เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพิม่ เตมิ (ว33241) 51
ภาพที่ 1.60 แสดงสายตาท่ีผิดปกตแิ ละการแกไ้ ข สายตาสั้น ( ก ) สายตายาว ( ข )
(ท่มี า : http://www.vcharkarn.com/userfiles/74451/1%20(61)(1).jpg)
การรบั ภาพ (visual pathway)
ชน้ั เรตินาของตาเปน็ ช้ันของจอรบั ภาพ โดยมเี ซลลห์ ลายชนดิ เรยี งกนั เปน็ ชัน้ ซง่ึ จะผา่ นช้ันเยอ่ื บุ
จอรับภาพ เขา้ สชู่ ้ันเซลล์รบั ภาพซึ่งประกอบด้วยเซลล์รูปแท่งและเซลลร์ ปู กรวยจากนัน้ เข้าสชู่ น้ั เซลล์ประสาทรบั
ความรู้สึกของตา และรวมเข้าสู่เสน้ ประสาทตา เมื่อเสน้ ประสาทตารับภาพแลว้ จะเกิดการไขวก้ นั เรียก ออพติก
ไคแอสมา (optic chiasma)ก่อนส่งไปท่ที าลามัสและประมวลผลที่ออกซิพิทลั โลบ (occipital lobe)ต่อไป
ภาพที่ 1.61 แสดงการเกดิ Optic chiasm
(ท่มี า :
http://www.wisedude.com/health_medi
cine/sight.htm)
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววิทยาเพิ่มเตมิ (ว33241) 52
อวยั วะรบั แสงในสตั วอ์ น่ื ๆ
ตาของแมลง มี 2 ชนิดคือ
1. ตาเด่ยี ว ( Simple eye) มี 1 หรอื 2-3 ตา เชน่ ในต๊ักแตนตาขา้ วส่วนใหญท่ าหน้าทีร่ ับรูเ้ กยี่ วกบั ความ
มดื ความสวา่ ง
2. ตาประกอบ ( Compound eye ) มี 2 ตา ประกอบดว้ ยตาย่อยๆ มากมายแตล่ ะตาย่อมจะมี Cornea
เป็นรูปหกเหลี่ยม เรียกแต่ละอันวา่ ฟาเซท (Facet) เชน่ ตาแมลงหว่ี แมลงวัน
ภาพที่ 1.62 แสดงตาประกอบของ
แมลง
(ทม่ี า :
http://michaelfriel.net/compou
nd_eye.html)
2. หูกับการรบั ฟงั และการทรงตวั
ภาพท่ี 1.63 แสดง
ลักษณะโครงสรา้ งของใบหู
(ที่มา :
http://rajatdmc.blogsp
ot.com/2011_02_01_ar
chive.html)
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพิม่ เตมิ (ว33241) 53
หู แบง่ ออกเป็น 3 ช้นั คือ
1. หชู ้นั นอก (external ear) เร่ิมต้งั แตใ่ บหูถงึ เย่ือแก้วหู
1.1 ใบหู (pinna) ใชเ้ ปน็ ลาโพงต้อนคล่ืนเสยี ง ประกอบด้วยกระดูกอ่อนอีลาสติกยืดหย่นุ ได้ พบเฉพาะใน
สตั ว์เลีย้ งลกู ด้วยนมเทา่ น้นั
1.2 รูหู (external auditory canal) เป็นทางเดนิ ของคลื่นเสยี งเขา้ ไปยงั หภู ายในมขี นและต่อมขหี้ ู
(ceriminous gland)เป็นเคร่ืองป้องกนั ไม่ใหส้ ตั วเ์ ลก็ ๆ เช่นแมลงเขา้ ไปรบกวน
2. หชู ั้นกลาง (middle ear)
2.1 เยือ่ แกว้ หู (Ear drum หรือ tympanic membrane) เป็นเยอ่ื บางๆทาหนา้ ที่รบั คล่นื เสยี งแลว้ เกดิ
การส่นั สะเทือนต่อ
2.2 กระดูก 3 ชิน้ คือ กระดกู รปู ค้อน (malleus) กระดูกรปู ทั่ง(incus) และกระดูกรปู โกลน (stapes) มี
หนา้ ทเ่ี พ่ิมแรงสั่นสะเทือนของคลนื่ เสยี ง
2.3 ทอ่ ยสู เตเชยี น(eustachain tube) สาหรับตดิ ตอ่ ระหว่างหูชั้นกลางกับคอหอย ทาหนา้ ที่ปรบั ความ
ดนั ภายนอกกับภายในรา่ งกาย
3. หชู นั้ ใน (inner ear) ประกอบดว้ ย
3.1 Saccular region ประกอบด้วย คลอเคลีย(cochlea) ลักษณะคลา้ ยก้นหอยมีของเหลวบรรจอุ ยู่ และ
มีอวยั วะรับเสยี งทเี่ รยี กวา่ อวัยวะของคอร์ติ (organ of Corti) ซ่ึงมเี ซลลข์ น(hair cell) ทาหนา้ ท่เี ป็นหน่วย
รับเสียง (phonoreceptor)กระตุน้ อวัยวะรบั เสียงให้ส่งสณั ญาณไปตามเส้นประสาทรบั ฟัง ซึ่งเป็น
เสน้ ประสาทสมองคทู่ ี่ 8 เพื่อเข้าสู่สมองต่อไป
