The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by napatt254, 2021-12-14 01:03:29

e bookkkkkkk

e bookkkkkkk

Present simple tense

คือ รูปคากริยาที่ใชก้ บั ขอ้ เทจ็ จริงทว่ั ไป สิ่งท่ีเป็นกิจวตั ร หรือแผนการและตารางเวลา ซ่ึงจะใช้
คากริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat) อยา่ งเช่น

I go to school every day.
ฉนั ไปโรงเรียนทุกวนั

แต่ถา้ ประธานเป็นเอกพจนบ์ ุรุษที่ 3 เราจะตอ้ งใชค้ ากริยารูป s/es แทน

(เช่น goes, comes, eats) อยา่ งเช่น

He goes to school every day.
เขาไปโรงเรียนทุกวนั

โครงสร้าง present simple tense

เม่ือเทียบกบั tense อื่นๆ present simple tense น้นั ถือวา่ มีโครงสร้างท่ีเรียบง่าย โดยหวั ใจหลกั
อยา่ งหน่ึงของมนั กค็ ือการใชค้ ากริยาช่อง 1

แต่ present simple tense กม็ ีความซบั ซอ้ นนิดหน่อยตรงท่ีวา่ จะมีการใชค้ ากริยารูป s/es ดว้ ย โดย
จะมีหลกั การคือ

 ถา้ ประธานเป็นพหูพจน์ (เช่น we, they, boys, teachers, cats, pens) หรือเป็นเอกพจน์
บุรุษท่ี 1 และ 2 (I และ you) เราจะตอ้ งใชค้ ากริยารูปปกติ (เช่น go, come, eat)

 ถา้ ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะตอ้ งใช้
คากริยารูปทเี่ ตมิ s/es (เช่น goes, comes, eats)

ประโยคบอกเล่า

การใช้ present simple tense ในประโยคบอกเล่า จะมีโครงสร้างและตวั อยา่ งประโยคดงั น้ี

โครงสร้าง
Subject + verb 1 + (object/complement)

ตวั อยา่ งประโยคเช่น

I love my dog.
ฉนั รักหมาของฉนั

ประโยคปฏิเสธ

การใช้ present simple tense ในประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างหลกั ๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคทใี่ ช้ verb to be เป็ นคากริยาหลกั

ถา้ ประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคากริยาหลกั เราสามารถใช้ not หลงั verb to be ไดเ้ ลย
โดยเราสามารถเขียนยอ่ is not ใหเ้ ป็น isn’t และยอ่ are not ใหเ้ ป็น aren’t ได้ แต่สาหรับ am not
น้นั เราจะไม่ใชร้ ูปยอ่

โครงสร้าง
Subject + verb to be + not + (object/complement)

ตวั อยา่ งประโยคเช่น

He isn’t an engineer.
เขาไม่ใช่วศิ วกร
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He is an engineer.)

ประโยคทไ่ี ม่ได้ใช้ verb to be เป็ นคากริยาหลกั

ถา้ ประโยคมีคากริยาหลกั เป็นคากริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะใช้ do/does + not ไวห้ นา้ คา
กริยาหลกั โดยเราสามารถเขียนยอ่ do not เป็น don’t และยอ่ does not ใหเ้ ป็น doesn’t ได้

โครงสร้าง
Subject + do/does + not + verb 1 + (object/complement)

ในประโยคปฏิเสธท่ีใช้ do/does เราจะใช้ does กบั ประธานเอกพจนบ์ ุรุษท่ี 3 และจะใช้ do กบั
ประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใชค้ ากริยาหลกั เป็นคากริยารูปปกติท่ีไม่ไดเ้ ติม s/es เสมอ)

He doesn’t love me.
เขาไม่ไดร้ ักฉนั
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He loves me.)

ประโยคคาถาม

การใช้ present simple tense ในประโยคคาถาม จะมีโครงสร้างหลกั ๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคทใี่ ช้ verb to be เป็ นคากริยาหลกั

ถา้ ประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคากริยาหลกั เราจะข้ึนตน้ ประโยคดว้ ย verb to be

โครงสร้าง
Verb to be + subject + (object/complement)?

ตวั อยา่ งประโยคเช่น

Is she angry?
เธอโกรธรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ She is angry.)

ประโยคทไ่ี ม่ได้ใช้ verb to be เป็ นคากริยาหลกั

ถา้ ประโยคมีคากริยาหลกั เป็นคากริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะข้ึนตน้ ประโยคดว้ ย do/does
แลว้ คงคากริยาหลกั ไวห้ ลงั ประธาน เหมือนประโยคบอกเล่า

โครงสร้าง
Do/Does + subject + verb 1 + (object/complement)?

(ในประโยคคาถามที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กบั ประธานเอกพจนบ์ ุรุษที่ 3 และจะใช้ do กบั
ประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใชค้ ากริยาหลกั เป็นคากริยารูปปกติที่ไม่ไดเ้ ติม s/es เสมอ)

ตวั อยา่ งประโยคเช่น

Does he eat spicy food?
เขากินอาหารเผด็ ม้ยั
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He eats spicy food.)

หลักการใช้ present simple tense

ใช้ present simple tense เมื่อใด

เราจะใช้ present simple tense เม่ือ

1. กล่าวถงึ สิ่งท่เี ป็ นจริงในปัจจุบนั

I am a student.
ฉนั เป็นนกั เรียน

Joe lives in Japan with his friend.
โจอาศยั อยทู่ ี่ญ่ีป่ ุนกบั เพอ่ื น

2. กล่าวถงึ สิ่งที่เป็ นกจิ วตั ร

I play football every day.
ฉนั เล่นฟุตบอลทุกวนั

The train leaves every morning at 7 a.m.
รถไฟจะออกทุกๆเชา้ ตอน 7 โมง

3. กล่าวถงึ ข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ

The sun rises in the east.
พระอาทิตยข์ ้ึนทางทิศตะวนั ออก

Water boils at 100°C.
น้าเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส

4. กล่าวถงึ แผนการหรือตารางเวลา

The bus arrives at the bus stop every 15 minutes.
รถบสั จะมาถึงป้ายทุกๆ 15 นาที

The party starts at 9 o’clock.
ปาร์ต้ีจะเริ่มตอน 9 โมง

5. ให้คาแนะนา ข้อมูล หรือรายละเอยี ดข้นั ตอนต่างๆ

First of all, you break the eggs and whisk with sugar.
ก่อนอ่ืนใหค้ ุณตอกไข่และตีไข่กบั น้าตาล
You go straight along the road and turn right at the corner.
คุณตรงไปตามถนนแลว้ เล้ียวขวาตรงหวั มุม

