ถามตอบวิถีอนุตตรธรรม วิถีอนุตตรธรรม เป็นวิถีธรรมที่แท้จริง การด าเนินอนุตตรธรรมกิจก็ทรงมีพระกระแสรับสั่ง โดยตรงจาก ทั้งนี้เพราะเป็นพระประสงค์ของฟ้าเบื้องบน ถ้าไม่มีการทดสอบก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นความ มุ่งมั่นที่มีต่อวิถีธรรมได้ ดังที่กล่าวว่า: “อริยบุคคลจะอุบัติขึ้นเมื่อแผ่นดินวุ่นวาย ขุนนางที่ซื่อสัตย์ภักดีจะปรากฏเมื่อบ้านเมืองโกลาหล ผู้บ าเพ็ญจริงและผู้เสแสร้งบ าเพ็ญจะถูกแยกออก เมื่ออาณาจักรธรรมปั่นป่วน” ด้วยเหตุนี้ ทั้งเทพเซียนและพุทธอริยเจ้าแต่อดีตกาลมา ล้วนส าเร็จธรรมท่ามกลางสถานการณ์ เช่นนี้ทั้งนั้น ความทุกข์ต่างๆที่ผู้บ าเพ็ญธรรมได้รับในการบ าเพ็ญปฎิบัติเป็ฯการทดสอบของฟ้าเบื่องบน ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่? ผู้บ าเพ็ญธรรมอาจเข้าใจว่าความทุกข์ต่างๆที่ได้รับในการบ าเพ็ญปฎิบัติเป็นการทดสอบของฟ้า เบื้องบน ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นการบรรจบพบพานของต้นเหตุแห่งกรรมที่เคยปลูกสร้างมากับผลกรรมที่ตาม ตอบสนอง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเฉพาะหน้าที่ในการให้คะแนนอันจะเป็เกณฑ์ในการล าดับอริยฐานะตาม สภาพการณ์ที่ผู้บ าเพ็ญได้ประสบ วิบากกรรมที่ผู้บ าเพ็ญเคยสั่งสมมา ทั้งที่ติดหนี้คนอื่นและที่คนอื่นเป็นหนี้ เรา ควรสะสางให้หมดสิ้นไป จึงเห็นได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คื่อผู้ที่รู้จักอาศัยเหตุปัจจัยของการทดสอบที่เกิดขึ้น เนื่องจากการ บรรจบพบพานแห่งต้นเหตุและผลกรรม ท าการช าระหนี้กรรมแล้วจึงส าเร็จธรรมเท่านั้นเอง
ดังที่ได้สดับมาเบื้องต้นว่า ผู้บ าเพ็ญธรรมเข้าใจว่าการบรรจบพบพานของต้นเหตุและผล กรรมในการบ าเพ็ญปฎิบัติเป็นการทดสอบ ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเฉพาะหน้าที่ในการให้คะแนนตาม สภาพการณ์ที่ผู้บ าเพ็ญได้ประสบ จึงอยากทราบว่า การเผชิญกับความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นอัน เนื่องมาจากการบรรจบพบพานของต้นเหตุและผลกรรมนั้นจะได้รับบุญกุศลหรือไม่? “ไหนเลยจะมีบุญกุศล” การที่ผู้บ าเพ็ญธรรมได้รับกับความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการ บรรจบพบพานของต้นเหตุและผลกรรมนั้น เป็นโอกาสที่เบื้องบนต้องการประจักษ์แจ้งในความมุ่งมั่นต่อวิถี ธรรมของผู้บ าเพ็ญเท่านั้น ครั้นผู้ที่ยังไม่กระจ่างจ้างในวิถีธรรมได้รับความทุกข์ต่างๆในการบ าเพ็ญปฎิบัติ ก็ย่อมโทษฟ้าและ ปรักปร าผู้อื่น แต่ทว่าผู้กระจ่างแจ้งในวิถีธรรมเมื่อได้รับความทุกข์ต่างๆในการบ าเพ็ญปฎิบัติก็จะส านึกเสียใจ และต าหนิติเตียนแต่ตนเอง เพราะฉะนั้น พื้นฐานในการให้คะแนน (เพื่อเป็นเกณฑ์การล าดับอริยฐานะ) ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาและความมุ่งมั่นที่ผู้บ าเพ็ญแสดงให้เห็นต่อวิถีธรรมนั่นเอง ผู้บ าเพ็ญธรรมที่ตั้งปณิธานทานเจมีบุญกุศลหรือไม่? “ไร้ซึ่งบุญกุศล”เพราะการทานอาหารเจเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระท า แต่เดิมมนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่บริโภค เนื้อสัตว์เป็นอาหาร การทานอาหารเจจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติไหนเลยจะมีบุญกุศล เมื่อการทานอาหารเจไม่มีบุญกุศล แล้วเหตุใดบ าเพ็ญธรรมจึงต้องทานอาหารเจ? ดังที่กล่าวไปแล้วว่าการทานอาหารเจเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระท า เพราะเป็นการไม่ปลูกเหตุแห่งการท าลาย ชีวิตสรรพสัตว์ผู้บ าเพ็ญจึงพึงละเว้นจากการปลูกเหตุแห่งหนี้กรรม ถ้ายังก่อเหตุแห่งหนี้กรรมด้วยการ ท าลายชีวิตสรรพสัตว์ต่อไปก็จะท าให้เจ้าหนี้นายเวรเกิดความอาฆาตแค้นมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดท าให้ผู้ บ าเพ็ญธรรมเองไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หนี้กรรมเก่าในกาลก่อนยังไม่ทันได้ช าระสิ้นกลับเพิ่มหนี้กรรมใหม่ในกาลนี้อีก อันเป็นต้นเหตุให้มี การเกิดและการตาย มีการไปฆ่าเขาบ้างและมีการถูกเขาฆ่าบ้าง หมุนเวียนเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด อนึ่ง ฟ้าเบื้องบนทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม เมื่อเรากินเนื้อเขา 1 ชั่ง ก็ต้องใช้เนื้อคืนให้เขา 16 ต าลึง เป็นแน่ เป็นไปไม่ได้ที่เนื้อ ½ ชั่ง จะเท่ากับ 7.5 ต าลึง (ขาดหายไปครึ่งต าลึง)
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บุญกุศลจะได้มาจากไหน? แม้นค าว่า “บุญกุศล” ก็หามีไม่ เพราะการที่เวไนยฯบ าเพ็ญธรรมและสร้างบุญกุศล โดยมุ่งหวังแต่จะรอ รับผลบุญตอบสนอง ยึดติดในผลบุญจึงส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกไม่ได้เกิดจากธรรมชาติของจิตเดิม แท้ หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพียงการปลูกสร้างเนื้อนาบุญเพื่อยังผลให้ไปเกิดเป็นเทพยดาบนสวรรค์ชั้นเทว ภูมิ หรือผู้มีลาภสักการะในมนุษย์ภูมิเท่านั้น เพราะเป็นการกระท าเพื่อหวังผลบุญตอบแทน ผลบุญที่ได้รับจึงมีจ ากัด เมื่อเสพบุญกรรมหมดสิ้น ก็ต้องกลับลงมาเวียนว่ายต่อไป เปรียบได้ดั่งการยิงธนูขึ้นฟ้า พอแรงหนุนส่งหมดลูกธนูก็ตกลงมาฉันใดก็ฉัน นั้น ค าว่า “บุญกุศล” เป็นเพียงศัพท์ที่บัญญัติขึ้น เพื่อสร้างพื้นฐานในการท าความเข้าใจ ซึ่งที่จริงแล้ว “บุญกุศล” เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้โดยอาศัยลายลักษณ์อักษรเพราะ “บุญกุศล” เป็นพฤติกรรม ธรรมชาติที่แสดงออกจากธรรมญาณเดิมอันบริสุทธิ์ เป็นพฤติกรรมเดิมที่สอดคล้องกับหลักธรรมของฟ้า เบื้องบน “บุญกุศล” จะได้มา เมื่อกระท าอย่างไม่เสแสร้งกระท าโดยไม่ค านึงถึงผลบุญที่จะได้รับ เดินตาม มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) อย่างสุขุมเยือกเย็น เช่นนี้จึงเป็น “บุญกุศล” ที่แท้จริง ส่วนจิตใจที่คิดแต่จะรอรับผลบุญตอบสนอง ล้วนเป็นจิตที่เกิดจากความเพ้อฝันทั้งสิ้น เพราะมี ความเพ้อฝันจึงท าให้โฉมเดิมแห่งธรรมญาณที่บริสุทธิ์ไม่สามารถปรากฏออกมา เพราะเวไนยฯ มีทิฐิ เห็นความแตกต่างกันระหว่างอริยะกับปุถุชน จึงมีค าว่า “บุญกุศล” เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิตใจที่ติดยึดในผลบุญ จึงเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
