The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Boss Ton, 2023-01-24 10:06:55

อัศม์เดช นิตยสารสัตว์สูญพันธ์

นิตยสารสัตว์สูญพันธ์

สัตว์ 18 สายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ โดยมนุษย์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา 18 animal species that have been extinct by humans in the last 100 years. เรียบเรียงโดยโดย นายอัศม์เดช จีนเลี้ยง


เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (David Attenborough) ได้กล่าว ในสารคดีล่าสุดของเขาว่า “มนุษย์คือตัวการที่ทําให้พืชและสัตว์หลายชนิด สูญพันธุ์”ผลกระทบจากน�ามือมนุษย์ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าในอนาคตอาจจะ มีสิ่ งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่อาจจะสูญพันธุ์ ในบทความนี้เราขอชวนคุณพบกับ สัตว์ 18 สายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วง 100 ปี ที่ผ่านมา พร้อมกับสาเหตุที่ ทําให้พวกมันสูญพันธุ์


1


นกแก้วสวรรค์ นกแก้วสวรรค์ชนิดpulcherrimus Psephotellus เป็ นขนาดกลางที่มีสีสันนกแก้วพื้น เมืองในป่ าหญ้าของรัฐควีนส์แลนด์ - นbวเซาธ์เวลส์ พื้นที่ชายแดนทางตะวันออกของออสเตรเลีย เมื่อพบได้ทั่วไปในระดับปานกลางภายในขอบเขต ที่ค่อนข้างจํากัด นกตัวสุดท้ายที่มีชีวิตถูกพบ ในปี 1927 การค้นหาอย่างกว้างขวางและต่อ เนื่องในช่วงหลายปี นับแต่นั้นมาล้มเหลวในการ สร้างหลักฐานที่เชื่อถือได้ใดๆ ของนกชนิดนี้ และเป็ นนกแก้วออสเตรเลียเพียงตัวเดียวที่ได้ รับการบันทึกว่าสูญพันธุ์และสันนิษฐานว่าสูญ พันธุ์ ขนนกมีสีสันเป็ นพิเศษ แม้ตามมาตรฐานนกแก้ว มีส่วนผสมของเทอร์ควอยซ์ น�า แดง ดํา และน�า ตาล หางมีความยาวเกือบเท่ากับลําตัว ซึ่งไม่ ธรรมดาสําหรับนกที่ถึงแม้จะบินเร็ว แต่ก็ใช้เวลา เกือบตลอดเวลาบนพื้นดิน