คาบอกเวลากบั present simple tense

เนื่องจาก present simple tense จะถูกใชเ้ ม่ือกล่าวถึงส่ิงที่เป็นกิจวตั ร เราจึงมกั จะเห็นคาบอกเวลา
จาพวกคาบอกความถี่ (adverbs of frequency) ใน present simple tense บ่อยๆ ซ่ึงคาเหล่าน้ีน้นั
ไดแ้ ก่

Adverbs of frequency ความหมาย

Always เป็นประจา, เสมอ

Usually มกั จะ

Normally โดยปกติ

Generally โดยปกติ

Often บ่อยคร้ัง

Frequently บ่อยคร้ัง

Sometimes บางคร้ัง

Occasionally เป็ นคร้ ังคราว

Seldom ไม่ค่อย

Rarely นานๆคร้ัง

Hardly นานๆคร้ัง

Never ไม่เคย

ตวั อย่างประโยคกอ็ ย่างเช่น
I always wake up at 6 o’clock.
ฉนั ต่ืนนอนตอน 6 โมงเป็นประจา
Peter often takes notes during conference.
ปี เตอร์จดโนต้ บ่อยๆเวลาประชุม

Wh-Questions

คือ ประโยคคาถามท่ีข้ึนตน้ ดว้ ย wh ต่างๆนน่ั เอง
When = เมื่อไร
ใชข้ ้ึนตน้ คาถามท่ีตอ้ งการถามเก่ียวกบั เวลา เช่น

When is your birthday? = วนั เกิดของคุณคือเม่ือไร?
When was your first love? = คุณมีควมรักคร้ังแรกเม่ือไหร่
What = อะไร
ใชข้ ้ึนตน้ คาถามท่ีตอ้ งการถามใชถ้ ามเก่ียวกบั ส่ิงของ ช่ือ วันที่ เวลา สิ่งทร่ี ักทช่ี อบ เช่น
What is your name? = เธอช่ืออะไร?
What is your favourite colour? = เธอชอบสีอะไร
Where = ทไ่ี หน
ใชข้ ้ึนตน้ คาถามที่ตอ้ งการถามใชถ้ ามเกี่ยวกบั สถานที่ เช่น

Where are you from? = คุณมาจากไหนWhere should we go? = เราควรจะไปไหนกนั ดี

Why = ทาไม
ใชเ้ มื่อข้ึนตน้ คาถามที่ตอ้ งการถามใชถ้ ามเก่ียวกบั เหตุผล เช่น

Why did you come to school late? = ทาไมคุณถึงมาโรงเรียนสาย
Who = ใคร
ใชเ้ ม่ือข้ึนตน้ คาถามท่ีตอ้ งการถามใชถ้ ามเก่ียวกบั บุคคล (ส่วนมากจะตอบเป็นชื่อคน) เช่น

Who are you? (คุณคือใคร?)
Who is that? (นนั่ ใคร?)
Whose = ของใคร
ใชข้ ้ึนตน้ คาถามท่ีตอ้ งการถามใชถ้ ามเกี่ยวกบั การ แสดงความเป็ นเจ้าของ เช่น
Whose books are these? = นี่คือสมุดของใครนะ
Whose pen is this? = น่ีคอื ปากกาของใครกนั
Whom = ใคร (ใช้เป็ นกรรม)

ใชข้ ้ึนตน้ คาถามที่ตอ้ งการถามใชถ้ ามเกี่ยวกบั บคุ คล เช่น
Whom are we waiting for? = พวกเรากาลงั รอใครอยกู่ นั นะ?
Whom are you going to travel with? = เธอกาลงั จะไปเท่ียวกบั ใครนะ

Which = อนั ไหน/ส่ิงไหน

ใชข้ ้ึนตน้ คาถามที่ตอ้ งการถามเพอื่ ให้ เลือกสิ่งใดส่ิงหนึ่ง หรือ ทาวา่ สิ่งไหน อนั ไหน ดงั
ประโยคดา้ นล่าง

Which is better? = อนั ไหนดีกวา่ กนั
Which one is your bag? = อนั ไหนเป็นกระเป๋ าเธอเหรอ

How = อย่างไร/เท่าไร

How เป็นคาเดียวที่ไม่ไดข้ ้ึนตน้ ดว้ ย wh แต่เราสามารถใช้ how ข้ึนตน้ คาถามที่ตอ้ งการถาม
เก่ียวกบั เร่ืองต่างๆ เช่น

How do you go to school? = เธอไปโรงเรียนยงั ไง

How do you do? = คุณเป็นอยา่ งไรบา้ ง

ขอ้ สอบทดสอบความเขา้ ใจ

1.She _____ (have) dinner with her friends every Sunday.

a. haves
b. has
c. have

2.He _____ (wash) his car every day.

a. washes
b. washs
c. wash

3.You always _____ (help) me clean the room.

a. helps
b. help
c. helpes

4.They seldom _____ (take) a bath after dinner.

a. atakes
b. take
c. takees

5.She always_____ (study) math in the morning.

a. tudies
b. studys
c. study

6.Jame _____ (teach) science and math.

a. teachs
b. teaches
c. teach

7.It usually ____ (start) to snow on November.

a. startes
b. start
c. starts

8.We never _____ (drink) coffee in the morning.

a. drinkes
b. drinks
c. drink

9.A cat sometimes _____ (cry) when it is hungry.

a. cries
b. crys
c. cry

10.Jo usually _____(do) homework after dinner.

a. dos
b. do
c. does

11.We seldom _____ (play) football after school.

a. play
b. plays
c. plaies

12.That bird_____ (fly) very high.

a. flies
b. fly
c. flys

13.They sometimes _____ (do) homework at school.