ขอกราบเรียนถามเกี่ยวกับสายทองในวิถีอนุตตรธรรม ตั้งแต่โบราณกาลมา วิถีอนุตตรธรรมมีพงศาธรรม (เชื้อสายแห่งธรรม) ที่สืบทอดต่อกันมาระหว่างบรรพ จารย์สู่อีกบรรพจารย์อย่างไม่ขาดสาย ผู้มีธรรมย่อมเข้าถึง จิตใครว่างก็ได้รับไป ผู้ได้รับ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการเบิกจุดญาณทวารจากพระวิสุทธิอาจารย์ ก าราบจิตฟุ้งซ่านให้หมด สิ้นไป ส ารวมปฎิบัติตามคุณธรรมแห่งธรรมญาณเดิมที่ฟ้าเบื้องบนประทานให้สร้างคุณประโยชน์แก่ มนุษยชาติ และประกาศสัจธรรมแทนฟ้าเบื้องบนหากเป็นเช่นนี้ สายทองก็เชื่อมโยงกันได้ แต่ถ้าไม่ช าระกิเลสภายในให้บริสุทธิ์ กระท าการโดยเห็นแก่ตัว อย่างนี้แม้จะอยู่ร่วมกับพระวิสุทธิ อาจารย์ สายทองก็เชื่อมโยงกันมิได้ ธาตุทอง เป็นสัญลักษณ์ของทิศตะวันตก เป็นโลหะธาตุชนิดเดียวที่มีสีขาวในบรรดาโลหะธาตุทั้ง 5 สีขาวบ่งบอกถึงความสะอาด และความบริสุทธิ์ นั่นก็หมายถึงการกระจ่างแจ้งในความบริสุทธิ์ของสภาวะ เดิมแห่งธรรมญาณ หลังจากที่เราได้รับวิถีธรรม ได้กระจ่างแจ้งในธรรมญาณเดิมแห่งตนแล้วล าดับต่อไปคือการเข้าถึง มวลเวไนย (ฉุดช่วยให้รับธรรม) ตลอดจนการบรรลุถึงที่สุดของความดี นั่นก็คือ พุทธภูมิ วิธีการบ าเพ็ญแบบรู้แจ้งโดยฉับพลันส าคัญที่การบรรลุถึง “สุญญภาวะ” ซึ่งหาใช่พิธีการที่มี รูปลักษณ์ไม่ สุญญภาวะคือมรรคาแห่งการหลุดพ้น ส่วนรูปลักษณ์ทั้งปวง คือเหตุปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญ เมื่อเข้าใจในหลักธรรมนี้แล้วก็ไม่จ าเป็นต้องถามเกี่ยวกับสายทอง ขอเพียงระบบขั้นตอนการ ด าเนินงานธรรม ไม่สับสนวุ่นวาย สายทองก็ยังเชื่อมต่อกัน เหตุใดกฎพุทธระเบียบ 15 ข้อ จึงเป็นกฎพุทธระเบียบที่บัญญัติขึ้นเฉพาะกาล สี่งเหล่านี้ควรน าไป พินิจพิจารณาเพราะการพินิจพิจารณาเป็นการ “ส านึกรู้” “ผู้ส านึกรู้ คือพุทธะ ผู้ที่ไม่พินิจพิจารณาไม่ส านึกรู้ คือเวไนย” ความแตกต่างระหว่างพุทธะกับ เวไนย ก็อยู่ที่สภาพจิตใจเท่านั้นเอง
ผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจแล้วผิดต่อปณิธาน ไม่ทราบว่าเบื้องบนจะพิจารณาโทษสถานใด? ฟ้าและดินคงไว้ซึ่งหลักสัจธรรม ตัดสินบาปบุญคุณโทษอย่างเที่ยงธรรม เมื่อตั้งปณิธานทานเจแล้วผิดต่อ ปณิธาน นอกจากความดีความชอบตาง ๆ ที่เคยสร้างมาเท่ากับสูญเปล่าแล้ว ยังเป็นการท าลายชื่อเสียง ของอาณาจักธรรมอีก โทษที่ได้รับ คือตกนรก อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาโทษตามสถานหนักเบาจาก สาเหตุที่ผิดปณิธาน ผู้บ าเพ็ญธรรมที่ไปกราบไหว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ หรือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง มีความเกี่ยวพันกับวิถี อนุตตรธรรมอย่างไร ? การบ าเพ็ญธรรม เป็นการบ าเพ็ญจิต ปุถุชนที่ยังไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างถ่องแท้ย่อมหลงไปตาม สภาพแวดล้อม น่าเป็นห่วงยิ่งนัก การบ าเพ็ญธรรม เป็นการบ าเพ็ญจิตหล่อเลี้ยงธรรมญาณ ก าจัดความคิดฟุ้งซ่าน ส่วนการกราบ ไหว้ เป็นการแสดงความเคารพและร าลึกคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในการบ าเพ็ญธรรมนั้น ศิษย์อนุตตรธรรมควรปฏิบัติตามพุทธระเบียบอย่างเคร่งครัด อย่าเหยียบ เรือสองแคม หรือกราบไหว้สิ่ศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงาย เพราะฉะนั้น การบ าเพ็ญก็คือการบ าเพ็ญ การกราบไหว้ก็คือการกราบไหว้ หากความศรัทธาใน วิถีธรรมไม่เปลี่ยนแปลง การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะความเคารพนับถือจะไม่ได้เชียวหรือ เกี่ยวกับการทดสอบด้านทรัพย์สินเงินทองจะอธิบายอย่างไร ? การทดสอบด้านทรัพย์สินเงินทอง แบ่งออกเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ และการทดสอบครั้งปลีกย่อย เกี่ยวกับเงินท าบุญที่ได้รับจากการขอรับวิถีธรรมของเวไนยฯว่าซื่อตรงหรือไม่นั้น เป็นการทดสอบ ครั้งปลีกย่อย ส่วนทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ เมื่อธรรมกิจได้ขยายกว้างไป ทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมก็มีมากขึ้น ผู้มีความโลภย่อมคิดอยาก ได้มาครอบครองจึงเกิดการแก่งแย่งอ านาจและแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ฉะนั้น การช่วงชิงทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมจึงจัดเป็นการทดสอบด้านทรัพย์สินครั้งใหญ่
ศรัทธาแบบมิจฉา เป็นอย่างไร ? ค าว่า “มิจฉา” นั้นตรงกันข้ามกับค าว่า “สัมมา” จิตศรัทธาทั้งมวลที่ไม่ได้บังเกิดจากจิตเดิมแท้ อันเที่ยงตรงล้วนเป็นจิตศรัทธาแบบมิจฉา อาทิ จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็ดี ความคิดเพ้อฝันก็ดี ที่อยากเห็น ปาฏิหาริย์ก็ดี และจิตใจที่ฝังลึกอยู่กับการหลุดพ้นจากการเกิดการตายเฉพาะตนก็ดี ล้วนเป็นจิตศรัทธา แบบมิจฉาที่โฉมหน้าเดิมแท้ยังไม่ปรากฏทั้งนั้น ศรัทธาแบบโง่เขลา เป็นอย่างไร ? ผู้ “โง่เขลา” คือผู้ที่ “ไร้ปัญญา” ซึ่งรู้แต่เพียงกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดแสวงหาสัจธรรม และก็ไม่กระจ่างในหลักธรรม อีกทั้งยังไม่รู้ถึงคววามหมายที่แท้จริงของการบ าเพ็ญธรรมหลับหูหลับตา คล้อยตามผู้อื่น เป็นความเลื่อมใสที่จัดอยู่ในญาณระดับต่ า ศรัทธาแบบฉลาดแกมโกง เป็นอย่างไร ? ผู้ที่ฉลาดแกมโกง คือ ผู้ที่อาศัยกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ แสดงออกซึ่งปัญญาเดิมอันประเสริฐ อาศัยเพียงความเฉลียวฉลาดเฉพาะตน สร้างบุญบังหน้ากระท าได้ แม้กระทั่งยืมดอกไม้ของผู้อื่นมาบูชาพระ จึงท าให้ธรรมญาณเดิมแม้ไม่อาจปรากฏได้ ศรัทธาแบบเสแสร้ง เป็นอย่างไร ? ค าว่า “เสแสร้ง” คือ “การแกล้งท า” ความศรัทธาทั้ง 4 ระดับ ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็น พฤติกรรมที่สะท้อนจากจิตอันจอมปลอม เมื่อไม่ได้เกิดจากพุทธจิต จึงเป็นจิตที่ไม่บริสุทธ์ทั้งสิ้น การเสแสร้ง คือ ความไม่จริงใจ เมื่อไม่ใช่จิตแรกแล้ว ก็ย่อมเป็นจิตที่ผ่านการปรุงแต่ง เป็นจิตที่ หวังจะอาศัยบารมีธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ใช้ความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบังหน้า และเล่นละครเหมือนดั่งจริงเพื่อหลอกลวงผู้อื่น