3.2 Utriculcar regionประกอบดว้ ย เซมิเซอร์ควิ ลารแ์ คแนล (semicircular canal)มหี นา้ ที่ในการทรง
ตวั มีลกั ษณะเป็นหลอดครึง่ วงกลม 3 หลอด วางตง้ั ฉากกนั ปลายหลอดโปง่ เปน็ กระเปาะเรียกวา่ แอมพูล
ลา(ampulla)ภายในของหลอดและกระเปาะมีเซลลข์ นทาหนา้ ที่เปน็ อวัยวะทรงตัว
(statoreceptor)เรยี กวา่ คริสตา (crista) และมีก้อนหินปูนเล็กๆ เรียกว่า โอโตลติ ซ์(otolith) เมื่อเราเอียง
ตัวของเหลวจะไหลมากระทบ Crista และ otolith กจ็ ะกระทบ Crista เกดิ กระแสประสาทไปยังสมอง
หากเราหมนุ ตัวไปรอบๆนานๆ ตดิ ต่อกันจะทาให้เซลล์รบั ความรสู้ ึกนไ้ี ม่สามารถทางานไดต้ ามปกติ จงึ ไม่
สามารถทรงตวั อย่ไู ด้ คนทเี่ มาเหลา้ จะเดนิ โซซัดโซเซ เพราะประสาทท่ีมาเลยี้ งหสู ่วนกลางผดิ ปกติน่ันเอง
ภาพที่ 1.64 แสดงลักษณะ
โครงสรา้ งของใบหู
(ท่มี า :
http://rajatdmc.blogspot.com/2
011_02_01_archive.html)
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ (ว33241) 54
กลไกการไดย้ นิ เสยี ง
เรม่ิ จากคลน่ื เสียงเข้าไปทาใหส้ ่วนประกอบของหูที่เป็นตวั รบั เสยี ง เรียกวา่ Organ of corti ส่นั สะเทอื น
โดยเฉพาะเซลล์ขน(hair cell)ในคลอเคลยี เม่ือสนั่ สะเทอื นจะเกดิ กระแสประสาทขึ้น แล้วสง่ ไปตามเส้นประสาท
สมองคู่ที่ 8 (auditory nerve)เขา้ สู่สมองเป็นผแู้ ปลคลืน่ เสียงนน้ั อวัยวะรับฟงั ของคนคือ หมู หี น้าท่ีรับความถี่ของ
คลื่นเสียงและการทรงตวั ซึ่งกระแสประสาทจะส่งจากเส้นประสาทสมองเข้าสู่พอนส์ สมองส่วนกลาง ทาลามสั และ
ประมวลผลที่ซีรีบรมั ส่วน Temporal lobe ตามลาดบั
ภาพที่ 1.65 แสดงส่วนประกอบภายในของหู
(ทมี่ า : http://arch1design.com/blog/2010/03/fish-mercury-and-the-invisible-condition/)
กลไกการทรงตวั
ภายในหูส่วนในยงั มอี วยั วะทชี่ ว่ ยในการทรงตัว คือ เวสทริบวิ ลารแ์ อพพาราตสั (Vestibular
apparatus) ซง่ึ ประกอบด้วยสว่ นต่างๆคอื
1. semicircular canalมีลักษณะเปน็ ครึ่งวงกลมใน 3 ระนาบ ภายในบรรจุของเหลว (endolymph) ในส่วนที่
นูนออกมาบรเิ วณปลายจะมี hair cell อยู่ทาหนา้ ท่ีรับรกู้ ารเปลี่ยนแปลงในแนวราบ
2. utricle ,sacculeอยู่ทางดา้ นหน้า ของขอ้ 1 เปน็ กระเปาะสว่ นวงกลมขนาดใหญ่ มีก้อน Caอยู่ เป็นหนิ ปนู เล็กๆ
เรยี กว่า โอโตลิท(otolith)และ เซลลข์ น (hair cell) ทาหนา้ ทร่ี ับรู้การเปล่ียนแปลงในแนวตั้งฉากโดยเซลลข์ นรบั
การเปลี่ยนแปลงการไหลของของเหลว ส่วนโอโตลทิ จะถว่ งนา้ หนัก ภายใน semicircular canal มี endolymph
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพ่ิมเตมิ (ว33241) 55
เคลือ่ นท่ีอยตู่ ลอดเวลาทาให้ขนของ hair cell เบนไปมาทาให้เกดิ คลนื่ กระแสประสาทส่งไปยังสมองเพื่อควบคุม
การทรงตัวถา้ หากหมนุ ตวั หลายๆรอบ จะทาให้ระบบส่วนนี้ทางานผิดปรกติทาใหเ้ กิดอาการมนึ งง
ภาพที่ 1.66 แสดงสร้างของอวัยวะที่เกย่ี วขอ้ งกบั การทรงตัว
(ทม่ี า : http://carmenmotors.com/chat/saccule-and-utricle-function
ภาพท่ี 1.67 แสดงการเปลี่ยนแปลงภายในหูสว่ น
utricle และ sacculeขณะก้มและเงยหนา้
(ท่ีมา :
http://www.nicertutor.com/class/med/otolit
h.html)
รไู้ วใ้ ชว่ า่ ...
