The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สารธรรมะ, 2023-03-01 00:10:17

ส่งเสริมการบรรยายธรรม อ.เรืองศักดิ์

Page 1 of 15 ช่วงส่งเสริมการบรรยายธรรม โดย เรืองศักดิ์ เจี่ยงซือ ปรัชญาความรู้ - รู้มาก เข้าใจมาก ผิดพลาดน้อย รู้น้อย เข้าใจน้อย ผิดพลาดมาก ไม่รู้เลยจึงผิดพลาดมาโดยตลอด เป็ น เพราะไม่รู้เราจึงเวียนว่ายฯสามภพภูมิมานาน ไปมา ๆ ความรู้จึงมีความสําคัญมากบนเส้นทางของพุทธอริยะ - ต้องศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจก่อนจึงไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ - พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือ ผ้รูู้ผู้เข้าใจ ผู้เข้าถึง (เริ่มจากมีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ ้ง) ข้อคิดจากเส้นทางการมาเป็ นเจี่ยงซือ และหลักการบรรยายธรรม จาก อ.เรืองศักดิ์ - อ.เรืองศักดิ์ ติดสติ๊กเกอร์ “พระคุณฟ้ า” ติดกระจกหน้ารถ มีคนถาม ตอบว่าทํางานให้ฟ้ า ทํางานระดับ นรก สวรรค์นิพพาน เราไม่ได้โกหกเขาใช่ไหม เราทํางานที่สําคัญและยิ่งใหญ่มาก - หลังจากรับธรรมะ บอกกับตัวเองว่า “ถ้าฉันรู้ไม่จริงแล้วเดินตามพวกเขา ทําตามพวกเขา เท่ากับฉันงมงาย” (มีพื ้นฐานใฝ่ เรียนรู้อยู่แล้ว จึงศึกษาอนุตตรธรรม) - ต้องมีความตั ้งใจศึกษา เพื่อให้รู้ให้จริง รู้ให้มากที่สุด เติมตัวรู้ของเราให้แจ่มชัดมากขึ ้น ให้รู้แบบพุทธะ เข้าใจแบบอริยะมากขึ ้น - พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ผ้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคตู ” เพราะอะไรเรายังไม่แจ่มชัด ยังเข้าไม่ถึง - อนุตตรธรรมต้องการให้เราเห็นธรรมญาณ เข้าถึงธรรมญาณของเรา เพื่อเชื่อมต่อกับธรรมชาติ เข้าสู่ธรรมะ อันเป็ นอมตะ กลับไปสู่ต้นธาตุต้นธรรม หรือ อนุตตรธรรมมารดา - อนุตตรธรรมมารดา มีรากศัพท์ตรงคําว่า ธรรมดา (ธรรมะ + มารตา) ธรรมดา หมายถึง ปกติธรรมดา ความเป็ นธรรมชาติ เช่น ธรรมดาของคนแบบนั ้นเป็ นแบบนั ้น ทุกคนมีภาวะธรรมดาของเขา - อนุตตรธรรมเน้นที่วิถีแห่งจิต ถ้าเราเข้าไม่ถึงแก่น เราจะไปตามเปลือก กลายเป็ นทุกอย่างเป็ นพิธีกรรม ๆ ๆ แต่ไม่เข้าถึงวิถีแห่งจิต - ในการประชุมธรรมครั ้งหนึ่งพระอ.จี ้กงเสด็จมา อ.เรืองศักดิ์ คุกเข่าด้านนอกประตูสถานธรรม พระอาจารย์ กล่าวว่า “ศิษย์เอ๋ย ใจเจ้าเรียกร้องหาพระอาจารย์ ๆ มาแล้วทําไมไม่เข้ามาหาพระอาจารย์” อ.เรืองศักดิ์ จึง คลานเข้าไปกราบพระอาจารย์ พระองค์เมตตาว่า “ศิษย์เอ๋ย หากเจ้าต้องการเคียงข้างกับพระอาจารย์ จงผูกบุญสัมพันธ์กับเวไนยให้ทั่วหล้า” (หมายความว่าในโลกนี ้ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องการได้รับรู้ เหมือนกับเรา หากเราได้รับรู้และเข้าใจแล้วแต่ไม่ไปถ่ายทอดต่อ เขาเหล่านั ้นจะเสียโอกาส)


Page 2 of 15 - ท่านอ.หวัง เตี่ยนฉวนซือ (จู่ปันในชั ้นเรียนนั ้น) ได้ยินที่พระอ.จี ้กงเมตตา อ.เรืองศักดิ์เมื่อจบชั ้นเรียนจึง เรียกไปถามว่า “เรืองศักดิ์ อยากเป็ นกระบอกเสียงของฟ้ าเบื ้องบนไหม(เป็ นเจี่ยงซือ)” จริง ๆ แล้วไม่คิด บังอาจยกระดับตัวเองหรือทะเยอทะยาน แต่บอกตัวเองว่าเราศึกษา เราเรียนรู้ มีอาจารย์ทั ้งหลายมา ถ่ายทอดความรู้ ให้มากมาย เรามีความรู้ แล้วเราจะไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นหรือ เราควรต้องเอาความรู้ ที่มีไป ถ่ายทอดจึงตอบหวังเตี่ยนฉวนซือไปว่า “อยากเป็ นสะพานบุญครับ” ไม่ได้คิดอยากจะเป็ นอาจารย์ บรรยาย แต่อยากจะเป็ นผ้ถ่ายทอดความรูู้ - การถ่ายทอดความรู้สําคัญมาก เพราะเราไม่รู้วันตาย ต้องไม่ให้ความรู้ตายไปกับเรา เหมือนการต่อไฟไปยัง เทียนไขเล่มอื่น ๆ เทียนไขเรามอดไหม้หมดไป แต่แสงสว่างแห่งความรู้ยังส่งต่อไป ไม่ดับ - การให้วิทยาธรรมเป็ นทานถือเป็ นการต่อยอดบุญไปแบบไม่มีที่สิ ้นสุด ย่อมส่งผลต่อผู้ให้ทานนี ้อย่าง แน่นอน แม้ว่าเราตายจากไป แต่ความรู้ที่ได้ถ่ายทอดไปย่อมส่งผลต่อเราตลอดไป (เพราะปลุกคนให้ตื่นได้) - ท่านอ.หวัง เตี่ยนฉวนซือเมตตาว่า “ถ้าอยากเป็ นเจี่ยงซือ อย่ารอให้คนอื่นมอบหมายหัวข้อให้เจี่ยง แต่จงตั้งใจฟังทุกหัวข้อและฝึ กฝนทุกหัวข้อ รอเมื่อมีโอกาสก็จะสามารถทําหน้าที่ได้ทันที” - จึงต้องเรียนรู้ให้มากที่สุด เข้าใจให้มากที่สุด และสิ่งสําคัญคือต้องรู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไรให้คนเข้าใจ พระอ.จี ้กงเมตตาว่า “หลักการ หลักธรรม หลักจิต ศิษย์ต้องเข้าถึงให้ได้จึงจะสามารถไปถ่ายทอด ความร้ธรรมะูให้ผ้อื่นเข้าใจู ” หลักการที่ใช้ในการบรรยายธรรม เช่น o ขึ ้นต้นให้โน้มน้าว เท้าความให้น่าสนใจ ความนัยให้ชัดเจน เน้นให้ได้อารมณ์ คําคมให้มีคติธรรม จดจํา ให้ประทับใจ กลับไปก็ให้ปฏิบัติได้ ให้คิดถึง o ผู้บรรยายกับผู้ฟังต้องมีจิตไปในทิศทางเดียวกัน ถ่ายทอดให้เข้าใจง่าย ให้ผู้ฟัง ๆ ได้ และเข้าใจง่าย ๆ ไม่พูดวกไปวนมา o ต้องพูดให้ผู้ฟังๆ แล้วเห็นภาพพจน์ด้วย มีจินตนาการเห็นภาพด้วย ไม่เช่นนั ้นเขาจะคิดไม่ออก ต้องพูด ให้เขาเห็นภาพลักษณ์เห็นโครงสร้างสิ่งเหล่านั ้น จิตใจเขาก็จะจดจ่อ ความเข้าใจในระดับลึกจึงเกิดขึ ้น o ต้องพูดให้สอดคล้องกับเนื ้อหา เช่น พูดเรื่องเศร้ าแต่มันไม่เศร้ า พูดเรื่องตลก แต่ไม่มีใครหัวเราะเลย ดังนั ้นเรื่องเล่ากับอารมณ์ความรู้สึก กับภาพพจน์จินตนาการ มันต้องไปในทิศทางเดียวกัน o ต้องพูดอย่างมีชีวิตชีวา น่าสนใจ เร้าใจในรูปแบบนั ้น ๆ


