The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โคลงสี่สุภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-09 07:17:16

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โคลงสี่สุภาพ

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โคลงสี่สุภาพ

Keywords: โคลงสี่สุภาพ

เอกสาร

ประกอบการจดั
การเรยี นรู้ เรือ่ ง

โคลงสีส่ ุภาพ

ม. ๕

ครูผสู้ อน

นายภัทราวธุ โตจีน

กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย



เอกสารประกอบ

การจัดการเรียนรู้ เร่อื ง

โคลงสีส่ ุภาพ

ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๕

เรียบเรียงโดย: ภัทราวุธ โตจนี

๑. วรรณศลิ ปไ์ ทย: โคลง

๏ เสยี งลือเสียงเลา่ อ้าง อนั ใด พี่เอย
เสียงยอ่ มยอยศใคร ทัว่ หลา้
สองเขือพี่หลบั ใหล ลมื ตนื่ ฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ๚๛

ลิลิตพระลอ

คาประพั นธ์ข้างต้น นับว่าเป็ นโคลงสี่สุภาพบทครู ที่มีที่มาจาก
วรรณคดีไทยอันทรงคุณค่าที่ได้รับการยกย่องจาก “วรรณคดีสโมสร” ว่า
เป็นยอดแห่งวรรณคดีประเภทลิลิต นั่นคือวรรณคดีเรื่อง “ลิลิตพระลอ”
นั่นเอง เหตุที่ต้องยกโคลงบทครูบทนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า แม้นช่วงเวลาผ่านมา
กี่ยุคกี่สมัยก็ตาม โคลงสี่สุภาพบทนี้ยังคงเป็ นแม่แบบ และที่จดจาแห่ง
ฉนั ทลักษณ์ของโคลงสสี่ ภุ าพนัน่ เอง

๑.๑ โคลงและฉันทลักษณ์ของโคลง

รูปแบบร้อยกรองชนิดหนึ่ง มีบังคับพยางค์สัมผัส และมีบังคับ
รปู วรรณยกุ ตเ์ อกโท หรือในกรณที จี่ าเป็นใช้เสียงวรรณยุกต์เอกโทแทนได้

โคลงที่แต่งกันมาแต่เดิม โดยลักษณะมีอยู่ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ
คือ โคลงดั้นและโคลงสุภาพ ต่อมาได้ประดิษฐ์แบบวิธีการแต่งเปลีย่ นแปลง
ลักษณะบางอย่างบ้าง เพิ่มลักษณะบังคับพิเศษบ้าง โดยวิธีดังกล่าวนี้อาจ
แบ่งโคลงตามลักษณะที่ปรากฏออกเป็นอีก ๒ ประเภท คือ โคลงกระทู้ และ
โคลงกลบท โคลงในแต่ละประเภทสามารถจาแนกออกเป็นชนิดย่อย ๆ ได้
ดงั นี้ ๑.๑.๑ จาแนกตามลกั ษณะของรูปแบบ

๑) โคลงดัน้
๒) โคลงสภุ าพ
๑.๒.๑ จาแนกตามลกั ษณะพิเศษในการประพันธ์
๑) โคลงกระทู้
๒) โคลงกล

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้

เรอ่ื ง โคลงส่สี ุภาพ ม.๕



๑.๑.๑ จาแนกตามลักษณะของรปู แบบ
๑) โคลงดัน้
เป็นบทประพันธท์ ีใ่ ช้ลีลาในการประพันธ์

เชงิ ปกปิดซุกซ่อน ตา่ งจากโคลงสภุ าพ แบง่ ได้ดงั นี้
๑.๑) โคลงสองดนั้
๑.๒) โคลงสามดนั้
๑.๓) โคลงสีด่ นั้

อา่ นเพิ่มเตมิ เร่ืองโคลงดน้ั ๒) โคลงสุภาพ

โคลงชนิดหนึ่งที่มีเสน่ห์ของการบังคับวรรณยุกต์

เอกโทอันเป็นมรดกของภาษาไทยที่ลงตัวที่สุด คาว่า สุภาพ หรือ เสาวภาพ

หมายถึงคาทีม่ ิไดม้ รี ูปวรรณยุกต์ ทาให้กวนี ิยมแตง่ มากทีส่ ุด แบง่ ไดด้ งั นี้

๑.๑) โคลงสองสภุ าพ

๑.๒) โคลงสามสุภาพ

๑.๓) โคลงสสี่ ุภาพ

๑.๔) โคลงจตั วาทณั ฑี

๑.๕) โคลงตรีพิธพรรณ

๑.๒.๑ จาแนกตามลกั ษณะพิเศษในการประพันธ์
๑) โคลงกระทู้
โคลงกระทู้ คือ โคลงสี่สุภาพที่แต่งให้มีเนื้อความ

ตามหัวข้อ หรอื กระทูท้ ตี่ งั้ ไว้โดยใชก้ ระทู้นัน้ เป็นสว่ นนาเนอื้ ความแตล่ ะบาท
โคลงกระทู้แบ่งตามเนื้อความของกระทู้มี ๒ อย่าง

คือ โคลงกระทู้ความ และโคลงกระทู้แผลง ถ้าแบ่งตามการวางกระทู้มี ๒
ลักษณะ คือ โคลงกระทู้ และโคลงกระทู้ยืน แต่ถ้าแบ่งตามจานวนคาหรือ
จานวนพยางค์ของกระทู้ มี ๔ ประเภท คือ โคลงกระทู้ ๑ คา โคลงกระทู้ ๒
คา โคลงกระทู้ ๓ คา และโคลงกระทู้ ๔ คา