นกั เรียนสามารถศึกษาเก่ียวกบั หูและการไดย้ นิ
จากควิ อาร์โคดนี้ จะทาให้นกั เรียนเขา้ ใจในเน้อื หามากยง่ิ ขึน้
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพิม่ เติม (ว33241) 56
3. จมูกและการรบั กลิน่
ภาพที่ 1.68 โครงสร้างภายในของจมูก (ท่มี า :
http://www.vcharkarn.com/userfiles/88894/image/1%20(68).jpg)
ภายในจมูกมีเซลล์รบั กลิ่น (olfactory cell) ซ่ึงเปน็ เซลลป์ ระสาท 2 ข้วั ฝงั ตวั อยู่ในโพรงจมูก มหี น้าท่ี
เปล่ยี นสารเคมใี หเ้ ปน็ กระแสประสาทและสง่ ไปยงั สมองโดยเสน้ ประสาทรับกลิน่ (olfactory nerve)ซึ่งเป็น
เส้นประสาทสมองคทู่ ่ี 1จมกู (Nose) แบ่งเป็น 3 บรเิ วณ คือ
1. รจู มูกและโพรงจมูกสว่ นนอก (Nostril) เปน็ บรเิ วณทางเขา้ ของอากาศ มตี ่อมนา้ มนั และขนจมูกอยู่
2. ทางเดินลมหายใจ (Respiratory region) เปน็ สว่ นที่ยาวที่สุดอยถู่ ัดลึกเข้าไป ภายในมเี ยื่อบชุ นดิ มี
Cilia อยู่ มีตอ่ มเมือก (Mucous) เพอ่ื ให้ความช้นื และมีเส้นเลอื ดฝอยมาเลี้ยงมาก
3. บริเวณรบั กล่ิน (Olfactory region) เก่ยี วกบั การดมกลิน่ ภายในมเี ซลล์ประสาทออลแฟกทอร่ีทาหน้าท่ี
รบั กลน่ิ และสง่ กระแสประสาทไปยังเสน้ ประสาทรับกล่ินคือเสน้ ประสาทสมองคทู่ ่ี 1 (Olfactory nerve) ส่ง
สัญญาณสสู่ มองตอ่ ไป
กลไกการไดก้ ลน่ิ
กลไกการไดก้ ล่นิ เป็นดงั นี้
โมเลกุลในอากาศ→แพรเ่ ขา้ มาในชอ่ งโพรงจมูก→สัมผัสกับ→ขน(cilia) ของเซลล์รับความรูส้ กึ ในการ
ดมกลนิ่ ซงึ่ อย่ทู ่ีเยื่อบุโพรงจมูกดา้ นบน→ไปไซแนปส์กบั →เซลลป์ ระสาทรับกล่นิ (olfactory cell) →ซ่ึงจะ
เปล่ยี นกล่ินเปน็ →กระแสประสาท→ว่ิงไปตาม→เสน้ ประสาทสมองคู่ท่ี 1 (olfactory nerve) →ออลแฟทอรี
บลั บ์(olfactory bulb) →แปลผลที่→เทมเพอรัล โลบ (temporal lobe)ของซีรบี รัม (ศูนย์การดมกล่นิ )
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพ่ิมเติม (ว33241) 57
4. ลิน้ และการรบั รส
ลน้ิ เปน็ อวยั วะรบั สัมผสั ทางเคมีซ่งึ ทาหนา้ ที่รับรสต่างๆรสทล่ี ิ้นรับสมั ผสั ได้มี 5 รสคอื รสหวาน
รสขม รสเคม็ รสเปร้ยี ว และรสอมู ามิ ซง่ึ บริเวณทรี่ ับรสต่างๆจะมบี ริเวณทเ่ี ฉพาะ (ดงั ภาพ)
ลน้ิ จะมีตมุ่ รับรส เรยี กว่า ตุ่มปาปิลลา (Papilla) ซ่ึงประกอบดว้ ยกล่มุ เซลล์รับรส 4 ชนดิ คอื รสเปรีย้ ว (อยู่ขา้ ง
ลิ้น), รสขม (อยู่โคนลิน้ ), รสหวาน (อยปู่ ลายลนิ้ ) และรสเค็ม (อยปู่ ลายล้ินและข้างล้ิน) ทาหนา้ ทสี่ ่งกระแสประสาท
ไปยงั เสน้ ประสาทสมองคู่ท่ี 7 และ 9 ไปแปลผลที่สมอง
ภาพที่ 1.69 แสดงบริเวณท่ี
ทาหน้าที่รบั รส
(ทมี่ า :
http://www.il.mahidol.ac
.th/e-
media/nervous/image1/t
onque.jpg)
การรบั รส
การรบั รส ด้านบนของล้ินเท่าน้นั ทรี่ ับรสได้ สว่ นดา้ นลา่ งของลิ้นไม่สามารถรับรสได้ท้ังนเ้ี พราะด้านบน
ของลนิ้ เท่าน้ันท่มี ปี ุ่มเล็กๆทเ่ี รียกว่าพาพิลลา (papilla) จานวนมาก และภายในปุ่มเหล่าน้ีจะมีตุ่มรับรส (taste
bud) หลายต่มุ ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มจะรับรสไดเ้ พียงรสเดียว ภายในตมุ่ รับรสมเี ซลลร์ ับรส (gustatory cell) หลาย
เซลล์อดั กันแนน่ อยู่เปน็ กลมุ่ ๆโดยมีปลายเดนไดรตข์ องเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 7 และ 9 มาสัมผัสอย่เู พ่ือนากระแส
ประสาทไปแปลผลท่ศี นู ยก์ ารรับรสมนซรี บี รมั โดยปลาย 2/3 ของลิ้นจะรบั รสและถูกสง่ ไปกับเส้นประสาทสมองคู่
ท่ี 7 ส่วนโคน 1/3 ของลิ้นจะรับรสและถกู สง่ ไปกับเสน้ ประสาทสมองคูท่ ่ี 9
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพ่ิมเตมิ (ว33241) 58
5. ผิวหนงั และการสัมผสั
ผวิ หนงั ทาหนา้ ที่หลายอย่างที่สาคัญอย่างหนึ่งคือ เปน็ อวยั วะรบั ความรู้สกึ สัมผัสตา่ งๆ เชน่ ความร้อน
ความเย็นความเจ็บปวด แรงกดแรงดึงหน่วยรบั ความร้สู กึ เหล่าน้อี ยู่ที่ผวิ หนังต้นื และลึกแตกต่างกนั ดังผวิ หนงั จะมี
หน่วยรบั สัมผสั หน่วยรบั ความกดดนั หน่วยรบั อุณหภมู ทิ ้งั ร้อนและเยน็ และหนว่ ยรับความเจ็บปวดการทผ่ี ิวหนังรับ
ความรู้สึกดงั กลา่ วได้ไดเ้ น่อื งจากท่ผี วิ หนงั มหี นว่ ยรบั ความรู้สกึ เหลา่ นั้นอยู่โดยเปน็ สว่ นปลายของเดนไดรต์ของ