a. do
b. does
c. dos

14.He never _____ (buy) fruit from the market.

a. buies
b. buy
c. buys

15.My sister and her friend never _____ (watch) TV in the evening.

a. watchs
b. watches
c. watch

16._____ is that Big Ben? About 96 metres

a. How tall
b. How often
c. How old

17._____ is she crying? She wants a doll.

a. How
b. When
c. Why

18._____ car is that? That's my car.

a. What
b. Whose
c. Where

19.____ is your birthday? It's in June.

a. Where
b. When
c. What

20._____is that girl? That is my friend, Jane.

a. Who
b. Whose
c. Whom

เฉลย 18.a
19.b
1. a 20.c
2. c
3. c
4. c
5. c
6. b
7. c
8. c
9. b
10. c
11.a
12.a
13.
14.b
15.b
16.a
17.c

Countable Noun and Uncountable Noun

พูดถึงคานามกลุ่มที่ 2 คือ คานามนบั ได้ (Countable Noun) และ คานามนบั ไม่ได้
(Uncountable Noun)

คานามนับได้ (Countable Noun)

คือ คานามท่ีเราสามารถระบุไดว้ า่ มี ก่ีชิ้น ก่ีอนั กี่ตวั ก่ีแห่ง ฯลฯ เช่น
5 pencils ดินสอ 5 แท่ง
8 books หนงั สือ 8 เล่ม
a house บา้ น 1 หลงั

คานามนับไม่ได้ (Uncountable Noun)

คือ คานามท่ีเราไม่สามารถระบุจานวน หรือบอกวา่ มีก่ีชิ้นก่ีอนั ได้ ของเหลวต่างๆ เช่น นม
น้า ไวน์ หรือ ขา้ ว น้าตาล หรือของท่ีมีปริมาณมากๆ เช่น ผม ฟางหญา้ เป็นตน้ จะใหเ้ ราพดู วา่
ขอขา้ ว 2 เมด็ หรือ ขอนม 3 หยด กด็ ูบา้ อยจู่ ริงม้ยั คนฝรั่งเลยกาหนดคาพวกน้ีเป็นคานามนบั
ไม่ไดไ้ งครับ แลว้ ที่น้ีเวลาตอ้ งการขอนมหลายแกว้ ตอ้ งพดู วา่ ไงล่ะ?
โดยปกติแลว้ เวลาที่เราจะทาใหค้ านามนบั ไม่ไดอ้ ยใู่ นรูปพหพจน์ เพื่อบอกปริมาณท่ีเพ่ิมข้ึน เรา
จะตอ้ งหากลุ่มคาบอกปริมาณมาเติมดา้ นหนา้

ยกตวั อย่าง

A glass of milk นม 1 แกว้
A bar of soap สบู่ 1 กอ้ น

ถา้ เยอะกวา่ 1 เราจะตอ้ งเติม -s หรือ -es เขา้ ไปดว้ ย เพ่ือทาใหอ้ ยใู่ นรูปพหูพจน์ เช่น
5 glasses of milk นม 5 แกว้
11 bars of soap สบู่ 11 กอ้ น

หลักการใช้ Article

ข้ึนช่ือวา่ หลกั การใชแ้ ลว้ แน่นอนวา่ มนั ตอ้ งมีกฎกติกาใหต้ อ้ งจดจาแน่นอน เพราะหากใชผ้ ดิ
หลกั การแลว้ ละก็ มนั กจ็ ะผดิ เพ้ยี นทางภาษาได้ ดงั น้ีผเู้ รียนตอ้ งหมน่ั ทบทวนศึกษาใหเ้ ขา้ ใจ และ
จาหลกั การที่สาคญั ใหไ้ ดน้ ะครับวา่ มนั มีวธิ ีการใชอ้ ยา่ งไร

Article คืออะไร

Article ในทางหลกั ไวยากรณ์ หมายถึง “คานาหน้าคานาม” ในภาษาองั กฤษมีอยดู่ ว้ ยกนั สาม
ตวั คือ a, an และ the ส่วนภาษาอื่นๆเช่น ฝรั่งเศษ สเปน ฯลฯ จะมีเยอะกวา่ น้ี
ถามว่าทาไมต้องมคี านาหน้านาม อนั น้ีคงตอ้ งตอบวา่ เพราะเป็นหลกั ภาษาของเขา
แลว้ มนั มีหนา้ ท่ีอะไร หนา้ ท่ีของ a, an เพอ่ื บ่งบอกวา่ มนั มีจานวนแค่ คนเดียว ตวั เดียว อนั เดียว
นะ เช่น a cat แมวหน่ึงตวั a boy เดก็ ชายหน่ึงคน เป็นตน้
ส่วนคาวา่ the กเ็ ป็นการบอกใหร้ ู้วา่ คานามน้นั รู้กนั ดีนะวา่ หมายถึงอนั ไหน

Article มีก่ปี ระเภท อะไรบ้าง

ในภาษาองั กฤษ Article แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Indefinite Article ได้แก่ a และ an คือ คานาหนา้ นามท่ีไม่ระบุเจาะจง กล่าวถึงคน สตั ว์

ส่ิงของ สถานที่ ทวั่ ๆไป ไม่ระบุแน่ชดั เช่น แมวตวั หน่ึง (ไม่รู้วา่ ตวั ไหน) ชายคนหน่ึง (ไม่รู้วา่
คนไหน) โรงเรียนแห่งหน่ึง (ไม่รู้โรงเรียนไหน)

2. Definite Article ได้แก่ the คือ คานาหนา้ นามที่ระบุชดั เจนวา่ หมายถึง ใคร ตวั ไหน อนั
ไหน และสถานท่ีไหน เช่น the tall boy เดก็ ชายตวั สูงๆ The black cat แมวตวั ดา หรือเป็นส่ิงท่ี
มีเพียงหน่ึงเดียวในโลก เช่น the White House ทาเนียบขาว the Great Wall of China กาแพงเมือง
จีน