ตัวอย่าง โคลงกระทู้ ๓ ชวนกนั
ส่วนใช้
๏ ไม่เหน็ น้า หนา้ ด่วน มือแม่น
ตดั กระบอก แบ่งปัน หย่อนแท้เสยี ดาย๚๛
ไม่เห็นรอก อวดขัน
ขึน้ หน้าไม้ ไวใ้ ห้

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้

เร่ือง โคลงสี่สภุ าพ ม.๕



๒) โคลงกล
โคลงกล หรือ โคลงกลบท คอื โคลงทีม่ ีการ

เพิ่มบังคบั พิเศษตา่ ง ๆ ลงในรปู แบบ แบง่ ออกเป็น ๒
ชนดิ คือ โคลงกลบท และโคลงกลอกั ษร

๒.๑) โคลงกลบท
คาว่า บท ในทนี่ หี้ มายถงึ คา ซึง่ โคลงกลบทเป็นการกาหนด

ใหอ้ ักษรหรอื คานนั้ ๆ อยูต่ ามตาแหน่งบงั คบั อาจเป็นการซ้าเสียงสระ
ซ้าเสียงพยญั ชนะต้น เล่นคเู่ สียง หรือเรยี งเสยี งสระ พยญั ชนะ
รวมถงึ วรรณยุกต์

ตวั อยา่ ง โคลงกลบทตรเี พชรประดับ

๏ ฤทธริ์ าญรอนรอ่ นร้อน ทุกเมือง
บุญแบ่งแจงจอมเลอื ง เลือ่ งเลีอ้ ง
รู้เรอื้ งเรือ่ งเรอื งเปลอื ง แปลนโลกย์
แม้นแม่นแมนมาเสอื้ ง ตอ่ ตัง้ พังหนี๚๛

โคลงอกั ษรสามหมู่

๒.๒) โคลงกลอักษร
โคลงกลอักษร คือ โคลงที่ใช้ตัวอักษรหรือคาเป็นปริศนา โคลง

กลบางชนิดมีสูตรเฉพาะในการถอดโคลง บางชนิดต้องอ่านย้อนไปย้อนมา
นบั เป็นอกี หนึง่ ฉันทลกั ษณท์ ปี่ ระพันธ์ยากที่สดุ ของโคลง

ตวั อยา่ ง โคลงกลบทดาวล้อมเดอื น

วันภาษาไทยแหง่ ชาต:ิ โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้

เรอ่ื ง โคลงส่ีสภุ าพ ม.๕



ถอดกลไดค้ วามวา่

ถอดกล โคลงกลบทดาวลอ้ มเดอื น

๏ ไทยแท้แท้อยู่ดว้ ย ภาษา
ไทยคิดคดิ ใช้มา กอ่ นไซร้
ไทยสอื่ สือ่ สง่ หา เขยี นอ่าน กันเฮย
ไทยรักรกั ษาไว้ อยู่ด้วยไทยเรา๚๛

วันภาษาไทยแห่งชาต:ิ โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร

๒. โคลงสสี่ ภุ าพ

๒.๑ การประพันธโ์ คลงสีส่ ภุ าพ

การประพันธ์เป็นประณีตศิลปแ์ ขนงหนึ่งซึ่งอาศัยตัวอักษรเป็น
สื่อกลางในการแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกออกมาผ่านฉันลักษณ์ ผู้ที่
จะสร้างสรรค์งานศิลปอ์ ย่างมีคุณค่าได้นั้นจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ
พิเศษ คือ ต้องเป็นผู้ที่มีความปรารถนาจะให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกนึกคิดหรือ
เกิดอารมณ์สะเทือนใจคล้อยตามความรู้สึกของตนเองไปด้วย เพราะฉะนั้นผู้
ที่จะสามารถสร้างสรรค์งานเขียนให้เป็นอมตะ หรือมีวรรณศิลปท์ ี่งดงามจึง
จะต้องเป็นผู้ที่มีนิสัยช่างสังเกต รู้จักพินิจพิจารณาใช้อารมณ์หยั่งลึกไปยัง
จุดที่ผู้คนทั่วไปคาดไม่ถึง หรือมองไม่เห็น และสามารถถ่ายทอดอารมณ์
ความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นตัวอักษรด้วยภาษาที่ละเมียดละไม ผลงาน
ดงั กล่าวจึงจะเป็นผลงานทีม่ ีคุณค่าในเชิงงานเขยี น

โคล งเป็ น รูป แบ บใ นกา รป ระ พั น ธ์ง าน วรรณศิ ล ป์อีก รูป แบ บ
หนึ่งที่มีความนิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น โคลงสี่นั้น
สามารถจาแนกออกได้เป็นหลายประเภทด้วยกัน เช่น โคลงดั้น โคลงสุภาพ
โคลงจิตรลดา โคลงวิชชุมมาลี เป็นต้น แต่โคลงที่มีความแพร่หลายมาก
ทีส่ ดุ นัน้ คือ โคลงสีส่ ุภาพ ซึง่ โคลงสสี่ ภุ าพมีกลวธิ ีการประพันธ์เบอื้ งต้นดังนี้

