The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สารานุกรมโคราช 5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Vongchavalitkul, 2023-06-20 22:15:15

สารานุกรมโคราช 5

สารานุกรมโคราช 5

Keywords: สารานุกรมโคราช 5,vu.ac.th

Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 51 บทนำ เมื่ อกล่าวถึงพระอุโบสถ หลาย ๆ ท่านคงนึกถึงสถานที่ ที่ ใช้ในการประกอบ พิธีกรรมทางศาสนา หรือสถานที่ ใช้ในการทำ สังฆกรรมของพระสงฆ์ แต่อุโบสถที่ จะ กล่าวถึงต่อไปนี้ เป็ นอุโบสถที่ มีความแตกต่างไปจากอุโบสถทั่ วไปคือ นอกจากจะใช้ใน การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการทำ สังฆกรรมของพระสงฆ์แล้ว อุโบสถแห่งนี้ ยังเป็ นสถานที่ ท่องเที่ ยวที่ มีความโดดเด่นเป็ นอย่างมาก ทั้ งด้านสถาปั ตยกรรม ที่ โดดเด่นไม่เหมือนใคร ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) และ พระธาตุจุฬามณี อันศักดิ์ สิทธิ์ และเคารพเลื่ อมใสจากพระพุทธศาสนิกชน และที่ สำ คัญ มีพระอุโบสถกลางน้ำ ที่ มีอายุมากกว่า 300 ปี ตังอยู่ในวัดหมื้ ่ นไวยเป็ นเครื่ องยึดเหนี่ ยว ทางจิตใจ ประกอบศาสนกิจตามประเพณีสืบต่อกันมา


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 52 ประวัติความเป็ นมา พระอุโบสถกลางน้ำ 300 ปี ตังอยู่ที ้วัดหมื ่นไวย่ ตำ บลหมื่ นไวย อำ เภอเมืองนครราชสี มา จังหวัดนครราชสีมา ภายในวัดมีสถานที่ สำ คัญ หลายแห่ง เช่น อนุสาวรีย์จำ ลองขุนหมื่ นไวย, อนุสาวรีย์ท้าวสุ รนารี (ย่าโม),พุ ทธรูป ปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) และพระธาตุจุฬามณี ตังอยู่ในอุโบสถกลางน้ ้ำ เป็ นต้น วัดหมื่ นไวยเป็ นวัดโบราณ สร้างในสมัย ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ.2253 โดยบริเวณที่ ตั้ งวัดในสมัยนั้ นเป็ นที่ พัก ตั้ งด่านของขุนหมื่ นไวย จึงตั้ งชื่ อวัดว่า “วัดหมื่ นไวย” เมื่ อสร้างวัดเสร็จแล้วก็ สร้างเสนาสนะ สำ หรับพระสงฆ์ได้อาศัย ทำ กิจวัตร และบำ เพ็ญสมณธรรม สำ หรับ ประวัติอุโบสถกลางน้ำ หลังเก่า ท่านผู้เฒ่า ได้เล่าให้ฟั งว่า ขรัวพ่อเจ้าวัดบึง (หลวงพ่อ เพชร) ซึ่ งเป็ นตระกูลศรีหมื่ นไวย ในขณะที่ ท่านอุปสมบทอยู่ ท่านได้สร้างอุโบสถที่ วัดบึง 1 หลัง เมือสร้างอุโบสถที่ วัดบึงเสร็จแล้ว ่ ท่านจึงได้มาสร้างโบสถ์ที่ วัดหมื่ นไวย ซึ่ งเป็ นบ้านเกิดของท่าน ลักษณะของ โบสถ์ของวัดหมื่ นไวยเป็ นโบสถ์ที่ มีเสา สี่ เสา เก้าประตู แปดหน้าต่าง มีน้ำ ล้อมรอบ โบสถ์ เมื่ อสร้างเสร็จแล้วก็ได้ให้พระสงฆ์ ได้ทำ สั งฆกรรม ต่อมาโบสถ์ได้ชำ รุด ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา พระสิริธรรมาทร เจ้าคณะอำ เภอเมืองนครราชสีมา ได้เป็ น ผู้ดำ เนินการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ เพราะ พิจารณาเห็นว่าอุโบสถหลังเก่าได้ชำ รุด ทรุดโทรมมากแล้วไม่สามารถที่ จะทำ การซ่อมแซม ให้คงสภาพได้


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 53 จึงปรึกษากับนายทอง ศรีหมื่ นไวย เพือที่จะสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ่นแต่ให้้ คงสภาพเดิมไว้ คือมีสี่เสา เก้าประตู แปดหน้าต่าง ซึงท่านได้ไปดูอุโบสถ่ ทีสร้างในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน เพื่อจะ่ นำ มาประยุกต์สร้างอุโบสถ หลังใหม่ ให้เป็ น ที่ เจริญตา วันหนึ่ งท่านได้ไปดูอุโบสถ ที่ วัด สิริสารวัน บ้านโนนทัน อำ เภอหนองบัวลำ ภู จังหวัดอุดรธานี ซึ่ งตั้ งอยู่บนไหล่เขา ภูพานหลังคาอุโบสถเป็ นรูปปราสาท จึงนำมา ปรับปรุงอุโบสถหลังใหม่ของวัดหมื่ นไวย โดยทำ หลังคาอุโบสถเป็ นรูปปราสาท ตามแบบของอุโบสถวัดสิริสารวัน ส่วนตัว อุโบสถสร้างเป็ นแบบอุโบสถหลังเก่า คือ สี่ เสา เก้าประตู แปดหน้าต่าง ดังที่ เห็น ใน ปั จจุบันนี้ อุโบสถหลังใหม่ได้วางศิลาฤกษ์ เมื่ อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ 2518 ปั จจุบัน มีพระครูอัครธรรมรังษี ดำ รงตำ แหน่ง เจ้า อาวาสวัด ฉะนันเมื้ ่ อท่านเดินทางมาเที่ ยว วัดแห่งนี้ ก่อนที่ จะไปชมรอบพระอุโบสถ 300 ปี กลางน้ำ ต้องเข้ากราบพระพุทธรูป ปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) ที่ อยู่ใน พระอุโบสถเป็ นอันดับแรก จากนันจึงควร้ มาชม และกราบพระธาตุจุฬามณี ซึงอยู่ทาง่ ทิศใต้ของพระอุโบสถ 300 ปี โดยอุโบสถ แห่งนี้ มีความโดดเด่น และน่าสนใจ (เที่ ยว วัดทำ บุญ. 2561) ประกอบด้วย ภาพที่ 1 ด้านข้างของอุโบสถกลางน้ำ ก่อด้วยอิฐถือปูนรูปสี่ เหลี่ ยมผืนผ้าปั กใบเสมาหิน 1. อุโบสถกลางน้ำ ก่อด้วยอิฐถือปูนรูปสี่ เหลี่ ยมผืนผ้า ปั กใบเสมาหิน ดังภาพที่ 1 และ 2 ภายในอุโบสถเป็ นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) หันหน้าไปทาง ทิศตะวันออกขนาด 3 ห้อง ดังภาพที่ 3


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 54 ภาพ 2 ด้านหน้าของอุโบสถกลางน้ำ ก่อด้วยอิฐถือปูนรูปสี่ เหลียมผืนผ้า ่ หน้าจัวแกะสลักไม้เป็ นดอกไม้ผสมเสมา ่ ภาพ 3 พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์)


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 55 2. ผนังกันภายในอุโบสถเจาะช่องหน้าต่าง้ ขนาดใหญ่ข้างละ 2 ช่อง ด้านหน้า และ ด้านหลังกรอบเป็ นมุข ลดชัน ยื้ ่ นออกมา ทังสองด้าน มุขด้านหน้าด้านทิศตะวันออก้ ก่อผนังทึบเจาะช่องประตูเข้า 2 ช่อง และ ช่องหน้าต่างที่ ผนังข้างละ 1 ช่อง ผนังกันระหว่างมุขกับห้องโถงกลางเจาะช่องประตู้ ทางเข้า 2 ช่อง และองค์หน้าต่างขนาดใหญ่ ที่ ผนังด้านข้างอีกข้างละ 1 ช่องที่ ผนังกัน้ ทองกลางเจาะเป็ นช่องประตูเข้าสู่ห้องโถง กลาง 2 ช่อง (พุ ทธาคมเกจิ, 2565) ดังภาพที่ 4 ภาพ 4 ผนังกันระหว่างมุขกับห้องโถงกลางเจาะช่องประตูทางเข้า 2 ช่อง้ ภาพ 5 ซุ้มปราสาทประดิษฐานเจดีย์ขนาดเล็ก (พระธาตุจุฬามณี) 3. ช่องกลางทำ ซุ้มปราสาทประดิษฐาน เจดีย์ขนาดเล็ก (พระธาตุจุฬามณี) ไว้ภายในหน้าบันมุขทังสองข้าง สลักเป็ น ้ ลายเครือขาวประดับกระจก ด้านล่างสุด เป็ นลายแนวกระจังคันระหว่างหน้าบัน และ่ ขอบผนังภายในห้องโถงกลางที่ ได้มีการ ขุดแต่งบูรณะ และปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณ สถานอุโบสถวัดหมื่ นไวย ดังภาพที่ 5