Page 3 of 15 หลักธรรม o พูดแล้วมีหลักธรรม มีคติธรรม ไม่ใช่พูดทุกอย่างดูดีหมด แต่สุดท้ายนํ ้าท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่มี สาระ ไม่ได้ข้อคิด ไม่มีคติเตือนใจ ภาวะตัวรู้ความเข้าใจไม่เกิด เสียดายเวลา o พูดแล้วมีการกระตุกเตือนใจ ให้ฉุกคิด ปลุกคนหลงให้ตื่น ช่วงตอบคําถาม โดยเรืองศักดิ์ เจี่ยงซือ คําถามที่ 1 ตอนรับตําแหน่งคิดว่าตนยังไม่พร้อม แต่เพราะว่าเตี่ยนฉวนซือเมตตาส่งเสริมให้ยกระดับเป็ นเจี่ยงซือ มีปัญหา เรื่องสภาวะอารมณ์ก่อนขึ ้นบรรยายธรรม เช่น มีความกลัว วิตกกังวล ความเครียด จิตไม่เป็ นกลาง ไม่ปกติ ธรรมดา มีผลต่อการบรรยายทําให้บรรยายได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะทําอย่างไรที่จะปลุกพลังในตัวเองขึ ้นมา คําตอบ มีหลายสาเหตุมาก การตอบคําถามนี ้อาจจะไม่แจ่มชัดเท่าไร แต่จะพูดถึงบางสาเหตุซึ่งอาจไม่ ครอบคลุมทั ้งหมด - การตั ้งปณิธานเป็ นเจี่ยงซือ ครั ้งแรกเป็ นการตั ้งปณิธานในจิตใจของตัวเองก่อนอันดับแรก จิตสื่อฟ้ า และ อันดับที่สอง คือการถวายชื่อต่อหน้าพระแท่นซึ่งมีการอาราธนาพระพุทธะโพธิสัตว์สิ่งศักดิ์ สิทธิ์ มากมาย เพื่อเป็ นสักขีพยานรับรู้เจตนาอย่างแท้จริงของเราในการถวายปณิธาน เป็ นเรื่องของพิธีกรรม แต่สิ่งสําคัญ คือปณิธานอันดับแรกคือจิตสื่อฟ้ า แม้ไม่ได้ถวายปณิธานรับตําแหน่ง แต่มีโอกาสเมื่อไรก็จะใช้ความรู้ และ โอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์กับเวไนยกับคนบุญทั ้งหลาย ส่งเสริมกล่อมเกลาทุกครั ้งที่มีโอกาส ฟ้ าอาจจะ มองคนนี ้เป็ นเจี่ยงซือตัวจริงก็ได้ - ขณะเดียวกันมีคนมากมายที่ไปถวายปณิธานเป็ นเจี่ยงซือ แต่ภายในจิตใจไม่ได้มีเป้ าหมาย ไม่มีเจตนาอัน ลึกซึ ้งของการถ่ายทอดหลักธรรม แต่หวังแค่ได้ตําแหน่งเหมือนคนอื่น ๆอยู่ในอาณาจักรธรรมจะได้มีเกียรติ และเวลาบรรยายก็บรรยายเพื่อให้มันจบ ๆ ไปตามที่ได้รับมอบหมาย บรรยายเสร็จก็ถอนหายใจแล้วบอก ว่าโล่งอก ผ่านไปได้แต่คนฟังโล่งไหม ผ่านไหม ถ้ าคนฟังไม่ผ่าน ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ เราผ่านเฉพาะ ความรู้สึกของเรา แต่มันไม่ได้ผลเลย เปรียบเหมือนเราได้รับมอบหมายให้ยิงธนูร้อยดอก เราก็ยิง ๆ ๆ ไปให้ มันครบร้อยดอก ให้มันหมด ๆ ไป แต่โดนเป้ ากี่ดอกเราไม่ได้ใส่ใจ ไม่ใช่เป้ าหมายของเจี่ยงซือตัวจริง - การเป็ นเจี่ยงซือตัวจริง เราจะต้องใส่ใจว่าทําอย่างไรให้คนฟังเข้าใจให้ได้ ทําอย่างไรให้เขารู้ ให้ได้ บางครั ้งเราจะต้องใช้วิธีการ หลักการทั ้งทางตรง ทางอ้อม อธิบาย ยกตัวอย่าง มีลักษณะของการกระชาก


Page 4 of 15 มีหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ เพราะเป้ าหมายเราไม่ใช่ว่าเราบรรยายดีหรือเก่ง แต่บรรยายเพื่อให้ผู้ฟัง เข้าใจ - การที่ถูกผลักดันให้ไปยกระดับเป็ นเจี่ยงซือ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็ นเรื่องบังเอิญที่เราได้ไป ตรงนี ้เรียกว่า “ฟ้ าเปิ ดทาง อาวุโสให้โอกาส” อาวุโสเห็นว่าเรามีความสามารถน่าจะเป็ นได้ จึงพยายามผลักดันทั ้ง ๆ ที่เรา อาจจะยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม หรือคนอื่น ๆ รู้สึกว่าเราไม่พร้อม - อาจจะเป็ นการกําหนดของฟ้ า ปณิธานเดิมที่มี หรืออาจมีสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ หรือมีบรรพชนของเราคอยช่วยหนุน และผลักดัน เป็ นไปได้ทุกช่องทาง ทําให้เราถูกผลักดันให้ไปรับหน้าที่เจี่ยงซือในวันนั ้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเรื่องของอยากหรือไม่อยากเป็ น ต้องมีเหตุปัจจัยอยู่เบื ้องหลัง - แต่เมื่อเราได้รับการยกระดับเป็ นเจี่ยงซือแล้ว ต้องถามตัวเองว่าจะทําหน้าที่นี ้ให้ก่อเกิดคุณประโยชน์ต่อ ตัวเองและผู้อื่นให้ได้มากที่สุดได้อย่างไร เปรียบเหมือนเราได้รับดาบอาญาสิทธิ์ มาเล่มหนึ่ง แต่เราใช้ไม่เป็ น ทั ้งที่มีความรู้ มีดาบ แต่ยามศึกเราฟันไม่เป็ น ก็เหมือนกับเราแบกดาบธรรมดาไป หนักเปล่า ๆ เราจึงต้อง เรียนรู้และฝึกฝนการใช้ดาบนั ้นให้ชํานาญ การที่เรากลัว กังวลหรือเครียด เพราะเรายังไม่ได้ฝึ กการใช้ดาบ อาญาสิทธิ์ นั ้น ต้องฝึกซ้อมบ่อย ๆ - มีดไม่ลับไม่คบ ดังนั ้นจะต้องลับบ่อย ๆ ความรู้ หากเราไม่ฝึ กฝนก็ไม่ชํานาญ เราจึงต้องหมั่นศึกษาหา ความรู้ สมํ่าเสมอและฝึ กฝนพัฒนาตัวเอง ก่อนขึ ้นบรรยายก็ต้องทบทวน ต้องฝึ กซ้อมจนชํานาญ เหมือน นักกีฬาที่เป็ นแชมป์ ต้องซ้อมทุกวัน แม้ตัว อ.เรืองศักดิ์เองก็บอกว่าก่อนบรรยายทุกครั ้งต้องเตรียมพร้ อม ซ้อมให้ชํานาญก่อนเช่นกัน คําถามที่ 2 สืบเนื่องจากที่ว่าต้องพูดให้ผู้ฟังเข้าใจให้ได้เรียนขอให้ อ.เรืองศักดิ์ ช่วยแบ่งปันวิธีการ หลักการ เช่น วิธีการ บรรยายไตรรัตน์ จะพูดอย่างไรให้คนฟังเข้าใจและอยากกลับเข้ามา เพราะจากที่อาจารย์ฯเคยชี ้แนะว่าไม่ควร เน้นในเชิงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ จึงขอแนวทางบรรยายไตรรัตน์ที่ว่ายิงให้ตรงเป้ าได้อย่างไร คําตอบ เท่าที่สังเกตการบรรยายหัวข้อคุณานุคุณของธรรมะส่วนมากจะเน้นเรื่องของปาฏิหาริย์ ซึ่งถ้าเราเน้นตรงนี ้มาก เขาจะติดปาฏิหาริย์ ถ้ามาแล้วไม่เจอปาฏิหาริย์ล่ะ เพราะว่าจริง ๆ แล้วธรรมะไม่ได้เกี่ยวกับคําว่า “ศักดิ์ สิทธิ์ ”