เพราะฉะนั้น ความศรัทธาแบบเสแสร้ง จึงจัดเป็นความศรัทธา ที่มีระดับต่ าที่สุดใน มหาศรัทธาทั้ง 8 ศรัทธาแบบกระจ่างแจ้ง คืออะไร ? ค าว่า “กระจ่างแจ้ง” คือ การรู้แจ้งในหลักธรรมไม่มีจิตใจที่เป็มิจฉา โง่เขลา ฉลาดแกมโกง และ เสแสร้ง อย่างไรก็ตาม แม้ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้งจะยังไม่ถึงสุดยอดของความดี แต่อย่างน้อยก็เป็นไปตาม หลักท านองคลองธรรม มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีกลักการที่ชัดแจ้ง รู้จักรักษาระเบียบวินัยอยู่ในหน้าที่ของ ตนโดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ข่มเหงผู้อื่น มีมโนธรรมส านึกและยึดมั่นตามหลักสัจธรรม เช่นนี้เรียกว่า ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้ง ศรัทธาแบบบรรลุถึง คืออะไร ? ค าว่า “บรรลุถึง” หมายถึง การเข้าถึงหลักของความเป็นมนุษย์ และเป็นการเข้าถึงโดยอาศัยจิต ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้งที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นการกระจ่างแจ้งในธรรมญาณเดิมแห่งตน ส่วนความศรัทธาแบบบรรลุถึง เป็นการปฏิบัติตนเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนใหม่ ไม่ผิดต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ ผิดต่อหน้าที่การงาน ไม่ผิดต่อคุณธรรมของฟ้าดิน และไม่ผิดต่อสรรพสิ่งมีเพียงจิตที่คิดจะช่วยผู้อื่น เสียสละตนเองเพื่อมนุษยชาติ มหาศรัทธา คืออะไร ? ค าว่า “มหา” เป็นค าตรงข้ามกับค าว่า “หีน” (ฮีนะ) ซึ่งเป็นความศรัทธาที่พัฒนาสูงขึ้น เหนือกว่าระดับ ความศรัทธาแบบการะจ่างแจ้ง มีความกลมเกลียวกับเพื่อนบ้านรอบด้านและความศรัทธาระดับนี้ ยังมี ความกลมเกลียวสมานฉันท์กับทุกชนชั้น ดังที่กล่าวว่า “กล่าววาจาออกไปทั่วอาณาจักรโดยไม่ก่อวจีกรรม ประพฤติ ปฏิบัติทั่วปฐพี โดยไม่ถูกปรักปร า
ฟ้าดินและสรรพสิ่งยังสามารถสัมผัสในบารมีธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน” เช่นนี้จึงเรียกว่า “มหาศรัทธา” สุดยอดแห่งความศรัทธา คืออะไร ? ค าว่า “สุดยอด” เป็นสภาวะที่สูงสุด ความศรัทธาระดับนี้ สามารถร่วมคุณธรรมกับฟ้าดิน สามารถร่วม แสงสว่างกับตะวันเดือน สามารถร่วมเกณฑ์การผันแปรของฤดูกาลทั้ง 4 และยังสามาถร่วมความดีร้ายกับ เทพ ผี นอกจากนี้แล้ว สุดยอดแห่งความศรัทธายังมีความกลมเกลียวษมานฉันท์ในทุก ๆ เรื่อง และด ารง อยู่เหนือกาลเวลาทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ดังเช่น คัมภีร์มหาบุรุษ ที่กล่าวว่า “ให้ยุติที่ที่สุดแห่งความดี” หากกระท าได้เช่นนี้ ก็จะบังเกิด รัศมีธรรมที่เปล่งประกายเจิดจ้า ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” อันเป็นพุทธ ปฏิปทาอันประเสริฐสุด สุดยอดแห่งความศรัทธานี้ ยังมีส่วนร่วมในการอุ้มชูและพัฒนาสรรพสิ่งภายใต้ฟ้าดิน เป็นการพรัง พรูออกมาซึ่งสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ที่เรืองรองรุ่งโรจน์ที่สุด สัญชาตญาณเดิมนี้ ได้ผสมผสานกลมเกลืนอยู่ในอากาศธาตุทั่วจักรวาล จึงกล่าวได้ว่า ผู้บรรลุ สภาวะนี้ ภายในไร้ซึ่งตนเองที่จะฉุดช่วย ภายนอกก็ไร้ซึ่งผู้คนที่ต้องฉุดช่วย พุทธอริยเจ้าเรียกสภาวะนี้ว่า “สภาวะที่ฟ้าดิน และสรรพสิ่งได้ผสานเป็นหนึ่งเดียว” การทานเจมีประโยชน์ต่อการบ าเพ็ญธรรมอย่างไร ? ประโยชน์ของการทานเจมีมากมายเหลือคณานับแต่จะกล่าวอย่างง่าย ๆ อาทิ 1.การทานเจท าให้ไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บมาคุกคาม และท าให้มีอายุยืนยาวด้วยเหตุที่มนุษย์เป็น สัตว์ที่บริโภคพืชพันธุ์ธัญญาหารร่างกายจึงเหมาะส าหรับทานเจ สังเกตได้จากโครงสร้างฟันของมนุษย์ที่มี ลักษณะราบเรียบ จัดเรียงอย่างมีระเบียบเหมือนกับลักษณะโครงสร้างฟันของวัวและแพะซึ่งจัดเป็นสัตว์ที่
บริโภคพืชผักเป็นอาหาร ส่วนแมวและสุนัขนั้น มีฟันที่แหลมคม จัดเป็นสัตว์ที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ฉะนั้น เมื่อพิจารณาตามความเหมาะสมของสภาพร่างกาย ประกอบกับโครงสร้างของฟันของมนุษย์แล้ว ก็ รู้ได้ว่ามนุษย์ควรรับประทานอาหารประเภทใด เฉกเช่นเดียวกับการเลือกใช้น้ ามันรถยนต์ทั่ว ๆ ไปที่ต้องใช้ให้เหมาะกับสภาพของรถยนต์ที่ ก าหนดไว้ หากรถยนต์ชนิดนี้ ก าหนดให้ใช้น้ ามันซุปเปอร์ก็ควรเติมน้ ามันซุปเปอร์ รถยนต์ชนิดนั้นก าหนดให้ ใช้น้ ามันดีเซลก็คววรเติมน้ ามันดีเซล การใช้น้ ามันให้ถูกต้องและเหมาะสมตามสภาพของรถ จะท าให้ยืด อายุการใช้งานของรถยนต์ออกไปอีก สรุปแล้ว การใช้ชนิดน้ ามันให้ถูกต้องตามสภาพของรถยนต์ มีอิทธิพลต่ออายุการใช้งานของ รถยนต์ฉันใด การบริโภคประเภทอาหารให้ถูกต้องก็มีอิทธิพลต่ออายุขัยของชีวิตมนุษย์ฉันนั้น 2.การทานเจท าให้ไม่ก่อเหตุต้นผลกรรมจากการท าลายชีวิตสัตว์ โลกมนุษย์ คือโลกที่ ประกอบด้วยเบญจธาตุ (ธาตุดิน ธาตุน้ า ธาตุไฟ ธาตุทอง ธาตุไม้) ที่อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งการตอบสนอง ของเหตุต้นผลกรรม ปลูกเหตุใดไว้ วัฏจักรของเบญจธาตุก็ผลักดันให้ได้รับในผลนั้นหรือที่เรียว่าผลแห่ง กรรม ซึ่งเป็นกฎแห่งจักรวาล 3.