เซลล์ประสาทขวั้ เดยี วซ่ึงทาหน้าทีร่ บั ความรู้สกึ เข้าสูไ่ ขสันหลงั เพ่ือส่งไปยังสมองสว่ นทาลามัสและไปส้ินสุดทศี่ ูนย์
รับความรู้สึกท่สี มองส่วนเซรบี รัม
ผิวหนงั (Skin)ประกอบไปด้วยเนอ้ื เย่ือ 2 ชั้นคือ ชน้ั บน (Epidermis) ประกอบด้วยชั้นหนังกาพร้าและ
หนงั แท้ และชัน้ ลา่ ง (Dermis) ซ่งึ จะมเี สน้ ประสาทตา่ งๆกระจายอยู่ ปลายประสาทรบั ความรสู้ ึกเกย่ี วกับการ
เจ็บปวด (Pain) จะอยบู่ นช้ันหนงั กาพรา้ ส่วนปลายประสามรบั ความกดจะอยู่ล่างสุดในช้ันหนังแท้การรบั สมั ผสั จะ
มี รเี ซปเตอร์ อยู่หนาแน่นมาก ตามฝา่ มือมากกวา่ แขนขาส่วนปลายน้ิวมอื จะมีมากกวา่ ตอนกลางและโคนนว้ิ มือ
Thermoreceptorซ่งึ รบั ร้เู ก่ียวกับความรอ้ น ความหนาว จะพบหนาแน่นบรเิ วณหลงั มือมากกว่าหนา้ มอื
ภาพท่ี 1.70 แสดงผวิ หนงั ชัน้ ต่างๆ
(ทม่ี า : http://2.bp.blogspot.com/-
ONXCyu1Letw/T72-
SPNbDAI/AAAAAAAABRg/cmrtk_kqurw/s1
600/29_03aSkinSensReceptors-L.jpg)
การรบั รู้ของสัตว์
1. โซนาร์ (Sonar) เชน่ ในคา้ งคาว สามารถส่งคลน่ื เสียงความถสี่ ูง ในการคน้ หาวัตถุต่างๆ, ปลาโลมาก็สามารถ
ว่ายนา้ ไดถ้ กู ทิศทางโดยอาศยั โซนาร์เช่นเดียวกนั
2. การกลับสู่แหลง่ ของปลา แซลมอน โดยอาศยั กลิน่ ที่แตกต่างกันของแหลง่ นา้ แต่ละแหง่ เปน็ ตน้
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ (ว33241) 59
แบบทดสอบทบทวนหนว่ ยที่ 1 เรอื่ ง การรบั รแู้ ละการตอบสนอง
1. Sodium – Potassium pump เปน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กิดในระยะใด
ก. ไมม่ กี ระแสประสาท ข. กระแสประสาทกาลังเคล่ือนท่ีไป
ค. กาลงั กระต้นุ ให้เกดิ กระแสประสาท ง. กระแสประสาทกาลังออ่ นตวั
2. สารทถี่ อื วา่ เปน็ ฮอร์โมน และมีหน้าทีใ่ นการสง่ กระแสประสาท คือขอ้ ใด
ก. Oxytocin ข. Vasopressin ค. Noradrenalin ง. Acetylcholine
3. หากมอี าการตาบอดสแี ดง ผู้น้ันจะมองเหน็ สใี ดผดิ ปกตไิ ปด้วย
ก. เหลืองและเขียว ข. นา้ เงนิ และเขยี ว ค. น้าเงนิ และเหลอื ง ง. เหลืองและมว่ ง
4. ระบบประสาทของสตั ว์มกี ระดกู สนั หลังใดท่ีเกย่ี วขอ้ งกับฮอรโ์ มนท่ีหลั่งในยามฉุกเฉินมากทส่ี ุด
ก. Sympathetic Nervous System ข. Somatic Nervous System
ค. Central Nervous System ง. Parasympathetic Nervous System
5. ใยประสาทแอกซอนที่มีเย่ือไมอลี นิ หมุ้ เปน็ ฉนวนไฟฟ้า การเปล่ยี นแปลงของประจุบวกและประจุลบในระหว่าง
การนากระแสประสาทจะเกิดข้ึนทบี่ ริเวณใด
ก. เยื่อไมอลี นิ ข. โนดออฟแรนเวยี ร์ ค. เซลล์ชวานน์ ง. เดนไดรต์
6. Bipolar Nerve Cell จะพบได้ท่ใี ด
ก. Dorsal root ganglion ของไขสนั หลงั ข. Neurosecretoryในไฮโปทาลามสั
ค. Sensory Neurons ในเบา้ จมกู ง. Associative Neuron ในสมองและไขสนั หลัง
7. ส่วนสมองท่มี ีขนาดเลก็ ลงตามลาดับวิวัฒนาการของปลา กบ หมู คือสมองสว่ นใด
ก. ส่วนหนา้ ข. ส่วนกลาง ค. สว่ นทา้ ย ง. ส่วนหน้าและส่วนทา้ ย
8. ศูนย์กลางของระบบประสาทอตั โนวัตอิ ยู่ท่ใี ด
ก. ปมประสาท Sympathetic และ Parasympathetic
ข. สมอง ค. ไขสันหลงั ง. สมองและไขสันหลัง
9. เส้นประสาทคใู่ ดของสมอง ท่ีทาหน้าที่ควบคุมการทางานของกลา้ มเน้อื ลูกตา
ก. ค่ทู ี่ II,III และ IV ข. คูท่ ี่ III,IV และ V ค. ค่ทู ี่ III,IV และ VI ง. คู่ท่ี ,II และ III
10. ประสาทซมิ พาเทตกิ ทไี่ ปยังอวัยวะใด ไม่พบว่ามเี สน้ ประสาทหลงั ไซแนปส์
ก. อวัยวะสืบพันธ์ุ ข. อะดรนี ัล เมดุลลา ค. ไต ง. ไมม่ ขี ้อถูก
11. Reflex arc ท่นี ้อยทีส่ ดุ จะสามารถทางานได้ต้องประกอบไปดว้ ยเซลล์ใด
ก. เซลลป์ ระสาท 1 เซลล์ ข. เซลล์ประสาท 2 เซลล์
ค. เซลลป์ ระสาท 3 เซลล์ ง. เซลล์ประสาทมากกวา่ 3 เซลล์
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพมิ่ เตมิ (ว33241) 60
12. ชายคนหนง่ึ ถูกตีศีรษะบรเิ วณท้ายทอย ต้องนาสง่ โรงพยาบาล เขาอาจมีอาการใดต่อไปนี้
ก. มนึ ประสาทรับกลิน่ ไม่ทางาน ข. ตาเร่มิ มัวและมองไมเ่ หน็ ในท่ีสุด
ค. กล้ามเนอื้ เรียบของกระเพาะทางานผิดปกติ ง. หอู อื้ ไมส่ ามารถยืนทรงตัวอย่ไู ดต้ ามปกติ
13. ผู้เปน็ โรคพษิ สุราเรอื้ รังมักมสี มรรถภาพในการทางานตา่ กว่าคนปกตใิ นวยั เดียวกัน เพราะแอลกอฮอลม์ ผี ลตอ่