Page 5 of 15 แต่เกี่ยวกับคําว่า “มันเป็ นเช่นนั ้น ๆ เอง” ถามว่า “พระอาทิตย์ร้อน ศักดิ์ สิทธิ์ ไหม” นํ ้าแข็งมันเย็น ศักดิ์ สิทธิ์ ไหม พระอาทิตย์และนํ ้าแข็งไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์ นะครับ แต่มันเป็ นเช่นนั ้น ๆเอง เพราะภาวะธรรมของเขาเป็ นแบบนั ้น ***เพราะฉะนั ้นการบรรยายธรรมะ ขอให้บรรยายเข้าสู่ธรรมะจริง ๆซึ่งมันเป็ นเช่นนั ้น ๆ เช่น จิตเดิมแท้ของ เรามันเป็ นเช่นนั ้น ๆ มันไม่ได้มีอะไรศักดิ์ สิทธิ์ ครับ การที่จิตมโนธรรมก่อเกิด ฟื ้นฟูขึ ้นมา เพราะว่ามันเป็ นเช่นนั ้น อยู่แล้ว มันไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์ จิตที่เที่ยงตรงต่อฟ้ าดิน ไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์เพราะเดิมทีมันเป็ นเช่นนั ้นอยู่แล้ว จิตที่มีเหตุ มีผล มันเป็ นจิตเดิมแท้ เป็ นจิตแห่งสัจธรรม เป็ นจิตแห่งสัมมาธรรม มันไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์ อะไรเลยครับ เพราะเดิมที มันเป็ นเช่นนั ้นอยู่แล้ว จักรวาลที่มีระบบระเบียบ การที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ พระจันทร์หมุนรอบโลก มัน เป็ นเช่นนั ้นเอง ไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์จิตของเราเมื่อมีพุทธจริยระเบียบ จิตของเราก็เลยมีความเป็ นเช่นนั ้น ๆ มันมี ภาวะธรรมอยู่แล้ว ไม่ได้ศักดิ์ สิทธิ์ - แต่ถ้าเราบรรยายแล้วเน้นเรื่องศักดิ์ สิทธิ์ ๆ อยู่บ่อย ๆ เขาจะคิดถึงอิทธิฤทธิ์เขาจะคิดถึงปาฏิหาริย์นะครับ ไม่มีใครรอดตายสักคน รับธรรมะก็ตาย แต่เหตุผลที่เรารอดมาได้เพราะอะไร เพราะว่าโดยธรรมชาติของ คําว่า “ทําดีย่อมได้ดี ทําชั่วย่อมได้ชั่ว” มันเป็ นธรรมดา เป็ นธรรมชาติครับ มันไม่ใช่หมายความเฉพาะเพียง ที่เรารับธรรมะเท่านั ้นก็จะทําให้เราพ้นจากภัยพิบัติเรารับธรรมะเท่านั ้นจะทําให้เราหลุดพ้นการเวียนว่าย ตายเกิด ฟังแล้วเป็ นอิทธิฤทธิ์เกินไป - แต่ถ้าเราพูดว่า เรารับธรรมะแล้ว สิ่งแรกที่เรารู้ว่า เรามาจากไหน มาทําไม ต้นธาตุต้นธรรมเราเป็ นอย่างไร ภาวะเดิมเราเป็ นอย่างไร แล้วเราผิดเพี ้ยนไปอย่างไร ผิดเพี ้ยนไปถึงไหนแล้ว จากนี ้ไปเมื่อเราร้ความจริงู แล้ว เราจะปรับ เราจะจูน เพื่อให้มันกลับไปส่ระดับูเดิม ไปสู่ฐานเดิมของมัน ไม่ได้เรียกว่า ศักดิ์ สิทธิ์แต่เป็ นการจูน การปรับสภาพให้กลับคืนไปส่สภาวะอันเป็ นวิมุติเดิมของมันครับ ู - การบรรยายไตรรัตน์มีหลายแนวทาง ใครจะพูดแนวใดก็ได้ แต่คนใหม่พูดไตรรัตน์พื ้นฐาน แล้วค่อยต่อยอด ไปไตรรัตน์วิถีแห่งจิต แล้วต่อยอดไปหาคําว่า “คุณวิเศษหรือคุณานุคุณของไตรรัตน์” ค่อย ๆ ไต่ระดับไป - ไตรรัตน์สําหรับคนใหม่ เพียงแค่ให้เขาเข้าใจในเบื ้องต้น อาจพูดตามหนังสือที่เขียนเป็ นมาตรฐานไว้ - อ.เรืองศักดิ์ บรรยาย โดยใช้หลักการหรือเทคนิคที่ว่า “ขึ ้นต้นให้โน้มน้าว เท้าความให้น่าสนใจ ความนัยให้ ชัดเจน เน้นให้ได้อารมณ์ คําคมมีคติธรรม จดจําต้องประทับใจ นําไปปฏิบัติได้ และต้องให้คิดถึง” - อ.เรืองศักดิ์ชี ้แนะการบรรยายไตรรัตน์ดังนี ้ *ตัวอย่างการโน้มน้าว เมื่อพดกับคนสมัยใหม่ ู.... “ในวันนี ้เรามารับธรรมะ ไม่ใช่รับศาสนา ภาวะธรรมของเราทุกคนมีความแยบยล แต่เป็ นเพราะเราทุก