นกแก้วสวรรค์เดิมสามารถพบได้ใน ออสเตรเลียตะวันออก และนกแก้วสวรรค์ก็ไม่ ถูกพบอีกเลยตั้ งแต่ปี 1928 ตามที่องค์การระหว่าง ประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุ ไว้ใน ‘บัญชีแดง’ ของสายพันธุ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้กล่าวว่าสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ของนกแก้ว สวรรค์คือ ภัยแล้ง การกินหญ้าที่มากเกินไปของ สัตว์เลี้ยงที่กินหญ้าเป็ นอาหาร และผู้คนตัดต้นยูคา ลิปตัสซึ่งเป็ นที่อยู่ของนกแก้วสวรรค์มากเกินไป คําอธิบายของสายพันธุ์นี้เผยแพร่ครังแรกโดย ้ John Gouldในปี 1845 Gould ใช้คําอธิบายที่ พนักงานภาคสนามJohn Gilbertให้มา และสงสัย ว่าจะคัดลอกบันทึกย่อของ Gilbert จากจดหมายที่ สูญหาย จดหมายจากกิลเบิร์ต (พฤษภาคม 2387) ที่บรรยายถึงนกแก้วตัวนี้ถูกส่งไปยังเอ็ดเวิร์ด สมิธ -สแตนลีย์ (ลอร์ดสแตนลีย์ เอิร์ลแห่งดาร์บี้) เห็นได้ ชัดว่าเพื่อล่อใจให้ผู้ที่ชื่นชอบการซื้อตัวอย่างในความ ครอบครองของโกลด์ สําเนาจดหมายของกิลเบิร์ต ที่เขียนโดยสแตนลีย์ ซึ่งโผล่ออกมาจากเอกสารสําคัญ ในลิเวอร์พูลในปี 1985 แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ ในถ้อยคํา ตัวอย่างสองชิ้ น ที่คิดว่ามาจากชุดประเภท ที่ใช้ในคําอธิบายแรก ถูกส่งไปยังสแตนลีย์ และเก็บ ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลิเวอร์พูล. ประเภทของชิ้ นงานอยู่ที่ สถาบันวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, ฟิ ลาเดล ไดอารี่ของ Gilbert บันทึกการเผชิญหน้าครัง้ แรกกับนกแก้วที่แม่น�า Condamineซึ่งเขาได้ตัวอย่าง ด้วย ต่อมาเขาได้พบกับสายพันธุ์นี้ที่แม่น�าดาวหาง ทางเหนือ ขณะเดินทางด้วยการสํารวจครังที่สองที่ ้ นําโดย Leichhardt และได้บันทึกการพบเห็นครัง้ สุดท้ายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1845 ที่แม่น�ามิตเชลล์ ไม่นานก่อนที่เขาจะถูกสังหาร สายพันธุ์นี้เป็ นพันธมิตรกับสกุลPsephotellus ของตระกูลนกแก้วPsittaculidaeเผยแพร่โดย Gregory Mathewsในปี 1913 และเป็ นประเภท สําหรับคําอธิบายนัน้


2


หมาป่าซิซิเลียน จากผลการศกษาของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ึ ธรรมชาติเวโรนา หมาป่ าซิซิเลียนสูญพันธุ์จากการถูก ฆ่าเพื่อไปเป็ นอาหารของคนเลี้ยงปศุสัตว์บนเกาะ คน พื้นเมืองของเกาะซิซิลี่คิดว่าการสูญพันธุ์ของหมาป่ า ซิซิเลียนคือการขาดแคลนแหล่งอาหารจากวิกฤตสิ่ ง แวดล้อมบนเกาะ หมาป่ าซิซิลี ( Canis lupus cristaldii ) ( Sicilian : lupu sicilianu ) เป็ นสายพันธุ์ย่อยที่ สูญพันธุ์ของหมาป่ าสีเทาที่มีถิ่ นกําเนิดในซิซิลี มันมีสี ซีดกว่า หมาป่ าอิตาลีแผ่นดินใหญ่และมีขนาดใกล้ เคียงกับหมาป่ าอาหรับที่ยังหลงเหลืออยู่และหมาป่ า ญี่ปุ่ นที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีรายงานว่าสปี ชีส์ย่อยสูญ พันธุ์เนื่องจากการกดขี่ข่มเหงของมนุษย์ในปี ค.ศ. 1920 แม้ว่าจะมีการพบเห็นหลายครังจนถึงปี ้ 1970 มันถูกระบุว่าเป็ นสปี ชีส์ย่อยที่แตกต่างกันในปี 2018 ผ่านการตรวจสอบทางสัณฐานวิทยาของตัว อย่างและกะโหลกที่เหลืออยู่สองสามชิ้ น รวมถึง mtDNAวิเคราะห์