รา่ งกายอย่างไร
ก. ทาลายเซลลป์ ระสาทในสมอง ข. ทาใหเ้ กิดมะเรง็ ท่ีตบั
ค. ทาใหป้ ระสาทตาเสื่อม มองไม่ชัด ง. ทาให้เกดิ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
14. ข้อใดไม่ถูกตอ้ งเกย่ี วกับสมอง
ก. ส่วนของสมองทีท่ าหน้าทีเ่ ก่ียวกบั การดมกล่นิ คือ Olfactory bulb
ข. Hypothalamus เป็นสถานีถา่ ยทอดความรูส้ ึกและควบคุมการเคล่ือนไหวของกลา้ มเน้อื
ค. Medulla oblongata มีหน้าทีค่ วบคุมการหายใจและการเต้นของหวั ใจ
ง. Cranial nerve ในสัตว์เล้ยี งลกู ด้วยน้านม มี 12 คู่
15. ถา้ ในระบบประสาทไม่มไี ซแนปส์ จะเกิดเหตกุ ารณใ์ ด
ก. ไม่มีฮอร์โมน ข. กระแสประสาทจะเคลอ่ื นท่สี วนทิศทางได้
ค. ไม่มเี หตุการณใ์ ดๆขึน้
ง. กระแสประสาทเคลอื่ นที่จากเซลลป์ ระสาทหน่ึงไปยังอกี เซลลโ์ ดยไมย่ ้อนกลับ
16. การเพิ่มขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลางของแอกซอนจะเพิ่มความเร็วของกระแสประสาททีผ่ ่านไปเพราะอะไร
ก. Na+ จะไหลได้ชา้ ลง ข. K+ จะไหลเขา้ แอกซอนได้เร็วขนึ้
ค. ความตา้ นทานไฟฟา้ จะแปรผนั แบบผกผันกบั พน้ื ทีภ่ าคตดั ขวาง
ง. Na+ จะไหลไปตามแอกซอนไดเ้ ร็วขึน้
17. กระแสประสาท คือ แอคชนั โพเทนเชียล (AP) ทีเ่ คลอ่ื นทไ่ี ปบนผิวของแอกซอน ข้อความใดต่อไปนี้ถกู ต้อง
ก. AP จะลดความรนุ แรงลงตามเส้นทางทผ่ี า่ นไป
ข. AP แรกทเ่ี กดิ ขน้ึ มิใช่ AP เดียวกบั AP สุดท้าย
ค. AP จะมีความรนุ แรงเท่าเดิมไมว่ ่าจะเคล่ือนที่ไปไกลเพียงไร
ง. ข และ ค
18. Synaptic vesicles ปล่อยสารภายในถุงออกมาโดยวิธเี อกโซไซโตซสิ (exocytosis) จากท่ีใด
ก. ปลายแอกซอนของเซลลป์ ระสาทหน้าไซแนปส์ ข. แอกซอน ฮลิ ล็อค
ค. โนดส์ ออฟ แรนเวยี ร์ ง. เย่ือห้มุ เซลล์ประสาทหลังไซแนปส์
19. ถ้าเยอ่ื หุม้ ประสาททอ่ี ยูห่ ลงั ไซแนปสถ์ ูกกระต้นุ ด้วยสารสือ่ ประสาทบางตัวที่ทาใหค้ ลอไรด์ไอออน (Cl-) ซึ่งมี
ประจุลบแพร่เขา้ ส่เู ซลล์ ผลของกระบวนการน้จี ะทาให้เกดิ อะไรขน้ึ
ก. เกิดแอคช่ันโพเทนเชยี ล ข. ศักยเ์ ยื่อเซลลข์ องเซลล์ประสาทหลงั ไซแนปส์ถูกยับยงั้ (IPSP)
ค. เกิดดโี พลาไรเซชน่ั ของเย่อื หุ้มเซลล์ ง. เยอ่ื หุ้มเซลล์เป็นบวกมากขนึ้
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วิทยาเพมิ่ เติม (ว33241) 61
20. เยอ่ื หมุ้ สมองชัน้ ใดคือชั้นในสุด
ก. epidural space ข. subdural space ค. sub arachnoid space ง. pia matter
21. สว่ นของตวั H หรอื รปู ผีเส้ือตรงกลางไขสนั หลัง คือข้อใด
ก. white matter ข. gray matter ค. dorsal horn ง. ventral horn
22. ขอ้ ใดกล่าวผิดเกี่ยวกับ spinal nerve
ก. dorsal root เป็นส่วนทที่ าหน้าทเ่ี ปน็ ตัวนาคลน่ื ประสาทเขา้ สู่ไขสนั หลัง
ข. ventral root เปน็ สว่ นทน่ี าคลืน่ ประสาทออกจากไขสนั หลงั
ค. spinal nerve proper (สว่ นทรี่ วมกนั ) ทาหน้าท่ีทั้งนาคล่นื ประสาทออกและเข้า
ง. ventral root เปน็ สว่ นที่นาคล่ืนประสาทเข้าสู่ไขสนั หลัง
23. ขอ้ ใดหมายถงึ รา่ งแหของเส้นประสาทเลย้ี งขาหน้า
ก. lumbo-sacral plexuses ข. choroid plexuses
ค. brachial plexuses ง. thoraco-lumbar plexuses
24. ข้อใดคือช่ือพ้องของ sympathetic nervous system
ก. cranio-sacral nervous system ข. thoraco-lumbar nervous system
ค. thoraco-sacral nervous system ง. cranio-lumbar nervous system
25. ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกต้อง
ก. preganglionic fiber ของ sympathetic ส้ันกว่า parasympathetic
ข. post ganglionic fiber ของ sympathetic ยาวกว่า parasympathetic
ค. ปลายประสาทของ preganglionic ของทั้ง sympathetic และ parasympathetic หลัง่ adrenaline
ง. ปลายของ post ganglionic ของ sympathetic หลง่ั adrenaline
26. ขอ้ ใดเกี่ยวข้องกับน้าหล่อเลี้ยงสมองและไขสนั หลงั นอ้ ยทส่ี ุด
ก. choroid plexuses ข. ependyma ค. sub arachnoid space ง. spinal nerve
27. สมองกบั ไขสนั หลงั แยกกันบริเวณใด
ก. foramen vena cava ข. foramen of Monro
ค. foramen Magnum ง. vertebral foramen
28. แนวขวางของ H ในไขสนั หลงั คือข้อใด
ก. gray commissure ข. ventral gray horn
ค. white commissure ง. dorsal gray horn