เรามาต่อกนั ที่ No article

No article ณ ที่น้ีหมายถึง คานามที่ไม่ตอ้ งใช้ a, an และ The นาหนา้ อนั น้ีกเ็ ป็นอีกหลกั การหน่ึง
ท่ีควรเรียนรู้ไว้ เผอ่ื วา่ เวลาอ่านบทความจะไดร้ ู้วา่ เขาไม่ใช้ article นาหนา้ นะคานามเหล่าน้ี มี
อะไรกนั บา้ ง ไปดูกนั เลยครับ

คานามทไี่ ม่ต้องใช้ article

♦ นามนับไม่ได้

Tea is popular in China. ชาเป็นที่นิยมในจีน
I like beef and fish. ฉนั ชอบเน้ือววั และปลา (ปลาในที่น้ีคือเน้ือนะครับ ไม่ใช่ปลาเป็นตวั ๆ)
Water is clean and fresh. น้าสะอาดและสดช่ืน
Sugar is sweet. น้าตาลหวาน

แต่ถ้าเป็ นการระบุเจาะจง ให้ใช้ The เช่น

The tea in this pot is cold. ชาในหม้อนีเ้ ยน็ แลว้ (เฉพาะท่ีอยใู่ นหมอ้ น้ีเท่าน้นั )
Don’t eat the fish in this bowl. It’s mine. อยา่ กินปลาในชามใบนี้ มนั เป็นของฉนั (ฉนั หวง
เฉพาะปลาในถว้ ยใบน้ี)
The water from that company is very dirty. น้าจากบริษทั น้ัน สกปรกมาก (เฉพาะจากบริษทั
น้นั )
The sugar in this jar is so sweet. น้าตาลในโถใบน้ีหวานมาก (ในโถน้ีเท่าน้นั )

♦ ชื่อเฉพาะต่างๆ เช่น

ช่ือบ้าน ตาบล อาเภอ เมือง รัฐ ประเทศ ทวปี เช่น
Ta Chui Village หมู่บา้ นตาฉุย
Bangkok กรุงเทพ
California รัฐแคลิฟอเนีย
Thailand ประเทศไทย
Asia เอเชีย Europe ยโุ รป

ยกเว้นบางประเทศทใี่ ช้ The
The United State สหรัฐอเมริกา
The United Kingdom สหราชอาณาจกั ร

ช่ือวดั โรงเรียน วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั

Ban Daeng School โรงเรียนบา้ นแดง
Santa Monica College วทิ ยาลยั แซนตามอนิกา
Thammasat University มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

ชื่อสัญชาติ

Thai สญั ชาติไทย
Lao สญั ชาติลาว

ชื่อภาษา

Thai ภาษาไทย
Japanese ภาษาญ่ีป่ ุน
Korean ภาษาเกาหลี

ชื่อวชิ า

Math วชิ าคณิตศาสตร์
Science วชิ าวทิ ยศาสตร์

ช่ือกฬี า

Volleyball วอลเลยบ์ อล
Tennis เทนนิส

ชื่อถนน ตรอก ซอก ซอย

London Street ถนนลอนดอน
Sukhumvit Soi 1 สุขมุ วทิ ซอย1

ช่ือวนั

Sunday วนั อาทิตย์
Monday วนั จนั ทร์
Tuesday วนั องั คาร
Wednesday วนั พุธ
Thursday วนั พฤหสั บดี
Friday วนั ศุกร์
Saturday วนั เสาร์

ช่ือเดือน

January เดือนมกราคม
February เดือนกมุ ภาพนั ธ์
March เดือนมีนาคม

April เดือนเมษายน
May เดือนพฤษภาคม
June เดือนมิถุนายน
July เดือนกรกฎาคม
August เดือนสิงหาคม
September เดือนกนั ยายน
October เดือนตุลาคม
November เดือนพฤศจิกายน
December เดือนธนั วาคม

ช่ือเทศกาล งานประเพณี

Christmas คริสตม์ าส
Loykratong Day วนั ลอยกระทง

ช่ือคน สัตว์ สิ่งของ

Sam แซม
Toop เจา้ ตูบ

ขอ้ สอบทดสอบความเขา้ ใจ

1.is countable noun? ขอ้ ใดคือคานามนบั ได้

a. Fishes
b. Families
c. Animals

2.Which is an uncountable noun ? ขอ้ ใดคือนามนบั ไม่ได้

a. Fishing rod
b. Fisher
c. Fish

3.Which can’t countable ? ขอ้ ใดไม่สามารถนบั ได้

a. Bank
b. Money
c. Coin

4.Which can countable? ขอ้ ใดสามารถนบั ได้

a. A piece of paper
b. Paper
c. Some papers

5.Which use “A An The” correctly ? ขอ้ ใดใช้ A An The ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

a. A Petronas tower
b. An few apples
c. An hour

6._____Golden Gate Bridge is 2.7 kilometers long.

a. The
b. A
c. An

7.That is _____ old car.

a. A
b. The
c. An

8.I see ______ dog running.

a. an
b. the
c. a

9.My sister is ______ university student.

a. an
b. the
c. a

10.My son is _____third boy from the left.

a. an
b. a
c. the

เฉลย

1. b
2. c
3. b
4. a
5. c
6. c
7. c
8. c
9. b
10. c

Present Continuous Tense

Present Continuous Tense หรือหลายคนอาจจะรู้จกั ในช่ือ Present Progressive Tense อยา่ งท่ีเรา
รู้วา่ present แปลวา่ ปัจจุบนั ส่วน continuous/progressive แปลวา่ ดาเนินอยา่ งต่อเน่ือง ดงั น้นั
Tense น้ีจึงเป็นการบอกเล่าส่ิงท่ีกาลงั เกิดข้ึนอยใู่ นปัจจุบนั โดยมีลกั ษณะการใชด้ งั น้ี
1. ใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์หรือการกระทาในปัจจุบนั ทก่ี าลงั ดาเนินอยู่และยงั ไม่จบลง (จะจบลง
ในอนาคต) โดยอาจพบคาบอกเวลา (Adverbs of time) ปรากฏอยู่ในประโยคด้วย เช่น now, at
the moment, right now เป็ นต้น ตัวอย่างการใช้เช่น

I am studying at Chulalongkorn university.
(ฉนั กาลงั ศึกษาอยทู่ ี่มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั )

Palm is trying to lose weight now.
(ปาลม์ กาลงั พยายามลดน้าหนกั อยตู่ อนน้ี)

2. ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาทก่ี าลงั เป็ นกระแสหรือเป็ นทน่ี ิยมอยู่ในขณะน้ัน เช่น
These day, most people are favoring healthy food.
(ปัจจุบนั ผคู้ นส่วนใหญ่กาลงั นิยมอาหารเพ่ือสุขภาพ)

3. ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาทกี่ าลงั จะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต โดยมกี ารเตรียมและวางแผนไว้
ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว และมกั พบคาบอกเวลา (Adverbs of time) เช่น tonight, this
evening, tomorrow, next week เป็ นต้น ตัวอย่างการใช้เช่น

I am meeting my parent tonight.
(ฉนั จะพบกบั พ่อแม่ในคืนน้ี)

Cherprang and Pun are going on holiday next week.
(เฌอปรางและปัญจะไปพกั ร้อนสปั ดาห์หนา้ )
4. ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาทเี่ กดิ ขนึ้ บ่อยจนเกนิ ไป ทาให้ซ้าซากและน่าเบื่อ ตวั อย่างเช่น
Suwich is constantly talking. I wish he would shut up.
(สุวชิ พดู ไม่หยดุ เลย ฉนั หวงั วา่ เขาจะหยดุ พดู เสียที)
**ผพู้ ดู แสดงอาการราคาญจากการพูดไม่หยดุ ของสุวชิ

I don't like gangster near my house because they are always making noisy.
(ฉนั ไม่ชอบกลุ่มอนั ธพาลใกลบ้ า้ นของฉนั เพราะพวกเขามกั จะทาเสียงดงั เสมอ)
**ถึงแมว้ า่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนประจา แต่มนั เกินพอดีจึงใชใ้ นรูปประโยค Present Continuous
Tense
รูปประโยคของ Present Continuous Tense
ลกั ษณะเด่นของรูปประโยค Present Continuous Tense คือ การใช้ V. to be (Is, Am, Are) และ
ตามดว้ ยคากริยาท่ีมีการเติม -ing โดยรูปประโยค Present Continuous Tense มี 3 รูปแบบ ดงั น้ี

1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : Subject + V. to be + Verb. เติม ing + Object + (คาบอกเวลา)
สิ่งที่เราตอ้ งคานึงในรูปประโยคของ Present Continuous Tense คือการใช้ V. to be ซ่ึง
ประกอบดว้ ย is, am, are โดยจะเลือกใช้ V. to be ตวั ใดน้นั ใหส้ ังเกตที่ประธานของประโยค ถา้

ประธานเป็น He, She, It ใหใ้ ช้ is แต่ถา้ ประธานเป็น I ใหใ้ ช้ am และถา้ ประธานเป็น You, We,
They ใหใ้ ช้ are และเปล่ียนรูปคากริยาโดยการเติม ing ตวั อยา่ งเช่น

My sister is playing violin.
(นอ้ งสาวของฉนั กาลงั เล่นไวโอลิน)
** ประโยคน้ีประธานคือ My sister หรือใช้ She แทนได้ จึงตอ้ งตามดว้ ย V. to be คือ is และเติม
ing หลงั คาวา่ play
2. ประโยคคาถาม
โครงสร้างประโยคคาถาม : V. to be + Subject + Verb. เตมิ ing + object + (คาบอกเวลา)?
ประโยคคาถามใน Present Continuous Tense ไม่มีกฎอะไรมากมายเลยค่ะ เพยี งแค่สลบั ท่ี V. to
be ข้ึนมาไวต้ น้ ประโยค โดยตอ้ งพิจารณาการเลือกใช้ V. to be ตามประธานของประโยคดว้ ย
เพยี งเท่าน้ีกจ็ ะไดป้ ระโยคคาถาม ตวั อยา่ งเช่น

Is it raining at the moment ?
(ฝนกาลงั ตกอยตู่ อนน้ีหรือเปล่า?)

Are you lying to me ?
(คุณกาลงั โกหกฉนั หรือเปล่า?)

3. ประโยคปฏเิ สธ
โครงสร้างประโยคปฏเิ สธ : Subject + V. to be + not + Verb. เตมิ ing + object + (คาบอก
เวลา)
สาหรับรูปประโยคปฏิเสธคงรูปเดิมคลา้ ยกบั ประโยคบอกเล่า แต่เพม่ิ not ข้ึนมาหลงั V. to be

เพยี งเท่าน้ีกจ็ ะเป็นประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense ตวั อยา่ งเช่น

The students are not studying Science.
(นกั เรียนไม่ไดก้ าลงั เรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์)

Sunisa is not doing homework.
(สุนิสาไม่ไดก้ าลงั ทาการบา้ น)

ข้อควรจา : คากริยาบางตวั ไม่สามารถนามาใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense ได้
ดงั นี้

1. กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผสั ท้งั หา้ เช่น see, hear, feel, taste, smell เป็นตน้
2. กริยาท่ีแสดงความรู้สึก นึกคิด เช่น believe, know, understand, forget, remember, recognize,
fear เป็นตน้
3. กริยาท่ีแสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น love, like, hate, dislike, desire เป็นตน้
4. กริยาท่ีแสดงความตอ้ งการ เช่น want, wish, prefer เป็นตน้

ความรู้เพม่ิ เติม : หลกั การเติม ing ท้ายคากริยาโดยทวั่ ไปสามารถเตมิ ing ได้เลย แต่มขี ้อยกเว้น
บางกรณี ดังนี้

1. คากริยาน้นั มีสระเสียงส้นั (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมกั เป็น a, e, i, o, u อยหู่ นา้
พยญั ชนะทา้ ย หรือคากริยาน้นั ๆ มีตวั สะกดเพียงตวั เดียว ก่อนเติม ing ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคา
น้นั ซ้าอีกตวั หน่ึงแลว้ จึงเติม ing เช่น

sit ---> sitting
cut ---> cutting
get ---> getting
shop ---> shopping

2. คากริยาน้นั ลงทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ทิ้งแลว้ เติม ing เช่น
come ---> coming
drive ---> driving
make ---> making
ride ---> riding
smoke ---> smoking