๒.๑.๑ การเริ่มต้นเป็นนักประพันธ์ จะต้องผ่านสมรภูมิการ
เป็นนักอ่านมาอย่างช่าชอง กล่าวคือ นักประพันธ์ทดี่ ีนนั้
จะตอ้ งเป็นนักอา่ นทดี่ ีมาก่อน จะเป็นนักประพันธ์โคลง
กจ็ ะต้องอ่านหรือศึกษาโคลงทีเ่ ป็นอมตะ หรอื เรอื่ ง
ได้รบั การยกย่องว่าแต่งดมี ีคุณค่า

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เรอ่ื ง โคลงส่สี ภุ าพ ม.๕



เชน่ เรอื่ ง ลิลิตพระลอ
ลลิ ิตตะเลงพ่าย นิราศนรนิ ทรค์ าโคลง โคลงโลกนติ ิ
ตลอดจนโคลงหรือลลิ ิตทุกเรือ่ งทีป่ รากฏเป็นวรรณคดี
ของไทย เมอื่ มวี รรณคดเี รอื่ งดงั กลา่ วอยใู่ นมือ ก็ควร
ตงั้ จุดม่งุ หมายในการอา่ นเสียก่อนว่า การอ่านในครัง้ นเี้ ราอา่ น
ไปเพื่ออะไร ถ้าอา่ นเพื่อเอาเนอื้ หา กค็ วรเก็บรายละเอียดที่อยู่ในตัวบท
หรือทีป่ รากฏอยู่ในเรอื่ งให้ได้มากทสี่ ุด หากจะอา่ นเพื่อเอาวรรณคดี
เรือ่ งนัน้ ๆ มาเป็นครูในการประพันธ์โคลงสี่สภุ าพของเรา ก็ควรพิจารณา
ลีลา การใช้ภาษา จังหวะเสียง การสัมผัส การสรรคามาใช้ในการประพันธ์
เป็นต้น เหตุที่ต้องเลือกโคลงทีเ่ ป็นอมตะ หรือเลือกวรรณคดีที่ประพันธ์ด้วย
โคลงสสี่ ภุ าพ เพราะจะได้ใช้เป็นครทู ีด่ ที สี่ ุดในการศกึ ษากลวิธีการประพันธ์

๒.๑.๒ การประพันธ์จะต้องคานึงถึงโอกาสและกลุ่มผู้อ่าน
เพื่อให้สื่อความหมายได้ชัดเจนในกลุ่มผู้อ่านที่ต้องการสื่อสาร หากโคลง
สี่สุภาพ บทดังกล่าวประพันธ์ได้ไพเราะจับใจ มีลีลาและจังหวะอันน่าพิศวง
แต่ผู้อ่านไม่เข้าใจเนือ้ หาหรือความหมายทีผ่ ู้ประพันธ์ต้องการสื่อ ซึ่งส่งผลให้
ผูอ้ ่านไมเ่ กิดอารมณ์สะเทือนใจเทา่ ที่ควร

๒.๑.๓ บทประพันธ์ที่ดีจะต้องมีความสมบูรณ์ทั้งรูปคา เสียง
และความหมาย คาที่นามาใช้จะต้องมีความหมายชัดเจนไม่คลุมเครือ ภาษา
จะตอ้ งสม่าเสมอ ไม่นาคาสูงไปใช้ในที่ต่า ไม่นาคาต่าไปใช้ในที่สูง ไม่ตัดศัพท์
และจะต้องไม่ปรุงศัพท์ขึ้นมาใช้เองโดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เนื้อหาของโคลง
จะต้องเป็นอนั หนึง่ อนั เดียว มคี วามเกยี่ วเนือ่ งกัน

๒.๑.๔ โคลงสี่สุภาพจะต้องประพันธ์ถูกต้องตรงตามแบบ
ฉบับหรือฉันทลักษณ์ที่กาหนด ซึ่งฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพมีลักษณะ
ดังภาพ

ผังภูมลิ กั ษณะคาประพันธโ์ คลงสสี่ ุภาพ

คาสร้อย

คาสรอ้ ย

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้

เรอื่ ง โคลงสี่สุภาพ ม.๕



๒.๒ รสแหง่ โคลง
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิ ทยาลงกรณ

(น.ม.ส.) ปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงอธิบายถึง
ลักษณะของโคลงที่ดีว่าจะต้องประกอบด้วย “รสแห่ง
โคลง” ๒ ประการคอื รสคา และรสความ

รสแห่งโคลง นานัย ไฉนหนอ
เถดิ ถว้ น
๏ โคลงดดี ดี ว้ ยรจ เราะรส ความเอย
ตอ้ งจติ ตดิ หทัย ทพิ ยล้าจารูญ๚๛
ไพเราะรสคาไพ
สองรศพจนล้วน สามกรุง

๒.๓ คาเอก คาโท
หนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดี อธิบายถึงเรื่องราวการ

ประพันธโ์ คลงสีส่ ภุ าพไว้วา่

คาเอก คาโท กรองสนธิ์
สถี่ ว้ น
๏ สิบเกา้ เสาวภาพแก้ว เจ็ดแห่ง
จนั ทรมณฑล เศษสร้อยมสี อง๚๛
พระสุรยิ ะเสด็จดล
แสดงวา่ พระโคลงล้วน จนิ ดามณี