29. เส้นประสาทเม่ือเทียบกบั การทางานแลว้ คลา้ ยกบั อะไร
ก. เชือก ข. เส้นด้าย ค. สายโทรศัพท์ ง. เส้นเอ็น
30. synapse จะมกี ารหลงั่ สารชนดิ ใดบรเิ วณ synaptic cleft (เสน้ ประสาทท่ัวไป)
ก. nor-epinephrine ข. acetyle choline ค. HCl ง. H2SO4
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพิ่มเติม (ว33241) 62
31. ในระยะ resting stage ภายในเซลลป์ ระสาทมีประจุชนดิ ใดเมื่อเทยี บกับภายนอก
ก. ประจุสมดลุ ย์ ข. ประจุบวก ค. ประจลุ วกสลบั ลบ ง. ประจลุ บ
32. ชว่ งของการเกิดคลน่ื ประสาทคอื ระยะใด
ก. repolariztion ข. depolarization ค. transduction ง. propagation
33. ชว่ งของการเปล่ียนแรงกระตุ้นเปน็ คล่ืนทางไฟฟ้า คอื ข้อใด
ก. repolariztion ข. propagation ค. transduction ง. depolarization
34. saltatory movement เปน็ การเคลอื่ นไหวของใยประสาทชนิดใด
ก. ชนิดทม่ี ีเยื่อไมอีลนิ หุม้ ข. ชนดิ ไมม่ ีเยือ่ ไมอีลนิ ห้มุ ค. ใยประสาทในสมอง ง. ใยประสาทในไขสันหลงั
35. ตวั อยา่ งของรีเฟล็กซ์อยา่ งง่ายทพี่ บเสมอคอื ข้อใด
ก. reflex ของการทางานของหัวใจ ข. knee jerk
ค. reflex ของการหายใจ ง. รเี ฟลก็ ซ์ของระบบยอ่ ยอาหาร
36. การรีดนมโค โดยมกี ารกระตนุ้ โดยการอาบนา้ ให้อาหารขน้ นวดเต้านม เปน็ รเี ฟลก็ ซ์ชนดิ ใด
ก. reflex arc ข. local reflex ค. condition reflex ง. postural reflex
37. ไอออนทีก่ ลา่ วถึงในกระบวนการสร้างคล่ืนประสาทมากทส่ี ดุ คือขอ้ ใด
ก. Na+ - Cl- ข. Na+ - Mg+ ค. Na+ - K+ - Cl- ง. Na+ - PO3-
38. การทางานของระบบประสาทข้นึ กบั กฎใด
ก. All or none law ข. starling's law ค. Mary's law ง. Convergence law
39. การเกดิ reflex อย่างน้อยท่สี ดุ ต้องมีใยประสาทอะไรบา้ ง
ก. afferent - motor neurons ข. afferent - motor - inter neurons
ค. interneurons - motor neurons ง. afferent - inter neurons
40. ข้อใดท่ีการทางานไมไ่ ด้อาศัยรเี ฟลกอาร์ก (reflex arc)
ก. การยกขากลับเมื่อเหยียบตะปู ข. การปลอ่ ยเอนไซน์เพอื่ ย่อยอาหาร
ค. ปสั สาวะเมอ่ื ตกใจกลัว ง. การเต้นของหัวใจเมอ่ื ต่ืนเตน้ หรือตกใจกลัว
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพ่ิมเติม (ว33241) 63
แบบฝกึ ทบทวนหนว่ ยท่ี 1 เรอ่ื ง การรบั รแู้ ละการตอบสนอง
ตอนท่ี 1 คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเขียนตอบใหไ้ ด้ใจความถูกต้องเหมาะสม
1. จากการทดลองตดั เส้นใยประสานงานของพารามีเซยี มออก พบวา่ พารามีเซียมไม่สามารถควบคุมการพัด
โบกของซเิ ลยี ได้ นกั เรยี นจะสรปุ หน้าที่ของเสน้ ใยประสานงานนีอ้ ย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…….
2. ไฮดรามีการตอบสนองต่อสง่ิ เร้าโดยใช้…………………………………………………………………………
ถ้าใชเ้ ขม็ แตะทปี่ ลายเทนตาเคิลของไฮดราจะเกดิ อะไรข้ึน นักเรียนจะอธบิ ายผลการทดลองน้วี ่าอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. การรบั รู้ของไฮดราและพลานาเรยี แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพิ่มเติม (ว33241) 64
4. จากภาพดา้ นล่าง นักเรียนคิดวา่ การรับร้แู ละการตอบสนองของพลานาเรยี เร็วหรอื ชา้ กวา่ สตั วท์ ี่มี
วิวฒั นาการสูงกวา่ เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. จากภาพเซลล์ประสาท จงบ่งชส้ี ่วนประกอบให้ถูกต้อง
6. การท่ีสารส่อื ประสาทสร้างเฉพาะท่ีปลายแอกซอนเท่านน้ั แต่ไม่มกี ารสรา้ งทปี่ ลายเดนไดรต์ ลกั ษณะ
ดงั กลา่ วจะมผี ลต่อทศิ ทางการเคล่อื นท่ีของกระแสประสาทอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. การสลายตวั อยา่ งรวดเรว็ ของสารส่อื ประสาท มีความสาคัญต่อรา่ งกายอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
Nervous system
8. จากภาพจงบง่ ชส้ี ว่ นประกอบ เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาเพิม่ เติม (ว33241) 65
9. จากภาพเปน็ เซลล์ประสาทชนิดใดบา้ ง
1. ……………………………………………………
2. ……………………………………………………
3. ……………………………………………………
4. ……………………………………………………
5. ……………………………………………………
6. ……………………………………………………
7. ……………………………………………………
8. ……………………………………………………
9.