3. คากริยาท่ีมีสระ 2 ตวั (A, E, I, O, U) ใหเ้ ติม ing ไดเ้ ลย เช่น
cook ---> cooking
keep ---> keeping
read ---> reading

4. คากริยาท่ีลงทา้ ยดว้ ย ie ใหเ้ ปลี่ยน ie เป็น y แลว้ จึงเติม ing เช่น
die ---> dying
lie ---> lying

5. คากริยาท่ีมีสองพยางค์ และออกเสียงหนกั (stress) ที่พยางคห์ ลงั โดยพยางคน์ ้นั มีสระและ
ตวั สะกดเพยี งตวั เดียว ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคาน้นั ซ้าอีกตวั หน่ึงแลว้ จึงเติม ing เช่น
begin ---> beginning
refer ---> referring
swim ---> swimming

ยงั สับสนกนั อยู่ใช่ไหม? ระหว่าง Present simple กบั Present continuous ว่า
ใช้งานต่างกนั อย่างไร คราวนีเ้ ราจะมาไขข้อข้องใจกัน ส้ันๆ

Present Simple Tense คือ การพดู ถึงเรื่องทวั่ ไป เรื่องท่ีทาซ้า ๆ ในปัจจุบนั
โครงสร้างประโยคของ Present Simple Tense

S + V.1 ถา้ ประธานเป็นเอกพจนบ์ ุรุษที่ 3 (He, She, It, The library, a dog, etc…) กริยาตอ้ งเติม
s/es

S + Auxiliary Verb (กริยาช่วย) + V.1 (V.1 ไม่เติม s/es)

Present Continuous Tense คือ การพดู ถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอยอู่ ยา่ งต่อเนื่องในขณะน้นั แต่จะ
สิ้นสุดในไม่ชา้
โครงสร้างของ Present Continuous Tense

S + V to be (is, am, are) + V ing

แบบทดสอบความเข้าใจ

1. He the letter to his wife now.

a. Is writeing
b. Is writing
c. Are writing
d. Am writing

2. Jenny to school by bus now.

a. Is going
b. Is doing

c. Are going
d. Are doing

3. the teacher English at this time.

a. Are teaching
b. Is teaching
c. Do teaching
d. Does teaching

4. _________ you watching television now?

a. Are
b. Is
c. Do
d. Did

5. We _________ for our English test at the moment.

a. Study
b. Are studying
c. Is studying
d. Studied

6. Today, it is not raining. The sun _________ now.

a. Shine
b. Shone
c. Is shining
d. Are shining

7. Please be quiet. I to the news now.

a. Am listening
b. Listen
c. Is listening
d. Are listening

8. What are you doing? a model plane.

a. I make
b. I making
c. I am making
d. I made

9. What you now?

a. Am do
b. Are do
c. Are doing
d. Is doing

10. Jenny and Jane football right now at school.

a. Is playing
b. Play
c. Playing
d. Are playing

เฉลย

1.b
2.a
3.b
4.a
5.b
6.c
7.a
8.c
9.c
10.d

Comparative/ Superlative Adjective

การเปรียบเทียบ(comparison) ภาษาองั กฤษจะยากกวา่ ภาษาไทยตรงท่ีมีหลกั การเติม er กบั est ที่
ทา้ ยคา ซ่ึงภาษาไทยจะใชค้ าวา่ กวา่ กบั ท่ีสุดทุกคาไม่วา่ จะเป็นคาคุณศพั ทต์ วั ไหนกต็ าม วนั น้ีเรา
จะมาดูการเปรียบเทียบข้นั กวา่ (comparative) และข้นั ที่สุด (superlative) ในหลกั ภาษาองั กฤษกนั

การเปรียบเทยี บ comparative and superlative

Comparative หรือ comparison คืออะไร มีกี่ระดบั

1. คุณศพั ทข์ ้นั เท่ากนั (Positive adjective)

2. คุณศพั ทข์ ้นั กวา่ (Comparative Adjective)

3. คาคุณศพั ทข์ ้นั ที่สุด (Superlative adjective)

Comparative หรือ comparison คือ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบกม็ ี 3 ระดบั นะครับ ใน
ระดบั Positive ถือวา่ ง่ายสุดแลว้ เพราะไม่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงคาคุณศพั ทเ์ ลย แค่เอา as…as มา
ประกอบแค่น้นั เอง แต่กถ็ ือวา่ เป็นฐานสาคญั สาหรับเรียนรู้เร่ืองการเปรียบเทียบข้นั กวา่ และข้นั
ท่ีสุด (comparative and superlative)

คุณศัพท์ข้นั เท่ากัน (Positive adjective) คืออะไร

โดยปกติการใชค้ าคุณศพั ทบ์ รรยายสิ่งใดส่ิงหน่ึงโดยไม่เปรียบเทียบกบั ใครที่ไหนจะเป็นการพูด
ถึงสิ่งๆเดียว เช่น

 A cat is big. แมวตวั หน่ึง ใหญ่
 A man is tall. ชายคนหน่ึง ตวั สูง
 This car is expensive. รถยนตค์ นั น้ี ราคาแพง

แต่ในข้นั Positive การเปรียบเทยี บในข้นั เท่ากนั บ้างกเ็ รียกข้นั ปกติ จะเปรียบเทียบสองส่ิงที่มี
อะไรๆเหมือนกนั ทุกประการ โดยการเอา as…as มาคนั่ เช่น

 A cat is as big as a dog. แมว ใหญ่ เท่ากบั หมา
 A man is as tall as a woman. ผชู้ าย ตัวสูงเท่ากบั ผหู้ ญิง

เป็นไงครับ ง่ายมากๆ เลยใช่ไหม

คุณศัพท์ข้นั กว่า (Comparative Adjective) คืออะไร

ข้นั กวา่ คือ การเปรียบเทยี บส่ิงสองส่ิง วา่ ส่ิงไหน สูง ต่า ส้ัน ยาว เลก็ ใหญ่…..กวา่ กนั เช่น

 A cat is bigger than a mouse. แมว ใหญ่กว่า หนู
 A man is taller than a woman. ผชู้ าย สูงกว่า ผหู้ ญิง
 This car is more expensive than that car. รถยนตค์ นั น้ี แพงกว่า คนั น้นั