หมาป่ าซิซิลีเป็ นสายพันธุ์ย่อย ขาสั้นเรียว มีขน สีน�าตาลอ่อน แถบสีเข้มที่ขาหน้าของหมาป่ าอิตาลี แผ่นดินใหญ่นันหายไปหรือถูกกําหนดไว้ไม่ดีในหมา ้ ป่ าซิซิลี การวัดจากตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ที่ติดตั้ งไว้ แสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่มีความยาวเฉลี่ยหัวถึงลําตัว 105.4 ซม. และไหล่สูง 54.6 ซม. ทําให้มีขนาดเล็ก กว่าหมาป่ าอิตาลีแผ่นดินใหญ่เล็กน้อย ซึ่งมีความ ยาว 105.8-109.1 ซม. และ 65–66.9 ซม. สูงที่ไหล่ หมาป่ าซิซิลีน่าจะเข้ามาในซิซิลีผ่านสะพานบกที่ ก่อตัวเมื่อ 21,500-20,000 ปี ก่อน มีแนวโน้มลด ลงในช่วงปลายยุคนอร์มันเมื่อเหยื่อที่มีกีบเท้าสูญ พันธุ์ สายพันธุ์ย่อยสูญพันธุ์ไปในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ไม่ทราบวันที่แน่นอน โดยทัวไปคิดว่าหมาป่ าตัว ่ สุดท้ายถูกฆ่าตายในปี 2467 ใกล้กับ เบล โลลัมโป แม้ว่าจะมีรายงานการสังหารเพิ่ มเติมระหว่างปี 2478 ถึง 2481 ทังหมดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ้ ของปาแลร์โม มีรายงานการพบเห็นหลายครังตั้ ้ ง แต่ปี 2503 และ 2513 ในปี พ.ศ. 2561 การตรวจสอบโฮโลไทป์ ซึ่งเป็ น ตัวอย่างที่ขี่ม้าและกะโหลกที่เก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Museo di Storia Naturale di Firenzeและอีก สามคนยืนยันลักษณะทางสัณฐานวิทยาของหมาป่ า ซิซิลีที่มีลักษณะเฉพาะ และการตรวจสอบ mtDNA ที่สกัดจากฟั นของกะโหลกหลายตัว แสดงให้เห็นว่า สายพันธุ์ย่อยมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจาก หมาป่ าอิตาลี ในปี 2019 การศกษา mDNA ระบุว่าหมาป่ าซิซิลี ึ และหมาป่ าอิตาลีมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและ ก่อตัวเป็ น "กลุ่มภาษาอิตาลี" ซึ่งเป็ นรากฐานของ หมาป่ าสมัยใหม่อื่นๆ ทังหมด ยกเว้นหมาป่ าหิมาลัย ้ และ หมาป่ าญี่ปุ่ นที่สูญพันธุ์ไปแล้วในขณะนี้ การศกึ ษาระบุว่าความแตกต่างทางพันธุกรรมเกิดขึ้นระ หว่างสองเชื้อสายเมื่อ 13,400 ปี ก่อน เวลานี้เข้ากัน ได้กับการมีอยู่ของสะพานบกล่าสุดระหว่างซิซิลีและ ปลายตะวันตกเฉียงใต้ของอิตาลี ซึ่งน�าท่วมที่ปลาย ยุค Pleistocene เพื่อสร้างช่องแคบเมสซีนา


3


เสือทัสมาเนีย นักล่าอาณานิคมชาวยุโรปกลัวเสือทัสมาเนียและคิดว่าพวกมันอาจจะกินแกะที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ ดังนัน้ พวกเขาจึงล่าและฆ่าพวกมันเพื่อลดจํานวนประชากรของเสือทัสมาเนียลง และในปี ต่อ ๆ มาเสือทัสมาเนียก็ กลายเป็ นสัตว์ที่พบเจอได้ยากขึ้น เพราะว่าเสือทัสมาเนียได้ถูกล่าเพื่อนําไปแสดงในพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ เสือทัสมาเนียตัวสุดท้ายตายในสวนสัตว์โฮบาร์ตในปี 1936


ไทลาซีน (อังกฤษ: thylacine; ชื่อวิทยาศาสตร์: Thylacinus cynocephalus; มาจากภาษากรีก แปลว่า "มีหัวเหมือนสุนัขและมีกระเป๋ าหน้าท้อง") หรือที่รู้จักกันทัวไปในชื่อ เส ่ ือแทสเมเนีย หรือ หมาป่ า แทสมาเนีย (Tasmanian tiger, Tasmanian wolf) เนื่องจากมีลายทางที่หลังคล้ายเสือ และลักษณะ คล้ายหมาป่ าหรือสุนัข มีฟั นแหลมคม และสามารถยืนด้วยสองขาหลังได้เหมือนจิงโจ้ ในอดีตไทลาซีน เคยเป็ นสัตว์มีกระเป๋ าหน้าท้องประเภทกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่ นฐานอยู่ในออสเตรเลีย รัฐแทสเมเนีย และนิวกินี