Page 6 of 15 คนมาเกี่ยวกับภาวะกรรม ภาวะธรรมของเราจึงอาจจะเลือนหาย เราจึงพยายามที่จะกลับไปสู่ภาวะธรรมเดิม โดยการที่จะคืนสู่ภาวะธรรมเดิมของเรามันมีกุญแจอยู่สามดอกที่จะนําพาให้เรากลับคืนไปสู่ภาวะธรรมเดิมของ เรา กุญแจสามดอกนี ้เป็ นกุญแจสําคัญของหนึ่งชีวิตที่เกิดมา มันเป็ นรหัสเป็ นพาสเวิร์ดที่มหัศจรรย์มากกับหนึ่ง โปรแกรมของชีวิตเพื่อจะหลุดจากโปรแกรมนี ้ กลับไปสู่ฐานเดิมได้” * ตัวอย่างการโน้มน้าวเมื่อพูดกับคนทั่วไป (ใช้ได้ทุกระดับ) - วันนี ้เรามารับธรรมะ เรามาได้รับการถ่ายทอดไตรรัตน์วิถีแห่งจิต เปรียบเสมือนกุญแจทองสามดอกที่จะนําพา ให้จิตญาณของเราได้มีโอกาสเข้าถึงภาวะธรรมเดิม ก่อนที่เราจะรู้ไตรรัตน์วิถีแห่งจิต หรือกุญแจทองสามดอกนี ้ คืออะไร ขออธิบายเกี่ยวกับเรื่องชีวิตนิดหนึ่งก่อน - เราทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าชนชาติ เผ่าพันธุ์หรือลัทธิศาสนาใดก็ตามที่เกิด มามีชีวิต ภาษาทางธรรมะเรียกว่า “กายกับจิต” แต่ถ้าภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สสารกับพลังงาน” เราดู ความเหมาะสมว่าเราจะใช้กับกลุ่มไหน ถ้าพูดกับกลุ่มคนทั่วไปก็ใช้ว่ากายกับจิต ถ้าเป็ นนักศึกษาเราอาจใช้ว่า “สสารกับพลังงาน” - กายกับจิตญาณ กายเป็ นมีรูปลักษณ์ กายเป็ นสสาร แต่จิตไม่มีรูปลักษณ์ จิตเป็ นพลังงาน มันไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีตัวตน สองอย่างนี ้อยู่ร่วมกัน ทํางานร่วมกัน จึงเรียกว่า “ชีวิต” เช่น มีตา ระบบตาทํางานเรามองเห็น มีหู ระบบของหูทํางานเราได้ยิน มีจมูกระบบของจมูกทํางาน เราหายใจและได้กลิ่น มีปาก ระบบของปากทํางานก็ กินได้พูดได้ มีมือมีเท้า มีร่างกาย ระบบของร่างกายทํางาน ขาเดินได้ มือทํางานได้ มีสมอง ระบบสมองทํางาน ก็คิดได้ พิจารณาได้ เป็ นต้น -แต่ถ้าจิตญาณออกจากร่างกายเมื่อไร ร่างกายของเราจะเหลือสสารอยู่อย่างเดียวซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ศพ” เพราะว่าเมื่อจิตญาณไม่อยู่ในร่างกายแล้ว ระบบการทํางานต่าง ๆ ก็จะหายไป ร่างกายนี ้ก็ใช้งานไม่ได้ อีกต่อไป ก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ(คืนสู่ภาวะธรรมเดิม ธรรมชาติเดิมของมันก็คือ ดิน นํ ้า ลม ไฟ) -แต่คืนสู่ธรรมชาติเดิมของจิต อยู่ที่ไหนล่ะ กายเขากลับคืนสู่ต้นธาตุต้นธรรมของเขาคือดินนํ ้าลมไฟ แต่จิต ญาณของเรามันไม่ตาย แล้วมันไปไหน มันเดินทางไปไหน ต้นธาตุต้นธรรมของมันอยู่ที่ไหน - ถ้าไม่รู้ เราเรียกว่า “ปุถุชน” พระพุทธเจ้าหาตรงนี ้ พระพุทธะอริยเจ้าทั ้งหลายหาสิ่งนี ้ เพราะสําคัญที่สุดของ ชีวิตเราอยู่ที่พลังแห่งจิตญาณในการควบคุมร่างกาย จึงเรียกว่าชีวิต หากการทํางานของพลังงานของจิตญาณ


Page 7 of 15 มันหมดลงเมื่อไร มันหลุดไปเมื่อไร จะสวยหล่อเพียงใดก็ต้องเผาทิ ้ง ไม่มีใครเก็บไว้ การโน้มน้าวตรงนี ้สามารถ พูดได้ทุกระดับ ทุกคน ทุกศาสนา เมื่อพูดตรงนี ้จบ จึงไปพูดเรื่องหกช่องทางการเวียนว่ายฯ - เรามีตา เราเห็น เราเกิดความคิดเกิดอารมณ์จากสิ่งที่เห็น ความคิดอารมณ์มีตัวตนไหม ไม่มี แต่มันเกิดจากสิ่ง ที่มองเห็นสิ่งที่มีตัวตนใช่ไหม ใช่ ตกลงตากลายเป็ นสะพานของความคิดและอารมณ์ ใช่ไหม ใช่ เมื่อมันคุ้นเคย กับสะพานตรงนี ้ถามว่าวันหนึ่งมันจะไปไหน มันก็ต้องไปตามสะพานนี ้แน่นอน แล้วไปสะพานนี ้ไปเกิดเป็ นอะไร เราก็ค่อยอธิบายไป ถ้าไปทางสะพานทางหู ไปเป็ นแบบนี ้ ทางจมูก ทางปากไปเป็ นแบบนี ้ ๆ - ตรงนี ้เอาอะไรมาอ้างอิง เราสามารถพูดในหลักของพระพุทธเจ้าได้เลย เรื่อง โยนิ 4 เช่น การกําเนิดในครรภ์ ออกมาเป็ นตัว เพราะออกทางหู ฯลฯ (ตามหลักที่เคยบรรยาย 6 ช่องทางแห่งการเวียนว่ายฯ) ถ้าไม่ได้รับ ธรรมะไม่รู้ ทางที่ 7 ทางที่เจ็ดสําคัญอย่างไร เราก็ดึงเข้าต่อถึงพยานหลักฐานที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็ น เจ้าชาย สิทธัตถะ คงไม่ใช่บังเอิญมาเดินบนดอกบัว 7 ดอก ทําไมจึงถูกกําหนดให้เดินบนดอกบัวเจ็ดดอก แล้ว เมื่อเดินไปถึงดอกบัวดอกที่เจ็ด มือข้างหนึ่งชี ้ขึ ้นฟ้ าอีกข้างหนึ่งชี ้ลงดิน แล้วบอกว่าเรามาถึงทางที่เจ็ดแล้ว เรา มาถึง เอกมรรคแล้ว นี่คือชาติสุดท้ายของเรา - ดอกบัวดอกที่ 7 คืออะไร เป็ นทางพ้น ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกทางพ้นนี ้ว่า เอกมรรคมัฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทาง สายกลาง เราคิดว่าทางสายกลางอยู่ตรงไหน สังเกตหน้าของคนทุกคนในโลก อยู่จุดเดียวกันหมด ใช่ไหม มันมี เหตุมีผลของการโน้มน้าวให้น่าสนใจ อธิบายชัดเจน แต่เราต้องอธิบายแบบให้เห็นภาพพจน์ มีจินตนาการและ ต้องได้อารมณ์ไปในขณะที่เราบรรยายด้วย อย่างนี ้ไม่มีใครปฏิเสธที่จะฟังครับ หลวงพ่อก็ฟัง ด็อกเตอร์ก็ฟังเรา เพราะสิ่งที่เราพูดมีหลักฐานมาโดยตลอด ไม่มีคําว่า “บังเอิญ” ที่ว่าพระพุทธองค์เดินดอกบัวเจ็ดดอก ไม่มีคําว่า “บังเอิญ” ที่จุด ๆ นี ้ไปตรงกับมัชฌิมาปฏิปทา และเอกมรรค(เอกายนมรรค) เพราะมันเป็ นกลางจริง ๆ กลาง ของทุกสิ่งทุกอย่าง กลางของรูปลักษณ์ กลางของกลิ่น กลางของรส กลางของความคิด กลางของอารมณ์ทุก อย่างมันอยู่ที่นั่นหมดเลย เราอธิบายได้ครับ จากนี ้ไปก็เล่าไปไตรรัตน์ข้อที่สองที่สามเป็ นสเต็ปก็จบแล้วครับ คําถามข้อที่ 3 แม้ว่าตนเองจะมีความสามารถในการพูดให้คนเข้าใจได้ง่าย แต่ว่าการเป็ นเจี่ยงซือ คิดว่าเปรียบเหมือนเป็ นครู คนหนึ่ง ซึ่งเป็ นเหมือนแบบอย่างให้ผู้คน รู้สึกว่าการเป็ นเจี่ยงซือสูงส่งในอาณาจักรธรรม เปรียบเหมือนเป็ น คุณครู ใครเข้ามาที่โรงเรียนก็ต้องเคารพคุณครู รู้ สึกว่าตัวเองมีกิริยามารยาททะเล้น ไม่ค่อยสํารวม รู้สึกว่า ตนเองยังดีไม่พอที่จะเป็ นแบบอย่างให้กับผู้อื่น เกรงว่าจะทําให้เสียภาพพจน์ของเจี่ยงซือและธรรมะ ทําให้