คาคุณศัพท์ข้ันทีส่ ุด (Superlative adjective) คืออะไร

ข้นั ท่ีสุด หรือสูงสุด คือ การเปรียบเทยี บต้งั แต่สามขนึ้ ไป แลว้ ปรากฏวา่ มีส่ิงหน่ึงท่ี สูง ต่า ส้ัน
ยาว เลก็ ใหญ่….กวา่ เพื่อนเลย เช่น

 A cat is the biggest animal in this room. แมวเป็นสัตวท์ ี่ใหญ่ทสี่ ุดในหอ้ งน้ี
 Somchai is the tallest man in class. สมชายตัวสูงทส่ี ุดใหห้ อ้ ง (เฉพาะหอ้ งน้ีนะครับ)
 This is the most expensive car in Thailand. น่ีคือรถยนต์ ทแี่ พงทส่ี ุดในไทย

คาคุณศัพท์พยางค์เดยี ว (adjectives with one syllable) ใหใ้ ส่ -er เพ่อื ทาใหเ้ ป็นข้นั กวา่ หรือ
ใส่ -est เพือ่ ทาใหเ้ ป็นข้นั สุดตามหลงั คาคุณศพั ทน์ ้นั ๆไดเ้ ลย เช่น

***ถา้ ศพั ทต์ วั ไหนท่ีมีสระเสียงส้ันตวั เดียวและมีตวั สะกดตวั เดียว ใหเ้ พิ่มตวั สะกดที่ลงทา้ ยอีก 1
ตวั ก่อนท่ีจะเติม -er หรือ -est เช่น big-bigger-biggest, hot-hotter-hottest, fat-fatter-fattest, thin-
thinner-thinnest
คาคุณศัพท์ทม่ี ี 2 พยางค์และลงท้ายด้วย y ใหเ้ ปล่ียน y เป็น i ก่อนท่ีจะเติม -er หรือ -est
ต่อทา้ ย เช่น

คาคุณศัพท์ทมี่ ี 2 พยางค์หรือมากกว่า ใหใ้ ส่ more นาหนา้ คาคุณศพั ทน์ ้นั ๆเพอ่ื ทาใหเ้ ป็นข้นั
กวา่ หรือใส่ most นาหนา้ คาคุณศพั ทน์ ้นั ๆเพือ่ ทาใหเ้ ป็นข้นั สุด เช่น

***มีคาคุณศพั ท์ 2 พยางคบ์ างคาท่ีสามารถใส่ -er หรือ -est หลงั คาน้นั ๆไดเ้ ลย เช่น simple-
simpler-simplest, clever-cleverer-cleverest, narrow-narrower-narrowest
คาคุณศัพท์กล่มุ พเิ ศษ กลุ่มน้ีศพั ทใ์ นข้นั กวา่ และข้นั สุดจะเปลี่ยนรูปไป ไม่อยใู่ นรูปเดิมเลย เช่น

*เพม่ิ เตมิ * : เราสามารถใช้ much นาหนา้ คาคุณศพั ทข์ ้นั กวา่ เพอ่ื เป็นการทาใหก้ ารเปรียบเทียบ
น้นั ดูหนกั แน่นยงิ่ ข้ึน เช่น

He is much taller than his father. เขาสูงกวา่ พ่อของเขามาก
It’s much more expensive. มนั แพงกวา่ มาก
The weather is much better in Chiangmai than Bangkok. อากาศท่ีเชียงใหม่ดีกวา่ ท่ีกรุงเทพ
มาก

แบบทดสอบความเขา้ ใจ

1.She is _____ than me.

a. most beautiful
b. more beautiful

2.He is _____ than Sam.

a. stronger
b. strongest

3.The dog is _____ than the cat.

a. biger
b. bigger

4.Math is _____ than art.

a. more boring
b. much boring

5.The Nile is the _____ river in the world.

a. longest
b. longer

6.Lucy is _____ than Jane.

a. thinner
b. thinnest

7.Tim is _____ boy in class.

a. the tallest
b. taller

8.Your room is _____ than my room.

a. dirtier
b. dirtyer

9.Your mobile phone is _____ than my phone.

a. worse
b. badder

10.Diamond is _____than gold.

a. expensiver
b. more expensive

11.This cat is _____ than that cat.

a. fater
b. fatter

12.The ruler is _____ than the pen.

a. longer
b. longger

13.Today's weather is _____ than yesterday.

a. gooder
b. better

14.The city is _____ than the country.

a. noisier
b. noisyer

15.Everest is _____ mountain in the world.

a. higher
b. the highest

เฉลย 8.b

1.b 9.b
2.b 10.b
3.b 11.a
4.a 12.b
5.a 13.b
6.a 14.b
7.b 15b

Must – Have to และ Mustn’t – Don’t have to

must ใช้ยงั ไง

must ใชใ้ นกรณีท่ีเราคิดเองวา่ ตอ้ งทา โครงสร้างคือ must + verb infinitive (กริยาช่อง1) เช่น
I must go to the hospital.
(ฉนั ตอ้ งไปโรงพยาบาล: เป็นความคิดของเราเองท่ีว่าตอ้ งไป เพราะอาจจะรู้สึกวา่ ไม่ค่อยสบาย
เลยตอ้ งไปตรวจที่โรงพยาบาล)

I must stop smoking.
(ฉนั ตอ้ งเลิกสูบบุหรี่: ตวั เราตอ้ งการเลิกเอง)

I must finish this work today.
(ฉนั ตอ้ งทางานน้ีใหเ้ สร็จวนั น้ี: ตวั เราคิดเองวา่ จะทาใหเ้ สร็จวนั น้ี)

have to

have to ใช้ยงั ไง

have to ใชใ้ นกรณีท่ีสถานการณ์เป็นตวั บงั คบั ใหเ้ ราจาเป็นตอ้ งทา ซ่ึงเราอาจจะไม่อยากทา อาจ
เป็นกฎหรือขอ้ บงั คบั ใหท้ า โครงสร้างคือ have to + verb infinitive (กริยาช่อง1) เช่น
I have to stop smoking.
(ฉนั จาเป็นตอ้ งเลิกสูบบุหร่ี: หมออาจจะสง่ั ใหเ้ ลิกสูบ)
She has to go to the hospital.
(เธอตอ้ งไปโรงพยาบาล)

