องหวังผลงานเป็นสำาคัญ” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๐๖)

๒.“อันการทำางานนั้น กล่าวโดยสรุป ขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่าง
เป็นสำาคัญคือ ความสามารถในการใช้วิชาการอย่างหนึ่ง กับ ความสามารถในการ
สัมพันธ์ติดต่อประสานงานกับผู้อื่น ไม่ว่าจะในวงงานเดียวกันหรือต่างวงงานกัน

อีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ ย่อมดำาเนินควบคู่ไปด้วยกันและจำาเป็นที่จะต้อง
กระทำาด้วยจิตใจที่ใสสะอาด ปราศจากอคติ ต้องกระทำาด้วยความคิดเห็นที่อิสระ

เป็นกลาง ถูกต้องตามหลักเหตุผล จึงจะมีความกระจ่างแจ่มแจ้งเกิดขึ้น” (พระบรม
ราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญษบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทร
วิโรฒ สงขลา วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๗)

สัมมาอาชีวะ คือการหาเลี้ยงชีพโดยชอบ หาให้พอเพียง พอประมาณ
เหมาะสมกับฐานะหรือเน้นคุณค่าที่เป็นอุดมคติในวิชาชีพ อีกทั้งรักษาจรรยา

บรรณวิชาชีพ เน้นการกระทำาที่หลีกเลี่ยงมิจฉาชีพ แต่ให้ประกอบสัมมาชีพอัน
สุจริต คือมีการนำาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการประกอบสัมมาชีพ ซึ่งเป็นความรู้
ที่ได้ศึกษามาในระดับใดก็ตามอย่างมีระบบ สามารถนำาเอาส่วนที่คิดว่าจะเป็น

อรรถประโยชน์แก่ตนเองและสังคมมากที่สุด รวมทั้งถูกต้องตามหลักศีลธรรมมาก
ที่สุดไปใช้ในการประกอบอาชีพของตนเอง ถือว่าเป็นการนำาหลักสัมมาอาชีวะไป

ใช้เป็นหลักธรรมาภิบาลในการประกอบสัมมาอาชีวะ และถือเป็นการได้ประโยชน์
ที่เป็นความรู้ ควบคู่กับประโยชน์ที่เป็นคุณธรรมหรือจริยธรรมเนื่องนำาปัญญา จาก
การศึกษาเล่าเรียนแล้วนำาไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ อันเป็นหลักการ

ประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยเงื่อนไขคือความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรมจริยธรรมเป็น
ไปตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเรียกทางสายกลางนี้ว่าสัมมาอาชีวะ






มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

62

(Right Livelihood) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็น

แนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้
๑. “ในการดำารงตนในภายหน้านั้น ท่านจะต้องประพฤติให้ดี ให้เหมาะสม
แก่ฐานะ รู้จักผิดและชอบ ประกอบอาชีพโดยสัมมาอาชีวะ ไม่เสเพล และไม่ปล่อย

ตนให้เป็นทาสแห่งอบายมุขต่าง ๆ ดังนี้แล้ว ท่านก็จะสามารถเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง
และครอบครัวของท่าน และจะเป็นที่นับถือของบุคคลอื่น” (พระบรมราโชวาท

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ มิถุนายน
๒๔๙๖)
๒.“ขอให้ทุกคนจงรำาลึกถึงอุดมคติของวิชาชีพที่มุ่งหวัง จะบำาบัดทุกข์

บำารุงสุขแก่ประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด และรักษามรรยาทของการประกอบอาชีพ
โดยเคร่งครัด จงหมั่นฝึกฝนตนเองให้ทันสมัยในวิทยาการ ประกอบโรคศิลปะอยู่

เสมอ” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตร
ของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๙๘)
สัมมาวายามะ คือความพยายามชอบ เน้นความเพียรพยายามระวังปิด

กั้นอกุศลกรรมคือความไม่ดี เน้นการเพียรละหรือกำาจัดอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ให้หมดสิ้นไป เน้นความเพียร บากบั่น พยายามทำากุศลกรรมคือความดี ทำาตน

ให้เป็นแบบอย่าง และเน้นการเพียรรักษากุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง มั่งคั่ง
และยั่งยืน ในที่นี้อาจเป็นการเสริมแรงให้เกิดความพยายาม ในขั้นตอนนี้ ควรมี
ความตระหนักรู้ (Aware) สร้างพลังแห่งความพยายาม (Attempt) เพิ่มทวีความ

พยายามอย่างยิ่งยวด อันเป็นแรงขับภายในที่จะสามารถขับเคลื่อนพลังใจ พลัง
ความคิดออกมาทำาให้การดำาเนินชีวิตของตนเองประสบความสำาเร็จ (Achieve-
ment) ดังนั้นทุกคนย่อมต้องเพียรพยายามที่จะต่อยอดความรู้จากเนื้อหาที่ได้

ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นการนำาความรู้ไปพัฒนาเพื่อต่อยอดการประกอบอาชีพอย่าง
ต่อเนื่อง โดยอาศัยความเพียรพยายามอย่างแรงกล้า เหมือนพระมหาชนก ซึ่งมุ่ง
เป้าหมายคือความถึงฝั่ง อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความสำาเร็จ ซึ่งเรียกทาง

สายกลางนี้ว่าสัมมาวายามะ (Right Effort) และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้อง
ที่ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

63

๑. “ก่อนที่แต่ะคนจะออกไปประกอบการงาน ดำาเนินชีวิตต่อไป

ใคร่ขอให้คิดไตร่ตรองให้เข้าใจโดยชัดแจ้งว่า การศึกษาที่สำาเร็จได้นี้
ตัวท่านเองต้องพากเพียรบากบั่นอย่างหนักยิ่งมาโดยตลอด ทั้งได้อาศัยครูอาจารย์
สถานศึกษาและปัจจัยอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยเหลือที่ท่านได้รับจาก

ผู้อื่น คือประชาชนเป็นส่วนรวม เมื่อได้บากบั่นสร้างความสำาเร็จในการศึกษาด้วย
ตนเองมได้ชั้นหนึ่งแล้ว ขอให้มุ่งมั่นสร้างความสำาเร็จในชีวิตต่อไป อย่าให้เสียทีที่ได้

ทำาความพากเพียรพยายามมา ในส่วนที่ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้อื่นนั้น
ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะได้ตอบแทน” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญา
บัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๓)

๒.“ในฐานะที่จะเป็นครูอาจารย์หรือหัวหน้างานในวันข้างหน้า จำาเป็น
ต้องมีความสุจริตยุติธรรม ทำาตัวให้เป็นตัวอย่างและเป็นที่พึ่งของผู้อยู่ใต้บังคับ

บัญชา ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ความโลภ ความลืมตัว ความริษยาแตกร้างกัน ต้องมุ่งมั่น
ให้ประโยชน์อันยั่งยืนไพศาลของส่วนรวมเป็นเป้าหมาย จึงจะได้เชื่อว่า จะประสบ
ความสำาเร็จและชื่อเสียงเกียรติคุณทุก ๆ ประการดังที่ปรารถนา” (พระบรม

ราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๑๖)

สัมมาสติ คือความระลึกชอบ เน้นการระลึกชอบในการพิจารณากาย
กำาหนดพิจารณาเวทนาว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การกำาหนดจิต กำาหนดพิจารณา
ธรรมให้รู้ตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่มีจิตใจสูง มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สร้างความรู้

ใหม่จากการปฏิบัติงาน เป็นขั้นตอนที่มุ่งเน้นการประกอบสัมมาชีพ ซึ่งเป็นการนำา
ความรู้หรือความมีสติไปใช้กำากับตลอดเวลา โดยศึกษาจะต้องมีการศึกษา เรียน

รู้ ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ อันถือว่าเป็นตำาราที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีความตั้งใจที่จะนำา
ความรู้ไปใช้ในการประกอบสัมมาชีพ หรือแม้ไม่ได้ตั้งใจจะนำาความรู้ไปใช้โดยตรง




แต่บังเอิญอยู่ในสถานการณ์ที่จำาเป็นต้องใช้ความรู้ ยอมจะตองใชดวยลกษณะม ี

สัมมาสติ ขณะเดียวกันการประกอบอาชีพอันเป็นการทำางานโดยสุจริต ก็สามารถ
ได้รับความรู้ใหม่จากการทำางานนั้นได้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน ทั้งนี้
เพราะว่าในโลกสมัยใหม่ต้องใช้สติปัญญา ต้องใช้ความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง



มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

64

อันเป็นเงื่อนไขความรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการทำางาน

หรือในลักษณะการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management) จึงต้องมี
การบันทึกงาน มีการจัดทำาแฟ้มสะสมงานอย่าง รอบคอบ รวมทั้งป้องกันอุบัติภัย
จากการทำางานอย่างระมัดระวัง เป็นต้น เป็นการทำางานด้วยสติสัมปชัญญะ

โดยกำาหนดให้ตนเองศึกษาตนเอง (Self Study) อันจะนำามาซึ่งการสร้างความ
รู้ใหม่ การบริหารจัดการความรู้ใหม่ เพิ่มความรู้ใหม่และมีสติสัมปชัญญะในการ

ทำางานด้วยความไม่ประมาทตลอดเวลา สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ด้วย
ใจอย่างใคร่ครวญซึ่งประเวศ วะสี (๒๕๕๐,กรกฎาคม : ๘๙-๙๕) ได้เสนอไว้และ
เรียกว่าจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) ดังนั้นการสร้างความรู้

ใหม่จากการทำางาน ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม จำาเป็นต้องมีการเจริญสติในการ
ทำางานตลอดเวลา ซึ่งเรียกเส้นทางสายกลางนี้ว่าสัมมาสติ (Right Mindfulness)

และมีพระบรมราโชวาทอันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้

๑.“ในการปฏิบัติหน้าที่ให้สำาเร็จลุล่วงไปด้วยดีนั้น นอกจากต้องใช้ความรู้

ความสามารถแล้ว ยังต้องเป็นผู้มีจิตใจสูง มีศีลธรรม มีสติสัมปชัญญะ ประพฤติตน
แต่ในสิ่งที่ชอบที่ควร วางตนให้สมเกียรติ เป็นผู้ควรแก่การนับถือ”

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๑๔ กรกฏาคม ๒๔๙๘)


๒.“วิชาความรู้นั้น ถ้าใช้ในทางดีด้วยความรู้เท่ากัน ก็จะช่วยป้องกัน
ประเทศชาติให้พ้นภยันตรายจาก ศรัตรู และสามารถช่วยการพัฒนาบ้านเมือง

ให้ทันกับความเจริญของโลกในปัจจุบันได้ แต่ถ้าใช้ด้วยความหลงแล้ว ก็จะเป็น
อันตรายแก่ตัวเอง และแก่ชาติบ้านเมืองอย่างร้ายกาจที่สุด จึงขอให้บัณฑิตทุกคน
สังวรระวังไว้ในการที่จะออกไปประกอบการงานต่อไปในกาลข้างหน้า”

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๐๗)






มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

65

สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตมั่น ตั้งใจดี ตั้งใจชอบ มีความมุ่งมั่น เน้นที่ฌาน

คือมีจิตตั้งมั่นที่จะขจัดความวิตกกังวล เป็นต้น ให้หมดสิ้นไป ถือว่าเป็นการมุ่ง
มั่นหรือมีมโนมั่น (Mindset) ในการพัฒนาตนเอง สังคมเป็นขั้นตอนที่ทุกคนต้อง


สารวจศักยภาพของตนเองหรือมีความม่งม่นประเมินตนเองโดยต้องตรวจสอบ

ประเมินตนเอง (Self Assessment) ด้วยจิตใจเป็นธรรม เป็นสมาธิว่าตนเองมี
จุดแข็ง มีจุดอ่อน มีโอกาสและอุปสรรค ตรงไหน ประการใดแล้ว มุ่งมั่นแก้ไขจุด

อ่อนหรือเสริมจุดแข็งในเรื่องนั้น ๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันเป็นการดำาเนินชีวิตอย่างมี
สัมมาสมาธิ ทั้งนี้อาจกระทำาได้โดยง่ายโดยการย้อนกลับไปหาทฤษฎีที่ได้ศึกษาเล่า
เรียนมา มีความเห็นชอบ มีสัมมาทิฏฐิหรือมีสัมมาทฤษฎีที่ได้ศึกษามาอย่างถูกต้อง

แม่นยำาตั้งแต่ต้น โดยมีการนำามาประยุกต์ใช้อย่างมุ่งมั่นตลอดเวลา ซึ่งเรียกเส้นทาง
สายกลางนี้ว่าสัมมาสมาธิ (Right Concentration) เป็นและมีพระบรมราโชวาท

อันเกี่ยวข้องที่ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติดังนี้
๑.“เมื่อท่านตั้งใจดี มีแผนงานดี มีหลักวิชา มีเหตุผล มีสติรอบคอบใน
งานที่ทำาแล้ว จะเกิดความทราบตระหนักด้วยตนเองขึ้นว่า งานที่ทำานั้น จะได้ผล

ดีแน่นอน แม้อาจยังไม่ปรากฏผลในปัจจุบันทันตาเห็น ก็จะแน่แก่ใจได้ว่าจะสำาเร็จ
ลุล่วงด้วยดีในเวลาต่อไป” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ ๑๙ กรกฏาคม ๒๕๑๖)
๒.“ประเทศไทยนี่ ทำาไมยังอยู่ได้ ก็เพราะพวกเราทุกคนสร้างความดี คือ
ปฏิบัติในสิ่งสุจริต โดยบริสุทธิ์ใจ และตั้งใจดี อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจ

ผิดพลาด ตั้งใจทำาดี” (พระราชดำารัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่
๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)


















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

66

สรุป

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักปรัชญาของพระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่ได้
พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ

เป็นปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับหลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธที่เน้นทางสายกลาง
แบบพอเพียงหรือมัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคมีองค์แปดที่มุ่งเน้นความพอดี

เน้นการขจัดปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ยาก สภาพที่ทนได้ยากของประชาชนทุก
หมู่เหล่า ด้วยการนำาหลักทางสายกลาง หรือปฏิปทาที่นำาไปสู่ความดับทุกข์
ซึ่งข้อปฏิบัติที่ให้เข้าถึงความดับทุกข์ ด้วยการมีสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบหรือ

ความเข้าใจหลักทฤษฎีต่าง ๆ การมีสัมมาสังกัปปะ คือความดำาริชอบ การจัดทำา
โครงสร้างแนวความคิด การมีสัมมาวาจา คือการเจรจาชอบ หรือใช้ภาษาเพื่อการ

สื่อสารไปในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม การมีสัมมากัมมันตะ คือการกระทำาชอบ
หรือความตั้งใจในการทำาดีหรือทำางานเป็นทีมที่มุ่งมั่นสู่ความสำาเร็จ การมีสัมมา
อาชีวะ คือการหาเลี้ยงชีพโดยชอบ หาให้พอเพียง พอประมาณ เหมาะสมกับฐานะ

และเน้นคุณค่าที่เป็นอุดมคติในวิชาชีพ การมีสัมมาวายามะ คือความพยายาม
ชอบ โดยอาศัยความเพียรพยายามอย่างแรงกล้า เหมือนพระมหาชนก ซึ่งมุ่งเป้า

หมายคือความถึงฝั่ง อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความสำาเร็จ การมีสัมมาสติ คือ
ความระลึกชอบ เน้นการระลึกชอบในลักษณะการบริหารจัดการความรู้ หรือการ
ใช้ความรู้เป็นฐาน และการมีสัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตมั่น ตั้งใจดี ตั้งใจชอบ มีมโน

มั่นที่จะพัฒนาตนเอง และสังคมให้เป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างมี
ความสุขอันเป็นการดำาเนินชีวิตที่ประเสริฐอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน นานตราบ

เท่านาน















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

67

รายการอ้างอิง

จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และปรียานุช พิบูลสราวุธ. (๒๕๕๓). ตามรอยพ่อชีวิต
พอเพียง … สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพ ฯ : โครงการวิจัยเศรษฐกิจ
พอเพียง สำานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) (๒๕๓๗). พุทธเศรษฐศาสตร์. กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

_________. (๒๕๔๓). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. (๒๕๕๐). อาหารสำาหรับความคิด (Food For Thought).

กรุงเทพ ฯ : สำานักพิมพ์แสงดาว


สำานักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระ ราชดาร.
(๒๕๔๘). เอกสารเผยแพร่ศูนย์การพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำาริ
แนวเศรษฐกิจพอเพียง. กรุงเทพ ฯ : สำานักงานคณะกรรมการพิเศษ
เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำาริ (สำานักงาน กปร.)



































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

68










แนวคิดการใช้ชั้นนาใด้ดินประดิษฐ์ร่วมกับ

แนวพระราชดำาริเรื่อง “การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่”
รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชิต อุชายภิชาติ


การชลประทานในประเทศไทย

เกษตรกรในประเทศไทยดำาเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีนาเป็นสิ่งสำาคัญต่อ



การดำาเนินชีวิต ประเทศไทยได้มีการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อให้สามารถมีนา
ไว้ใช้ประโยชน์อย่างพอเพียง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา “กรมคลอง” เมื่อพุทธศักราช
๒๔๔๕ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้จัดตั้ง “กรมทดนำา” ขึ้นแทนกรมคลอง และมีโครงการสร้างเขื่อนพระราม ๖
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาขึ้นในรัชสมัยนี้ จนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อกรมทดนา

ไปเป็น “กรมชลประทาน” และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงพระราชทานแนวพระ
ราชดำาริให้กรมชลประทานดำาเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำาทั่วประเทศมาแล้ว มากกว่า

๒,๐๐๐ โครงการ



แนวพระราชดำาริเรื่อง “การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่”






หน่งแนวพระราชดาริท่สาคัญสาหรับประชาชนท่อย่นอกเขตชลประทาน

คือ “การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่” ซึ่งเหมาะกับเกษตรกรที่ถือครอง

ที่ดิน เมื่อเกษตรกรดำาเนินรอยตามแนวพระราชดำารินี้ จะมีนาใช้เพื่อการเกษตร


อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี รวมทั้งสามารถใช้น้ำานำาร่วมกับที่ดินที่มีอยู่ให้เกิด
ประโยชน์ตามอัตภาพ [๑] ตามหลักการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

69

เกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นที่เฉลี่ยราว ๑๐-๑๕ ไร่ต่อครัวเรือน ควรแบ่งพื้นที่เพื่อการ

ทำาประโยชน์ดังนี้คือ สระน้ำาเพื่อใช้ในการเกษตร ๓ ส่วน นาข้าว ๓ ส่วน พืชไร่พืช
สวน 3 ส่วน และที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผักสวนครัว ถนน คันคูดิน หรือ
คูคลอง ๑ ส่วน รวมพื้นที่ทั้งหมด ๑๐ ส่วน




แนวคิดการสร้างชั้นนาประดิษฐ์



ปัญหาที่สำาคัญของการกักเก็บนำาในสระนำามี ๒ ประการคือ ชั้นดิน



ในบางพื้นที่ไม่สามารถอุ้มนำาไว้ได้ และการระเหยของนำาจำานวนมากในสระนำา
สู่ชั้นบรรยากาศ การแก้ปัญหาประการแรกคือการปรับพื้นผิวสระให้สามารถ


อุ้มนำาได้ ส่วนการแก้ปัญหาการระเหยของนำานั้นป้องกันได้ยาก เนื่องจาก
ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนและในบางแห่งมีอัตราการระเหยสูงถึง


๒๐๐ มิลลิเมตรต่อเดือน [๒] การนำานาลงไปเก็บใต้ดินถือเป็นวิธีการที่สามารถ
แก้ปัญหาการระเหยได้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำาริเรื่อง การใช้ประโยชน์


ทดนตามแนวทฤษฎใหม เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่สระนำาให้เป็นชั้นนำา






ใต้ดินประดิษฐ์ที่มีความพรุนสูงเพื่อกักเก็บนำา และพื้นที่ด้านบนสามารถนำามาใช้
ประโยชน์ได้ด้วย


โครงสร้างชั้นนาใต้ดินประดิษฐ์


ชั้นนาใต้ดนประดิษฐ์สามารถสร้างได้โดยใช้ทรายความพรนสูงผสมซเมนต์




[๓] และปูพื้นผิวสระนาเดิมด้วยแผ่นพลาสติกกันซึม (Geomembrane) ในบริเวณ

ระหว่างรอยต่อระหว่างชั้นดินทรายซีเมนต์และชั้นดินเดิมดังแสดงในรูปที่ ๑
แผ่นพลาสติกกันซึมโดยท่วไปแล้วเป็นวัสดุสังเคราะห์ท่ผลิตจากอุตสาหกรรม