Page 8 of 15 อาณาจักรธรรมสูญเสียมากกว่าการไม่ยกระดับหรือไม่ แม้ว่าเป็ นถันจู่ก็สามารถขึ ้นบรรยายได้บ้าง หรือดูแล งานส่วนอื่น ๆ ได้บ้าง ดีกว่าการที่ยกระดับแล้วทําให้อนุตตรธรรมเสื่อมเสีย คิดแบบนี ้ถูกไหม อ.เรืองศักดิ์ มี ความเห็นอย่างไร หรือมีข้อแนะนําอย่างไร คําตอบ - วิเคราะห์เป็ นสองประเด็น คือแนวความคิดของผู้พูดและของผู้ฟัง ทุกคนมีทั ้งจุดดี จุดเด่น จุดพิเศษ และมีจุด ด้อยของตนเองทุกคน แต่ว่าเวลาเราขึ ้นบรรยาย ขึ ้นไปถ่ายทอดความรู้ ด้านธรรมะ เราเป็ นตัวแทนของธรรมะ เราไม่ได้พูดอย่างอื่น พูดเรื่องหลักธรรม ส่วนเรื่องพฤติกรรมของคนแต่ละคน ในมุมมองของผู้ฟังหรือผู้พิจารณา ถ้าเป็ นตัวอ.เรืองศักดิ์จะเลือกหยิบมาใช้ เรารู้ว่าทุกคนมีทั ้งจุดดีและไม่ดี -ใช้คําพูดอย่างนี ้ว่า “สมองของฉันมันก็เหมือนถังใบหนึ่ง วันนี ้ถ้าฉันจะหยิบอะไรมาใส่ในสมองของฉัน ฉันคงไม่ เลือกเอาขยะมาใส่สมองของฉันแน่นอน ในมุมมองที่คน ๆ นั ้นมีนิสัยอะไรก็ตาม มีสิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ถูกไม่ควรอะไรก็ ตาม นั่นคือส่วนตัวของเขาซึ่งเขาต้องไปปรับเปลี่ยน ไปพัฒนาตัวของเขา ไม่ใช่หน้าที่ของฉันต้องไปปรับเปลี่ยน หรือไปบังคับหรือปรับเปลี่ยนเขาได้ แต่ฉันมีสิทธิที่จะเลือกเอาจุดเด่น จุดดี จุดพิเศษที่มีอยู่ในเจี่ยงซือคนนี ้มาใส่ ในถังสมองของฉัน เพราะฉันจะพยายามเก็บแต่สิ่งที่ดี ๆ ในหัวของฉัน” - ถ้าในวันนี ้เรารู้สึกว่าเรามีขยะในสมอง เราจะต้องเคลียร์ขยะนั ้นด้วยตัวของเราเอง อย่าให้อาวุโส หรือให้คนใด คนหนึ่งซึ่งบางครั ้งเขาอาจจะพูด เตือน บอก ด้วยความหวังดี แต่บางครั ้งอาจจะเข้าใจกันผิดเพี ้ยน ทําให้เรามี ความรู้ สึกน้อยใจ ไม่สบายใจ ก่อนที่เขาจะว่าจะเตือนเรา ว่าเราทําไม่ถูกไม่ควร ไม่สํารวมอะไรก็ตาม เรานํา กลับไปเพื่อพัฒนา เพราะว่าการบําเพ็ญคือการพัฒนาตัวเอง เราจะพัฒนาตนเอง พร้ อมกับหยิบยื่นสิ่งที่ดี ๆ ที่ เรามีให้กับผู้อื่น นี่คือเส้นทางของการบําเพ็ญ -อย่าไปกังวลว่าเราไม่พร้อม เราไม่ดี เราก็เลยไม่ขึ ้น เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่เราคิด อาจจะมีคนอีกเป็ นร้ อยเป็ น พันที่หมดโอกาสที่จะได้รับความรู้จากเรา จงคิดเพียงว่าเราจะทําอย่างไรให้เขาเข้าใจ และเรื่องของการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็ นอีกเรื่อง(ส่วนตัว) - ทุกครั ้งที่เราบรรยายก่อนที่จะจบเราจะบอกว่า “สิ่งไหนที่ผู้น้อยร่วมศึกษาในวันนี ้หากไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ สมเจตนาของฟ้ า มีกิริยาท่าทาง คําพูดใดไม่เหมาะสม ขอฟ้ าเบื ้องบนโปรดเมตตาประทานอภัย นักธรรรม อาวุโสได้โปรดชี ้แนะ” เราพูดทุกครั ้ง เราไม่ได้บอกว่าที่พูดในวันนี ้ ดีไม่ดี ใช่ไม่ใช่ ทุกคนต้องเอาไปให้หมดนะ


Page 9 of 15 เพราะว่าตั ้งใจพูดแล้ว ดังนั ้นอย่ากังวล เอาสิ่งที่ดีหยิบยื่นให้เขา กรณีที่เราเป็ นคนขี ้เล่น ไม่เป็ นไร มันเป็ นสีสัน ถ้ามาถึงฝอถังต่างก็หน้าบึ ้ง ไม่พูดคุย ไม่ยิ ้มไม่หยอกกันเลย นั่นก็จืดไป ตัวอ.เรืองศักดิ์เองก็เป็ นคนขี ้เล่นเช่นกัน คําถามข้อที่ 4 ถามสืบเนื่องจากข้อสาม รู้ สึกว่าการบําเพ็ญธรรมในครอบครัวของตนเองยังไม่ดีไม่สมบูรณ์ (รู้ สึกว่ายังไม่ได้ มาตรฐานของผู้บําเพ็ญ) แต่ว่าอาวุโสผลักดัน ส่งเสริม และในการปฏิบัติงานธรรมเราก็เต็มที่ แต่พอกลับมา บ้าน รู้สึกว่าบรรยากาศธรรมมันไม่เหมือนที่ฝอถังและตนเองก็ยังเป็ นปุถุชน ยังมีความอดทนในขีดจํากัด รู้ สึก ว่าถ้าเราไปเป็ นเจี่ยงซือ แล้วที่บ้านเราเองยังไม่โอเคเลย รู้ สึกว่ามันไม่ใช่ เราจะไปถ่ายทอดให้คนอื่นฟังได้ อย่างไร ในเมื่อธรรมะต้องนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน ครอบครัวต้องอยู่กันอย่างผาสุก ไม่มีปัญหา แต่ว่าที่บ้าน เรามันไม่ใช่ จึงทําให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสม แสดงว่าเราไม่ได้นําธรรมะมาใช้ในชีวิตประจําวัน แล้วเราจะไป ถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟังได้อย่างไร ขอให้ช่วยชี ้แนะด้วย คําตอบ - ขอให้ข้อคิดว่า เราย้อนดูกลับไปที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่เป็ นเจ้าชายสิทธัตถะ เราคิดว่าตอนที่ เจ้าชายฯออกบวชบําเพ็ญ พ่อของท่านยินดีไหม (ไม่) ภรรยาเห็นด้วยไหม (ไม่) ทั ้งหมดไม่มีใครเห็นด้วยสักคน เดียว คิดแต่ว่าสิทธัตถะทิ ้งภรรยาและลูก ทิ ้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทางโลกที่ทุกคนใฝ่ ฝัน สวนทางกับความคิดของคน มากมาย - วันนี ้หากเรากําลังถูกวิจารณ์และต่อต้านจากแนวความคิดของคนในครอบครัวบ้าง เป็ นเรื่องปกติธรรมดา เพียงแต่ว่าเราถามใจตัวเองว่า “เราเดินอยู่บนเส้นทางการบําเพ็ญใช่ไหม” “เรากําลังจะขอเดินบนเส้นทางของ อริยะพุทธะใช่ไหม” ถ้าเรากําลังจะเดินบนเส้นทางของพุทธะ เราต้องย้อนถามว่า พุทธะแปลว่าอะไร แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน - วันนี ้ที่เราเป็ นไปแบบนี ้ ทําไปแบบนี ้ เขาเรียกว่าผู้รู้หรือเปล่า เขาเรียกว่าผู้เข้าใจหรือเปล่า ถ้าเรายังกลับไปใช้ ชีวิตเหมือนเดิมอยู่เรื่อย ๆ ก็คงจะบอกว่าเราเป็ นผู้รู้ ผู้ที่เข้าใจจริง ๆ ไม่ได้ แล้วเราจะบอกว่าเราเดินบนเส้นทาง พุทธะและการบําเพ็ญได้อย่างไร เพราะคําว่า “บําเพ็ญ” หมายถึง ส่วนเกินให้ตัด ส่วนที่ขาดให้เติม ๆ เพื่อไปสู่ ความสมบูรณ์ถึงพร้อม วันนี ้อะไรที่เราขาด ทําไมเราไม่คิดเติม และอันไหนที่เราคิดว่ามันเกิน ทําไมเราไม่ตัด