สามารถเสริมสร้างไอแห่งสภาวะหยัง เพราะกายธาตุของสัตว์เดรัจฉานมีสภาวะอิน เมื่อกินเข้า ไปก็จะเป็นการสั่งสมไอที่เป็นสภาวะอินในร่างกายมนุษย์ แต่ทว่า อนุตตรภูมิซึ่งเป็นวิสุทธิภูมิ (แดนบริสุทธิ์) ที่มีแต่ไอของสภาวะหยัง มนุษย์ที่มีจิตญาณ ห่อหุ้มไปด้วยสภาวะอินจึงเข้าสู่แดนอนุตตรภูมิไม่ได้ 4.ช่วยเสริมสร้างสติปัญญาในการท างาน การกินเนื้อสัตว์ที่มีสภาวะอิน จะท าให้มีอุปนิสัยรุนแรง และมีอารมณ์ฉุนเฉียวเร่าร้อน ส่วนอาหารเจที่มีสภาวะหยังจะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่อ่อนโยน มีสัมมา คารวะ และรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ในอาณาจักรธรรม หากมีผู้ที่มีใจออกห่างวิถีธรรมแล้วยังยุยงให้ญาติธรรมแยกตัวจากอาณาจักร ธรรม หรือหลอกล่อให้ญาติธรรมไปยังลัทธินอกรีตนอกทาง เช่นนี้เบื้องบนจะพิจารณาโทษอย่างไร ? พยายามหาวิธีช่วยเหลือให้ถึงที่สุด ส่วนพวกที่ไม่สามารถช่วยกลับมาได้ “ก็จนปัญญา” เขาเหล่านั้น จะต้องแบกรับผลกรรมด้วยตนเองในอนาคต แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจช่วยได้ ส าหรับผู้ที่ยุยงให้ญาติธรรมแยกตัวจากอาณาจักรธรรม หรือหลอกล่อให้ญาติธรรมเข้าสู่ลัทธิ
นอกรีตนอกทางนั้น ผลกรรมที่จะได้รับนั้นไม่อาจประมาณได้ แม้นต้องตกลงสู่เดรัจฉานภูมิในอนาคตก็ยาก จะชดใช้ผลกรรมที่ก่อได้หมด วิธีที่ดีที่สุดในการฉุดช่วยคนมารับวิถีธรรมคือวิธีใด ? วิธีที่ดีที่สุดในการฉุดช่วยคน คือ การฉุดช่วยตนเองเพราะเหตุที่โลกียชนมีความเฉลียวฉลาด หาก น าพาให้มารับวิถีธรรมโดยอาศัยเพียงฝีปากหรือโดยอาศัยคววามผูกพันส่วนตัว ซึ่งวิธีทั้งหลายนี้เป็นธรรม วิถีที่ไม่ได้จัดอยู่ในยาน (พาหนะที่ขนสัตว์ข้ามทะเลทุกข์) ระดับสูง ในที่สุด เขาเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาพิจารณาและประเมินคุณค่าของวิถีธรรม โดยจะสังเกตจาก ความประพฤติและการปฏิบัติตนของผู้ที่จะมาฉุดช่วยเขา ฉะนั้น การบ าเพ็ญตัวเราให้ดีก่อนจึงเป็นวิธีที่ดี ที่สุดในการฉุดช่วยคนมารับวิถีธรรม เหตุใด วิถีอนุตตรธรรมจึงลงโปรดสู่โลกมนุษย์? วิถีอนุตตรธรรมลงโปรดสู่โลกมนุษย์ก็เพื่อปลดเปลื้องภัยพิบัติ กอบกู้จิตใจมนุษย์ที่เสื่อมทราม ผลักดันให้ โลกเอกภาพแห่งสันติสุขอุบัติขึ้นในเร็ววัน แปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นแดนสุขาวดีและให้วิมานเกิดขึ้นบน แดนดิน เหตุใดวิถีอนุตตรธรรมกับภัยพิบัติจึงลงมาพร้อมกัน ? วิถีอนุตตรธรรมลงโปรดเพื่อฉุดช่วยคนดี และให้มนุษย์ได้ประจักษ์แจ้งในโฉมหน้าเดิมแท้แห่งตน ส่วนภัย พิบัติลงมาเพื่อตักเตือนคนชั่วและให้มนุษย์ไม่กล้าท าในสิ่งที่ชั่วร้าย การทานเจท าให้ส าเร็จธรรมได้หรือไม่?
การทานเจ ไม่ท าให้ส าเร็จธรรม การทานเจเป็นเพียงพื้นฐานของผู้บ าเพ็ญธรรม เป็นการไม่สร้างหนี้เวร เพิ่มขึ้นอีก เพราะฉะนั้น นอกจากต้องทานเจแล้ว ยังจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนอย่างจริงจัง ช่วยผลักดัน งานธรรมโดยไม่ยึดติดในบุญกุศล เมื่อกระท าสิ่งใดไว้ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทนในที่สุด ชาวโลกต่างลือกันว่า ในสมัยที่องค์พุทธะเดินดินบ าเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้น มีการดื่มสุรา และฉันเนื้อ สุนัข อยากทราบว่ามีความเป็นจริงหรือไม่? การบ าเพ็ญปฏิบัติธรรมในโลกโลกีย์นั้น มักมีค าครหานินทามากมาย อนึ่ง เพื่อเป็นการเยาะเย้ย และถากถางผู้บ าเพ็ญธรรมที่ไม่รักษาระเบียบวินัยในกาลนั้น จึงได้แกล้งท าจริตดื่มสุราและฉันเนื้อ แต่หากมาพินิจพิจารณาให้ดีก็จะรู่ว่า การดื่มสุราและฉันเนื้อ จะส าเร็จธรรมได้อย่างไร แม้กระนั้น ข่าวลือในโลกมนุษย์ก็ยังมีอยู่ทั่วไป ผู้บ าเพ็ญธรรมคววรเริ่มต้นบ าเพ็ญอย่างไร ? ผู้บ าเพ็ญธรรมควรเริ่มต้นจากการเข้าใจ “จิตใจ” ของตนเองก่อน ต้องหมั่นพินิจพิจารณาว่าจิตใจของตนมี สภาพเป็นอย่างไร เช่น หากมีข้อบกพร่องต้องรีบแก้ไข และขจัดส่วนไม่ดีให้หมดไปหากมีข้อดีก็ควรด ารง รักษาไว้ เช่นนี้เรียกว่า “ย้อนมองส่องตน” การบ าเพ็ญปฎิบัติธรรมในเพศของบรรพชิตที่ไม่ครองเรือน จะเหมาะกว่าการบ าเพ็ญปฎิบัติธรรม แบบ ผู้ออกบ าเพ็ญและปฎิบัติธรรมในเพศบรรพชิต เพื่อมุ่งในการหลุดพ้นจากการเกิดตายของมวลเวไนยทั่วหล้า หากไม่บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า อย่างน้อยก็เป็นถึงปราชญ์เมธี จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดิยิ่ง แต่ทว่าการออกบ าเพ็ญ และปฎิบัติธรรมในเพศของบรรพชิตเพียงเพื่อต้องการแสวงหาความวิเวก และการหลุดพ้นเฉพาะตนก็ไม่ต่างอะไรกับเวไนยนั่นเอง แม้จะออกบวชก็ไม่มีประโยชน์อะไร ลองพิจารณาถึงความเกี่ยวพันด้านเหตุต้นผลกรรมที่ว่าเมื่อได้ฉันอาหารที่ได้รับจากโยมอุปัฏฐาก
แล้วจะตอบแทนโยมอุปัฏฐากอย่างไรเล่า โยมอุปัฏฐากถวายอาหารอุปการะเรา เมื่อเราส าเร็จธรรมแล้ว โยมอุปัฏฐากจะไปที่ไหนเล่า เช่นนี้ยุติธรรมหรือไม่ ทุกคนลองมาวิเคราะห์ตัดสินด้วยเหตุและผลเถิด ด้วยเหตุนี้หากมีผู้ที่สามารถบ าเพ็ญปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นของมวลเวไนยทั่วหล้าแล้ว ไม่ว่า เขาผู้นั้นจะอยุ่ในเพศของบรรพชิต หรือเพศฆราวาสต่างก็ดิทั้งนั้น เพราะการออกบวชที่แท้จริง คือการบุกเบิกธรรมการเผยแพร่ธรรมและการฉุดช่วยมวลเวไนยให้ หลุดพ้นจากทะเลทุกข์กลับคืนสู่ฝั่งนิพพานต่างหาก ส่วนการออกบวชเพื่อตบตาผู้อื่นนั้น เป็นการฉวย โอกาสเพื่อความสุขสบายแห่งตน การบ าเพ็ญและปฎิบัติธรรมในเพศของฆราวาสมีประโยชน์อย่างไร? ประโยชน์นั้นมีมากมาย (เพียงแต่จะล าบากกว่าเพศบรรพชิตเล็กน้อยเท่านั้น) อาทิ 1.สามารถบ าเพ็ญปฎิบัติธรรม และยังอยู่ดูแลครอบครัวได้ 2.สามารถบ าเพ็ญปฎิบัติธรรมและไม่ต้องอาศัยโยมอุปัฏฐากในการด ารงชีวิต 3.