ปิโตรเคมี เช่น HDPE (High Density Polyethylene) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายใน


การปรับปรุงผิวของก้นบ่อนาและบ่อกักเก็บของเสีย [๔] พื้นที่ด้านบนสามามรถใช้
ประโยชน์สำาหรับการเพาะปลูกได้ โดยมีแผ่นใยสังเคราะห์ (Geotextile) แทรกอยู่
ระหว่างชั้นหน้าดินสำาหรับเพาะปลูกและชั้นดินทรายเพื่อป้องกันดินเม็ดละเอียด


ในชั้นหน้าดินแทรกตัวลงไปอุดตันในชั้นนำาใต้ดิน พื้นที่บริเวณขอบของชั้นนำา




ใต้ดินประดิษฐ์เป็นพื้นที่รับนาจากธรรมชาติ เช่น นาฝน เป็นต้น
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

70

ชั้นดินทรายซีเมนต์หลวมสามารถก่อสร้างโดยบดอัดดินทรายผสมซีเมนต์

เป็นชั้น ๆ โดยใช้รถบดล้อเรียบนำาหนักเบา กระบวนการบดอัดดำาเนินการ
โดยควบคุมปริมาตรและความหนาแน่นของดินทรายซีเมนต์บดอัดให้ได้
ความพรุน ๐.๕ จากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ พบว่าปริมาณซีเมนต์

ร้อยละ ๖ โดยมวลแห้ง และอัตราส่วนนำาต่อซีเมนต์เท่ากับ ๐.๘ เหมาะสำาหรับ

การสร้างชั้นนำาใต้ดินประดิษฐ์ ความหนาของแต่ละชั้นที่บดอัดแล้วควรไม่เกิน
๑๕ เซนติเมตรเพื่อควบคุมให้ความหนาแน่นของชั้นดินสม่ำาเสมอ หลังจาก
บดอัดแต่ละชั้นแล้วชั้นทรายจะได้รับการบ่มเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมงเพื่อให้มี




ความแข็งแรงเพียงพอต่อการบดอดชนตอไป [๓]

























รูปที่ ๑ โครงสร้างชั้นนาใต้ดินประดิษฐ์
















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

71

[๑] Yenjabok, P., Kaewthep, K., Pookpakdi, A., and Intaratat,

K., (2005), “Agricultural development communication for new theory
concept of His Majesty King Bhumibol Adulyadej: Communication
process for the diffusion of new theory concept which result into an

adoption by farmers”, Kasetsart Journal: Social Sciences, Vol. 26, pp.
118 – 125.

[๒] พิศ คงบริรักษ์ และ กฤติกา สืบศักดิ์, (๒๕๕๔) “การระเหยของ

นำาในประเทศไทยคาบ ๑๐ ปี (พ.ศ.๒๕๔๔-๑๕๕๓)”, เอกสารผลงานวิชาการ
อุตุนิยมวิทยา, กรมอุตุนิยมวิทยา, กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร, หน้า ๓๐ – ๓๘.

[๓] อนุชิต อุชายภิชาติ, (๒๕๕๖) “โครงงานการวิจัยคุณสมบัติ


เชิงวิศวกรรมของดินทรายผสมซีเมนต์ความพรุนสูงเพื่อใช้เป็นวัสดุสำาหรับชั้นนา
ใต้ดินประดิษฐ์” รายงานการวิจัย, สนับสนุนโดยสำานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
[๔] Koerner, Robert M. (1999). “Designing with geosynthetics
4th ed”, Prentice-Hall, Inc., New Jersey.



































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

72

ประวัติมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล































มหาวิทยาลัยตระหนักดีว่า “คุณภาพการศึกษาที่แท้จริง ต้องเป็น

ภาพรวมของกระบวนการคิดที่ทันสมัย จึงจะสามารถนำาพาการเรียนการสอน
การฝึกปฏิบัติการ การเสริมสร้างประสบการณ์วิชาชีพ การพัฒนาบุคลิกภาพ

และจะผลิตบัณฑิตให้เติบโตเป็นคนดีและคนเก่งอยู่ในบุคคลเดียวกัน
นั่นถือเป็นพันธกิจของมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่ง
ความก้าวหน้า”

มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๗ โดย

มีนายมุข วงษ์ชวลิตกุล เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต และนางปราณี วงษ์ชวลิต
กุล เป็นอธิการบดี ให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา มีชื่อ
ว่า “วิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล” และได้เปิดดำาเนินการบริหารจัดการศึกษาระดับ

อุดมศึกษาในระดับปริญญาตรี รวม ๒ คณะวิชา คือ คณะนิติศาสตร์ และ
คณะบริหารธุรกิจ ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๒๗




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

73

มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลได้ดำาเนินการตามพันธกิจของการ

อุดมศึกษาครบถ้วนทุกประการ มีการพัฒนาการศึกษาเจริญก้าวหน้าตาม
พันธกิจมาโดยลำาดับ จนถึงปีการศึกษา ๒๕๓๖ สภาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
พิจารณาเห็นว่าวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลได้ปฏิบัติพันธกิจต่าง ๆ ครบถ้วนตาม
เกณฑ์คุณภาพมาตรฐานของสถาบันอุดมศึกษาตามที่ทบวงมหาวิทยาลัย
กำาหนดไว้ (ปัจจุบัน คือ สำานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ.)

จึงอนุญาตให้วิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลดำาเนินการขอเปลี่ยนสถานภาพจาก
วิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัย โดยเสนอต่อทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อวัน
ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๗ ซึ่งสำานักงานกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ทบวง

มหาวิทยาลัยได้จัดพิธีมอบใบอนุญาตการเปลี่ยนประเภทในวันอังคารที่ ๑๕
พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เป็น “มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล”


ปรัชญามหาวิทยาลัย “จริยธรรม นำาปัญญา”
หมายความว่าการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัย

วงษ์ชวลิตกุล มุ่งบรรลุเป้าหมาย คือ ผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ควบคู่กับเป็นผู้ที่มี


คณธรรม จรยธรรม มุ่งให้บัณฑิตเป็นคนดี มีความขยัน มีความซื่อสัตย์ ดำารงตนอยู่
ในความประหยัด มีความอดทน มีความรับผิดชอบ การจัดการอุดมศึกษาของ






มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลจึงเป็นการจัดการศึกษาดานการใหความรควบคกบ

การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม
“โดยคำ�ว่� นำ� ในภ�ษ�อีส�นมีคว�มหม�ยว่� ไปด้วยกัน”


















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

74

ปณิธาน


มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลม่งผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพครอบคลุม

มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเพ่อสามารถปฏิบัติงานได้ท้งภายใน




ประเทศและตางประเทศ พรอมทั้งมุ่งมั่นพัฒนาบริการวิชาการ การวจย และเพื่อ

ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน โดยเป็นที่พึ่งของสังคมและชุมชนได้
วิสัยทัศน์

เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำาที่มีมาตรฐานทางวิชาการและ
วิชาชีพ สร้างบัณฑิตให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีคุณภาพ และมีทักษะ

ทางเทคโนโลยี พร้อมสู่ประชาคมอาเซียน











































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

75



















































พันธกิจ

มุ่งพัฒนาชุมชนและสังคมให้เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
และในระดับนานาชาติ
๑. การผลิตบัณฑิต ๒. การวิจัย

๓. การบริการวิชาการแก่สังคม ๔. การทำานุบำารุงศิลปวัฒนธรรม
๕. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

76





































































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

77





































































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

78





































































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

79

รายนามคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล



๑. ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า นายกสภามหาวิทยาลัย
๒. อาจารย์ ดร.บัณฑิต ตั้งประเสริฐ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย






๓. อาจารย์มุข วงษ์ชวลิตกุล ผรบใบอนญาต/ทปรกษากรรมการสภา

๔. อาจารย์ปราณี วงษ์ชวลิตกุล อธิการบดีกิตติคุณ/
กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๕. อาจารย์ ดร.กิตติ วงษ์ชวลิตกุล อธิการบดี/กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๖. นายวีระศักดิ์ บุญเพลิง กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๗. นายปรีชา ลิ้มอั่ว กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๘. นายแพทย์อนุศักดิ์ ตั้งไพบูลย์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๙. นายแพทย์วิชัย ขัตติยวิทยากุล กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๑๐. อาจารย์สุนันทา แสงทอง กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๑๑. รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ชินสุวรรณ กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๑๒. รองศาสตราจารย์วิมาน กฤตพลวิมาน กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๑๓. รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย
๑๔. อาจารย์ ดร.ณัฐวัฒม์ วงษ์ชวลิตกุล กรรมการสภามหาวิทยาลัย




๑๕. รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี กรรมการและเลขานการสภามหาวทยาลย


























มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

80

รายชื่อคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล



๑. อาจารย์ ดร.กิตติ วงษ์ชวลิตกุล (อธิการบดี)
๒. รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี (รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร/

รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา)
๓. รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ (รองอธิการบดีฝ่ายแผนและพัฒนา)
๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สงวนพงศ์ ชวนชม (รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ)
๕. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชีวินทร์ ลิ้มศิริ (รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ)
๖. อาจารย์ ดร.ณัฐวัฒม์ วงษ์ชวลิตกุล (ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และ
เครือข่ายสัมพันธ์)
๗. รองศาสตราจารย์สิริรัตน์ ฉัตรชัยสุชา (คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์)
๘. รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชิต อุชายภิชาติ (คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์)




๙. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ (คณบดคณะบรหารธรกจ)
๑๐. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติพงษ์ สุวรรณสน (คณบดีคณะนิติศาสตร์)
๑๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บุญกองแสน (คณบดีคณะศึกษาศาสตร์)
๑๒. อาจารย์ ดร.ศิริวัฒน์ สาระเขตต์ (คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์)
๑๓. อาจารย์ ดร.วิทชย เพชรเลียบ (คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์)
๑๔. อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ (คณบดีคณะนิเทศศาสตร์)



























มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

81

คำาสั่งมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

ที่ /๒๕๖๒
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำาเนินงานทอดกฐินสามัคคีประจำาปี พ.ศ. ๒๕๖๒



ด้วยมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล กำาหนดให้มีการทอดกฐินสามัคคี ประจำาปี พ.ศ.
๒๕๖๓ ณ วัดโนนกุ่ม ตำาบลโคกกระชาย อำาเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ในวันเสาร์ที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เพื่อให้การดำาเนินงานทอดกฐินสามัคคี เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
อาศัยอำานาจตามความในมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.
๒๕๔๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ มหาวิทยาลัยจึงพิจารณาแต่งตั้งคณะ
กรรมการดังต่อไปนี้

๑. คณะกรรมการอำานวยการ
๑.๑ อาจารย์มุข วงษ์ชวลิตกุล ที่ปรึกษา
๑.๒ อาจารย์ปราณี วงษ์ชวลิตกุล ที่ปรึกษา
๑.๓ ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า ที่ปรึกษา
๑.๔ อาจารย์ ดร.กิตติ วงษ์ชวลิตกุล ที่ปรึกษา
๑.๕ รองศาสตราจารย์ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี ประธานกรรมการ
๑.๖ รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ รองประธานกรรมการ
๑.๗ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สงวนพงศ์ ชวนชม รองประธานกรรมการ
๑.๘ อาจารย์ณัฏฐนันท์ ศรัณย์มงคล รองประธานกรรมการ

๑.๙ อาจารย์กรรณิกา สุขแสวง รองประธานกรรมการ
๑.๑๐ รองศาสตราจารย์ ดร.สงวน วงษ์ชวลิตกุล กรรมการ
๑.๑๑ รองศาสตาจารย์สิริรัตน์ ฉัตรชัยสุชา กรรมการ
๑.๑๒ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บุญกองแสน กรรมการ
๑.๑๓ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุโสภณ กรรมการ
๑.๑๔ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติพงษ์ สุวรรณสน กรรมการ
๑.๑๕ อาจารย์ ดร.วิทชย เพชรเลียบ กรรมการ
๑.๑๖ อาจารย์ ดร.ศิริวัฒน์ สาระเขตต์ กรรมการ
๑.๑๗ อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ กรรมการ

๑.๑๘ รองศาสตราจารย์ ดร.จำาเริญรัตน์ จิตต์จิรจรรย์ กรรมการ
๑.๑๙ อาจารย์ ดร.สุจินดา สถิรอนันต์ กรรมการ


มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

82

๑.๒๐ อาจารย์ ดร.สุดา หั่นกลาง กรรมการ

๑.๒๑ อาจารย์ ดร.ประยงค์ กีรติอุไร กรรมการ
๑.๒๒ อาจารย์ ดร.วันเกษม สัตยานุชิต กรรมการ
๑.๒๓ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ อาตมียะนันท์ กรรมการ
๑.๒๔ อาจารย์อุษา ไขขุนทด กรรมการ
๑.๒๕ นางชมพู เต้าประจิม กรรมการ
๑.๒๖ นายณัฐพงษ์ ศิริทรัพย์สุนทร กรรมการ
๑.๒๗ นายชลธี ศิลา กรรมการ
๑.๒๘ อาจารย์วิสิฐศักดิ์ รักพร กรรมการและเลขานุการ
๑.๒๙ นายชาญชัย ทรงราษี กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
๑.๓๐ นายเรวัต มาลุน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ


หน้าที่

๑) พิจารณาให้ความเห็นชอบการดำาเนินงานของฝ่ายต่างๆ
๒) ดำาเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำาหนด


๒. คณะกรรมการฝ่ายจัดหาทุน
๒.๑ อาจารย์ ดร.กิตติ วงษ์ชวลิตกุล ที่ปรึกษา

๒.๒ รองศาสตราจารย์ ดร.สงวน วงษ์ชวลิตกุล ประธานกรรมการ
๒.๓ รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ รองประธานกรรมการ
๒.๔ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สงวนพงศ์ ชวนชม รองประธานกรรมการ
๒.๕ อาจารย์ณัฏฐนันท์ ศรัณย์มงคล รองประธานกรรมการ
๒.๖ อาจารย์กรรณิกา สุขแสวง รองประธานกรรมการ
๒.๗ รองศาสตราจารย์ ดร.สงวน วงษ์ชวลิตกุล กรรมการ
๒.๘ รองศาสตราจารย์สิริรัตน์ ฉัตรชัยสุชา กรรมการ
๒.๙ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บุญกองแสน กรรมการ
๒.๑๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ กรรมการ
๒.๑๑ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติพงษ์ สุวรรณสน กรรมการ
๒.๑๒ อาจารย์ ดร.ศิริวัฒน์ สาระเขตต์ กรรมการ
๒.๑๓ อาจารย์ ดร.วิทชย เพชรเลียบ กรรมการ




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

83

๒.๑๔ อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ กรรมการ

๒.๑๕ อาจารย์ ดร.วันเกษม สัตยานุชิต กรรมการ
๒.๑๖ นางชมพู เต้าประจิม กรรมการและเลขานุการ
๒.๑๗ นางสาวเจนจิรา เหมทองนาก กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

หน้าที่
๑) ประสานงานจัดหาทุนรับบริจาคหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่างๆ


๓. คณะกรรมการฝ่ายพิธีการ
๓.๑ รองศาสตราจารย์ ดร.จำาเริญรัตน์ จิตต์จิรจรรย์ ประธานกรรมการ

๓.๒ อาจารย์วิสิฐศักดิ์ รักพร รองประธานกรรมการ
๓.๓ อาจารย์สุขุม พระเดชพงษ์ กรรมการ
๓.๔ อาจารย์ศุภฤกษ์ กอบัว กรรมการ
๓.๕ อาจารย์บุญชณัฎฐา สุขเสมอ กรรมการ
๓.๖ นายชาญชัย ทรงราษี กรรมการ
๓.๗ นายตรีชา เพ็ชรดี กรรมการ
๓.๘ นายเรวัต มาลุน กรรมการและเลขานุการ


หน้าที่

๑) กำาหนดรูปแบบ และขั้นตอนของพิธีการ
๒) จัดเตรียมเครื่องไทยธรรมและเครื่องบริวารกฐิน
๓) ตกแต่งสถานที่ ประดับดอกไม้ตามจุดที่เกี่ยวข้อง
๔) ประสานงานฝ่ายปฏิคมในการดำาเนินพิธีการ



















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

84

๔. คณะกรรมการฝ่ายสถานที่ แสง และเสียง

๔.๑ นายณัฐพงษ์ ศิริทรัพย์สุนทร ประธานกรรมการ
๔.๒ นายพละกัณฑ์ อาศัย รองประธานกรรมการ
๔.๓ นายเอกรินทร์ ปานหมื่นไวย กรรมการ
๔.๔ นายธนิน สุขะทีปะ กรรมการ
๔.๕ นายศิริวัฒน์ เวียงย่างกุ้ง กรรมการ
๔.๖ นายธัชพนธ์ สรภูมิ กรรมการและเลขานุการ


หน้าที่
๑) ประสานจัดเตรียมสถานที่ โต๊ะ เก้าอี้ ตามกำาหนดในพิธี
๒) ขอใช้เครื่องเสียงตามจุดที่กำาหนดในพิธี



๕. คณะกรรมการฝ่ายการเงินและบัญชี
๕.๑ นางชมพู เต้าประจิม ประธานกรรมการ
๕.๒ อาจารย์สาวิตรี ศิริทรัพย์สุนทร รองประธานกรรมการ
๕.๓ นางพรทิพย์ แสงศิริ กรรมการ

๕.๔ นางสาวกัลยารัตน์ ซึมกลาง กรรมการ
๕.๕ นางสาวประภัสสร ชาจอหอ กรรมการและเลขานุการ


หน้าที่
๑) ประสานงานฝ่ายต่างๆ เพื่อจัดทำาบัญชีการรับบริจาค
๒) รวบรวมยอดเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อถวายวัด
๓) ประสานใบอนุโมทนาบัตรกับทางวัดและเขียนใบอนุโมทนาบัตรให้ผู้มีจิต
ศรัทธาบริจาค
๔) สั่งทำาตาลปัตรและย่ามในการทอดกฐิน















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

85

๖. คณะกรรมการฝ่ายปฏิคม

๖.๑ นางอำาพรพรรณ ปวีณ์วัฒน์ ประธานกรรมการ
๖.๒ นางสาวเจนจิรา เหมทองนาก รองประธานกรรมการ
๖.๓ นางเพ็ญนิภา ประดิษฐ์ค่าย กรรมการ
๖.๔ นางสาวจุฑามาศ บุญจรัส กรรมการ
๖.๕ นางสาวชัชนาลัย ศรีหมื่นไวย์ กรรมการ
๖.๖ นางสุรีรัตน์ อ๊อตโพธิ์กลาง กรรมการ
๖.๗ คณะกรรมการสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล กรรมการ
๖.๘ นักศึกษาทุน มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล กรรมการ
๖.๙ นางบังอร มงคลแท้ กรรมการและเลขานุการ



หน้าที่
๑) ประสานงานกับฝ่ายพิธีการเพื่อจัดเตรียมการต้อนรับ
๒) จัดแบ่งผู้รับผิดชอบในการต้อนรับผู้มีเกียรติ
๓) จัดเตรียมอาหารว่างสำาหรับแขกที่มาร่วมงานในวันสมโภชกฐิน และจัด

เตรียมนำาปานะถวายพระ
๔) ประสานจัดรถรับ-ส่งอาจารย์และบุคลากรที่เข้าร่วมงานทอดกฐิน


๗. คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์และลงทะเบียน

๗.๑ อาจารย์ ดร.วันเกษม สัตยานุชิต ประธานกรรมการ
๗.๒ นายชลธี ศิลา รองประธานกรรมการ
๗.๓ นายพงษ์นรินทร์ สาเนียม กรรมการ
๗.๔ นายพิธิวัฒน์ รักษ์พรมราช กรรมการ
๗.๕ นายกิตติทัศน์ ไกรษร กรรมการ
๗.๖ นายพิสิษฐ์ แก้วพันธุ์บุตร กรรมการ
๗.๗ นายอัสสราพงษ์ เลิศกระโทก กรรมการ
๗.๘ นายคมสัน สิมศิริวัฒน์ กรรมการ
๗.๙ นายอรรถชัย เดชพันธ์ กรรมการ

๗.๑๐ นางสาวพิมพ์ทอง พันธ์สำาโรง กรรมการ
๗.๑๑ นางสาวประภัสสร พุทธา กรรมการและเลขานุการ




มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

86

หน้าที่

๑) ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอก
มหาวิทยาลัยฯ
๒) ทำาป้ายบอกทาง และติดตามจุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
๓) รับลงทะเบียนผู้เข้าร่วมงานวันสมโภชผ้ากฐิน


๘. คณะกรรมการฝ่ายจัดทำาหนังสือที่ระลึกและบันทึกภาพ
๘.๑ อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ ประธานกรรมการ
๘.๒ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เมตตา ดีเจริญ รองประธานกรรมการ
๘.๓ อาจารย์วีระยุทธ ทรัพย์ประเสริฐ กรรมการ

๘.๔ อาจารย์พรทิพย์ นิพพานนท์ กรรมการ
๘.๕ อาจารย์จิณณภัต ตั้งดวงมานิตย์ กรรมการ
๘.๖ นายเชาว์ฤทธิ์ ศิลาดำา กรรมการ
๘.๗ นายปรเมศวร์ มะละสาร กรรมการ
๘.๘ นางศิริญญา สุวรรณบุบผา กรรมการและเลขานุการ

หน้าที่
๑) ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพื่อจัดทำาหนังสือที่ระลึก

๒) ถ่ายภาพและบันทึกวีดีโอภายในงาน


๙. คณะกรรมการฝ่ายประเมินผล
๙.๑ อาจารย์ ดร.สุดา หันกลาง ประธานกรรมการ
๙.๒ นางสาวธัณย์จิรา มูลราช กรรมการ
๙.๓ นางสาวธัญลักษณ์ จินดา กรรมการ
๙.๔ นางสาวสุชาดา สนิทสิงห์ กรรมการ
๙.๕ นางสาวณัฏยา พรศักดา กรรมการและเลขานุการ













มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

87

หน้าที่

๑) ออกแบบสอบถาม
๒) เก็บแบบสอบถามและประเมินผล
ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


สั่ง ณ วันที่ ๒ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๖๒






(อาจารย์ ดร.กิตติ วงษ์ชวลิตกุล)
อธิการบดีมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล













































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

88

รายนามผู้บริจาคกฐินสามัคคี

๑. มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ๒๐๐,๐๐๐ บาท
๒. อาจารย์มุข – อาจารย์ปราณี วงษ์ชวลิตกุล ๑๐๐,๐๐๐ บาท
๓. ผู้ปกครอง ครู และนักเรียน โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา ๑๒,๘๗๙ บาท
๔. วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างกลพณิชยการนครราชสีมา ๑๑,๘๐๗ บาท
๕. อาจารย์ ดร.กิตติ – คุณชารินี วงษ์ชวลิตกุล ๕,๐๐๐ บาท
๖. รองศาสตราจารย์ วรรณา สุขสบาย ๕,๐๐๐ บาท
๗. อาจารย์ ดร.ณัฐวัฒม์ – คุณโชติกา – เด็กหญิงณภัฏ
เด็กชายชยุต วงษ์ชวลิตกุล ๔,๐๐๐ บาท
๘. รองศาสตราจารย์ กัลยา พัฒนะศรี ๓,๐๐๐ บาท
๙. นักศึกษา ป.บัณฑิต รหัส ๖๓ ๒,๘๐๓ บาท
๑๐. คุณปรีชา ลิ้มอั่ว ๒,๕๐๐ บาท

๑๑. สำานักงานบริการโทรคมนาคม สาขานครราชสีมา ๒,๔๔๐ บาท
๑๒. สำานักศาลยุติธรรมประจำาภาค ๓ ๒,๔๓๒ บาท
๑๓. อาจารย์ ดร.บัณฑิต ตั้งประเสริฐ ๒,๐๐๐ บาท
๑๔. รองศาสตราจารย์ ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี ๒,๐๐๐ บาท
๑๕. รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ ๒,๐๐๐ บาท
๑๖. รองศาสตราจารย์ ดร.จำาเริญรัตน์ – ครูนวลจันทร์
จิตต์จิรจรรย์ และบุตรธิดา ๒,๐๐๐ บาท
๑๗. อาจารย์ ดร.สมพร ชาลีเครือ ๒,๐๐๐ บาท
๑๘. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ๒,๐๐๐ บาท
๑๙. มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ๒,๐๐๐ บาท
๒๐. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วัลภา สุนทรนัฏ ๒,๐๐๐ บาท
๒๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ ตันยะ ๒,๐๐๐ บาท
๒๒. ผู้ช่วยศาตราจารย์ ดร.ชีวินทร์ ลิ้มศิริ ๑,๕๐๐ บาท
๒๓. นักศึกษาปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา รหัส ๖๒ ๑,๑๐๕ บาท
๒๔. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ๑,๐๐๐ บาท
๒๕. กรมศิลปากร ๑,๐๐๐ บาท
๒๖. ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท – คุณสุนีย์นาถ สืบค้า ๑,๐๐๐ บาท

๒๗. นายแพทย์อนุศักดิ์ ตั้งไพบูลย์ ๑,๐๐๐ บาท



มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

89

๒๘. รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ชินสุวรรณ และครอบครัว ๑,๐๐๐ บาท

๒๙. ศาสตราจารย์ ดร.สำาเริง บุญเรืองรัตน์ ๑,๐๐๐ บาท
๓๐. รองศาสตราจารย์ ดร.ไพศาล หวังพานิช ๑,๐๐๐ บาท
๓๑. รองศาสตราจารย์ ประเสริฐ ดำารงชัย ๑,๐๐๐ บาท
๓๒. รองศาสตราจารย์ สอาด ธรรมกนก ๑,๐๐๐ บาท
๓๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พรรณงาม พรรณเชษฐ์ ๑,๐๐๐ บาท
๓๔. คุณบุณย์ยืน ภรจรัลรัตน์ ๑,๐๐๐ บาท
๓๕. คุณชาญ – คุณวัลลภา จรรโลงเศวตกุล ๑,๐๐๐ บาท
๓๖. คุณรัฐประทีป – คุณลัดดา กีรติอุไร และครอบครัว ๑,๐๐๐ บาท
๓๗. คุณอภิศักดิ์ – คุณศิริพร ชินกุลกิจนิวัฒน์ ๑,๐๐๐ บาท
๓๘. รองศาสตราจารย์ สิริรัตน์ ฉัตรชัยสุชา ๑,๐๐๐ บาท
๓๙. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ อาตมียะนันท์ ๑,๐๐๐ บาท
๔๐. อาจารย์ ดร.ชูเกียรติ วิเศษเสนา ๑,๐๐๐ บาท

๔๑. อาจารย์ ดร.อำานาจ อยู่คำา ๑,๐๐๐ บาท
๔๒. สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยเทคโนโลยีช่างกลพณิชยการนครราชสีมา ๑,๐๐๐ บาท
๔๓. อาจารย์อัจฉรา ชาญฤทธิ์ ๑,๐๐๐ บาท
๔๔. อาจารย์ ดร.ธีรยุทธ – ผศ.อรพรรณ – น.ส.ปาริชาต อุดมพร ๑,๐๐๐ บาท
๔๕. คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ๙๙๙ บาท
๔๖. นักศึกษาชั้น ปวช. ๑/๙ สาขาวิชาบัญชี ๖๙๔ บาท
๔๗. นักศึกษาชั้น ปวช. ๒/๓ สาขาวิชาช่างไฟฟ้า ๖๙๙ บาท
๔๘. นักศึกษาชั้น ปวช. ๑/๑๑ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ๖๑๓ บาท