Page 10 of 15 - มันจะตัดไม่ขาดทันที มันจะเติมไม่เต็มทันที เราต้องค่อย ๆ ทํา เหมือนกับการที่เราตักนํ ้าใส่ตุ่ม มันไม่สามารถ ตักนํ ้าเติมทีเดียวแล้วเต็มตุ่ม เราไม่สามารถตัดต้นไม้ที่แข็งเพียงไม่กี่ครั ้งแล้วมันขาด บางสิ่งบางอย่างที่มันเกิน เลยไปในเส้นทางชีวิตของเราที่เรากําลังจะตัด ขอให้เรามีความตั ้งใจในการตัด ๆ เพื่อไปสู่การพัฒนา สมบูรณ์ ใครสมบูรณ์ เราเองครับ -แต่ถ้าเราไปต่อยอดอารมณ์กับเขา เราบอกว่าเราไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่มีใครเป็ นพระอิฐพระปูนแน่นอน แต่ ถ้าเราคิดว่าเราจะต่อกรกับเขาเรื่อย ๆ แสดงว่าเราไม่ได้ตัดในสิ่งที่ควรตัด เราไม่ได้เติมในสิ่งที่ควรเติม มันจึง กลายเป็ นคาราคาซังอยู่เช่นนั ้น เมื่อเป็ นเช่นนั ้นถึงจะเป็ นเหล็กก็เกิดสนิมได้ ถึงเป็ นไม้ที่แข็งแรงก็อาจจะต้องผุ พังวันหนึ่งเหมือนกัน -ชีวิตเรามีเวลาจํากัด จงพยายามให้โอกาสตัวเองเถิด ในขณะที่มันยังเป็ นไม้ที่ดี จงรีบใช้ อย่าให้มันผุก่อนค่อย มาคิดทํา เมื่อยังเป็ นเหล็กที่ดีอยู่ จงรีบทํา อย่ารอให้มันกลายเป็ นสนิมแล้วเราค่อยมาตัดสินใจที่จะทํา สมมติว่า สามีกับภรรยาคู่หนึ่ง วันหนึ่งถึงที่สุดแห่งลมหายใจสุดท้ายใกล้จะมาถึงเราค่อยมาสํานึก มากราบขอโทษ แล้ว จะมาทําดีกับเขา ตอนนั ้นมันก็กลายเป็ นไม้ผุพัง กลายเป็ นเหล็กขึ ้นสนิม มันก็เสียโอกาส - หากเราคิดว่าเราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่คําว่า “บําเพ็ญ” เราต้องกล้าพอที่จะตัดสินใจ กล้า พอที่จะเริ่มก้าวแรกของตัวเอง ที่จะเติมให้เต็ม ตัดให้สมบูรณ์ เราต้องคิดและต้องทํา เมื่อมาถึงตอนนั ้น การที่ เป็ นเจี่ยงซือ ไปต่อยอดให้กับคนอื่น ให้เขาได้กลับมาย้อนมองดูเรา ไม่ต้องกังวล เพราะมันจะเป็ นไปตามระบบ ของมัน มันจะเป็ นไปตามแรงของความตั ้งใจและเจตนาของเราที่เราพัฒนา - เชื่อว่าเราทําได้ เพียงแค่เรากล้าพอที่จะตัดสินใจในการที่จะพัฒนา ครอบครัวก็ต้องดีขึ ้นแน่นอน การเป็ น กระบอกเสียงเพื่อเวไนย เป็ นสะพานเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ย่อมเกิดขึ ้นได้แน่นอน (ผู้ถามขอบคุณอาจารย์และบอก ว่า ยอมมาตลอดเพื่อให้บ้านสงบสุข) คนที่ยอม หรือคนที่ถอยไม่ได้หมายความว่าเป็ นคนที่แพ้ คนที่เขาคิดว่าเขา ชนะเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็ นผู้ที่ยิ่งใหญ่ได้“ชนะเพื่อสะใจ ชนะเพื่ออะไร” ชนะไปทําไม เพราะมันจะ เกิดการแตกหักกัน แต่ถ้าเราแพ้เพื่อที่จะเดินต่อได้ “จงเช็ดนํ ้าตา และเดินต่อ” นํ ้าตาไม่ได้หมายถึงความเป็ นผู้ แพ้ แต่นํ ้าตามันเป็ นเพียงแค่หนึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่เจตนาที่อยู่ข้างในลึก ๆ มันไม่ลืมเป้ าหมาย มันไม่ลืม ปณิธาน มันไม่ลืมเส้นชัยของตัวเอง