สามารถบ าเพ็ญปฏิบัติธรรม และอุทิศเสียสละตน เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ได้ 4.สามารถบ าเพ็ญปฎิบัติธรรม และไม่ผิดต่อหลักมนุษยธรรม ซึ่งมีความกตัญญูกตเวทีเป็น พื้นฐาน ทั้งยังมีโอกาสช่วยส่งเสริมสมาชิกในครอบครัว บ าเพ็ญปฎิบัติธรรมได้อีก 5.สามารถบ าเพ็ญปฎิบัติธรรม และช่วยพัฒนาประเทศชาติโดยการช าระภาษีอากร และแสดง ความจงรักภักดัโดยการรับใช้ชาติบ้านเมืองได้อีก อนึ่ง เราทุกคนต้องทราบาดีว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ ณ ดินแดนแสนไกล แต่ธรรมะอยู่ที่การปฎิบัติต่อผู้อื่น ธรรมะอยู่ในต าแหน่งหน้าที่การงาน ธรรมะอยู่ที่ตัวเรา ธรรมะอยู่ในครอบครัวของเราธรรมะอยู่ในสังคมระหว่างผู้คน และธรรมะอยู่ที่ ประเทศชาติบ้านเมือง ฉะนั้นทุกแห่งทุกหนจึงมีธรรมะด ารงอยู่ การบริกรรมพระสูตรมีประโยชน์หรือไม่? การบริกรรมพระสูตรมีประโยชน์ที่มีขอบเขตจ ากัด (การบริกรรมพระสูตรสามารถท าให้กายใจสงบได้ก็จริง แต่ก็ยังจัดอยุ่ในยานระดับต่ าเท่านั้น)
ผู้ที่บริกรรมพระสูตรย่อมด ารงตนเป็นพุทธศาสนิกชน ผู้ด ารงตนอยู่ในพุทธศาสนาย่อมไม่ก่อ กรรมท าเข็ญ ในเมื่อเขามีความศรัทธาจริงใจ รู้จักสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสวดภาวนาพระสูตร นอกจากท าให้จิตใจมีความสงบสุขแล้ว ยังท าให้รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลอีก ฉะนั้น การบริกรรมพระสูตรจึงมีประโยชน์ต่อวิถีการบ าเพ็ญธรรมขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ทว่า วิธีการบ าเพ็ญที่จัดอยู่ในยานระดับสูงนั้นไม่อาศัยการบริกรรมพระสูตร เพราะการบริกรรมพระสูตรนั้นไม่ เทียบเท่าการเทศนาพระสูตรและการเทศนาพระสูตรก็ไม่เทียบเท่าการปฎิบัติตามหลักธรรมค าสอนในพระ สูตร จึงควรเอาเวลาที่ใช้บริกรรมพระสูตรมาศึกษาพระสูตรให้กระจ่าง และในที่สุดสามารถเป็น ตัวแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทศนาหลักธรรมในพระสูตรได้ นอกจากเป็นการบ าเพ็ญตนแล้วยังสามารถกล่อมเกลาผู้อื่นได้อีก เพราะผู้ที่ประสงค์จะประกาศ สัจธรรมจ าต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ปฎิบัติตามหลักธรรมในพระสูตร จึงกล่าวว่า “การเทศนา ธรรมไม่เทียบเท่าการประพฤติปฎบัติตามหลักธรรมในพระสูตร” สรุปแล้ว แม้การบริกรรมพระสูตรจะมีประโยชน์แต่ไม่ใช่การบ าเพ็ญในยานระดับสูง ยานระดับสูง แห่งพุทธมรรคา คือ การส านึกปฎิบัติที่เคียงคู่กับหลักธรรมของฟ้าเบื้องบน ฉะนั้นการบ าเพ็ญในยาน ระดับสูงจึงไม่อาศัยการบริกรรมพระสูตร หากผู้บ าเพ็ญธรรมไม่ชัดเจนต่อบัญชีทรัพย์สินในอาณาจักรธรรม ไม่ทราบว่าผลจะเป็นอย่างไร? ทรัพย์สินในอาณาจักรธรรม เป็นทรัพย์สมบัติของเบื้องบน อย่างค ากล่าวที่ว่า “เงินหนึ่งแดงของเบื้องบน ยิ่งใหญ่กว่าเขาพระสุเมรุ” ผลกรรมที่จะได้รับจึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นอย่างไร หากผู้บ าเพ็ญธรรมที่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินในอาณาจักรธรรมไม่ประหยัดในการใช้จ่าย และใช้จ่าย อย่างสุร่ยสุร่ายนั้นบาปหรือไม่? องค์กรต่างๆในโลกมนุษย์ หรือผู้ที่รับใช้บ้านเมือง หากไม่ประหยัดในการใช้จ่าย หรือใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ยังมีความผิดเลยยิ่ง เป็นทรัพย์สินของเบื้องบนหากใช้จ่ายอย่างสุร่ยสุร่ายย่อมบาปแน่นอน ในธรรมกาลยุคขาวนี้ วิถีอนุตตรธรรมได้ลงโปรดสู่โลกมนุษย์อย่างกว้างขวาง เป็นวิถีธรรมที่ ถ่ายทอดจริงตามพงศาธรรม แต่ท าไมคนส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อ เป็นเพราะสาเหตุใด?
จิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ดีงามเหมือนผู้คนในอดีต ฉะนั้นผู้ที่มีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในวิถีอนุตตร ธรรมจึงเชื่อได้ว่าเป็นผู้ที่มีรากบุญที่ลึกและแน่น ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะบังเกิดความเชื่อมั่นได้ ด้วยเหตุที่วิถี อนุตตรธรรมไม่สอนให้ยึดติดในรูปลักษณ์ภายนอก วิถีอนุตตรธรรม แตกต่างกับ การสั่งสอนกล่อมเกลาทั่วไปอย่างไร? ความแตกต่างระหว่างวิถีอนุตตรธรรมกับการสั่งสอนกล่อมเกลาทั่วไป อยู่ตรงที่วิถีอนุตตรธรรมสามารถ ท าให้หลุดพ้นจากการเกิดและการตายได้ ท าให้ไม่ตกอยู่ในวัฏจักรของชาติก าเนิด 4 และภูมิวิถี 6 ส าหรับผลสัมฤทธิ์ที่สูงสุดของการสั่งสอนกล่อมเกลาทั่วไป ก็แค่ท าให้ไปเกิดเป็นเทพเทวาบนชั้น เทวภูมิเท่านั้น ซึ่งเป็นการปลูกสร้างเนื้อนาบุญที่ยังอยู่ในการเวียนว่ายนั่นเอง ขณะนี้หมื่นสัทธิได้อุบัติขึ้นพร้อมกัน ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบต่อวิถีธรรมหรือไม่? ทุกสิ่งในโลกมนุษย์ล้วนเป็นของคู่กัน ไม่มีของปลอมจะปรากฏของจริงได้อย่างไร แม้หมื่นสัทธิจะก าเนิดขึ้น มากมาย แต่ก็สรุปได้เพียงสองค า คือ “สัมมา” และ “มิจฉา” เท่านั้นเอง สัมมา ค้ าจุนวิถีธรรม มิจฉา ท าลายวิถีธรรม เมื่อจิตใจมนุษย์เป็นมิจฉา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บูชากราบไหว้อยู่ก็เป็นมิจฉาเทพเพราะเทพที่มี ความเที่ยงตรงจะไม่ยอมมาสถิตให้บูชา อาชีพการงานที่เหมาะที่สุดส าหรับผู้บ าเพ็ญธรรมคืออะไร ? หากไม่มีงานทางโลกช่วยค้ าจุน งานทางธรรมก็ไม่สามารถด าเนินไปได้ เพราะฉะนั้น อาชีพการงานที่เหมาะ ที่สุดส าหรับผู้บ าเพ็ญธรรมควรเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง มีประโยชน์ต่ออาณาจักร ธรรม มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติในสังคม และมีประโยชน์ต่อมวลเวไนยจึงจะเหมาะที่สุด รองลงมาก็ควรเป็น งานที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการด าเนินงานทางธรรม อานิสงส์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ในขณะที่หนังสือลบล้างท าลายวิถีธรรมมีบาป เพียงไร ?