จากบทประพันธ์โคลงสี่สุภาพข้างต้นจะพบคาศัพท์ ๓ คาที่บ่ง
บอกถึงลักษณะเฉพาะของโคลงสสี่ ภุ าพ

คาว่า “เสาวภาพ” หมายถึง คาทีไ่ ม่ไดก้ าหนดใหม้ ีรปู
วรรณยกุ ต์ ทัง้ เอก โท ตรี และจัตวา หรอื คาว่า
คาสภุ าพนนั่ เอง ซึง่ กาหนดใหม้ ี ๑๙ คา

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้

เรอื่ ง โคลงสี่สุภาพ ม.๕



สว่ นคาวา่ “จนั ทรมณฑล” หมายถงึ
คาทกี่ าหนดใหใ้ ชร้ ูปวรรณยกุ ต์โท ซึง่ ในโคลงสีส่ ภุ าพ
๑ บทนนั้ จะตอ้ งปรากฏอยู่ ๔ แหง่
และคาวา่ “พระสุรยิ ะ” หมายถงึ คาทีก่ าหนดใหใ้ ช้รปู
วรรณยุกต์เอก ซึง่ ในโคลงสีส่ ภุ าพ ๑ บทจะต้องปรากฏ
อยู่ ๗ แห่ง จึงเป็นทีม่ าของคายอดฮิตติดหูที่วา่ “เอกเจด็ โทส”ี่

จาเป็นหรอื เปลา่ วา่ จะต้องใช้คาที่เป็นรูปวรรณยกุ ต์เอกและโทตามตารา

ตอบได้ทันทีเลยว่ามีความจาเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่ใช้
ให้ตรงตามฉันทลักษณ์แล้วจะไม่ถือเป็นคาประพันธ์ชนิดนั้น ๆ กล่าวคือผิด
ฉันทลักษณ์นั่นเอง อย่างไรก็ตามการใช้คาเอกและคาโทนั้นมีกรณียกเว้น
อยู่ ๒ กรณใี หญ่ ๆ ดงั นี้

๒.๓.๑ คาตายแทนคาเอก
คาทฉี่ ันลกั ษณข์ องโคลงสีส่ ุภาพกาหนดให้เป็นคาทีม่ ีรูป

วรรณยุกต์เอกจานวน ๗ คา สามารถใช้คาตายแทนที่ได้ แต่คาที่กาหนดให้
ใ ช้ รู ป ว ร ร ณ ยุ ก ต์ โ ท นั้ น ไ ม่ ส า ม า ร ถ ใ ช้ ค า อื่ น ใ ด แ ท น ที่ ไ ด้ ต้ อ ง ใ ช้ ค า ที่ มี รู ป
วรรณยุกต์โทเท่านั้น ส่วนคาที่เรียกว่า “เสาวภาพ” หรือคาสุภาพ ที่ไม่ได้
กาหนดรูปวรรณยุกต์ไว้สามารถใช้รูปวรรณยุกต์ใดก็ได้ หรือไม่มีรูป
วรรณยกุ ต์กไ็ มถ่ ือว่าผิดฉนั ทลักษณแ์ ต่อย่างใด

คาตาย คือคาที่ไม่มีตัวสะกดแล้วประสมด้วยสระเสียง
สั้น หากมีตัวสะกดจะต้องสะกดด้วย ๓ มาตรานี้เท่านั้น คือ แม่กก แม่กบ
หรอื แม่กด เหมือนทเี่ ราได้ยินคุ้นหูกันว่า “กบด” หลักการจาคือ กบฏ (กบด)
มนั ตอ้ งตาย เพราะฉะนนั้ คาทีส่ ะกดด้วยแม่ “กบด” จึงเป็นคาตาย

ตวั อยา่ งการใช้คาตายแทนคาเอก

๏ ดาวคอื ดวงประทีปรู้ ระหว่างดาว
สาวยอ่ มร้เู ชงิ สาว จากชู้
ชีวติ ใชย่ นื ยาว มวั งงั่ โง่ฤๅ
กวอี ่านงานกวรี ู้ แค่นนั้ งานกวี๚๛

นานาสงั วาส

บ ท ป ร ะ พั น ธ์ ข้ า ง ต้ น ใ ช้ ค า ต า ย แ ท น ค า เ อ ก อ ยู่
๒ แห่ง คือ คาว่า “ประทีป” คาว่า “ทีป” เป็น
คาตาย และคาว่า “จากชู้” คาว่า “จาก” เป็น
คาตาย

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

เรอ่ื ง โคลงสสี่ ุภาพ ม.๕



“เสาวภาพ” หรือคาสุภาพ จานวน ๑๙ คาที่ไม่ได้
กาหนดรูปวรรณยุกต์ไว้สามารถใช้รูปวรรณยุกต์ใดก็ได้
หรือไม่มีรูปวรรณยุกต์ก็ไม่ถือว่าผิดฉันทลักษณ์แต่อย่างใด
ดังตวั อย่างบทประพันธ์

ตัวอย่างการใช้คามีรูปวรรณยุกต์อืน่ ในตาแหนง่ เสาวภาพ

๏ อย่าเอือ้ มเดด็ ดอกฟา้ มาถนอม
สูงสดุ มอื มกั ตรอม อกไข้
เด็ดแตด่ อกพะยอม ยามยาก ชมนา
สูงกส็ อยด้วยไม้ อาจเออื้ มเอาถึง๚๛