Page 11 of 15 - ไม่ลืมจิตเดิมแท้และความมุ่งมั่นของตัวเอง บอกกับตัวเองว่า “เขาก็คือทางผ่าน” “เขาก็คือสิ่งหนึ่งที่มีบุญ สัมพันธ์ที่มาเกี่ยวพันกัน วันหนึ่งเขาก็ต้องจาก วันหนึ่งเราก็ต้องจาก แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน จะทําอย่างไรให้มัน กลายเป็ นสิ่งที่ดีที่สุด มากกว่าจะมาแบ่งปันซึ่งความเลวซึ่งกันและกัน ให้มันแย่ลงกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ เวลามีค่า เราจะใช้ให้มันก่อเกิดสิ่งที่ดี ๆ ระหว่างเขากับเรา แพ้บ้าง แต่เราเดินต่อได้ ไม่เป็ นไรครับ” คําถามข้อที่ 5 ขอให้ชี ้แนะเบื ้องต้นเรื่องการปฐมนิเทศธรรม คําตอบ - มีหลายแนวทาง สิ่งแรกเราต้องวิเคราะห์ผู้ฟังก่อน เช่น คนฟังมีความรู้ ระดับใด นับถือรูปแบบไหน มี ประเพณีวัฒนธรรมแบบไหน เขามีตําแหน่งไหม มียศไหม เคยปฏิบัติเคยบําเพ็ญมาในรูปแบบใดบ้าง เรา ควรมีข้อมูลเหล่านี ้ก่อน ถ้าเราพูดแบบมาตรฐานที่เรามี บางครั ้งไปตายนํ ้าตื ้นได้ถ้าไปเจอคนที่รู้ และเข้าใจ ในระดับลึก เพราะฉะนั ้นผู้จะปฐมนิเทศธรรม ควรมีไหวพริบ และคําว่าปฐมนิเทศธรรม ไม่ได้แค่การขึ ้น - สแตนบรรยาย การไปส่งเสริม ฉุดช่วยนําพาคนก็เรียกว่าปฐมนิเทศเหมือนกัน ดังนั ้นต้องคุยกันเป็ นชั ้นเรียน หนึ่งเวลาถึงจะพอ เพราะว่ามีหลายระดับ ถ้าเป็ นนักวิปัสสนา นักเจริญธรรม เราก็อาจจะพูดอีกรูปแบบ หนึ่ง ถ้าคนทั่ว ๆ ไปก็อาจจะพูดอีกรูปแบบหนึ่ง บางครั ้งอาจจะพูดถึงคุณวิเศษของธรรมะก็ได้ บางครั ้ง อาจจะพูดสัจธรรมชีวิตเสริมเข้าไปก็ได้ หรืออาจจะมีธรรมลงโปรดพร้อมภัยพิบัติ ก็พูดได้หรืออาจจะพูดถึง ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ หรืออาจพูดถึงวิถีแห่งจิตก็ได้ครับ ต้องดูคนฟัง - ถ้าเป็ นมาตรฐานก็แบบฉบับที่ศูนย์กลางให้มาก็ธรรมะคืออะไร ธรรมะที่อยู่ในชีวิตเราเรียกว่าธรรมญาณ ๆ ของเราเป็ นภาวะเดิมแท้ที่ลืมเลือน และเราหาทางกลับไปสู่ภาวะเดิมไม่ได้ เรามาหลงเวียนว่ายฯ ติดอยู่ใน อารมณ์ทั ้งหลาย ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เราจึงค้นหาหนทาง อะไรอย่างนี ้ก็ได้ครับ วันนี ้ที่มารับธรรมะ ก็คือมารับรู้หนทาง ๆ ของอะไร หนทางของธรรมะเดิม ธรรมญาณเดิม ต้นธาตุต้นธรรมเดิม กลับไปสู่ภาวะ เดิม อะไรอย่างนี ้ก็ได้ครับ สรุปคือมันไม่ตายตัว ไม่สามารถอธิบายในวันนี ้ได้ชัดเจนมาก เพราะการบรรยาย ปฐมนิเทศมันไม่นิ่ง มันขึ ้นอยู่กับผู้ฟังนะครับ หมายเหตุ - ขอแนวการปฐมนิเทศคนรุ่นใหม่ เนื่องจากตอนนี ้เทรนด์ของคนรุ่นใหม่จะห่างจากศาสนาและไม่ ค่อยเชื่อเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด พูดถึงเรื่องนิพพาน เขายังไม่ปรารถนา จะโน้มน้าวเด็กวัยรุ่นที่เป็ นรุ่น ใหม่ หรือนักศึกษาได้อย่างไร


Page 12 of 15 คําตอบ - ถ้าเป็ นนักศึกษาจะออกในแนววิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ก็จะถามเขาก่อนว่า เราเข้าใจคําว่า “โปรแกรม” ไหม เราเคยได้ยินคําว่า “ระบบ” ไหม เพราะว่านักเรียนนักศึกษาเขาจะเรียนเรื่องระบบเรื่อง โปรแกรม ก็ยกตัวอย่างว่า สุริยจักรวาลนี ้เป็ นระบบใช่ไหม มีพระอาทิตย์เป็ นแกนกลาง มีโลกและดวงดาวต่าง ๆ หมุนรอบดวงอาทิตย์ เขาเป็ นระบบใช่ไหม (ใช่) ซึ่งเราเรียกว่าโปรแกรมระบบสุริยจักรวาล แต่คุณรู้ ไหมว่าชีวิต ของพวกเราคือหนึ่งโปรแกรม คุณรู้ไหมว่าชีวิตของพวกเราทุกคนคือหนึ่งระบบที่เขามีโปรแกรมของเขาอยู่ ซึ่งทุก สิ่งทุกอย่างเรียกว่าโปรแกรม มหากาแลคซี่ก็เรียกว่าหนึ่งโปรแกรม ร่างกายชีวิตของพวกเราทุกคน คือหนึ่ง โปรแกรม ถูกให้มีตา มีหู มีจมูกแบบนี ้ ๆ ๆ แต่รู้ไหมว่าพลังแห่งการกําหนดโปรแกรมเหล่านี ้ คืออะไร และอยู่ที่ ไหน เราเคยคิดไหมว่าพลังอะไรเป็ นศูนย์แห่งการควบคุมโปรแกรมเหล่านี ้ อะไรคือศูนย์พลังแห่งการควบคุม ระบบนี ้ ดวงดาว โลก สิ่งต่าง ๆ อะไรคือศูนย์พลังงานการควบคุม แล้วถามว่าศูนย์พลังงานแห่งการควบคุมชีวิต ของเราคืออะไร เราเคยคิดอยากจะเรียนรู้ สิ่งเหล่านี ้ไหม แต่บอกตรงๆ สิ่งนี ้พระพุทธเจ้ารู้ มาเมื่อสองพันกว่าปี แล้ว นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถึงต้องยอมรับในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์ได้เรียนรู้ ศูนย์พลังงานที่ควบคุม ชีวิตของพวกเรา และเป็ นศูนย์พลังงานแห่งการควบคุมที่เที่ยงตรง และเป็ นความจริง ไม่ผิดเพี ้ยน เป็ นสัจธรรม แต่วันนี ้ศูนย์พลังงานชีวิตของพวกเรามันเพี ้ยน เราจะทําอย่างไรที่จะจูนไปสู่ศูนย์พลังงานที่ยิ่งใหญ่ เราจะทํา อย่างไร เรื่องนี ้สําคัญ เราเรียกว่า “โฟกัส” โฟกัสของพลังงานตรงนี ้อยู่ตรงไหน วันนี ้จะได้คําตอบ - คําตอบอยู่ที่การถ่ายทอดศูนย์พลังงานแห่งจิตของพวกเรา การถ่ายทอดศูนย์พลังงานแบบนี ้ ผู้ที่ปฏิบัติจน เข้าถึงความเป็ นอรหันต์ หมายถึงหมดจากกิเลสแล้ว หมายความว่าคนที่สามารถอยู่เหนืออารมณ์ ความรู้สึกของโลกไปแล้ว เขาถึงสามารถหลุดออกจากโลกนี ้ไป เราจะทําอย่างไรให้เข้าถึงตรงนั ้น อยากให้ คุณลองพิสูจน์ดู วันนี ้เราจะมีการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี ้ เรากําลังจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี ้ให้เข้าใจ ถามต่อ – คําว่า “จูน” คือการเชื่อมต่อกับพระเจ้าใช่ไหม คําตอบ - คําว่าจูน คล้าย ๆ เวลาเราหมุนคลื่น (มีคําว่า channel) ใช่ครับ เราต้องหมุนมันให้ไปเข้า คําถาม – ตอนนี ้ประเทศไทยอยู่ในเทรนด์เรื่องของ การโค้ช การจูนจิต อะไรพวกนี ้ที่สอนเรื่องจิตโดยตรง ทีนี ้คน เหล่านี ้เขาไม่เชื่อเรื่องรับธรรมะ ถ้าเราไปบอกเขา ๆ ก็บอกว่าเขาจูนกับพระเจ้าได้อยู่แล้ว เขามีภูมิปัญญาที่อยู่ ภายในอยู่แล้ว มีข้อสงสัยว่าเขาไม่ได้รับธรรมะ ทําไมเขาถึงจูนกับพระเจ้าได้ (หมายถึงต่างศาสนาหรือ) คือ ตอนนี ้มันอยู่ในวงการพวกโค้ช เขาจะพูดแต่เรื่องนี ้ว่าเขาสามารถจะเชื่อมต่อกับพระเจ้า และเขาก็จะบอกว่าถ้า คุณเชื่อมต่อกับพระเจ้า คุณก็จะรวย สมหวัง คุณจะดึงดูดเงิน ดึงดูดความรัก และชื่อเสียงได้ คือเขาเอาเรื่อง