Doctors sometimes have to work on Sunday.
(บางคร้ังบรรดาคุณหมอกต็ อ้ งทางานวนั อาทิตย:์ เป็นกฎในอาชีพที่ตอ้ งทา)
ข้อสังเกต : ประธาน I, You, We, They และประธานพหูพจนอ์ ื่น ๆ ใช้ have to

ประธาน He, She, It และประธานเอกพจนอ์ ื่น ๆ ใช้ has to
รูปอดีตใช้ had to

ในรูปประโยคบอกเล่าและคาถาม must กบั have to มีความคลา้ ยกนั แต่เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ
จะแตกต่างกนั อยา่ งชดั เจน ดงั น้ี

mustn’t (must not)

กาารใช้ mustn’t
mustn’t หมายถึง “ตอ้ งไม่...” ซ่ึงเป็นกฎหรือขอ้ บงั คบั วา่ “หา้ มทา”
โครงสร้างคือ mustn’t + verb infinitive (V.1) เช่น

 You mustn’t drink if you’re going to drive.
(คุณตอ้ งไม่ดื่มเหลา้ ถา้ คุณจะขบั รถ: เพราะผดิ กฎหมาย)

 You mustn’t take photos here.
(คุณตอ้ งไม่ถ่ายรูปท่ีน่ี : เพราะเป็นกฎหา้ มถ่าย)

 You mustn’t cross the road when there is a red light.
(คุณตอ้ งไม่ขา้ มถนนเม่ือมีสัญญาณไฟแดง)

don’t have to/doesn’t have to

don’t have to/doesn’t have to หมายถึง “ไม่จาเป็ นต้อง...” นนั่ คือจะทาหรือไม่ทากไ็ ด้ โครงสร้าง
คือ don’t have to/doesn’t have to + verb infinitive (V.1) เช่น

 He doesn't have to wear a suit to work but he usually does.
(เขาไม่จาเป็นตอ้ งใส่สูทไปทางานกไ็ ด้ แต่เขากใ็ ส่ไปเป็นปกติ)

 I don’t have to clean my room every day.
(ฉนั ไม่จาเป็นตอ้ งทาความสะอาดหอ้ งทุกวนั )

 Teachers don’t have to work on Sunday.
(บรรดาคุณครูไม่จาเป็นตอ้ งทางานวนั อาทิตย)์

should และ shouldn’t

การใช้ Should และ Shouldn’t
หลกั การใช้ should เบ้ืองตน้ เราจะรู้จกั กนั ดีเพื่อการแนะนาใช่ไหมครับ แต่จริงๆยงั มีประเดน็ ให้
ศกึ ษาเพม่ิ เติมกนั อีกอยนู่ ะครับ ไปศึกษากนั

ใช้เพ่ือแนะนา
ใชใ้ นการแนะนาแปลวา่ ควรจะ, ไม่ควรจะ

 It’s dark now. We should stay here tonight.
มนั มืดแลว้ ตอนน้ี พวกเราควรพกั ที่นีคืนน้ี

 You look pale. You should see a doctor.
คุณดูซีดเซียว คุณควรพบหมอนะ

 We’re leaving early tomorrow. We shouldn’t go to bed late.
พวกเราออกเดินทางแต่เชา้ พรุ่งน้ี พวกเราไม่ควรจะเขา้ นอนดึกนะ

ใช้ในการคาดคะเน

ใชใ้ นการคาดเดาแปลวา่ น่าจะ, ไม่น่าจะ
 The traffic is jammed. Sam shouldn’t arrive home soon.
การจราจรติดขดั มาก แซมไม่น่าจะถึงบา้ นเร็วๆน้ี
 She should finish her homework in ten minutes.
หล่อนน่าจะทาการบา้ นของหล่อนเสร็จภายใน 10 นาที
 Sam is smaller than anyone. He should win this game.
แซมตวั เลก็ กวา่ ใครๆ เขาไม่น่าจะชนะเกมน้ีนะ

ใช้เพ่ือตาหนิ

ใชเ้ พื่อตาหนิ ติเตียนแปลวา่ น่าจะ, ไม่น่าจะ จะมาในรูปประโยค should have + กริยาช่อง 3
 You shouldn’t done that.
คุณไม่ควรทาเช่นน้นั เลย

 You shouldn’t said that to your dad.
คุณไม่ควรพดู เช่นน้นั กบั พ่อของคุณเลย

 You should have been more careful. This is the third glass that you broke it.
คุณควรระวงั ใหม้ ากกวา่ น้ีนะ นี่คือแกว้ ใบท่ีสามแลว้ ที่คุณทาแตก

แบบทดสอบความเขา้ ใจ

1. Yesterday I ________ finish my geography project.

a. must
b. mustn't
c. had to
2. She will ________ wait in line like everyone else.

a. must
b. have to
c. has to
3. All employees ________ on time for work.

a. mustn't
b. have to
c. must be

4. We ________ forget to take the chicken out of the freezer.

a. have to not
b. must
c. mustn't

5. If you are under 13 you _____ to get your parents' permission.

a. have
b. must
c. musn't

6. Your daughter may ________ try on a few different sizes.

a. have to
b. had to
c. must

7. The doctor _____ get here as soon as he can.

a. must
b. mustn't
c. have to

8. Do you _____ work next weekend?

a. have to
b. must
c. musn't

9. Bicyclists _____ remember to signal when they turn.

a. mustn't
b. must
c. has to

10. Angela, you _____ leave your clothes all over the floor like this.

a. mustn't
b. must
c. have to

should and shoudn’t

11.You be so selfish.

a. should
b. Shouldn’t

12.I don't think you smoke so much.

a. should
b. Shoudn’t

13.You exercise more.

a. should
b. Shoudn’t

14.I think you try to speak to her.

a. should
b. Shoudn’t

15.You are overweight. You go on a diet.

a. should
b. Shoudn’t

เฉลย

1.c
2.b
3.c
4.c
5.a
6.a
7.a
8.a
9.b
10.a
11.b
12.a
13.a
14.a
15.a


Click to View FlipBook Version