4


ผีเสื้อสีฟ้า Xerces ผีเสื้ อสีฟ้ า Xerces จะอาศยอยู่บริเวณเนินทราย บริเวณชายฝั ั ่งของทะเลในซานฟรานซิสโก นักวิทยา ศาสตร์เชื่อว่าพวกมันได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้ งแต่ปี 1940 ผีเสื้ อสีฟ้ า Xerces เป็ นผีเสื้อสายพันธุ์อเมริกันชนิด แรกที่สูญพันธุ์เนื่องจากการรุกล�าถิ่ นที่อยู่จากการขยายเมือง


Xerces สีฟ้ า ( Xerces Glaucopsyche ) เป็ น สัตว์สูญพันธุ์ ชนิดของผีเสื้อในวงศผีเส ์ ื้อใยแมงมุมปี ก Lycaenidae สายพันธุ์ที่อาศยอยู่ในเนินทรายชายฝั ั ่ง ทะเลของ Sunset ตําบลของซานฟรานซิคาบสมุทร เชื่อกันว่า Xerces blue เป็ นผีเสื้อสายพันธุ์แรกของอ เมริกาที่สูญพันธุ์อันเป็ นผลมาจากการสูญเสียที่อยู่ อาศยอันเนื่องมาจากการพัฒนาเมือง สุดท้าย Xerces ั สีฟ้ าที่เห็นในปี 1941 หรือ 1943 ในดินแดนที่เป็ นส่วน หนึ่งของโกลเด้นเกทกีฬาแห่งชาติเขต ตัวอย่างที่เก็บรักษาไว้ที่พบในรัฐแคลิฟอร์เนีย Academy of Sciences , พิพิธภัณฑ์ Bohartและ พิพิธภัณฑ์ฮาร์วาร์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ชนิดนี้ได้ รับการอธิบายและบันทึกเป็ นครังแรกในปี พ.ศ. 2395 ้ มีลักษณะเป็ นปี กสีน�าเงินที่มีจุดสีขาว [5]ผีเสื้อกินพืช ที่อยู่ในประเภทโลตัสและLupinus [5]การสูญเสียต้น บัวที่ผีเสื้อเลี้ยงไว้ในขณะที่อยู่ในระยะตัวอ่อนเชื่อว่า เป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ Xerces blue สูญพันธุ์ไป พืช ไม่สามารถดํารงอยู่ได้ในดินที่ถูกรบกวนเนื่องจากการ พัฒนาของมนุษย์และไม่สามารถใช้ได้กับ Xerces blue อีกต่อไป [4] [5]ลูปิ น, แหล่งอาหาร ของพืชอื่น ๆ Xerces สีฟ้ า, ไม่เหมาะสมสําหรับตัว อ่อนลิตรขั้ นตอน มีความพยายามที่จะสร้างผีเสื้อที่เกี่ยวข้องขึ้นมา ใหม่ในถิ่ นที่อยู่เดิมของ Xerces blue Palos Verdes สีฟ้ า ( Glaucopsyche lygdamus palosverdesensis ) ซึ่งถือว่าเป็ นLos Angelesลูก พี่ลูกน้องของ Xerces จะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ [ ต้องการอ้างอิง ]มีการค้นพบสายพันธุ์ย่อยใหม่ที่ คล้าย Xerces ของสีเงินสีน�าเงิน ( Glaucopsyche lygdamus ) เช่นกัน แม้ว่าการสูญพันธุ์จะดําเนินไปอย่างถาวร แต่ทีม วิจัยก็สามารถเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อสําหรับการวิเคราะ ห์ทางพันธุกรรม จากตัวอย่างที่ตรึงไว้ในลิ้ นชักของ คอลเล็กชันประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ดูแลโดยพิพิธ ภัณฑ์ Field Museum ในชิคาโก โดยการตัดชิ้ นส่วน เล็กๆ ของช่องท้องจาก Xerces blue ที่ถูกจับได้ในปี 1928 เก็บไว้