โคลงโลกนติ ิ

จากบทประพันธ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า คาสุภาพที่กาหนดไว้ให้มี
จานวน ๑๙ คานั้นสามารถแทนที่ด้วยคาที่มีรูปวรรณยุกต์ได้ โดยบท
ประพันธ์ข้างต้นถูกแทนที่อยู่ ๔ ตาแหน่งด้วยกัน คือคาว่า “อย่า” “เอื้อม”
“แต”่ และ “ดว้ ย” ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่ได้กาหนดรูปวรรณยุกต์ในจุด
ที่เป็ นคาเอก หรือคาโท แต่ในท้ายวรรคทุกวรรคจะต้องเป็ นคาที่ไม่มีรูป
วรรณยุกต์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากใช้คาที่มีรูปวรรณยุกต์แล้วจะทาให้น้าหนักของ
โคลงเสีย ความไพเราะก็จะหายไป ซึ่งจุดบังคับคือจุดที่เป็นเครื่องหมาย
กากบาท ๔ ตาแหน่ง ดงั ภาพ

ผังภมู ิลักษณะคาประพันธโ์ คลงสสี่ ภุ าพ คาสร้อย

✘ ✘

คาสร้อย



เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เร่ือง โคลงส่สี ภุ าพ ม.๕



๒.๓.๒ เอกโทษ โทโทษ
คาวา่ “โทษ” ทใี่ ช้กับบทประพันธ์นนั้

มคี วามหมายว่า “ข้อบกพรอ่ ง” เพราะฉะนนั้ “เอกโทษ”
จึงหมายถึง ข้อบกพร่องของรปู วรรณยุกต์เอก และคาวา่
“โทโทษ” จึงหมายถึง ขอ้ บกพรอ่ งของรูปวรรณยุกต์โท ดงั นัน้
เมือ่ เมอื่ เอกโทษและโทโทษเป็นขอ้ บกพรอ่ งจึงเป็นสิง่ ทีค่ วรหลีกเลีย่ ง
หากไมจ่ าเป็นจรงิ ๆ ไม่ควรใช้ ซึง่ ในหนงั สือจินดามณี
ฉบบั กรมหลวงวงษาธิราชสนทิ ไดก้ ลา่ วไวเ้ ป็นโคลงสสี่ ภุ าพว่า

การกล่าวถงึ เอกโทษโทโทษ

๏ เอกโทผดิ ทีอ่ ้าง ออกนาม โทษนา
จงอยา่ ยลอย่างตาม แตก่ ี้
ผจงจติ รคดิ พยายาม ถูกถอ่ ง แท้นา
ยลเยยี่ งปราชญส์ ับปลี้ เปลา่ สนิ้ สรรเสรญิ ๚๛

จนิ ดามณี

โคลงบทดังกล่าวได้สื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจนถึง
เรื่องการใช้เอกโทษ โทโทษ ว่าเป็นข้อบกพร่องควรหลีกเลี่ยงหากไม่จาเป็น
ทั้งนี้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (น.ม.ส.) กวีผู้เชี่ยวชาญ
การนิพนธ์โคลง ทรงโคลงแสดงการใช้เอกโทษ โทโทษไว้เป็นตัวอย่างให้
ศึกษา ดงั บทประพันธ์

แสดงการใชเ้ อกโทษ โทโทษ

๏ เชญิ ดูตคู า่ เหล้น โคลงโลด โผนเฮย
ยกคอ่ ยอประโยชน์ เคา่ เหยยี้ ง
เอกโททอ่ ยเป็นโทษ เทียบไฮ่ เห็นเฮา
แปรงแซรง่ แปลงถูกเถยี้ ง ทว่ นถีท้ ีแสดง๚๛

พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมนื่ พิทยาลงกรณ

เอกโทษ คือเดิมใช้รูปโทแต่ปรากฏเป็นรูปเอก
เช่นคาว่า ท่อย (ถ้อย) ค่า (ข้า) ทว่ น (ถว้ น)
โทโทษ คือเดิมใช้รูปเอกแต่ปรากฏเป็นรูปโท
เช่นคาว่า เถีย้ ง (เทีย่ ง) เหล้น (เลน่ ) ถี้ (ที)่

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เร่อื ง โคลงสี่สภุ าพ ม.๕

๑๐

๒.๔ สมั ผัส
โคลงสี่สุภาพ ๑ บท ประกอบด้วย ๔ บาท คือ

บาทที่ ๑ (บาทเอก) บาทที่ ๒ (บาทโท) บาทที่ ๓ (บาทตรี)
และบาทที่ ๔ (บาทจัตวา) ในแต่ละบาทนั้นแบ่งออกเป็ น ๒
วรรค ซึ่งพระโหราธิบดี ได้อธิบายสัมผัสบังคับของโคลงสี่
สุภาพไวใ้ นหนังสือจินดามณวี ่า

สัมผัสบงั คบั มาฟดั
ชอบพร้อง
๏ ให้ปลายบาทเอกนัน้ ในที่ เบญจนา
ห้าทบี่ ทสองวจั น์ ทหี่ ้าบทหลงั ๚๛
บทสามดจุ เดียวทัด
ปลายแหง่ บทสองต้อง จนิ ดามณี