หนังสือธรรมะที่มีส่วนช่วยส่งเสริมวิถีธรรมนั้น บุญกุศลยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนหนังสือที่ลบล้างท าลายวิถีธรรม นอกจากจะไม่ได้รับบุญกุศลแล้ว ยังต้องรับโทษอีก ด้วยเหตุที่โอกาสในการส าเร็จธรรมของผู้บ าเพ็ญธรรม หนึ่ง คนอาจถูท าลายไปเพราะหนังสือที่ลบล้างท าลายวิถีธรรมได้ การพิมพ์และเผยแพร่หนังสือที่ลบล้าง ท าลายวิถีธรรมจึงมีบาปมหันต์ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมควรมีจิตใจอย่างไร ? อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมคือผู้สนองรับพระโองการสวรรค์ ถ่ายทอดวิถีธรรมแทนผู้ปกครองธรรมกาล จึง ต้องมีจิตใจเยี่ยงพระโพธิสัตว์ หากไม่เช่นนั้นก็ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของฟ้าเบื้องบน ฟ้าเบื้องบนประทานพระโองการสวรรค์ก็เพื่อให้ฉุดช่วยเวไนยฯ เพื่อส่งเสริมผู้บ าเพ็ญธรรมให้เข้าสู่ กระแสธรรม และเพื่อบรรลุสภาวะแห่งการหลุดพ้นจากการเกิดการตาย หาใช่เป็นการมอบอ านาจให้เพื่อ ข่มเหงผู้อื่นไม่ ฉะนั้น อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่เผด็จการและครองอ านาจแต่ผู้เดียว ไม่เพียงแต่จะไม่มีบุญกุศลแล้ว ยัง มีบาปมหันต์อีก ขันติ มีประโยชน์ต่อการบ าเพ็ญธรรมหรือไม่? ขันติ มีประโยชน์ไม่มากในการบ าเพ็ญธรรม เพราะขันติเป็นวิธีการบ าเพ็ญของเมธีชน (อริยฐานะ รองมาจากพระอริยเจ้า) ผู้ที่ยังไม่บรรลุในสัจธรรมต้องอิงขันติ แต่ส าหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้วไม่จ าเป็นต้องมี ขันติ อีกต่อไป เมื่อภายในจิตใจไม่มีอคติใด ๆ ก็ไม่จ าเป็นต้องมีขันติ กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติไม่มีทิฐิ การแบ่งแยกระหว่างอริยบุคคลกับปุถุชน เมื่อจิตใจมีความสงบเยือกเย็น ก็ไม่จ าเป็นต้องมีขันติ เป็นสภาวธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งไม่ใช่ ปุถุชนธรรมดาจะเข้าถึงได้ ค าว่า “ขันติ” เปรียบเสมือน “มีดแทงใจ” เจ็บปวดยิ่งนัก ฉะนั้น พุทธอริยเจ้าจึง ไม่อาศัยขันติ หากสามารถบ าเพ็ญธรรมจนไม่อาศัยขันติ ในขณะที่ในใจไม่เกิดมีความขุ่นเคืองใด ๆ สภาพจิตก็ จะมีความสุขุมเยือกเย็นไปเอง พุทธะกับเวไนยแตกต่างกันอย่างไร ?
แต่เดิมไม่มีทั้งุทธะและเวไนย เพราะเวไนยทั้วหล้าล้วนมีพุทธภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ครั้นมีเวไนยจึงมีพุทธะ ดังหลักธรรมที่จอมปราชญ์เหล่าจื้อกล่าวว่า “ความยาวกับความสั้นเป็นของคู่กัน” พุทธะ คือ ผู้ที่รู้ตื่น มีสัมมาด าริ ไม่มีความโลภ ทุกขณะจิตล้วนเป็นจิตของฟ้าดิน เวไนย คือ ผู้ที่ลุ่มหลง มีมิจฉาด าริ มีความโลภ ทุกขณะจิตล้วนเป็นจิตที่เห็นแก่ตัว ส าหรับพุทธะแล้ว สวรรค์กับนรกไม่แตกต่างอะไรกัน เมื่อจิตเป็นุทธะอยู่ที่ใดก็ยังเป็นพุทธะ สภาวะจิตจะไม่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ส่วนเวไนยมีการแบ่งแยกสวรรค์กับสรก เมื่อยังไม่บรรลุถึงสภาวะเดิมไปที่ไหนก็ยังคงเป็นเวไนย สภาวะจิตจึงแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ผู้บ าเพ็ญธรรมในวิถีอนุตตรธรรม จะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือจากที่กราบไหว้ในอาณาจักร ธรรมได้หรือไม่? การบ าเพ็ญธรรมก็ส่วนการบ าเพ็ญธรรม การกราบไหว้ก็ส่วนการกราบไหว้ เหตุใด จะไปกราบไหว้สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์นอกเหนืออาณาจักรธรรมไม่ได้ หากเราเข้าใจความหมายของการเคารพนบนอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก าหนดไว้ในพุทธระเบียบ 15 ข้อ แล้ว ก็จะไม่มีข้อสงสัยใดๆยิ่งกว่านั้น ในจริยพุทธระเบียบพิธีก็ยังมีข้อที่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก เลย หรือว่าเราซึ่งเป็นลูกหลานของครอบครัวหนึ่งจะเคารพนอบน้อมแต่พ่อแม่และพี่ ๆ ของเราเท่านั้น โดยไม่แสดงความเคารพนอบน้อมแต่พ่อแม่และพี่ ๆ ของครอบครัวผู้อื่น อย่างนั้นหรือ เพียงแต่เมื่อได้ถือวิถีอนุตตรธรรมเป็นสรณะแล้วไม่ควรกลับไปยังลัทธินิกายต่าง ๆอีกเท่านั้นเอง
เพราะว่าวิถีอนุตตรธรรมเป็นวิธีการบ าเพ็ญที่รู้แจ้งโดยฉับพลัน ส่วนลัทธินิกายต่าง ๆ เป็นวิธีการบ าเพ็ญ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีเหตุผลที่จะไป “สละต้น แสวงปลาย” เหตุใดอาณาจักรธรรมในปัจจุบัน จึงมีการกล่าวหาและนินทาให้ร้ายกันระหว่างผู้บ าเพ็ญธรรม ด้วยกัน แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใด ? จุดประสงค์ในการบ าเพ็ญธรรมก็เพื่อขจัดสภาพจิตใจเหล่านี้เอง ถ้าจะกล่าวถึงจิตใจที่คิดจะเบียดเบียนชีวิต สัตว์ การลักขโมย หรือประพฤติผิดในกามแล้ว อย่าว่าแต่ผู้บ าเพ็ญธรรมเลยแม้แต่บุคคลที่ไม่บ าเพ็ญธรรม ในอาณาจักรธรรมก็ไม่ค่อยคิดจะกระท าสิ่งผิดเหล่านี้ ฉะนั้น จิตใจที่คิดแต่จะกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่น เป็นเครื่องกีดขวางการพัฒนางานธรรม ดูอย่างผิวเผิน อาจจะไม่ร้ายแรงอะไร แต่ที่จริงแล้วเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ต่อการเติบใหญ่ของธรรมกิจ หากผู้ที่ถูกกล่าวหาให้ร้ายไม่เกิดความขุ่นเคืองใจวิบากกรรมแต่ปางก่อนก็จะถูกลบล้างไป ส าหรับ ผู้ที่ปรักปร ากล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นนั้นต้องแบกรับหนี้บาปของตน ถ้ากระท าจนผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีต้องถดถอย ออกจากอาณาจักรธรรม ผลกรรมที่จะได้รับนั้นประมาณมิได้ หลักธรรมที่ว่า“รับก่อนแล้วค่อยบ าเพ็ญ” กับ “บ าเพ็ญก่อนแล้วค่อยรับ” มีความหมายแตกต่าง กันอย่างไร? ความหมายของค าว่า “บ าเพ็ญ” คือการแก้ไขข้อบกพร่องให้สมบูรณ์ ส่วนค าว่า “รับ” คือการได้รับ “การได้รับ” ซึ่งเป็นจุดหมายที่สูงสุด เพื่อง่ายในการท าความเข้าใจ จึงน าการซื้อขายสินค้าบนโลกมนุษย์มาเปรียบเทียบให้เห็น สมมุติ ว่ามีคนคนหนึ่งต้องการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง เจ้าของโรงงานที่ผลิตสินค้านั้น มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็น ผลิตภัณฑ์แท้ มีคุณภาพ และไม่หวั่นต่อการทดสอบ จึงได้ส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อเพื่อให้ทดลองใช้ก่อน แล้ว ค่อยช าระเงินปลายเดือน หรื่ออนุญาตให้ยืดระยะเวลาช าระค่าสินค้าออกไป