……………………………………………………
ก……………………………………………………
ข……………………………………………………
ค……………………………………………………
10. ถ้าเกดิ ล่มิ เลือดในสมองจะเกดิ ผลอยา่ งไร และถ้าสมองขาดออกซเิ จนในเวลา 5 นาที จะเกิดผลอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……
11. เพราะเหตุใดการฉดี ยาเข้าไขสันหลังบรเิ วณตา่ กวา่ กระดกู สันหลงั บรเิ วณเอวข้อท่ี 2 ลงไปจึงเป็นอันตราย
นอ้ ยกว่าบริเวณอน่ื
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
12. ขณะท่อี า่ นหนังสอื เสน้ ประสาทสมองคู่ใดที่ทางานเก่ยี วข้องโดยตรง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
13. ระบบอตั โนวัตเิ ป็นระบบคาสั่งท่คี วบคุมหน่วยปฎบิ ตั ิงานอะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววิทยาเพม่ิ เตมิ (ว33241) 66
14. Cerebro-spinal fluid มปี ระโยชนต์ อ่ ร่างกายอยา่ งไร และถ้ามีการค่ังในสมองของเด็กจะทาให้เกดิ อะไร
ขนึ้
............................................................................................................. ..................................................................
...............................................................................................................................................................................
15. จากภาพ การเกดิ รีเฟลกซ์ แอกชันของการกระตุกขาเม่ือเคาะทีห่ ัวเข่า กับการชักขาหนเี มือ่ ถูกเศษแก้ว
รีเฟลกซ์แบบใดซับซ้อนกวา่ กัน เพราะเหตุใด
............................................................................................................. ..................................................................
........................................................................................................ .....................................................................
16. รเี ฟลกซ์ แอกชนั มผี ลตอ่ การดารงชีวิตของคนเราอยา่ งไร
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
17. ทาไมตารวจจงึ นยิ มฝกึ สนุ ัขเอาไวส้ าหรบั ตรวจหาร่องรอยของอาชญากร
............................................................................................................. ..................................................................
...............................................................................................................................................................................
18. Computer vision syndrome คืออะไร มสี าเหตจุ ากอะไร และมีการรักษา/แก้ไขอย่างไร
...............................................................................................................................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
19. เพราะเหตุใดในชว่ งทเี่ ปน็ หวดั นักเรียนจึงรับประทานอาหารไมอ่ ร่อย
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
20. ถ้านกั เรียนขึ้นภเู ขาหรือดาน้าทะเลลึกๆจะร้สู กึ ปวดแก้วหู เพราะเหตุใด
............................................................................................................. ..................................................................
...............................................................................................................................................................................
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววิทยาเพ่มิ เติม (ว33241) 67
กจิ กรรมหนว่ ยที่ 1 เรอ่ื ง การรบั รแู้ ละการตอบสนอง
1. กจิ กรรมการหาจุดบอดและจดุ โฟเวยี
กิจกรรมที่ 1 การหาตาแหน่งของจดุ บอดและโฟเวยี วัสดุ
วนั ท.่ี ...................เดือน.....................................................พ.ศ..........................
จุดประสงคข์ องกิจกรรม
1. อธบิ ายได้ว่าเหตุใดเมื่อวตั ถอุ ยู่ในบางตาแหนง่ นัยน์ตาไมส่ ามารถรบั ภาพของวตั ถไุ ด้
2. บอกได้วา่ บรเิ วณตา่ งๆของเรตินารบั ภาพได้ชัดเจนไม่เท่ากัน
3. ระบบุ รเิ วณของเรตินาทรี่ ับภาพชดั ท่สี ดุ
อุปกรณ์
1. กระดาษขาว
2. ไม้บรรทัด
3. ปากกาหรอื ดินสอ
วธิ กี ารทดลอง
1. ทาเครือ่ งหมาย + หรือ • ลงในกระดาษขาวในแนวระดบั ใหม้ ีขนาดและระยะห่างระหวา่ งเครื่องหมายทัง้
สอง 10 เซนติเมตร
2. หลบั ตาซา้ ยเหยยี ดมือขวาที่จับกระดาษให้ตรงและยกกระดาษท่ีมเี คร่ืองหมาย + ตรงกบั นัยน์ตา
ขวา
3. ใหน้ ยั นต์ าขวาจบั นงิ่ กับเคร่ืองหมาย + ตลอดเวลา ค่อยๆเคล่อื นกระดาษเข้ามาใกลต้ าอย่างชา้ ๆจนกระทั่ง
มองไมเ่ หน็ เคร่ืองหมาย •
+•
บันทกึ ผลการทดลอง การทดลองท่ี 1 การทดลองที่ 2 การทดลองที่ 3 เฉลยี่ (ซม.)
สายตา
ดา้ นซ้าย
ด้านขวา
สรปุ ผลการทดลอง
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ (ว33241) 68
การหาตาแหนง่ โฟเวยี
1. ให้ยนื่ แขนไปข้างหลงั เพอ่ื รบั วตั ถุจากเพ่อื น เช่น ดนิ สอหรอื ปากกาโดยที่ไมท่ ราบว่า
วตั ถนุ ม้ี ีสอี ะไร
2. มองตรงไปขา้ งหน้า คอ่ ยๆ เคล่ือนแขนมาดา้ นหน้าใหอ้ ยูใ่ นระดับสายตาขณะเคลอื่ นแขนมาด้านหน้า หา้ ม
เหลอื บมองวตั ถุในมือ มองตรงไปข้างหนา้ ตลอดเวลาเม่ือใดเริ่มมองเห็นวัตถุ ให้บอกสขี องวตั ถนุ ัน้ และวัดคา่ การทา
มุมระหว่างแขนกับลาตัว
บันทึกผลการทดลอง
สี การทดลองท่ี 1 การทดลองที่ 2 การทดลองท่ี 3 เฉล่ีย (องศา)
สรุปผลการทดลอง
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
กิจกรรมที่ 2 ทดสอบสายตาเอียงและตาบอดสี
วันที.่ ...................เดือน.....................................................พ.ศ..........................