คาสุดท้ายของบาทที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคาที่ ๕ ของบาทที่ ๒
และบาทที่ ๓ คาสุดท้ายของบาทที่ ๒ ส่งสัมผสั ไปยงั คาที่ ๕ ของบาทที่ ๔

ผงั ภูมิแสดงสัมผสั บงั คบั ของโคลงสสี่ ุภาพ คาสรอ้ ย

บาทท่ี ๑

บาทท่ี ๒ คาสร้อย
บาทที่ ๓

บาทที่ ๔

การส่งสมั ผัสตามสัมผัสบังคบั จะทาให้โคลงสสี่ ภุ าพ
มีความไพเราะ และมคี ุณคา่ หากปรากฏสัมผัสใน
ถือเป็นอลงั การทางภาษาทาให้ไพเราะมากยิ่งขนึ้

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

เร่อื ง โคลงสี่สภุ าพ ม.๕

๑๑

๒.๕ คาสรอ้ ย
คาสรอ้ ยทใี่ ชต้ ่อทา้ ยโคลงสสี่ ุภาพนจี้ ะมีปรากฏ

ในบาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ เทา่ นนั้ จะใชก้ ต็ ่อเมือ่ บาทนนั้
ใจความขาด หรือยงั ไมส่ มบรู ณ์ หากใจความในบาทนัน้
สมบูรณ์ไดใ้ จความดอี ยู่แล้วก็ไม่จาเป็นต้องมีสร้อย หากใช้สร้อย
ในทีไ่ มจ่ าเป็นหรือไมม่ คี วามหมายชดั เจนกจ็ ะทาให้โคลงบทนนั้ “รกสร้อย”
ดังตวั อย่างของโคลงทีม่ ีความไพเราะโดยไม่มสี รอ้ ย

โคลงสีส่ ภุ าพแบบไมม่ คี าสร้อย ไพหาร
พระแผ้ว
๏ โบสถ์ระเบียงมณฑปพื้น ภายค่า
ธรรมาสนศ์ าลาลาน ก่าฟา้ เฟอื นจนั ทร๚์ ๛
หอไตรระฆงั ขาน
ไขประทปี โคมแกว้ นริ าศนรินทร์

ตัวอย่างข้างต้นเป็ นตัวอย่างของโคลงสี่สุภาพที่มีความไพเราะ
สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีสร้อย แต่โคลงบางบทก็มีความจาเป็นต้องใช้คาสร้อย
ช่วยให้เกิดความไพเราะอีกทั้งยังช่วยเติมเต็มในเรื่องการสื่อความหมาย
ใหช้ ัดเจน ดงั ตวั อย่าง

โคลงสสี่ ภุ าพแบบมีคาสรอ้ ย ลอยสวรรค์ ลงฤา
เจิดหล้า
๏ อยธุ ยายศล่มแลว้ ศาสน์ร่งุ เรอื งแฮ
สงิ หาสน์ปรางคร์ ัตน์บรร ฝึกฟ้ นื ใจเมอื ง๚๛
บุญเพรงพระหากสรรค์
บังอบายเบิกฟา้ นริ าศนรินทร์

คาสรอ้ ยของบาทที่ ๑ (บาทเอก) คือคาว่า “ลงฤๅ” ชัดเจนว่าถ้าไม่เติม
คาสร้อยลงไปจะมีใจความที่ไม่สมบูรณ์ จะปรากฏเพียงว่า “อยุธยายศล่ม
แล้ว ลอยสวรรค์” เมื่อเติมสร้อย “ลงฤๅ” เข้าไปจึงมีใจความที่สมบูรณ์
เช่นเดยี วกบั คาสรอ้ ยในบาทที่ ๓ (บาทตร)ี คอื คาวา่ “เรอื งแฮ” ถ้าไม่เติม

คาสร้อยลงไปใจความก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
เชน่ เดียวกัน เพราะฉะนัน้ การเติมคาสร้อยต้องดู
ให้เหมาะสม ความขาดจึงคอ่ ยเตมิ ลงไป

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

เร่ือง โคลงสสี่ ุภาพ ม.๕

๑๒

คาสรอ้ ยทนี่ ิยมใช้กันมาแต่โบราณมี ๑๘ คา ดงั นี้
๒.๕.๑ คาว่า “พ่อ” ใชข้ ยายความเฉพาะบคุ คล

คาสรอ้ ย “พ่อ” พาลพ่าย ฤทธิพ์ ่อ
ศรตั รูหมู่พาลา
ลิลติ พระลอ
วา่ ร้อยกณุ ฑลมา
ลัยเลศิ นีพ้ ่อ

ลลิ ิตเพชรมงกุฎ

๒.๕.๒ คาว่า “แม่” ใชข้ ยายความเฉพาะบุคคลหรอื เป็นคาร้องเรยี ก

คาสรอ้ ย “แม่” สรา่ งสวาสดิ์ แม่แม่
ตรงใจพี่อาวรณ์
โคลงนริ าศพระยาตรัง

แสนศึกแสนศาสตรซ์ อ้ ง แสนพัน มาแม่

นิราศนรนิ ทร์

๒.๕.๓ คาว่า “พี่” ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล อาจทาหน้าทีส่ รรพนาม
บรุ ษุ ที่ ๑ หรอื บรุ ษุ ที่ ๒ กไ็ ด้