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 56 4. ผนังกั้ นมุขตะวันตกก่อเป็ นแท่งชุกชี ประดิษฐานพระพุ ทธรูปปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) ปูนปั้ นลงรักปิ ดทอง มีบทสวดบูชา ดังนี้ บทสวดบูชา “พระปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์)” ตังนะโม 3 จบ้ กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ สังวิคคะรูโปอาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฎฐะสีติ สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ พุทธะคาถาภิคีโต มหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฎฐะสีติ สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะสุขัง ละเภ พุทธะคาถาภิคีโต มหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติฯ 5. ฐานอุโบสถ ก่อเป็ นแนวโค้งหย่อนท้องช้าง หรือหย่อนท้องสำ เภา 6. ซุ้มหน้าต่างและซุ้มประตู เป็ นซุ้มรูปสามเหลี่ ยมลักษณะคล้ายคลึงกับสถาปั ตยกรรม สมัยอยุธยาตอนปลาย และได้รับการบูรณะสืบเนื่ องมาในชันหลัง้ ปั จจุบันสำ นักศิ ลปากรที่ 12 นครราชสีมา ได้มีการขุดแต่งบูรณะ และ ปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณสถานอุโบสถ กลางน้ำ 300 ปี วัดหมื่ นไวยให้เป็ นสถานที่ ท่องเที่ ยวประจำ จังหวัดนครราชสี มา จึงไม่น่าแปลกใจที่ ในแต่ละวันจะมีผู้คน ทังในพื้ ้ นที่ ต่างพื้ นที่ มากราบไหว้พระพุทธ รูปปางปาลิไลยก์ (ปางเลไลยก์) และ พระธาตุจุฬามณี โดยเฉพาะพระธาตุจุฬามณี เป็ นพระธาตุประจำ ปี เกิดปี จอ ซึ่ งเป็ น อีกหนึงสถานที่ที่ผู้คนที่ ่ เกิดปี จอจะมากราบ ไหว้ และขอพรกันเป็ นส่วนใหญ่ ซึงความเป็นมาตามพุทธประวัติได้กล่าวไว้ว่า เป็นที ่ ่ ประดิษฐานพระทันตธาตุที่ พระอินทร์นำ มา จากพระบรมธาตุที่ โทณพราหมณ์ ได้แอบซ่อนไว้ เมื่ อครังมีการแบ่งพระบรม้ สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าให้แก่เจ้าเมือง ต่าง ๆ ด้วยเหตุที่ พระธาตุเจดีย์องค์นี้ มนุษย์ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ จึงได้มี การแต่งบทกลอนทีกล่าวถึงพระธาตุจุฬามณี่ เอาไว้ โดย“สมบัติอมรินทร์คำ กลอน” ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงพรรณนา ไว้ว่า (ศรัณย์ ทองปาน, 2563) หนึ่ งเจดีย์พระจุฬามณีสถิต อันไพจิตรด้วยฤทธิ์ สุเรนทร์ถวาย สูงร้อยโยชน์โชติช่วงประกายพราย ยิ่ งแสงสายอสุนีในอัมพร เชิญเขี้ ยวขวาเบื้ องบนพระทนต์ธาตุ ทรงวิลาศไปด้วยสีประภัสสร แทนสมเด็จพระสรรเพชญ์ชิเนนทร สถาวรไว้ในห้องพระเจดีย์ ประดิษฐ์บนพระมหาจุฬารัตน์ เป็ นที่ แสนโสมนัสแห่งโกสีย์ กับสุราสุรเทพนารี ดังจะชี ่ ้ ศิวโมกข์ให้เทวัญ


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 57 ตามความเชื่ อตั้ งแต่โบราณมา ที่ กล่าวว่า พระจุฬามณีเป็ นที่ ประดิษฐาน พระบรมธาตุอันแท้จริง ทำ ให้เกิด ความเลือมใส ศรัทธา ของประชาชนทุกคน ่ จึงมีคติกันว่าให้คนเจ็บหนักใกล้ตาย ตลอดจน เมือแต่งตัวศพ ให้พนมมือถือกรวยดอกไม้่ ธูปเทียนติดตัวไว้ เพื่ อจะได้ไปนมัสการ พระ จุฬามณีบนสวรรค์ดาวดึงส์ยามเมือล่วงลับ่ สรุป ประเทศไทยเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของพุ ทธธรรม เช่น วัด อุโบสถ วิหาร พระเจดีย์ พระพุทธรูป พระสงฆ์การสร้างสุขภาวะแก่คนทังมวลด้วยการนำ้พุทธธรรม ไปเชื่ อมโยงกับชุมชนและวัด ให้วัดเป็ นวัดสร้างสุข ชุมชนเป็ นชุมชนสันติสุข โดยพัฒนา 8 มิติ อย่างเชื่ อมโยงกัน คือ เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่ งแวดล้อม วัฒนธรรม สุขภาพ การศึกษา และประชาธิปไตย ให้เกิดการสร้างสุขภาวะอย่างบูรณาการที่ จะก่อเกิดความ สมดุล สงบสุข ยังยืน เป็ นชุมชนสุขภาวะต่อไป ่ รายการอ้างอิง เที่ ยววัดทำ บุญ. (2561,กรกฎาคม). วัดหมื่ นไวย. เที่ ยววัดทำ บุญ ; 2-3. พุทธาคมเกจิ. (2563, มีนาคม-เมษายน). วัดหมื่ นไวย. พุทธาคมเกจิ, 26-27 ศรัณย์ ทองปาน. (2563). สุเมรุจักรวาล #27 พระเกศแก้วจุฬามณี (1) สืบค้นจาก https://www.sarakadee.com/2020/02/19/chula-mani/ เมื่ อ วันที่ 2 ธันวาคม 2565


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 58 ผ้าเงี่ ยงนางดำ ของชาวอำ เภอสูงเนิน อาจารย์ธวัชชัย ชาญสูงเนิน E-mail: [email protected]


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 59 บทนำ การทอผ้าเงี่ ยงนางดำ ของชาวอำ เภอสูงเนิน เป็ นการสืบทอด และการอนุรักษ์ ผ้าพื้ นเมือง เนื่ องจากช่วงปี พ.ศ.2507 อำ เภอสูงเนินได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้ นฐาน ของหน่วยงานภาครัฐ สถานทีราชการ บริษัท ห้างร้านเอกชน และโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามา่ ประกอบกิจการในเขตชุมชนสูงเนินเป็ นจำ นวนมาก เดิมชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม หลังการเก็บเกี่ ยวมีเวลาว่างก็จะทอผ้าไว้เป็ นเครื่ องนุ่งห่มไว้สวมใส่กันเอง เมื่ อความเจริญเข้ามาชาวบ้านในพื้ นที่ ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม เริ่ มหันไปประกอบ อาชีพรับจ้าง หรือเป็ นลูกจ้างในโรงงานมากขึ้ น เนื่ องจากมีรายได้ที่ มันคงกว่า เมื่ ่ อเทียบ กับการทำ เกษตรกรรม ส่งผลให้การทอผ้าที่ เป็ นภูมิปั ญญาจากบรรพบุรุษสู่รุ่นลูก รุ่นหลานเริ่ มจางหายไป การแต่งกายด้วยผ้าทอแบบดังเดิมก็เริ ้ ่ มเปลี่ ยนไปตามยุคสมัย เทศบาลตำ บลสูงเนินเล็งเห็นคุณค่าในเอกลักษณ์ของผ้าเงี่ ยงนางดำ จึงเริ่ ม ฟื้ นฟูใหม่ในปี พ.ศ.2557 ซึงลักษณะผ้าเงี่ยงนางดำ่แบบดังเดิมจะเป็ นผ้าฝ้ ายที ้แบ่งออก่ เป็ น 3 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็ นพกสีแดงทีย้อมด้วยแก่นยอป่ า หรือครั่ง สอดลายแนวตั่ง้ ด้วยด้ายมัดหมีสีเหลืองขาวย้อมด้วยแก่นขนุน ส่วนที่ สองเป็ นผ้าพื ่นย้อมด้วยครามสอดด้วย้ เส้นด้ายสีแดง และส่วนที่ สามเป็ นชายผ้าถุงที่ ทอด้วยด้ายแถบลายขวางสีดำ ที่ ย้อม ด้วยลูกมะเกลือ ซึ่ งเป็ นผ้าสำ หรับในการดำ รงชีวิตประจำ วันของชาวอำ เภอสูงเนิน มาตังแต่ดั้งเดิมกว่า 100 ปี และยังมีใช้หลงเหลืออยู่จนถึงปั จจุบัน แต่จะมีเฉพาะกลุ่ม ผู้สูง้ อายุ หรือมีรุ่นลูกหลานบางคนเท่านันที้ ่ ยังเก็บรักษาไว้เพื่ อเป็ นของระลึกถึงบรรพบุรุษ เทศบาลตำ บลสูงเนินจึงจัดตั้ งกลุ่มทอผ้าขึ้ นมา โดยให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ มีความรู้ และ ความเชียวชาญการทอผ้าในสมัยนั่นมาถ่ายทอดองค์ความรู้การทอผ้าเงี้ยงนางดำ่เพื่ อให้ คนรุ่นหลังสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และนำ ไปต่อยอดส่งเสริมพัฒนาการทอผ้าเงียงนางดำ่ต่อไป