จดุ ประสงคข์ องกิจกรรม
1. ทดสอบสายตาเอยี งและตาบอดสไี ด้อยา่ งครา่ วๆจากแผน่ ภาพด้านลา่ ง
2. สารวจจานวนผู้ทม่ี แี นวโนม้ จะมสี ายตาเอียงและตาบอดสใี นชน้ั เรียน
ทดสอบสายตาเอียง
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพ่มิ เติม (ว33241) 69
ปรับแสงสว่างของหนา้ จอใหส้ วา่ งกวา่ ปกติเล็กน้อย และเปิดไฟในห้องทดสอบใหเ้ พยี งพอ
กรณใี สแ่ วน่ สายตาอยู่ ให้ใส่แวน่ ของนักเรยี นไว้ แลว้ ถอยห่างจากหน้ากระดาษ 6 เมตร หากระดาษทบึ บังตาทลี ะ
ขา้ ง (อย่าลมื ตาข้างเดยี วหรือกดเปลอื กตา) สงั เกตความดาเขม้ ของแต่ละเส้นเทา่ กันหรอื ไม่
กรณีไม่เคยใสแ่ วน่ สายตามาก่อน ให้ถอยหา่ งจากหน้าจอ 6 เมตร หากระดาษทึบบังตาทีละขา้ ง (อยา่ ลมื ตาขา้ ง
เดยี วหรอื กดเปลือกตา) สงั เกตความดาเข้ม ของแตล่ ะเสน้ เทา่ กันหรือไม่
ผลการทดสอบ
ถา้ นกั เรยี นเหน็ เสน้ ทุกเส้นเขม้ เท่ากนั แสดงวา่ ไม่มีคา่ สายตาเอยี งอยู่เลย หรอื ถ้ามีก็มนี ้อยมาก
ถ้านกั เรยี นเหน็ วา่ มเี สน้ ใดดาเข้มกว่าเสน้ แนวอน่ื ๆ แสดงว่าตาข้างนัน้ มีคา่ สายตาเอยี ง
ตารางแสดงผล
เสน้ ท่ีเห็นดาเข้ม 180 165 150 135 120 105 90 75 60 45 30 15 0
องศาเอยี งของดวงตา 90° 75° 60° 45° 30° 15° 180° 165° 150° 135° 120° 105° 90°
คาเตอื น
การทดสอบนท้ี ง้ั หมดเปน็ การทดสอบเบือ้ งตน้ ด้วยตนเองเท่าน้ัน เพอ่ื ใหท้ ราบเพียงถึงประสิทธิภาพใน
การมองเห็นของท่านแบบคร่าวๆ หลงั จากน้ใี หท้ าการวดั สายตาอยา่ งละเอยี ดเพื่อใหไ้ ด้คา่ สายตาทีถ่ กู ตอ้ ง จากรา้ น
แว่นตาทน่ี ่าเช่ือถือ หรอื จักษแุ พทย์ไดต้ อ่ ไป
บันทกึ ผลการทดลอง
เสน้ ที่มองเห็นชัด การทดลองท่ี 1 การทดลองที่ 2 การทดลองที่ 3
สรุปผลการทดลอง
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
Nervous system
เอกสารประกอบการสอนชีววิทยาเพ่มิ เติม (ว33241) 70
กิจกรรมที่ 3 ศกึ ษาความไวแต่ละบริเวณของผิวหนัง
วันท่.ี ...................เดือน.....................................................พ.ศ..........................
จดุ ประสงค์ของกจิ กรรม
บอกได้วา่ ผิวหนังบริเวณต่างๆรับสัมผัสไดแ้ ตกต่างกัน
วธิ ีการทดลอง
1. ใหผ้ ้ถู กู ทดลองหลบั ตา แลว้ ผู้ทดลองใช้ปลายลวดหนบี กระดาษ ซีง่ กางกันพอสมควร แตะลงบนผิวหนงั
ของผู้ถูกทดลอง โดยแตะด้วยปลายขา้ งเดียวบ้าง และแตะท้ังสองปลายบา้ ง ให้ผ้ถู กู ทดลองบอกวา่ ถูกแตะ
ดว้ ยปลายลวดกีข่ ้าง
2. ปรับปลายลวดทงั้ 2 ขา้ งใหช้ ิดเขา้ มาเป็นระยะๆ แลว้ ทดลองซ้าตามข้อ 1 เร่ือยๆ จนกระทง่ั ผถู้ ูกทดลอง
ไม่สามารถบอกความแตกตา่ งระหวา่ งแตะดว้ ยปลายลวด 1 ปลายและ 2 ปลายได้ วัดความห่างของปลาย
ลวดในขณะน้ัน และบันทึกผล
3. ลองทาเช่นเดยี วกนั ตามบรเิ วณต่างๆ ของร่างกาย เช่น บรเิ วณตน้ คอ ปลายนิ้ว แขน
ภาพการทดลอง
บันทกึ ผลการทดลอง ระยะห่าง บอกได้ บอกไมไ่ ด้
บริเวณรา่ งกาย 0.5 ซม
แขน 1 ซม. Nervous system
2 ซม.
ตน้ คอ 0.5 ซม
1 ซม.
ฝา่ เท้า 2 ซม.
0.5 ซม
ปลายนว้ิ 1 ซม.
2 ซม.
0.5 ซม
1 ซม.
2 ซม.
เอกสารประกอบการสอนชีววทิ ยาเพ่ิมเตมิ (ว33241) 71
สรุปผลการทดลอง
....................................................................................... ........................................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
............................................................................................................. ..................................................................
...............................................................................................................................................................................
Nervous system