คาสร้อย “พี่” เนอื งส่ง เรอื พี่
ถนดั สัง่ นริ าศนาง
โคลงนิราศตามเสดจ็ ทพั ลานา้ นอ้ ย
สองเขือพี่หลบั ใหล
ลมื ตนื่ ฤๅพี่

ลลิ ิตพระลอ

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้

เร่อื ง โคลงส่สี ภุ าพ ม.๕

๑๓

๒.๔.๔ คาว่า “เลย” ใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธ

คาสร้อย “เลย” ฤๅร่า ถึงเลย
แสนสนกุ ศรอี โยธยา
ลลิ ิตพระลอ

ประมาณกงึ่ เกศา ฤๅหา่ ง เรยี มเลย

โคลงกวโี บราณ

๒.๕.๕ คาวา่ “เทอญ” มีความหมายในเชิงขอให้มี หรอื ขอให้เป็น

คาสรอ้ ย “เทอญ” ฟงั ด่า บลเทอญ
สารพัดเขตจกั รพาล
โคลงนิราซหริภุญชัย

จงจาดารริ ู้ ประมาณ ตนเทอญ

โคลงสภุ าษติ พระราชนิพนธใ์ นรัชกาลที่ ๕

๒.๕.๖ คาวา่ “นา” ดงั นัน้ เชน่ นนั้

คาสร้อย “นา” จมอรร ณพนา
เภตราเพียบลม้ ลง
โคลงโลกนติ ิ

จาบาราศบุญเรอื ง รองบาท พระนา

โคลงนริ าศกรงุ เกา่

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เรอ่ื ง โคลงสสี่ ภุ าพ ม.๕

๑๔

๒.๕.๗ คาวา่ “นอ” ความหมายเดียวกับคาว่า หนอ หรือนนั่ เอง

คาสรอ้ ย “นอ” ปืนปัก อย่นู อ
ยอกไหลย่ อกตะโพนปาน
โคลงภาพฤๅษีดดั ตน

ดลตาบลถิน่ บ้าน คลองสระ บวั นอ

โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

๒.๕.๘ คาวา่ “บารน”ี มคี วามหมายวา่ เช่นนี้ ดังนี้

คาสรอ้ ย “บารนี” เอาใจ บารนี
กนิ บัวอรอ่ ยโอ้
ลลิ ิตพระลอ

ปฟู่ งั ปวู่ ่าอา้ อดสู บารนี

ลิลิตพระลอ

๒.๕.๙ คาว่า “รา” มคี วามหมายว่าเถอะ เถดิ

คาสรอ้ ย “รา” ความทุกข์ พี่รา
วานจวนชาระใจ
โคลงนิราศกรุงเกา่

นายขวญั นายแกว้ เร่ง ขวนขวาย หนึง่ รา

ลลิ ติ พระลอ

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เร่ือง โคลงสีส่ ุภาพ ม.๕

๑๕

๒.๔.๑๐ คาวา่ “ฤๅ” มคี วามหมายในเชิงคาถาม
เหมอื นคาวา่ หรือ

คาสร้อย “ฤๅ” ฑิรทพิ ย์ เทียมฤๅ
มกุฎพิมานมณ
โคลงนิราศนครสวรรค์

โฉมแมค่ วรจกั ฝากฟา้ ฤๅดนิ ดีฤๅ

โคลงนริ าศนรนิ ทร์

๒.๕.๑๑ คาว่า “เนอ” มีความหมายว่า ดงั นนั้ เชน่ นนั้

คาสร้อย “เนอ” ภาคน่า แท้เนอ
ละสขุ เล็กสว่ นผล
โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

วันรุ่งแม่กองทวิ ทศพวก นายเนอ

โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

๒.๕.๑๒ คาวา่ “ฮา” มคี วามหมายเช่นเดียวกบั คาสร้อย นา

คาสรอ้ ย “ฮา” ตงึ เมอื่ ย หายฮา
กวัดเทา้ ท่ามวยเตะ
โคลงภาพฤๅษดี ดั ตน
สงครามครานนั้ บิน่
ปกเชยี ง ใหมฮ่ า

โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

เร่อื ง โคลงสี่สภุ าพ ม.๕

๑๖

๒.๕.๑๓ คาวา่ “แล” มีความหมายวา่ อย่างนัน้ เป็นเช่นนนั้

คาสร้อย “แล” วางใจ มาแล
กลั ยาเคยเชอื่ ไว้
ลิลิตนทิ ราชาคริต
ปีพันรอ้ ยเศษหา้
สิบเอด็ ระกาแล

โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

๒.๕.๑๔ คาว่า “ก็ด”ี มคี วามหมายทานองเดียวกับ ฉนั ใดกฉ็ ันนนั้

คาสรอ้ ย “ก็ด”ี องค์ใด กด็ ี
นิทานนเิ ทศท้าว
โคลงนริ าศนรนิ ทร์

ผไิ ปถงึ แล้วและ ถึงกรรม ก็ดี

ลิลติ พระลอ

๒.๕.๑๕ คาว่า “แฮ” มีความหมายว่าเป็ นอย่างนั้นเอง ทานอง
เดยี วกบั คาสร้อย แล

คาสร้อย “แฮ” บญุ แต่ง มาแฮ
อัชฌาสยั แห่งสามญั
โคลงโลกนิติ

นพบุรบี เุ รศเจ้า กรงุ อยธุ ยาแฮ

โคลงนิราศเจ้าฟา้ อภัย

เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้

เร่อื ง โคลงสี่สุภาพ ม.๕

๑๗

๒.๔.๑๖ คาวา่ “อา” สรอ้ ยคานีไ้ มม่ คี วามหมาย
แนช่ ดั แต่จะวางไว้หลงั คาร้องเรียกให้ครบพยางค์ เชน่
พ่ออา แมอ่ า พี่อา หรอื เป็นคาออกเสียงพูดในเชิงราพึง
แสดงความวติ กกังวล