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 60 การทอผ้าเงี่ ยงนางดำ เป็ นผลงานของกลุ่มทอผ้าเทศบาลตำ บลสูงเนินและ ชาวชุมชนในเทศบาลตำ บลสูงเนินอย่างแท้จริง เกิดจากการรวมกลุ่มสมาชิกที่ ได้รับ การถ่ายทอดองค์ความรู้และการฝึ กสอนจากผู้เฒ่า ผู้แก่ แล้วนำ มาฟื้ นฟูใหม่ พัฒนาต่อยอด จนทำ ให้เป็ นกลุ่มทอผ้าเทศบาลตำ บลสูงเนินที่ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผ้าทอลายขัดพื้ นฐาน โดยรับรองผลิตภัณฑ์ชนิดเส้นด้ายใยธรรมชาติ (เส้นด้ายฝ้ าย) จาก สำ นักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมือวันที่ ่ 15 กันยายน พ.ศ.2559 จนสามารถ ผลิตและจำ หน่ายผลิตภัณฑ์ทั้ งภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้ งมีการส่งเสริม การใส่ผ้าเงี่ ยงนางดำ ในหน่วยงานราชการและภาคเอกชนในอำ เภอสูงเนินอีกด้วย ประวัติความเป็ นมาของการทอผ้าในอดีต ผ้าเป็ นปั จจัยที่ สำ คัญอย่างหนึ่ ง ในการดำ รงชีวิต เพราะใช้เป็ นเครืองนุ่มห่ม่ ป้ องกันความหนาวเย็น ความร้อนและ แมลงรบกวน ผ้าเกิดจากการนำ เส้นใย ของพืชมาปั่ นเป็ นเส้นด้ายและแมลง หรือ ตัวไหมเพราะมันสามารถให้เส้นใยเป็นเส้นไหม นำ มาถักทอสานขัดกันเป็ นลายตาราง แบบง่าย ๆ จนกลายเป็ นผืนผ้า และมี วิวัฒนาการควบคู่กับความเจริญของ มนุษยชาติ ทำ ให้วิวัฒนาการของลายผ้ามี ความหลากหลายชนิด ทังลวดลาย สีย้อม ้ จึงทำ ให้ผ้าทอไม่เพียงเป็ นแค่เครืองนุ่งห่ม่ และเครื่ องแต่งกายเท่านั้ น แต่ยังเป็ น การแสดงฐานะและยศฐาบรรดาศักดิอีกด้วย์ การทำ เส้นด้ายจากฝ้ ายและไหม การฟอกย้อมนั้ นเป็ นขั้ นตอนการเตรียม วัตถุดิบก่อนจะทอผ้าให้เป็ นผืนผ้า อาจจะมี ค ว า ม ค ล้ า ย ค ลึ ง กั น ข อ ง แ ต่ ล ะ ก ลุ่ ม ชาติพั นธุ์ต่าง ๆ แต่ความแตกต่างของ ผ้าทอก็คือวิธีการทอและสีของลวดลาย ทีแตกต่างกันในกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อปัจจัยเหล่าน่ี ้ ถูกผสมผสานเข้ากับขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมความเชื่ อของชน แต่ละกลุ่มที่ ทอผ้าด้วยเส้นด้าย หรือใยไหม ขึ้ นมาเป็ นผืนผ้าด้วยแล้ว จึงทำ ให้ผ้าทอ ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีความแตกต่าง กันออกไป ผ้าทอของกลุ่มชนชาติพั นธุ์ จึงใช้เป็นเอกลักษณ์ทีบ่งบอกฐานะอย่างหนึ่ง่ ของกลุ่มชนที่ ทอและใช้ผ้าผืนนันขึ้ ้ นมา


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 61 ประเทศไทยในปั จจุบัน เคยเป็ นดินแดนที่ มีผู้คนอาศัยอยู่มาก่อน ประวัติศาสตร์หลายพันปี จากหลักฐาน ทางโบราณคดีที่ มีการขุดค้นพบ เครืองมือ เครื่องใช้ที่ ่ เกียวกับการทำ่เส้นด้ายและ เส้นใยเพื่ อถักทอให้เป็ นผืนผ้า ซึ่ งมีอายุ มากกว่า 5,000 ปี อีกทังพบว่ายังมีการตั้ง้ ถิ่ นฐานที่ กระจายตัวของผู้คนในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์หลายแห่ง ทั้ งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ส่ วนลายที่ พบทำ ให้ทราบว่าในยุคหิน เมือประมาณ 4,000 ปี มาแล้ว ผู้คนที่อาศัย่ อยู่ในดินแดนแถบนี้ รู้จักการสร้างลาย รูปแบบต่าง ๆ เช่น ลายเรขาคณิต สี่ เหลียม ่ วงกลม เส้ นโค้ง สามเหลี่ ยม กากบาท ก้างปลา รูปเปลวไฟ ก้นหอย ตารางสี่ เหลียม ่ รูปลูกคลื่ น เป็ นต้น ซึ่ งลวดลายเหล่านี้ บ่งบอกได้ว่าผู้คนในสมัยนันรู้จักความงดงาม ้ การใช้สีลวดลาย หรือสร้างลายผ้าจาก สิงที่ พบเห็นจากธรรมชาติ เช่น ลายเส้นตรง ่ จากเส้นขอบฟ้ า ลายม้วนจากเถาไม้ ใบพืช และลูกคลื่ น ตลอดจนลายบนหนังสัตว์ เช่น กวาง สมเสร็จ กระรอก ปู หอย และ ปลา การใช้สีต่าง ๆ ที่ หาได้จากธรรมชาติ ดินสี แดง ถ่านสี ดำ สี ขาวจากหินปู น รวมถึงการใช้ยางไม้ผสมลงไปในสีเพื่ อให้ ติดคงทนอยู่ได้นาน ถึงแม้ว่าจะไม่พบหลักฐาน ที่ ชัดเจน แต่เศษผ้าที่ หลงเหลืออยู่ใน สมัยนัน ยังเชื้ อว่าการเขียนลายสีลงบนผ้าเป็น ่ แบบเดียวกันกับที่ พบในเครื่ องปั้ นดินเผา ในสมัยนัน้ ด้วยประสบการณ์และความชำนาญ ในการย้อมและทอผ้าที่ เกิดขึ้ น ได้ถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่ งไปสู่ อีก รุ่นหนึงโดยเฉพาะอย่างยิ่ งจะเป็ นถ่ายทอด ่ ให้แก่คนในครอบครัวเดียวกัน โดยเฉพาะ ผู้หญิง จากยายไปสู่แม่ ลูก หลาน ฯลฯ และ ต่อมาเริ่ มค่อย ๆ พั ฒนาการทำ เส้ นใย การย้อม การออกแบบสร้างลวดลายและ การทอผ้าจนเกิดความชำ นาญ แล้วภายใน ไม่กี่ ศตวรรษ วิธีการทอผ้าที่ ได้รับจาก ภายนอกก็กลายเป็ นวิธีการทอผ้าที่ ชน พื้ นเมืองต่าง ๆ ก็รู้จักเป็ นอย่างดี จากนันก็ ้ พัฒนาปรับปรุงการย้อมสีสร้างลวดลาย ใหม่ ๆ ขึนจากแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ้ ที่ แวดล้อมของกลุ่มชนที่ แตกต่างกัน ออกไปจนในทีสุดเป็ นวิธีการทอ ย้อม และลาย ่ จึงเป็ นเอกลักษณ์ของชนแต่ละกลุ่ม แต่วิธี การทอ การย้อม และลวดลายทอแต่ละ กลุ่มชนนันเหมือนกันในหลักพื้ ้ นฐาน แต่จะ แตกต่างกันในรายละเอียด ผ้าทอมือทีพัฒนา่ และเปลี่ ยนแปลงไปตามความนิยมและ สิ่ งแวดล้อมผสมผสานไปตามความเชื่ อ ศรัทธาและวิถีชีวิตของแต่ละกลุ่มชน ชาติพันธุ์ แล้วสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน จนเป็ นประเพณีในการใช้ลวดลายและผ้า ในวัฒนธรรมของตนเองขึ้ นมา ตามจารึกหลักที่ 118 ที่ พบใน บ่ออีกาที่ เมืองโบราณเสมา ระบุศักราช 790 ตรงกับ พ.ศ.1411 และจารึกหลักที่ 117 ซึงสันนิษฐานว่าถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ่ ศิลาจารึก 2 หลักนี้ จึงยืนยันถึงการมีอยู่จริง ของอาณาจักรศรีจนาศะ เนื่ องจาก มีรายชื่ อกษัตริย์ผู้ปกครองและกล่าวถึง ดินแดนนอกกัมพุ ชเทศ (จักรวรรดิ เขมร) แสดงให้เห็นความเป็ นรัฐอิสระ ที่ นับถือศาสนาพุ ทธและศาสนาฮินดูลัทธิ ไศวนิกาย อย่างน้อยในช่วงพุทธศตวรรษ ที่ 12 - 15 ทีนักประวัติศาสตร์หลายท่านเชื่อว่า่ ศูนย์กลางของแคว้นศรีจนาศะ อาจตั้ ง อยู่บริเวณลุ่มน้ำ มูลคือ เมืองโบราณเสมา ซึ่ งคาดว่ามีการอาศัยอยู่ตั้ งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ และต่อมาเป็ นเมืองร่วมสมัย ทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 - 2542 กรมศิลปากรได้สำ รวจ และขุดค้นพบว่าลักษณะการสร้างเมือง ที่ ซ้อนกันสองชั้ น เรียกว่าเมืองนอกและ เมืองใน มีทังหมด 11 แห่ง้