5


สิงโตทะเลญี่ปุ่น สิงโตทะเลญี่ปุ่ นถูกล่าเพื่อเอาหนัง หนวด อวัยวะ ส่วนต่าง ๆ และไขมัน นอกจากนี้พวกมันยังถูกล่า เพื่อนําไปใช้ในการแสดงละครสัตว์ การสูญพันธุ์ของ พวกมันอาจรวมไปถึงการถูกล่าจากชาวประมงและ การถูกยิงโดยทหาร สิงโตทะเลญี่ปุ่ นถูกพบครังสุด้ ท้ายในปี 1950


สิงโตทะเล หรือ หมีทะเล (อังกฤษ: Sea lions, Sea bears) เป็ นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ Otariidae ์ ในวงศใหญ่Pinnipedia หรือแมวน�า จัดเป็ นแมวน�ามีหูจําพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั ์ ่งทะเลทัวโลก ่ ตั้ งแต่ทะเลเขตหนาวแถบขั้ วโลกเหนือหรืออาร์กติก และเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นในทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตร เช่น เกาะกาลาปากอส ก่อนที่จะปี 2003 มันก็ถือว่าเป็ นชนิดย่อยของแคลิฟอร์เนียสิงโตทะเลเป็ นZalophus californianus japonicus อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการจัดประเภทใหม่เป็ นสายพันธุ์ที่แยกจากกัน [1]การวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ในปี 2007 คาดว่าจุดแตกต่างระหว่างทังสองส้ิงโตทะเลเกิดขึ้นประมาณ 2 ล้านปี ที่ผ่านมา (ม) ในช่วงต้น Pleistocene ตัวอย่าง taxidermied หลายสามารถพบได้ในประเทศญี่ปุ่ น[4]และในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ แห่งชาติ , Leidenที่เนเธอร์แลนด์ , ซื้อโดยฟิ ลิปฟรานซ์ฟอน Siebold บริติชมิวเซียมครอบครองหนังและสี่ตัว อย่างกะโหลกศรษะี สิงโตทะเลญี่ปุ่ นตัวผู้มีสีเทาเข้มและหนักประมาณ 450 ถึง 560 กิโลกรัม (990 ถึง 1,230 ปอนด์) ยาวถึง 2.3 ถึง 2.5 เมตร (7.5 ถึง 8.2 ฟุต) มีขนาดใหญ่กว่าสิงโตทะเล แคลิฟอร์เนียตัวผู้ ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าอย่างมีนัยสําคัญที่ ความยาว 1.64 ถึง 1.8 เมตร (5.4 ถึง 5.9 ฟุต) และหนัก ประมาณ 120 กิโลกรัม (260 ปอนด์)โดยมีสีเทาอ่อนกว่า ตัวผู้


6


วอลลาบีเล็บหางเสี้ยว สัตว์มีกระเป๋ าหน้าท้องขนาดเล็กเหล่านี้พบได้ทัวไปทาง ่ ตะวันตกเฉียงใต้และภาคกลางของออสเตรเลีย จนกระ ทังสุนัขจิ่ ้ งจอกและแมวที่ถูกนําเข้ามาโดยนักล่าอาณานิ คมยุโรปเริ่ มล่าพวกมัน การทําลายถิ่ นที่อยู่ของพวกมัน อาจเป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้พวกมันสูญพันธุ์ไปในปี 1950