เช่นนี้ในอาณาจักรธรรมเรียกว่า “เป็นการรับก่อนแล้วค่อยบ าเพ็ญ” ส าหรับการบ าเพ็ญก่อน แล้วค่อยรับนั้น คือผู้ซื้อต้องช าระเงินค่าสินค้าก่อน แล้วจึงได้รับสินค้า เป็นการให้ค่าตอบแทนที่พอควรก่อน จึงได้รับสินค้า แต่ในที่สุดก็ได้รับสินค้าเช่นกัน เปรียบเสมือนการซื้อขายสินค้าที่บางแห่งต้องช าระเงินก่อนแล้วจึงส่งมอบสินค้า บางแห่งส่งมอบ สินค้าก่อนแล้วจึงช าระเงินภายหลัง ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลย อีกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปทานอาหารที่ร้านอาหารซึ่งบางร้านให้ลูกค้าทานอาหารก่อน แล้วจึง ช าระค่าอาหารแต่บางร้านต้องให้ลูกค้าช าระค่าอาหารก่อนถึงจะทานอาหารได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลก อะไร เพราะนี่เป็นวิธีการด าเนินกิจการเฉพาะบุคคล วิธีของการบ าเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน วิธีการบ าเพ็ญธรรมในธรรมกาลยุคแดงใชระบบ “ช าระ ค่าอาหารก่อนทานอาหาร” ก็คือ การบ าเพ็ญเพียรก่อนแล้วจึงได้รับธรรม ส่วนธรรมกาลยุคขาวใช้ระบบ “ทานอาหารก่อนค่อยช าระค่าอาหาร” ก็คือ “การได้รับวิถีธรรมก่อนแล้วค่อยบ าเพ็ญเพียร” หาร เข้าใจในหลักธรรมนี้ก็คงจะไม่มีข้อสงสัยใดๆอีก เวไนยทั้งหลาย ผู้บ าเพ็ญธรรมทั้งหลาย และปราชญ์เมธีทั้งหลาย ขอให้มีความตั้งใจในการ บ าเพ็ญปฎิบัติ เพื่อการหลุดพ้นของตน จะหยุดบ าเพ็ยธรรมไม่ได้ อย่าได้มุ่งเข้าไปในทางตัน อย่าได้กล่าวค า ครหานินทาผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จะท าให้ทั้งตนและผู้อื่นเสียหาย หาไม่แล้วต่อให้ระยะเวลานานนับกัปก็ยาก จะหลุดพ้น ธรรมวิถีในการบเพ็ญธรรมนั้น ธรรมวิถีที่รู้แจ้งโดยฉับพลันแตกต่างกับธรรมวิถีที่บ าพ็ญแบบค่อย เป็นค่อยไปอย่างไร? ธรรมวิถีที่รู้แจ้งโดยฉับพลัน เป็นธรรมวิถีที่ชี้ตรงไปยังธรรมญาณเดิมให้เวไนยได้เข้าถึงโฉมหน้าเดิมแท้ของ ตน และได้ฟื้นฟูพฤติกรรมเดิมอันบริสุทธิ์ โดยเริ่มจากการก าหนดที่ฐานแห่งต้นจิตภายใน และแสดงออก โดยการประพฤติปฎิบัติภายนอก ส าหรับธรรมวิถีที่บ าเพ็ญแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นธรรมวิถีที่พร่ าสอนให้ เวไนยสร้างความดี ให้เวไนยค่อยๆส านึกรู้ถึงต้นจิต เรียกว่าเป็นการเริ่มจากการปฎิบัติภายนอกเข้าสู่ต้น จิตทื่เป็นฐานก าหนดเดิมภายใน
ปัจจุบันมีผู้บ าเพ็ญธรรมเป็นจ านวนมาก คับอกคับใจกับนักธรรมอาวุโสที่ไม่มีหลักธรรมใหม่ๆมา บรรยาย ทุกครั้งก็บรรยายหัวข้อธรรมไม่กี่หัวข้อ กล่าวไปกล่าวมาก็ไม่กี่ประโยค เช่นคุณธรรมหลัก 3 (ซันกัง) คุณธรรมสามัญ 5 (อู่ฉาง) คุณธรรมสัมพันธ์ 5 (อู่หลุน) และคุณธรรม 8 (ปาเต๋อ) หรือไม่ ก็ให้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่ไม่ดี แก้ไขข้อบกพร่อง ตลอดจนให้สร้างบุญสร้างกุศล ฟ้งไปฟ้งมาก็น่า เบื่อไม่ทราบว่าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่? หลักธรรมไม่มีใหม่หรือเก่า คุณธรรมก็ไม่มีใหม่หรือเก่า ทุกๆคนมีความสมบูรณ์พร้อมในธรรมญาณ หรือที่ เราเรียกว่า “ภูมิธรรมเดิม” ภูมิธรรมเดิมเป็นโฉมหน้าเดิมของเราที่แท้จริง การฟังธรรมมิใช่เป็นการฟังนิยาย หรือการดูละครที่ต้องมีสิ่งแปลกๆใหม่ๆจึงสามารถกระตุ้น ประสาทสัมผัสให้ตื่นตาตื่นใจ หารเป็นเช่นนี้ก็ล้วนเป็นผู้ขาดมโนส านึก แม้กล่าวเพียงไม่กี่ประโยค เช่น คุณธรรมหลัก 3 คุณธรรมสัมพันธ์ 5 คุณธรรมสามัญ 5 คุณ ธธรรม 8 ให้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่ไม่ดีและแก้ไขข้อบกพร่อง ตลอดจนให้สร้างบุญสร้างกุศล ฯลฯ หาก สามารถปฎิบัติตามอย่างสุขุมโดยไม่ยึดติดในผลบุญก็มีความสามารถเกินพอในการบรรลุธรรม หลุดพ้น จากการเกิดการตาย ไยต้องมีหลักธรรมใหม่ๆ มากระตุ้นให้ตื่นตาตื่นใจอีก องค์พุทธะเดินดินเมตตาลูกศิษย์ของท่านล้นหลามทั่วปฐพี ทุกๆวันต้องพบพานกับภัยพิบัติต่างๆ นานา เหตุใดองค์ท่านจึงไม่ฉุดช่วยเขาเหล่านั้นให้หมด? เราพุทธะตรากตร ากับการฉุดช่วยลูกศิษย์ทุกๆวันแม้ลูกศิษย์สักคนก็ไม่เคยตกหล่นไป แบ่งนิรมารกายพัน ร้อยล้านเพื่อฉุดช่วยลูกศิษย์ตลอดเวลา ในเมื่อพระองค์ตรากตร ากับการฉุดช่วยลูกศิษย์แล้วเหตุใดยังมีผู้บ าเพ็ญธรรมจ านวนมากประสบ กับภัยพิบัติ? เฮ้อ เป็นเพราะเหตุต้นผลกรรมตอบสนอง เกณฑฑ์ก าหนดของกฏแห่งสวรรค์และเจ้ากรรมนายเวร ติดตาม ทวงหนี้
หากมีการโยงใยพันผูกด้านเหตุต้นผลกรรม และเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมประนีประนอมด้วย ก็ สุดวิสัยที่เราจะช่วย ในเมื่อลูกศิษย์ติดหนี้กรรมกับเจ้ากรรมนายเวร แล้วจะให้เราพุทธะเข้าข้างศิษย์ โดย ไม่ให้เขาช าระหนี้กรรมได้อย่างไร ยินยอมให้ลูกศิษย์รับการทวงหนี้ของเจ้าหนี้นายเวรเถิด ทางเดียวที่จะขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบนได้ก็คือ ช าระหนี้เวรให้หมดสิ้นไป เราพุทธะมีจุดมุ่งหมายประการเดียวในการประกอบธรรมกิจ คือ การให้ลูศิษย์ได้ หลุดพ้นจากการเกิดตาย หากเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว ตนเองก็คงไม่คับข้องใจในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไม่โทษฟ้าโทษ ผู้อื่นด้วย การบ าเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร? ธรรมญาณของมนุษย์แต่เดิมมีความใสบริสุทธิ์ ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะเป็นภาวการณ์เคลื่อนไหว หรือภาวะ สงบนิ่งล้วนมีธรรมะ เพราะเป็นสภาวธรรมชาติที่ไร้รูปนาม จึงไม่มีค าว่า “บ าเพ็ญธรรม” และก็“ไม่ต้อง บ าเพ็ญ” ด้วย อย่างไรก็ตามเพราะต้องการแนะน าให้มนุษย์ได้รู้จักกับสภาพเดิมนี้ ท่านเหลาจื้อจึงได้ บัญญัติค าศัพท์ว่า “เต๋า” หรือ “ธธรรมะ” ไปพลางๆก่อน ครั้นธรรมชาติแห่งธรรมญาณเดิมอันวิสุทธิ์นี้ ได้ถูกครอบง าด้วยกิเลสตัณหาและถูกบดบังด้วย ความเพ้อฝันของใจมนุษย์ ดังนั้นเพื่อเป็นการฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมอันใสบริสุทธิ์จึงต้องอาศัยการบ าเพ็ญธรรม กล่าวโดยสรป การบ าเพ็ญธรรม คือ การก าจัดความเพ้อฝันที่หมกหมุ่นอยู่ในจิตใจมนุษย์ และ ฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมแท้นั่นเอง ค าว่า “แจ้งจิตเห็นธรรมญาณ” มีความหมายว่าอย่างไร?