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 62 ส่วนใหญ่เป็ นซากวิหารที่ สร้างโดย การได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ ฝ่ ายเถรวาทกับมหายาน และศาสนา พราหมณ์ฝ่ ายไศวนิกายที่ รับอิทธิพล วัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมร ซึ่ งปั จจุบันอยู่ในอำ เภอสูงเนิน จังหวัด นครราชสีมา วิวัฒนาการของการทอผ้าใน อดีต ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีหลักฐานที่ ชัดเจน ที่ อธิบายถึงจุดกำ เนิดของการทอผ้า ในประเทศไทยก็ตาม แต่กล่าวได้ว่างานศิลป หัตถกรรมที่ เก่าแก่ที่ สุดตั้ งแต่อดีตถึง ปั จจุบันคือ การทอผ้า ทีมนุษย์สมัยโบราณ่ รู้จักทำ ขึ้ นมาตั้ งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ที่ อาศัยในดินแดนแห่งนี้ สำ หรับวัตถุดิบ ในการทอผ้าจากหลักฐานทางโบราณคดี ทีพบในประเทศไทยในสมัยโบราณ มนุษย์ได้่ แสวงหาพืชในท้องถิ่ นที่ มีเส้นใยที่ แข็งแรง เช่น ปอ ป่ าน กล้วย กัญชา และสับปะรด มาปั่ นเป็ นเกลียวเชือกใช้ก่อน ต่อมาเริ่ ม พัฒนานำ เชือกมาถักทอเป็ นตาข่ายและ ผืนผ้าตามลำ ดับ ส่วนวัตถุดิบอื่ นๆที่ นิยม นำ มาใช้ทอผ้าได้แก่ ไหม ฝ้ าย และขนสัตว์นัน ้ นักวิชาการเชื่ อว่ากำ เนิดมาจากดินแดน ภายนอกประเทศไทย เช่น ไหมต้นกำ เนิด มาจากประเทศจีน ญี่ ปุ่ น อินเดียรวมทั้ ง ดินแดนต่างๆ ในเอเชียและยุโรป ส่วนฝ้ าย เชือกันว่ามาจากอาหรับและอินเดียก่อนเข้า่ มาสู่แถบประเทศไทย ส่วนการย้อมสีผ้านัน้ เชือกันว่าคนโบราณนำ่สมุนไพรและเปลือกไม้ ที่ มีมากมายและหาได้ในท้องถิ่ นมาใช้ใน การย้อมสีผ้า เช่น รากยอ มะเกลือ ขมิ้ นชัน แก่นขนุน ลูกสมอ หว้า ใบหูกวาง และ เปลือกไม้โกงกาง เป็ นต้น อุปกรณ์ที่ ใช้ในการทอผ้า หรือ เครื่ องทอผ้า ซึ่ งคนไทยพื้ นบ้านจะเรียก ไม่เหมือนกันภาคกลาง ภาคเหนือ และ ภาคอีสานเรียกว่า “กี่ ” หรือ “หูก” ภาคใต้จะเรียก ว่า “เก” ทีพัฒนามาจากอดีต จากเดิมใช้วิธี่ การผูกด้ายเส้นยืนไว้กับต้นไม ้หรือเสา บ้านเรือน จากนันก็ได้มีการปรับปรุงรูปแบบ ้ จากเดิมเริ่ มมาเป็ นโครงไม้สี่ เหลี่ ยม ซึ่ งกี่ ทอผ้าจะมีลักษณะเป็ นไม้คานกี่ ที่ มีโครงอยู่ ด้านบนเพื่ อรับน้ำ หนักของฟื ม หรือฟั นหวี ด้วยเชือกและมีสายโยงไม้ขัดร่องที่ หัว และท้ายมีไม้กำ สำ หรับยึดเส้ นด้ายยืน โดยโครงสร้างส่วนใหญ่ทำ จากไม้และอุปกรณ์ ทีสำ่คัญอีกอย่างคือ กระสวยที่ ใช้ในการสอด ด้วยด้ายพุ่ งเพื่ อใช้พุ่ งเข้าไปขัดกับด้าย เส้นยืนทุกเส้นและพุ่ งกลับไปมาจนเป็ น เนื้ อผ้าตามลวดลายที่ ต้องการ


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 63 ประวัติของผ้าเงี่ ยงนางดำ ชาวอำ เภอสู งเนินในอดีต ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็ นหลัก ยามว่างเว้นจากการทำ ไร่ทำ นา ก็ทอผ้าเพือไว้่ ใช้เอง โดยอาศัยแรงงานจากคนในครอบครัว เป็ นกำ ลังหลัก ซึ่ งเดิมทีในอดีตมีชาวลาว ที่ ได้อพยพจากถิ่ นฐานเดิมเข้ามาอาศัยอยู่ ในประเทศไทยและมีบางกลุ่มที่ ย้ายมาตั้ ง ถิ่ นฐานอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ลำ ตะคอง ในบริเวณอำ เภอสูงเนินตังแต่ ร.ศ.118 หรือ้ ราว พ.ศ. 2442 ส่วนสมัยอาณาจักรกัมพูชา (พระเจ้าชัยวรมันที่ 5) มีการขยายอำ นาจ การเมืองและการค้าผ่านช่องเขาพนมดงรัก สู่ลุ่มน้ำ มูลเข้าถึงลำ ตะคอง แล้วมีการสร้าง เทวสถานทับซ้อนพุ ทธสถานบริเวณ บ่ออีกา (กลางเมืองเสมา) แล้วสร้าง เทวสถานบนพื้ นที่ ส่วนขยายในปริมณฑล นอกคูน้ำ คันดินเมืองเสมาตรงปราสาท เมืองแขก ปราสาทโนนกู่ ฯลฯ ซึ่ งสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระยาดำ รง ราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าบริเวณนี้ เป็นเมืองโคราฆะปุระ ที่ เป็นส่วนขยายของเมือง เสมาซึ่ งชาวสยาม (ลุ่มน้ำ โขง) ในช่วงเวลา ดังกล่าวมีศูนย์กลางอยู่ที่ เวียงจันทน์และ เป็ นกลุ่มทีพูดภาษาไทยทางการค้าดินแดน่ ภายในจากบรรพบุรุษที่ อาศัยอยู่บริเวณ แถบนีจนถึงปั จจุบันยังมีการทอผ้าไว้ใช้เอง้


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 64 ซึ่ งมีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มในสมัยนั้ น และเมื่ อเวลาล่วงผ่านไปจนกระทั่ งในปี พ.ศ. 2507 ความเจริญได้เข้ามาประกอบกับ เริ่ มมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้ งอยู่ใน อำ เภอสูงเนินเป็ นจำ นวนมาก จึงทำ ให้วิถี ชาวบ้านเริ่ มมีการเปลี่ ยนแปลงจากเดิม ชาวบ้านในพื้ นที่ อำ เภอสูงเนินประกอบ อาชีพเกษตรกรรม ยามว่างจากการทำ ไร่ ทำ นาก็จะทอผ้าไว้เป็ นเครื่ องนุ่มห่ม หรือใช้ ออกงานพิธีการที่ สำ คัญทางศาสนา ซึ่ ง แรงงานส่วนใหญ่ของการทอผ้าก็จะเป็ น แรงงานของคนในครอบครัว เมื่ อกลุ่ม ภาคอุตสาหกรรมเริ่ มเข้ามาวิถีชาวบ้านก็ เปลียนไป ชาวบ้านและคนในครอบครัวเริ่มหัน่ ไปทำ งานโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้ น ทำ ให้เหลือกลุ่มผู้สื บทอดการทอผ้า เงี่ ยงนางดำ เริ่ มหายไปตามกาลเวลา เทศบาลตำ บลสูงเนิน เล็งเห็น คุณค่าและต้องการอนุรักษ์และสืบทอด ผ้าพื้ นเมืองให้คงอยู่ตลอดไป เนืองจากผ้า่ ทีทอมีลักษณะที่ ่ ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ เฉพาะกลุ่ม อีกทังจากการสืบค้นประวัติและ้ สอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่ในอำ เภอสูงเนินทียัง่ มีการสวมใส่ผ้าเงี่ ยงนางดำ ซึ่ งขณะนั้ น ยังไม่ได้เรียกว่า “ผ้าเงี่ ยงนางดำ ” ซึ่ งไม่มี ที่ ไหนที่ มีผ้าทอลักษณะนี้ ที่ เหมือนกับกลุ่ม ที่ ทอผ้าในอำ เภอสูงเนิน ซึ่ งเทศบาลตำ บล สูงเนินนำ โดย นายนคร กิติพู ลธนากร นายกเทศมนตรีตำ บลสูงเนินในสมัยนั้ น เกรงว่าผ้าที่ เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของ ชาวอำ เภอสูงเนินจะสูญหายไป จึงได้ก่อตัง้ กลุ่มผ้าเงี่ ยงนางดำ ขึ้ นมา เพื่ อต้องการ อนุรักษ์ผ้าพื้ นบ้านให้รุ่นลูก รุ่นหลาน และ บุคคลทัวไปได้รู้จักต่อไป ส่วนการให้ชื่ ่ อที่ เรียกว่าผ้าเงี่ ยงนางดำ โดยคำ ว่า “เงี่ ยง” หมายถึง ครีบ หรือกระดูกแข็ง ปลายแหลมคม ของปลาบางชนิด ซึ่ งในการทอ ที่ พื้ นผ้าจะสอดด้วยด้ายสีขาวและสีเหลือง เพือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคล้ายกับกระดูกแข็ง ่ ของปลา ส่ วนคำ ว่า “นางดำ ” มาจาก ความโดดเด่นของสีผ้าที่ เป็ นสีเข้ม จึงเรียกว่า ผ้าเงี่ ยงนางดำ เดิมที่ ในอดีตเป็ นผ้าถุงนุ่ง อย่างเดียว แต่ปั จจุบันได้มีการประยุกต์ เป็ นผ้าซิ่ น กระโปรง และเสื้ อเพื่ อให้ทันตาม ยุคสมัย “ ”