คาสรอ้ ย “อา” นอ้ งไป พ่ออา
เป็นไฉนจึงดว่ นทงิ้
ลิลิตนทิ ราชาครติ

๒.๕.๑๗ คาว่า “เอย” ใช้เมื่ออยู่หลังคาร้องเรียกเหมือนคาว่า เอ๋ย
หรือวางไวใ้ หค้ าตอบครบตามบงั คับ

คาสร้อย “เอย” อปั รา ชัยเอย
เจา้ ปาตลิบุตรนนั้
โคลงเฉลมิ พระเกยี รติพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ี

จาปาจาเปรยี บเนอื้ นางสวรรค์ กูเอย

โคลงนิราศนรนิ ทร์

๒.๕.๑๘ คาว่า “เฮย” ใช้ในลักษณะทตี่ ้องการเน้นให้มีความเห็นคล้อย
ตามข้อความที่กล่าวมาข้างหน้า สร้อยคานี้มาจากคาเขมรว่า “เหย” แปลว่า
“แล้ว” ดังนั้นเมื่อใช้ในคาสร้อยจึงน่าจะมีความหมายเป็ นเช่นนั้นแล้ว
ได้เชน่ กัน

คาสรอ้ ย “เฮย”

ขนึ้ ตงั่ ไชยพฤกษพ์ ร้อม มรุธา ภิเษกเฮย

โคลงเฉลิมพระเกยี รติรัชกาลที่ ๒

ครูพราหมณพ์ ฤฒิบาศทงั้ โหรดา จารยเ์ ฮย

โคลงพิธถี อื น้าและคเชนทรัศวสนาน

เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้

เรอื่ ง โคลงสสี่ ภุ าพ ม.๕

๑๘

คาสร้อยทั้ง ๑๘ คาที่กล่าวมานีเ้ ป็นคาสร้อยแบบ
แผนที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีคา
สร้อยอีกชนิดหนึง่ ที่เรียกว่า “สร้อยเจตนัง” เป็นคาสร้อยที่กวี
ต้องการให้เป็นไปตามใจของตนเอง หรือใช้คาสร้อยนั้นโดย
จงใจ ไมค่ วรใช้ในงานกวนี พิ นธ์ทีเ่ ป็นพิธีการ

คาสร้อยเจตนัง นอนเงอื่ ง งงงว่ ง
หายเห็นประเหลนุช
โคลงนิราศตามเสดจ็ ทพั ลาน้านอ้ ย

พวกไทยไลต่ ามเพลิง เผาจดุ ฉางฮอื

โคลงภาพพระราชพงศาวดาร

ลัทธิท่านเคร่งเขมง เมืองท่าน ถือฮอ

โคลงภาพฤๅษีดดั ตน

การใช้คาสร้อยของกวีในอดีตมีความนิยมที่แตกต่างกัน ในงาน
กวีนิพนธ์บางเรื่องไม่ทราบว่าผู้ใดเป็ นผู้ประพั นธ์อาจใช้รูปแบบความนิยมใน
การใช้คาสร้อยเป็ นสิ่งที่ช่วยวินิจฉัยว่าผลงานนั้นเป็ นผลงานของกวี
ท่านใดได้ ทั้งนี้ “คาสร้อย” ยังถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของโคลง ที่กวี
ชัน้ เยีย่ มหลายท่านนยิ มใชม้ าก

เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

เรือ่ ง โคลงสีส่ ภุ าพ ม.๕

๑๙

บรรณานกุ รม

กรมศิลปากร. ๒๕๑๔. จินดามณี. (พิมพ์ครั้งที่ ๖)
พระนคร: บรรณาคาร.

กรมศิลปากร. ๒๕๑๗. ลิลิตพระลอ. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๕)
กรงุ เทพมหานคร: คลงั วิทยา.

น ริ น ท ร์ ธิ เ บ ศ ร์ . ม . ป . ป . . โ ค ล ง นิ ร า ศ น ริ น ท ร์ .
กรงุ เทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทศั น์.

สถาพร ฉันท์ประสูตร. ๒๕๖๐. เคล็ดวิชาโคลง. (พิมพ์
ครัง้ ที่ ๒) นนทบรุ :ี ภาพพิมพ์.

เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้

เร่ือง โคลงสีส่ ุภาพ ม.๕

เขยี นเท่าทรี่ ู้สึก..... มาเลย
ไมก่ ล้า
๏ เขียนเท่าทรี่ สู้ กึ มาก่อน
อยา่ นัง่ ดูเฉยเฉย ลม่ บ้างชา่ งมัน๚๛
ตา่ งคนต่างไมเ่ คย
มอื ใหม่ครงั้ แรกอา้


Click to View FlipBook Version