เส ี้ยวออสซี่เล็บหางยังเป็ นที่รู้จักในฐานะworong ( Onychogalea lunata ) เป็ นสายพันธุ์เล็ก ๆ ของ กระเป๋ าที่ถากหญ้าในการขัดผิวและป่ าทางตะวันตก เฉียงใต้และภาคกลางของประเทศออสเตรเลียพวก เขาพบเห็นได้ทัวไปในออสเตรเลียตะวันตกก่อนที่จะ ่ หายตัวไปในต้นศตวรรษที่ 20 และยังคงอยู่ในทะเล ทรายตอนกลางจนถึงอย่างน้อยปี 1950 ขนเนื้อนุ่ม เนียนและสีเทาขี้เถ้าโดยรวม เน้นบางส่วนด้วยโทนสี รูฟั ส มีขนสีอ่อนและสีเข้มทัวร่างกาย มีพระจันทร์ ่ เส ี้ยวคล้ายพระจันทร์เป็ นแรงบันดาลใจให้ชื่อ และมี ลายทางที่สวยงามบนใบหน้า เช่นเดียวกับสองสาย พันธุ์ที่เหลืออยู่ของสกุลOnychogalea unguifera ทางเหนือและO. fraenata ที่หายาก(เล็บขบ) มีเดือยแหลมที่ปลายหาง สายพันธุ์นี้ถูกนํามาเปรียบ เทียบกับกระต่ายหรือกระต่าย โดยมีลักษณะนิสัย ลักษณะและรสชาติ และมีน�าหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัม คําอธิบายแรกและตัวอย่างของสัตว์ถูกนําเสนอโดยJohn Gouldต่อLinnean Society of Londonในปี 1840 และตีพิมพ์ในProceedingsในปี 1841 โดยกําหนดสายพันธุ์ใหม่ให้กับสกุลMacropusและฉายาที่มา จากภาษาละตินlunatusความหมาย "ของ พระจันทร์" สําหรับเครื่องหมายรูปพระจันทร์เสี้ยว[3] เมื่อโกลด์ เสร็จสมบูรณ์เล่มที่สองของเขาในการเลี้ยงลูกด้วยนมของออสเตรเลีย (1849) เขาให้พิมพ์หินรูปชายและ หญิงโดยเฮนรี่ซีริกเตอร์และตั้ งชื่อสายพันธุ์เป็ นOnychogalea lunata , allying มันประเภทที่จัดตั้ งขึ้นโดย จอร์จวอเตอร์เฮาส์ [4]การแก้ไขอย่างเป็ นระบบของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในออสเตรเลียโดยOldfield Thomasในปี 1888 ยอมรับว่าคําอธิบายของ Gould เป็ นหนึ่งในสามสายพันธุ์ของสกุล และตรวจสอบตัว อย่างซ�าจากทางตะวันตกและทางใต้ของออสเตรเลียที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์บริติช โทมัสตั้ งข้อสังเกตถึงตัว อย่างประเภทดังกล่าวว่าเป็ นหนึ่งในสามตัวอย่างที่เก็บโดยจอห์น กิลเบิร์ตที่อาณานิคมของแม่น�าสวอนผิว หนังและกะโหลกศรษะของเพศชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ี โกลด์ให้ชื่อสามัญชนิด lunated จิงโจ้เล็บนกและอ้างอิงจอห์นกิลเบิร์รายงาน 's สําหรับชื่อจากภาษา Nyungarเป็ น ' Waurong ' [4] คําว่า วอลลาบีรูปพระจันทร์เสี้ยว ถูกตั้ งข้อสังเกตโดยโทมัสสําหรับสปี ชีส์ นี้ และมันมีความโดดเด่นในฐานะวอลลาบีหางเล็บรูปพระจันทร์เสี้ ยว ศพท์ท้องถิ ั ่ นโดยผู้ตั้ งถิ่ นฐาน กระต่าย จิงโจ้ ถูกบันทึกโดยกิลเบิร์ต อธิบายว่ามีความคล้ายคลึงของขนที่อ่อนนุ่มของสัตว์และหูที่ยาวกับสายพันธุ์ที่ แปลกใหม่[6] ชื่อที่อ้างถึงสายพันธุ์ ได้แก่ "tjawalpa" และ "warlpartu" ซึ่งรายงานโดยชาวอะบอริจินใน ทะเลทรายตอนกลาง[2] [7]ชื่อที่บันทึกไว้สําหรับภูมิภาคอื่น ๆ ได้แก่yiwuttaในชื่อภาษาอรุณตาและชาว ปิ จจานจาร์ ( ชาว Anangu ) คือ"อุนคัลดา"และ"โตวาลา" ( "โตวัลโป" ) [8]ตัวแปรในชื่อทัวทิศตะวันตก่ เฉียงใต้ของออสเตรเลียบันทึกโดย Gilbert และแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ตามมามากที่สุดจากผู้ให้ ข้อมูลของ Nyungarได้รับการกําหนดให้ใช้ทัวไปด้วยการสะกดคําว่า "worong"หรือ"wurrung"และการ ่ ออกเสียงพยางค์ "wo'rong" สายพันธุ์นี้ขี้อายอย่างยิ่ งและจะหนีไปที่ท่อนซุง หากถูกรบกวนในสถานที่พักผ่อนในเวลากลางวัน ผืนทรายเล็กๆ ถูกกวาดล้างใกล้กับไม้พุ่มหรือต้น ไม้ขนาดใหญ่ พวกเขาวิ่ งด้วยขาหน้าสั้นจับไปที่ หน้าอกอย่างเชื่องช้า