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 65 กระบวนการผลิตและวิธีการทอผ้าเงี่ ยงนางดำ ในการทอผ้าเงี่ ยงนางดำ จะใช้หลักการเดี่ ยวกับการทอผ้าเหมือนการทอผ้า พื้ นเมืองทัวไปตามรูปแบบที่ ่ ถูกสืบทอดกันมาโดยเฉพาะชาวอีสาน หลักการของทอผ้า คือ การทำ ให้เส้นด้ายสองกลุ่มขัดกัน ซึ่ งต้องมีอุปกรณ์เบื้ องต้นที่ สำ คัญคือ ด้ายยืนจะ ถูกขึงไปตามความยาวผ้า หรือแกนม้วนด้ายยืนจะอยู่ติดในกี่ ที่ ใช้สำ หรับทอผ้าแล้วร้อย ปลายด้ายยืนแต่ละเส้นเข้าในตะกอแต่ละชุดและฟั นหวี หรือฟั นฟื ม เช่น ถ้าตังเส้นด้าย 50 ้ หลอด และต้องการผ้าหน้ากว้าง 40 นิว จะต้องเดินด้าย 24 ครั้งหรือ 24 เที้ยว จะได้เส้นด้าย่ ออกมาทังสิ้ ้ น 1,200 ฟั นหวี สำ หรับความยาวนันจะนับเอาจากม้าเดินด้าย ถ้าม้าเดินด้าย้ ยาวตัวละ 4 เมตร ก็ใช้ 1 หลัก ถ้าต้องการ 80 เมตร ก็จะใช้ 20 หลัก เมื่ อได้ความยาว และความกว้างแล้วก็จะเตรียมเข้าฟั นหวี ซึงฟั นหวีคล้ายกับหวีเป็ นกรอบไม้แบ่งเป็ นช่อง ่ ถี่ มาก ๆ ด้วยลวดซี่ เล็ก ๆ สำ หรับจัดระเบียบเส้นด้ายยืน ควบคุมความกว้างของหน้าผ้า จัดให้แนวเส้นยืนมีความสม่ ำ เสมอ เป็ นแนวกันให้กระสวยวิ้ งในแนวตรง และเป็ นอุปกรณ์ ่ กระทบเส้นด้ายพุ่งให้ชิดแน่นเป็ นผืนผ้า จากนันดึงปลายเส้นด้ายยืนทั้งหมดม้วนเข้ากับ้ แกนม้วนผ้าอีกด้านหนึ่ งแล้วปรับความตึงหย่อนให้พอเหมาะ ภาพที่ 1 การสืบด้ายยืนแกนม้วนเพื่ อร้อยปลายด้ายยืนเข้าตะกอและฟั นหวี


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 66 อีกชนิดหนึงคือ เส้นด้ายพุ่งจะถูก่ กรอเข้ากระสวย เพื่ อให้กระสวยเป็ นตัวนำ เส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็ นมุมฉาก ทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุด ถึงริมแต่ละด้านแล้วจึงวกกลับมา จะทำ ให้ เกิดริมผ้าเป็ นเส้นตรงทังสองด้านการขัดกัน้ ของด้ายยืนและด้ายพุ่ งจะขัดกับแบบ ธรรมดาที่ เรียกว่าลายขัดและมีการเพิ่ ม เทคนิคพิเศษโดยการสอดด้ายสีขาวและ สีเหลืองเพือให้ผ้า มีลวดลาย สีสันที่สวยงาม่ แปลกตาที่ เป็ นเอกลักษณ์ของผ้าเงี่ ยง นางดำ ภาพที่ 2 กระสวยด้ายพุ่งที่ เป็ นตัวนำ สอดเส้นด้ายพุ่งขัดกับเส้นด้ายยืน


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 67 ส่ ว น ก ร ร ม วิ ธี ก า ร ท อ ใ ห้ เ กิ ด ลวดลายโดยการยกตะกอซึ่ งจะใช้เท้า เหยียบสลับกันไปมา เพื่อแยกด้าย เส้นยืนชุดบนหรือชุดที่ 1 จะถูกแยกออกจาก กันเพื่ อให้เกิดช่องว่าง แล้วสอดกระสวย ด้ายพุ่งผ่านสลับตะกอบน ยกตะกอล่าง หรือชุดที่ 2 สอดกระสวยพุ่งกลับ ทำ สลับ กันไปเรือย ๆ ซึ่งจะทอผ้าพื่น 16 ครั้ง แล้วสอด้ กระสวยด้วยสี ที่ ต้องการ 1 ครั้ ง หรือ ทอผ้า 8 ครัง แล้วสอดกระสวยด้ายด้วยสี้ ที่ ต้องการ 2 ครัง แต่ด้ายที้ ่ สอดจะใช้ด้าย สลับสี ที่ นำ มาพั นกันแล้วปั่นใส่ หลอด เพื่ อใช้สอดจะได้ลายนูนขึ้ นมา ภาพที่ 3 ตะกอบนและตะกอล่างแยกออกจากกันเพื่ อให้เกิดช่องว่างเพื่ อให้กระสวยด้ายพุ่งสอดผ่าน การกระทบฟั นหวี หรือฟั นฟื ม เมื่ อสอดกระสวยด้ายพุ่งกลับก็จะ กระทบฟั นหวีเพื่ อให้ด้ายพุ่งแนบติดกัน ได้เนื้ อผ้าที่ แน่นหนา เมื่ อทอผ้าได้ พอประมาณแล้วก็จะม้วนเก็บในแกนม้วนผ้า โดยผ่อนแกนด้ายยืนให้ คลายออกและปรับความตึงหย่อนใหม่ให้เหมาะสม


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 68 ภาพที่ 4 ฟั นหวี หรือฟั นฟื มใช้กระทบเส้นด้ายพุ่งเพื่ อให้ผ้าแน่นเป็ นผืนผ้า อัตลักษณ์ที่ โดดเด่นของผ้าเงียง่ นางดำ คือ ผ้าถุงที่ ใช้นุ่งจะมี 3 ส่วน โดย ส่วนแรกเรียกว่า ส่วนพก จะเป็ นลวดลาย เฉพาะของชาวอำ เภอสูงเนิน ซึ่ งเป็ นพื้ น ผ้าสี แดงสอดด้ายสี ขาวและสี เหลือง มีลักษณะลายแนวตัง ส่วนที้ สองเป็ นผ้าถุง ่ จะเป็ นสีคราม สีดำ หรือสีน้ำ เงินสอดด้วย ด้ายสีแดงและส่วนสุดท้ายหรือส่วนตีน ผ้าถุง จะทอด้วยสีดำ เป็ นแถบทึบสลับ สีแดง ซึ่ งตีนผ้าถุงไม่กว้างมากและความ โดดเด่นที่ สำ คัญคือ จะเน้นสีผ้าที่ มีสีเข้ม เช่น สีน้ำ เงิน สีกรมท่าลักษณะเป็ นสีดำ ที่ ออกโทนน้ำ เงิน และสีครามเป็ นต้น ความ โดดเด่นของสีผ้า และเทคนิคการทอผ้านี้ จึงเรียกว่า ผ้าเงี่ ยงนางดำ ภาพที่ 5 ผ้าเงี่ ยงนางดำ ที่ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนพก ผ้าถุง และตีนผ้าถุง