ในเมื่อธรรมญาณเป็นสภาวะเดิมของธรรมชาติสภาวะจิตจึงไร้ซึ่งมลทินความมัวหมอง หากเป็นเช่นนี้แล้ว ที่ว่าแจ้งจิตเห็นธรรมญาณ ก็เป็นเพียงนามศัพท์ของขั้นตอนการบ าเพ็ญธรรมเท่านั้นเอง ด้วยเหตุที่ธรรม ญาณ คือธรรมชาติ จิตดั้งเดิมก็ใสบริสุทธิ์ แล้วไยจะมีการแจ้งจิต และเห็นธรรมญาณได้อย่างไร? แต่ถึงกระนั้นครั้นเกิดอุปทานและความเพ้อฝันมาครอบง าจิตใจ ท าให้สภาวะจิตมัวหมองไม่ กระจ่างแจ้ง และส่งผลให้ธรรมญาณเดิมไม่สามารถปรากฏให้เห็น รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออก ก็ มิใช่เป้นพฤติกรรมที่สะท้อนจากธรรมชาติแห่งธรรมญาณเดิม เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า การขัดเกลาธรรมญาณให้กลับคืนสู่ความสว่างไสวเป็นขั้นตอนแรกของการแจ้งจิตเห็นธรรมญาณ ส่วนการแลดงออกซึ่งสภาวะเดิมอันบริสุทธิ์ของธรรมญาณ เป็นสภาพของการบรรลุในการแจ้งจิตเห็น ธรรมญาณ การเก็บงานขั้นสมบูรณ์ คืออะไร? การเก็บงานขั้นสมบูรณ์คือการรวมหมื่นธรรมวิถีเป็นหนึ่งเดี่ยว เป็นการเก็บจิตใจที่กระเจิดกระเจิงและเลอะ เลือน รวมทั้งความคิดที่เลื่อนลอยกลับคืนมาเป็นโฉมหน้าเดิมอันกลมสมบูรณ์รัความด่างพร้อย ต่อตนเอง ไม่ปล่อยใจให้หลงระเริง ไม่ปล่อยการให้หลงระเริง มีจิตใจเที่ยงตรง มีความประพฤติเที่ยงตรง จิตใจอิงหลักสัจธรรม ปฎิบัติตามหลักสัจธรรม ต่อครอบครัว ค ารงตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความกลมเกลียวในครอบครัว บิดามีความเมตตากรุณา บุตรมีความกตัญญูกตเวที สามีอยู่ในหน้าที่ของสามี ภรรยาอยู่ในจริยาของภรรยา ทุกอย่างกลมเกลียวสมบูรณ์ ทุกคนบ าเพ็ญธรรม ต่อประเทศชาติ
ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีขุนนางคิดกบฎ เบื้องสูงไม่ข่มเหงเบื้องล่าง เบื้องล่างไม่หลอกลวงเบื้องสูง ประชาราษฎรมีความเสมอภาคถ้วนทั่ว ต่อพื้นปฐพี เมื่อวิถีธรรมลงโปรด ความเสมอภาคก็จะบังเกิดบนพื้นปฐพี ผู้มีคุณธรรมและผู้มีความสามารถ จะถูกเลือกเฟ้น ผู้คนจะกล่าวแต่วาจาสัตย์และจะมีแต่ความสมานฉันท์ จึงท าให้บุตรไม่กตัญญูเฉพาะบุพการีของ ตน บุพการีไม่อุปการะเฉพาะบุตรของตน ผู้สูงอายุมีสถานที่อยู่อาศัยยามชราภาพ ผู้อยู่ในวัยกลางมีโอกาสสร้างคุณประโยชน์แก่บ้านาเมือง ผู้เยาว์ได้เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อม ที่ดี ผู้ไร้คู่ครอง ผู้ก าพร้า ผู้โดดเดี่ยว ผู้พิการ และผู้ป่วย ล้วนได้รับการดูแลเอาใจใส่ ชายมีหน้าที่การงาน หญิงมีที่พักพิง ทรัพย์ในดินสินในนา ได้ถูกบุกเบิกและไม่ถูกเก็บไว้เฉพาะตน ความสามารถได้ถูกพัฒนาและไม่กระท าเพื่อตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะสกัดกั้นความ เจริญรุ่งเรืองของสังคมก็เป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีทั้งอาชญากรผู้ร้ายหรือผู้ก่อความไม่สงบสุข เวลาออก นอกบ้านก็ไม่ต้องปิดประตูหน้าต่าง สภาพเช่นนี้เรียกว่า “โลกเอาภาพแห่งสันติสุข”
การโปรดฉุดช่วยทั่วไป คืออะไร? การเก็บงานขั้นสมบูรณ์ หมายถึง การท าให้ไม่มีจุดด่างพร้อยใดๆ ส่วนการโปรดฉุดช่วยทั่วไปเป็น การฉุดช่วยมวลเวไนยสัตว์ในพื้นปฐพีให้ได้รับวิถีธรรม ให้สดับธรรม และกระจ่างแจ้งในธรรมญาณแห่งตน ตลอดจนถ่องแท้ในหลักสัจธรรม กล่าวโดยสรุป ค าว่า “ทั่วไป” มีความหมายว่า ทุกหนทุกแห่ง ทั่วทุกสารทิศสถานที่ที่ยวดยาน พาหนะสามารถไปถึงที่ที่แสงตะวันแสงเดือนปกคลุม ไม่ว่าผู้มีเลือดเนื้ออารมณ์ มีรูปหรือไร้รูป มีความคิด หรือไร้ความคิด รวมทั้งเวไนยฯ ทุกระดับ ล้วนได้รับการฉุดช่วยให้ได้สดับรับวิถีธรรมทั่วหน้า ส่วนการโปรดฉุดช่วย คือการกล่อมเกลาเพื่อให้เกิดความส านึกและซาบซึ้งในวิถีธรรมจนสามารถ บ าเพ็ญปฎิบัติธรรมแลบฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมอันสมบูรณ์ในที่สุด หากเมื่อใดที่เวไนยฯ ทั่วหล้าได้รับการปกโปรดฉุดช่วยทั้งหมด เมื่อนั้นจึงกล่าวได้ว่า “โปรดฉุด ช่วยทั่วไป เก็บงานขั้นสมบูรณ์"