Page 13 of 15 ของจิตไปใช้ในกฏตรงนั ้น ได้ศึกษาทางออนไลน์เห็นว่าคนเหล่านี ้เขาเชื่อว่าเขาจูนได้อยู่แล้ว เคยชวนคนที่อยู่ใน แวดวงนี ้เขามักปฏิเสธ ไม่สนใจการมารับธรรรมะ คําตอบ เราตั ้งเป้ าหมายว่าจะฉุดช่วยเขา แต่ขอเสนอคําว่า “น็อตเบอร์เดียวกัน” ถ้ามันเป็ นน็อตคนละเบอร์ ยังไงมันก็ หมุนไม่เข้า มันจะปี นเกลียวกัน เราจะชวนคนเหล่านี ้ เราจะต้องละเอียดและลึกซึ ้งกับสิ่งเหล่านี ้ไม่เช่นนั ้นเรา ตอบคําถามเขาไม่ได้หรือเรียกว่า “เราตามเขาไม่เป็ น” มันไม่ได้หมายความว่าเราชนะเขาหรือเขาชนะเรา เพียงแต่บอกว่า การที่เราเปิ ดใจให้เขาลองคิด สิ่งที่น่าสนใจ อยากจะเรียนรู้ -ยกตัวอย่างประสบการณ์การไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยนเรศวรที่พิษณุโลก วันปฐมนิเทศนักศึกษาซึ่งในวันนั ้น จุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยเขาต้องการให้เด็กในมหาวิทยาลัยอยู่ในรั ้วมหาวิทยาลัยเดียวกันอย่างสันติ อย่าง มีความสุข ไม่มีปัญหากัน เขาจึงเชิญศาสนาจารย์จากศาสนาต่าง ๆ มีทั ้งคริสต์ อิสลาม พุทธ และอนุตตรธรรม โดยเชิญอ.เรืองศักดิ์ ไปร่วมงานด้วย พิธีกรที่มาสัมภาษณ์เป็ นด็อกเตอร์ก็ได้ถามทุกศาสนา ทุกคนก็พูดอยู่ใน กรอบของศาสนาตัวเองซึ่งตอบได้ดี จนมาถึงอนุตตรธรรม เขาถามว่า “แก่นของอนุตตรธรรมคืออะไร” หัวข้อใน วันนั ้นคือ ต่างศาสนาฟ้ าเดียวกัน จะสร้างสันติให้เกิดขึ ้นในรั ้วมหาวิทยาลัยได้อย่างไร - แต่ละศาสนาก็ว่าศาสนาของเขาดี แล้วอนุตตรธรรมเราจะจูนเขาหาเขาได้อย่างไร วันนั ้นพระอาจารย์ เมตตามาเติมเต็มให้จึงได้ตั ้งคําถามกลับไปว่า “ก่อนจะรู้ จักว่าอนุตตรธรรมคืออะไร ขออนุญาตถาม ปัญญาชนทุกท่านว่าในฐานะที่เราทุกคนอยู่ในโลกเดียวกัน จักรวาลเดียวกัน ใช้อากาศหายใจเดียวกัน ขอ ถามว่าพระอาทิตย์ดวงนี ้ อากาศนี ้ แผ่นดินนี ้เป็ นของพระเจ้าศาสนาไหน” ไม่ใช่ มันเป็ นของสากลครับ เพียงแต่ความแท้จริงของมัน พระมหาศาสนาทุกพระองค์เขาต้องการเข้าถึงสิ่งเดียวกันและเหมือนกัน เพียงแต่อยากจะบอกความจริงให้คนทั ้งหลายฟัง - แต่วิธีการบอกความจริงให้คนทั ้งหลายฟังมันอาจจะไม่เหมือนกัน จึงมีสมการเพื่อที่จะให้ข้อคิดตามนิสัย ของคนในท้องถิ่น ตามรูปแบบของพระมหาศาสดาองค์นั ้น ๆ เช่น 5+5 = 10 6+4 =10 แต่ว่าถ้าเป็ น คัมภีร์ของ 6+4 จะไม่มีเลข 5 สักตัวเดียว แต่ถ้าคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งบอกว่า 7+3=10 ก็จะไม่เห็นเลข 5 และเลข 6 เป็ นต้น เราทุกคนมัวแต่มานั่งเถียงในสมการ แต่เราไม่หาคําตอบสุดท้ายของมันคืออะไร วันนี ้ อนุตตรธรรมพยายามจะให้เรารู้คําตอบสุดท้ายของพระศาสดาทั ้งหลายครับ


Page 14 of 15 - คําตอบสุดท้ายของพระศาสดาคือ เรื่องวิถีแห่งจิต ให้รู้ ว่าจิตคนมาจากไหน ไปไหนและทําอย่างไร เขา ไม่ได้มานั่งเถียงกันที่สมการ แต่เขาแค่ตั ้งสมการให้เราคิดครับ คําตอบสุดท้ายเขาจะเหมือนกัน ผมอยากจะ ตั ้งคําถามว่า “ที่คุณไปเรียนมา คุณเชื่อมกับพระเจ้าได้อย่างไร ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย” แต่ถ้าเขาถามเรา บอกว่า “แล้วคุณเชื่อมต่อกับพระเจ้าได้อย่างไร” ผมตอบว่า “เราบอกได้เลยว่าเมื่อคุณได้รับการถ่ายทอด วิถีแห่งจิตแล้วคุณจะรู้เรื่องนี ้ทันทีครับ” จริง ๆ การศึกษาธรรมะสนุก ทําให้เราได้เห็นความจริง เราไม่ต้อง มานั่งเถียงกันเลย เราจะ “อ๋อ เป็ นเช่นนี ้เอง” คน ๆ นี ้เขารู้ แบบนี ้ เขาเข้าใจแบบนี ้ก็เพราะว่าเขาเป็ นแบบนี ้ เขารู้ระดับนี ้ เขาเข้าใจระดับนี ้ เขาจึงเป็ นแค่นี ้ ก็เหมือนผู้น้อยบอกแต่ต้นว่า “พุทธะแปลว่าผู้รู้” ถ้าเรารู้ เรื่อง เทพ เราเข้าถึงเทพ ถ้าเรารู้เรื่องพรหม เราเข้าถึงพรหม ถ้าเรารู้เรื่องพ่อมดหมอผีเราก็เข้าถึงพ่อมดหมอผีถ้า เรารู้เรื่องของซาตาน มาร เราก็ไปตามเส้นทางของมาร แต่วันนี ้เรากําลังจะถ่ายทอดเรื่องของรู้ แบบพุทธะ ครับ สุดท้ายนี ้ขอให้ทุกท่านมั่นใจและศึกษาต่อ และสิ่งที่รู้ อย่าได้เก็บเอาไว้เพียงลําพังจนมันกลายเป็ นสนิม และใช้ ไม่ได้จนไม้ที่มีราคาที่สุดมันผุพังและเสียโอกาสของหนึ่งชีวิตไป หวังว่าในชีวิตของทุกคนจะมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ทั ้งกับตังเองและครอบครัวและเพื่อนร่วมโลกอีกมากมายนะครับ ----------------------จบ--------------------------


Page 15 of 15 -------------------------------------


Click to View FlipBook Version