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 69 สรุป ผ้าเงี่ ยงนางดำ เกิดจากการ สนับสนุนและส่งเสริมจากเทศบาลตำ บล สูงเนิน ที่ เล็งเห็นคุณค่า และต้องการ อนุรักษ์และสืบสานผ้าพื้ นเมืองให้คงอยู่ ตลอดไป เนื่ องจากผ้าทอมีลักษณะที่ ไม่เหมือนใครและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการจัดตั้ งกลุ่มทอผ้าเทศบาลตำ บล สูงเนิน โดยมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก ผู้เฒ่า ผู้แก่ให้แก่คนในชุมชนทีสนใจและนำ่ ไปพัฒนาต่อยอดในการสร้างอาชีพให้แก่ คนในชุมชนให้มีรายได้ อีกทั้ งยังเป็ น การส่งเสริมผ้าเงียงนางดำ่ที่ เป็ นภูมิปั ญญา ของชาวอำ เภอสูงเนินให้เป็ นทีรู้จักกันมาก่ ยิ่ งขึ้ น อัตลักษณ์ที่ โดดเด่นของผ้าเงี่ ยง นางดำ เป็ นผ้าถุงที่ ใช้นุ่งจะมี ๓ ส่ วน โดยส่วนแรกเรียกว่า ส่วนพกจะมีลวดลาย เฉพาะของสูงเนิน ส่วนที่ สองคือ ผ้าถุง จะเป็ นสีคราม และส่วนสุดท้ายตีนผ้าถุง จะทอด้วยสี ดำ เป็ นแถบทึบสลับสี แดง ซึงตีนผ้าถุงไม่กว้างมาก อีกทั่งมีความโดดเด่น้ ที่ สำ คัญคือ จะเน้นสี ผ้าที่ มีสี เข้ม ด้วย ความโดดเด่นของสีผ้าและเทคนิคการทอ ผ้าเงี่ ยงนางดำ จึงได้รับความนิยมจนมี การพัฒนาจากผ้าถุงไปเป็ นกระโปรง เสื้ อ เป็ นทั้ งเครื่ องแต่งกายของชายและหญิง จึงทำ ให้เริมได้รับสนใจและได้รับความนิยม ่ เพิ่ มมากขึนเรื้อย ๆ จนทำ่ให้ผ้าเงียงนางดำ่ ที่ เป็ นผ้าพื้ นบ้านของชาวอำ เภอสูงเนิน ที่ กำ ลังจะสูญหายไป ได้มีผู้สืบทอดและ อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการทอผ้าเงี่ ยง นางดำ อีกทั้ งมีการส่งเสริมจากภาครัฐ และภาคเอกชนจนทำ ให้เป็ นทีรู้จักของผู้คน่ มากยิ่ งขึ้ น รายการอ้างอิง ตรึงใจ บูรณสมภพ และ ดารณี บุณยประสพ. (2544). ลวดลายและสีสันบนผ้าทอพื้ น เมือง. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยศิลปากร เทศบาลตำ บลสูงเนิน. (2565). การทอผ้าเงี่ ยงนางดำ . สืบค้นเมื่ อ 22 ธันวาคม 2565. จาก https://sungnoen.go.th/page34-2/ ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2547). หอแสดงผ้าไทยพื้ นบ้าน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ ธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ. (2560). ผ้ายก. กรุงเทพฯ: สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ บัวเรียน ทำ บุญ. (2560). เว็บไซต์สัมมาชีพชุมชนจังหวัดกาฬสินธุ์ การทอผ้าพื้ นเมือง. สืบค้นเมือ 4 มกราคม 2566 จาก https://cddata.cdd.go.th/cddkm/ prov่ /km1_viewlist.php?action=view&div=28&kid=303 สำ นักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เขต 5 จังหวัดชุมพร.(2566). การทอผ้า. สืบค้นเมื่ อ 18 มกราคม 2566. จาก https://qsds.go.th/newqsissout/?page_id=2600


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 70 ภูมิปั ญญาชาวบ้าน “หมอรักษากระดูกและหมอน้ำ มัน” หมู่ 7 บ้านหนองนาลุ่ม ตำ บลหมืนไวย อำ่เภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา อาจารย์สายสวาท โคตรสมบัติ, ศศิวิมล เปี ยหมืนไวย และ อาจารย์กิตติศักดิ่ ์ กลินหมื่นไวย่ [email protected]


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 71 บทนำ ภูมิปั ญญา ตรงกับคำ ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom ซึ่ งมีความหมายว่า ความรู้ ความสามารถ ความเชือ ความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ไข่ ปั ญหาของมนุษย์ ส่วนภูมิปั ญญาชาวบ้าน (Popular Wisdom) เป็ นความรู้ของ ชาวบ้านทีสร้างขึ่นจากประสบการณ์และความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ซึ้งได้เรียนรู้จาก่ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตายาย ญาติพี่ น้อง และผู้ที่ มีความรู้ในชุมชน ความรู้เหล่านี้เกี่ ยวข้องกับ การดำ เนินชีวิต เป็ นแนวทางหลักเกณฑ์ มีวิธีปฏิบัติที่ เกียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก่ ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับผู้ล่วงลับไปแล้วกับสิ่ งศักดิ์ สิทธิ์ และกับธรรมชาติ ความรู้ ที่ สั่ งสมมาแต่บรรพบุรุษสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่ งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ ง ระหว่างการสืบทอด มีการปรับปรุง ประยุกต์และเปลี่ ยนแปลงจนอาจเกิดเป็ นความรู้ใหม่ตามสภาพการณ์ ทางวัฒนธรรมและสิ่ งแวดล้อม (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542)


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 72 ภูมิปั ญญาการรักษาอาการเจ็บป่ วยเกี่ ยวกับกระดูกด้วยน้ำ มันงา การเรียนรู้ตำ รารักษาอาการเจ็บป่ วยมีอยู่หลายโรค หากผู้เรียนมีความสนใจ และ ถนัดทีจะศึกษาการรักษาโรคใดก็จะเล่าเรียนในการรักษานั ่นจนชำ้นาญ ทำ ให้การรักษาโรค บางชนิดสูญหายไปด้วยไม่มีผู้เรียนรู้ทีจะสืบทอดต่อไป (สุวรรณ พงษ์หมื่นไวย (หมออิด) ่ , สัมภาษณ์, 2565) ส่วนการรักษาเกี่ ยวกับกระดูกด้วยน้ำ มันงามีผู้สืบทอดจำ นวนมาก ในปั จจุบันได้มีการกระจายไปอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ เช่น คุณตายันต์ รสหอม อายุ 86 ปี อยู่บ้าน เลขที่ 91 บ้านเฉนียง หมู่ 8 ตำ บลบะ อำ เภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ที่ เชือว่ารักษาโรคกระดูก่ ด้วยวิธีแผนโบราณ โดยใช้เพียงน้ำ มันงา และใช้คาถากำ กับเสกเป่ าประสานบาดแผล หรือ กระดูกเดาะ หัก เคล็ดยอก ช้ำ บวม ฟกช้ำ ดำ เขียว จะเสกน้ำ มันงาดิบ ทาแผลหรือที่ เคล็ด ขัดยอกก็ได้ กระดูกเคลื่ อนไม่เข้าที่ จะหายไปสิ้ นใน 3 วัน 7 วัน โดยคุณตายันต์ไม่คิด ค่ารักษา นอกจากขันธ์ 5 และค่ายกครู 12 บาท ภาพการรักษาคนไข้ของคุณตายันต์ รสหอม ที่ มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันจันทร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 ภาพขันธ์ 5 และค่ายกครู 12 บาท ในการรักษาคนไข้ของคุณตายันต์ รสหอม ที่ มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันจันทร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 73 ส่ วนของจังหวัดนครราชสี มา พบว่ามีผู้สืบทอดภูมิปั ญญาการรักษา อาการเจ็บป่ วยเกี่ ยวกับกระดูกด้วย น้ำ มันงา อยู่ตามอำ เภอต่าง ๆ ทัวจังหวัด่ นครราชสีมา รวมถึงพื้ นที่ ตำ บลหมื่ นไวย ทีอยู่ในบริเวณใกล้กับที่ตั่งของมหาวิทยาลัย้ วงษ์ ชวลิตกุล ผู้เขียนจึงมีความสนใจ ที่ จะศึกษา เมื่ อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ได้ลงพื้ นที่ ตำ บลหมื่ นไวย ซึ่ งอยู่ในเขต เมืองนครราชสีมา พบว่ามีหมอที่ ยังใช้ การรักษาด้วยภูมิปัญญาพืนบ้านอยู่จำ้นวน 2 ราย ซึ่ งอาศัยอยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้านหนองนาลุ่ม ตำ บลหมื่ นไวย อำ เภอเมืองนครราชสีมา (ทิพย์วารี สงนอกและนนทิยา จันทร์เนตร์, 2561) จึงสนใจเข้าไปศึกษาและรวบรวม ข้อมูลจากหมออิด (นายสุวรรณ พงษ์หมืนไวย)่ ทายาทผู้สืบทอดโดยตรงของหมออิน (นายอิน ขอนโคกสู ง) และหมอดอก (นายศุภณัฎฐ์ ภู่หมืนไวย) ผู้ที่มีความสนใจ่ ใฝ่ รู้และได้มอบตัวเป็ นศิษย์ของหมออิน เพื่ อ เรียนรู้วิชาการรักษา ในการศึกษาครั้ งนี้ พบภูมิปั ญญาด้านการรักษาโรคของคน ในชุมชนด้วยหมอพื้ นบ้านทีช่วยดูแลรักษา่ เกี่ ยวกับเรื่ องกระดูก อาการปวดเมื่ อย ตามร่างกาย ด้วยน้ำ มันงาร่วมกับคาถา เพื่ อดูแลรักษาอาการที่ เกี่ ยวข้องกับไขข้อ กระดูก เส้นเอ็น อาจเนืองมาจากการรักษา่ ของหมอพื้ นบ้านสร้างความอุ่นใจให้กับ ผู้ป่ วย มีความใกล้ชิดและเป็ นที่ พึ่ งทางใจ ได้เป็ นอย่างดี ทำ ให้ผู้มารักษารู้สึกสบายใจ มีกำ ลังใจในการรักษาตัว ด้วยคุณสมบัติ ของผู้สืบทอดที่ ได้กำ หนดไว้ คือ ต้องเป็ น ผู้รักษาศีล ประพฤติปฏิบัติดี มีความตังใจ ้ พู ดจาสุภาพจึงจะได้รับการถ่ายทอด ภูมิปั ญญาการรักษามาจากบรรพบุรุษรุ่น สู่ รุ่นและคนในชุมชนยังมีการสื บทอด ภูมิปั ญญาด้านการรักษาโรคมา อย่างต่อเนือง รวมถึงยังมีการรักษาควบคู่กับ่ แพทย์แผนปั จจุบันจึงทำ ให้การรักษาด้วย ภูมิปั ญญาชาวบ้านเป็ นที่ ยอมรับมาจนถึง ปั จจุบัน บรรพบุรุษผู้สืบทอดตำ รายาและการรักษา