7


แอนทีโลปสายพันธุ์ Bubal แอนทิโลป (อังกฤษ: antelope, /ˈæn(t)əˌloʊp/, แอนทะโลพ) เป็ นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจําพวกหนึ่ง มีหลายชนิด ในหลายสกุล ในอันดับสัตว์กีบคู่ ในวงศวัวและควาย (Bovidae) ์ โดยทัวไปแล้วแอนทิโลปมีลักษณะคล้ายกับกวางซึ่งเป็ นส ่ ัตว์กีบคู่เหมือนกันและอยู่ในวงศกวาง(Cervidae) ์ และคํานิยามในพจนานุกรมก็มักจะระบุเช่นนันว่า แอนทิโลปเป็ นส ้ ัตว์จําพวกเนื้อและกวางชนิดที่มีเขาเป็ นเกลียว หรือบางทีก็แปลว่า ละมัง[1] แต่ที่จริงแล้วแอนทิโลปมิใช่กวาง แม้จะมีรูปร่างภายนอกคล้ายคลึงกันก็ตาม แต่ ่ แอนทิโลปเป็ นสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกับวัวหรือควาย, แพะ หรือแกะ เนื่องจากจัดอยู่ในวงศเดียวกัน ซึ่งลักษณะ ์ สําคัญของสัตว์ในวงศนี้ คือ เขามีลักษณะโค้งเป็ นเกลียว แต่ข้างในกลวง และมีถุงน�าดี ์


แอนทิโลปกระจายพันธุ์ไปในแอฟริกาและยูเรเชีย แต่ไม่พบในประเทศไทย โดยสัตว์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็ น แอนทิโลปได้ในประเทศไทย ได้แก่ เลียงผา และกวาง ผา ซึ่งเป็ นสัตว์ที่อยู่ตามภูเขาสูง พบเห็นตัวได้ยาก คําว่า แอนทิโลป ปรากฏครังแรกในภาษาอังกฤษเมื่อ ้ ปี ค.ศ. 1417 โดยได้รับมาจากภาษาฝรังเศสเก่า ่ หรืออาจจะมาจากภาษากรีกคําว่า "anthos" ซึ่งหมายถึง "ดอกไม้" และ "ops" ที่หมายถึง "ตา" อาจหมายถึง "ตาสวย" หรือแปลได้ว่า "สัตว์ที่มีขน ตาสวย" แต่ในระยะต่อมาในเชิงศพทมูลวิทยาคําว่า ั "talopus" และ "calopus" มาจากภาษาละตินในปี ค.ศ. 1607 ใช้เป็ นครังแรกเพื่อเรียกส ้ ตว์จําพวกกวาง ั แอนทิโลปมีประมาณ 90 ชนิด ส่วนใหญ่อาศยอั ยู่ในทวีปแอฟริกา มี 30 สกุล กระจายไปในวงศย่อย ์ ต่าง ๆ เช่น Alcelaphinae, Antilopinae, Hippotraginae, Reduncinae, Cephalophinae, Bovinae รวมถึงอิมพาลา บางครังก็ถูกเรียกว่า ้ แอนทิโลปบ้างเหมือนกัน