๔๙. นักศึกษาชั้น ปวช. ๓/๘ สาขาวิชาบัญชี ๖๕๙ บาท
๕๐. นักศึกษาชั้น ปวช. ๒/๑ สาขาวิชาช่างยนต์ ๑,๕๑๘ บาท
๕๑. นักศึกษาชั้น ปวช. ๒/๒ สาขาวิชาช่างยนต์ ๕๐๙ บาท
๕๒. รองศาสตราจารย์ วิมาน กฤตพลวิมาน ๕๐๐ บาท
๕๓. คุณฐานิต ไตรรัตน์รุ่งเรือง ๕๐๐ บาท
๕๔. คุณศิริเนตร จุลศิริวัฒนกุล ๕๐๐ บาท
๕๕. คุณสมยศ – คุณลาวัลย์ ๕๐๐ บาท
๕๖. นางสาวกันตินันท์ บุญตา ๕๐๐ บาท
๕๗. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก ๕๐๐ บาท





มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

90

๕๘. มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ๕๐๐ บาท

๕๙. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๕๐๐ บาท
๖๐. สำานักโยธาธิการ และผังเมืองจังหวัดนครราชสีมา ๕๐๐ บาท
๖๑. อาจารย์ณัฏฐนันท์ ศรัณย์มงคล ๕๐๐ บาท
๖๒. อาจารย์ ดร.หอมจันทร์ จรรยาเอก ๕๐๐ บาท
๖๓. อาจารย์ปิรัญญา วิธิศุภกร ๕๐๐ บาท
๖๔. อาจารย์โสภิดา โคตรโนนกอก ๕๐๐ บาท
๖๕. อาจารย์ ดร.อลงกต ยะไวทย์ ๕๐๐ บาท
๖๖. อาจารย์ ดร.สุจินดา สถิรอนันต์ ๕๐๐ บาท
๖๗. อาจารย์ ดร.ฐิติยา เรือนนะการ ๕๐๐ บาท
๖๘. อาจารย์อุษา ไขขุนทด ๕๐๐ บาท
๖๙. อาจารย์ ดร.วลัญช์ชยา เขตบำารุง ๕๐๐ บาท
๗๐. อาจารย์แสงจ่อย อินทจักร ๕๐๐ บาท

๗๑. นายอดิศร ศาร์ทรัตน์ และครอบครัว (ร้านมีดีไซน์) ๕๐๐ บาท
๗๒. คุณเทพรักษ์ ไชยพฤกษ์ ๕๐๐ บาท




































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

91

รายนามผู้บริจาคเงินถวายตาลปัตร

๑. อาจารย์ ดร.กิตติ – คุณชารินี วงษ์ชวลิตกุล ๑,๕๐๐ บาท
๒. รองศาสตราจารย์ ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี ๑,๕๐๐ บาท
๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สงวนพงศ์ ชวนชม ๑,๕๐๐ บาท
๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชีวินทร์ ลิ้มศิริ ๑,๕๐๐ บาท
๕. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บุญกองแสน ๑,๕๐๐ บาท

๖. อาจารย์ ดร.สุรีพร มีหอม ๑,๕๐๐ บาท


รายนามผู้บริจาคเงินถวายย่าม

๑. อาจารย์ ดร.กิตติ – คุณชารินี วงษ์ชวลิตกุล ๖๐๐ บาท
๒. รองศาสตราจารย์ ฉวีวรรณ โพธิ์ศรี ๖๐๐ บาท
๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สงวนพงศ์ ชวนชม ๖๐๐ บาท
๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชีวินทร์ ลิ้มศิริ ๖๐๐ บาท
๕. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ ๖๐๐ บาท
๖. คุณภควัต ฉัตรชัยสุชา ๖๐๐ บาท
๗. คุณศศิพิณ ฉัตรชัยสุชา ๖๐๐ บาท
๘. คุณธัชชัย ฉัตรชัยสุชา ๖๐๐ บาท

๙. อาจารย์ ดร.ดำารง แสนสิงห์ ๖๐๐ บาท
๑๐. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กิตติพงษ์ สุวรรณสน ๖๐๐ บาท
๑๑. อาจารย์ ดร.ประณต นาคะเวช ๖๐๐ บาท
๑๒. อาจารย์ ดร.สุขุมาล เกิดนอก ๖๐๐ บาท
๑๓. อาจารย์กรปรียา และนางสุมาลี ใจสำาราญ ๖๐๐ บาท
๑๔. อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ ๖๐๐ บาท
๑๕. คุณชมพู เต้าประจิม ๖๐๐ บาท
๑๖. คุณวิสิฐศักดิ์ รักพร และคุณเรวัต มาลุน ๖๐๐ บาท
๑๗. คุณชาญชัย ทรงราษี ๖๐๐ บาท

๑๘. ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ ๖๐๐ บาท









มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

92

ท้ายเล่ม


มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลเป็นสถานศึกษาท่มีความผูกพันกับพุทธ
ศาสนาอันเป็นสถาบัน ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน ทั้งนี้มหาวิทยาลัย

เป็นเจ้าภาพถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน รวมถึง การเป็นเจ้าภาพทอดถวาย
ผ้ากฐินสามัคคีเป็นประจำาทุกปี ซึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ มหาวิทยาลัยได้

ขอรับเป็นเจ้าภาพถวายผ้ากฐินเพื่อสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ ณ วัดโนนกุ่ม
ตำาบลโคกกระชาย อำาเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา โดยวัดโนนกุ่ม
เป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธา และเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจบำาเพ็ญกุศล


ของพทธศาสนกชน การจัดทำาหนังสือที่ระลึกสำาหรับการถวายผ้ากฐินจึงเป็น











ประโยชนในการทจะได้เผยแพรเร่องราวของวดใหเปนท่รจักกนอย่างกวาง



ขวางมากขึ้น
สำาหรับรายนามผู้ร่วมทำาบุญนั้น ได้สรุปรายชื่อผู้ร่วมทำาบุญตั้งแต่
๕๐๐ บาทขึ้นไป และตัดตอน ตามเวลาที่สามารถลงพิมพ์ได้ จึงอาจมีอีกหลาย
ท่านที่รายชื่อจะตกหล่นไปบ้าง ซึ่งดิฉันต้องกราบขออภัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
อาจารย์บุษบาบรรณ ไชยศิริ
คณบดีคณะนิเทศศาสตร์
ประธานกรรมการฝ่ายจัดทำาหนังสือที่ระลึกงานกฐิน



















มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

93





































































มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล


Click to View FlipBook Version