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 74 การตังเครื ้ ่ องบูชาครู บ้านหมออิน เมื่ อครังยังมีชีวิต ้ ใช้ในการรักษาคนไข้ อุปกรณ์ไม้ค้ำ เพื่ อให้ผู้ป่ วยยืมใช้ ภูมิปั ญญาด้านการรักษาโรค ของคนในชุมชนตำ บลหมื่ นไวย พบว่า นายอิน ขอนโคกสูง อาศัยอยู่หมู่ที่ 7 บ้าน หนองนาลุ่ม ตำ บลหมื่ นไวย อำ เภอเมือง นครราชสีมา เป็ นหมอพื้ นบ้านที่ ช่วยดูแล รักษาเกี่ ยวกับเรื่ องกระดูก อาการ ปวดเมือยตามร่างกายด้วยน่ ้ำ มันงา โดยที่ หมออินเรียนรู้ด้านการรักษากระดูก ด้วยน้ำ มันงามาจากพ่อที่ เรียนรู้ภูมิปั ญญา ด้านนีมาจากปู่ อีกทอดหนึ้ ง เป็ นมรดกทาง ่ ภูมิปั ญญาที่ ได้รับการสืบทอดจากรุ่น สู่รุ่น เมื่ อหมออิน ขอนโคกสูง เสียชีวิตเมื่ อ วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560 ผู้ที่ สืบทอด ภูมิปั ญญาด้านการรักษา 2 ท่าน คือ นายสุวรรณ พงษ์หมืนไวย (หมออิด) บุตรเขย ่ และนายศุภณัฎฐ์ ภู่หมื่ นไวย (หมอดอก) ผู้ที่ มอบตัวเป็ นศิษย์ จากการถ่ายทอดเกร็ด ความรู้ ของนายสุวรรณ พงษ์หมื่ นไวย หรือ ที่ เรียกกันว่าหมออิดซึ่ งเป็ นทายาทรุ่นที่ 3 เล่าว่าตำ รายาที่ หมออินผู้เป็ นบิดาได้รับ การถ่ายทอดมาจากปู่ มีวิชาให้เรียนรู้ หลายขนานร่ ำเรียนไม่หมดด้วยตนมีความถนัด และชอบการรักษากระดูก จึงเรียนรู้และ รับมาเพียงวิชาการรักษาเกี่ ยวกับกระดูก ด้วยน้ำ มันงา เมือครั่งที้หมออินยังมีชีวิตอยู่ ่ ตนได้มีหน้าที่ ช่วยเตรียมเครื่ องบูชา เพื่ อการรักษาหากแต่ยังไม่ได้ช่วยรักษา จนเมื่ อหมออินเสียชีวิตจึงรับหน้าที่ แทน ตามคำ บอกของหมออินทีว่า “เมื่อมีคนมาหา่ ก็ต้องรักษา” ในปั จจุบันการรักษาของ หมออิดจะเป็ นการรักษาควบคู่กับแพทย์ แผนปั จจุบัน กล่าวคือ หากคนไข้มาขอรับ การรักษาหมออิดจะสอบถามอาการ และ ผลการวินิจฉัยจากแพทย์แผนปั จจุบันก่อน เพื่ อให้ทราบถึงอาการที่ แท้จริง แล้วรักษา เพิ่ มเติมด้วยน้ำ มันงาดำ เพื่ อให้คนไข้มีที่ พึ่ งทางใจเพิ่ มขึ้ น และตลอดการรักษาจะ ต้องห้ามรับประทานอาหารอยู่ 3 อย่างคือ ข้าวเหนียว หน่อไม้ และมะเฟื อง เพราะมีผล ต่อการรักษา