8


แมลงปอ St. Helena Darter แมลงปอชนิดนี้พบได้เฉพาะบนเกาะภูเขาไฟเซนต์เฮเลนาในมหาสมุทรแอตแลนติก พวกมันถูกพบเป็ นครังสุด้ ท้ายเมื่อปี 1963 ข้อสันนิษฐานของการลดลงของแมลงปอสายพันธุ์นี้อาจเป็ นผลจากการที่สิ่ งแวดล้อมถูกทํา ลายอย่างหนักหลังจากที่เกาะนี้ตกเป็ นอาณานิคมในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 นอกจากนี้อาจเกิดจากสิ่ งมีชีวิต ชนิดใหม่ที่ถูกขยายพันธุ์โดยมนุษย์เข้ามารุกราน เช่น กบเล็บแอฟริกัน


9


นก Kākāwahie นกสายพันธุ์นี้ถูกพบรังสุดท้ายที่เขตอนุรักษ์ Kamakou ในปี 1963 จากข้อมูลขององค์การระหว่างประ ้ เทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ในปี 1890 พบว่าการสูญพันธุ์ของนก Kākāwahie เกิดจากทังการ้ ทําลายถิ่ นที่อยู่และการเชื้อโรคที่ถูกแพร่ระบาดโดยยุงที่ถูกปรับเปลี่ยนพันธุกรรมโดยมนุษย์


กากาวาฮยาว 5.5 นิ ี ว (14 ซม.) นกตัวนี้มี ้ ลักษณะเป็ นลูกไฟโดยเฉพาะตัวผู้ซึ่งมีสีแดงเข้มอยู่ รอบ ๆ ตัวเมียมีสีน�าตาลมากกว่าที่ท้อง เสียงเรียก ดังขึ้นเหมือนมีคนกําลังตัดฟื นอยู่ไกลๆ พวกเขาถูก ค้นพบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อ Scott Barchard Wilson นักวิหควิทยาชาวอังกฤษหลง ทางในหมอก วิลสันยิงผู้หญิงและผู้ชายสองคนที่สด ใส เขาเก็บตัวอย่างและหนังของนกโมโลไกสายพันธุ์ อื่นๆ ได้หลายตัว จากนันจึงเดินทางกลับอังกฤษ ้ พวกมันเป็ นนกที่โผบินอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนัน้ พวกมันก็ยังถูกคุกคาม เป็ นภาพเขียนหลายภาพใน ช่วงต้นศตวรรษที่ 18, 19 และ 20 เห็นได้ชัดว่าคล้ายกับ Maui Nui ʻalauahio โดยใช้จะงอยปากที่ทู่และสั้นในการจิกแมลงจากต้น naio (Myoporum sandwicense) เก่า มันกิน ตัวอ่อนของด้วงและผีเสื้อเป็ นหลัก อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี มันจะจิบน�าหวานจากดอกไม้ ซึ่งรวม ถึง naio ด้วย มีรายงานว่าภายนอกรังของมันประ กอบด้วยตะไคร่น�า ชื่อทวินามของสปี ชีส์นี้ Paroreomyza flammea หมายถึงลักษณะที่ คล้ายกับลูกบอลไฟขณะที่มันบินจากต้นไม้หนึ่งไป ยังอีกต้นไม้หนึ่งเพื่อค้นหาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง


สัตว์ 18 สายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ โดยมนุษย์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ที่กล่าวมานี้เป็ นข้อมูลพอสั งเขป ให้เรารู้จักสัตว์บางชนิดที่เราไม่รู้จัก


Click to View FlipBook Version