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 75 งาดำ ที่ นำ มาใช้ในการสกัด เป็ นน้ำ มันงา หมออิดเล่าว่าเป็ นการ คัดเลือกพันธุ์ที่ ดีที่ สุดจากทางภาคเหนือ เป็ นงาดำ ที่ ปลูกในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดย หมออิดจะสังงาดำ่มาคัวและตำ่ เองจนเป็นน้ำมันงา แล้วกรอกใส่ ขวดเพื่ อรอทำ พิ ธี จนมา ในปั จจุบันที่ หมออิดก็ยังคงทำ เช่นเดิม ซึงการรักษาด้วยน่ ้ำ มันงาสามารถนำ มาใช้ทา และดืมได้โดยเฉพาะผู้ป่ วยที่มีอาการกระดูก่ หัก หรือแตกควรดืมเพื่ ่ อให้กระดูกสมานตัว เร็วขึ้ น น้ำ มันงาที่ ใช้ในการรักษาจะผ่าน การทำ พิธีบูชาครูก่อนการรักษา ประกอบด้วย กรวย ดอกไม้ และน้ำ มันงา เงินบูชาครู 205 บาท เมื่ อผู้ป่ วยรักษาหายก็จะนำ เครืองบูชากลับมาคืนตามความเชื่อที่ว่าจะไม่่ เจ็บป่ วยอีก และยังกลับมาสมนาคุณหมอ เพิมเติมตามศรัทธา หากผู้ป่วยไม่สะดวกกลับมา ่ ก็สามารถทำ พิธีด้วยตนเองโดยการเปิ ดฝา ขวดน้ำ มันออกแล้วเทน้ำ มันลงใต้โคน ต้นไม้ใหญ่เพื่ อเป็ นการสิ้ นสุดการรักษา สถานที่ รักษาของหมออิด ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565 นายสุวรรณ พงษ์หมื่ นไวย (หมออิด) ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 76 ในขณะทีนายศุภณัฎฐ์ ภู่หมื่นไวย ่ (หมอดอก) ผู้ทีมอบตัวเป็ นศิษย์ได้ถ่ายทอด ่ ให้ผู้เขียนทราบถึงความเป็ นมาในการเป็ น หมอรักษาด้วยน้ำ มันงาว่า เนืองจากตน ไม่่ ได้สืบเชื้ อสายโลหิตมาจากหมออินจึงต้อง มีการขออนุญาตจากหมออินเพื่ อเรียนวิชา รักษา ช่วงทีหมอดอกบวชเป็ นพระภิกษุ อยู่ ่ ทีวัดหมื่นไวย ขณะนั่ นหมออินเป็ นมัคทายก ้ และมีความชอบพอในอุปนิสั ยใฝ่ รู้ของ หมอดอกจึงได้ถ่ายทอดวิชาการรักษา กระดูกด้วยน้ำ มันงาตังแต่ยังเป็ นพระภิกษุ ้ ต่อมาตนได้สึกออกมา และปวารณาเป็ นศิษย์ ของหมออินเพื่อเรียนรู้การรักษา อย่างจริงจัง โดยผู้ที่ เข้ามาฝากตัวเป็ นศิษย์ ต้องมีพฤติกรรมดี รักษาศีล มีความสุภาพ และ ตั้ งใจในการช่วยเหลือผู้เจ็บป่ วย แนวทาง ในการรักษาเช่นการระวังเรืองการกินอาหาร่ ในระหว่าง การรักษาและวิธีการรักษาเป็ น รูปแบบเดียวกันกับหมออิด น้ำ มันงา ทีผ่านพิธีกรรมรักษาได้ทั่งคนและสัตว์เลี้ยง้ ยกเว้นไม่รักษาสุนัข ในขันตอนการรักษาทั ้งหมออิดและหมอดอกมีขั ้นตอนในการรักษา ้ ที่ เหมือนกันคือ รักษาควบคู่กับแพทย์แผนปั จจุบันและเป็ นการสอบถาม อาการเจ็บปวดก่อนเพือหาจุดรักษาที ่ถูกต้อง โดยมีการรักษา 3 ขั ่นตอน คือ้ 1. ขันวินิจฉัย ้หมอทังสองท่านจะแนะนำ้ให้ผู้ป่ วยไปรักษากับแพทย์แผนปั จจุบันเพื่ อตรวจ ให้แน่ชัดถึงอาการที่ เป็ นอยู่ หลังจากนันจึงมาดูแลหรือรักษาต่อโดยใช้คาถาบทสวดและ้ น้ำ มันงาให้กับผู้ป่ วยที่ มาขอรับการรักษา ซึ่ งหมออิดจะซักถามเกี่ ยวกับสาเหตุของ การเจ็บ การปวด และการดูแลตนเองก่อนมารักษา เพื่ อทำ ความเข้าใจกับผู้มารักษาก่อนว่า ช่วงวัยจะมีผลต่อการเจ็บป่ วย เช่น กลุ่มวัยรุ่น โดยมากสาเหตุมักจะเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่ อมารักษาจะได้ผลดีและหายเร็ว ในขณะที่ ผู้สูงอายุมักจะเกิดจากอาการเสื่ อมของ ข้อกระดูก การรักษาอาจจะไม่หายขาด นายศุภณัฎฐ์ ภู่หมื่ นไวย (หมอดอก) ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 77 ส่วนหมอดอกจะใช้วิธีการซักถามอาการเจ็บปวดจากผู้มารักษาและถาม เกียวกับ การดูแลตนเองก่อนมารักษา ซึ่งหากผู้มารักษาไปพบแพทย์แผนปั จจุบันมาก่อน่ ก็จะซักถามผลการตรวจของแพทย์เพื่ อนำ มาพิจารณาร่วมกับการดูแลรักษาของตน จากนันก็จะตรวจร่างกายผู้มารักษา โดยการจับดูอาการ บีบ หรือนวดบริเวณที ้ ่ เจ็บ หรือเกิด อาการ 2. การรักษา เมื่ อวินิจฉัยอาการของผู้มา รักษาแล้ว หมออิดจะให้บูชาน้ำ มัน ขวดละ 200 บาท และค่าครู 5 บาท รวมเป็ น 205 บาท จากนั้ นหมออิดจะทำ พิธีบูชาครูและ นำ น้ำ มันมา ทาบริเวณที่ ผู้ป่ วยเจ็บปวด โดยทารอบที่ 1 คือ การลงคาถาน้ำ มันงา และรอบที่ 2 คือการปั ดเป่ า รังควานและ อธิษฐานให้เกิดผลดีต่อคนป่ วยไข้ เมือหมอ่ ทาน้ำ มันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ผู้มารักษา นำ น้ำ มันไปทาต่อเองที่ บ้านของตน พร้อมบอกวิธีปฏิบัติตนแก่ผู้มารักษา ส่ วนหมอดอกจะบอกให้บูชา น้ำ มันงา ขวดละ 200 บาท พร้อมค่าครู 5 บาท ทังนี้ ้ สามารถบูชาไปให้ผู้ป่ วย ที่ ไม่ สามารถมารักษาด้วยตัวเองได้ แต่ผู้ป่ วย จะใช้น้ำ มันร่วมกันไม่ได้ เมื่ อผู้มารักษาบูชา น้ำ มันเรียบร้อย หมอก็เริ่ มทำ พิธีบูชาครู เสกน้ำ มัน โดยกรวยดอกไม้เพื่ อบูชาครู หมอได้จัดเตรียมไว้ให้ผู้มารักษา เพื่ อ ความสะดวกมากยิงขึ ่น เมื้อบูชาครูเสกน่ ้ำ มัน เรียบร้อยแล้ว หมอจึงนำ สำ ลีชุบน้ำ มันงา มาทาบริเวณที่ ผู้มารักษาเจ็บปวด พร้อม ร่ายคาถาและแนะนำ การดูแลรักษาสุขภาพ การทาน้ำ มันสำ ลีที่ ใช้ในการทาจะ ใช้เหมือน แพทย์แผนปั จจุบันและมีผ้าพั นบริเวณ ที่ เจ็บปวด โดยสามารถสังซื่อได้หากผู้ป่ วย้ ต้องการ เครื่ องบูชาครู(บ้านหมออิด) ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565 ภาพขณะกำ ลังให้การรักษาของหมอดอก ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565 น้ำ มันงาที่ ผ่านการคัวและสกัดแล้ว (บ้านหมอดอก) ่ ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 78 3. การดูแลหลังการรักษา หมอทั้ ง สองท่านได้ยึดตามข้อควรปฏิบัติทีหมออิน่ ได้ระบุไว้เช่นเดียวกัน โดยหมออิดเล่าว่า ควรงดเว้นอาหารแสลงตามที่ หมออินเคย บอกไว้คือ หน่อไม้ ข้าวเหนียว และมะเฟื อง การทาน้ำ มันขึนอยู่กับความสะดวกของผู้ป่ วย้ ซึ่ งหากผู้ป่ วยอยู่ใกล้ก็นำ น้ำ มันที่ บูชา มาให้ทา หรือดูอาการได้ทุกวันโดยไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ ม เมื่ อหายแล้วจึงมาส่ง ค่าครูเป็ นการระลึกถึงหรือตอบแทนครูที่ ทำ ให้หายจากอาการเจ็บปวด เช่นเดียวกับ การดูแลหลังการรักษาของหมอดอก จะแนะนำ การดูแลตัวเองให้แก่ผู้มารักษา และไม่ให้รับประทานของแสลง ได้แก่ หน่อไม้ ข้าวเหนียว และมะเฟื อง เพราะมีผลทำ ให้ การรักษาไม่หายได้ นอกจากนี้ หากผู้ป่ วย สะดวกมาให้หมอทาน้ำ มันให้ ก็สามารถนำ ขวดน้ำ มันที่ บูชาแล้วมาให้หมอดอกทาให้ อีกได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภาพขณะกำ ลังให้การรักษาของหมออิด ภาพ ณ วันที่ 10 มกราคม 2566 ข้อควรปฏิบัติที่ หมออินได้บอกไว้ ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 79 บทสรุป การรักษากระดูกด้วยน้ำ มันงา เป็ นการนำ ภูมิปั ญญาเกี่ ยวกับสมุนไพร มารักษาอาการเจ็บปวดร่วมกับการรักษา ทางจิตใจของผู้ป่ วย จากบันทึกเกี่ ยวกับ การสัมภาษณ์หมออิน ซึ่ งถ่ายทอดโดย หมอดอก จะเห็นได้ว่าตำ ราการรักษานี้ได้รับ การถ่ายทอดมาจากเขมรต่ ำ เป็ นการรักษา ด้วยการใช้ภูมิปั ญญาชาวบ้านที่ มีความรู้ เกี่ ยวกับสมุนไพรที่ มีฤทธิ์ ทางยาผสานกับ ความชำนาญเฉพาะบุคคล รวมถึงผู้ทีจะสืบทอด่ ความรู้ต้องมีคุณลักษณะที่ เหมาะสม ด้วยความประพฤติทีดีทั่งทางกาย วาจา และใจ้ รักษาศีล เพื่ อสร้างความเชื่ อมั่ นให้แก่ผู้ที่ ต้องการพึ่ งพิ งในยามป่ วยไข้ ดังคำ ที่ หมออินได้ฝากไว้กับหมออิดและหมอดอก คือ “เมื่ อมีคน (ผู้ป่ วย) มาหา ก็ต้องรักษา” บันทึกหมอยาเขียนโดยวิสุดา อาจกล้า เผยแพร่โดยหมอดอก ภาพ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2565 รายการอ้างอิง ทิพย์วารี สงนอก และ นนทิยา จันทร์เนตร์. (2561) : ภูมิปั ญญาท้องถิ่ นจากวิถีชีวิต ชาวบ้าน ตำ บลหมื่ นไวย อำ เภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา , องค์การบริหาร ส่วนตำ บลหมื่ นไวย. สืบค้นจาก https://saomeaunwai.go.th/info.php?c g=2&ct=16 สืบค้นเมื่ อ 20 พฤศจิกายน 2565 ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. กรุงเทพฯ :ราชบัณฑิตยสถาน ศุภณัฎฐ์ ภู่หมื่ นไวย (หมอดอก). (14 ธันวาคม 2565) . สัมภาษณ์ สุวรรณ พงษ์หมื่ นไวย (หมออิด). (14 ธันวาคม 2565) . สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า. (2561, 29 มกราคม). คุณตาชาวสุรินทร์! รักษาโรคกระดูกด้วย น้ำ มันงาเป่ าคาถา..เพี้ ยงเดียวหาย. แนวหน้า. สืบค้นจาก https://www. naewna.com/local/317343 สืบค้นเมื่ อ 23 มกราคม 2566


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 80 มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล : มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรก ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจารย์ศุภฤกษ์ กอบัว อาจารย์สุขุม พระเดชพงษ์ E-mail : [email protected]


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 81 มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล : มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรก ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจารย์ศุภฤกษ์ กอบัว อาจารย์สุขุม พระเดชพงษ์ E-mail : [email protected]


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 82


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 83


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 84


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 85


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 86


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 87


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 88


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 89


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 90


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 91


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 92


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 93


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 94


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 95


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 96


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 97


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 98


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 99


Encyclopedia of Korat Study 5 สารานุกรมโคราชศึกษา 5 100


Click to View FlipBook Version